ARROW ทลายนิสัยเก่า
ทลายนิสัยเก่า วิธีปล่อยวางความคิดและสร้างตัวตนใหม่ ดร.โจ ดิสเพนซา : เขียน จักรกฤษณ์ จีอุ่นงอย : แปล
ทลายนิสัยเก่า Breaking the Habit of Being Yourself ดร.โจ ดิสเพนซา : เขียน จักรกฤษณ์ จีอุ่นงอย : แปล พิมพ์ พ.ศ. 2567 จัดท�ำโดย สำ�นักพิมพ์แอร์โรว์ ในเครือบริษัท แอร์โรว์ มัลติมีเดีย จำกัด เลขที่ 1 ถนนก�ำแพงเพชร 6 ซอย 5 แยก 6 (โกสุมนิเวศน์ ซ.2) แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 0-2573-6584 Email : [email protected] Line ID : @arrow11 hompage : www.arrowmultimedia.co.th BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF Copyright © 2012 by Joe Dispenza Originally published in 2012 by Hay House Inc. USA Thai Language Translation Copyright © 2024 by Arrow Multimedia Co.,Ltd. All rights reserved. © สงวนลิขสิทธิ์โดย บริษัท แอร์โรว์ มัลติมีเดีย จ�ำกัด ห้ามน�ำส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ท�ำส�ำเนา ถ่ายเอกสาร หรือน�ำไปเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต หรือสื่อต่างๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ดร.โจ ดิสเพนซา ทลายนิสัยเก่า—กรุงเทพฯ : แอร์โรว์, 2567. 392 หน้า. 1. จิตวิทยา I. จักรกฤษณ์ จีอุ่นงอย, แปล II. ชื่อเรื่อง. ISBN 978-616-434-374-0 ข้อมูลทางบรรณานุกรม บรรณาธิการ : นิคม ชาวเรือ กองบรรณาธิการ : สุภาภรณ์ สว่างจันทร์, วลัยกร เต็มขันท์, ปวันรัตน์ เกียรติธีรชัย, ชญานี ขุนพิลึก พิสูจน์อักษร : พฤทธิ์ โพธิ์อินทร์, วันทนีย์ ศรีสุข ออกแบบปก : ชมพูนุช ขอดค�ำ ออกแบบรูปเล่ม : สุพรรษา เฮงปถม ผู้จัดการทั่วไป : เดือนนภา สุรามิตร ฝ่ายขาย : ณลินพรรณ เผ่าพันธุ์ขาว จัดจ�ำหน่ายทั่วประเทศโดย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด 108 หมู่ที่ 2 ถ.บางกรวย-จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130 โทรศัพท์ 0-2423-9999 โทรสาร 0-2449-9222, 0-2449-9500-6 hompage : www.naiin.com พิมพ์ที่ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ภาพพิมพ์ 45/12-14,33 หมู่ 4 ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130 โทรศัพท์ 0-2879-9154-6 โทรสาร 0-2879-9153 ราคา 340 บาท
ประวัติผู้เขียน โจ ดิสเพนซา, ดี.ซี., ศึกษาศาสตร์ด้านชีวเคมีที่มหาวิทยาลัย รัตเกอร์ส นอกจากนี้เขายังส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขา วิทยาศาสตร์ในวิชาเอกด้านประสาทวิทยาศาสตร์ และได้รับปริญญา ดุษฎีบัณฑิตสาขาไคโรแพรคติกจากมหาวิทยาลัยไลฟ์ (Life) ในเมือง แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง การฝึกอบรมในระดับบัณฑิตศึกษาของ ดร.โจ ยังครอบคลุม การศึกษาในสาขาประสาทวิทยา ประสาทวิทยาศาสตร์ การท�ำงานของ สมองและเคมี ชีววิทยาระดับเซลล์ การสร้างความทรงจ�ำ การแก่ชราและ การชะลอวัย เขายังเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการผู้ตรวจการ ไคโรแพรกติกแห่งชาติ (National Board of Chiropractic Examiners) รวมทั้งเป็นผู้รับรางวัล Clinical Proficiency Citation ส�ำหรับความเป็น เลิศด้านคลินิกสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยจากมหาวิทยาลัยไลฟ์ และ ยังเป็นสมาชิกของ Pi Tau Delta ซึ่งเป็นสมาคมอันทรงเกียรติในด้าน ศาสตร์ไคโรแพรคติกระดับนานาชาติ
ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ดร.โจ ได้บรรยายไปแล้วในกว่า 24 ประเทศ ใน 6 ทวีป เพื่อให้ความรู้แก่คนหลายพันคนเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของ สมองมนุษย์ และวิธีปรับโปรแกรมความคิดผ่านหลักการทางสรีรวิทยาที่ได้ รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ส่งผลให้ผู้คนจ�ำนวนมากได้เรียนรู้ถึงวิธี บรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์เฉพาะในแบบของตนโดยทลายนิสัยของตัวตน เดิม วิธีการสอนที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังของเขาได้สร้างสะพานเชื่อมระหว่าง ศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์กับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดด้านภาวะ ยืดหยุ่นของสมอง (Neuroplasticity) ดร.โจ ได้อธิบายให้เห็นถึงวิธีที่การ คิดในแนวทางใหม่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงความเชื่อสามารถกระตุ้นสมอง ของคนๆ หนึ่งได้อย่างไร งานของเขามีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นอย่าง แน่วแน่ว่าสิ่งที่อยู่ภายในของทุกคนบนโลกใบนี้นั้นมีศักยภาพแฝงเร้นอัน ยิ่งใหญ่และความสามารถอันไร้ขีดจ�ำกัด หนังสือเล่มแรกของ ดร.โจ อย่าง Evolve Your Brain: The Science of Change Your Mind ได้เชื่อมโยงเรื่องของความคิดและ จิตส�ำนึกเข้ากับสมอง จิต และร่างกาย มันได้น�ำพาเราไปส�ำรวจ “ชีววิทยา ของการเปลี่ยนแปลง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเราเปลี่ยนความคิดอย่าง แท้จริงแล้ว มันจะปรากฏหลักฐานเชิงกายภาพของการเปลี่ยนแปลงภายใน ในสมอง ในฐานะผู้เขียนบทความทางวิทยาศาสตร์หลายบทความเกี่ยวกับ ความสัมพันธ์ที่แนบชิดระหว่างสมองกับร่างกาย ดร.โจ ได้อธิบายถึง บทบาทของเคมีในสมองและสรีรวิทยาต่อสุขภาพกายและโรคภัยต่างๆ ดีวีดี ชุดล่าสุดของเขาที่วางจ�ำหน่ายในชื่อ Evolve Your Brain: The Science of Change Your Mind ได้น�ำเสนอถึงวิธีที่สมองมนุษย์สามารถถูกควบคุม ให้ส่งผลต่อความเป็นจริงผ่านการควบคุมด้วยความคิด และเขาได้ผลิต ชุดซีดีที่ให้องค์ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งจะตอบค�ำถามบางข้อที่เขา ถูกถามบ่อยครั้งที่สุด ในการวิจัยของเขาเกี่ยวกับภาวะหายเจ็บป่วยเองนั้น ดร.โจ พบความคล้ายคลึงกันระหว่างผู้ที่เคยมีประสบการณ์การรักษา
แบบอัศจรรย์ (Miraculous healings) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมื่อพวกเขาได้ เปลี่ยนความคิดจริงๆ แล้วต่อมาสุขภาพของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไป หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และอาจารย์ที่แสดงในภาพยนตร์ ที่ได้รับรางวัลอย่างเรื่อง What the BLEEP Do We Know!? นั้น ดร.โจ ได้ปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญในภาพยนตร์ฉบับที่ก่อนตัดต่อ รวมทั้งดีวีดี ชุด Quantum Edition ที่เป็นเนื้อเรื่องส่วนขยายของ What the BLEEP!? Down the Rabbit Hole พร้อมกับสารคดีเรื่องใหม่อย่าง The People vs. The State of Illusion เขายังท�ำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้าน บรรณาธิการของวารสาร Explore! เมื่อไม่ได้ออกเดินทางและเขียนหนังสือ ดร.โจ จะยุ่งอยู่กับการ พบผู้ป่วยที่คลินิกไคโรแพรคติกของเขาใกล้กับเมืองโอลิมเปีย วอชิงตัน สามารถติดต่อเขาได้ที่: www.drjoedispenza.com.
ค�ำอุทิศแด่หนังสือ ทลายนิสัยเก่า เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ “ดร.โจ ดิสเพนซา ต้องการเสริมพลังให้คุณเพื่อปล่อยวางเรื่องความคิด แย่ๆ และน้อมรับแต่พลังในเชิงบวก หนังสือที่เล่าได้อย่างชาญฉลาด อัดแน่นไปด้วยข้อมูล ใช้ประโยชน์ได้จริง หนังสือจะช่วยให้คุณเป็นตัว ของตนเองได้ในแบบที่ดีและเป็นอิสระที่สุด ดังที่ ดร.โจ กล่าวไว้ว่าคุณ สามารถ ‘ก้าวไปสู่ชะตากรรมของตนได้’” — แพทย์หญิงจูดิธ ออร์ลอฟฟ์, ผู้เขียนหนังสือ อิสรภาพแห่งห้วงอารมณ์ (Emotional Freedom) “ในหนังสือทลายนิสัยเก่า เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่นั้น ดร.โจ ดิสเพนซา จะพาเราไปส�ำรวจแง่มุมอันทรงพลังของข้อเท็จจริงด้วยเหตุผลทาง วิทยาศาสตร์ และมอบเครื่องมือที่จ�ำเป็นแก่ผู้อ่านในการเปลี่ยนแปลงเชิง บวกที่ส�ำคัญในชีวิตของพวกเขา ทุกคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้และน�ำขั้นตอน ปฏิบัติที่ว่านี้ไปใช้จะได้รับประโยชน์จากความพยายามของพวกเขา เนื้อหาที่ล�้ำสมัยจะถูกน�ำมาอธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ที่ทุกคนเข้าถึงได้ และให้ค�ำแนะน�ำที่เป็นมิตรต่อผู้อ่านเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน จากภายในสู่ภายนอก” — โรลลิน แมคเครตี, ดร., ผู้อ�ำนวยการฝ่ายวิจัย ศูนย์วิจัย HeartMath
“คู่มือเล่มนี้ของ ดร.โจ ดิสเพนซา ได้มอบให้ทั้งความบันเทิงและการ เข้าถึงได้ง่ายส�ำหรับการเชื่อมโยงจิตใจ และวงจรทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อ ใจความง่ายๆ แต่ทรงพลัง: สิ่งที่คุณคิดในวันนี้จะเป็นตัวก�ำหนดว่าคุณจะ ใช้ชีวิตอย่างไรในวันพรุ่งนี้” —ลินน์ แม็คแท็กการ์ต ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Field, The Intention Experiment and The Bond “หนังสือทลายนิสัยเก่า เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ นั้นเป็นการผสมผสาน ที่ทรงพลังของวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้า และการประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริงที่ถักทอกันเป็นสูตรส�ำเร็จส�ำหรับชีวิตประจ�ำวันของพวกเรา ทุกคน “ล�ำดับชั้นขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเมื่อ การค้นพบใหม่ๆ ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับอะตอม สิ่งที่เรารู้ เกี่ยวกับตัวเราและสมองของเราก็ต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ในเนื้อหา 14 บทที่กระชับของหนังสือเล่มนี้ ดร.โจ ดิสเพนซาใช้ ประสบการณ์ตลอดชีวิต เพื่ออธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ในวิธีที่เราใช้สมองนั้นเป็นกุญแจเชิงควอนตัม ในการเปลี่ยนแปลง ที่สอดรับถึงร่างกาย ชีวิตของเรา และความสัมพันธ์ของเราในคู่มือ ที่น่าเชื่อถือ ผ่านการวิจัยอย่างดี และใช้งานได้จริงเล่มนี้ สิ่งที่คุณต้องการ ก็เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วส�ำหรับการฝึกฝนเป็นการส่วนตัว เทคนิคง่ายๆ ทีละขั้นตอนของ ดร.โจ ได้เปิดโอกาสให้ทุกคนทดลองสนามควอนตัม ด้วยตนเองเพื่อค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่เยี่ยมที่สุดของพวกเขา “จากแนวการฝึกอันทรงพลังที่เน้นความคิดซึ่งท�ำให้เราติดอยู่ในความเชื่อ แบบเดิมๆ เพื่อสร้างแนวทางปฏิบัติง่ายๆ ที่ผลักดันเราให้ก้าวข้ามความ เชื่อที่จ�ำกัดเราไว้นี้หนังสือเล่มนี้คือ คู่มือสู่ชีวิตที่ประความส�ำเร็จ พวกเรา
หวังว่าตัวเองจะได้รับหนังสือแบบนี้สักเล่มในช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถ้าคุณรู้อยู่เสมอว่ามีอะไรมากกว่าที่คุณได้เรียนรู้ในวิชาชีววิทยา ขั้นพื้นฐาน แต่พบว่าตัวเองก�ำลังถูกขู่ด้วยศัพท์เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ นี่คือ หนังสืออันยอดเยี่ยมที่คุณรอคอย” — เกร็ก เบรเดน ผู้เขียนหนังสือขายดีของส�ำนักพิมพ์ New York Times อย่าง Deep Truth และ The Divine Matrix “ในฐานะนักจิตวิทยากึ่งเกษียณที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้มา หลายปีแล้ว ผมต้องยอมรับว่า [หนังสือเล่มนี้] น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไร บางอย่างที่ยึดถือกันมานาน เกี่ยวกับความเชื่อในด้านจิตวิทยา ข้อสรุปของ ดร.โจ ซึ่งมีรากฐานอย่างหนักแน่นจากองค์ความรู้ใน ศาสตร์ด้านประสาทวิทยา มันได้ท้าทายต่อความคิดของเราที่ว่าเราคิดว่า เราเป็นใครและอะไร คือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปได้ หนังสือเล่มนี้ ช่างยอดเยี่ยมและเหนือระดับ” — ดร.อัลลัน บ็อตคิน นักจิตวิทยาคลินิก; ผู้เขียนหนังสือ Induced After-Death Communication “เราอยู่ท่ามกลางยุคสมัยใหม่แห่งการพัฒนาเพื่อความส�ำเร็จของตนเอง ที่ไม่อาจมีอะไรเทียบได้ ซึ่งมีการสร้างวงจรป้อนกลับที่มีประสิทธิผล ระหว่างการค้นพบล่าสุดของความรู้ด้านประสาทวิทยาและการฝึกสมาธิ แบบโบราณ หนังสือเล่มใหม่ของ ดร.โจ ดิสเพนซา ได้อธิบายไว้ อย่างชาญฉลาด ยิ่งไปกว่านั้นมันยังอธิบาย ‘วิทยาศาสตร์ที่เข้าใจได้ยาก’ ได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับสมองและวิธีที่ร่างกายของพวกเราท�ำงาน
เขาได้น�ำหลักการที่ว่านี้ไปใช้จริงในโปรแกรมฝึกฝนขั้นต้นสี่สัปดาห์ ส�ำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวตน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราสามารถใช้โปรแกรม การท�ำสมาธิอย่างมีล�ำดับขั้นส�ำหรับเชื่อมโยงเครือข่ายประสาทของเรา อย่างมีสติ เพื่อความคิดสร้างสรรค์และความสุขได้อย่างไร” —ดอว์สัน เชิร์ช, ดร., ผู้เขียนหนังสือขายดีอย่าง The Genie in Your Genes (EFTuniverse.com) “ดร.โจ ดิสเพนซา ได้น�ำคู่มือ ส�ำหรับการเป็นผู้สร้างจากพลัง อันศักดิ์สิทธิ์มาให้แก่เรา เขาท�ำให้ศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์สมอง สามารถน�ำไปสู่การปฏิบัติได้ เขาแสดงให้เราเห็นถึงวิธีการหลุดพ้นจาก การครอบง�ำของอารมณ์เพื่อสร้างชีวิตที่มีความสุข สุขภาพดี และอุดมสมบูรณ์ และวิธีท�ำอย่างไรจึงจะฝันถึงโลกในแบบของเรา ได้ในที่สุด ฉันรอหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว” — อัลแบร์โต วิลโลโด, ดร., ผู้เขียนหนังสือ Power Up Your Brain และ Shaman, Healer, Sage
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ ลักษณะนิสัยหรือบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตของมนุษย์ การมี อุปนิสัยที่ดีนั้นจ�ำเป็นต้องอาศัยอวัยวะส�ำคัญคือ “สมอง” ซึ่งเป็นอวัยวะที่ควบคุม การท�ำงานด้านต่างๆ ของร่างกาย ทั้งระบบความคิด จิตใต้ส�ำนึก หรือแม้กระทั่ง การกระท�ำที่เกิดจากการตัดสินใจของเรา เมื่อสมองมีการท�ำงานอย่างถูกต้อง เหมาะสม การใช้ชีวิตของเราก็จะราบรื่นและประสบความส�ำเร็จ หากแต่เมื่อใดที่ สมองเกิดปัญหาในการท�ำงาน การใช้ชีวิตก็จะบกพร่องและประสบความส�ำเร็จได้ ยากกว่า หนังสือ “ทลายนิสัยเก่า Breaking the Habit of Being Yourself” ดร.โจ ดิสเพนซา ได้น�ำเสนอข้อเท็จจริงตามหลักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกลไกการ ท�ำงานของสมองที่ส่งผลต่อทัศนะคติทั้งเชิงบวกและเชิงลบอันเป็นสิ่งที่หล่อหลอม ให้ก่อเกิดอุปนิสัยด้านต่างๆ ของเรา ยิ่งไปกว่านั้นผู้เขียนยังได้น�ำเสนอแนวทางใน การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตัวเราเพื่อน�ำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วยภาษา ที่เข้าใจง่าย และมีเนื้อหาอย่างเป็นล�ำดับขั้นตอน เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้คุณจะ สามารถยกระดับจิตใจตนเองให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน สำนักพิมพ์แอร์โรว์
สารบัญ ค�ำนิยมโดย นายแพทย์ดาเนียล จี. เอเมน........................................................15 บทน�ำ: นิสัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถปล่อยวางมันได้ คือนิสัยในการเป็นตัวของคุณเอง.........................................................21 ส่วนที่ 1 : ศาสตร์แห่งตัวตนของคุณ บทที่ 1: พลังงานควอนตัมในตัวคุณ.................................................................35 บทที่ 2: การเอาชนะสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณ................................................75 บทที่ 3: การเอาชนะร่างกายของคุณ...............................................................90 บทที่ 4: การเอาชนะเวลา...............................................................................124 บทที่ 5: การเอาชีวิตรอดกับการสรรสร้าง........................................................137 ส่วนที่ 2 : สมองและการท�ำสมาธิของคุณ บทที่ 6: สมองสามส่วน วิธีคิดเพื่อสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่...................................167 บทที่ 7: ช่องว่าง............................................................................................195 บทที่ 8: การท�ำสมาธิ การไขปริศนาลึกลับ และคลื่นแห่งอนาคตของคุณ..............................................................227 ส่วนที่ 3 : ก้าวไปสู่โชคชะตาใหม่ของคุณ บทที่ 9: กระบวนการท�ำสมาธิ: บทน�ำและการเตรียมการ..................................275
บทที่ 10: เปิดหนทางสู่สภาวะแห่งการสร้างสรรค์ของคุณ (สัปดาห์ที่หนึ่ง)...............................................................................287 ขั้นตอนที่ 1: การชักน�ำ บทที่ 11: ตัดทอนนิสัยในตัวตนของคุณออกไป (สัปดาห์ที่สอง)................................................................................293 ขั้นตอนที่ 2: การรับรู้ ขั้นตอนที่ 3: การยอมรับและการแจกแจง ขั้นตอนที่ 4: การน้อมรับ บทที่ 12: รื้อถอนความทรงจ�ำในตัวตนเก่าของคุณ (สัปดาห์ที่สาม)...............................................................................316 ขั้นตอนที่ 5: การสังเกตและการย�้ำเตือนสติ ขั้นตอนที่ 6: การเปลี่ยนแปลงวิถี บทที่ 13: สร้างแนวคิดใหม่เพื่ออนาคตใหม่ของคุณ (สัปดาห์ที่สี่)...................................................................................329 ขั้นตอนที่ 7: การสร้างสรรค์และการฝึกฝน บทที่ 14: การแสดงออกและแจ่มชัดในตัวตน: จงใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแบบใหม่ของคุณ....................................349 บทส่งท้าย: การเป็นที่พึ่งแห่งตน.....................................................................360 ภาคผนวก A: การชักน�ำส่วนของร่างกาย (สัปดาห์ที่หนึ่ง)...............................365 ภาคผนวก B: การชักน�ำที่เพิ่มขึ้น (สัปดาห์ที่หนึ่ง)..........................................368 ภาคผนวก C: แนวทางในการท�ำสมาธิ: รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน (สัปดาห์ที่สองถึงสี่)........................................................................371 การอ้างอิงท้ายบท...........................................................................................379 กิตติกรรมประกาศ..........................................................................................386
สมองของคุณนั้นเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งที่ตัวคุณท�ำ รวมถึงวิธีที่คุณคิด วิธีที่ คุณรู้สึก วิธีที่คุณปฏิบัติ และบ่งบอกว่าคุณเข้ากับผู้อื่นได้ดีเพียงใด มันเป็นอวัยวะ แห่งบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย ความเฉลียวฉลาด และในทุกๆ การตัดสินใจของคุณ จากประสบการณ์ในงานจ�ำลองภาพสมองของผมกับผู้ป่วยหลายหมื่นรายทั่วโลก ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเมื่อสมองของคุณท�ำงานถูกต้อง คุณก็จะท�ำงานได้ดี และเมื่อสมองของคุณมีปัญหา คุณก็มีแนวโน้มที่จะพบปัญหา ในชีวิตของคุณด้วยเช่นกัน ด้วยสมองที่ดีขึ้น คุณจะมีความสุขมากขึ้น สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น มั่งคั่ง ขึ้น ฉลาดขึ้น และตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณประสบความส�ำเร็จมากขึ้นและ มีอายุยืนยาวขึ้น เมื่อสมองอ่อนแอลงไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น การบาดเจ็บ ที่ศีรษะหรือบาดแผลทางอารมณ์ในอดีต คนผู้นั้นจะเศร้าโศก เจ็บป่วย ยากจน ฉลาด น้อยกว่า และประสบความส�ำเร็จน้อยกว่า มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจได้ว่าอาการบาดเจ็บสามารถท�ำร้ายสมองได้ อย่างไร แต่นักวิจัยยังพบว่าการคิดในเชิงลบและการวางกรอบแนวทางที่ไม่ดีจาก อดีตของเรานั้นสามารถส่งผลกระทบต่อสมองได้เช่นกัน ค�ำนิยม
16 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF ยกตัวอย่างเช่น ผมโตมากับพี่ชายที่ตั้งใจโยนผมไปทั่ว ความตึงเครียดและ ความกลัวอย่างต่อเนื่องที่ผมรู้สึกได้นั้นน�ำไปสู่ความวิตกกังวลในระดับที่สูงขึ้น รูปแบบการคิดวิตกกังวล และระแวดระวังอยู่เสมอ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีเรื่องเลวร้าย เกิดขึ้น ความกลัวนี้ท�ำให้เกิดการท�ำงานที่มากเกินไปในระยะยาวที่ศูนย์ความกลัว ในสมองของผม จนกระทั่งผมสามารถผ่านพ้นมันไปได้ในช่วงภายหลังของชีวิต ในหนังสือทลายนิสัยเก่าเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ เพื่อนร่วมงานของผมอย่าง ดร.โจ ดิสเพนซา จะช่วยแนะแนวทางให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพทั้งฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์ในสมองของคุณเพื่อช่วยให้คุณเข้าถึงสภาวะใหม่แห่งจิต หนังสือเล่มใหม่ ของเขานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่น และเขายังคงกล่าวด้วย ความเมตตาและสติปัญญาเฉกเช่นที่เขาท�ำในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล What the BLEEP Do We Know!? และในหนังสือเล่มแรกของเขาอย่าง Evolve Your Brain แม้ว่าผมจะคิดว่าสมองเปรียบเสมือนกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีทั้งฮาร์ดแวร์และ ซอฟต์แวร์ ตัวฮาร์ดแวร์ (การท�ำงานเชิงกายภาพอย่างแท้จริงของสมอง) ไม่ได้แยก ออกจากซอฟต์แวร์หรือการโปรแกรมค�ำสั่งและการปรับรูปร่างอย่างต่อเนื่องที่เกิด ขึ้นตลอดชีวิตของเราเสียทีเดียว พวกมันมีผลกระทบอย่างมากต่อกันและกัน พวกเราส่วนใหญ่มีบาดแผลบางอย่างในชีวิตและใช้ชีวิตอยู่กับแผลเป็นที่ เกิดขึ้นในทุกๆ วัน การขจัดประสบการณ์เหล่านั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ โครงสร้างสมองซึ่งสามารถรักษาบาดแผลนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอนว่าการสร้าง นิสัยที่ดีต่อสมอง เช่น การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกก�ำลังกาย และ สารอาหารบางอย่างส�ำหรับสมอง กิจวัตรเหล่านี้มีความส�ำคัญอย่างยิ่งต่อการท�ำงาน ของสมอง นอกจากนี้ความคิดชั่วขณะของคุณยังมีพลังในการเยียวยาอันทรงพลัง ต่อสมอง...หรือมันอาจจะท�ำแบบเดียวกันกับกิจวัตรที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือ บาดแผลต่อตัวคุณ เช่นเดียวกับประสบการณ์ในอดีตที่สามารถกลายเป็นโครงข่าย ภายในสมอง การศึกษาที่เราท�ำที่เอเมนคลินิก (Amen Clinics) เรียกว่า “brain SPECT imaging” SPECT (การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบปล่อยโฟตอนเดี่ยว) เป็นการศึกษาทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่พิจารณาการไหลเวียนของเลือดและรูปแบบ กิจกรรม ซึ่งแตกต่างจากการสแกน CT หรือ MRI ซึ่งตรวจสอบลักษณะทาง
ทลายนิสัยเก่า 17 กายวิภาคของสมอง เนื่องจาก SPECT จะดูการท�ำงานของสมอง งานวิจัยด้าน SPECT ของเรา ซึ่งขณะนี้สแกนสมองของผู้คนไปแล้วกว่า 70,000 ครั้ง ได้สอน บทเรียนชีวิตที่ส�ำคัญมากมายเกี่ยวกับสมอง เช่น • การบาดเจ็บที่สมองสามารถท�ำลายชีวิตผู้คนได้ • แอลกอฮอล์ไม่ใช่อาหารเพื่อสุขภาพและมักแสดงให้เห็นถึงความเสียหาย อย่างมากในการสแกน SPECT • ยาหลายชนิดที่หลายคนใช้เป็นประจ�ำ เช่น ยาคลายเครียดบางชนิดกลับ ไม่ส่งผลดีต่อสมอง • โรคเช่นอัลไซเมอร์เริ่มต้นในสมองเป็นเวลานานหลายทศวรรษก่อนที่ ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการ การสแกน SPECT ยังสอนเราว่าในฐานะเช่นเดียวกับที่สังคมท�ำ เราจ�ำเป็น ต้องมีความรักและเคารพต่อสมองให้มากขึ้น และการปล่อยให้พวกเด็กๆ ได้เล่น กีฬาที่มีการปะทะกัน เช่น ฟุตบอลและฮอกกี้ นั้นไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก บทเรียนที่น่าตื่นเต้นที่สุดบทหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้คือผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงสมองและเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาได้อย่างแท้จริงโดยการสร้างนิสัยที่ดีต่อ สมองอย่างสม�่ำเสมอ เช่น การแก้ไขความเชื่อเชิงลบและใช้กระบวนการท�ำสมาธิ อย่างเช่น ที่ ดร.ดิสเพนซา จะกล่าวถึง ในการศึกษาชุดหนึ่งที่เราตีพิมพ์ผลการวิจัยนั้นพบว่า การฝึกสมาธิแบบ เดียวกับที่ ดร.ดิสเพนซา แนะน�ำนั้น กลับช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ส่วนพรีฟรอนทัลคอร์เท็กซ์ (prefrontal cortex) ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการคิดมากที่สุดในสมองของมนุษย์ หลังจากท�ำสมาธิทุกวันเป็นเวลาแปด สัปดาห์ เปลือกสมองส่วนพรีฟรอนทัลคอร์เท็กซ์ขณะพักก็จะแข็งแรงขึ้น และ ความทรงจ�ำของอาสาสมัครก็ดีขึ้นเช่นกัน แล้วมันก็มีหลายวิธีในการรักษาและเพิ่ม ประสิทธิภาพของสมองเช่นกัน ความคาดหวังของผมก็คือ การได้เห็นคุณเกิดภาวะ “สมองหิวกระหาย” เช่นเดียวกับผม และต้องการให้สมองท�ำงานได้ดีขึ้น งานสร้างภาพจากสมองของ เราได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตของตัวผมเอง ไม่นานหลังจากที่ผมเริ่มท�ำงาน
18 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF กับการสแกนด้วยเทคนิค SPECT ในปี ค.ศ. 1991 ผมตัดสินใจดูภาพสมองของ ตัวเอง ตัวผมเองที่มีอายุ 37 ปี ในตอนนั้น เมื่อผมเห็นลักษณะที่เป็นพิษและ เป็นหลุมเป็นบ่อในภาพสมองตนเองนั้น ผมก็รู้ว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆ ตลอดชีวิต แล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่เคยใช้ยาเสพติด แล้วท�ำไม สมองของผมถึงดูแย่จัง ก่อนที่ผมจะเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพสมองจริงๆ ผมมีนิสัย เกี่ยวกับสมองที่ไม่ดีหลายอย่าง ผมกินอาหารจานด่วนเยอะมาก ดื่มเครื่องดื่ม ไดเอทโซดาเหมือนกับว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม แถมมักจะนอนเพียงคืนละ สี่ถึงห้าชั่วโมงเท่านั้น และแบกรับความเจ็บปวดจากอดีตที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ ผม ไม่ได้ออกก�ำลังกาย รู้สึกเครียดเรื้อรัง และมีน�้ำหนักเพิ่มขึ้น 30 ปอนด์ สิ่งที่ผมไม่รู้ ว่ามันก�ำลังท�ำร้ายผม...และไม่ใช่แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นด้วย การสแกนครั้งล่าสุดเผยให้เห็นว่า สมองของผมดูมีสุขภาพดีขึ้นและดู อ่อนเยาว์กว่าเมื่อ 20 ปีก่อน มาก สมองของผมแก่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด สมองของ คุณก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน เมื่อคุณตัดสินใจดูแลมันอย่างเหมาะสม หลังจากเห็น ภาพสแกนต้นฉบับของตนเอง ผมอยากให้สมองดีขึ้น หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณ ดีขึ้นได้เช่นกัน ผมหวังว่าคุณจะสนุกกับการอ่านมันมากพอๆ กับที่ผมท�ำนะ — ดาเนียล จี. เอเมน, MD, ผู้เขียนหนังสือ Change Your Brain, Change Your Life
เมื่อผมนึกถึงหนังสือเกี่ยวกับการสร้างชีวิตที่เราใฝ่หา ผมทราบดีว่าพวก เราหลายคนยังคงมองหาแนวทางที่มีพื้นฐานมาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ อันน่าเชื่อถือ...ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลจริง แต่การวิจัยใหม่เกี่ยวกับสมองและร่างกาย จิตใจ และจิตใต้ส�ำนึก...และความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของวิชาควอนตัมต่อ ความเข้าใจของเราเกี่ยวกับฟิสิกส์...ก�ำลังชี้แนะแนวทางของความเป็นไปได้ที่ กว้างขึ้นเกี่ยวกับวิธีการก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เรารู้มาแต่ก�ำเนิดว่ามันคือศักยภาพ ที่แท้จริงของเราเอง ในฐานะแพทย์ฝึกหัดด้านการนวดจัดกระดูกแบบไคโรแพรกติก (Chiropractor) ซึ่งดูแลคลินิกสุขภาพแบบผสมผสานที่มีผู้คนพลุกพล่าน และในฐานะ นักการศึกษาในสาขาประสาทวิทยาศาสตร์ การท�ำงานของสมอง ชีววิทยา และเคมี ในสมอง ผมได้รับสิทธิพิเศษให้อยู่ในระดับแนวหน้าของงานวิจัยด้านนี้ ไม่ใช่แค่การ ศึกษาสาขาที่กล่าวถึงไปในข้างต้นนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสังเกตผลกระทบของ ศาสตร์ใหม่นี้ เมื่อน�ำไปใช้โดยคนทั่วไปเช่นคุณและผม นั่นคือช่วงเวลาที่ความ เป็นไปได้ของศาสตร์ใหม่นี้กลายเป็นความจริง บทน�ำ นิสัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถปล่อยวาง มันได้ คือนิสัยในการเป็นตัวของคุณเอง
22 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งบางอย่างในสุขภาพ และคุณภาพชีวิตของผู้คนเมื่อพวกเขาเปลี่ยนความคิดอย่างแท้จริง ในช่วงหลายปี ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้คนจ�ำนวนมากที่เอาชนะสภาวะสุขภาพขั้นวิกฤติ ซึ่งถือว่าเป็นอาการป่วยระยะสุดท้ายหรือป่วยอย่างถาวรตามแนวทางการวินิจฉัย ของแพทย์ร่วมสมัย การฟื้นฟูเหล่านี้ถูกระบุว่าเป็น “ภาวะการหายของโรคได้เอง (Spontaneous Remissions)” อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบอย่างละเอียดจากการเดินทางภายในของ พวกเขากลับเห็นได้ชัดว่ามันมีเรื่องขององค์ประกอบของจิตใจที่แข็งแกร่งเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย...และการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นเอง ทั้งหมด การค้นพบนี้ต่อยอดมาจากงานวิจัยในระดับบัณฑิตศึกษาของผมเอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านการสร้างภาพสมอง ภาวะความยืดหยุ่นตัวของสมอง (Neuroplasticity) เอพิเจเนติกส์ และจิตประสาทภูมิคุ้มกัน ผมค้นพบว่าต้องมี บางอย่างเกิดขึ้นในสมองและร่างกายที่ท�ำซ�้ำสภาวะต่างๆ ของตัวเอง ในหนังสือ เล่มนี้ ผมต้องการแบ่งปันบางสิ่งบางอย่างที่ผมได้เรียนรู้มาและแสดงให้คุณเห็นโดย การส�ำรวจว่าจิตและสสารมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร คุณจะสามารถน�ำหลักการเหล่านี้ ไปใช้ไม่เพียงกับร่างกายของคุณเท่านั้นแต่กับทุกแง่มุมในชีวิตของคุณ จงไปให้เหนือกว่าความรู้เฉยๆ...ไปสู่การรู้ว่าจะต้องลงมือท�ำอย่างไร ผู้คนจ�ำนวนมากที่อ่านหนังสือเล่มแรกของผมอย่าง วิวัฒน์สมองของคุณ ศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลงจิต (Evolve Your Brain: The Science of Change Your Mind) ได้เรียกร้องอย่างซื่อตรงและจริงใจในแบบเดียวกัน (พร้อมกับเสียง ตอบรับในเชิงบวกพอสมควร) ตัวอย่างเช่น ผู้อ่านคนหนึ่งที่ส่งความเห็นมาให้ผมว่า “ฉันชอบหนังสือคุณมาก อ่านไปแล้ว 2 รอบ มันมีศาสตร์หลายอย่างในหนังสือเล่ม นี้ที่ละเอียด และสร้างแรงใจได้ดีมาก แต่คุณจะช่วยสอนวิธีการท�ำด้วยได้ไหม ว่าเรา จะวิวัฒน์สมองตัวเองได้อย่างไร ฉันจะพัฒนาสมองของตัวเองได้อย่างไร” เพื่อตอบรับต่อค�ำเรียกร้องดังกล่าว ผมเริ่มจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เกี่ยวกับขั้นตอนภาคปฏิบัติที่ทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านจิตใจและ ร่างกาย จนน�ำไปสู่ผลลัพธ์อย่างยั่งยืน ด้วยเหตุนี้ขณะที่สอนไป ผมได้เห็นผู้คนที่
ทลายนิสัยเก่า 23 เกิดประสบการณ์การเยียวยาตนเองแบบที่อธิบายไม่ได้ ปลดปล่อยบาดแผล ทางจิตใจและอารมณ์ออกไปจนหมดสิ้น รวมทั้งแก้ไขสิ่งที่เรียกว่า ความยากล�ำบาก อย่างไม่น่าเชื่อ สร้างโอกาส และได้รับประสบการณ์ความมั่งคั่ง (คุณจะพบคน เหล่านั้นในเนื้อหาบางส่วนของหนังสือเล่มนี้) ไม่มีความจ�ำเป็นที่คุณจะต้องอ่านหนังสือเล่มแรกของผมเพื่อให้เข้าใจ เนื้อหาในเล่มนี้ แต่ถ้าคุณเคยอ่านงานของผมมาบ้างแล้ว หากคุณได้สัมผัสกับ งานเขียนของผมแล้ว ผมได้เขียนหนังสือ ทลายนิสัยเก่า เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ เพื่อใช้เป็นคู่มือเชิงปฏิบัติการและแนวทางเพื่อ พัฒนาสมองของคุณและน�ำไปใช้ได้ กับหนังสือเล่มก่อน ความตั้งใจจริงๆ ของผมคือท�ำให้หนังสือเล่มใหม่เล่มนี้เรียบง่าย และเข้าใจได้ง่าย จะมีบางเวลาบ้าง ที่ผมจะต้องให้เกร็ดความรู้เพื่อใช้เป็นใบเบิกทาง ไปยังแนวคิดที่ผมต้องการจะพัฒนามันต่อไป เป้าหมายก็เป็นไปเพื่อสร้างรูปแบบ การท�ำงานที่เป็นจริงอันจะน�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงปัจเจก เพื่อช่วยให้คุณได้ เข้าใจว่า เราจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร การทลายนิสัยเก่า เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ เป็นผลพวงมาจากความหลงใหล ของผม ด้วยความพยายามอย่างตั้งใจในการท�ำให้เรื่องลี้ลับกลายเป็นเรื่องที่ง่าย ต่อการท�ำความเข้าใจของทุกคน รวมทั้งน�ำเสนอสิ่งจ�ำเป็นต่อการน�ำไปใช้เพื่อ เปลี่ยนแปลงชีวิต นี่คือช่วงเวลาที่เราไม่เพียงต้องการแค่ “ความรู้” แต่เราต้องการ “รู้วิธีการ” ด้วย เราจะน�ำแนวคิดของศาสตร์ที่อุบัติขึ้นมาใหม่นี้ และภูมิปัญญา อันเก่าแก่มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนเพื่อส่งเสริมชีวิตให้รุ่งเรืองกว่าเดิม ได้อย่างไร เมื่อคุณและผมได้เชื่อมต่อจุดในหลักการที่วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ เกี่ยวกับธรรมชาติแห่งความเป็นจริง และเมื่อเราอนุญาตตนเองให้น�ำหลักการ เหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจ�ำวัน นั่นล่ะ เราจะกลายเป็นทั้งจอมขมังเวทย์ และนักวิทย์ ให้กับชีวิตตนเอง ดังนั้นผมจึงขอเชิญชวนให้คุณได้ทดลองทุกอย่างที่จะได้เรียนรู้จากหนังสือ เล่มนี้ และสังเกตผลลัพธ์ของมันอย่างเป็นกลาง สิ่งที่ผมต้องการจะบอกก็คือเมื่อ คุณได้พยายามเปลี่ยนแปลงโลกแห่งความคิดและความรู้สึกตนเองไปเรื่อยๆ จาก ภายในแล้ว สิ่งแวดล้อมภายนอกก็ควรเริ่มที่ต้องจะให้ผลสะท้อนกลับเพื่อแสดง ให้เห็นว่า จิตนี่แหละที่จะส่งผลกระทบต่อ “โลกภายนอก” ของคุณได้ ถามว่าท�ำไม คุณถึงต้องท�ำมันอีก
24 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF หากคุณน�ำองค์ความรู้ที่เป็นดั่งหลักปรัชญาแล้วเริ่มต้นน�ำความรู้นั้นมาใช้ กับชีวิตได้นานพอจนกว่าคุณจะเชี่ยวชาญแล้วล่ะก็ ในที่สุดแล้วคุณจะขยับจากการ เป็นนักปรัชญาในขั้นต้นไปสู่ระดับปรมาจารย์ ท�ำต่อไปเถอะครับ...มีหลักฐานทาง วิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้แล้วว่านี่คือสิ่งที่เป็นไปได้ ผมขอให้คุณเปิดใจให้กว้าง เพื่อที่เราจะได้สร้างสรรค์ร่วมกันแบบเป็นล�ำดับ ขั้นตอน ตามแนวคิดของหนังสือเล่มนี้ ทุกข้อมูลมีอยู่แล้วเพื่อให้คุณสามารถท�ำอะไร กับมันก็ได้ ไม่งั้นมันก็จะเป็นเพียงแค่บทสนทนาดีๆ ระหว่างมื้ออาหารค�่ำก็แค่นั้น ใช่มั้ยล่ะครับ เมื่อคุณได้เปิดใจไปสู่วิถีทางที่สิ่งต่างๆ ล้วนแต่เป็นไปได้ และปล่อย วางความเชื่อที่ถูกสร้างมาไว้ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกตีกรอบคุณไว้แล้วล่ะก็ คุณจะได้ รับผลแห่งความพยายามของตนเอง นั่นเป็นค�ำอวยพรที่ผมอยากมอบไว้ให้คุณ ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยสร้างแรงใจให้แก่คุณเพื่อพิสูจน์ว่าคุณทุกคน ล้วนแล้วแต่คือผู้สร้างจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ เราจึงไม่ควรที่จะรอให้วิทยาศาสตร์อนุญาตให้เราสร้างสิ่งที่เหนือกว่า สามัญส�ำนึก เพราะหากเราท�ำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเราได้เปลี่ยนวิทยาศาสตร์ให้ กลายเป็นศาสนาอีกศาสนาหนึ่งเท่านั้น เราควรกล้าหาญพอที่จะขบคิดต่อชีวิตของ ตัวเอง และเริ่มลงมือท�ำในสิ่งที่เราคิดว่า “นอกกรอบ” บ้าง และต้องท�ำมันอย่าง ต่อเนื่องด้วย เมื่อเราท�ำเช่นนั้น เราก�ำลังก้าวไปสู่เส้นทางของการใช้พลังในเชิง ปัจเจกของตนเองได้แล้ว พลังที่แท้จริงจะมาเมื่อเราเริ่มมองอย่างลึกซึ้งเข้าไปในความเชื่อของตัว เราเอง พวกเราอาจพบรากฐานของการสร้างเงื่อนไขจากทั้งศาสนา วัฒนธรรม สังคม การศึกษา ครอบครัว สื่อต่างๆ หรือแม้กระทั่งยีนของตัวเราเอง (สิ่งที่ถูกประทับตรา ผ่านประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสในชีวิตของเราเช่นเดียวกับคนรุ่นก่อนๆ) จากนั้นเราจะมาชั่งน�้ำหนักระหว่างแนวคิดเก่าๆ กับกระบวนทัศน์ใหม่ๆ ที่อาจจะ ส่งเสริมเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม ห้วงเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อแต่ละบุคคลได้ตื่นขึ้นสู่ห้วงความเป็นจริงที่ ดีกว่าเดิม เราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ยิ่งกว่า ระบบและรูปแบบ ความเป็นจริงในปัจจุบันของเราก�ำลังพังทลายลง และถึงเวลาแล้วที่สิ่งใหม่ๆ จะ อุบัติขึ้น ในภาพรวมแล้วรูปแบบของการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา วิทยาศาสตร์ การ
ทลายนิสัยเก่า 25 ศึกษา สาธารณสุข และความสัมพันธ์ต่อสิ่งแวดล้อม ได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ ต่างออกไปตั้งแต่จากเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จงปล่อยวางรูปแบบเก่าที่ล้าหลัง และโอบรับเอาสิ่งใหม่ที่ง่ายดายกว่า ตาม ที่ผมเคยพูดไว้ในหนังสือ วิวัฒน์สมองของคุณ สิ่งที่เราได้เรียนรู้และประสบการณ์ ส่วนใหญ่ถูกหลอมรวมให้เป็น “ตัวตน” ทางชีวภาพของเราที่เราสวมใส่อยู่มันราวกับ เป็นเสื้อผ้า แต่เราก็ต้องตระหนักรู้ด้วยว่าความเป็นจริงในวันนี้อาจไม่จริงในวัน พรุ่งนี้ เช่นเดียวกับที่เราตั้งค�ำถามต่อการรับรู้ที่ว่าอะตอมเป็นสสารที่เป็นของแข็ง ความเป็นจริงและปฏิสัมพันธ์ของเรากับมันได้กลายเป็นความก้าวหน้าทางแนวคิด และความเชื่อ พวกเรายังรับรู้ได้อีกว่าการออกจากวิถีชีวิตที่คุ้นเคยและเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งใหม่นั้น ก็เหมือนกับปลาแซลมอลที่ต้องว่ายทวนกระแสน�้ำซึ่งต้องใช้ ความพยายามอย่างมาก และแน่นอนว่ามันไม่สะดวกสบายใจเอาเสียเลย และเหนือ อื่นใด การเยาะเย้ย การถูกมองว่าเป็นคนนอกชายขอบ การเหยียดหยาม และการ ดูแคลนจากผู้ที่ยังยึดมั่นในแนวคิดเก่าก็เป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอตลอดเส้นทางนี้ ใครบ้างที่ยอมเผชิญกับแรงต้านทานดังกล่าว ในแนวคิดที่พวกเขาไม่อาจ ยอมรับจากสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ แต่สิ่งนั้นก็ยังคงมีชีวิตอยู่ในจิตใจของพวกเขา เช่นกัน กี่ครั้งแล้วในหน้าประวัติศาสตร์ที่มีบุคคลซึ่งถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีต และโง่เขลา ก่อนที่จะใช้สิ่งที่ไม่อาจยอมรับกันได้นี้เปลี่ยนไปเป็นยอดอัจฉริยะ นักบุญ หรือปรมาจารย์ในที่สุด ตัวคุณกล้าพอที่จะเป็นคนต้นแบบเหล่านั้นหรือไม่ ความเปลี่ยนแปลงคือทางเลือกไม่ใช่เพียงการตอบโต้ เหมือนกับว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นมักจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองได้ก็ต่อเมื่อ ทุกอย่างเลวร้ายลงและไม่สะดวกสบาย จนไม่อาจท�ำแบบเดิมได้ตามปกติอีกต่อไป มันเป็นเรื่องจริงในเชิงปัจเจกบุคคล เฉกเช่นเดียวกับในเชิงสังคมด้วย เรามักรอให้ เกิดวิกฤติการณ์ ความทุกข์ ความสูญเสีย โรคภัย และโศกนาฏกรรม ก่อนที่จะหยุด เพื่อมองว่าจริงๆ แล้วเราคือใคร เราท�ำอะไร ใช้ชีวิตแบบไหน เรารู้สึกอะไร และเรา เชื่ออะไร หรือรู้อะไรบ้างกันแน่ เพื่อพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง บ่อยครั้ง
26 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF ที่เราต้องใช้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในการเริ่มการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยสนับสนุน สุขภาพ ความสัมพันธ์ อาชีพ ครอบครัว และอนาคตของเราเอง ข้อความจากผม ก็คือ ท�ำไมต้องรอ เราสามารถเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตอนที่ยังเจ็บปวด และทนทุกข์ทรมาน หรือเราสามารถวิวัฒน์ได้ในตอนที่มีความสุขและเกิดแรงบันดาลใจ แต่ก็มีคน ส่วนใหญ่ที่ชอบโอบรัดเอาอดีตมากกว่า หลังจากนี้เราแค่ต้องตัดสินใจในสิ่งที่อาจ ไม่สะดวกสบายใจบ้างเพื่อท�ำลายกิจวัตรที่คาดเดาได้ และเข้าสู่ห้วงเวลาที่เราไม่รู้ อะไรเลย เราส่วนใหญ่คุ้นชินกับความไม่สะดวกสบายชั่วครู่ของการไม่รู้อะไรกันเลย อยู่แล้ว เราล้มลุกคลุกคลานด้วยความพยายามที่จะอ่านหนังสือตั้งแต่เนิ่นๆ จนกระทั่งทักษะนี้ได้กลายเป็นธรรมชาติแบบที่สองของเราไปในที่สุด เมื่อเราฝึก สีไวโอลินหรือตีกลองเป็นครั้งแรก พ่อแม่คงได้แต่หวังว่าจะได้ส่งเราเข้าไปใน ห้องเก็บเสียง หรืออาจจะรู้สึกสงสารผู้ป่วยเคราะห์ร้ายที่ถูกนักศึกษาแพทย์ที่มี ความรู้ความสามารถเจาะเลือดแต่ยังขาดทักษะที่ได้รับผ่านการฝึกฝนเท่านั้น การซึมซับองค์ความรู้ (การรับรู้) และได้รับประสบการณ์จากการน�ำสิ่งที่ เรียนรู้ไปใช้จนเกิดความช�ำนาญเฉพาะด้านจนฝังแน่นอยู่ในตัวคุณ (การรู้วิธี) นั้น เป็นวิธีที่คุณได้รับเอาความสามารถส่วนใหญ่ที่ในตอนนี้รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็น ส่วนหนึ่งของชีวิตคุณไปแล้ว (ความรอบรู้) ในท�ำนองเดียวกัน การเรียนรู้วิธีที่จะ เปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้และการน�ำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ด้วย นั่นคือเหตุผลที่หนังสือเล่มนี้ถูกแบ่งเนื้อหาที่ครอบคลุมออกเป็นสามส่วน ในส่วนที่ 1 และ 2 ผมจะสร้างแนวคิดอย่างเป็นล�ำดับขั้นตอนเพื่อสร้างโมเดล ที่ใหญ่กว่าและลึกกว่าให้เป็นแบบเฉพาะของคุณ หากแนวคิดบางอย่างดูซ�้ำๆ ซากๆ ซึ่งมีอยู่ในเนื้อหานั้นก็เพื่อ “ย�้ำเตือน” ในสิ่งที่ผมไม่อยากให้คุณลืมเลือน มันไป การท�ำซ�้ำๆ จะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้วงจรในสมองได้สร้างการเชื่อมต่อที่ เข้มแข็งขึ้นเพื่อที่ว่าในเวลาที่อ่อนแอที่สุด คุณจะไม่กล่อมตัวเองให้ล้มเลิกเสียก่อน ที่จะบรรลุความเป็นเลิศ เมื่อคุณท�ำความเข้าใจในส่วนที่ 3 ของหนังสือด้วยองค์ ความรู้ที่แน่นพอ คุณจะสัมผัสได้ถึง “ความเป็นจริง” ของประสบการณ์ที่คุณได้ เรียนรู้มาก่อนหน้านี้ด้วยตัวคุณเอง
ทลายนิสัยเก่า 27 ส่วนที่ 1 วิทยาศาสตร์ของตัวคุณ การส�ำรวจของเราจะเริ่มต้นด้วยภาพรวมของกระบวนทัศน์เชิงปรัชญาและ วิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับธรรมชาติของความเป็นจริงที่ว่า ตัวคุณเป็นใคร เหตุใดการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องยากส�ำหรับหลายคน และสิ่งที่ เป็นไปได้ส�ำหรับคุณในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ส่วนที่ 1 จะอ่านได้ง่ายมาก ผมให้สัญญา ครับ — บทที่ 1: ควอนตัมกับคุณ ผมจะแนะน�ำคุณให้รู้จักกับควอนตัมฟิสิกส์ สักเล็กน้อย แต่ไม่ต้องตกใจไปครับ ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องนี้เพราะเป็นสิ่งส�ำคัญที่คุณ ต้องเริ่มยอมรับแนวคิดที่ว่าจิตของคุณ (นามธรรม) มีผลกระทบต่อโลกภายนอก (รูปธรรม) ของคุณ ปฏิกิริยาของผู้สังเกต (Observer Effect) ในศาสตร์ด้านควอน ตัมฟิสิกส์นั้นระบุเอาไว้ว่าที่ที่ความสนใจมุ่งไปคือที่ที่พลังงานถูกส่งต่อไป ผลลัพธ์ คือคุณส่งผลกระทบต่อโลกแห่งรูปธรรม (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพลังงาน) หากคุณ สนใจใคร่รู้ต่อแนวคิดแบบนี้แม้เพียงชั่วครู่ คุณอาจเริ่มสนใจสิ่งที่คุณต้องการแทนที่ จะเป็นสิ่งที่คุณไม่ต้องการ และคุณอาจพบว่าตัวเองก�ำลังครุ่นคิดอยู่ในมุมมองที่ว่า หากร้อยละ 99.99999 คือพลังงานและมีสสารทางกายภาพเพียงร้อยละ 0.00001 ก็ แทบจะไม่มีผลอะไรเลย แล้วท�ำไมผมถึงต้องไปให้ความสนใจกับโลกทางกายภาพ เพียงเสี้ยวเล็กๆ นั่นล่ะ ในเมื่อตัวเราเป็นได้มากกว่านั้น หรือว่าด้วยวิธีการรับรู้ความ เป็นจริงของปัจจุบันผ่านประสาทสัมผัสเองนั้นจะเป็นข้อจ�ำกัดใหญ่ที่สุดของเรา ในบทที่ 2 ถึง 4 เราจะดูว่าอะไรท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เพื่อให้ก้าว ข้ามสิ่งแวดล้อม ร่างกายและเวลา — ตัวคุณอาจจะรู้สึกสนุกกับแนวคิดที่ว่าความคิดสามารถสร้างชีวิตของ คุณได้ แต่ใน บทที่ 2 เรื่องการเอาชนะสภาพแวดล้อม ผมจะพูดคุยเกี่ยวกับวิธี การที่เราปล่อยให้โลกภายนอกควบคุมวิธีที่เราคิด และรู้สึกโลกภายนอกจะออกแบบ วงจรสมองของคุณจนท�ำให้คุณคิดได้อย่าง “เท่าเทียม” กับทุกสิ่งที่คุ้นเคยกับคุณ ผลลัพธ์คือคุณสร้างสิ่งเดิมมากขึ้น คุณจะยิ่งเชื่อมโยงสมองให้สะท้อนปัญหาภาวะ การณ์ในปัจจุบัน และเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของคุณ ดังนั้นการจะเริ่มเปลี่ยนแปลง ได้คุณต้องไปให้ไกลกว่าทุกอย่างในโลกเชิงกายภาพของคุณก่อน
28 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF — บทที่ 3: การเอาชนะต่อร่างกาย เราจะยังคงเฝ้าดูว่าตนเองใช้ชีวิต อย่างไรโดยไม่มีสติระลึกรู้ด้วยชุดของพฤติกรรม ความคิด และการตอบสนอง ทางอารมณ์ที่จดจ�ำได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นเหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ท�ำงานอยู่ เบื้องหลังฉากของสติแห่งการตื่นรู้ นั่นเป็นสาเหตุว่าท�ำไมการ “คิดบวก” จึงไม่ เพียงพอ เพราะส่วนใหญ่ของตัวคนที่เราเป็นนั้นจะหลบหลีกเข้าสู่ห้วงแห่งจิตใต้ส�ำนึก จนส่งผลในเชิงลบต่อร่างกาย ในตอนท้ายของหนังสือเล่มนี้ คุณจะรู้วิธีการเข้าสู่ระบบ ปฏิบัติการของจิตใต้ส�ำนึกและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรในจุดที่โปรแกรม เหล่านั้นด�ำรงอยู่ — บทที่ 4: การเอาชนะเวลา บทนี้จะส�ำรวจว่าเราใช้ชีวิตอย่างไรโดย คาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคตหรือหวนคิดถึงความทรงจ�ำในอดีตซ�้ำๆ (หรือทั้ง สองอย่าง) จนกว่าร่างกายจะเริ่มเชื่อว่าตัวของมันอาศัยอยู่ในห้วงเวลาอื่นที่ไม่ใช่ ในปัจจุบัน งานวิจัยล่าสุดสนับสนุนแนวคิดที่ว่าเราทุกคนต่างมีความสามารถโดย ธรรมชาติในการเปลี่ยนแปลงสมองและร่างกายด้วยใช้ความคิดเพียงอย่างเดียว ฉะนั้นมันจึงดูเหมือนว่า โลกชีวภาพของเราจะเชื่อว่าเหตุการณ์ในอนาคตได้เกิดขึ้น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากคุณสามารถท�ำให้ความคิดกลายเป็นจริงได้มากกว่า สิ่งอื่นใดแล้ว คุณจึงสามารถเปลี่ยนตัวตนของคุณจากเซลล์สมองสู่ยีนได้หากมี ความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อคุณเรียนรู้วิธีการที่ใช้ความใส่ใจและเข้าสู่ห้วงแห่งปัจจุบัน คุณจะก้าวเข้าสู่ประตูของสนามควอนตัมที่ซึ่งทุกความเป็นไปได้ด�ำรงอยู่ — บทที่ 5: การใช้ชีวิตแค่เอาตัวรอดกับการสร้างสรรค์ บทนี้จะแสดง ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการใช้ชีวิตแบบการเอาตัวรอดและการมีชีวิตอยู่ด้วย การสร้างสรรค์ การใช้ชีวิตแบบการเอาตัวรอดน�ำมาซึ่งความเครียดและการท�ำงาน แบบเอาวัตถุนิยมเป็นที่ตั้ง โดยเชื่อว่าโลกภายนอกนั้นเป็นจริงมากกว่าโลกภายใน เมื่อคุณใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของระบบประสาทแบบสู้หรือหนี มันคือความ มึนเมาที่ถูกควบคุมด้วยส่วนผสมอันหลากหลายของสารเคมี ที่สั่งให้คุณท�ำงาน คุณ จะถูกตั้งโปรแกรมให้สนใจเฉพาะแต่เรื่องของร่างกาย สิ่งของ หรือผู้คนในสภาพ แวดล้อมของคุณ และการหมกมุ่นอยู่กับเวลา จนท�ำให้สมองและร่างกายของคุณ ขาดสมดุล คุณก�ำลังใช้ชีวิตในแบบที่คาดเดาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อคุณได้อยู่ในภาวะ แห่งการสร้างสรรค์อันสง่างามอย่างแท้จริงแล้ว คุณจะไร้รูป ไร้สิ่งของ ไร้กาลเวลา
ทลายนิสัยเก่า 29 —คุณได้หลงลืมตัวตนทั้งหมดไป คุณจะกลายเป็นจิตส�ำนึกรู้อันบริสุทธิ์ ปราศจาก โซ่ตรวนของตัวตนที่ต้องการความเป็นจริงภายนอกมาเพื่อจดจ�ำว่าตัวเองคือใคร ส่วนที่ 2 สมองและการท�ำสมาธิของคุณ — ใน บทที่ 6: สมองสามส่วน จากการคิด ไปสู่การลงมือทำ แล้วไป สู่การเป็นอยู่ในที่สุด คุณจะโอบรับเอาแนวคิดที่ว่าตนมี “สมอง” สามส่วนที่ช่วย ให้คุณเปลี่ยนจากการคิดไปสู่การลงมือท�ำแล้วไปสู่การเป็นอยู่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อ คุณมุ่งความสนใจไปที่การกีดกันตัวเองออกจากสภาพแวดล้อม ร่างกาย และกาล เวลาของคุณ คุณจะสามารถเปลี่ยนจากการคิดไปสู่การเป็นอยู่ได้โดยไม่ต้องท�ำอะไร เพิ่มเติมเลย ในสภาพจิตเช่นนั้น สมองของคุณจะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่าง ระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงภายนอกกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งจิต ภายใน ดังนั้นหากคุณสามารถฝึกฝนประสบการณ์ที่ปรารถนาผ่านความคิดเพียง อย่างเดียว คุณจะได้ประสบกับอารมณ์ของเหตุการณ์นั้นก่อนที่มันจะแสดงออกมา ทางกายภาพ ตอนนี้คุณก�ำลังก้าวเข้าสู่สภาวะใหม่ เพราะจิตและร่างกายของคุณ ท�ำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่ความเป็นจริงใน อนาคตก�ำลังเกิดขึ้นกับคุณในขณะที่คุณก�ำลังจดจ่ออยู่กับมัน คุณก�ำลังสร้างนิสัย ทัศนคติ และโปรแกรมจิตใต้ส�ำนึกอื่นๆ ที่ไม่ต้องการขึ้นมาใหม่โดยอัตโนมัติ — บทที่ 7: ช่องว่าง บทนี้จะส�ำรวจวิธีหลุดพ้นจากห้วงอารมณ์ที่คุณจดจ�ำ เอาไว้จนมันกลายเป็นบุคลิกภาพของคุณ และวิธีปิดช่องว่างระหว่างตัวตนที่คุณเป็น จริงๆ ในโลกภายในและวิธีที่คุณแสดงออกมายังโลกของสังคมภายนอก เราทุกคน ไปถึงจุดหนึ่งที่ได้หยุดการเรียนรู้ลงและตระหนักได้ว่า ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกมา พรากความรู้สึกเหล่านั้นไปจากอดีตของเราได้ หากคุณสามารถคาดเดาความรู้สึก ของทุกประสบการณ์ในชีวิตได้ มันก็คงไม่มีพื้นที่ใหม่ๆ ปรากฏขึ้น เพราะคุณก�ำลัง มองชีวิตผ่านอดีตแทนที่จะเป็นอนาคต นี่คือจุดเชื่อมต่อที่วิญญาณจะหลุดพ้นหรือ หลงลืมไป คุณจะได้เรียนรู้ที่จะปลดปล่อยพลังงานในรูปแบบของอารมณ์ และลด ช่องว่างระหว่างวิธีที่คุณแสดงออก และคนที่คุณเป็นจริงๆ ในที่สุดคุณจะสร้างความ แจ่มชัดในตัวตนขึ้นได้ เมื่อวิธีที่คุณแสดงออกคือตัวตนของคุณจริงๆ คุณจึงจะเป็น อิสระอย่างแท้จริง
30 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF — ส่วนที่สองจบลงด้วย บทที่ 8: การทำสมาธิ เข้าสู่ห้วงแห่งความลึกลับ และคลื่นแห่งอนาคตของคุณ ซึ่งจุดประสงค์ของผมนั้นคือการท�ำให้เรื่องการท�ำสมาธิ กระจ่างขึ้น เพื่อให้คุณรู้ว่าคุณท�ำอะไร และท�ำไปท�ำไม การพูดคุยเรื่องเทคโนโลยี คลื่นสมอง เพื่อท�ำให้ง่ายขึ้น ผมจะแสดงให้คุณเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงทาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในสมองของคุณจะเกิดขึ้นอย่างไรบ้างเมื่อคุณมีสมาธิเทียบกับ ตอนที่คุณอยู่ในสภาวะที่ถูกกระตุ้นเนื่องจากความเครียดในชีวิต คุณจะได้เรียนรู้ว่า เป้าหมายที่แท้จริงของการท�ำสมาธิก็เพื่อก้าวผ่านจิตวิเคราะห์และเข้าสู่ห้วงแห่ง จิตใต้ส�ำนึก เพื่อให้คุณสามารถท�ำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและเกิดอย่างถาวรได้ หากคุณลุกขึ้นจากการท�ำสมาธิแล้วกลายเป็นคนแบบเดิมจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ในทุกระดับ แต่เมื่อคุณนั่งสมาธิและเชื่อมต่อกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คุณจะสามารถ สร้าง และจดจ�ำการสอดประสานระหว่างความคิดและความรู้สึก ที่ไม่มีอะไรในความ เป็นจริงจากโลกภายนอก ไม่มีสิ่งใด ไม่มีใคร ไม่มีสภาวะใด ในทุกพื้นที่ และเวลา ใด จนคุณสามารถเคลื่อนเข้าสู่ระดับพลังงานที่สูงขึ้น จนถึงตอนนี้คุณก็เชี่ยวชาญใน เรื่องการก้าวข้ามสภาพแวดล้อม ร่างกาย และเวลาได้แล้ว ส่วนที่ 3 ก้าวสู่ชะตาใหม่ของตัวคุณ ข้อมูลทั้งหมด ในเนื้อหาส่วนที่ 1 และ 2 ถูกออกแบบมาเพื่อให้คุณได้รับ ความรู้เท่าที่จ�ำเป็นเพื่อที่จะน�ำไปใช้ได้ ในส่วนที่ 3 นั่นเป็นเรื่องของ “วิธีการ” ที่ คุณจะได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรงที่ได้รับการสั่งสอนมา เนื้อหาส่วนที่ 3 เป็นเรื่อง เกี่ยวกับการฝึกวินัยให้กับตนเองซึ่งเป็นแบบฝึกฝนที่ดีต่อจิตเพื่อการน�ำมาใช้ในชีวิต ประจ�ำวัน มันเป็นกระบวนการท�ำสมาธิแบบเป็นล�ำดับขั้นตอน เพื่อที่คุณจะได้น�ำ ทฤษฎีต่างๆ มาใช้งานได้จริง อย่างไรก็ตามจิตของคุณเองก็เริ่มชะงักตอนที่ผมพูดถึงหลายต่อหลายขั้น ตอนแล้วหรือไม่ หากว่ามันเป็นเช่นนั้น นี่ไม่ใช่แบบที่คุณคิดหรอกครับ แน่นอนว่า คุณจะได้เรียนรู้ขั้นตอนการลงมือท�ำ แต่คุณจะได้ประสบการณ์จากเพียงหนึ่งหรือ สองขั้นตอนอันเรียบง่าย อย่างไรก็ตามสิ่งที่คุณสามารถลงมือท�ำได้หลายอย่างใน ระหว่างเตรียมขับรถทุกครั้ง (เช่น ปรับเบาะนั่ง รัดเข็มขัดนิรภัย เช็กกระจกมองหลัง ติดเครื่องยนต์ เปิดไฟ มองไปรอบๆ เปิดไฟเลี้ยวรถ เหยียบเบรก ขับรถไปข้างหน้า
ทลายนิสัยเก่า 31 หรือถอยหลัง และอื่นๆ อีกมากมาย) นับตั้งแต่วันที่คุณเรียนรู้เรื่องการขับรถ คุณ ก็ได้ลงมือท�ำขั้นตอนเหล่านี้อย่างง่ายดาย และเป็นไปแบบอัตโนมัติ ผมขอยืนยัน เลยว่ามันก็จะคล้ายๆ กัน เมื่อคุณได้เรียนรู้แต่ละขั้นตอนในเนื้อหาส่วนที่ 3 คุณอาจถามตัวเองว่า แล้วท�ำไมตนเองจะต้องอ่านเนื้อหาส่วนที่ 1 และ 2 ด้วยล่ะเนี่ย อยากจะข้ามไปส่วนที่ 3 เลยก็แล้วกันได้ไหม ผมรู้เพราะตัวผมเองก็อาจ จะท�ำแบบนั้นเช่นกัน ผมตัดสินใจน�ำเสนอองค์ความรู้ที่จ�ำต้องอ่านใน 2 ส่วนแรก เพื่อที่ว่าเมื่อคุณอ่านถึงส่วนที่ 3 แล้วมันจะไม่มีอะไรเหลือให้ต้องคาดเดาอีก กฏเกณฑ์ที่ต้องเชื่อหรือสงสัย เมื่อคุณเริ่มขั้นตอนการท�ำสมาธิ คุณจะเข้าใจได้ ทันทีว่า คุณก�ำลังท�ำอะไรและเพื่ออะไร เมื่อคุณเข้าใจว่าอะไรและท�ำไม คุณก็จะยิ่ง รู้มากขึ้น และจากนั้นคุณก็จะยิ่งเข้าใจได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือท�ำ ฉะนั้นคุณก็จะได้พลังและก�ำลังใจจากประสบการณ์การปฏิบัติจนเปลี่ยนแปลงจิตได้ อย่างแท้จริง ด้วยการใช้ขั้นตอนต่างๆ ในเนื้อหาส่วนที่ 3 คุณมีแนวโน้มที่จะยอมรับความ สามารถจากภายในเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียกว่าสถานการณ์ที่ไม่มีทางเป็นไปได้ใน ชีวิต คุณอาจยินยอมให้ตนเองเบิกบานกับความเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่คุณไม่เคยพินิจแนวคิดใหม่นี้มาก่อนและคุณอาจเริ่มต้นท�ำในสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ! นี่คือเป้าหมายส�ำหรับคุณเมื่อคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว ดังนั้นหากคุณสามารถอดกลั้นต่อการล่อลวงได้ดีพอให้ข้ามไปยังเนื้อหา ในส่วนที่ 3 ได้เลย ผมขอสัญญาว่าเมื่อคุณอ่านไปถึงแล้ว คุณจะรู้สึกได้รับพลัง บางอย่างจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ผมเห็นว่าแนวทางนี้ได้ผลดีจากการจัดอบรม เชิงปฏิบัติการทั้ง 3 แนวทางไปทั่วโลกซึ่งผมท�ำมาโดยตลอด เมื่อคุณมีองค์ความรู้ ที่ถูกต้องในแนวทางที่คุณเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ และมีโอกาสที่จะได้รับค�ำแนะน�ำ อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อน�ำสิ่งที่เข้าใจไปใช้งาน จากนั้นราวกับมีเวทมนตร์เกิดขึ้น ความพยายามของคุณจะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นผลสะท้อนกลับต่อชีวิตของ คุณเอง ส่วนที่ 3 ของหนังสือเล่มนี้จะมอบทักษะในการท�ำสมาธิเพื่อเปลี่ยนแปลง บางสิ่งที่อยู่ในจิตและร่างกาย เพื่อสร้างผลลัพธ์ของคุณ เมื่อคุณสามารถสังเกตเห็น สิ่งที่ตัวตนภายในสร้างขึ้นจนกลายเป็นผลลัพธ์ภายนอก คุณก็จะลงมือท�ำมันอีกครั้ง เมื่อประสบการณ์ใหม่ๆ ปรากฏขึ้นในชีวิต รวมทั้งพลังงานที่คุณรู้สึกถึงมันได้ใน
32 BREAKING THE HABIT OF BEING YOURSELF รูปแบบของห้วงอารมณ์ระดับสูง อย่างเช่น การมีพลัง การย�ำเกรง หรือความรู้สึก ซาบซึ้งอย่างเข้มข้น และพลังงานเหล่านั้นเองจะผลักดันให้คุณท�ำซ�้ำมันได้อีกเรื่อยๆ ถึงตอนนี้คุณก็อยู่บนเส้นทางแห่งการวิวัฒน์อย่างแท้จริงแล้ว แต่ละขั้นตอนของการท�ำสมาธิในส่วนที่ 3 นั้นจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ซึ่งกล่าวถึงในช่วงต้นของหนังสือ เพราะคุณจะเข้าใจความหมายแท้จริง ของสิ่งที่คุณก�ำลังท�ำอยู่ สิ่งนี้จะไม่สร้างความคลุมเครือใดๆ ที่จะท�ำให้คุณสูญเสีย วิสัยทัศน์ของตนไปได้ คล้ายกับหลายๆ ทักษะที่คุณเคยเรียนรู้มา ในช่วงแรกมันจ�ำเป็นต้องใช้ ความพยายามอย่างมากเพื่อมุ่งความสนใจในสิ่งที่เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการนั่งสมาธิเพื่อ พัฒนาสมองของคุณ ในกระบวนการนี้คุณจะต้องยับยั้งตัวเองจากพฤติกรรมแบบ เดิมและคงแนวคิดในสิ่งที่ก�ำลังท�ำอยู่ โดยไม่หลงไปกับสิ่งเร้าภายนอก ดังนั้นการ กระท�ำของคุณจึงสอดคล้องกับความตั้งใจของคุณ ก็เหมือนตอนที่คุณเคยประสบมาตอนเรียนท�ำอาหารไทย เล่นกอล์ฟ เต้นซัลซ่า ขับรถเกียร์กระปุกเป็นครั้งแรก ความใหม่เอี่ยมเหล่านี้จ�ำต้องอาศัย การฝึกฝนทักษะเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง ฝึกฝนร่างกาย และจิตใจ เพื่อจดจ�ำใน แต่ละขั้นตอน โปรดพึงระลึกไว้ว่าค�ำแนะน�ำส่วนใหญ่ถูกตีกรอบมาให้พอเหมาะพอเจาะ ต่อร่างกาย และจิตใจเพื่อให้ทั้งสองส่วนท�ำงานไปพร้อมกัน เมื่อตัวคุณ “เข้าใจ” ในแต่ละขั้นตอน คุณจะพบว่าทุกอย่างเป็นล�ำดับขั้นตอนเดียวกันอย่างไหลลื่น วิธีการต่างๆ เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แล้วมุ่งไปสู่การกระท�ำที่เรียบง่ายและ เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือประเด็นในการเป็นเจ้าของทักษะใดทักษะหนึ่งโดยเชิงปัจเจก ในบางครั้ง ความเพียรพยายามอาจเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าคุณยังคงมีเจตจ�ำนง และพลังงานในระดับหนึ่งอย่างต่อเนื่องแล้ว แน่นอนว่าคุณจะได้รับผลลัพธ์ เมื่อคุณรู้ว่าตัวเองนั้นรู้ถึง “วิธีการ” ที่จะท�ำอะไรบางอย่าง คุณก�ำลังอยู่บน เส้นทางแห่งการเป็นผู้เชี่ยวชาญต่อสิ่งนั้นแล้ว ผมมีความสุขอย่างมากที่จะบอกว่า มีหลายคนบนโลกต่างก�ำลังใช้องค์ความรู้ที่มากล้นในหนังสือเล่มนี้เพื่อเปลี่ยนแปลง ชีวิตของตัวเอง ความปรารถนาอย่างจริงใจของผมคืออยากให้คุณทลายนิสัยเก่าแล้ว เปลี่ยนตนเองเป็นคนใหม่และสร้างชีวิตใหม่ในแบบที่คุณต้องการ เรามาเริ่มกันเลยครับ....