The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by onanong.academy, 2022-05-17 04:54:08

Cover 1 -12

Cover 1 -12

English

for

Project

Semester 1
Academic year 2022

Student year 2
Naval Rating School

T.Onanong Siripornmanut

Table of Contents

1 Part of speech page
2 Basic Verbs 1
3 Nouns 3
4 Pronouns 8
5 Preposition of Location 13
6 Preposition of Place 16
7 Present Continuous Tense 19
8 Adjective Comparison 21
9 If Clauses 24
10 Present Simple Tense 28
11 Future Simple VS Be going to 31
12 Past Simple Tense 34
37

T.Onanong Siripornmanut

Page 1

1

Part of Speech

General Topic สาระสำคญั :
การศึกษาภาษาอังกฤษ นักเรียนจะตอ้ งเข้าใจสว่ นตา่ งๆ (Part of speech ) ทป่ี ระกอบออกมาเปน� คำพูด ออกมาเป�น
ประโยค และ ตำแหน่งของส่วนต่างๆนใ้ี นโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ (Sentence Structure)
Objective จุดประสงคก์ ารเรยี นรขู้ องบทนี้
1. นกั เรียนมีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับ Part of Speech (ชนดิ ของคำ)
2. นกั เรยี นสามารถจำแนก Part of Speech (ชนดิ ของคำ) ในแตล่ ะชนดิ ได้ถกู ต้อง
3. นักเรยี นสามารถบอกได้ว่าคำต่างๆอยู่ใน Part of Speech ชนิดใดได้ถูกตอ้ ง
4. นกั เรยี นสามารถสร้างและเข้าใจประโยคทีป่ ระกอบไปด้วยชนดิ ของคำได้
5. นักเรยี นนำความรเู้ รื่องคำศัพท์ ประเภทของคำ การใชป้ ระโยคของคำชนดิ ต่างๆ ไปใชป้ ระยุกต์กบั การเรียนวิชา

ภาษาอังกฤษในเรื่องอนื่ ได้
Content เน้ือหา
Part of speech คอื สว่ นต่างๆที่ประกอบออกมาเป�นคำพูด ออกมาเปน� ประโยค เปรียบเสมอื นบ้านหลงั หน่ึงท่ี
ประกอบด้วยสว่ นต่างๆออกมาเป�นตัวบา้ นท่ีสมบรู ณ์ มีส่วนตา่ งๆที่สำคัญๆ 8 สว่ นด้วยกัน
Noun Verb Adjective Pronoun Adverb Preposition Conjunction Interjection
1. Noun คำนาม thing or person คำที่ใชเ้ รยี ก ชอ่ื คน สัตว์ สง่ิ ของ สถานที่ หรือเหตกุ ารณ์ รวมถงึ ส่งิ ท่ีเปน�

นามธรรม (อารมณ์ ความร้สู ึก ความคิด สภาวะ) เชน่ dog, house, gym, music, John, troop, anger, hunger,
happiness,
Example - This is my dog. (นเ่ี ป�นสนุ ขั ของผม)

- He lives in my house. (เขาอาศัยอยู่ในบา้ นของผม)
2. Verb คำกรยิ า action or state การกระทำ หรือคำท่ีแสดงอาการทางกาย ทางใจ หรอื บง่ บอกถงึ ทางสภาวะ เชน่

(to) be, have, do, like, work, sing, can, must
Example - English Club is a web site. ( ชมรมภาษาองั กฤษเป�นเวบ็ ไซต์)

- I like English Club. (ผมชอบชมรมภาษาองั กฤษ)
3. Adjective คำคุณศัพท์ describes a noun คำท่ีวางไว้หน้าคำนาม หรือสรรพนามเพื่อขยายความเหล่าน้นั ในเชิง

ลักษณะ คุณภาพ ปรมิ าณ เป�นต้น เชน่ a/an, the, 2, some, good, big, red, well, interesting, angry,
hungry, happy,
Example - I have two dogs. (ผมมีสุนขั สองตัว)

- My dogs are big. (สุนขั ของผมตวั ใหญ่)
- I like big dogs. (ผมชอบสุนัขตวั ใหญๆ่ )

T.Onanong Siripornmanut

Page 2

4. Pronoun คำสรรพนาม replaces a noun คำที่ใชแ้ ทนคำนาม เพื่อทจ่ี ะได้ไมต่ ้องใช้คำนามนนั้ ซ้ำเวลาพูดถงึ อีกใน
ประโยคอน่ื ๆ มีท้ังอยใู่ นรูป Subject (ประธาน) และ Object (กรรม) เช่น I, you, we, he, she, some, me,

him, her, us

Example - Tara is Indian. She is beautiful. ( ธาราเปน� ชาวอินเดีย หลอ่ นสวย)

5. Adverb คำวเิ ศษณ์ describes a verb, adjective or adverb คำที่ใชข้ ยายคำกรยิ า คำคณุ ศัพท์ คำวิเศษณ์ เพื่อ
อธบิ ายขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ ในเชิงความถ่ี เวลา สถานท่ี หรอื กริยาอาการตา่ งๆ เช่น quickly, silently, well, badly,

very, really

Example - My dog eats quickly. (สนุ ัขของผมกินเรว็ )
- When he is very hungry, he eats really quickly. (เวลามันหิวมากๆมนั กนิ เรว็ จริงๆ)

6. Preposition คำบพุ บท links a noun to another word คำทใ่ี ช้เชื่อคำนาม สรรพนาม หรอื วลเี ขา้ ดว้ ยกนั เช่น
to, at, after, on, but

Example - We went to school on Monday. (เราไปโรงเรยี นวนั จนั ทร)์

- I get up at 5 a.m. everyday. (ผมตืน่ นอนเวลาตี 5 ทุกวนั )
7. Conjunction คำสันธาน joins clauses or sentences or words คำทใ่ี ชเ้ ช่ือมคำ (Words) กลมุ่ คำ (Phrases)
หรือ ประโยค (Sentences) เขา้ ด้วยกนั เชน่ and, but, when, that

Example - I like dogs and I like cats. (ผมชอบสนุ ัข และแมว)
- I like dogs but I don’t like cats. (ผมชอบสุนัข แต่ไม่ชอบแมว)

8. Interjection คำอทุ าน short exclamation, sometimes inserted into a sentence คำที่ใช้เพื่อแสดงอารมณ์
ความรู้สึกของผูพ้ ูดออกมา โดยมกั จะใชเ้ คร่อื งหมายตกใจ! (Exclamation mark) เชน่ oh!, ouch !, hi !, well,

oops !

Example – Ouch ! That hurts! (โอย๊ ! เจบ็ นะ)

- Hi ! How are you? (สวัสดี! คณุ สบายดีหรือ)

- Well, I don’t know. (เออ้ ผมไม่ทราบ)
Identification of Part of Speech (จงแจกแจงส่วนต่างๆของประโยคคำพดู )

Example Sentence ( S + V +(Adj + N) ) Part of Speech
- We took an express train. (พวกเราโดยสารรถไฟดว่ นมา) noun
- A train whistle sounded in the distance. (เสยี งหวดู รถไฟดงั มาแต่ไกล) adj
- I will train your dog. (ผมจะฝ�กสุนัขของคณุ ให้) verb
- Cross the street on a green light. (จงขา้ มถนนขณะไฟเขียว) verb
- Turn right at the next cross street. (จงเลี้ยวขวาทที่ างแยกขา้ งหน้า) adj

- She was wearing a gold cross. (หลอ่ นสวมสร้อยหอ้ ยไม้กางเขนทอง) noun

T.Onanong Siripornmanut

Page 3

2
Basic Verbs

General Topic สาระสำคัญ:
Basic Verbs คือกรยิ าชว่ ยพื้นฐาน
1. V.to be ใช้กับคำคณุ ศัพท์และใชร้ ่วมกบั Continuous Tenses ( be + V ing) และ Passive Voice ( be + V3)

ใช้กับคำนาม แปลวา่ เปน� อยู่ คือ,
2. V.to do ใช้ชว่ ยกรยิ าแท้ ในประโยค คำถาม และปฎเิ สธ ใชร้ ว่ มกับ (Simple Tense)

ถ้าทำหนา้ ท่เี ปน� V.แท้ แปลว่า ทำ
3. V.to have ใชร้ ว่ มกับ Perfect Tenses (have+V3)

ใช้กับคำนาม แปลว่า มี, ถ้าใชก้ บั อาหาร,นำ้ แปลวา่ กนิ , ด่ืม
Objectives จดุ ประสงค์การเรียนร้ขู องบทน้ี

1. สามารถใช้กริยาชว่ ยพ้ืนฐาน ใหส้ อดคล้องกบั คำนาม คำคุณศัพท์ และกริยาหลัก ในประโยคได้

2. สามารถใชก้ ริยาช่วยพนื้ ฐาน กบั ประโยค บอกเลา่ ปฏิเสธ และคำถามได้ตามทต่ี ้องการส่ือสาร

3. สามารถใช้กรยิ าช่วยพน้ื ฐานร่วมกับ Tenses และ Passive Voice ในระดบั สูงขึ้น
Content เนอ้ื หา

Basic Verbs Present (V1) Past (V2)

1 Verb to be is , am , are was , were ไมม่ ีความหมายในตวั มนั

2 Verb to have has , have had เอง ผันตามประธาน และ

3 Verb to do do , does did Tense

1. การใช้ Verb to be

ใชท้ ำหนา้ ที่ เปน� กรยิ าหลัก (Main Verb) และ กริยาช่วย (Auxiliary Verb) ร่วม V หลกั ตวั อนื่

1.1. ใชท้ ำหน้าท่ีเป�นกริยาหลกั ( Principal Verb )

Example Jean is always a good girl. ( จีนเป�นเดก็ หญงิ ดีเสมอ )

1.2. วางหนา้ กรยิ าตัวท่เี ตมิ _ing ทำใหป้ ระโยคน้นั เป�น Continuous Tense แปลวา่ “กำลงั ” ทุกครง้ั

Example We are learning English. (เรากำลงั เรียนภาษาองั กฤษ )

1.3. วางไวห้ นา้ V3 (เฉพาะสกรรมกริยา) ทำใหป้ ระโยคน้นั เปน� กรรมวาจก (Passive Voice ) แปลวา่ “ถูก”

Example John was punished by the teacher yesterday.(จอห์นถกู ทำโทษโดยคณุ ครูเม่อื วานน้ี )

1.4. วางหนา้ กรยิ าสภาวมาลา ( Infinitive ) มีสำเนยี งแปลว่า “จะ , จะต้อง” แสดงถึงหนา้ ท่ีทต่ี อ้ ง กระทำ ,

แผนการ , การเตรยี มการ , คำสัง่ , คำขอร้อง หรอื ความเป�นไปได้

Example He is to stay here till I come back. ( เขาจะตอ้ งอย่ทู ีน่ จ่ี นกวา่ ฉนั จะกลับมา )

T.Onanong Siripornmanut

Page 4

1.5. ประโยคคำสัง่ ,อวยพร,ท่ีนำหน้าประโยคดว้ ย Adjective ( คุณศัพท์)ตอ้ งใช้ Be นำหน้าเสมอ
Example Be quiet. The baby is sleeping. ( เงยี บหนอ่ ย ทารกกำลังนอกหลับอยู่ )

1.6. ใชน้ ำหน้าสำนวน about to + V. แปลวา่ “กำลงั จะ” แสดงถึงเหตุการณท์ ี่จะเกดิ ขน้ึ ในอนาคตอันใกล้
Example They are about to start their journey this week. ( พวกเขากำลงั จะออกเดินทางกนั
สัปดาห์น้ี )

2. การใช้ Verb to have
ใช้ทำหนา้ ท่ี เป�นกริยาหลัก (Main Verb) และ กริยาชว่ ย (Auxiliary Verb) ร่วม V หลกั ตัวอ่ืน

2.1 ใช้ทำหนา้ ที่เปน� กริยาหลัก ( Principal Verb ) มี, กนิ , ด่มื
Example Jane has five boyfriends. ( เจนมีแฟน 5 คน )
He usually has breakfast at 7. (ปกตเิ ขาจะกินอาหารเชา้ 7 โมง)

2.2 ใช้รว่ มกบั คำศัพท์อน่ื ๆ แสดงการกระทำ, กิจกรรม
Example We have a break at 9 am. (พวกเราพกั เบรคตอน 9 โมง)
I had a terrible headache yesterday. ( ฉันมอี าการปวดหวั มากๆเมื่อวานน้ี )

2.3 ใชว้ างไว้หนา้ V3 ทำใหป้ ระโยคนนั้ เปน� Perfect Tense หมายถงึ การกระทำที่มีความยาวของเวลาเข้ามา
เกี่ยวข้อง
Example I have worked hard this week. (สปั ดาห์น้ีฉันทำงานหนัก)

2.4 ใช้ have to แปลว่า “ตอ้ ง , จำเปน� ตอ้ ง” ( = must ) ใช้แสดงถึงพันธะหนา้ ทภี่ ารกิจจำเปน� ที่ตอ้ งกระทำ
หลัง have to ตอ้ งใช้ V1 ตลอดไป
Example I have to leave now. ( ฉันจำเป�นตอ้ งไปเดี๋ยวน้ี )
George has to go to school from Monday to Friday.
( จอรจ์ จะต้องไปเรยี นหนังสอื ตั้งแต่วนั จนั ทร์ถงึ วันศุกร์ )
อนง่ึ ประโยคบอกเลา่ ท่มี ี have to เม่ือทำเป�นคำถามหรือปฏเิ สธ ต้องใช้ Verb to do เข้ามาชว่ ย
ตัวอย่างเช่น :
- ประโยคคำถาม : Do I have to leave now? ( ผมจำเป�นต้องไปเด๋ียวน้หี รือ )
: Does he have to go to work? ( เขาจะต้องไปทำงานหรอื ? )
- ประโยคปฏเิ สธ : I don’t have to leave now. ( ผมไมจ่ ำเป�นต้องไปเดีย๋ วน้ี )
หมายเหตุ : - have to ใชไ้ ดก้ บั เหตุการณ์ทเี่ ปน� ป�จจบุ ันและอนาคต รปู อดตี ของ have to คอื had to
- have got to คำแปลเชน่ เดยี วกับ have to นำมาใช้ในภาษาพดู แทน have to, had to
หรอื has to เขา้ กบั สรรพนามเสมอ หรอื ย่อเข้ากบั not เม่ือประโยคน้นั เป�นปฏิเสธ กรณีทำ
เปน� คำถาม ให้เอา have หรือ has ในคำว่า have (หรือ has ) got to ขึ้นไปไวต้ น้ ประโยคได้

T.Onanong Siripornmanut

Page 5

Example :

- Affirmative ( บอกเล่า ) He’s got to go.
I’ve got to do.

- Negative ( ปฏเิ สธ ) He hasn’t got to go.
I haven’t got to do.

- Interrogative ( คำถาม ) Has he got to go?
Have I got to do?

3. การใช้ Verb to do
Verb to do ได้แก่ do ,does ,did เมอื่ นำมาใชเ้ ปน� กรยิ าชว่ ย ( Helping Verb ) ไม่มีความหมายในตวั มนั เอง
do , does ใชก้ ับการกระทำทีเ่ ปน� ป�จจุบนั ( แต่ตา่ งพจนก์ ัน ) did ใชก้ บั การกระทำที่เป�นอดตี (ได้กบั ทกุ พจน์
ทุกบุรษุ ) ซึ่งมรี ายละเอยี ดของการใช้ชว่ ยหรือใช้จรงิ ไดด้ ังต่อไปน้ี

3.1 ชว่ ยทำประโยคบอกเล่า ( Affirmative )
ให้เป�นประโยคคำถาม ( Interrogative )
หรอื ประโยคปฏเิ สธ ( Negative )
ในกรณที ่ปี ระโยคเหลา่ นั้นตอ้ งตรงตามหลักทฤษฎที ่ีวา่

“Verb to have ไมม่ ี - Verb to be ไมอ่ ยู่ -Verb to do มาช่วย”

ตัวอย่างใช้ do มาช่วย

- ประโยคบอกเลา่ : You speak Japanese to your friend. (คณุ พูดภาษาญ่ปี ุ่นกับเพื่อนของคุณ)

- ประโยคคำถาม : Do you speak Japanese to your friend? (คณุ พูดภาษาญี่ปนุ่ กับเพอ่ื นของคณุ หรือ?)
ตัวอย่างใช้ does มาช่วย

- ประโยคบอกเลา่ : He opens the door by himself. ( เขาเปด� ประตดู ้วยตนเอง )

- ประโยคคำถาม : Does he open the door by himself? ( เขาเปด� ประตูดว้ ยตัวเขาเองหรอื ? )

- ประโยคปฏเิ สธ : He does not open the door by himself. ( เขาไม่ไดเ้ ป�ดประตดู ้วยตัวเอง )
ตัวอย่างใช้ did มาช่วย

- ประโยคบอกเล่า : She went to Hong Kong last week. ( หลอ่ นไปฮ่องกงสปั ดาหท์ ี่แล้ว )

- ประโยคคำถาม : Did she go to Hong Kong last week? ( หลอ่ นไปฮ่องกงสัปดาห์ที่ผา่ นมาหรือ? )

- ประโยคปฏิเสธ : She didn’t ( หรือ did not ) go to Hong Kong. ( หล่อนไมไ่ ด้ไปฮอ่ งกง )

T.Onanong Siripornmanut

Page 6

3.2 ใชแ้ ทนกริยาตัวอน่ื ทอ่ี ยู่ในประโยคเดยี วกัน เพ่ือต้องการมิให้กรยิ าตวั เดิมนัน้ ซำ้ ซาก
Example Billy likes badminton and so does Tim. (บลิ ลช่ี อบแบดมินตันและทิมกช็ อบเหมือนกนั )
You speak Thai and I do too. ( คณุ พูดไทยและฉันก็เชน่ กนั )
Linda worked yesterday but I didn’t. ( ลินดาทำงานเม่ือวานน้ี แตฉ่ ันไมท่ ำ )
ขอ้ สังเกต : does , do didn’t ทง้ั 3 คำไปแทนกรยิ า likes, speak และ worked ตามลำดบั
ท้งั นี้เพ่ือต้องการมใิ ห้ใช้กริยา 3 คำนี้ซำ้ ๆ ซาก ๆ

3.3 ใชส้ นบั สนนุ กริยาตัวอ่นื เพื่อใหเ้ กดิ ความสำคัญกบั กรยิ าตัวนัน้ ว่า จะต้องทำเชน่ น้นั จริง ๆ หรือเกิดข้ึนจริง ๆ
โดยให้เรียงไวห้ นา้ กรยิ าท่ีมนั ไปเนน้ อีกทีหนงึ่

Example I do go and see you tomorrow. ( ฉนั จะไปพบคุณใหไ้ ดว้ นั พรงุ่ น้ี )
Sam does write to me. ( แซมเขียนจดหมายถงึ ผมจริง ๆ )
They did live there two years ago. ( พวกเขาได้อยูน่ ัน้ จรงิ ๆ เมือ่ 2 ปท� ี่ผา่ นมา )
Do come with us. ( ไปกบั เราใหไ้ ด้นะ )

ข้อสังเกต : do , does , did เรียงไว้หนา้ กรยิ าใดจะเน้นกริยาตวั นนั้ ให้มีนำ้ หนักการกระทำขึ้นมาจรงิ ๆ
3.4 ใช้แทนกรยิ าหลักในประโยคคำตอบแบบสัน้ ๆ ทง้ั นี้เพ่ือหลีกเลยี่ งมใิ หน้ ำเอากรยิ าหลงั ในประโยคคำถามน้ัน มา

กลา่ วซำ้ ในประโยคคำตอบ เช่น
A : Do you smoke? ( คุณสูบบุหรหี่ รอื ? )
B : Yes, I do. ( ใช่ ฉนั สบู )
3.5 ใช้แทนกริยาหลกั ในประโยคท้ังท่เี หน็ ด้วย ( agreement ) หรือไม่เหน็ ดว้ ย ( disagreement ) ทัง้ น้ี เพอ่ื
หลกี เลีย่ งการนำเอากรยิ าหลักในประโยคนำกลา่ วขา้ งหนา้ มาพดู อกี เป�นครั้งท่ี 2 เช่น
เห็นดว้ ย : A : Tom speaks a lot. ( ทอมพูดมากจัง )

B : Yes, he does. ( ใช่ เขาพูดมาก )
ไมเ่ ห็นด้วย : A : You eat too much. ( คุณกินมากเกนิ ไป )

B: No, I don’t. ( ไม่ ฉันไมไ่ ด้กนิ มากเลย )
3.6 Verb to do ถ้านำมาใช้อย่างกรยิ าหลัก ( Principal Verb ) ทวั่ ๆ ไป จะแปลวา่ “ทำ” ดังน้นั เปน� คำถามหรือ

ปฏเิ สธต้องเอา Verb to do ( ทีเ่ ป�นกรยิ าช่วย ) มาช่วย do ( ทเ่ี ปน� กรยิ าแทอ้ ีกทีหน่งึ ) ตามหลักทฤษฎีทว่ี า่

“เมื่อ Do แปลวา่ “ทำ” จะต้องนำ do มาช่วย”

- ประโยคบอกเลา่ : You do your homework every day. ( คุณทำการบา้ นทกุ ๆ วนั )

- ประโยคคำถาม : Do you do your homework every day? ( คุณทำการบ้านของคณุ ทุก ๆ วันหรือ? )
ข้อสังเกต : Do ตัวที่ 1 เป�นกริยาชว่ ย มาช่วยให้เป�นคำถามไมม่ ีคำแปล do ตัวท่ี 2 เปน� กริยาแท้ กรยิ าใหญ่
กรยิ าหลัก จะเรียกอย่างไรได้ทง้ั นนั้ มคี ำแปลว่า “ทำ”

- ประโยคปฏิเสธ : You don’t do your homework every day.( คุณไม่ไดท้ ำการบ้านของคณุ ทุก ๆ วนั )

T.Onanong Siripornmanut

Page 7

ขอ้ สงั เกต : do ตวั แรก ( ในคำ don’t ) เปน� กริยาชว่ ย มาช่วยให้เป�นประโยคปฏิเสธไมม่ ีคำแปล
do ตวั หลงั เป�นกริยาแท้ แปลวา่ “ทำ” ทค่ี วรระวังคือ เม่ือทำเปน� คำถามหรอื ปฏเิ สธ อย่าได้นำ do

ท่ีปรากฏอยู่ในประโยคบอกเล่านั้นข้นึ ไปไว้ตน้ ประโยคหรือเติม not ลงข้างหลงั do อย่างเดด็ ขาด
Example I do my work in Bangkok.
- ประโยคคำถาม : Do I do my work in Bangkok?
- ประโยคปฏเิ สธ : I do not do my work in Bangkok.
- ประโยคบอกเล่า : She does her homework. ( หล่อนทำการบา้ นของหล่อน )
- ประโยคคำถาม : Does she do her homework? ( หล่อนทำการบ้านของหลอ่ นหรือ? )
- ประโยคปฏิเสธ ; She does not do her homework. ( หลอ่ นไม่ได้ทำการบา้ นของหล่อน )
3.7 ใชแ้ ทนกริยาแทใ้ นประโยคคำถามทีเ่ ปน� Tag Questions เช่น

Sam lives here, doesn’t he? ( แซมอาศัยอยูท่ ่นี ่ี ไม่ใชห่ รอื ? )
We don’t drink whisky, do we? ( พวกเราไมด่ ่ืมสรุ า ใช่ไหม? )
He ate rice, didn’t he? ( เขากินข้าว ไม่ใชห่ รอื ? )

T.Onanong Siripornmanut

Page 8

3
Nouns

General Topic สาระสำคัญ:
Noun คำนาม คือ คำที่ใชเ้ รียกคน สตั ว์ สงิ่ ต่างๆ สถานท่ี คุณสมบตั ิ สภาพ อาการ การกระทำ ความคดิ
ความรู้สกึ ท้ังที่มีรปู รา่ งให้มองเห็น และไม่มีรปู รา่ ง คำนามบางประเภท ระบุเพศ (Male. Female) และ พจน์

(Singular, Plural)

Objective จุดประสงค์การเรยี นร้ขู องบทน้ี
1. ใชค้ ำนาม ( Noun) ในประโยคไดถ้ ูกต้อง

2. บอกความหมาย หนา้ ท่ี และประเภทของ คำนาม ( Noun) ได้

3. เรยี บเรียงประโยคเกีย่ วกบั คำนาม ( Noun) ได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์

Content เน้ือหา
Noun (คำนาม) คอื อะไร
คำทีใ่ ช้แทน ชื่อคน, สัตว์, สิง่ ของ, สถานท,ี่ ความรสู้ ึก, แนวคดิ , และลกั ษณะกลุ่มก้อน เชน่

- คน/สตั ว์ : teacher, engineer, doctor, Josh, Lisa, puppy, dolphin, butterfly
- สิ่งของ : photograph, refrigerator, hankie, bookshelf, notebook, container, honey, banana
- สถานท่ี : gallery, public library, playground, forest, mountain, Bangkok, London
- แนวคิด/ความรสู้ ึก : pleasure, sadness, thought, faith, confidence, pain, anger, love
- ลกั ษณะ (เปน� ชนิ้ อนั กลุม่ ก้อน) : piece, pile, flock, heap, pack, slide, deck, troop, army
หนา้ ทข่ี อง Noun (คำนาม)
- เป�นประธาน (ชอบอยู่หน้าคำกริยา) เชน่ Jane is a wonderful person.
- เปน� กรรมของกริยา คือ เปน� คนโดนกระทำ (ชอบอยู่หลังคำกริยา) เช่น You stole my heart.
- เปน� ส่วนเติมเต็ม ถา้ ไม่เติมประโยคจะมีความหมายไม่สมบรู ณ์ (ชอบอยู่หลงั คำกริยา)

เช่น This is a book.
- เป�นกรรมของบุพบท เอาไวเ้ ชื่อมกับคำบุพบท (ชอบอยู่หลงั คำบพุ บท)

เช่น Keys are on the table.

Types of Nouns แบง่ ออกได้ 6 ชนดิ คือ

Common Proper Collective Compound Possessive Verbal
Noun Nouns noun
Noun Noun Noun

T.Onanong Siripornmanut

Page 9

1. Common Noun สามานยนาม ไดแ้ ก่นามท่ีเป�นชื่อไม่ชเี้ ฉพาะของ คน สัตว์ สงิ่ ของ และสถานท่ี แบ่งออกได้ 2
ชนดิ
1.1 Concrete Noun รูปธรรม ไดแ้ ก่นามที่มีรูปรา่ งสามารถสมั ผัสได้ เปน� ได้ทงั้ นามนับได้ (countable noun)
และนับไม่ได้ (uncountable noun)* มลี กั ษณะตรงกันขา้ มกับ abstract nouns.
Example rocks – หิน lake – ทะเลสาป country – ประเทศ people – คน
1.2 Abstract Noun นามธรรม ได้แกน่ ามทเ่ี ป�นชื่อของลักษณะ, สภาวะ, และการกระทำ นามจำพวกนี้ไม่มี
ตัวตน เป�นเพยี งกริ ยิ าอาการเท่านน้ั
Example education - การศกึ ษา democracy - ประชาธปิ ไตย happiness – ความสุข

2. Proper Noun วิสามานยนาม ได้แกน่ ามทเี่ ป�นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ ส่งิ ของ และสถานท่ี และจะต้องเขียนดว้ ย
ตวั ใหญเ่ สมอ
Example Thailand – ชื่อประเทศ Sukumvit – ชื่อถนน Maths – ชอื่ วิชา Lucy – ชือ่ คน

3. Collective Noun สมหุ นาม ได้แกน่ ามที่เปน� ช่ือของหม่คู ณะ, กล่มุ , ฝูง, เป�นตน้ สว่ นมากมกั จะเป�นคำผสมที่
คัน่ ดว้ ย of เสมอ และสมุหนามน้ีต้องถือว่าเปน� นามพหูพจนต์ ลอดไป
Example Navy - ทหารเรอื Family- ครอบครัว audience -ผชู้ ม government – รัฐบาล

4. Compound Noun คำประสม คือ การนำคำสองคำหรือมากกวา่ ท่ีทำหนา้ ทเ่ี หมือนหรอื ต่างกันมารวมกนั เป�นคำ
ใหม่ มีความหมายใหม่ โดยคำหน้าเป�นคำขยาย คำหลงั เปน� คำหลัก
Example ice cream – ไอศกรีม haircut – ทรงผม daughter-in-law – ลูกสะใภ้ output – ผลผลิต

5. Possessive Nouns คำนามทแ่ี สดงให้เหน็ ถงึ ความเปน� เจา้ ของ สามารถทำได้ 2 วิธี ดังน้ี
5.1 ใช้ 's (Apostrophe + s) ไปใสท่ ้ายคำนามท่เี ป�นเอกพจน์ (Singular)
Example veterinarian's – คลนิ ิกของนายสัตวแพทย์ Lisa’s shoes – รองเท้าของลิซ่า
5.2 ใส่เฉพาะ ' ไมม่ ี s ท้ายคำนามทีเ่ ป�นพหูพจน์ (Plural)
Example children’s room – หอ้ งเดก็ parents' bedroom – ห้องพ่อแม่

6. Verbal noun คำนามที่มาจากคำกรยิ า ตา่ งจาก Gerund ไมม่ ีการบังคับดว้ ยวาจา ภาษาท่แี ตกต่างกนั มปี ระเภท
ของคำนามทีแ่ ตกตา่ งกันและวธิ ีการสร้างและใชท้ ่ีแตกตา่ งกัน
Example arrival - ขาเขา้ departure - ขาออก decision - การตัดสนิ ใจ effort – ความพยายาม

T.Onanong Siripornmanut

Page 10

Common Nouns เปน� ได้ทัง้ นามนบั ได้ (countable noun) และนามนับไม่ได้ (uncountable noun)
หลกั การเปลย่ี นคำนามเอกพจน์ (singular nouns) เปน� คำนามพหูพจน์ (plural nouns)

N + s N + es N_o + s/es N_y +s/es N_s,ss,ch,sh,x + es N_f/fe -› v+es

Mind Map

1. เตมิ s หลังคำนามเอกพจนท์ ัว่ ไป เชน่ 2. เตมิ es หลังคำนามทีล่ งท้ายด้วย ch, s, ss, sh, x
chair – chairs (เก้าอ้)ี และ z เชน่
book – books (หนงั สอื )
pencil – pencils (ดนิ สอ) church – churches (โบสถ์
desk – desks (โต๊ะ) bus – buses (รถบัส)
kite – kites (วา่ ว) glass – glasses (แก้วนำ้ )
horse – horses (มา้ ) brush – brushes (แปรง)
box – boxes (กล่อง)
T.Onanong Siripornmanut quiz – quizzes (ทดสอบ)

Page 11

3. เตมิ s หรอื es หลงั คำนามทลี่ งทา้ ย o 4.2 ถ้าหน้า y เป�นสระ a, e, i, o, u ใหเ้ ตมิ s เชน่

3.1 ถา้ หนา้ o เป�นสระ a, e, i, o, u ใหเ้ ติม s เช่น key – keys (กุญแจ)

studio – studios (ห้องชดุ ขนาดเล็ก, ห้องแสดง toy – toys (ของเล่น)

รายการวทิ ยุ โทรทัศน์) day – days (วัน)

radio – radios (วิทยุ) boy – boys (เด็กผชู้ าย)

mango – mangoes (มะม่วง) way – ways (ทาง)

bamboo – bamboos (ไม้ไผ่)

kangaroo – kangaroos (จงิ โจ้) 5. คำนามทลี่ งท้ายดว้ ย f, fe

3.2 ถ้าหนา้ o เป�นพยัญชนะใหเ้ ติม es เชน่ ใหเ้ ปลีย่ น f หรือ fe เปน� ves เชน่

hero – heroes (วีรบุรษุ ) knife – knives (มีด)

buffalo – buffaloes (กระบือ) life – lives (ชีวิต)

tomato – tomatoes (มะเขือเทศ) wolf – wolves (หมาปา่ )

potato – potatoes (มันฝรงั่ ) shelf – shelves (ช้ัน)

3.3 ข้อยกเว้นสำหรับข้อ 3.2 ซง่ึ จะเตมิ เฉพาะ s เชน่ leaf – leaves (ใบไม้)

Eskimo – Eskimos (ชาวเอสกโิ ม) calf – calves (ลกู วัว)

kilo – kilos (กิโล) 5.1 ข้อยกเวน้ แม้คำนามน้นั จะลงท้าย

memo – memos (บันทกึ ) ด้วย f, fe ใหเ้ ตมิ s เชน่

casino – casinos (บ่อน) roof – roofs (หลงั คา)

piano – pianos (เป�ยโน) staff – staffs (คณะผทู้ ำงาน)

photo – photos (รปู ถา่ ย) chief – chiefs (หวั หน้า)

3.4 ข้อยกเว้นสำหรับข้อ 1 และ 2 ซ่ึงเตมิ ได้ท้งั s และ es เช่น cliff – cliffs (หนา้ ผา)
volcano – volcanos, volcanoes (ภเู ขาไฟ)
gulf – gulfs (อา่ ว)
mosquito – mosquitos, mosquitoes (ยงุ )
5.2 คำนามทลี่ งทา้ ยดว้ ย f, fe จะเตมิ s
cargo – cargos, cargoes (สนิ ค้า)
หรือ ves กไ็ ด้ เช่น

4. คำนามทีล่ งท้ายดว้ ย y hoof – hoofs, hooves (กีบม้า)
4.1 ถ้าหน้า y เป�นพยญั ชนะใหเ้ ปลย่ี น y เปน� i scarf – scarfs, scarves (ผา้ พันคอ)

แลว้ เตมิ es

army – armies (กองทัพ)

story – stories (เรอ่ื งราว)

lady – ladies (สภุ าพสตรี)

city – cities (เมือง)

country – countries (ประเทศ)

T.Onanong Siripornmanut

Page 12 9. คำนามทม่ี ีรูปพหูพจน์ แต่ใช้แบบเอกพจน์ เช่น
news (ขา่ ว)
6. คำนามท่มี รี ูปพหูพจนเ์ ฉพาะ เชน่ series (ชดุ สงิ่ ท่ตี อ่ เนื่อง)
man – men (ผู้ชาย) headquarters (สำนกั งานใหญ)่
woman – women (ผ้หู ญิง) physics (ฟส� ิกส)์
foot – feet (เท้า) statistics (สถติ )ิ
tooth – teeth (ฟน� ) economics (เศรษฐศาสตร์)
goose – geese (หา่ น) mathematics (คณิตศาสตร)์
child – children (เด็ก) politics (รัฐศาสตร)์
ox – oxen (ววั ตัวผ้)ู civics (หน้าท่ีพลเมือง)
mouse – mice (หน)ู
10. คำนามท่ีอย่ใู นรูปของพหูพจนเ์ สมอ เชน่
7. คำนามที่มีรูปเหมอื นกันท้ังเอกพจน์ trousers (กางเกงขายาว)
และพหูพจน์ เชน่ shorts (กางเกงขาส้นั )
fish (ปลา) pants (กางเกงขาส้นั )
sheep (แกะ) scissors (กรรไกร)
deer (กวาง) clothes (เสื้อผา้ )glasses (แว่นตา)
aircraft (อากาศยาน) spectacles (แวน่ ตา)
salmon (ปลาแซลมอน) goods (สินค้า)
wages (คา่ จา้ ง)
8. คำนามทมี่ รี ูปเอกพจน์ แต่ใช้แบบพหพู จน์
เช่น
people (ประชาชน ผ้คู น)
cattle (ววั ควาย)
police (ตำรวจ)
gentry (พวกผูด้ )ี
majority (คนส่วนมาก)
minority (คนสว่ นน้อย)

T.Onanong Siripornmanut

Page 13

4
Pronouns

General Topic สาระสำคัญ:
Pronoun ( คำสรรพนาม ) คอื คำทใ่ี ช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพ่ือหลีกเลย่ี งการ

กลา่ วถงึ ซ้ำซาก หรือแทนสิ่งท่รี ้กู ันอยู่แลว้ ระหว่างผู้พูด ผู้ฟ�ง หรอื แทนสง่ิ ของทยี่ งั ไมร่ ู้ หรอื ไม่แน่ใจว่าเปน� อะไร

Objective จดุ ประสงค์การเรียนร้ขู องบทน้ี
1. มีความรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกับความหมายของคำสรรพนาม (pronouns)

2. มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั การใชค้ ำสรรพนาม (pronouns)

3. ใชค้ ำสรรพนาม (pronouns) ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
Content เน้ือหา

Pronoun (คำสรรพนาม) คืออะไร
คำทีเ่ ราใชเ้ รียกแทนคน สัตว์ ส่ิงของ สถานท่ี (noun) หรือคำท่ีใช้แทนคำทีเ่ คยกลา่ วไปแล้วหรอื คำที่กำลงั จะกลา่ ว เพื่อ

เปน� การหลีกเลยี่ งการใชค้ ำที่ซำ้ ซอ้ นในประโยคๆหนึง่ คำกลุ่มนน้ั เราจะเรียกวา่ คำสรรพนาม (Pronouns) โดย
Pronoun น้ันจะมีคุณสมบตั ิเหมอื นกบั คำนามทุกอย่าง น่นั คอื สามารถเปน� ไดท้ ั้งประธานและกรรมของประโยค

Types of Pronoun แบ่งออกได้ 7 ชนดิ คือ

Personal Possessive Reflexive Definite Indefinite Interrogative Relative
Pronoun Pronoun Pronoun Pronoun
Pronoun Pronoun Pronouns
This everyone Who who
I me mine myself That everybody Whom whom
These everything Whose whose
You you yours yourself Those someone Which which
somebody What that
We us ours ourselves something Whoever where
anyone Whomever why
They them theirs themselves anybody Whatever when
anything Whichever
He him his himself

She her hers herself

It it its itself

T.Onanong Siripornmanut

Page 14

หน้าทีข่ อง Pronoun (คำสรรพนาม)
“ทำทุกอยา่ งไดเ้ หมือนคำนาม”

a. เปน� ประธาน Subject (อยหู่ น้าคำกริยา)
Example She is a wonderful person.

b. เป�นกรรมของกรยิ า คอื เปน� คนโดนกระทำ (อยูห่ ลังคำกรยิ า)
Example Joe will take care of himself.

c. เปน� กรรมของบุพบท เอาไวเ้ ช่ือมกบั คำบุพบท (อยู่หลังคำบุพบท)
Example Rosy talks with me about her friends.

7. Personal Pronoun (บุรุษสรรพนาม) คือ คำสรรพนามทีใ่ ชแ้ ทนบุคคล
Example Preeda likes to swim. He is a swimmer.
ปรดี าชอบวา่ ยน้ำ เขาเป�นนักว่ายนำ้ . (ในท่ีน้ีใช้ He แทน Preeda)

8. Possessive Pronoun (สรรพนามเจา้ ของ) คือ สรรพนามท่ีใช้แสดงความเปน� เจา้ ของ
ใช้เป�นคำนามเพือ่ แสดงความเป�นเจา้ ของ อยคู่ นเดยี วได้เลยไมต่ ้องพ่ึงใคร
Example He is mine! (เขาเป�นของฉนั !)
Is this yours? (อันนขี้ องคุณหรอื เปล่า)
Note Possessive Pronoun มาจากรปู Possessive Adjective
โปรดจำไวว้ า่ Pronoun = Noun อยลู่ ำพงั ได้ แต่ Adjective วางหน้าขยาย Pronoun/Noun เสมอ
Example He is mine. -> He is my boyfriend.
จะเห็นไดว้ า่ mine = Possessive Pronoun แต่ my = Possessive Adjective
หรือ Is this yours? -> Is this your book?
จะเห็นไดว้ ่า yours = Possessive Pronoun แต่ your = Possessive Adjective

9. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป�นคำท่ีมี – self ลงทา้ ย : myself, yourself, ourselves,
themselves, himself, herself, itself
– ใช้เพื่อเนน้ ว่าใครเปน� คนทำ โดยจะวางหลงั คนนน้ั เช่น
She herself doesn’t think she’ll get an A.
The movie itself wasn’t very good but I like the music.
– วางหลงั คำกรยิ า เมื่อกรยิ าของประโยคเป�นกริยาท่ีทำต่อตวั ประธานเอง เช่น
They blamed themselves. (ตามหลงั กริยา blamed)
You are not yourself these days. (ตามหลังกริยา are)
– ใช้ต่อทา้ ยประโยค เมือ่ ตอ้ งการจะเนน้ วา่ เป�นคนทำเอง เชน่
I fixed it myself.
You can do it yourself.

T.Onanong Siripornmanut

Page 15

10. Definite Pronoun (Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง) : this, that, these, those
คือ คำสรรพนามท่ชี ีเ้ ฉพาะเจาะจง
– This ใชช้ ขี้ องหนง่ึ ชน้ิ ท่อี ยู่ใกล้ ๆ
– That ใชช้ ี้ของหนง่ึ ชน้ิ ทีอ่ ยู่ไกล ๆ
– These ใช้ชข้ี องหลายช้ิน ทอ่ี ยใู่ กล้ ๆ
– Those ใชช้ ขี้ องหลายชิน้ ทอ่ี ยไู่ กล ๆ

Note Definite Pronoun ใชล้ ำพังตวั เดยี วได้ แต่ Definite Adjective วางหนา้ ขยาย Pronoun/Noun เสมอ
เชน่ This is a book. -> This book is good.
หรอื Are these free? -> Are these seats free?

11. Indefinite Pronoun (สรรพนามไมเ่ จาะจง) : คำสรรพนามท่พี ูดถงึ โดยรวม ไมเ่ จาะจง คล้ายกนั กบั Common
Noun
Example Everybody loves somebody. ( คนทุกคนยอ่ มมีความรกั ใครสกั คน )
Is there anyone here? ( มใี ครอยู่แถวๆน้ไี หม )
Nobody will believe you. ( ไม่มใี ครเช่ือคุณหรอก )

12. Interrogative Pronoun (สรรพนามคำถาม) : ใชแ้ ทนคำนาม สำหรบั คำถาม
Note : Interrogative Pronoun มีรูปเหมือนกับ Interrogative Adjective
Interrogative Pronoun อยลู่ ำพังได้ แต่ Interrogative Adjective ต้องพง่ึ Pronoun/Noun เสมอ
Example Whose is this? -> Whose dog is this?
หรอื Which is yours? -> Which gift is yours?

13. Relative pronoun (สรรพนามเชือ่ มความ) : ใชเ้ ชือ่ มคำ หรอื ประโยคขา้ งหนา้ และข้างหลงั เข้าด้วยกัน
– Who = ผูซ้ ่ึง/คนที่ ใช้กบั ส่ิงมชี วี ิต
– Whom = ผซู้ ึ่ง/คนท่ี ใช้กบั คน (ทำหนา้ ท่ีเปน� กรรม มักใช้ในภาษาท่ีเปน� ทางการ)
– Whose = เป�นของ ใชแ้ สดงความเป�นเจา้ ของ
– Which = อนั ไหน คนไหน ชิน้ ไหน ใชก้ ับสัตว์และส่ิงของ
– That = ซ่ึง/ท่ี ใช้กบั คน สัตว์ สิง่ ของ (มักใชใ้ นภาษาท่ไี มเ่ ป�นทางการ)
– Where = ท่ี ใชก้ ับสถานที่
– When = ตอน/เม่อื ใช้กับเวลา
– Why = ทำไม ใช้กับเหตุผล
– What = ส่ิงที่/อะไรท่ี ใช้กับสงิ่ ตา่ ง ๆตัวอย่างประโยค
– I will tell you what you need to know. ฉนั จะบอกเรือ่ งที่คณุ จำเปน� ต้องรเู้ อง
– The one who understands me best is myself. คนทเ่ี ขา้ ใจฉันดที สี่ ดุ คือตัวฉนั เอง
– You may read whatever you like at this library. คณุ จะอา่ นอะไรก็ได้ท่ีคณุ ชอบท่หี อ้ งสมุดนี้

T.Onanong Siripornmanut

Page 16

5
Preposition of Location

General Topic สาระสำคัญ:
Preposition คำบพุ บท คอื คำทใี่ ช้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคำ ๆ หน่งึ กับคำอน่ื ในวลหี รอื ประโยค ไม่วา่ จะเปน�
คำนาม คำสรรพนาม หรอื คำกริยา เพื่อบอกเวลา สถานท่ี ตำแหนง่ ทิศทาง วธิ กี าร หรือเหตผุ ล เพือ่ ให้ประโยค
สมบูรณ์
Objective จดุ ประสงค์การเรยี นรูข้ องบทนี้

1. ใชค้ ำบพุ บท (Preposition of location) ได้อยา่ งถูกต้อง
2. มีความร้คู วามเข้าใจเก่ยี วกบั หลักการใช้ Preposition of location
3. เขา้ ใจคำบอกเล่าเกย่ี วกับท่ีตัง้ ของสถานที่ Preposition of location เปน� การสอ่ื สารท่ีจำเปน� ใน

ชวี ิตประจำวนั ทีน่ กั เรยี นต้องเรยี นรู้ เพอื่ การนำไปใช้ได้อย่างถกู ต้อง
Content เน้ือหา
Preposition of location (บพุ บทแสดงตำแหน่งที่ตั้ง)

เมือ่ ต้องการอ้างถงึ ตาํ แหนง่ ท่ีตง้ั ให้ใช้คาํ บุพบท "in" (พ้นื ท่ีหรือปรมิ าตร), "at" (จุด) และ "on" (พื้นผวิ )
⋅ ใชร้ ะบุช่อื ของตำบลทอ่ี ยทู่ ี่กล่าวถงึ
⋅ โดยทัว่ ไป at, in and on ใช้เป�นหลัก
at ใชจ้ ำเพาะเจาะจงสถานท่ี (specific locations),

เช่น บา้ นเลขที่ ทีอ่ ยู่ (addresses), บรษิ ทั ,สำนกั งาน (companies), หา้ งสรรพสนิ คา้ ,ร้านคา้
(stores), งานท่จี ดั ขนึ้ เปน� คร้ังคราว, งานอีเว้นต์ (events), งานเล้ียง, งานสังสรรค์ (parties),
เคร่อื งตกแต่งบ้าน (desks), แท่นทต่ี ง้ั ท่ีวาง (counters)

in ใชก้ บั พน้ื ที่มขี อบเขต (enclosed spaces),
เช่น ตึก,อาคาร (buildings), กอง, แผนก, องคก์ ร (organizations), อาณาเขต (regions),
แหล่งน้ำ (water), พ้นื ท่ีโล่งเตียน (deserts), เทอื กเขา (mountain ranges), ป่า(forests),
เมือง (cities), ประเทศ (countries), ทวีป (continents), ทอ้ งฟ้า (the sky), อวกาศ
(space), พาหนะ (cars), กลุ่ม, เหล่า, พวก,(groups of people), เรอื เลก็ (little boats)

on ใชก้ บั พน้ื ผิว (surfaces),
เช่น ถนน (roads), พ้ืนท่สี ว่ นใด ส่วนหนึง่ (corners), ชายฝง� (shores), ภเู ขา (single
mountains), เกาะ (islands), โลก,ดาวเคราะห์ (planets), รถขนสง่ สาธารณะ (public
transportation), รถจกั รยาน (bikes), เรอื ลำใหญ๋ (big boats), ขั้นบนั ได (stairs), ระเบียง
(balconies), ทางเท้า (walkways)

T.Onanong Siripornmanut

Page 17

At In On

at work in class on the floor

at home in college on the ground

at the bank in the hospital on the freeway

at the beach in my car on the lawn

at 123 Main Street in a taxi on the subway

at IKEA in a canoe on the Titanic

at the party in the sky on the plane

at the bus stop in the universe on Mount Everest

at the ticket counter in the army on the stairs

at my desk in the Rocky Mountains on Mars

at the dinner table in the Pacific on the shore

at the exit in the crowd on the sidewalk

at the supermarket in the theater on the balcony

at the wedding in China on Catalina Island

at the post office in Africa on his motorcycle

More preposition of location

above over in front of opposite
in the middle of underneath
across from in back of by beside
next to near
at the top of on top of close to inside

at the bottom of between

at the back of behind

สังเหตหลกั การใช้ Preposition of location
1. The light is above the desk. (แสงไฟอย่เู หนือโต๊ะทำงาน)
2. She lives in the room across from mine. (หลอ่ นอาศัยอยู่ห้องฝง� ตรงขา้ มกับห้องของผม)
3. I put your name at the top of the list. (ผมใส่ชอ่ื ของคณุ เอาไวด้ ้านบนสุดของรายชือ่ )
4. Can I borrow the book which is at the bottom of the pile? (ผมขอยืมหนงั สือเล่มท่อี ยู่ใตส้ ุดของกอง)
5. My husband likes to sit at the back of the cinema. (สามีของฉันเลอื กนง่ั ด้านท้ายของโรงภาพยนตร)์

T.Onanong Siripornmanut

Page 18

6. My son was hiding behind me while playing hide-and-seek with his friends. (ลูกชายของผมแอบอยู่
ข้างหลังผมขณะที่เลน่ ซอ่ นหากบั พวกเพื่อนๆ)

7. The most comfortable chair is the one beside the window. (เกา้ อ้ีตวั ทีน่ ัง่ สบายทสี่ ุดอยู่ข้างๆหน้าตา่ ง)
8. The little girl is sitting between her father and mother. (หนูน้อยนัง่ ระหวา่ งพ่อและแม่)
9. The big mango tree by the river was blown down last week. (มะมว่ งต้นข้างแม่นำ้ โดนพายุพดั ล้ม)
10. There was a woman standing in front of me. (มีผู้หญิงคนหน่ึงยนื อยู่ข้างหน้าฉัน)
11. Henry was sitting alone in the middle of the yard. (เฮนรนี งั่ อยลุ่ ำพังกลางสวน)
12. My house is near Kasetsart University. (บา้ นของผมอยูไ่ กล้มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์)
13. The nearest bank is next to that convenience store. (ธนาคารอย่ถู ดั ไปจากรา้ นสะดวกซ้อื )
14. The secretary started piling the books on top of each other. (เลขานุการจดั กองหนงั สอื ซอ้ นขน้ึ บน)
15. The fresh market is opposite the hospital. (ตลาดสดอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาล)
16. I found the key I had lost underneath the newspaper. (ผมเจอลูกกุญแจท่ีผมทำหายอยู่ใตห้ นังสืพิมพ์)

T.Onanong Siripornmanut

Page 19

6
Preposition of Place

General Topic สาระสำคัญ:
Preposition คำบพุ บท คอื คำทใี่ ชเ้ ชอื่ มความสมั พันธ์ระหว่างคำ ๆ หนึ่ง กับคำอนื่ ในวลีหรือประโยค ไมว่ า่ จะเปน�
คำนาม คำสรรพนาม หรอื คำกรยิ า เพื่อบอกเวลา สถานที่ ตำแหน่ง ทิศทาง วธิ ีการ หรอื เหตุผล เพ่ือให้ประโยค
สมบรู ณ์
Objective จุดประสงค์การเรยี นรูข้ องบทนี้

4. ใชค้ ำบุพบท (Preposition of location) ได้อย่างถูกต้อง
5. มีความรูค้ วามเขา้ ใจเก่ยี วกับหลักการใช้ Preposition of location
6. เข้าใจคำบอกเล่าเกีย่ วกบั ทต่ี ้งั ของสถานที่ Preposition of location เปน� การสอ่ื สารทีจ่ ำเป�นใน

ชวี ิตประจำวัน ทน่ี ักเรียนต้องเรียนรู้ เพอ่ื การนำไปใชไ้ ด้อย่างถกู ต้อง
Content เนื้อหา
Preposition of place (บุพบทบอกตำแหน่ง หรอื สถานท)ี่ เมือ่ ต้องการอา้ งถึงสถานทใ่ี ห้ใชค้ ําบุพบท "in"
บางอยา่ งทว่ี างอยู่ข้างใน หรืออยูภ่ ายในขอบเขตชัดเจน, "at" บางอยา่ งทรี่ ะบุจดุ ที่อยู่ไว้อย่างชดั เจน, "on" บางอยา่ งที่
วางอยบู่ นพน้ื ผิว และ "inside" บางส่งิ ทีอ่ ย่ภู ายใน นอกจากนยี้ ังมีคำบุพบทบอกสถานท่ีอื่นๆอกี มากมาย เชน่ under,
over, inside, outside, above, below, between, next to, beside, by, near
หลักการใช้ Preposition of place

T.Onanong Siripornmanut

Page 20

Example
1. They will meet in the lunchroom. (พวกเขาจะพบกันในหอ้ งรบั ประทานอาหาร)
2. She was waiting at the corner. (หลอ่ นกำลงั คอยทตี่ รงมมุ )
3. He left his phone on the bed. (เขาลมื โทรศัพทว์ างทง้ิ ไวบ้ นเตยี ง)
4. Place the pen inside the drawer. (จงวางปากกาไว้ข้างในล้ินชัก)
5. The toy is under the table. (ของเลน่ อยู่ใต้โต๊ะ)
6. Put the sandwich over there. (วางแซนวชิ ไวต้ รงนู้นนะ)
7. The key is locked inside the car. (กญุ แจถกู ล็อกไว้ขา้ งในรถ)
8. They stepped outside the house. (พวกเขาก้าวออกจากบา้ น)
9. The temperature is above 40 degrees in summer. (ในฤดูร้อนมีอณุ หภูมิสูงกว่า 40 องศา)
10. He is waving at you from below the stairs. (เขากำลังโบกมอื ให้เธอขา้ งล่างบันได)
11. Our house is between the supermarket and the bank. (บา้ นของเราอย่รู ะหวา่ งซเู ปอร์มารเ์ ก็ตและ

ธนาคาร)
12. Her house’s next to my house. (บ้านของเธออยู่ถัดจากบา้ นของฉนั )
13. My dad's standing beside me. (พอ่ ยืนขา้ งๆฉนั )
14. I’d love to live in a house by the sea. (ฉนั ชอบท่จี ะอาศยั ในบ้านที่อยูต่ ดิ กบั ทะเล)
15. The car is parked near the police station. (รถจอดอยใู่ กลก้ บั สถานีตำรวจ)

T.Onanong Siripornmanut

Page 21

7
Present Continuous Tense

General Topic สาระสำคัญ:
Present Continuous Tense มีชอื่ เรียกอีกอย่างหน่งึ คือ Present Progressive Tense
การใช้ Present Continuous Tense อธบิ ายเก่ียวกับเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ที่กำลังทำอะไรอย่ใู นขณะนนั้
Objective จุดประสงค์การเรยี นรู้ของบทนี้

นกั เรียนเข้าใจหลักการใชแ้ ละโครงสรา้ งของ Present Continuous Tense ไดอ้ ย่างถกู ต้องและเหมาะสม
โครงสร้าง : subject + is, am, are + V. ing

หลกั การใช้ Present Continuous Tense

1. ใช้ present continuous tense กับเหตุการณท์ ี่เกิดขน้ึ ในขณะท่ีพดู นนั้ ซงึ่ โดยมากจะมี คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา
ดังตอ่ ไปน้เี ป�นตวั บง่ ช้ี now at this moment at the moment right now at present = ขณะนี้
- Tell the two boys to stop shouting. We are writing our reports at this moment.
บอกเด็กชาย 2 คนนน้ั ใหห้ ยุดตะโกนหนอ่ ย พวกเรากำลังเขียนรายงานอยู่

2. ใช้ present continuous tense แสดงเหตุการณ์ หรือการกระทำท่ีเกิดขน้ึ ชัว่ คราว โดยกจิ กรรมหรือการกระทำ
เหลา่ นั้นจะไม่คงอย่แู บบถาวร
- My sister is living at home for the moment.
ขณะน้นี ้องสาวผมอย่บู ้าน (อีกไมน่ านหล่อนอาจจะไปที่ไหนกไ็ ด้เพียงแต่ตอนนี้อยบู่ ้าน)
Note: present continuous tense ใช้กบั เหตกุ ารณ์หรือสิ่งที่เกดิ ข้ึนช่วั คราว ไม่ใชเ่ กดิ แบบถาวร
ส่วน present simple tense จะใช้กับส่งิ ที่เกดิ ขนึ้ เป�นปกตวิ ิสยั หรือเกดิ ถาวร

3. ใช้ present continuous tense กบั การเตรยี มการ การวางแผนงาน หรอื การกระทำทคี่ าดวา่ จะเกดิ ขึ้นในอนาคต
อันใกล้ และตอ้ งระบเุ วลาที่การกระทำนัน้ ๆ จะเกดิ ไว้ดว้ ย เพ่อื ไมใ่ ห้เกิดการสับสนระหว่างความหมายทีเ่ ป�นปจ� จุบัน
และความหมายทเี่ ปน� อนาคต เช่น
- I am meeting Peter tonight. He is taking me to theatre.
ฉันจะไปพบปเ� ตอร์คืนนี้ เขาจะพาฉันไปดหู นัง (นัดไวล้ ่วงหนา้ แลว้ )
- She is going to a party next Sunday.
หลอ่ นจะไปงานปาร์ตีใ้ นวันอาทิตยห์ น้า
Note: come และ go ใชใ้ น present continuous tense โดยไม่มคี ำแสดงเวลาก็ได้

4. ใช้ present continuous tense กบั เหตุการณ์หรอื การกระทำท่ีเปน� ปจ� จบุ ัน แต่ไม่จำเป�นต้องเกิดในขณะทพ่ี ูดอยู่

น้ัน เพราะจะเป�นชว่ งเวลายาวๆ เชน่ เปน� สัปดาห์ เดอื น เทอม ป�

T.Onanong Siripornmanut

Page 22

Example
- She is reading a play by Shaw.
หลอ่ นกำลงั อา่ นบทละครของชอว์
(หลอ่ นอาจจะกำลังอ่านอยใู่ นขณะท่พี ูดหรืออาจจะอ่านอยใู่ นช่วงสปั ดาหน์ ้ีหรือ เทอมนี้)

- You look lovely when you are smiling.
คุณดูน่ารักมากเวลาคุณยม้ิ

5. ใช้ present continuous tense อธบิ ายเหตกุ ารณ์ชัว่ คราว
- He usually plays the drums, but he's playing bass guitar tonight.
ปกติเขาตีกลอง แต่คนื น้เี ขาเล่นกตี า้ ร์
- The weather forecast was good, but it's raining at the moment.
อากาศวานนย้ี ังดีอยเู่ ลย แตต่ อนนี้ฝนกำลังตก

6. ใช้ present continuous tense เพื่ออธบิ ายและเน้นสงิ่ ท่เี กดิ ขึ้นอยา่ งต่อเนอื่ งซ้ำ ๆ ร่วมกับ "always, forever
และ constantly"

- Harry and Sally are always arguing! แฮรี และ แซลลีชอบทมุ่ เถียงกนั เป�นประจำ
- You're constantly complaining about your mother-in-law! คุณกำลังบน่ ถงึ แม่ยายน่ีนา

เพมิ่ เติม หลักการเติม ing ท้ายคำกริยาโดยทว่ั ไปสามารถเติม ing ได้เลย แต่มขี ้อยกเว้นบางกรณี ดังน้ี

1. คำกรยิ านั้นมสี ระเสยี งสัน้ (อะ อิ อุ เอะ โอะ ฯลฯ) และโดยมากมักเปน� a, e, i, o, u อยูห่ นา้ พยญั ชนะท้าย หรือ
คำกริยานน้ั ๆ มตี วั สะกดเพยี งตวั เดียว กอ่ นเติม ing ใหเ้ พ่ิมตวั สะกดของคำน้นั ซำ้ อกี ตวั หนึ่งแลว้ จงึ เตมิ ing เช่น

sit ---> sitting
cut ---> cutting
get ---> getting
shop ---> shopping

2. คำกรยิ านน้ั ลงทา้ ยดว้ ย e ใหต้ ดั e ทิง้ แลว้ เตมิ ing เช่น
come ---> coming
drive ---> driving
make ---> making
ride ---> riding
smoke ---> smoking

T.Onanong Siripornmanut

Page 23

3. คำกรยิ าท่มี สี ระ 2 ตัว (A, E, I, O, U) ให้เติม ing ไดเ้ ลย เชน่
cook ---> cooking
keep ---> keeping
read ---> reading

4. คำกริยาทลี่ งท้ายด้วย ie ให้เปลีย่ น ie เปน� y แล้วจึงเตมิ ing เช่น
die ---> dying
lie ---> lying

5. คำกรยิ าท่มี ีสองพยางค์ และออกเสียงหนัก (stress) ที่พยางค์หลงั โดยพยางค์นัน้ มสี ระและตัวสะกดเพยี งตัวเดียว ให้
เพม่ิ ตวั สะกดของคำนนั้ ซ้ำอีกตวั หนงึ่ แลว้ จงึ เตมิ ing เชน่

begin ---> beginning
refer ---> referring
swim ---> swimming
Note : คำกริยาบางตัวไมส่ ามารถนำมาใช้ในรปู ประโยค Present Continuous Tense ได้ ดงั น้ี
1. กริยาท่แี สดงถึงประสาทสัมผัสทงั้ หา้ เชน่ see, hear, feel, taste, smell
2. กรยิ าที่แสดงความรสู้ กึ นกึ คดิ เช่น believe, know, understand, forget, remember, recognize, fear
3. กริยาที่แสดงความชอบและไมช่ อบ เชน่ love, like, hate, dislike, desire
4. กรยิ าทแ่ี สดงความต้องการ เชน่ want, wish, prefer

T.Onanong Siripornmanut

Page 24

8
Adjective Comparison

General Topic สาระสำคัญ:
คำคุณศัพท์ คอื คำท่ีทำหน้าท่ีขยายคำนาม ซ่ึงการใช้คำคุณศัพท์ในการเปรียบเทยี บมีอยู่ 3 ขัน้ คอื ข้นั ปกติ
(Positive/Regular degree), ขน้ั กวา่ (Comparative degree), และขนั้ สุด (Superlative degree)

Objective จุดประสงค์การเรยี นรขู้ องบทนี้
1. เขา้ ใจหลกั การใชแ้ ละโครงสร้างของ การเปรยี บเทยี บมีอยู่ 3 ขน้ั ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
2. เข้าใจหลกั การเปล่ยี นรูป adjective – adverb ทง้ั 3 ขั้น ได้อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม
3. ใช้การเปรยี บเทยี บข้นั ปกติ Positive degree และ as…as ในการเปรยี บเทียบ 2 สง่ิ ได้ถกู ต้อง
4. ใชก้ ารเปรียบเทียบขั้นปกติกว่า Comparative degree ในการเปรยี บเทยี บ 2 ส่งิ ได้ถูกต้อง

Content เนื้อหา
การเปรียบเทยี บคำคุณศัพท์ comparison of adjectives คือการให้ความหมายที่เกีย่ วกับปรมิ าณหรือจำนวนมากน้อย
กวา่ กัน หรือมากทีส่ ุด คำ adjective ธรรมดา ถือว่าอยู่ในขั้นปกตคิ ือ Positive Degree ข้ันที่เปรียบเทียบความมาก
นอ้ ยกว่ากนั อยู่ในขน้ั Comparative Degree และขน้ั ท่ีให้ความหมายท่ีสุด สงู สุด ตำ่ สุด มากทส่ี ุด น้อยที่สุด จัดอยู่ใน
ขน้ั Superlative Degree

วิธีการแปลง adjective (ข้นั ธรรมดา) Positive ใหเ้ ปน� adjective ในขัน้ Comparative (ขั้นกวา่ )
และขั้น Superlative (ข้ันสุด) ทำได้ดงั น้ี

1. adjective โดยทว่ั ไป ซงึ่ เป�นคำ 1- 2 พยางค์ บางคำใช้เติม -er และ -est

ขัน้ ธรรมดา ข้ันกว่า ขน้ั สดุ คำแปล
Meaning
Positive degree Comparative degree Superlative degree
หวาน
sweet sweeter sweetest หนุ่ม, ออ่ นเยาว์

young younger youngest สูง
เล็ก
tall taller tallest หนาวเยน็
ยาก,แขง็
small smaller smallest แคบ

cold colder coldest

hard harder hardest

narrow narrower narrowest

T.Onanong Siripornmanut

Page 25

2. adjective ข้ัน Positive degree ที่ลงท้ายคำดว้ ย -e ให้เติมเฉพาะ -r และ -st ลงทา้ ยคำเม่ือตอ้ งการเปลี่ยนให้เป�น

ขั้นกวา่ และขนั้ สุด ตามลำดับ

ขน้ั ธรรมดา ข้ันกวา่ ขน้ั สดุ คำแปล

Positive degree Comparative degree Superlative degree Meaning

brave braver bravest กล้าหาญ

fine finer finest ด,ี งาม

wise wiser wisest ฉลาด

3. adjective ขั้น positive degree ท่ีลงทา้ ยดว้ ย y และ หนา้ y เปน� พญชั นะ ใหเ้ ปล่ยี น y เป�น i แลว้ เติม -er

และ -est ลงไปในขัน้ กวา่ และข้นั สุดตามลำดบั

ข้ันธรรมดา ขน้ั กวา่ ข้นั สดุ คำแปล

Positive degree Comparative degree Superlative degree Meaning

heavy happier happiest หนัก

happy heavier heaviest มีความสุข

wealthy wealthier wealthiest ร่ำรวย

4. adjective ข้ัน positive degree ที่เป�นคำพยางคเ์ ดยี ว เสยี งสน้ั สระตัวเดียว ลงทา้ ยดว้ ยพยญั ชนะตวั เดยี ว ให้เตมิ

พยญั ชนะตัวน้นั ลงไปอีก 1 ตัว ก่อนเติม -er ในขั้นกวา่ และ -est ในขัน้ สุด

ขนั้ ธรรมดา ข้ันกวา่ ขั้นสุด คำแปล

Positive degree Comparative degree Superlative degree Meaning

big bigger biggest ใหญ่

fat fatter fattest อว้ น

thin thinner thinnest บาง, ผอม

5. adjective ท่ีมีหลายพยางค์ ลงทา้ ยดว้ ย -ed, -ing -ful – ient -ive -ous -ious เมอ่ื ทำเป�น comparative และ
superlative degree ใหเ้ ตมิ more/less และ most/least ลงข้างหนา้ ตามลำดับ

ขนั้ ธรรมดา ขัน้ กว่า ข้นั สุด คำแปล
Positive degree Comparative degree Superlative degree Meaning

Interesting more/less interesting most/ least interesting นา่ สนใจ
beautiful more/less beautiful most/ least beautiful สวย
attractive more/less attractive most/ least attractive ดึงดูดความสนใจ

T.Onanong Siripornmanut

Page 26

6. adjective บางคำเมื่ออย่ใู นขั้นกวา่ และข้ันสุดจะเปลีย่ นรูปไปเลย เรยี กว่า Irregular comparison

ขั้นธรรมดา ขน้ั กว่า ขน้ั สุด คำแปล

Positive degree Comparative degree Superlative degree Meaning

good better best ดี

bad worse worst เลว

far farther/further farthest/furthest ไกล

many more most มาก

little less least เล็ก

Comparison of Adjectives

หลกั การใช้ Comparison of Adjectives (การเปรียบเทยี บ)
การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์มีอยู่ 3 ขัน้ คือ

- ขน้ั ธรรมดา (Positive Degree)

- ขัน้ กวา่ (Comparative Degree)

- ขน้ั สดุ (Superlative Degree)

1) การเปรียบเทยี บข้นั ธรรมดา (Positive Degree)

การเปรยี บเทียบขน้ั ธรรมดา เปน� การเปรยี บเทยี บคน สิง่ ของ สถานที่ ฯลฯ จำนวน 2 คน 2 อยา่ ง 2 สถานท่ี
ฯลฯ เชน่ ถ้าเป�น คน จะเปน� การเปรยี บเทยี บ

คน 2 คน
คน 1 คน กับ คน 1 กลมุ่
คน 1 กลุ่ม กับ คนอีก 1 กล่มุ
การเปรยี บเทียบข้นั ธรรมดานี้เป�นการเปรยี บเทียบคณุ สมบตั ทิ ่ีเหมอื นกนั หรอื เท่าเทยี มกนั มีวิธกี ารเปรียบเทียบโดยใช้
โครงสร้าง ดังน้ี

 as + adjective/adverb + as
ประโยคบอกเล่าใช้ as … as เชน่
- Sunan is as tall as Pranee.
- This washing machine is as expensive as that one.
ประโยคปฏิเสธใช้ not as … as หรือ not so … as เชน่
- Sunee is not as tall as Sunan and Pranee.
- A bicycle is not so expensive as a motorcycle.

T.Onanong Siripornmanut

Page 27

2) การเปรยี บเทียบขัน้ กวา่ (Comparative Degree)
การเปรียบเทียบขน้ั กวา่ เปน� การเปรียบเทียบคน สง่ิ ของ หรือสถานที่ ฯลฯ จำนวน 2 คน 2 อย่าง หรือ 2 สถานที่

ฯลฯ ในทำนอง ‘น้อยกวา่ /มากกว่า’ เชน่ ถา้ เปน� คน จะเป�นการเปรยี บเทยี บ
คน 2 คน
คน 1 คน กบั คน 1 กล่มุ
คน 1 กลุม่ กับ คนอีก 1 กลุม่

Example The bicycle is slower than the motorcycle.
The motorcycle is faster than the bicycle.
Cars and motorcycles are faster than bicycles.
Gold is more expensive than silver.
Silver is less expensive than gold.

เมื่อนำคณุ ศัพท์ข้ันกวา่ มาใชเ้ ปรียบเทยี บกบั คำนาม ( noun ) ด้วยกัน ให้ใช้รปู แบบดังน้ี
- fewer + นามพหูพจน์นับได้ + than = น้อยกวา่
- less + นามนับไมไ่ ด้ + than = นอ้ ยกว่า
- more + นามพหพู จน์นับได้, นามนับไม่ได้ + than = มากกว่า เช่น

Note: ในการเปรียบเทียบขั้นกว่า จะตอ้ งใช้ than หลังคำคุณศัพท์ แลว้ ตามดว้ ยคำนามทเ่ี ปน� ตัวเปรยี บเทยี บ
- There are fewer students in this room than in that room. มนี กั เรยี นในห้องนี้น้อยกว่าในห้องน้ัน
- I spent less money than you. ฉนั ใช้จา่ ยเงนิ น้อยกว่าคณุ
- There are more students in this room than in that room. มนี ักเรยี นในห้องน้ี มากกวา่ ในห้องนน้ั
- My mother has more money than my father. แมข่ องฉนั มเี งนิ มากกว่าพอ่

3) การเปรยี บเทียบขน้ั สุด (Superlative Degree)
การเปรยี บเทียบขนั้ สดุ เป�นการเปรยี บเทียบคน ส่งิ ของ หรอื สถานที่ ฯลฯ ทีม่ จี ำนวน 3 คน 3 อย่าง

หรือ 3 สถานท่ี ฯลฯ ข้ึนไป แสดงวา่ คนหนึ่งคนใด สงิ่ หน่ึงส่ิงใด ฯลฯ เปน� ท่หี น่ึงเดยี วในกลมุ่ คนหรือส่ิงของอย่าง
เดียวกนั นนั้ ฯลฯ

- Of the five boys, John is the tallest. ในจำนวนเด็กชาย 5 คน จอหน์ สูงที่สดุ
- His house is the largest in this village. บ้านของเขาหลงั ใหญ่ทส่ี ดุ ในหมู่บ้าน
- Julie is the most intelligent woman I have ever met. จูลีเปน� ผ้หู ญิงที่ฉลาดท่สี ดุ เท่าท่ีฉันเคยพบมา
- Many people think that the visitor’s speech was the most boring one. หลายคนคิดวา่ การพดู
ของแขกทีม่ าเยือนเปน� ท่อนท่ีนา่ เบ่ือทีส่ ดุ
Note: ในการเปรยี บเทียบข้นั ทีส่ ุด จะตอ้ งใช้ the นำหน้าคำคณุ ศัพทด์ ้วย

T.Onanong Siripornmanut

Page 28

9
If Clauses

General Topic สาระสำคัญ:

If clauses หรือในบางทกี เ็ รียกวา่ Conditional sentences นน้ั คอื ประโยคเงื่อนไข นัน่ เองซึ่งประโยคเงื่อนไขนน้ั

มักจะประกอบดว้ ยสองประโยคหรือมากกวา่ นนั้

Objective จดุ ประสงค์การเรียนรู้ของบทน้ี

1. เขา้ ใจหลักการใช้และโครงสร้างของ If clauses ประกอบด้วย 2 สว่ น ท่เี ป�นเหตเุ ป�นผลกนั

2. สามารถระบุ รูปแบบของ If clauses ทงั้ 4 แบบ ได้

Content เนื้อหา

If-clause คือ ประโยคทบี่ อกถงึ เงือ่ นไขของผู้พูด หรอื เหตกุ ารณ์สมมติ ประกอบด้วย 2 สว่ น คือ

If clause , main clause หรอื main clause if clause

- If you love me, I will love you. I will love you if you love me.

ประโยคสองประโยคนส้ี ลับที่กันได้ จะยกประโยคไหนข้ึนต้นก็ได้ แล้วแต่การเน้นและความหมาย

โครงสรา้ ง if clause มีทงั้ หมด 4 Type ดงั น้ี

Type 0 If S + V1, S + V1 เปน� ความจริงทท่ี ราบกันดี

Type 1 If S + V1, S + will V เหตุการณท์ ่ีคาดวา่ จะเปน� ไปไดจ้ ริง

Type 2 If S + V2, S + would V เหตุการณ์ท่ีไม่เปน� ความจรงิ ในป�จจบุ นั และในอนาคต

Type 3 If S + had V3, S + would have V3 เหตุการณเ์ กดิ ในอดตี เอามาสมมตุ ใิ หต้ รงกนั ขา้ ม ท่ไี ม่

เป�นจริงไดใ้ นป�จจุบัน

Type 0 หลักการใช้ If S + V1, S + V1
ใชส้ ำหรับพดู ถึงความจรงิ ทั่วไป ถา้ เกิดสิ่งหน่งึ ต้องเกดิ อีกส่ิงหนึง่ เสมอ

- If water reaches 100 degrees, it boils. เม่ืออุณหภูมินำ้ สูงเทา่ กับ 100 องศาเซลเซียส นำ้ จะเดือดเสมอ
- f people eat too much, they get fat. ถ้ากนิ มากจะอ้วน
- If you touch a fire, you get burned. ถ้าแตะไฟกจ็ ะโดนลวก
- People die if they don’t eat. คนเราจะตายถ้าไมก่ นิ อาหาร
- You get water if you mix hydrogen and oxygen. ถ้ารวมไฮโดรเจนกับอ๊อกซเิ จนจะไดน้ ำ้
- Snakes bite if they are scared. งูจะกดั เวลารสู้ ึกกลวั
- If babies are hungry, they cry. ทารกจะรอ้ งไห้ถ้ารู้สกึ หวิ
Note : ประโยคลักษณะนี้ เราจะใชค้ ำวา่ when (เมื่อ) แทน if กไ็ ด้

T.Onanong Siripornmanut

Page 29

Type 1 หลักการใช้ If S + V1, S + will V
ใช้กับเหตุการณท์ เ่ี ป�นเหตุเปน� ผลซึง่ กันและกนั ถา้ สิ่งหน่งึ เกิดขึ้น อกี สิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกดิ ข้ึน

- If it rains, I won’t go to the park. ถ้าฝนตก ฉันจะไมไ่ ปสวนสาธารณะ
- If I study today, I‘ll go to the party tonight. ถ้าวันนฉ้ี ันอ่านหนังสือ คนื น้ีจะไปปารต์ ้ี
- If I have enough money, I‘ll buy some new shoes. ถ้ามีเงนิ พอ ฉนั จะซ้ือรองเท้าใหม่
- She‘ll be late if the train is delayed. เธอจะไปสายถ้ารถไฟมาชา้
- She‘ll miss the bus if she doesn’t leave soon. เธอจะไมท่ นั รถเมล์ถา้ ไม่ออกจากบ้านตอนนี้
- If I see her, I‘ll tell her. ถ้าพบเขาฉันจะบอกเขา
Note : Type 0 กับ Type 1 ต่างกันตรงทีเ่ จตนาของผใู้ ชก้ ับสถานการณ์คนละประเภท

ดตู วั อยา่ งทั้ง 2 สถานการณอ์ ีกครั้ง
Type 0 : If you sit in the sun, you get burned. (ใครกต็ ามที่) น่ังตากแดดจะผิวไหม้
Type 1 : If you sit in the sun, you’ll get burned. ถ้าเธอนัง่ ตากแดดผวิ เธอจะไหม้นะ

Type 2 หลกั การใช้ If S + V2, S + would V
ใช้กับเหตกุ ารณท์ ไ่ี ม่เกดิ ข้นึ จริงในปจ� จบุ นั หรอื อนาคต

- If I won the first prize of lottery, I would buy a big house. ถา้ ถูกลอ็ ตเตอรรี่ างวลั ท่ี 1 จะซอื้ บ้าน
หลงั ใหญ่ (ขณะพูด ตรวจแล้วแคเ่ ฉียดรางวลั ที่ 1)

- If I met the Queen of England, I would say hello. ถ้าได้พบราชีนีอังกฤษฉนั จะกล่าวสวัสดี
(ปจ� จบุ ัน ไม่พบ)

- If I had his number, I would call him. ถา้ มเี บอร์เขาฉนั จะโทรหาเขา (แต่จริงๆฉันไมม่ ีเบอรเ์ ขา)
- If I were you, I would go out with him. ถา้ ฉันเปน� เธอฉนั จะออกไปเทย่ี วกบั เขา (เร่ืองจริงคือ ไม่ใช่แฟน

ทำแทนไม่ได)้
- If he were here right now, he would help us. ถ้าเขาอย่ทู ่นี ่ีตอนนี้นะ เขาจะมาช่วยพวกเรา

(ตอนนี้เขาไปอยู่ที่อืน่ )
- If the weather were nicer, we would eat dinner outside. ถ้าอากาศดกี วา่ น้ี เราจะกินอาหารเยน็ นอก

บา้ นกัน (ขณะนี้อากาศฟ้าฝนไม่แน่ไม่นอน)
Note : .Type 2 ใน if clause ถ้าคำกริ ิยาเป�น verb to be จะใช้ were ได้กบั ประธานทุกตวั (เป�นกฎการใช้
subjunctive verb with If Type 2

T.Onanong Siripornmanut

Page 30

Type 3 หลักการใช้ If S +had V3, S + would have V3
ใชก้ บั เหตุการณ์ทต่ี รงขา้ มความจริงในอดีต

- If she had studied, she would have passed the exam. ถ้าเขาอ่านหนงั สอื เขาคงสอบผ่านไปแล้ว
(ซง่ึ จริงๆผู้พูดรู้วา่ ไม่ได้อ่านและสอบตก)

- If I hadn’t eaten so much, I wouldn’t have felt sick. ถ้ากนิ ไมม่ ากฉันคงไม่ป่วย (แตจ่ รงิ ๆฉันกนิ
เยอะ จงึ ปว่ ย)

- If we had taken a taxi, we wouldn’t have missed the plane. ถา้ เราข้ึนแท็กซ่มี าเราคงไม่ตก
เครือ่ งบิน

- She wouldn’t have been tired if she had gone to bed earlier. เธอจะไมเ่ พลียถ้าเขา้ นอนเรว็ กวา่ น้ี

T.Onanong Siripornmanut

Page 31

10
Present Simple Tense

General Topic สาระสำคัญ:
Present แปลวา่ ปจ� จบุ ัน สว่ น Simple แปลวา่ ธรรมดา ดงั นน้ั Present Simple Tense จึงเปน� ประโยคท่มี ี

โครงสรา้ งแบบง่าย ๆ ธรรมดา ท่ีพูดถึงเหตุการณใ์ นปจ� จุบัน (Present), ลกั ษณะนิสัย Habits, ความจริง (Truth)
Objective จุดประสงค์การเรียนรขู้ องบทนี้

1. นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของประโยคทีม่ ีโครงสรา้ งแบบ Present Simple Tense ได้

2. นกั เรียนสามารถเขยี นประโยคทม่ี ีโครงสร้างแบบ Present Simple Tense ไดท้ ้งั ประโยคบอกเลา่
ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม

3. นักเรยี นสามารถใช้ Present Simple Tense ได้อยา่ งถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
Content เน้ือหา
โครงสรา้ งประโยค Present Simple Tense คอื S + V 1

การใช้ Present Simple Tense

1. ใชแ้ สดงความจรงิ ตามธรรมชาติ หรือข้อความจริงโดยท่ัวไป
- The sun rises in the east. ดวงอาทติ ย์ขน้ึ ทางทิศตะวันออก
- Light moves faster than sound. แสงเดินทางเรว็ กว่าเสียง

2. ใชแ้ สดงการกระทำที่ทำจนเป�นกิจวตั ร เปน� ปกติ เป�นนิสัยถาวร หรอื แสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ (Adverbs of

Frequency)

Adverbs of frequency ความหมาย ความถี่

always สม่ำเสมอ 100%

usually เป�นประจำ 90%

often บ่อย ๆ 70%

sometimes บางคร้งั 50%

hardly / rarely แทบจะไม่ 5%

never ไม่เคย 0%

- I drink a glass of coffee every day. ฉันดม่ื กาแฟ 1 แก้วทุกวนั
- Every day คอื คำ adverb of time เพอื่ แสดงถึงการกระทำที่ทำจนเปน� นิสัยถาวร ความบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ
- He often comes late to school. เขามักจะมาโรงเรยี นสายเปน� นจิ

T.Onanong Siripornmanut

Page 32

3. ใชเ้ มื่อต้องการพูดถงึ ตารางเวลา (Schedule) หรอื แผนการ (Plan) ท่ีไดว้ างไว้
- The meeting starts from 8.30 am until 10.00 pm.การประชุมเริม่ ตอนแปดโมงครึ่งตอนเชา้ ไปยังส่ที ุ่ม
- The bus leaves at 5 PM. รถประจำทางออกตอน 5 โมงเยน็
- The plane arrives at 10 AM. เครือ่ งบินมาถึงเวลา 10 โมง
- The party starts at 22.00. งานเล้ียงเริม่ เวลา 22.00

หลกั การเตมิ –s และ – es หลงั V1

1. เตมิ s ได้ทนั ท่ีหลังคำกริยาปกติทั่วๆ ไป

walk – walks eat – eats
moves
read – reads move – listens
kisses
swim – swims listen – washes
goes
2. เตมิ es หลงั คำหรยิ าท่ีลงทา้ ยด้วย s , ss , sh , ch , x , z และ o เช่น cries
tries
dress – dresses kiss – buys
says
teach – teaches wash –

fix – fixes go –

3. คำกรยิ าท่ลี งท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป�น i แล้วเติม es เชน่

study – studies cry –

fly – flies try –

** ยกเวน้ ถา้ หนา้ y เปน� สระ ( a , e , i , o , u ) ให้เติม s ไดเ้ ลย เช่น

play – plays buy –

stay – stays say –

หลักการเขียนประโยค Present Simple tense เปน� บอกเล่า - ปฏเิ สธ - คำถาม

โครงสรา้ ง Subject + Verb1

ประโยคบอกเลา่ I / You / We / They eat seafood.
He / She / It knows about you.

โครงสรา้ ง S + do/does + not + V1

ประโยคปฏเิ สธ I / You / We / do not eat seafood.
They

He / She / It does not know about you.

โครงสรา้ ง Do/Does + S + V1 ?

ประโยคคำถาม Do I / you / we / they eat seafood?
Does he / she / it know about you?

T.Onanong Siripornmanut

Page 33

โครงสร้าง Who/What/Where/When/Why/How + do/does + Subject +Verb1?

ประโยคคำถาม Why do I / you / we / eat seafood?
Wh- What does they

he / she / it know about you?

ประโยคบอกเล่า

ประธานเอกพจน์ 1 เดียวหรือนับไม่ได้ ตอ้ งเตมิ s หรือ es ที่กริยา เช่น love-loves, speak-speaks, delay-delays

เป�นตน้

ประธานพหูพจน์ (มากกวา่ 1) หรอื สรรพนามบุรุษท่ี 2 (you) ใช้รปู กริยาปกติ ไมต่ ้องเติม s

ประโยคปฏิเสธ

เราจะต้องใช้กรยิ าช่วย do/does เขา้ มาเสรมิ ในประโยค ก่อนเติม not หนา้ กริยา แตน่ ้อง ๆ ต้องจำให้ไดน้ ะวา่ พอมี

กรยิ าช่วย do/does แล้ว กรยิ าหลกั ของประโยคนนั้ เราจะใช้รปู ปกติ

เชน่ does not send ไม่ใช่ does not sends

do not talk ไม่ใช่ do not talks

ประโยคคำถาม

ประโยคคำถามจะคล้ายกับประโยคปฏิเสธตรงทีเ่ ราจะต้องใช้กริยาช่วย do/does เหมือนกนั

แตว่ ่า do/does จะถูกย้ายมาอย่ขู ้างหน้าประธานในประโยค โดยท่ี do/does จะอยู่หลงั wh-question อยา่ ง what,

when, where, why, how ถ้ามใี นคำถาม

Note: รูปย่อของ do not/ does not สามารถใชไ้ ดใ้ นภาษาพูด หรือภาษาที่ไม่เปน� ทางการ

do not = don’t

does not = doesn’t

T.Onanong Siripornmanut

Page 34

11
Future simple VS Be going to

General Topic สาระสำคัญ:
Future Simple Tense (will+V) และ Be going to + V มคี วามหมายเหมอื นกนั คือหมายถึง “จะ” ใช้เพ่ือพูดถงึ
เหตุการณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต แตท่ ัง้ 2 คำน้มี จี ุดที่แตกต่างกนั
Objective จุดประสงค์การเรยี นรขู้ องบทนี้

1. นกั เรยี นสามารถอธิบายความแตกตา่ งกันของ Future Simple Tense และ be going to + v ได้
2. นกั เรยี นสามารถเขยี นประโยคทมี่ โี ครงสรา้ ง Future Simple Tense และ be going to + v ไดท้ ัง้

ประโยคบอกเลา่ ประโยคปฏเิ สธ และประโยคคำถาม
3. นักเรยี นสามารถใช้ Future Simple Tense และ be going to + v ไดอ้ ย่างถูกต้อง
Content เนื้อหา
เปรียบเทยี บชว่ งเวลาเม่อื ใช้ will และ ใช้ going to

now now

• I will do • I am going to do

past future past future

• Decision now • Decision before

การใช้ Will
1. Will ใชใ้ นการบอกวา่ จะทำ เป�นตดั สินใจโดยทันที โดยทีไ่ ม่ได้คิดหรือวางแผนไว้ก่อน
2. Will ใช้ในการคาดเดาหรือแสดงความคดิ เก่ียวเหตกุ ารณท์ ีจ่ ะเกิดขนึ้ ในอนาคต
เนอ่ื งจากวา่ เป�นการคิดหรือคาดการณ์ จงึ มีคำเหล่านี้อยู่ดว้ ย probably อาจจะ think คดิ ว่า sure ม่นั ใจ
expect คาดว่า know ร้วู ่า hope หวังว่า

 โครงสรา้ ง S + will +V ประโยคบอกเลา่
- It will probably snow tomorrow. หมิ ะอาจจะตกพรุ่งนี้
- I think you will win this game. ผมคดิ วา่ คุณจะชนะเกมนี้
- I hope you will help me. ผมหวังว่าคุณจะช่วยผม

T.Onanong Siripornmanut

Page 35

- That boat doesn’t look very safe. It’ll sink in that heavy sea.
เรอื ลำน้ันดไู ม่ค่อยปลอดภัย มันอาจจะจมในทะเลที่คลืน่ ลมแรง

- I will call you when I arrive. ฉันจะโทรหาคณุ เมอ่ื ฉันมาถึง
- Don’t worry. I’ll take care of it. อย่ากงั วลไปเลย ฉันจะจัดการเอง
-
 โครงสรา้ ง S + will not (won’t) /never +V ประโยคปฏเิ สธ
- I will never let you down. ฉันจะไม่ทำให้เธอผดิ หวัง
- I won’t do it again. ฉนั จะไมท่ ำอีกแลว้
- Don’t worry. I won’t tell your parents. ไมต่ อ้ งห่วง ฉันจะไมบ่ อกพ่อแม่ของเธอ
-
 โครงสร้าง will +S +V ประโยคคำถาม

A : Will you come to school next week? คุณจะมาโรงเรยี นมย้ั อาทิตย์หน้า

B : Yes, I will . มา ฉนั จะมา

A: Will they get divorced? พวกเขาจะหยา่ ร้างกนั ไหม
B: No, they won’t. ไมห่ รอก

 โครงสร้าง Who, Whom, Whose, What, Where, When, Why, will +S +V ประโยคคำถาม Wh-words
A: When will you travel again? คุณจะไปเท่ียวอกี ครั้งเมือ่ ไหร่
B: I will travel again after Covid-19 pandemic. ฉันจะไปเท่ยี วอีกคร้ังหลงั การระบาดของเชือ้ โควิด19

A: Whose car will you get into while travelling? คณุ จะขนึ้ รถใครเมือ่ ไปเทย่ี ว
B: I will get into Michel’s car for sure! ฉันจะขึน้ รถของไมเคิลแนน่ อน

การใช้ be going to
1. Going to ใชใ้ นการพูดถึงเหตุการณ์ทีจ่ ะเกดิ ขึ้นในอนาคต โดยมคี ดิ หรือวางแผนไว้ก่อนแลว้ ว่าจะทำ
2. Going to ใช้ในการพดู ถึงสิ่งท่ีจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตคอ่ นข้างแน่นอน (มหี ลกั ฐานหรือเหตผุ ลประกอบ)

 โครงสร้าง S + is/am/are going to + v. ประโยคบอกเลา่
- Look at that boat! It’s going to sink. มองดูเรอื ลำนั้นสิ มันกำลงั จะจม
- Look at the clouds. It is going to rain soon. ดูเมฆสิ ฝนจะตกในไม่ช้า
- Look out! That boy is going to fall down. ระวัง เด็กชายคนน้ันจะตกลงมาแลว้

T.Onanong Siripornmanut

Page 36

 โครงสรา้ ง S + is/am/are not going to + v. ประโยคปฏิเสธ
- The machine is quite old. I’m afraid it’s not going to work.

เคร่ืองจักรค่อนขา้ งเก่า ผมเกรงว่ามันจะไมท่ ำงาน
- If we hurry, I’m sure we’re not going to miss the train. ถ้าเรารีบ ผมแนใ่ จว่าเราจะไม่พลาดรถไฟ
 โครงสร้าง is/am/are+ S + going to + v. ประโยคคำถาม

A : Are we going to tell him when he asks us? เราจะบอกเขาไหมหากเขาถามเรา
B : No. We won’t let him know. ไม่ เราจะไม่ให้เขารู้
 โครงสรา้ ง Who, What, Where, When, Why, How long is/am/are + S + going to + v. ประโยค
คำถาม Wh-words
A : When are you going to return my book? เมอื่ ไรคณุ จะคนื หนงั สอื ของดิฉนั
B : Tomorrow. พรงุ่ น้ี

T.Onanong Siripornmanut

Page 37

12
Past Simple Tense

General Topic สาระสำคัญ:
Past Simple Tense ใชพ้ ดู ถึงเหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดข้นึ ในอดตี และจบสิ้นลงไปแล้ว โดยมกั จะมกี ารระบชุ ว่ งเวลาไว้ด้วย
Objective จุดประสงค์การเรียนรู้ของบทนี้

1. นักเรียนสามารถใช้ Past simple – regular & Irregular verbs (affirmative, negative,
interrogative forms and short answers) ได้ถูกตอ้ ง

2. นกั เรียนสามารถเปลย่ี นรปู แบบกรยิ า 2 กลุม่ กริยาปกติ regular verb เติม ed และใชก้ รยิ าไม่ปกติ
Irregular verb ผันรูปและเสยี ง เม่ืออยู่ใน past form ได้

Content เนอื้ หา
 โครงสร้าง Past Simple Tense S + V2

โดยท่วั ไปในภาษาอังกฤษ ผันกรยิ าได้ 3 ชอ่ ง แบ่งกริยาเปน� 2 กลุ่ม
1. กริยาปกติ regular verb
2. กรยิ าไม่ปกติ Irregular verb ผันรูปและเสียง

1. กรยิ า Regular Verb เตมิ ed เมือ่ เปน� Past form มหี ลักการเติมดังน้ี
1.1 เตมิ –ed ในกริยาปกติ
เชน่ walk- walked เดิน cook – cooked หุง ทำอาหาร listen – listened ฟ�ง rain – rained ฝนตก
1.2 เติม –d เมื่อกริยาลงท้ายด้วย –e
เช่น love - loved รกั move - move เคล่ือน hope - hoped หวงั agree – agreed เห็นดว้ ย
1.3 เปลย่ี น y เป�น i แล้วเติม –ed แต่ถา้ หนา้ y เป�นสระ เติม ed ได้เลย
เชน่ deny – denied ปฏเิ สธ modify - modified ปรับเปลยี่ น worry - worried กงั วลใจ
play – played เลน่ stay – stayed พกั , อาศัย enjoy – enjoyed สนุก
1.4 เพิ่มพยญั ชนะท้ายอีก 1 ตวั แลว้ เตมิ –ed ในกรณีที่เสยี งสัน้ 1 พยางค์ สระตวั เดยี วและ พยญั ชนะตัวเดียว
เช่น stop - stopped หยดุ beg - begged ขอร้อง plan – planned วางแผน
1.5 เพิ่มพยัญชนะท้ายอีก 1 ตัว แล้ว เติม -ed กรยิ าทม่ี ี 2 พยางค์ แตล่ งเสยี งหนักพยางคห์ ลัง และพยางคห์ ลัง
น้นั มสี ระตวั เดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะท่เี ป�นตัวสะกดตวั เดียว
เชน่ concur – concurred ตกลง, เหน็ ด้วย occur – occurred เกดิ ข้ึน refer – referred อ้างถึง
transfer – transferred โยกยา้ ย permit – permitted อนญุ าต regret – regretted เสยี ใจ

T.Onanong Siripornmanut

Page 38

2. กริยา Irregular Verb ในภาษาอังกฤษ มีประมาณ 200 คํา แบ่งออกเป�น 4 groups
Group 1 - คํากรยิ าทม่ี ีรูปแบบเดยี วกัน ท้ัง V1 -V2 -V3

V1 V2 V3 meaning

bet bet bet เดิมพนั

cost cost cost มีราคา

cut cut cut ตัด

hit hit hit ตี

hurt hurt hurt เจบ็

Group 2 – คาํ กรยิ าท่ีมี V2 และ V3 เหมือนกัน V3 meaning
brought นำมา
V1 V2 bought ซ้ือ
bring brought fought ตอ่ สู้
buy bought thought คิด
fight fought
think thought caught จับ
catch caught

Group 3 - คาํ กรยิ าทมี่ ีรปู แบบ V1 เหมือนกับ V3

V1 V2 V3 meaning
become กลายเป�น
become became overcome เอาชนะ
overrun
overcome overcame rerun แซง
ฉายซำ้
overrun overran run
วิ่ง
rerun reran

run ran

Group 4 - คํากริยาท่ีมีรปู แบบแตกต่างกัน ทัง้ V1 -V2 -V3 V3 meaning
swum วา่ ยน้ำ
V1 V2 taken เอาไป
swim swam torn
take took eaten ฉีก
tear tore กิน
eat ate gone
go went ไป

T.Onanong Siripornmanut

Page 39

Past Simple tense เหตกุ ารณท์ เี่ กิดขน้ึ และจบลงในช่วงเวลาหน่งึ ในอดีต หรือเรียกวา่ อดีตกาล ใชเ้ พ่ือบอก
ให้ทราบถึงสิง่ ท่ีเกิดและเสร็จส้นิ ไปแลว้ ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ โดยมักจะมีคำบอกเวลามาดว้ ย

คำบอกเวลาใน Past Simple Tense
• Last จะตามหลงั ด้วยคำ เชน่ year, week, month, November เปน� ต้น
• Ago จะอยู่หลงั คำบอกเวลา เช่น 3 days ago, few weeks ago, 2 years ago เปน� ตน้
• This morning/ this afternoon เมื่อผพู้ ูดรู้ว่าคำบอกเวลาทัง้ สองผ่านไปแล้ว

 โครงสร้าง ประโยคบอกเลา่ S. + V.2
- The bus arrived thirty minutes ago. รถบัสมาถึงสิบนาทที ่แี ลว้
- I cleaned my room two weeks ago. ผมทำความสะอาดหอ้ งสองสัปสปั ดาหท์ แี่ ลว้
- My dog died two years ago. หมาฉนั ตายสองปท� ่ีแลว้
- I was at school yesterday. ฉันอยทู่ ่โี รงเรียนเม่ือวาน
- They were at home last weekend. พวกเขาอย่บู ้านเมื่อวันอยดุ สุดสปั ดาที่แล้ว
- We had two cups of coffee this morning. พวกเราด่ืมกาแฟสองถ้วยเมื่อเชา้ น้ี
- I finished work, walked to the beach, and found a nice place to swim.

ฉนั ทำงานเสร็จแล้วจงึ ไดเ้ ดนิ ไปชายหาดและได้พบสถานทที่ ี่เหมาะกบั การลงว่ายนำ้
(จบไปทีละเหตุการณต์ ามลำดับ)

 โครงสรา้ ง ประโยคปฎิเสธ S. + did not+ V.1
- They did not stay at the party the entire time. พวกเขาไม่ได้อยรู่ ่วมงานเลี้ยงจนงานเลิกหรอก
- I didn’t see Jane at the bank yesterday. ฉนั ไมไ่ ด้พบเจนท่ธี นาคารเมื่อวาน
- I didn’t go to Jim’s party last night. ฉันไม่ได้ไปงานเลย้ี งของจิมคนื ท่ีแลว้
- We did not study math last Friday. พวกเราไม่ไดเ้ รียนคณติ วนั ศุกร์ทแ่ี ล้ว
- He did not buy a radio last month. เขาไม่ไดซ้ ้ือวทิ ยุเดือนท่ีแลว้
- She didn’t come to my house last year. หลอ่ นไมไ่ ดม้ าบา้ นฉันป�ท่ีแล้ว

 โครงสรา้ ง ประโยคคำถาม Did + S + V ช่อง1 ?
A: Did you see Jane at the bank yesterday. คณุ ไดพ้ บเจนท่ธี นาคารเม่ือวานไหม
B: Yes, I did. ใช่ ฉันได้พบ
A: Did you go to Jim’s party last night. คุณได้ไปงานเลยี้ งของจิมคืนท่ีแล้วไหม
B: No, I didn’t. ไม่ ฉันไม่ได้ไป
A: Did they study math last Friday. พวกเราได้เรยี นคณติ วันศกุ ร์ท่ีแลว้ ไหม
B: Yes, they did. ใช่ พวกเขาเรียน

T.Onanong Siripornmanut


Click to View FlipBook Version