กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ : เรียบเรียง
บรรณาธิการ : นิคม ชาวเรือ กองบรรณาธิการ : สุภาภรณ์ สว่างจันทร์, วลัยกร เต็มขันท์, ปวันรัตน์ เกียรติธีรชัย รูปเล่ม : สุพรรษา เฮงปถม ออกแบบปก : ชมพูนุช ขอดคำ พิสูจน์อักษร : ชุติมา ชุณหะชา ฝ่ายขาย : ณลิณพรรณ เผ่าพันธุ์ขาว ผู้จัดการทั่วไป : เดือนนภา สุรามิตร จัดจำ หน่ายทั่วประเทศโดย บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำ กัด 108 หมู่ที่ 2 ถ.บางกรวย-จงถนอม ต.มหาสวัสดิ์ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130 โทรศัพท์ 02-423-9999 โทรสาร 02-449-9561-3 www.naiin.com พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์ มติชน บริษัท มติชน จำ กัด(มหาชน) 12 ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.10900 โทรศัพท์ 02 580 0020 ต่อ 2424, 2419 E-mail : [email protected] © สงวนลิขสิทธิ์โดย บริษัท แอร์โรว์ มัลติมีเดีย จำ�กัด ห้ามนำ�ส่วนหนึ่งส่วนใดของหนังสือเล่มนี้ไปลอกเลียน ทำ�สำ�เนา ถ่ายเอกสาร หรือนำ�ไปเผยแพร่ใน อินเทอร์เน็ต หรือสื่อต่างๆ ไม่ว่าในรูปแบบใด นอกจากได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ข้อมูลทางบรรณานุกรม กิตติ, โล่ห์เพชรัตน์. กำ เนิดนามสกุลคนไทย.—กรุงเทพฯ : แอร์โรว์, 2566. 264 หน้า. 1. ประวัติศาสตร์ I. กิตติ โล่ห์เพชรัตน์, II. ชื่อเรื่อง. ISBN 978-616-434-366-5 สำ นักพิมพ์ก้าวแรก ในเครือบริษัท แอร์โรว์ มัลติมีเดีย จำ กัด เลขที่ 1 ถนนกำแพงเพชร 5 แยก 6 (โกสุมนิเวศน์ ซ.2) แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-573-6584, 065-403-7466 โทรสาร 02-573-6585 Email : [email protected] Line ID : @arrow11 www.arrowmultimedia.co.th กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ : เรียบเรียง พิมพ์ พ.ศ. 2566 ราคา 250 บาท กำ�เนิดนามสกุลคนไทย
คำ�นำ�ผู้เขียน มนุษย์จะอยู่เพียงลำ พังไม่ได้ ด้วยมนุษย์ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเพื่อน มนุษย์เพื่อความอยู่รอด ทำ ให้มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กัน และมีความสัมพันธ์กับสังคมนั้นๆ ในระบบความสัมพันธ์นั้น ครอบครัว ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นจุดเล็กๆ แล้วขยายไปสู่วงที่กว้างขึ้น ความสัมพันธ์ถือเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มบุคคลในสังคมนั้นๆ เพราะพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมามีผลเกี่ยวข้องกับสังคมที่ มนุษย์อาศัยอยู่ สิ่งที่มนุษย์แสดงออกมาเป็นวิถีชีวิตที่ถูกสืบทอดมา จากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นไปในรูปแบบความเชื่อ ประเพณี ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม และข้อปฏิบัติต่างๆ ระบบความสัมพันธ์ภายในสังคมจึงมีบทบาทสำคัญในการ สร้างสรรค์บุคคล ให้มีพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่ม มีความ ผูกพันของคนในกลุ่ม ด้วยมีกฎระเบียบเป็นตัวกำหนดบทบาทหน้าที่ของ มนุษย์ในสังคมนั้นๆ สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์ คือ “สาย เลือด” หรือ “สายโลหิต” ที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมายาวนาน เลือดเนื้อเชื้อไข เป็นสิ่งที่ยึดโยงเชื่อมต่อกันของกลุ่มสังคมนั้นๆ
ความเป็นญาติในตระกูลเดียวกันจากทางสายโลหิต อย่างเช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ จนไปถึงลูก หลาน จนไปถึงการเป็น ญาติทางการสมรส เป็นการเข้ามาอยู่ในสกุลเดียวกัน ในสมัยโบราณยากที่คนภายนอกจะรู้ได้ว่าใครเกี่ยวดองกับใคร แม้แต่บางคนก็ไม่รู้ว่าตนนั้นสืบสายเลือดหรือมีผู้ใดเป็นบรรพบุรุษ เพราะ ด้วยกาลเวลาที่ยาวนาน ทำให้มีการแตกแยกสาขาออกไปหลายสาย เรื่องสายเลือดนี้ต่อมาได้เกิดมี “นามสกุล” ขึ้น เพื่อใช้เป็นหลัก ยึดว่าคนผู้นี้มีความเกี่ยวดองกับคนนั้น โดยมีการลำดับญาติวงศ์กันให้รู้ ว่าใครเป็นผู้ใหญ่ใครเป็นผู้น้อย ทำให้ความสัมพันธ์แบบชาติตระกูลเป็น ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ซึ่งมีความกว้างขวางกว่าความสัมพันธ์ใน แบบครัวเรือน “นามสกุล” คือ ชื่อบอกสกุลหรือตระกูล เพื่อแสดงที่มาของบุคคล นั้นๆ ว่ามาจากครอบครัวใดหรือมาจากตระกูลใด คำว่า “สกุล” หรือ “ตระกูล” เป็นคำที่มีคำแปลอย่างเดียวกัน โดยในพจนานุกรม แปลว่า “วงศ์ เชื้อสาย เผ่าพันธุ์” แต่คำว่าสกุลยัง หมายถึง “ผู้มีเชื้อชาติที่ดี” “สกุล” เมื่อมีการกำหนดว่าอย่างไรแล้ว สมาชิกในสกุลหรือ ตระกูลนั้นก็ใช้ชื่อสกุลดังกล่าวร่วมกัน เรียกว่านามสกุล หรือชื่อสกุล การมีนามสกุลทำให้สามารถพอจะบอกได้ว่า คนนั้นเป็นญาติ กับคนนู้น คนนู้นเป็นญาติกับคนนั้น เพราะพวกเขาใช้นามสกุลเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่แน่นอนเสมอไป เพราะขึ้นอยู่กับหลาย สาเหตุหลายปัจจัย ตัวอย่าง เช่น หญิงในสกุลหนึ่งแต่งงานแล้วไปใช้ นามสกุลของสามี, ชายคนหนึ่งไปขอลูกเพื่อนมาเป็นลูกบุญธรรม แล้วให้ เด็กคนนั้นใช้นามสกุลของตน, คนที่ไม่ใช่ญาติกัน แต่ขออนุญาตเจ้าของ นามสกุลหนึ่งเพื่อใช้นามสกุล เป็นต้น
กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ 7 หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวการสืบสกุลโดยทางสาย เลือดของไทย (ซึ่งมักจะนับการสืบเชื้อสายจากทางฝ่ายชาย) ตั้งแต่พระเจ้า แผ่นดินจนไปถึงสามัญชน จนกระทั่งมีพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ขึ้น ทำให้การสืบสายเลือดของตระกูลต่างๆ มีความกระจ่างชัดขึ้น โดยมีเกร็ดประวัติของสกุลต่างๆ อีกทั้งการใช้นามสกุลที่เปลี่ยนแปลงไป ในปัจจุบัน ผู้เขียนหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านไม่มาก ก็น้อย และผู้เขียนหวังว่าผู้อ่านจะได้ทั้งความรู้ ความสนุก และเพลิดเพลิน ไปกับเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับนามสกุลของคนไทย หากมีข้อผิดพลาด ประการใด ผู้เขียนต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ด้วยความเคารพรักยิ่ง กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ หมายเหตุ : ผู้เขียนขอขอบคุณรูปภาพจากแหล่งต่างๆ ที่นำ มาประกอบ ในหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นอย่างสูง
คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ นับตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 คนไทยไม่มีการใช้นามสกุล คนไทยจะใช้เพียงชื่อเรียกพยางค์เดียวเพื่อให้ง่ายต่อการเรียก แต่ด้วยการ ที่ตั้งชื่อซ้ำ ๆ กันก็เริ่มมีปัญหาเพราะการจะสืบหาหรือระบุเจาะจงว่าคน ผู้นั้นเป็นใครต้องอาศัยการอ้างไปถึงพ่อแม่ผู้ให้กำ เนิดหรืออาจจะระบุ ตัวตนผิดพลาดได้เช่นกัน ด้วยเหตุที่มีความยุ่งยากดังกล่าวประเทศไทย จึงเริ่มมีการกำ หนดให้ประชาชนได้ใช้นามสกุลเป็นครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 หนังสือ “กำเนิดนามสกุลคนไทย” เล่มนี้จึงได้รวบรวมเรื่อง ราวการสืบสกุลตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดินไปจนถึงสามัญชน รวมไปถึงเกร็ด ประวัติน่ารู้ที่ควรอ่านซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจกระจ่างชัดขึ้นในแหล่งที่มา และความสำคัญของการสืบสกุล สำนักพิมพ์แอร์โรว์
สารบัญ บทที่ 1 | นานาน่ารู้เบื้องต้น 14 - การสืบราชสันตติวงศ์สมัยกรุงศรีฯ 14 - การสืบราชสมบัติสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 16 - จากวังหน้าสู่สยามมกุฎราชกุมาร 17 - กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 18 - การสืบราชสมบัติหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 22 - คำสำ คัญต่างๆ ที่ควรรู้ 24 บทที่ 2 | บรรพบุรุษต้นราชวงศ์จักรี 31 - “เจ้าแม่วัดดุสิต” บรรพบุรุษแห่งราชวงศ์จักรี 31 - “ออกญาโกษาธิบดี (ปาน)” ผู้เป็นต้นราชวงศ์จักรี 35 บทที่ 3 การสืบราชสันตติวงศ์สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-4) 41 - ผลัดแผ่นดินจากราชวงศ์หนึ่งสู่อีกราชวงศ์หนึ่ง 41 - ผลัดแผ่นดินครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 45 - ผลัดแผ่นดินออกนอกสายตรง 46 - ผลัดแผ่นดินกลับมาสู่สายตรง 53
บทที่ 4 การสืบราชสันตติวงศ์ สมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 56 - ผลัดแผ่นดินจากพ่อสู่ลูก (สายตรง) 56 - ผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์สืบต่อจากพระปิยมหาราช 58 - วิกฤตการณ์วังหน้า (วังหน้าองค์สุดท้าย) 67 - ตำแหน่งสยามมกุฎราชกุมาร (องค์รัชทายาท) 70 - ผลัดแผ่นดินจากพ่อสู่ลูก (สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกที่ครองแผ่นดิน) 73 บทที่ 5 การสืบราชสันตติวงศ์ สมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8 78 - ผลัดแผ่นดินจากพี่สู่น้อง (ที่ไม่คาดคิด) 78 - เจ้านายผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ 83 - การสืบราชสันตติวงศ์กับการเมืองขณะนั้น 86 - เจ้านายพระองค์น้อยเสด็จขึ้นครองแผ่นดิน (ผลัดแผ่นดินจากอาสู่หลาน) 90 บทที่ 6 การสืบราชสันตติวงศ์สู่รัชกาลที่ 9 และรัชกาลปัจจุบัน 91 - ผลัดแผ่นดินจากพี่สู่น้อง 91 - พระราชโอรสแห่งราชบัลลังก์ 93 - อัญเชิญเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณขึ้นครองราชย์ 95 บทที่ 7 | สายพระโลหิตแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 101 - พระราชประวัติความเป็นมาของราชวงศ์จักรี 101 - เจ้าเหนือหัวทรงมีเชื้อสายมังกร 102
- อิทธิพลแบบจีน และแซ่แต้กับราชวงศ์จักรี 114 - เชื้อสายจีนในสายพระโลหิต 117 บทที่ 8 | จุดกำ�เนิดนามสกุลคนไทย 120 - พระราชวิสัยทัศน์อันทันสมัยของรัชกาลที่ 6 120 - พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 122 บทที่ 9 | นามสกุลพระราชทาน 128 - พระราชประสงค์ในการพระราชทานนามสกุล 128 - 6,464 นามสกุลพระราชทาน 130 - คนไทยคนแรกที่มีนามสกุล 131 - พระปรีชาญาณในการตั้งนามสกุล 135 - นามสกุลจากราชทินนาม 140 - พระราชทานนามสกุลให้แก่สามัญชน 145 - การปกป้องนามสกุลพระราชทาน 148 บทที่ 10 ราชตระกูล ราชสกุล บวรราชสกุล และราชินิกุล 149 - ราชตระกูลสายพระปฐมวงศ์ 149 - ราชสกุลพระบรมราชจักรีวงศ์ 150 - บวรราชสกุลสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 164 - ราชินิกุลที่ควรรู้จัก 168
บทที่ 11 | สกุลที่ขึ้นต้นด้วย “ณ” 171 - ณ อยุธยา 171 - นามสกุล “ณ” ที่ตามด้วยชื่อเมือง 174 บทที่ 12 | สกุลที่มีความใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดิน 182 - “พึ่งบุญ” ราชสกุลที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ 182 - “สุจริตกุล” ราชินิกุลที่แนบแน่นกับราชวงศ์จักรี 184 - “ชุมพล” ราชสกุลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย 186 - “อมาตยกุล” สกุลเก่าแก่ที่สนองพระเดชพระคุณ 188 - “วัชโรทัย” สกุลที่รั้งตำแหน่งเจ้ากรมภูษามาลา 189 บทที่ 13 | สกุลขุนนางที่ยิ่งใหญ่ 192 - ต้นสกุลบุนนาค 192 - ตระกูลที่มีบทบาทสำ คัญต่อการเมืองการปกครองไทย 195 - ตระกูลที่มีอำ นาจล้นฟ้า แต่ซื่อตรงและจงรักภักดี 202 บทที่ 14 | สกุลพราหมณ์ในประเทศไทย 207 - พราหมณ์หลวงในสมัยโบราณ 207 - จากต้นตระกูลฤๅษีสู่การเป็นสกุลพราหมณ์หลวง 211 - สกุลพราหมณ์ต่างๆ ในประเทศไทย 213 บทที่ 15 | ตระกูลแซ่-นามสกุล ของคนไทยเชื้อสายจีน 215 - เชื้อสายจีนที่มีอยู่ในเลือดคนไทย 215 - ตระกูลลูกหลานมังกรในแผ่นดินสยาม 220 - จากแซ่เปลี่ยนมาเป็นนามสกุลไทย 230
บทที่ 16 | ความรู้สึกต่อนามสกุลที่เปลี่ยนไป 235 - การใช้นามสกุลที่เปลี่ยนไปของโลกตะวันตก 235 - พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ. 2505 สู่การแก้ไขในปี พ.ศ. 2548 240 - หญิงไทยมีสิทธิเลือกใช้นามสกุลและคำ นำ หน้านาม 242 บทที่ 17 | นานาน่ารู้ส่งท้าย 249 - ความจำ เป็นของการมีลูกดก 249 - ชื่อจริงชื่อเล่นของคนไทย 252 - ที่มาของนามสกุลอีสานที่น่าสนใจ 256 - นามสกุลเดียวกัน แต่ไม่ได้เป็นญาติกัน 260 - ความสำ คัญของนามสกุลที่ต้องรักษา 262
นานาน่ารู้เบื้องต้น 1 การสืบราชสันตติวงศ์สมัยกรุงศรีฯ คำว่า “สืบราชสันตติวงศ์” หมายถึง การครองราชย์สืบต่อจาก พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อน ซึ่งอยู่ในราชวงศ์เดียวกัน ส่วนคำว่า “สืบราชบัลลังก์” หรือ “สืบราชสมบัติ” หมายถึง การ เสด็จขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งนับต่อเนื่องจากพระมหากษัตริย์พระองค์ ก่อนมิให้ขาดตอน ในสมัยกรุงศรีอยุธยา “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1” (สมเด็จ พระเจ้าอู่ทอง) ทรงตรากฎมณเฑียรบาล ซึ่งมีการลำดับยศของพระบรม วงศานุวงศ์และข้าราชการ ในกฎมณเฑียรบาลนี้มีการลำดับพระยศของ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ที่ประสูติแต่พระอัครมเหสี เป็น “สมเด็จหน่อ พระพุทธเจ้า” มีพระเกียรติยศเหนือกว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งปวง แต่ กฎมณเฑียรบาลนี้ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนว่า ตำแหน่งสมเด็จหน่อ พระพุทธเจ้าเป็นองค์รัชทายาท ที่จะขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินในอนาคต
กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ 15 ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ทรงตรา พระราชกำหนดศักดินาพลเรือนขึ้น ทรงกำหนดให้ “สมเด็จพระเจ้าลูกยา เธอ” ซึ่งได้เฉลิมพระราชมณเฑียรแล้ว ทรงศักดินาหนึ่งแสน ดำรงพระราช อิสริยยศเป็น “พระมหาอุปราช” อย่างไรก็ดี ตำแหน่งพระมหาอุปราชนี้ไม่ได้มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในทุกรัชสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นองค์พระประมุขตลอดมา การสืบราชสมบัติในอดีตไม่มีกฎระเบียบ แบบแผนกำหนดไว้อย่างชัดเจนแน่นอน แม้จะเคยมีกฎมณเฑียรบาลตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา หากกฎมณเฑียรบาลอาจจะกำหนดในเรื่องอื่นๆ ไว้ แต่ ไม่ได้มีการบัญญัติเกี่ยวกับการสืบราชสมบัติหรือการสืบราชสันตติวงศ์ไว้ อย่างชัดเจน กล่าวคือไม่ได้แสดงว่าเมื่อราชบัลลังก์ว่างลง เจ้านายพระองค์ ใดจะเป็นผู้มีสิทธิขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยวิธีใด สันนิษฐานว่า คงเป็น พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ บรรดานักประวัติศาสตร์ต่างสันนิษฐานว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่อง ตามพระราชอัธยาศัย เพราะเป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินแต่ละ พระองค์ ที่จะทรงกำหนดจะยกราชสมบัติให้แก่ผู้ใด อย่างไรก็ดี ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีการกำหนดตำแหน่งพระมหา อุปราช ซึ่งตำแหน่งนี้มักจะเป็นผู้ที่จะได้รับสืบราชสมบัติเมื่อราชบัลลังก์ ว่างลง ซึ่งตำแหน่งพระมหาอุปราชนี้ไม่ใช่พระราชโอรส, พระราชอนุชา หรือพระราชนัดดา เสมอไป แต่ถ้าพระมหากษัตริย์มิได้ทรงสถาปนาผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งพระ มหาอุปราช อำนาจในการเลือกผู้สืบราชสมบัติ มักจะตกแก่พระบรมวงศา นุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่
16 กำ�เนิดนามสกุลคนไทย การสืบราชสมบัติสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงกำหนดตำแหน่งซึ่งได้เคยมีมาในสมัย กรุงศรีอยุธยาขึ้นมาใหม่ คือตำแหน่ง “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” (วังหน้า) แทนตำแหน่งพระมหาอุปราช ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนี้ เป็นตำแหน่งสำหรับที่ จะพระราชทานให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้ที่มีความดีความชอบยิ่งใหญ่ เมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์นั้นเสด็จทิวงคต ถ้า ยังไม่มีพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดมีความดีความชอบเสมอเหมือน พระมหากษัตริย์ก็มิทรงแต่งตั้งพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ธรรมเนียมนี้มีเรื่อยมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) หลังจากที่ “กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ” เสด็จทิวงคต พระองค์มีพระราชดำริว่า ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถาน มงคลไม่เหมาะสมกับกาลสมัย และอาจทำให้ชาวต่างประเทศเกิดความ เข้าใจสับสน จึงทรงมีพระราชดำริว่า พระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช ซึ่งเรียกว่าสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า ที่แต่งตั้งขึ้นตั้งแต่สมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 แห่งกรุงศรีอยุธยาเป็นตำแหน่งที่สอดคล้องตาม แบบอย่างการสืบราชสันตติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ในนานาอารยประเทศ ที่มีราชประเพณีแต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใหญ่ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ดำรง ตำแหน่งองค์รัชทายาท รัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในปี พ.ศ. 2428 และโปรดเกล้าฯ ให้มี ตำแหน่ง “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” ซึ่งเป็น ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่จะสืบราชสันตติวงศ์สืบไป
กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ 17 จากวังหน้าสู่สยามมกุฎราชกุมาร สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาล ที่ 1) ทรงแต่งตั้งให้ “เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช (บุญมา)” พระราช อนุชา ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) พระองค์แรก ต่อ มาเสด็จทิวงคต จึงทรงแต่งตั้ง “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง อิศรสุนทร (ฉิม)” พระราชโอรส ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่ 2 ที่ต่อมาได้สืบราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 2 สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรง แต่งตั้งให้ “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์(จุ้ย)” พระราชอนุชา ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่ 3 แต่ เสด็จทิวงคตก่อน สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรง แต่งตั้งให้ “พระองค์เจ้าอรุโณทัย กรมหมื่นศักดิพลเสพ” พระปิตุลา ขึ้น เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่ 4 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) มิได้ ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ทรง แต่งตั้งพระราชอนุชาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินควบคู่กับพระองค์ ซึ่งก็คือ “พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว” จะนับเป็นกรมพระราชวังบวร สถานมงคลก็ไม่ผิดนัก ถ้าหากนับก็จะเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่ 5 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงแต่งตั้ง “กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ” พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่ 6 เมื่อกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเสด็จทิวงคต รัชกาลที่ 5 ทรง ยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ดังที่กล่าวไปแล้ว ทั้งนี้ ทรงมีพระราชหัตถเลขาอธิบายไว้ว่า “ผู้ที่อยู่ต่างประเทศก็ไม่อาจที่จะ
18 กำ�เนิดนามสกุลคนไทย เข้าใจตำแหน่งนั้นได้ชัดเจน...เป็นตำแหน่งลอยอยู่ มิได้มีคุณต่อแผ่นดิน อย่างหนึ่งอย่างใด เป็นแต่ต้องใช้เงินแผ่นดิน ซึ่งจะต้องใช้รักษาตำแหน่ง ยศพระมหาอุปราชอยู่เปล่าๆ” ปี พ.ศ. 2429 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ” พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ใหญ่ ที่ประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี ขึ้น ดำรงตำแหน่ง “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร” อันเป็นตำแหน่งองค์รัชทายาท นับเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรก ของประเทศไทย แต่ในเวลาต่อมาเสด็จทิวงคต ปี พ.ศ. 2437 รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ” พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ใหญ่ ที่ประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ขึ้นดำรงตำแหน่ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พระองค์ที่ 2 ที่ในเวลา ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 6 หลังจากนั้นไม่มีการสถาปนาตำแหน่งนี้อีกเป็นเวลานาน จน กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา “สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ” ขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร นับเป็นพระองค์ที่ 3 ซึ่งถือ เป็นองค์รัชทายาท กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 “กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์” หมายถึง กฎหมายที่วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสืบราชสมบัติ
กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ 19 การสืบราชสันตติวงศ์มีการพัฒนาสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ยังไม่มี กฎเกณฑ์ หรือระเบียบแบบแผนที่ชัดเจนแน่นอน จนมามีการกำหนด หลักเกณฑ์ที่เป็นระเบียบแบบแผนและมีความชัดเจน เพื่อเป็นการตัด ความหวาดระแวงและความไม่แน่นอน อีกทั้งเป็นหลักประกันความคงอยู่ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะทำให้รู้ว่าองค์พระประมุขมีที่มาอย่างไร และจะดำรงคงอยู่ต่อไปโดยไม่ขาดช่วง ดังปรากฏใน “กฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายฉบับนี้ขึ้น โดยมีการประกาศใช้เมื่อ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467 นับเป็นกฎหมายการสืบราชสมบัติฉบับแรกของไทย ที่ กำหนดการสืบสายเลือดโดยสายตรง ซึ่งไม่เคยมีการบัญญัติกฎเกณฑ์ เช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์การสืบราชสันตติวงศ์ของไทย รัชกาลที่ 6 ทรงมีพระราชดำริว่า ตามโบราณราชประเพณี สมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยามย่อมทรงพระบรมเดชานุภาพโดยบริบูรณ์ และ ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะทรงเลือกพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์ หนึ่ง ซึ่งมีพระปรีชาสามารถเป็นผู้สืบราชสันตติวงศ์ ดำรงราชตระกูล และรัฐสีมาอาณาจักร อารักษ์พสกนิกรสนองพระองค์ต่อไปได้ขึ้นเป็น พระรัชทายาท...ทรงเลือกสรรพระบรมวงศ์พระองค์นั้นเป็นพระรัชทายาท และบางทีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานอุปราชาภิเษกหรือยุพ ราชาภิเษก ราชประเพณีนี้เป็นสิ่งซึ่งสมควรแก่พระบรมเดชานุภาพของ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้ แต่ก็เคยมีมาแล้วในอดีต และอาจมีได้อีก ในอนาคตสมัย ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงเลือกพระรัชทายาทขึ้นไว้ อย่างเช่นที่กล่าวมา ซึ่งเป็นผลให้เกิดมีเหตุยุ่งยาก แก่งแย่งกันขึ้นเมื่อ
20 กำ�เนิดนามสกุลคนไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต การแก่งแย่งช่วงชิงพระราชอำนาจกัน ย่อมเป็นโอกาสให้บุคคลผู้มิได้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ คิดขัดขวางต่อทาง เจริญแห่งราชอาณาจักร ทั้งเป็นโอกาสให้ศัตรูทั้งภายนอกภายในได้ใจ คิดประทุษร้ายต่อราชตระกูล และอิสรภาพของประเทศสยาม รัชกาลที่ 6 ทรงคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่ จะให้มีหลักนิติธรรมกำหนดการสืบราชสันตติวงศ์ขึ้น เพื่อตัดความยุ่งยาก และตัดการแก่งแย่งกันภายในพระราชวงศ์ กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ได้ กำหนดบทนิยามศัพท์ที่สำคัญ ดังนี้ “พระรัชทายาท” คือเจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์ พระองค์ที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สมมุติขึ้น เพื่อเป็นผู้สืบ ราชสันตติวงศ์สนองพระองค์ต่อไป “สมเด็จพระยุพราช” คือพระรัชทายาทที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาขึ้นเป็นตำแหน่งสมเด็จพระยุพราช โดยพระราชทาน ยุพราชภิเษก หรือโดยพิธีอย่างอื่นสุดแท้แต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ “สมเด็จหน่อพุทธเจ้า” คือสมเด็จพระบรมราชโอรสพระองค์ใหญ่ ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอัครมเหสี “สมเด็จพระอัครมเหสี” คือพระชายาหลวงของสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ตามที่ปรากฏในประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ทรงสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินี “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ” คือพระราชโอรสในสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอัครมเหสี หรือพระมเหสีรอง “พระมเหสีรอง” คือพระชายาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ ที่ดำรงพระเกียรติยศรองลงมาจากสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินี
กิตติ โล่ห์เพชรัตน์ 21 มีพระเกียรติยศสูงต่ำเป็นลำดับกัน คือสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชเทวีพระนางเจ้า พระราชเทวีพระนางเธอ พระอัครชายาเธอ ดังนี้ เป็นต้น “พระเจ้าลูกยาเธอ” คือพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระสนมเอก โท ตรี คำว่า “พระองค์ใหญ่” ให้เข้าใจว่าพระองค์ที่มีพระชนมายุ มากกว่าพระองค์อื่นๆ ที่ร่วมพระมารดากัน ตามกฎมณเฑียรบาลนี้ กำหนดให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง สงวนไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และพระราชสิทธิที่จะถอนพระรัชทายาท ออกจากตำแหน่งได้ พระราชโอรสและบรรดาเชื้อสายโดยตรงของ พระรัชทายาทที่ถูกถอนพระองค์นั้นก็ให้ถอนเสียจากลำดับสืบราช สันตติวงศ์ด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชสิทธิ ที่จะประกาศยกเว้น เจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งออกเสียจากลำดับ สืบราชสันตติวงศ์ได้ ตามกฎมณเฑียรบาลนี้ ห้ามมิให้ราชนารีขึ้นทรงราชย์สืบ สันตติวงศ์ ดังนั้นจึงห้ามมิให้จัดเอาราชนารีพระองค์ใดเข้าไว้ในลำดับ สืบราชสันตติวงศ์เป็นอันขาด กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ที่ รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ตราขึ้นนั้น เป็นหลักฐานแถลงราชนิติธรรม กำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ในการสืบราชสมบัติไว้อย่างชัดเจน นับเป็น กฎมณเฑียรบาลที่สำคัญยิ่งกว่ากฎมณเฑียรบาลทั้งปวง และเป็นการ แสดงถึงความเป็นอารยประเทศ ด้วยบรรดานานาประเทศย่อมต้องมี กฎหมายที่กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับประมุขให้เป็นที่ปรากฏชัดแจ้ง