The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Parinda Kaeohomkham, 2023-10-29 04:21:42

สามัคคีเภทคำฉันท์

เนื้อเรื่อง

สามัค มั คีเ คี ภทคำ ฉัน ฉั ท์ จัดจัทำ โดย คณะผู้จัผู้ ด จั ทำ ชั้น ชั้ มัธ มั ยมศึก ศึ ษาปีที่ ปี ที่ ๖/๗ โรงเรียรีนสงวนหญิงญิจังจัหวัดวัสุพสุรรณบุรีบุรี ภาคเรียรีนการศึกศึษาที่่่ ๒/๒๕๖๖ เสนอ ครูช รู มัย มั พร แก้ว ก้ ปานกัน กั


นางสาว กานต์พิชชา นางสาว โชติกา นางสาว ณัฏฐณิชา นางสาว ณิชากร นางสาว นัชชา นางสาว ปริญดา นางสาว ปวริศา นางสาว ปวิชญาดา นางสาว พรนภัส นางสาว พรสวรรค์ นางสาว รวิกานต์ นางสาว วรรณภา นางสาว วิมลสิริ นางสาว พิมพิชณฎา นางสาว สุธาทิพย์ นางสาว อมรพรรณ นางสาว อัญชิตา นางสาว ชาพิศา นางสาว ฐิติกาญจน์ นางสาว ศิริลักษณ์ หนูทอง รื่นเกิด กันนะพันธุ์ ทับทิมทอง สมบูรณ์ แก้วหอมคำ รื่นเพ็ชร พันธ์ชูชาติ ขำ อรุณ หอมชื่น ชูวงษ์ สร้อยสุวรรณ รอดวัด เรืองฤทธิ์ภัสสร สุวรรณสูร หยวกบุญมา แย้มวงศ์ ลิ้มนุชสวาท ภิเศกสุขสวัสดิ์ กันแก้ว เลขที่ ๑ เลขที่ ๖ เลขที่ ๙ เลขที่ ๑๑ เลขที่ ๑๔ เลขที่ ๑๖ เลขที่ ๑๗ เลขที่ ๑๙ เลขที่ ๒๐ เลขที่ ๒๑ เลขที่ ๒๓ เลขที่ ๒๖ เลขที่ ๒๗ เลขที่ ๓๑ เลขที่ ๓๒ เลขที่ ๓๓ เลขที่ ๓๕ เลขที่ ๓๘ เลขที่ ๓๙ เลขที่ ๔๑ เรื่อง สามัคคีเภทคำ ฉันท์ เสนอ ครูชมัยพร แก้วปานกัน ชิ้นงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๖ ท๓๓๑๐๒ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบบุรี สำ นักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี เขต ๙


คำ นำ วารสารอิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ (E-book) เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทย ๖ ท๓๑๑๐๒ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัดทำ ขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอน เรื่อง สามัคคีเภทคำ ฉันท์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ประวัติ ของผู้แต่ง ความงดงามทางวรรณคดี เพื่อวิเคราะห์คุณค่าทางด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์ และ ด้านสังคม ได้ศึกษาอย่างละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการจะศึกษาเรียนรู้ คณะผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) เล่มนี้จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้ที่กำ ลังศึกษาหาข้อมูลเรื่อง สามัคคีเภทคำ ฉันท์ หากมีข้อเสนอแนะหรือผิด พลาดประการใดคณะผู้จัดทำ ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ ก


สารบัญ เรื่อง คำ นำ สารบัญ ความเป็นมา ประวัติผู้แต่ง ลักษณะคำ ประพันธ์ เนื้อเรื่องเต็มสามัคคีเภทคำ ฉันท์ เนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำ ฉันท์ คุณค่าด้านเนื้อหา คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คุณค่าด้านสังคม บรรณานุกรม ภาคผนวก ข หน้า ก ข ๑ ๒ ๓ ๑๓ ๓๐ ๓๒ ๓๕ ๔๑ ๔๒ ๔๓


เมื่อพระเจ้าเขาเสวยราชย์ได้ ๙ ปี หรือ ก่อนพุทธปรินิพพาน ๓ ปี ทรงใช้วัสสการพราหมณ์ให้ไปเฝ้า พระพุทธเจ้าแทน พระองค์บนภูเขาคิชฌกูฏ ให้ทูลถามถึงความทุกข์สุขก่อน แล้วให้กราบหูลถึงพระราชดำ ริของ พระองค์ที่จะโจมตี แคว้นรัชซี และเมื่อพระพุทรองค์รับสั่งอย่างไร ก็ให้จำ มากราบทูลอย่างนั้น วัสสการพราหมณ์ไปเฝ้ากราบทูลตามพระราช บัญชา พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามพระอานนท์ว่าชาววัชชียัง ประพฤติวัฒนธรรม (อปริหานิยธรรม) หรือ พระอานนท์ก็ กราบทูลว่า ได้ยินว่าเขายังประพฤติกันอยู่ พระพุทธองค์จึงตรัสต่อไปว่า ได้ทรงแสดงธรรมทั้ง นี้แก่กษัตริย์สิจฉวีครั้งหนึ่ง เมื่อเสด็จไปประทับที่สารันทเจดีย์ กรุงเวสาลี ว่าเป็นความเจริญฝ่ายเดียว ไม่มีความเสี่ยมวันสการพราหมณ์ให้ฟงดังนั้น จึงกราบพูลว่า แม้เพียงข้อเดียวเท่านั้นก็มีความเจริญฝ่ายเดียวไม่มีความเสี่ยมเสีย เพราะฉะนั้นพระเจ้าอชาจ ศัตรูจึงไม่ ควรทำ การรบกับพวกวัชชี นอกเสียจากการรอมขอม หรือการทำ ลายสามัคคีของกษัตริย์สิจฉวีเสียก่อน เมื่อกราบทูลความ คิดเห็นอย่างนี้แล้วก็ทูลลากลับไป เมื่อวัลสการพราหมณ์กลับไปแล้ว พระพุทรองค์จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์แสดงภิกซุอปริ หานิยธรรมสูตร ซึ่งมีลักษณะคล้ายวังชือปริหานิยธรรมสูตร เมื่อประทับอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏเป็นเวลาพอสมควร จึงแสด็จ ผ่านบ้าน ปาฏลิคามที่สร้างขึ้นเป็นเมืองปาฏิบุครแล้ว รอนแรมไปโดยลำ ดับจนถึงกรุงเวลาดี ประทับจำ พรรษาสุดท้ายที่ นั่น ต่อจากนั้นก็ส็จไปบรินิทพานที่อุหยานสาลวัน แขวงกรุงกุสินารา แคว้นมัลละ พระเจ้าอชาจศัตรูได้ทรงทราบดังนั้นจึง ไม่กล้าโจมตีแควันวัชชี แต่ทรงปรึกษากับวัสสการพราหมณ์ออกอุบาย ทำ ลายความสามัคคีของ กษัตริย์สิจอรี โดยแกล้งลงโทษวัสสการพราหมณ์แล้วเนรเทคให้ไปอยู่แคว้นวัยชี วัสสการรพราหมณ์ดำ เนินการบ่อน ทำ ลายความสามัคคีอยู่ ๑ ปี จึงเป็นผลสำ เร็จ พระเจ้าอขาดศัตรูได้ทรงทราบแล้วก็กรีธาทัพเข้าไปยึดครองแคว้นวัชรีโดย ไม่มีการสู้รบ ภายหลังพุทธ ปรินิพพาน ๒ ปี หรือก่อน พ.ศ. ๓ แคว้นวัชชีก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าอชาจศัตรู ความเป็นมา ๑


ประวัติผู้แต่ง เกิดเมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นบุตรนายชู นางปริก ได้รับการศึกษาขั้นต้นจากบิดาซึ่งเป็นเปรียญ ๕ ประโยค และได้เข้าเรียนในโรงเรียนวัดราชบพิธเป็นแห่งแรก แล้วย้ายมาเรียนต่อจนสำ เร็จชั้นมัธยมบริบูรณ์ที่โรงเรียนวัดสุทัศน์ ขณะนั้นอายุได้ ๑๕ ปี บิดาจึงจัดการให้บวชเป็นสามเณร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชิ นวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นอุปัชฌาจารย์ นายชิต บุรทัตเป็นผู้รักรู้ รักเรียน มีความรู้ในภาษาบาลีและฝึกฝน ภาษาอังกฤษด้วยตนเองจนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ นายชิตเริ่มการประพันธ์เมื่ออายุ ๑๘ ปี ขณะนั้นได้กลับมาบวชเป็นสามเณร อีกเป็นครั้งที่สอง ณ วัดเทพศิรินทราวาสและได้ย้ายไปอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร จึงได้อุปสมบทที่วัดนี้ในฐานะเป็นศิษย์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรส สามเณรชิตได้สร้างงานประพันธ์โดยใช้นามปากกาเป็นครั้งแรกว่า “เอกชน” จนเจริญรุ่งโรจน์ขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว ในขณะที่สามเณรชิตมีอายุเพียง ๑๘ ปี ก็ได้รับอาราธนาจากองค์สภา นายกหอพระสมุดวชิรญาณให้เข้าร่วมแต่งฉันท์สมโภชพระมหาเศวตฉัตรในงานพระราชพิธีฉัตรมงคลรัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๔ ด้วยผู้หนึ่ง ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๕๘ นายชิต บุรทัตซึ่งอยู่ในเพศฆราวาสแล้วได้ส่งบทประพันธ์กาพย์ปลุกใจลงใน หนังสือพิมพ์ "สมุทรสาร" พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรต้นฉบับเดิม พอพระราชหฤทัยเป็นอัน มาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เจ้าหน้าที่ขอถ่าพภาพเจ้าของบทกาพย์ปลุกใจลงพิมพ์ประกอบด้วยนายชิตใช้นามสกุล เดิมว่าชวางกูรต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ จึงได้รับพระราชทานนามสกุลว่า "บุรทัต" และในปีเดียวกันนั้นเองนายชิต บุรทัตได้ สมรสกับจั่น แต่หามีบุตรธิดาด้วยกันไม่ นามปากกาของชิต บุรทัต คือ "เจ้าเงาะ"“เอกชน” “แมวคราว”ใช้ในการประพันธ์ บทความต่าง ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ เสมอมาจนตลอดอายุ นายชิต บุรทัตถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๕ ด้วยโรคลำ ไส้พิการ ณ บ้านถนนวิสุทธิกษัตริย์ รวมอายุได้ ๕๐ ปี สำ นักงานสุดท้ายที่ประจำ อยู่คือ หนังสือพิมพ์เอกชน นายชิต บุรทัต ๒


๑.กมลฉันท์ ชื่อฉันท์แปลว่า ดอกบัว ลีลาของฉันท์มีเสียงครุลหุสลับกันจึงเป็นเสียงเร่งเร้า กระฉับกระเฉง ใช้แต่ง พรรณนาเหตุการณ์ที่คลี่คลายอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ผิวกาลมัชฌัน ติกอันรวีสา หสร้อนและอ่อนกา ยสกนธ์พหลหาญ ก็มิรีบมิรัดเอื้อ ธุระเพื่อสบายบาน พลปรีดิสำ ราญ สุขพอก็ต่อไป ๒.จิตรปทาฉันท์ เป็นฉันท์ที่มีทำ นองเสียงกระชับคล้ายมาณวกฉันท์ เพราะมีเสียงลหุใกล้ชิดกันจึงให้ความรู้สึกคึก คะนอง ตื่นเต้น จึงใช้ในลีลาแห่งความตื่นเต้น สับสนอลม่าน ตัวอย่าฝคำ ประพันธ์ นาครธา นิวิสาลี เห็นริปุมา พลมากมาย ข้ามติรชล ก็ลุพ้นหมาย มุ่งจะทลาย พระนครตน ลัก ลั ษณะคำ ประพัน พั ธ์ สามัคคีคำ ฉันท์แต่งเป็นบทร้อนกรอง โดยนำ ฉันต่างๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสม โดยเนื้อหาแต่ละตอน ประกอบด้วยฉันท์ ๑๘ ชนิด ได้แก่ ๓


๓.โตฎกฉันท์ ชื่อฉันท์แปลว่า ปฎักแทงโค เป็นฉันท์ที่มีลีลากระชั้นคึกคัก ประดุจนายโคบาลแทงโคด้วยปฎัก กวี นิยมใช้กับเนื้อเรื่องแสดงความโกรธเคือง ร้อนรนหรือคึกคะนอง สนุกสนาน ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ประลุกฤกษมุหุต ทินอุตตมไกร รณรงควิชัย- ยะดิถีซุภยาม ๔.ภุชงคประยาตฉันท์ ชื่อฉันท์แปลว่า งุหรือนาคเลื้อย ฉันท์นี้มีลีลาประดุจลีลาศของพญานาค ทำ นองฉันท์มีความไพเราะ สละสลวย นิยมใช้แต่งเกี่ยวกับบทชมความงาม ความรัก ความโศก บางครั้งก็ใช้ในบทสดุดีหรือบทถวาย พระพรหรือดำ เนินเรื่องให้รวดเร็ว ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงกาล กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปวัตน์วัญจโนบาย มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัครสนธิ์สโมสร ๕.มาณวกฉันท์ ๘ ชื่อฉันท์แปลว่า เด็กหนุ่ม เป็นฉันท์ที่มีลีลาเร่งเร้า ผาดโผน คึกคัก ประดุจเด็กหนุ่ม นิยมใช้กับเรื่องตื่น เต้นและรื่นเริง ๔


ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ล่วงลุประมาณ กาลอนุกรม หนึ่งณนิยม ท่านทวิชงค์ เมื่อจะประสิทธิ์ วิทยะยง เชิญวรองค์ เอกกุมาร เธอจรตาม พราหมณไป โดยเฉพาะใน ห้องรหฐาน จึ่งพฤฒิถาม ความพิสดาร ของธประทาน โทศะและไข ๖.มาลินีฉันท์๑๕ ชื่อฉันท์แปลว่า ดอกไม้ เป็นฉันท์ทีาแต่งยากแต่มีความงามประดุจดอกไม้ ทำ นองฉันท์สั้นกระชับใน ตอนต้น และราบรื่นในตอนปลาย เป็นฉันที่มีท่วงทำ นองเคร่งขรึมน่ายำ เกรง กวีมักใช้แต่งเพื่ออวดความ สามารถในการใช้ศัพท์และเชิงกลบท ตัวอย่างคำ ประพันธ์ กษณะทวิชะรับฐา นันดร์และที่วาจกาจารย์ นิรอลสะประกอบภาร พีริโยฬารและเต็มใจ ๕


๗.วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ชื่อฉันท์แปลว่า ความงามในฤดูฝน เป็นฉันท์ที่มีลีลางดงามอ่อนช้อยประดุจความงามของหยาดน้ำ ฝนทั้งเล็กและใหญ่สลับกันในฤดูฝน มีความไพเราะมากใช้สำ หรับพรรณนาสิ่งที่สวยงาม ตัวอย่างคำ ประพันธ์ สามยอดตลอดระยะระยิบ วะวะวับสลับพรรณ ช่อฟ้าตระการกละจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร หางหงส์ผจงพิจิตรงอน ดุจกวักนภาลัย รอบด้านตระหง่านจัตุรมุข พิศสุกอร่ามใส กาญจน์แกมมณีกนกไพ- ฑุรย์พร่างพะแพรวพราย ๘.วังสัฏฐฉันท์ ๑๒ ชื่อฉันท์มีวคามหมายว่า เป็นฉันท์ที่มีสำ เนียงประดุจเสียงปี่มีละกษณะคล้ายอินทรวงศ์ฉันท์ใช้บรรยาย ความเช่นเดัยวกัอินทรวงศ์ฉันท์ ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ประชุมกษัตริย์รา ชสภาสดับคะนึง คะเนณทุกข์รึง อุระอัดประหวัดประวิง ประกอบระกำ พา หิรกายน่าจะจริง มิใช่จะแอบอิง กลอำ กระทำ อุบาย ๖


๙.วิชชุมาลาฉันท์ ๘ ชื่อของฉันท์แปลว่า ระเบียบแห่งสายฟ้า เป็นฉันท์ที่มีเสียงหนัก หรือคำ ครุล้วน เสียงอ่านจึงสั้น กระชับ รวดเร็ว ใช้บรรยายความรู้สึกในทางวุ่นวายใจ ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ข่าวเศิกเอิกอึง ทราบถึงบัดดล ในหมู่ผู้คน ชาวเวสาลี แทบทุกถิ่นหมด ชนบทบูรี อกสั่นขวัญหนี หวาดกลัวทั่วไป ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน ๑๐.สัททุลวิวกกีฬิตฉันท์ ๑๙ ชื่อของฉันท์แปลว่า เสือผยอง เพราะมีลีลาประดุจกิริยาแห่งเสือเสือโคร่ง มีลีลาท่วงทำ นองเคร่งขรึม เอาจริงเอาจังให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ จึงนิยมใช้แต่งบทประณามพจน์เป็นการไหว้ครู ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ผิว่ามวลมาลี กุสุมะกชะมีงาม ทรงกลิ่นสุคนธ์คาม สุภา ๗


๑๑.สัทธราฉันท์ ๒๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่าฉันท์ที่มีลีลาวิจิตรงดงามประดุจสตรีเพศ ผู้ประดับด้วยพวงมาลัย มักใช้เป็น ฉันท์พรรณนาความงาม ความโศกอย่างลึกซึ้ง หรือบรรยายความก็ได้ ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ครั้นล่วงสามปีประมาณมา สหกรณประดา ลิจฉวีรา ชทั้งหลาย สามัครีธรรมทำ ลาย มิตรภิทนะกระจาย สรรพเสื่อมหายนะ ก็เป็นไป ๑๒.สาลินีฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า ฉันท์ที่มาไปด้วยครุ ซึ่งเปรียบเสมือนแก่นหรือหลัก เป็นฉันท์ที่มีเสียงครุมาก มักใช้บรรยายความในการดำ เนินเรื่อง ตัวอย่างคำ ประพันธ์ วัชชีภูมีผอง สดับกลองกระหึมขา ทุกไท้ไป่เอาภาร ณกิจเพื่อเสด็จไป ต่างทรงรับสั่งว่า จะเรียกหาประชุมไย เราใช่เป็นใหญ่ใจ ก็ขลาดกลัวบ่กล้าหาญ ๘


๑๓.อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า เพชรของพระอินทร์ ซึ่งมีลักษณะแสงระยิบระยับ เป็นฉันท์ที่มีลีลาเสนาะ จังหวะสละสลวยอีกแบบหนึ่ง กวีนิยมใช้พรรณนาสิ่งสวยงาม พรรณนาความน่าเอ็นดู ความน่าสงสาร บาง ครั้งก็ใช้แสดงความรู้สึกที่อ่อนไหว ตัวอย่างคำ ประพันธ์ โดยเต็มกตัญญู กตเวทิตาครัน ใหญ่ยิ่งและยากอัน นรอื่นจะอาจทน หยั่งชอบนิยมเชื่อ สละเนื้อและเลือดตน ยอมรับทุเรศผล ชรการณ์พะพานภาย ไป่เห็นกะเจ็บแสบ ชิงแทบจะทำ ลาย มองสัตย์สมรรถหมาย มนมั่นมิหวั่นไหว ๑๔.อุเปนทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์แปลว่า อินทรวิเชียรฉันท์น้อย มีลักษณะคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์ ท่วงทำ นองของฉันท์จะเรียบๆ เย็นๆ ไม่กระแทกกระทั้น มักใช้บรรยายเนื้อความ ซึ่งเป็นการดำ เนินเรื่อง ตัวอย่างคำ ประพันธ์ ทิชงค์เจาะจงเจตน์ กลห์เหตุยุยงเสริม กระหน่ำ และซ้ำ เติม นฤพัทธก่อนการณ์ ละครั้งระหว่างครา ทินวารนานนาน เหมาะท่าทิชาจารย์ ธ ก็เชืญเสด็จไป ๙


๑๕.อินทรวงศ์ฉันท์ ๑๒ ชื่อฉันท์แปลว่า เหล่ากอพระอินทร์ มีลักษณะคล้ายอินทรวิเชียรฉันท์ แต่วรรคหลังเพิ่มลหุขึ้นก่อนคำ ท้ายอีก ๑ คำ ทำ ให้ลีลาสะบัดสะบิ้ง ตอนลงจบคล้ายม่วงทำ นองขลุ่ยหรือปี่ นิยมใช้ในการพรรณนาความ รู้สึกอันไม่ราบรื่นของตัวละครหรือบรรยายความ ตัวอย่างคำ ประพันธ์ หลากเหลือจะเชื่อจิต ผิวคิดประหวั่นพะ เมตตาและเต็มปลง มนจักประคับประคอง หนักข้างระคางอยู่ บมิรู้จะรับรอง ภายหลังก็ตั้งตรอง ตริฤเว้นระวังแวง ๑๖.อีทิสังฉันท์ ๒๐ ฉันท์นี้มีทำ นองสะบัดสะบิ้ง กระโชกกระชั้น เพระาใช้เสียงครุและเสียงลหุสลับกัน ทำ ให้เสียงกระแทก กระทั้น เหมาะสำ หรับใช้พรรณนาความรู้สึกที่รุนแรง ตัวอย่างคำ ประพันธ์ เอออุเหม่นะมึงซิช่างกระไร ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น ศึก บ ถึงและมึงก็ยังมิเห็น จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู ๑๐


๑๗.อุปชาติฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์มีความหมายว่า ฉันท์ที่แต่งด้วยอินทรวิเชียรฉันท์และอุเปนทรวิเชียรฉันท์ปนกัน นิยมแต่งเพื่อ บรรยายความในการดำ เนินเรื่องหรือบทเจรจาของตัวละคร ตัวอย่างคำ ประพันธ์ สดับประกาศิต ระบุกิจวโรงการ จึ่งราชสมภาร พจนาถประภาษไป เราคิดจะใคร่ยก พยุห์พลสกลไกร ประชุมประชิดชัย รณรัฐวัชชี ๑๘.อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ ชื่อฉันท์หมายความว่า ฉันท์ที่กล่าวสำ เนียงอันดังก้องให้ปรากฎ ซึ่งกวีนิยมใช้บรรยายความทั่วไป ตัวอย่างคำ ประพันธ์ เห็นเชิงพิเคราะห์ช่อง ชนะคล่องประสบสม พราหมณ์เวทอุดม ธ ก็ลอบแถลงการณ์ ให้วัลลภชน คมคลประเทศฐาน กราบทูลนฤบาล อภิเผ้ามคธไกร ๑๑


กาพย์ ๒ ชนิด ได้แก่ ๑.กาพย์ฉบัง ๑๖ ตัวอย่างคำ ประพันธ์ อันอัครปุโรหิตาจารย์ พราหมณ์นามวัสสการ ฉลาดเฉลียวเชี่ยวชิน กลเวทโกวิทจิตจินต์ สำ แดงแจ้งศิล ปศาสตร์ก็จบสรรพ์ ๒.กาพย์รางคนางค์ ๒๘ ตัวอย่างคำ ประพันธ์ บพิตรอชา ตสัตตุรา ชนัฐไกร สดับณสาสน์ พระราชหทัย ธปรีดีใด บเปรียบบปาน ๑๒


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความให้ว่า พราหม์ผู้ฉลาดคาดคะเนว่ากษัตริย์ลิจฉรีวางใจหลายความ หวาดระแวงเป็นโอกาสเหมาะ ที่จะเริ่มดำ เนินการตามกลอุบายทำ ลายความสามัคคี ถอดความได้ว่า วันหนึ่งมื่อถึงโอกาสที่จะสอนวิชากุมารลิจฉวกเสด็จมาโดยพร้อมเพรียงกันทันใด วัสสการพราหมณ์ก็มาถึงและแกล้งเชิญพระกุมารพระองค์ที่สนิทขนมเข้าไปพบใน ห้องส่วนตัว แล้วก็ทูลถามเรื่องที่ไม่ใช่ความลับแต่ประการใด ถอดความได้ว่า ดั งเช่นถามว่าชาวนาจูงโคมาคู่หนึ่งเพื่อเทียมไถใช่หรือไม่ พระกุมารลิจฉวีก็รับสั่งเห็น ด้วยว่าชาวบ้านนาก็จะกระทำ ดังคำ ของพระอาจารย์ ถามเพียงเท่านั้นพราหมณ์ก็เชิญให้เสด็จกลับออกไป ๑๓


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า ครั้นถึงเวลาเลิกเรียนเหล่าโอรสริจดรีกีพากันมาชักใช้พระกุมารว่าพระอาจารย์เรียก เข้าไปข้างใน ได้ไต่ถามอะไรบ้าง ขอให้บอกมาตามความจริง พระกุมารพระองค์นันก็เล่าเรื่องราวที่พระ อาจารย์เรียกไปถาม ถอดความได้ว่า แต่เหล่ากุมารสงสัยไม่เชื่อคำ พูดของพระสหาย ต่างองค์ก็วิจารณ์ว่าพระอาจารย์จะ พูดเรื่องเหลวไหลไร้สาระเช่นนี้เป็นไปไม่ได้และหากว่าจะพูดจริงเหตุใดจะต้องเรียกเข้า ไปถามข้าง ในห้องถามข้างนอกห้องก็ได้ ถอดความได้ว่า สงสัยว่าท่านอาจารย์กับพระกุมารต้องมีความลับอย่างแน่นอน แล้วก็ มาพูดโกหกไม่กล้าบอกตามความเป็นจริง แกล้งพูดไปต่างๆ นานา ๑๔


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า กุมารสิจฉวีทั้งหลายเห็นสอดคล้องกันก็เกิดความโกรธเคือง การทะเลาะวิวาท ก็เกิดขึ้นเพราะความขุ่่นเคืองใจ ความสัมพันธ์อันดีที่เคยมีมาตลอดก็ถูกทำ ลายย่อยยับลง ถอดความได้ว่า เวลาผ่านไปตามลำ ดับเมื่อถึงคราวที่จะสอนวิชาก็จะเชิญพระกุมารพระองค์หนึ่งพระกุมารก็ตาม พราหมณ์เข้าไปในห้องเฉพาะพราหมณ์จึงถามเนื้อความแปลกๆว่า ขออภัยช่วยตอบด้วย ถอดความได้ว่า อย่าหาว่าตำ หนิหรือลบหลู่ครูขอถามว่าวันนี้ทระกุมารเสวยพระ กระยาหารอะไร รสชาติดีหรือไม่พอพระทัยมากหรือไม่พระกุมารก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระ กระยาหารที่เสวยหลังจากนั้นก็สนทนาเรื่องทั่วไป แล้วก็เสด็จกลับออกมายังห้องเรียน ๑๕


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า เมื่อเสร็จสิ้นการสอนราชกุมารสิจฉรีทั้งหมดก็มาถามเรื่องราวที่มีมาว่าท่านอาจารย์ได้พูดเรื่อง อะไรพระกุมารก็ตอบตามความจริง แต่เหล่ากุมารต่างไม่เชื่อเพราะคิดแล้วไม่สมเหตุสมผล ถอดความได้ว่า ต่างขุ่นเคืองใจด้วยเรื่องไร้สาระเช่นเดียวกับพระกุมารพระองค์ก่อนและเกิดความ แตกแยกไม่คบกันอย่างกลมเกลียวเหมือนเดิม ถอดความได้ว่า พราหมณ์เจตนาหาเหตุยุแหย่ซ้ำ เติมอยู่เสมอๆ แต่ละครั้ง แต่ละวัน นานนานครั้งเห็น โอกาสเหมาะก็จะเชิญพระกุมารเสด็จไปโดยไม่มีสารประโยชน์อันใด แล้วก็แกล้งหูทวนลม ๑๖


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า บางครั้งก็พูดว่านี่แนะข้าพระองค์ได้ยินข่าวเล่าลือกันทั่วไป เขานินทาพระกุมารว่า พระองค์แสนจะยากจนและขัดสนจะเป็นเช่นนั้นแน่หรือวิเคราะห์แล้วไม่น่าเชื่อ ณ ที่นี้ได้มีผู้ใดขอให้ทรง เล่ามาเถิด ถอดความได้ว่า บางครั้งก็พูดวาข้าพระองค์ขอทูลถามพระกุมาร เพราะได้ยินเขาเล่าลือกันทั่วไปเยาะเย้ยดูหมิ่น ท่านว่าท่านนี้มีร่างกายผิดประหลาดต่าง ๆ นานาจะเป็นจริงหรือไม่ใจไม่อยากเชื่อเลยเพราะไม่เห็น ถ้าหากมีสิ่งใด ที่ลำ บากยากแค้นก็ตรัสมาเกิด ถอดความได้ว่า พระกุมารได้ทรงฟังเรื่องที่พระอาจารย์ถามก็ตรัสถามกลับว่า สงสัยเหลือ เกินเรื่องไม่สมควรเช่นนี้ท่านอาจารย์จะถามทำ ไม แล้วก็ซักใช้ว่าใครเป็นผู้มาบอกกับ อาจารย์พราหมณ์ก็ตอบว่าพระกุมารพระองค์โน้นตรัสบอกเมื่ออยู่กันเพียงสองต่อสอง ๑๗


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า กุมารพระองค์นั้นไม่ทันได้ไตร่ตรองก็ทรงเชื่อในคำ พูดของอาจารย์ด้วยความวู้วามก็ กริ้วพระกุมารที่ยุพระอาจารย์ใส่ความตนจึงตัดพ้อต่อว่ากันขึ้นเกิดความโกรธเคืองทะเลาะวิวาทกัน อยู่เสมอ ถอดความให้ว่า ฝ่ายพระกุมารที่พราหมณ์ไม่เคยเรียกเข้าไปหาก็ไม่พอพระทัยพระกุมารที่พราหมณ์เชิญไป พบ พระกุมารลิจฉวีหมางใจและเห็นห่างกันต่างองค์ทะนงว่าพระบิดาของตนมีอำ นาจล้นเหลือจึงมีใจกำ เริบ ไม่เกรงกลัวกัน ถอดความให้ว่า ในขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ก็คอยยุลูกศิษย์แต่งกลอุบายให้เกิดความ แคลงใจพระโอรสลิจฉรีทั้งหลายไตร่ตรองในอาการน่าสงสัยก็เข้าใจว่าเป็นจริงดังถ้อยคำ ที่ อาจารย์ปั้นเรื่องขึ้นไม่มีเหลือเลยสักพระองค์เดียวที่จะมีความรักใคร่กลมเกลียวต่างขาด ความสัมพันธ์เกิดความเดือดร้อนใจ ๑๘


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า แต่ละองค์นำ เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นไปทูลพระบิดาของตน ความแตกแยกก็ค่อยๆ ลุกลามไปสู้พระบิตรเนื่องจาก ความของหลงเชื่อโอรสของตน ปราศจากการใคร่ครวญเกิดความผิดพ้อง หมองใจกันขึ้นฝ่ายวัสสการพราหมณ์ครั้น เห็นโอกาสเหมาะสมก็คอยยุแหย่อย่างง่ายคาย ทำ กลอุบาย ต่างๆพูดยุยงตามกลอุบายตลอดเวลา เวลาผ่านไป ประมาณ3ปี ความร่วมมือกันระหว่างกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายและความสมัวคิีถูกทำ ลายสิ้นลง ถอดความได้ว่า ความร่วมมือกันระหว่างกษตริย์ลิจฉวีทั้งหลายและความสามัคคีถูกทำ ลายลงสิ้นความเป็นมิตรแตกแยก ความเสื่อม ความหายนะก็บังเกิดขึ้นกษตริย์ต่างองค์ระแวงแคลงใจ มีความขุ่นเคืองใจซึ่งกันและกัน พราหมณ์ผู้เป็นครูสังเกตเห็นดังนั้นก็รู้ว่าเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีกำ ลังจะประสบความ พินาศจึงยินดีมากที่ภารกิจประสบผลสำ เร็จสมดังใจหลังจากเริ่มต้นด้วยความบาก บั่นและความอดทนของคนจึงให้ลองตีกลองนัดประชุมกษัตริย์ทวีเชิญทุกพระองค์ เสด็จมายังที่ประชุม ๑๙


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ฝ่ายกษัตริย์วัชชีทั้งหลายทรงสหับเชียงกลองดังกึกก้องทุกพระองค์ไม่ทรงเป็นธุระในการเสด็จไปต่างองค์รับสั่ง ว่าจะเรียกประชุมด้วยเหตุใดเราไม่ได้เป็นใหญ่ใจก็ขลาดไม่กล้าหาญผู้ใดเป็นใหญ่มีความกล้าหาญไม่มีผู้ใด เปรียบให้พอใจจะเสด็จไปร่วมประชุมเชิญเขาเกิด จะปรึกษาหารือกันประการใดก็ช่างเกิดจะเรียกเราไปประชุมมองไม่เห็นประโยชน์ประการใดเลยรับสั่งให้ทันตัว ไปและทุกพระองค์ก็ทรงเพิกเฉยไม่เสด็จไปเข้าร่วมการประชุมเหมือนเคย เมื่อพิจารณาเห็นช่องทางที่จะได้ชัยขนะอย่างง่ายดายพราหมณ์ผู้รอบรู้พระเวทก็ลอบส่งข่าว ให้คนสนิทเดินทางกลับไปยังบ้านเมืองกราบทูลกษัตริย์แห่งแคว้นมคธอันยิ่งใหญ่ในสาสน์ แจ้งว่ากษัตรย์วัชชีทุกพระองค์ ๒๐


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ขณะนี้เกิดความแตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่สามัคคีกันเหมือนแต่เดิมจะหาโอกาสอันเหมาะสมครั้งใดเหมือน ดังครั้งนี้คงจะไม่มีอีกแล้วขอทูลเชิญพระองค์ยกกองทัพอันยิ่งใหญ่มาทำ สงครามโดยเร็วเถิด ข่าวศึกแพร่ไปจนรู้ถึงชาวเมืองเวสาลีแทบทุกคนในเมืองต่างตกใจและหวาดกลัวกันไปทั่วหน้าตาตื่นหน้าชีดไม่มี สีเลือดตัวสั่นมากันหนีตายวุ่นวายหากันอพยพครอบครัวหนีภัยทิ้งบ้านเรือไปซุ่มซ่อนตัวเสียในป่า ไม่สามารถห้ามปรามชาวบ้านได้หัวหน้าราษฎรและนายด่านตำ บลต่างๆปรึกษากันติดจะ ยับยั้งไม่ให้กองทัพมคธข้ามมาได้จึงตีกลองป่าวร้องแจ้งข่าวข้าศึกเข้ารุกรานเพื่อให้เหล่า กษัตริย์แห่งวัชชีเสด็จมาประชุมหาหนทางป้องกันประการใด ๒๑


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ไม่มีกษัตริย์ลิจฉวีแม้แต่พระองค์เดียวคิดจะเสด็จไปแต่ละพระองค์ทรงดำ รัสว่าจะเรียกประชุมด้วย เหตุใด ผู้ใดเป็นใหญ่ผู้ใดกล้าหาญเห็นดีประการใดก็เชิญเถิดจะปรึกษาหารืออย่างไรก็ตาม แต่ใจ ตัวของเรานั้นไม่ได้มีอำ นาจยิ่งใหญ่จิตใจก็ขี้ขลาดไม่องอาจกล้าหาญ แต่ละพระองค์ต่างแสดงอาการเพิกเฉยปราศจากความสามัคคีปรองดองในจิตใจกษัตริย์ลิจฉวีแห่ง วัชชีไม่เสด็จมาประชุมกันแม้แต่พระองค์เดียว จอมกษัตริย์แห่งแคว้นมคธหยุดทัพตรงหน้าเมืองเวสาลีพระองค์ทรงสังเกตวิเคราะห์เหตุการณ์ทาง เมือง วัชซีในขณะที่ข้าศึกมาประชิดเมืองดูนิ่งเฉยไม่รู้สึกเกรงกลัวหรือคิดจะทำ สิ่งใดโต้ตอบระงับ เหตุร้าย ๒๒


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ กลับอยู่อย่างสงบเงียบไม่ทำ การสิ่งใดมองดูราวกับเป็นเมืองร้างปราศจากผู้คนแน่นอนไม่ต้องสงสัย เลย ว่าคงจะถูกกลอุบายของวัสสการพราหมณ์จนเป็นเช่นนี้ความสามัคคีผูกพันแห่งกษัตริย์ลิจฉวี ถูกทำ ลายลงและจะประสบกับภัยพิบัติ ลูกข่างที่เด็กขว้างเล่นได้สนุกฉันใดวัสสการพราหมณ์ก็สามารถยุแหยให้เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีแตก ความสามัคคีได้ตามใจชอบและคิดที่จะสนุกฉันนั้นครั้นทรงคิดได้ดัง นั้นจึงมีพระราชบัญชาแก่เหล่าทหารหา ให้รีบสร้างแพไม้ไผ่เพื่อข้ามแม่น้ำ จะเข้าเมืองของฝ่ายศัตรูพวกทหารรับราชโองการแล้วก็ปฏิบัติ ภารกิจที่ได้รับในตอนเช้างานนั้นก็เสร็จทันทีจอมกษัตริย์เคลื่อนกองทัพอันมีกำ ลังพลมากมายลง ในแพที่ติดกันนำ กำ ลังข้ามแม่น้ำ จนกองทัพหมดสิ้นมองดูแน่นขนัดขึ้นฝั่งเมืองเวสาลีอย่างสะดวก สบาย ๒๓


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า ฝ่ายเมืองเวสาลีมองเห็นข้าศึกจำ นวนมากข้ามแม่น้ำ มาเพื่อจะทำ ลายล้างบ้าน เมืองของตน ต่างก็ตระหนกตกใจกันถ้วนหน้า ในเมืองเกิดจลาจลวุ่นวายไปทั่วเมือง ถอดความได้ว่า ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ต่างหวาดกลัวภัย บางพวกก็พูดว่าขณะนี้ยังไม่เป็นไรหรอกควร จะป้องกันประตูเมืองเอาไว้ห้มั่นคง ต้านทานข้าศึกเอาไว้ก่อน รอให้ที่ประชุมเหล่ากษัตริย์มีความ เห็นว่าจะทรงทำ ประการใด ถอดความได้ว่า ก็จะได้ดำ เนินการตามพระบัญชาของพระองค์ เหล่าข้าราชการทั้งหลายก็ตีกลอง สัญญาณขึ้นราวกับกลองจะพัง เสียงดังกึกก้องไปถึงพระกรรณกษัตริย์ลิจฉวี ต่างองค์ทรงเพิกเฉย ราวกับไม่เอาใจใส่ในเรื่องราวของผู้ใด ๒๔


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า ต่างองค์ไม่เสด็จไปที่ประชุม แม้แต่ประตูเมืองรอบทิศทุกบานก็ไม่มีผู้ใดปิด ถอดความได้ว่า จอมทัพแห่งแคว้นมคธกรีธาทัพเข้าเมืองเวสาลีทางประตูเมืองที่เปิดอยู่โดยไม่มีผู้คนหรือ ทหารต่อสู้ประการใด ขณะนั้นวัสสการพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ก็ไปนำ ทัพของกษัตริย์แห่งมคธ ถอดความได้ว่า เข้ามาปราบกษัตริย์ลิจฉวี อาณาจักรทั้งหมดก็ตกอยู่ในพระหัตถ์ โดยที่กองทัพไม่ ต้องเปลืองแรงในการต่อสู้ปราบปรามคาบแล้วเสด็จยังราชคฤห์เมืองยิ่งใหญ่ดังเดิม ๒๕


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า เนื้อเรื่องแต่เดิมจบลงเพียงนี้ แต่ประสงค์จะแต่งสุภาษิตเพิ่มเติมให้ได้รับฟังเพื่อ เป็นคติอันทรงคุณค่านำ ไปคิดไตร่ตรอง ถอดความได้ว่า พระเจ้าชาตศัตรูได้แผ่นดินวัชชีอย่างสะดวก และกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลายก็ถึงซึ่ง ความ พินาศล่มจม เหตุเพราะความแตกแยกกัน ต่างก็มีความยึดมั่นในความคิดของตน ผูกโกรธ ซึ่งกันและกัน ถอดความได้ว่า ต่างแยกพรรค แตกสามัคคีกัน ไม่ปรองดองกัน ขาดปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง เชื่อ ถ้อยความของบรรดาพระโอรสอย่างง่ายดาย เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะกษัตริย์แต่ละพระองค์ทรง มากไป ด้วยความหลง ๒๖


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า จึงทำ ให้ซึ่งความฉิบหาย มีภาวะความเป็นอยู่อันทุกข์ระทม เสียทั้งแผ่นดิน เกียรติยศและชื่อเสียงที่เคยมีอยู่ ส่วนวัสสการพราหมณ์นั้นน่าชื่นชมอย่างยิ่งเพราะเป็นเลิศในการก ระทำ กลอุบาย ถอดความได้ว่า ผู้รู้ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้ใคร่ครวญพิจารณากล่าวสรรเสริญว่าชอบ แล้วในเรื่องผลแห่งความพร้อมเพรียงกัน ความสามัคคีอาจอำ นวยให้ถึงซึ่งสภาพแห่งความผาสุก ณ หมู่ของตนไม่เสื่อมคลายตลอดไป หากหมู่ใดมีความสามัคคีร่วมชุมนุมกัน ไม่ห่างเหินกันสิ่งที่ไร้ ประโยชน์จะมาสู่ได้อย่างไร ถอดความได้ว่า ความพร้อมเพรียงนั้นประเสริฐยิ่งนัก เพราะฉะนั้นบุคคลใดหวังที่จะได้รับความ เจริญแห่งตนและมีกิจธุระอันเป็นส่วนรวม ก็พึงตั้งใจเป็นหัวหน้าเอาเป็นธุระด้วยตัวของเราเองโดยมิ เห็นประโยชน์ตนแต่ฝ่ายเดียว ควรยกประโยชน์ให้บุคคลอื่นบ้าง นึกถึงผู้อื่นบ้าง ต้องกลมเกลียว มี ความเป็นมิตรกันไว้ ๒๗


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า ต้องลดทิฐิมานะ รู้จักข่มใจ จะทำ สิ่งใดก็เอื้อเฟื้อกันไม่มีความบาดหมางใจผล ประโยชน์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็แบ่งปันกันไป มากบ้างน้อยบางอย่างเป็นธรรม ควรยึดมั่นในมารยาท และความประพฤติที่ดีงาม รักษาหมู่คณะโดยไม่มีความริษยากันอันจะตัดรอนไมตรี ถอดความได้ว่า ดังนั้นถ้าหมู่คณะใดไม่ขาดซึ่งความสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอไม่มี การวิวาท และระแวงกัน ก็หวังได้โดยไม่ต้องสงสัยว่า คงจะพบซึ่งความสุข ความสงบ และประกอบ ด้วยประโยชน์มากมาย ใครเล่าจะมีใจกล้าคิดทำ สงครามด้วย หวังจะทำ ลายล้างก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะ ความพร้อมเพรียงกันนั่นเอง ถอดความได้ว่า กล่าวไปโยกับมนุษย์ผู้ประเสริฐหรือสรรพสัตว์ที่มีชีวิต แม้แต่กิ่งไม้หายใครจะใคร่ ลองเอามามัดเป็นกำ ตั้งใจใช้กำ ลังหักก็ยากเต็มทน หากหมู่ใดไม่มีความสามัคคีในหมู่คณะของ ตน และ กิจการอันใดที่จะต้องขวนขวายทำ ก็มิพร้อมเพรียงกัน ๒๘


เนื้อเรื่องเต็ม สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ถอดความได้ว่า ก็อย่าได้หวังเลยความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความทุกข์พิบัติอันตราย และความชั่วร้ายทั้งปวง ถึงแม้จะไม่ต้องการก็จะต้องได้รับเป็นแน่แท้ ถอดความได้ว่า ผู้ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่คณะหรือสมาคม ควรคำ นึงถึงความสามัคคีอยู่เป็นนิจ ถ้ายัง ไม่มีก็ควรจะมีขึ้น ถ้ามีอยู่แล้วก็ควรให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปจึงจะถึงซึ่งความสุขความสบาย ๒๙


เนื้อเรื่องย่อ สามัคคีเภทคำ ฉันท์ ในกาลโบราณมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ทรงครอบครองแคว้นมคธ มีราชคฤห์เป็น เมืองหลวง พระองค์ทรงมีอำ มาตย์ที่สนิทคนหนึ่งชื่อว่า วัสสการพราหมณ์ เป็นผู้ฉลาดและรอบรู้ศิลปศาสตร์และ เป็นที่ปรึกษาราชการทั่วไป พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชประสงค์จะปราบแคว้นวัชชีอันมีพวกกษัตริย์ลิจฉวีปกครอง แต่พระองค์ยังลังเลพระทัยเมื่อได้ทรงทราบว่ากษัตริย์ลิจฉวีทุก ๆ พระองค์ล้วนแต่ทรงตั้งมั่นอยู่ในธรรมที่เรียกว่า “อปริหานิยธรรม ๗” คือธรรมอันเป็นไปเพื่อเหตุแห่งความเจริญฝ่ายเดียว มีทั้งหมด ๗ ประการ ดังนั้นพระองค์ จึงปรึกษาโดยเฉพาะกับวัสสการพราหมณ์ว่าควรจะกระทำ อย่างไรจึงจะหาอุบายทำ ลายเหตุแห่งความพร้อมเพรียง ของพวกกษัตริย์ลิจฉวีได้ เมื่อได้ตกลงนัดแนะกับวัสสการพราหมณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรู เสด็จออกว่าราชการ จึงดำ รัสเป็นเชิงหารือกับพวกอำ มาตย์ในเรื่องจะยกทัพไปรบกับแคว้นวัชชี มีวัสสการพราหมณ์ เพียงผู้เดียวที่กราบทูลเป็นเชิงทักท้วงและขอให้พระองค์ทรงยับยั้งรอไว้ก่อนเพื่อเห็นแก่มิตรภาพและความสงบ ทั้ง ทำ นายว่าถ้ารบก็จะพ่ายแพ้ด้วย พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงฟังวัสสการพราหมณ์กราบทูลเป็นถ้อยคำ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนั้น ก็ทรง แสร้งแสดงพระอาการพิโรธ และมีพระราชโองการสั่งเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ฝ่ายนครบาลพร้อมด้วยราชบุรุษ ให้นำ ตัววัส สการพราหมณ์ไปลงโทษตามคำ พิพากษาในบทพระอัยการ คือ เฆี่ยน โกนผม ประจาน แล้วขับไล่ไปเสียไม่ให้ อยู่ในพระราชอาณาเขต วัสสการพราหมณ์ยอมทนรับราชอาญาด้วยทุกขเวทนาแสนสาหัสถึงแก่สลบ เมื่อถูก เนรเทศออกจากแคว้นมคธก็เดินทางมุ่งตรงไปเมืองเวสาลีอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชีและเที่ยวผูกไมตรีกับ บรรดาชาวเมือง จนข่าวนี้ทราบไปถึงกษัตริย์ลิจฉวี จึงได้ตีกลองสำ คัญขึ้นเป็นสัญญาณ เชิญกษัตริย์ทั้งปวงมา ชุมนุมปรึกษาราชการ เมื่อกษัตริย์ลิจฉวีประชุมกันแล้วก็ได้ตกลงกันว่าควรให้พราหมณ์ผู้นั้นเข้ามาเพื่อจะได้เห็น ท่าทางและฟังความดูก่อนว่าจะจริงเท็จอย่างไร ภายหลังที่วัสสการพราหมณ์ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ลิจฉวีและกราบทูลข้อความต่าง ๆ ด้วยความฉลาดลึกซึ้ง ประกอบกับมีรอยถูกโบยฟกช้ำ ให้เห็น กษัตริย์ลิจฉวีทุกพระองค์ต่างก็ทรงหมดความฉงนสนเท่ห์ว่าจะเป็นกลอุบาย จึงทรงตั้งให้เป็นครูสอนศิลปวิทยาแก่บรรดาราชกุมารและกระทำ ราชการในตำ แหน่งอำ มาตย์ผู้พิจารณาพิพากษา อรรถคดีอีกตำ แหน่งหนึ่งด้วย ๓๐


เนื้อเรื่องย่อ สามัคคีเภทคำ ฉันท์ วัสสการพราหมณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเต็มใจและเอาใจใส่ จนเป็นที่ไว้ใจในหมู่กษัตริย์ลิจฉวี เมื่อวัส สการพราหมณ์คาดคะเนว่าพวกกษัตริย์ลิจฉวีวางใจตนจนหมดความสงสัย วัสสการพราหมณ์จึงได้ดำ เนินอุบาย เพื่อทำ ลายความพร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกันของกษัตริย์ลิจฉวี โดยการแต่งอุบายลับชวนให้ฉงนสนเท่ห์ต่าง ๆ ขึ้น เป็นเครื่องยั่วยุราชกุมารทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ให้แตกร้าวกัน และวัสสการพราหมณ์คอยส่งเสริมเหตุแห่งการ ทะเลาะวิวาทให้บังเกิดขึ้นในหมู่ราชกุมารอยู่เนืองนิตย์ จนกระทั่งที่สุดราชกุมารทุกพระองค์ก็แตกความสามัคคี กันเป็นเหตุให้วิวาทกันขึ้น ครั้นแล้วต่างองค์ก็นำ ความนั้นขึ้นกราบทูลชนกของตนตามเรื่องที่เป็นมา เมื่อเป็น เช่นนั้นความแตกร้าวก็ลามไปถึงบรรดาชนกผู้ซึ่งเชื่อถ้อยคำ โอรสของตนโดยปราศจากการไตร่ตรอง จนกระทั่ง เวลาล่วงไปสามปี สามัคคีธรรมในระหว่างพวกกษัตริย์ลิจฉวีก็ถูกทำ ลายสิ้น วัสสการพราหมณ์เห็นว่ากษัตริย์ ลิจฉวีทุกองค์แตกสามัคคีกันแล้ว ก็ให้คนลอบนำ ความไปกราบทูลพระเจ้าอชาตศัตรู พระเจ้าอชาตศัตรูก็กรีธา ทัพสู่เมืองเวสาลี พวกชาวเมืองเวสาลีตกใจกลัวภัยอันเกิดแต่ข้าศึก มุขมนตรีจึงได้ตีกลองสำ คัญขึ้นเป็น อาณัติสัญญาณให้ยกทัพมาต่อสู้ แต่เหล่ากษัตริย์ลิจฉวีก็หาไปเข้าร่วมประชุมไม่ต่างองค์ทรงเพิกเฉยเสีย แม้แต่ประตูเมืองทุกทิศก็ไม่มีใครสั่งให้ปิด พระเจ้าอชาตศัตรูจึงได้แคว้นวัชชีโดยง่าย ไม่ต้องเปลืองแรงรี้พล เพราะการรบเลยเมื่อจัดการบ้านเมืองราบคาบแล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ยกกองทัพเสด็จกลับกรุงราชคฤห์ดังเดิม ๓๑


๑) รูปแบบ สามัคคีเภทคําฉันท์แต่งเป็นบทร้อยกรอง โดยนําฉันท์ชนิดต่าง ๆ มาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อหา ในแต่ละตอน ซึ่งประกอบไปด้วยฉันท์ ๑๘ ชนิด กาพย์ ๒ ชนิด คือ กาพย์ฉบัง ๑๖ และ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๒) องค์ประกอบของเรื่อง ๒.๑) เนื้อเรื่อง พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธปรารถนาที่จะครอบครองแคว้นวัชชี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าชาวแคว้นวัชชี ยึดมั่น ในความ ความสามัคคีเป็นหลัก ดังนั้นพระ เจ้าอชาตศัตรูจึงได้ปรึกษากับวัสสการพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิต และยังมีความ รู้เรื่อง ศิลปศาสตร์และมีสติปัญญาเฉียบแหลม วัสสการพราหมณ์กราบทูลให้ทรงใช้ อุบายในการตี แคว้นวัชชี โดยอาสา เป็นไส้ศึกไปยุยงเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีให้แตกความสามัคคี พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเห็นชอบ หลัง จากนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูแสร้ง กริ้ว ทรงสั่งให้ลงโทษวัสสการพราหมณ์อย่างหนัก แล้วเนรเทศไป ด้วยความที่ วัสสการพรามหณ์เป็นผู้มี วาทศิลป์ รู้จักการใช้เหตุผลโน้มน้าวใจ ทําให้กษัตริย์ลิจ ฉวีทรงหลงเชื่อ รับไว้เป็น พรามหณ์ในสํานัก หลังจากที่ทํา หน้าที่อย่างเต็มความสามารถเพื่อให้เป็นที่ไว้วางพระทัย วัสสการพราหมณ์ก็ เนินการตามอุบายขั้นต่อ ไปวัสสการพราหมณ์เริ่มสร้างความแคลงใจในหมู่พระกุมารโดยออกอุบายให้พระ กุมารเข้าใจผิดว่า พระกุมาร พระองค์อื่นนําปมด้อย ของตนไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง ทําให้เสียชื่อ เหล่ากุมารจึงนําความไปกราบทูลพระบิดา ต่างก็ทรง เชื่อพระโอรสของตัวเอง ทําให้เกิดความขุ่นเคืองกันในหมู่กษัตริย์ลิจฉวี เมื่อเวลาผ่านไปสามปี ความสามัคคีเริ่มจาง หายไป วัสสการพราหมณ์ ทดสอบด้วยการตีกลองนัดประชุม ปรากฏว่าไม่มี กษัตริย์องค์ไหนประกฏตัว วัสสการพราหมณ์จึงแน่ใจแล้วว่า อุบาย ของตนได้ประสบความสําเร็จ จึงลอบส่งข่าว ไปบอกพระเจ้าอชาตศัตรูให้ทรงยกทัพ มาตีแคว้นวัชชี ชาวเมืองวัชชีต่าง ตื่นตระหนกมาก แต่กษัตริย์ลิจฉวีต่าง ทรงถือทิฐิ ไม่มีผู้ใดคิดวางแผนป้องกันภัย ดังนั้นเมื่อกองทัพมคธมาถึงเมืองเวสาลี จึงยกทัพเข้าเมืองได้อย่าง ง่ายดาย และผู้ที่เป็นเปิดประตูให้กองทัพมคธก็คือ วัสสการพราหมณ์ คุณค่าด้านเนื้อหา ๓๒


คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๒) โครงเรื่อง สามัคคีเภทคําฉันท์เริ่มต้นด้วยกษัตริย์แคว้นหนึ่งต้องการแผ่อํานาจเข้าครอบครองแคว้นใกล้เคียง แต่กษัตริย์ผู้ครอง แคว้นใกล้เคียงนั้นยึดมั่นในอปริหานิยธรรม มีความสามัคคีมั่นคง กษัตริย์ผู้ต้องการแผ่อํานาจ จึงต้องใช้อุบายเพื่อหา วิธีทําลายความสามัคคีนั้นเสียก่อน โดยการส่งพราหมณ์เข้าไปเป็นไส้ศึก พูดยุแยงให้ แตกคอกันก่อน จากนั้นจึงยกทัพเข้าโจมตี ซึ่งพราหมณ์ที่เป็นไส้ศึกนั้นได้ใช้เวลาถึง๓ปีในการทําลายความสามัคคีได้สําเร็จ จากนั้นกษัตริย์ผู้ที่ต้องการแผ่อํานาจจึงเข้าครอบครองแคว้นข้างเคียงได้สําเร็จ ๒.๓) ฉากและบรรยากาศ เรื่องสามัคคีเภทคําฉันท์เป็นเรื่องราวที่มาจากประเทศอินเดีย กวีจึงพยายาม บรรยายฉากให้บรรยากาศของเรื่องเป็น ประเทศอินเดียในสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู แต่กวีเป็นคนไทยจึงมีบรรยากาศ ความเป็นไทยแทรกอยู่บ้างเล็กน้อย ๒.๔) ตัวละคร ในเรื่องสามัคคีเภทคําฉันท์ มีตัวละครที่มีบทบาทและลักษณะที่สําคัญ ดังนี้ พระเจ้าอาชาตศัตรู ๑.เป็นกษัติย์ที่มีพระปรีชาสามารถในการปกครองบ้านเมือง ๒. ทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรม ๓. ทรงมีพระเมตตาต่อพสกนิกรของพระองค์ ๔. ทรงมีพระทัยในการทํานุบํารุงบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ๕. ทรงมีพระทัยที่จะแผ่พระบรมเดชานุภาพ วัสสการพราหมณ์ ๑. เป็นคนรักชาติบ้านเมือง เสียสละเพื่อประเทศชาติ ๒. เป็นคนฉลาด รอบคอบ มีความอดทนและเพียรพยายาม ๓. มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอาชาตศัตรู ๔. มีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว บรรดากษัตริย์ลิจฉวี ๑. ยึดมั่นในหลักอปริหานิยธรรมประการหรือเรียกว่าธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ๒. ขาดความรอบคอบและหูเบาเพราะทรงเชื่อพระโอรสที่ทูลทําให้แตกความสามัคคีกัน ๓. ไม่เห็นความสําคัญของบ้านเมืองถึงแม้บ้านเมืองจะถูกรุกรานก็ยังถือทิฐิไม่ยอมสามัคคีกันเพื่อสู้กับศัตรู ๓๓


คุณค่าด้านเนื้อหา ๒.๕) กลวิธีในการแต่ง นอกจากความสามารถในการสร้างตัวละครให้มีบุคลิกลักษณะที่เด่นชัดแล้วก็ยังมีกลวิธีในการดําเนินเรื่องให้ชวน ติดตามด้วย โดยการเลือกสรรฉันท์ชนิดต่างๆมาใช้สลับกันอย่างเหมาะสมกับเนื้อเรื่องในแต่ละตอน เช่นใช้วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ซึ่งมีลีลานุ่มนวลในการแต่งบทชมต่างๆ เพื่อพรรณนาภาพอันงดงาม เช่น บทชมเมือง ราชคฤห์ในแคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรู ใช้อิทิสังฉันท์ ๒๐ ซึ่งมีลีลากระแทกกระทั้นแสดงอารมณ์โกรธ เช่น ตอนที่พระเจ้าอชาตศัตรูแสร้งบริภาษ วัสสการพราหมณ์ เมื่อวัสสการณ์พราหมณ์ทัดทานเรื่องการศึก นอกจากนี้ ยังมี การดัดแปลงฉันท์บางชนิดให้แตกต่างไปจากเดิมและไพเราะยิ่งขึ้น เช่น การเพิ่ม สัมผัสบังคับคําสุดท้ายของวรรค แรกกับคําที่๓ ของวรรคที่ ๒ ในฉันท์ ๑๑ และฉันท์ ๑๒ ซึ่งสัมผัสตําแหน่งนี้ไม่เคยมีปรากฏมาแต่เดิม ทําให้ฉันท์ กลุ่มนี้ มีเสียง ไพเราะขึ้นและเป็นที่นิยมแต่งมาจนถึงปัจจุบัน ในการแต่งกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ได้มีการเพิ่ม ลักษณะบังคับ ใช้ คําครุ แต่งสลับกับคําลหุ ทําให้มีเสียงสั้นเสียงยาว เป็นจังหวะคล้ายฉันท์ อีกทั้งยังมีการเล่นเสียง สัมผัสพยัญชนะและเสียงสัมผัสสระ ในการเล่าเรื่องกวีใช้คําง่ายๆในการทําให้เรื่องดําเนินไปได้อย่างรวดเร็ว และทํา ให้ผู้อ่านเข้าใจได้ทันที อีกทั้งบรรยายและพรรณตัวละครได้กระชับแต่สามารถสร้างภาพได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ๒.๖) แก่นเรื่อง สามัคคีเภทคําฉันท์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความสามัคคีเป็นแก่นเรื่องหลัก ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความสามัคคีในหมู่คณะ โดยที่หากหมู่คณะไม่มีความสามัคคีอาจนํา ไปสู่หายนะได้ เหล่าโอรสของกษัตริย์ที่ถูกยุแยงให้แตกคณะกันโดย วัสสการพราหมณ์ ทําให้ฝั่งพระเจ้าอชาตศัตรูซึ่งเป็นฝั่งศัตรูใช้โอกาสนี้ในการโจมตีแคว้นวัชชีในส่วนของแก่นเรื่องรอง ๑.การรู้จักใช้สติปัญญาในการเอาชนะศัตรู - พระเจ้าอชาตศัตรูใช้วัสสการพราหมณ์เข้าไปยุแยงเหล่าโอรสของกษัตริย์ลิจฉวีให้แตกสามัคคีก็ทําให้พระเจ้าอชาตศัตรูสามารถบุกตีแคว้นวัชชีได้ง่ายขึ้น ๒.การรู้จักเลือกใช้บุคคลให้เหมาะสมกับงานที่จะทําให้งานสําเร็จไปได้ด้วยดี - พระเจ้าอชาตศัตรูให้วัสสการพราหมณ์ไปยุแยงเหล่าโอรสของกษัตริย์ให้แตกคอกัน เพราะวัสสการพราหมณ์เป็น พราหมณ์ที่ฉลาดและมีวาทศิลป์ดี ๓.การถือความคิดของตนเป็นใหญ่ย่อมทําให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม - เหล่าโอรสกษัตริย์ต่างพากันโกรธในสิ่งที่วัสสการณ์พราหมณ์ยุแยง และไม่คํานึงถึงผลที่จะตามมาอันเป็นเหตุให้ถูก โจมตี ๔.ขาดการคิดไตร่ตรองที่ดีทําให้ถูกหลอกใช้ได้ง่าย - เหล่ากษัตริย์และโอรสไม่ไตร่ตรองในสิ่งที่พราหมณ์พูดกับตนแต่กลับเชื่อทันที ทําให้เกิดความบาดหมางกัน ๕.การคิดก่อนทําเป็นเรื่องดีที่สามารถทําให้เป้าหมายสําเร็จตามที่ต้องการ ๓๔


คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑. โวหาร ๑.๑. บรรยายโวหาร : โวหารที่ใช้เล่าเรื่องหรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำ ดับเหตุการณ์ การเขียนจะมุ่งความชัดเจน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึงแต่สาระสำ คัญไม่จำ เป็นต้องมีพลความหรือ ความปลีกย่อยเสริม เช่น ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย เหมาะแก่การณ์จะเสกสรร ปรัตน์วัญจโนบาย มล้างเหตุพิเฉทสาย สมัครสนธิ์สโมสร ๑.๒. พรรณนาโวหาร : การเขียนพรรณนาโวหารมุ่งให้ความแจ่มแจ้ง ละเอียดลออก ภาพและอารมณ์ จึง มักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง ใช้ภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้น เช่น ๑.๓. เทศนาโวหาร : โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามหรือกล่าวได้ว่ามุ่ง ชักจูงให้ผู้อ่านคิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขียน เช่น ควรชนประชุมเช่น คณะเป็นสมาคม สามัคคิปรารม ภนิพันธรำ พึง ไป่มีก็ให้มี ผิวมีก็คำ นึง เนื่องเพื่ออภิยโยจึง จะประสบสุขาลัย ควรชมนิยมจัด คุรุวัสสการพราหมณ์ เป็นเอกอุบายงาม กลงำ กระทำ มา พุทธาทิบัณฑิต พิเคราะห์คิดพินิจปรา รภสรรเสริญสา ธุสมัครภาพผล ๓๕


คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๑. โวหาร ๑.๔. สาธกโวหาร : โวหารที่มุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้งหรือสนับสนุน ความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเชื่อถือ เช่น ลุห้องหับรโหฐาน ก็ถามการณ์ ณ ทันใด มิลี้ลับอะไรใน กถาเช่นธปุจฉา จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษย์ผู้กระทำ นา และคู่โคก็จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ ๑.๕. อุปมาโวหาร : โวหารเปรียบเทียบ โดยการยกตัวอย่างสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเทียบเพื่อให้เกิด ความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น เช่น ไป่เหลือเลยสักพระองค์อัน มิละปิยะสหฉันท์ ขาดสมัครพันธ์ ก็อาดูร ต่างองค์นำ ความมิงามทูล พระชนกอดิศูร แห่งธโดยมูล ปวัตติ์ความ ๓๖


คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒. รสทางวรรณคดีไทย ๒.๑. เสารวรจนี : เป็นการชมความงาม ชมโฉม ชมเมือง ชมธรรมชาติ พร่ำ พรรณนาและบรรยายถึงความ งามแห่งนาง เช่น บทชมเมืองราชคฤห์ในแคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรู อำ พนพระมนทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร์ อัพภันตรไพจิตรและพา หิรภาคก็พึงชม เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา นมหาพิมานรมย์ มารังสฤษฏ์พิศนิยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร บราลีพิลาศศุภจรูญ นภศูลประภัสสร หางหงส์ผจงพิจิตรงงอน ดุจกวักนภาลัย รอบด้านตระหง่านจตุรมุข พิศสุกอร่ามใส กาญจน์แกมมณีกนกไพ ฆุรย์พร่างพะแพรวพราย บานบัฏพระบัญชรสลัก ฉลุลักษณ์เฉลาลลาย เพดานก็ดารกะประกาย ระกะดาษประดิษฐ์ดี เพ่งภาพตลอดตะละผนัง ก็มลังเมลืองศรี มองเห็นสิเด่นประดุจมี ชิวแม่นกมลครอง ๓๗


คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒. รสทางวรรณคดีไทย ๒.๒. พิโรธวาทัง : การแสดงความโกรธแค้นผ่านการใช้คำ ตัดพ้อต่อว่าให้สาใจ ทั้งยังสำ แดงความน้อยเนื้อ ต่ำ ใจ , ความผิดหวัง , ความแค้นคับอับจิต แลความโกรธกริ้วตามอกมาด้วย กวีมักตัดพ้อและประชดประ เทียดเสียดแลสี เช่น ตอนที่พระเจ้าอชาตศัตรูแสร้งบริภาษวัสสการพราหมณ์ เมื่อวัสการพราหมณ์ทัดทาน เรื่องการศึก ๒.๓. สัลลาปังคพิไสย : การโอดคร่ำ ครวญหรือบทโศกอันว่าด้วยการจากพรากสิ่งอันเป็นที่รัก เช่น ตอนวัส สการพราหมณ์ถูกลงอาญา พวกราชมัลโดย พลโบยมิใช่เบา สุดหัตถแห่งเขา ขณะหวดสิพึงกลัว บงเนื้อก็เนื้อต้น พิศเส้นสรีร์รัว ทั่งร่างและทั้งตัว ก็ระริกระริวไหว แลหลังละลามโล หิตโอ้เลอะหลั่งไป เพ่งผาดอนาถใจ ระกะร่อยเพราะรอยหวาย เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น ศึก บ ถึงและมึงก็ยังมิเห็น จะน้อยจะมากจะยากจะเย็น ประการใด อวดฉลาดและคาดแถลงเพราะใจ ขยาดขยั้นมิทันอะไร ก็หมิ่นกู ๓๘


คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓. โวหารภาพพจน์ ๓.๑. อุปมา ( เปรียบเหมือน ) : การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่ง โดยใช้คำ เชื่อมที่มีความหมาย เช่นเดียวกับคำ ว่า “ เหมือน ” เช่น วัสสการพราหมณ์เปรียบน้ำ พระราชหฤทัยกษัตริย์ลิจฉวี ๓.๒. อุปลักษณ์ ( เปรียบเป็น ) : การเปรียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง เช่น ตอนพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเปรียบ เทียบการแตกสามัคคีของกษัตริย์ลิจฉวี ๓.๓. การหลายคำ : กวีจำ เป็นต้องรู้จักคำ มากเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำ ซ้ำ กัน ทำ ให้ผู้อ่านเห็นความเป็น อัจฉริยะของกวี เช่น “ ขุนคอคชคุมกุมอัง กุสกรายท้ายยัง ” ขุนควาญประจำ ดำ รี “ ขุนคชขึ้นคชชินชาญ คุมพลคชสาร ” ละตัวกำ แหงแข็งขัน ลูกข่างประดาทา รกกาลขว้างไป หมุนเล่นสนุกไฉน ดุจกันฉะนั้นหนอ เมตตาทยาลุศุภกรรม อุปถัมภการุณย์ สรรเสริญเจริญพระคุณสุน ทรพูนพิบูลงาม เปรียบปานมหรรณพนที ทะนุที่ประทังความ ร้อนกายกระหายอุทกยาม นรหากประสบเห็น เอิบอิ่มกระหยิ่มหทยคราว ระอุผ่าวก็ผ่อนเย็น ยังอุณหมุญจนะและเป็น สุขปีติดีใจ ๓.๔. การเล่นเสียงพยัญชนะ เช่น คะเนกล-คะนึงการ , ระวังเหือด-ระแวงหาย ทิชงค์ชาติฉลาดยล คะเนกลคะนึงการ กษัตริย์ลิจฉวีวาร ระวังเหือดระแวงหาย ช้าง ช้าง ช้าง ๓๙


คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๓. โวหารภาพพจน์ ๓.๕. การเพิ่มสัมผัส : คำ ประพันธ์ไทยนิยมสัมผัสมากแม้ว่าฉันท์จะเป็นคำ ประพันธ์ที่ไทยรับมาจากอินเดีย ซึ่งแต่เดิมไม่มีสัมผัส เราก็เพิ่มสัมผัสนอกเข้าไปเพื่อให้ไพเราะยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มครุ ลหุเข้าไปใน กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ทำ ให้เกิดลีลาคึกคักเหมาะสมกับท้องเรื่อง เช่น ตอนบรรยายการจัดกองทัพของ พระเจ้าอชาตศัตรู ๓.๖. บุคคลวัต/บุคลาธิษฐาน : การสมมุติสิ่งต่าง ๆ ให้มีกิริยาอาการ มีความรู้สึกเหมือนมนุษย์ เช่น ๓.๗. อติพจน์ : เป็นการกล่าวผิดไปจากความเป็นจริง เป็นการกล่าวเกินจริง เช่น ตอนพรเจ้าอชาตศัตรูทัพ มาตีแคว้นวัชชี ตื่นตาหน้าเผือด หมดเลือดสั่นกาย หลบลี้หนีตาย วุ่นหวั่นพรั่นใจ ซุกครอกซอกครัว ซ่อนตัวแตกภัย เข้าดงพงไพร ทิ้งย่านบ้านตน วัชชีผู้มีผอง สดับกลองกระหึมขาน ทุกไท้ไป่เอาภาร ณ กิจเพื่อเสด็จไป สะพรึบสะพรั่ง ณ หน้าและหลัง ณ ซ้ายและขวา ละหมู่ละหมวด ก็ตรวจก็ตรา ประมวลกะมา สิมากประมาณ ๓.๘. การเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระ แตกร้าวกร้าวร้ายก็ป้ายปาม ลุวรบิดรลาม ทีละน้อยตาม ณ เหตุผล ฟั่นเฝือเชื่อนัยดนัยตน นฤวิเคราะหเสาะสน สืบจะหมองมล เพราะหมายใด ๔๐


สะท้อนวัฒนธรรมของคนในสังคม - มีความตั้งใจในการประชุม เมื่อถึงการประชุมเพื่อหารือกันในการทำ งานในขั้นตอนต่อไป - มีความพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำ กิจที่พึงทำ - ทำ ตามกฎระเบียบ พูดจาให้ไพเราะเพื่อไม่ทำ ให้เกิดการผิดใจกัน - ถ้าเป็นอันหนึงอันเดียว ก็จะนำ ความหายนะมาสู่บ้านเมืองได้ - เน้นการใช้สติปัญญาในการไตร่ตรองความคิดการแก้ไขปัญหามากกว่าการใช้กำ ลัง - ทำ ให้เกิดการแตกแยกกันในหมู่คณะ ซึ่งอาจทำ ให้ผู้อื่นเดือดร้อน - ทำ ให้ไม่ประสบผลสำ เร็จตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ - เกิดความล่าช้าในการทำ งาน - ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน 1. สะท้อนให้เห็นการปกครองโดยการใช้ระบบสามัคคีธรรม เน้นถึงโทษของการไม่มีความสามัคคี การ แตกแยกกันในหมู่คณะ และเน้นถึงหลักธรรม คือ อปริหานิยธรรม ๗ ประการ ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ส่งผลให้เกิดความ สามัคคีกัน การทำ งานร่วมกัน และความเจริญของหมู่คณะที่ปราศจากความเสื่อม 1.1 ผลของการมีความสามัคคี ได้แก่ 1.2 โทษของการไม่มีความสามัคคี ได้แก่ 2. วิถีชีวิต ในสมัยนั้นการใช้สื่อสารโดยการตีกลองเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบหรือการนัดประชุม คุณค่าด้านสังคม ๔๑


บรรณานุกรม ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาเรื่องสามัคคีเภทคำ ฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/283751 (วันที่สืบค้นข้อมูล ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๖) ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติผู้แต่งเรื่องสามัคคีเภทคำ ฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://samakkeepeatchant.blogspot.com/2013/11/blog-post_3431.html (วันที่สืบค้นข้อมูล ๔ ตุลาคม ๒๕๖๖) ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อเรื่องย่อสามัคคีเภทคำ ฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/283759 (วันที่สืบค้นข้อมูล ๙ ตุลาคม ๒๕๖๖) ข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าด้านวรรณศิลป์ในสามัคคีเภทคำ ฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://www.thaischool.in.th/_files_school/57100755/workteacher/57100755_1 _20200914-092903.ppt (วันที่สืบค้นข้อมูล ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๖) ข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าด้านสังคมในสามัคคีเภทคำ ฉันท์.[ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก http://www.digitalschool.club/digitalschool/thai2_4_1/thai9_5/paper/all.pdf (วันที่สืบค้นข้อมูล ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๖) ๔๒


ภาคผนวก ๔๓


Click to View FlipBook Version