43 ตารางที่ 6 เปรียบเทียบค่าเฉลี่ย และระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้าน การสร้างเสริมสุขภาพ จำแนกตามกลุ่มตัวอย่างของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่าง xˉ S.D. ระดับ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 1 3.78 .54 มาก นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 2 3.84 .49 มาก นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี3 3.90 .36 มาก นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี4 4.23 .46 มากที่สุด อาจารย์และเจ้าหน้าที่ 4.02 .31 มากที่สุด จากตารางที่ 6 พบว่า ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้าง เสริมสุขภาพ จำแนกตามกลุ่มตัวอย่างของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีที่มีค่าเฉลี่ยมาก ที่สุด และอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี4 ( xˉ = 4.23, S.D = .46) รองลงมา ได้แก่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ ( xˉ = 4.02, S.D = .31) ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่ง การเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพน้อยที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 1 ( xˉ = 3.78, S.D = .54) รองลงมาได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 2 ( xˉ = 3. 84, S.D = .49) ตารางที่7 ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการ สร้างเสริมสุขภาพ จำแนกตามรายข้อ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ระดับความคิดเห็น xˉ S.D. ระดับ โครงสร้างองค์กร 1. มีโครงสร้างงานสร้างเสริมสุขภาพในองค์กรชัดเจน 3.97 .61 มาก 2. มีทีมงานดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างเพียงพอ 3.85 .69 มาก 3. มีการกำหนดสายการควบคุมการกำกับงานสร้างเสริมสุขภาพชัดเจน 3.82 .69 มาก 4. มีกลยุทธ์ในการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพที่สอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ 3.90 .66 มาก 5. มีการวางแผนกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ 3.93 .63 มาก 6. มีการทำงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพแบบเป็นทีม 3.97 .73 มาก 7. มีนโยบายของวิทยาลัยในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรการสร้างเสริม สุขภาพชัดเจน 4.06 .71 มากที่สุด 8. มีการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านการสร้างเสริมสุขภาพแบบมีส่วนร่วม 4.00 .72 มาก
44 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ระดับความคิดเห็น xˉ S.D. ระดับ การสร้างนโยบายการสร้างเสริมสุขภาพ 9. มีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างเสริมสุขภาพชัดเจน 3.92 .69 มาก 10. มีการถ่ายทอดนโยบายสร้างเสริมสุขภาพในทุกพันธกิจขององค์กร 3.89 .70 มาก 11. มีการถ่ายทอดนโยบายสร้างเสริมสุขภาพในการจัดการเรียนการสอน 3.94 .74 มาก 12. มีการประกาศนโยบายในการมุ่งสู่การเป็นองค์กรการสร้างเสริม สุขภาพให้ทุกคนทราบ 4.02 .67 มากที่สุด 13. ในองค์กรมีผู้นำในการดำเนินกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพชัดเจน 3.98 .70 มาก ภาวะผู้นำ 14. ผู้บริหารเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ 4.11 .70 มากที่สุด 15. อาจารย์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ 3.99 .70 มาก 16. เจ้าหน้าที่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ 3.79 .71 มาก 17. นักศึกษาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ 3.83 .68 มาก ในองค์กรมีบุคคลที่มีสุขภาพดี 18. วิทยาลัยเป็นต้นแบบด้านการสร้างเสริมสุขภาพให้กับหน่วยงานอื่นได้ 3.92 .74 มาก เทคโนโลยีสารสนเทศ 19. มีการสื่อสารให้ความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ หลายช่องทาง เช่น e-mail, line, ป้ายประชาสัมพันธ์ เป็นต้น 3.93 .68 มาก 20. มีการใช้ช่องทางสื่อสารที่หลากหลายในการกระตุ้นให้เกิดการสร้าง เสริมสุขภาพ 3.83 .77 มาก 21. มีการนำเสนอกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพของวิทยาลัยผ่านทางสื่อ ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกวิทยาลัย 3.84 .77 มาก 22. มีการใช้เทคโนโลยี่มาสนับสนุนให้มีการสร้างเสริมสุขภาพมากขึ้น 3.86 .74 มาก การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพ 23. มีการพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในวิทยาลัยเพื่อให้สร้างเสริมสุขภาพ เช่น การจัดสถานที่และอุปกรณ์การออกกำลังกายได้เหมาะสม 3.91 .78 มาก 24. มีสถานที่และอุปกรณ์การออกกำลังกายเพียงพอ 4.02 .75 มากที่สุด 25. มีวัสดุ อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีใช้ในองค์กร เช่น เก้าอี้นั่ง โต๊ะ หลอดไฟ ฯลฯ 3.77 .85 มาก 26. มีการการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพภายในวิทยาลัย ที่จัดให้กับบุคลากรและนักศึกษา เช่น การออกกำลังกาย การตัก บาตร สวดมนต์นั่งสมาธิ ฯลฯ ได้เหมาะสม 3.86 .80 มาก
45 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ระดับความคิดเห็น xˉ S.D. ระดับ การเสริมสร้างความเข้มแข็ง 27. วิทยาลัยให้โอกาสในการเข้าร่วมกำหนดแผนปฏิบัติการ การดำเนิน กิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพ 4.09 .75 มากที่สุด 28. วิทยาลัยให้โอกาสทุกคนแสดงความคิดเห็นในการจัดกิจกรรมการ สร้างเสริมสุขภาพภาย 4.04 .66 มากที่สุด 29. วิทยาลัยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ 3.98 .75 30. ทุกคนสามารถทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพด้วยตนเอง 4.09 .68 มากที่สุด 31. ทุกคนร่วมประเมินผลในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่าง อิสระ 4.10 .72 มากที่สุด การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล 32. วิทยาลัยมีการจัดอบรม ให้ความรู้และฝึกทักษะเกี่ยวกับสร้างเสริม สุขภาพให้กับบุคลากรเจ้าหน้าที่และนักศึกษาอย่างเพียงพอ 4.06 .73 มากที่สุด 33. วิทยาลัยมีการจัดอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับสร้างเสริมสุขภาพให้กับ บุคลากรเจ้าหน้าที่และนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง 4.02 .61 มากที่สุด 34. วิทยาลัยมีการฝึกทักษะด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เช่น การวิ่ง สมาธิบำบัด ฯลฯ ให้กับบุคลากรเจ้าหน้าที่และนักศึกษาได้ เหมาะสม 4.03 .72 มากที่สุด 35. วิทยาลัยมีการส่งเสริมให้เรียนรู้กิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพแบบใหม่ๆ ที่หลากหลาย 4.09 .66 มากที่สุด รวม 4.02 .77 มากที่สุด จากตารางที่ 7 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีเมื่อจำแนกตามรายข้อ พบว่า ข้อที่ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และ อยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ผู้บริหารเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ( xˉ = 4.11, S.D = .70) รองลงมาได้แก่ ทุกคนร่วมประเมินผลในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างอิสระ ( xˉ = 4.10, S.D = .72) ข้อที่ที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ มีวัสดุ อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีใช้ในองค์กร เช่น เก้าอี้นั่ง โต๊ะ หลอดไฟ ฯลฯ ( ˉx = 3.77, S.D = .85) รองลงมาได้แก่ เจ้าหน้าที่เป็นแบบอย่างใน การปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ( xˉ = 3.79, S.D = .71)
46 ตารางที่ 8 สมการถดถอยระหว่าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และการเป็นองค์กร แห่งการเรียนรู้ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ตัวพยากรณ์ ค่าคงที่ B Beta R2 F ปัจจัย .53 .86 .84 .71 564.86 = P <.00 สมการในรูปคะแนนดิบ : องค์กรแห่งการเรียนรู้ = . .534+..841 (ปัจจัย) สมการในรูปคะแนนมาตรฐาน : Zองค์กรเรียนรู้ = . .841 (Zปัจจัย) ตารางที่ 9 ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้าน การสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ตัวแปร b S.D ß t Sig โครงสร้างองค์กร .022 .067 .023 .332 .741 ภาวะผู้นำ .119 .056 .129 2.133 .034 เทคโนโลยีสารสนเทศ .143 .044 .180 3.229 .001 การสร้างนโยบาย .141 .061 .165 2.322 .021 การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ .085 .045 .110 1.886 .061 การเสริมสร้างความเข้มแข็ง .078 .056 .092 1.411 .160 การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล .253 .057 .292 4.429 .000 ค่าคงที่ (intercept) .584 .145 4.024 .000 R 2 = .71 F = 564.86 , Sig = <.05 สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ ŷ = 1.211 + 0.176 xˉ X 4 + 0.197 xˉ X 6 + 0.097 xˉ X 11 + 0.110 xˉ X 1 + 0.098 xˉ X 9
บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการ เรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ และเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการ สร้างเสริมสุขภาพของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี ตามแนวคิดของ Sange (2000) และ Marquardt (1996) มีการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ดังนี้ ในการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และ นักศึกษาพยาบาลหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีจำนวน ทั้งหมด 235 คน โดยใช้วิธีการสุ่มเลือกแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) และสุ่มแบบจับ ฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ประกอบด้วย ข้อคำถาม เกี่ยวกับเพศ สถานภาพ สถานะในองค์กร การได้รับความรู้อบรมเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพทั้ง ภายในและภายนอกวิทยาลัย และการเข้าร่วมกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของวิทยาลัย แบบสอบถาม ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ประกอบด้วย 7 ด้าน ไ ด้แก่ โครงสร้างองค์กร ภาวะผู้นำ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างนโยบาย การสร้าง สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ การเสริมสร้างความเข้มแข็ง การพัฒนาทักษะส่วนบุคคล และ แบบสอบถามลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านส่งเสริมสุขภาพของวิทยาลัยพยาบาลบรมราช ชนนี สุพรรณบุรีประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การเป็นบุคคลที่รอบรู้ การมีแบบแผนความคิด การคิด อย่างเป็นระบบ การสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน และการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองโดยให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถาม หลังจากนี้นนำมาตรวจสอบ ความสมบูรณ์และความถูกต้องของแบบสอบถามและข้อมูลที่ได้รับคืนมีความสมบูรณ์ร้อยละ 100 นำ ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์วิเคราะห์โดยการการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ใช้สถิติค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน (Pearson Correlation Coefficient) และใช้วิธีการ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)
48 สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 93.6 สถานภาพโสด คิดเป็นร้อยละ 94 ส่วนใหญ่นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คิดเป็นร้อยละ 25.5 รองลงมาเป็น นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 24.3 ส่วนใหญ่ได้รับความรู้ อบรมเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพทั้ง ภาพยในและภายนอกวิทยาลัย คิดเป็นร้อยละ 93.2 ส่วนใหญ่เคยเข้าร่วมกิจกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัย คิดเป็นร้อยละ 98.7 สรุปผลตามวัตถุประสงค์และสมมติฐาน มีรายละเอียดดังนี้ 1. ลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีลักษณะของความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านส่งเสริมสุขภาพของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีพบว่า ลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีค่าเฉลี่ย มากที่สุด ได้แก่ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม ( xˉ = 3.99, S.D = .56) รองลงมาได้แก่การสร้างวิสัยทัศน์ ร่วมกัน ( xˉ = 3.97, S.D = .55) ลักษณะที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ การมีแบบแผนความคิด ( xˉ = 3.83, S.D = .53) รองลงมาได้แก่ การเป็นบุคคลที่รอบรู้ (xˉ = 3.86, S.D = .50) เมื่อจำแนกตามรายข้อ พบว่า ลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม วิทยาลัยมีการแสวงหาความรู้การสร้างเสริมสุขภาพใหม่ ๆ เพื่อนำมาใช้ พัฒนางานสร้างเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ (xˉ = 4.08, S.D = .66) รองลงมาได้แก่ วิทยาลัยจัดการ อบรมและการเรียนรู้วิธีการสร้างเสริมสุขภาพร่วมกันเป็นทีม และการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมบุคลากรและ นักศึกษานำความรู้การสร้างเสริมสุขภาพที่ได้จากการประชุม อบรม หรือสัมมนามาทดลองปฏิบัติเพื่อเป็น แนวทางในการปฏิบัติต่อไป ( xˉ = 4.01, S.D = .67) ข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ การเป็นบุคคลที่ รอบรู้บุคลากรและนักศึกษามีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นเพื่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับการ สร้างเสริมสุขภาพในสิ่งใหม่ๆ และการมีแบบแผนความคิด บุคลากรและนักศึกษาร่วมคิดพิจารณา ทบทวน ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานการสร้างเสริมสุขภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ (xˉ = 3.73, S.D = .68, xˉ = 3.73, S.D = .70 ตามลำดับ) รองลงมา บุคลากรและนักศึกษามีการศึกษาหาความรู้ เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพใหม่ๆเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา (xˉ = 3.74, S.D = .61) เมื่อเปรียบเทียบระดับลักษณะของความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ จำแนกตามกลุ่มตัวอย่างของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีพบว่า กลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 ( xˉ = 4.13, S.D = .48) รองลงมาได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 ( xˉ = 4.02, S.D = .31) ความคิดเห็นต่อระดับของการเป็นองค์กรแห่ง การเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพน้อยที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 1 (xˉ = 3.80, S.D = .53) รองลงมาได้แก่ อาจารย์และเจ้าหน้าที่ (xˉ = 3. 83, S.D = .39)
49 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ปัจจัยการ เสริมสร้างความเข้มแข็ง ( xˉ = 4.06, S.D = .58) รองลงมาปัจจัยการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล (xˉ = 4.04, S.D = .57) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพน้อยที่สุด ได้แก่ ปัจจัยเทคโนโลยีสารสนเทศ (xˉ = 3.86, S.D = .62) รองลงมาปัจจัยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ ต่อการสร้างเสริมสุขภาพ (xˉ = 3. 89, S.D = .64) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี สุพรรณบุรีเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย และระดับ จำแนกตามกลุ่มตัวอย่างของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีพบว่า ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้าน การสร้างเสริมสุขภาพ จำแนกตามกลุ่มตัวอย่างของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีที่มี ค่าเฉลี่ยมากที่สุด และอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี4 (xˉ = 4.23, S.D = .46) รองลงมาได้แก่อาจารย์และเจ้าหน้าที่ (xˉ = 4.02, S.D = .31) ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็น องค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพน้อยที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 1 (xˉ = 3.78, S.D = .54) รองลงมาได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปี 2 (xˉ = 3. 84, S.D = .49) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี สุพรรณบุรีเมื่อจำแนกตามรายข้อ พบว่า ข้อที่ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และอยู่ในระดับมาก ที่สุด ได้แก่ ผู้บริหารเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ (xˉ = 4.11, S.D = .70) รองลงมาได้แก่ ทุกคนร่วมประเมินผลในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพอย่างอิสระ (xˉ = 4.10, S.D = .72) ข้อที่ที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ มีวัสดุ อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการมีสุขภาพดีใช้ในองค์กร เช่น เก้าอี้นั่ง โต๊ะ หลอดไฟ ฯลฯ ( xˉ = 3.77, S.D = .85) รองลงมาได้แก่ เจ้าหน้าที่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อ สร้างเสริมสุขภาพ ( xˉ = 3.79, S.D = .71) สมการถดถอยระหว่าง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และการเป็นองค์กรแห่ง การเรียนรู้ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีได้สมการดังนี้ สมการในรูปคะแนนดิบ : องค์กรแห่งการเรียนรู้ = . .534+..841 (ปัจจัย) สมการในรูปคะแนนมาตรฐาน : Zองค์กรเรียนรู้ = . .841 (Zปัจจัย) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี สุพรรณบุรีได้แก่ ภาวะผู้นำ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสร้างนโยบาย และการพัฒนา ทักษะส่วนบุคคล มีสมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ ŷ = 1.211 + 0.176 xˉ X 4 + 0.197 xˉ X 6 + 0.097 xˉ X 11 + 0.110 xˉ X 1 + 0.098 xˉ X 9
50 การอภิปรายผล ผลการวิจัย เรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีมีประเด็นในการอภิปรายดังนี้ 1. ลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม อาจเนื่องจาก วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีได้ใช้การมีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์ของ วิทยาลัยในการเป็นผู้นำด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ผลิตบัณฑิตและพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุขที่มี คุณภาพโดยใช้ชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2555-2559) โดยมีกลยุทธ์สู่ความเป็นเลิศด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (แผนปฏิบัติการวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี, 2555) และเริ่มดำเนินการตามแผนกลยุทธ์สู่ความเป็นเลิศด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ตั้งแต่ ในปี 2557 เป็นต้นมา ได้แก่ การพัฒนาระบบบริหารจัดการศูนย์สู่ความเป็นเลิศ การพัฒนาศักยภาพ บุคลากรให้เป็นมืออาชีพและเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มุ่งสู่ความ เป็นเลิศ การพัฒนาการบริการวิชาการ การพัฒนาคลังความรู้และทรัพยากรการเรียนรู้ และการพัฒนา ความเข้มแข็งของเครือข่ายทางวิชาการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ สอดคล้องกับการเป็นองค์การแห่ง การเรียนรู้ของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พัชรกันย์ เมธาอัครเกียรติ และประสพชัย พสุนนท์, 2561) และลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี(ไพลิน บุญนา, 2559) ที่โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้พบว่าลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้รายด้านที่ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การ เรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม และรองลงมาเป็นการสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกัน อาจเนื่องจาก ตั้งแต่ปี 2557 วิทยาลัย ได้มีการดำเนินกิจกรรมที่เน้นการทำทั้งองค์กรอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกัน และบรรยากาศที่สนับสนุนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในองค์กร ให้เป็นผู้ใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ได้ทำงานและเรียนรู้ ร่วมกันเป็นทีม ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันทั้งองค์กร เกิดเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เมื่อเปรียบเทียบระดับลักษณะของความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ จำแนกตามกลุ่มตัวอย่างของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีพบว่า กลุ่มที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 4 รองลงมาได้แก่ นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3 อาจเนื่องจาก นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ได้รับการพัฒนาทั้งด้านความรู้และทักษะด้านการสร้างเสริมสุขภาพ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อยู่ในชั้นปีที่ 1 จึงเกิดการเรียนรู้ และเห็นพัฒนาการขององค์กรในการเรียนรู้ร่วมกัน ด้านการสร้างเสริมสุขภาพเป็นลำดับขั้น
51 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยปัจจัยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง และปัจจัยการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล อยู่ในระดับมากที่สุดตามลำดับ เมื่อจำแนกตามรายข้อ พบว่า ใน ด้านภาวะผู้นำในข้อผู้บริหารเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนเพื่อสร้างเสริมสุขภาพ อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาได้แก่ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็ง ทุกคนร่วมประเมินผลในการจัดกิจกรรมสร้างเสริม สุขภาพอย่างอิสระ อาจเนื่องจาก องค์กรที่มีการเรียนรู้ตลอดเวลานั้นเป็นกระบวนการที่มีลักษณะ เคลื่อนไหวและบุคลากรในองค์กรต้องเสาะแสวงหาความรู้มาแบ่งปันและเผยแพร่ซึ่งกันและกัน เพื่อ พัฒนางานในหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สอดคล้องกับงานวิจัยของแพนศรี ศรีจันทึก (2554) ที่พบว่า ปัจจัยด้านภาวะผู้นำแห่งการเรียนรู้ ด้านความสามารถของบุคลากร ด้านการเสริมแรงและการจูงใจ ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรสายสนับสนุน กรณีศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยราช มงคลอีสาน นอกจากนี้การจัดระบบดำเนินการในองค์กรที่ทำให้บุคลากรสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการ เรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัย ทำให้บุคลากรทุกระดับเกิดการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง เกิดการ แบ่งปันและการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน (อัมพร ปัญญา, 2557) ที่สำคัญผู้บริหารควรต้องตระหนักถึง ความสำคัญและความต้องการให้เรียนรู้ของบุคลากร พร้อมทั้งดำเนินการต่อยอดให้ความเป็นองค์การแห่ง การเรียนรู้เกิดความรอบรู้แห่งตน มีแบบแผนความคิดอ่าน การคิดอย่างเป็นระบบ ให้มีระดับที่สูงขึ้น และมีระดับของการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน โดยการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล เทคโนโลยี่สารสนเทศ การ สร้างนโยบาย และภาวะผู้นำ สร้างความตระหนักให้แก่บุคลากร เสริมสร้างบรรยากาศองค์กรที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ สร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนาลักษณะการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดโอกาสให้ บุคลากรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (พัชรกันย์ เมธาอัครเกียรติ และประสพชัย พสุนนท์, 2561) ข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรศึกษาถึงปัจจัยเชิงสาเหตุ ที่มีอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางอ้อม และอิทธิพลโดยรวม ของตัวแปรต่าง ๆ ที่จะนำมาพัฒนาต่อได้อย่างเป็นรูปธรรม 2. ควรทำการศึกษาต่อในเชิงการพัฒนา เป็นวิจัยเชิงพัฒนา (Research and Development, R&D) ในการพัฒนาวิทยาลัยให้เป็นองค์กรการเรียนรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาพที่เป็น ต้นแบบได้
บรรณานุกรม กานต์สุดา มาฆะศิรานนท์. (2557). การพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้. กรุงเทพฯ : บริษัทเอ็กซเปอร์เน็ท. งานแผนและยุทธศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรี.(2555). แผนปฏิบัติการวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี สุพรรณบุรีเอกสารอัดสำเนา ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์.(2548). องค์กรแห่งการเรียนรู้: จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: บริษัทแซท์โฟร์ พริ้นติ้ง จำกัด. พัชรกันย์ เมธาอัครเกียรติ และประสพชัย พสุนนท์. (2561). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบับภาษาไทยสาขามนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปะ.11 (1), มกราคม – เมษายน. 1944-1960. แพนศรี ศรีจันทึก. (2554). ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของบุคลากรสายสนับสนุน กรณีศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน. บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลอีสาน ไพลิน บุญนา. (2559). ลักษณะความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี. มนต์ชัย พินิจจิตรสมุทร.(2552). วินัย 5 ประการ สำหรับองค์กรแห่งการเรียนรู้: กรุงเทพฯ : อี.ไอ.สแควร์ พับลิชชิ่ง. สายพิรุณ เพิ่มพูล.(2557). จัดการความรู้สู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ใน 90 วัน.กรุงเทพฯ: บริษัทเอ็กซเปอร์เน็ท. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2553). แผนพัฒนาเศรษญกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2550 – 2555). สำนักนายกรัฐมนตรี. อัมพร ปัญญา. (2557). ปัจจัยที่ส่งผลต่อลักษณะการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในวิทยาลัยราชพฤกษ์. วารสารปัญญาภิวัฒน์. 5(2), มกราคม – มิถุนายน, 180-190. Argyris, Chris. 1976. “ Leadership, Leadership and Changing the Status Quo.” Organizationl Dynamic 3 (Winter 1976) : 29. Bennette, J. K., and O’Brien, M. J. (1994). The Building Blocks of the Learning Organization. Training, 31(6), 41-49 Chalofsky, N. (1996). “A new paradigm for learning in organization.” Human resource Development Quartery, 7/3, Fall, :292.
53 Garvin, D.A. (1993). Learning Organization. Boston: Harvard University Press. Marquardt, M.J. (1996). Building the learning organization: A system Approach to Quantum Improvement and Global Success. New York: Mcgraw-Hill. Megginson,D.,Banfield P, and joy-Mathews J.(1999). Human resource development.London : Kogan Page . Pedler M., et. Al 1991. The Learning Company : A Strategy for Sustainable. Development. Maidenhead : McGraw-Hill. Senge, P.M. (1990). The Fifth Discipline: The Art and Practice of the Learning Organization. New York: Doubleday. __________. (2006). The Fifth Discipline Field Book : Strategies and Tools for Building a Learning Organization. New York: Doubleday. Senge, P.M. 2000. Schools That Learn :a Fifth Discipline. New York: Doubleday Watkins, K. E., & Marsick, V. J. 1993. Sculpting the Learning Organization: Lessons in the Art and Science of Systemic Change. San Francisco: Jossey-Bass.
55 ภาคผนวก
56 เครื่องมือที่ในการวิจัย