43 1.3 สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ = ∑ แทนค่า คือ ดัชนีความสอดคล้องระหว่าง -1 ถึง +1 ∑ คือ ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 1.4 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ขั้นตอนการทดสอบสมมติฐานทางสถิติมีดังนี้ 1. ตั้งสมมติฐานหลัก (H0) และสมมติฐานทางเลือก (H1) ให้มีความหมายตรงข้ามกัน เสมอ 2. กำหนดระดับนัยสำคัญ α 3. เลือกตัวสถิติทดสอบที่เหมาะสม แล้วหาจุดวิกฤตเพื่อกำหนดบริเวณปฏิเสธ H0 ให้ สอดคล้องกับ H0 และ α 4. คำนวณค่าสถิติที่ใช้ทดสอบจากตัวอย่างขนาด n ที่สุ่มมา 5. ตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธ H0 โดยพิจารณาจากเงื่อนไขนี้ ถ้าค่าสถิติทดสอบที่ คำนวณได้จากขั้นตอนที่ 4 ตกอยู่ในบริเวณยอมรับ เราจะตัดสินใจยอมรับ H0 แต่หากตกอยู่ บริเวณปฏิเสธ จะตัดสินใจปฏิเสธ H0 6. สรุปผล 1.5 ค่าร้อยละ (Percentage) ใช้สูตรดังนี้ = 100 แทนค่า คือ ร้อยละ ∑ คือ ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ คือ จำนวนความถี่ทั้งหมด 1.6 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตร Ferguson (Ferguson, 1981 : 49)
44 .. = √ 2 ∑ 2 − (∑ ) 2 ( − 1) แทนค่า .. คือ ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ 2 คือ ผลรวมของกำลังสองของคะแนน (∑ ) 2 คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกาลังสอง คือ จำนวนคนในกลุ่มตัวอย่าง นำข้อมูลที่ได้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนมาสร้าง ตารางเปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนของนักเรียนรายบุคคล มา เพื่อดูพัฒนาการของนักเรียนและจุดบกพร่องต่อไป ค่าความยากง่ายของข้อสอบ ความยากง่าย (Difficulty) ความยากง่ายของแบบทดสอบ เป็นคุณภาพของเครื่องมือที่เป็น แบบทดสอบที่แสดงสัดส่วนของผู้สอบที่ตอบข้อนั้นได้ถูกต้อง ต่อผู้สอบทั้งหมดจะพิจารณาเป็นรายข้อ ของแบบทดสอบแบบเลือกตอบ โดยใช้สูตรในการคำนวณ ดังนี้ กำหนดให้ p คือ ค่าความยากง่าย R คือ จำนวนผู้สอบที่ตอบข้อนั้นถูก N คือ จำนวนผู้สอบทั้งหมด ความยากง่ายที่แบ่งกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ จะคำนวณได้จากสูตร กำหนดให้ p คือ ค่าความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อ RH คือ จำนวนผู้สอบที่ตอบถูกในกลุ่มสูง RL คือ จำนวนผู้สอบที่ตอบถูกในกลุ่มต่ำ
45 NH คือ จำนวนผู้สอบที่ตอบในกลุ่มสูง NL คือ จำนวนผู้สอบที่ตอบในกลุ่มต่ำ การพิจารณาระดับค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อที่ได้จากการคำนวณ จากสูตรที่ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0.00 ถึง 1.00 โดยที่ข้อสอบที่จะสามารถนาไปใช้ในการวัดผลที่มี ประสิทธิภาพจะมีค่าความยากอยู่ ระหว่าง 0.20 ถึง 0.80 เกณฑ์การตัดสินคุณภาพของ แบบทดสอบมีดังนี้ p มากกว่า 0.8 แต่น้อยกว่า 1.0 แสดงแบบทดสอบข้อนั้นง่ายมาก ควรตัดทิ้งหรือ นำไปปรับปรุง p มากกว่า 0.6 แต่น้อยกว่า 0.8 แสดงแบบทดสอบข้อนั้นค่อนข้างง่าย นำไปใช้ได้ p มากกว่า 0.4 แต่น้อยกว่า 0.6 แสดงแบบทดสอบข้อนั้ยากง่ายปานกลาง นำไปใช้ ได้ p มากกว่า 0.2 แต่น้อยกว่า 0.4 แสดงแบบทดสอบข้อนั้นค่อนข้างยาก นำไปใช้ได้ p น้อยกว่า 0.2 แสดงแบบทดสอบข้อนั้นยากมาก ควรตัดทิ้งหรือนำไปปรับปรุง นอกจากจะนำค่าความยากง่ายไปใช้ในการเลือกข้อสอบแล้วยังสามารถนำมาใช้ใน การจัดเรียงลำดับข้อสอบจากง่ายไปยาก การปรับปรุงข้อคำถามและตัวเลือก การจัดทำ ข้อสอบแบบคู่ขนานที่มีความยากง่ายใกล้เคียงกัน ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เครื่องมือวัดผลที่มีประสิทธิภาพ เป็นเครื่องมือที่ทำให้ ได้ข้อมูลได้ถูกต้องเชื่อถือได้ โดยลงทุนน้อยที่สุดไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในแง่เวลา แรงงาน และทุน ทรัพย์ รวมทั้งความสะดวกสบาย คล่องตัวในการรวบรวมข้อมูล ความยุติธรรม (Fair) ความยุติธรรม เป็นคุณลักษณะของข้อสอบที่ดีต้องไม่เปิดโอกาสให้เด็ก ได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น ข้อสอบบางฉบับครูไปเน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตรงกับเรื่องที่เด็กทำ รายงานในบางกลุ่ม ทำให้กลุ่มนั้น ๆ ได้เปรียบคนอื่น ๆ ข้อสอบบางข้อใช้คำถามหรือข้อความที่แนะ คำตอบ ทำให้นักเรียนใช้ไหวพริบเดาได้ คำถามลึก (Searching) ข้อสอบที่ถามลึกจะวัดความเข้าใจ การนำความรู้ที่ได้เรียนไปแล้ว มาแก้ปัญหา วิเคราะห์ ตลอดจนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมาจนท้ายที่สุดคือการประเมินผลคำถามที่ถาม ลึกนั้นผู้ตอบต้องคิดค้นก่อนจึงจะสามารถหาคำตอบได้ คำถามยั่วยุ (Exemplary) คำถามที่มีลักษณะท้าทายให้เด็กอยากคิดอยากทำ มีลีลาการ ถามที่น่าสนใจ ไม่ถามวนเวียนซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย การใช้รูปภาพประกอบ การเรียงลำดับคำถามจาก ข้อง่ายไปหายากเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ข้อสอบมีลักษณะท้าทายน่าทำ
46 จำเพาะเจาะจง (Definite) คำถามที่ดีต้องไม่ถามกว้างเกินไป ไม่คลุมเครือหรือเล่นสำนวน ให้ผู้สอบงง ผู้สอบอ่านแล้วต้องเข้าใจชัดเจนว่าครูถามอะไร ความเชื่อมั่น (Reliability) ความเชื่อมั่น เป็นคุณสมบัติของการวัดที่แสดงให้ทราบว่าค่า ของคะแนนที่เป็นผลมาจากการวัดด้วยเครื่องมือและวิธีการวัดประเมินที่มีความคงเส้นคงวา (Consistency) หรือคงตัว (Stability) หรือไม่เพียงใด การทดสอบซ้ำ (Test–Retest Method) โดยการนำเอาแบบทดสอบฉบับหนึ่ง ไปทำการ ทดสอบกับนักเรียนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง 2 ครั้ง ในเวลาที่ต่างกัน โดยเว้นระยะเวลาในการสอบทั้ง 2 ครั้ง ให้ห่างกันพอสมควร และทำการสอบซ้ำครั้งที่ 2 นำคะแนนจากการสอบครั้งที่ 1 และคะแนนจากการ สอบครั้งที่ 2 ไปหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์โดยใช้สูตรของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation) กำหนดให้ คือ ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ N คือ จำนวนผู้เข้าสอบ X คือ คะแนนแต่ละตัวของคะแนนครั้งที่ 1 Y คือ คะแนนแต่ละตัวของคะแนนครั้งที่ 2
47 บทที่ 4 ผลการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่ กำหนด โดยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นลำดับ ในลักษณะตารางประกอบคำบรรยายดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบความสามารถในการเรียนรู้ในวิชาสังคม ศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนตลอดงานวิจัยนี้เรื่อง กระบวนการในการตรากฎหมาย ของนักเรียนก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 40 คน การ ทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ( x ) ร้อยละของคะแนนที่ เพิ่มขึ้น ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน 10 5.11 53.62 1.95 หลังเรียน 10 7.85 1.43 จากตารางพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 5.11 คะแนน และคะแนน เฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 7.85 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 2.74 คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่าง คะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 53.62 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง ตารางที่ 2 แสดงผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบบูรณาการ Story line ที่ ชื่อ-สกุล ทดสอบก่อน เรียน ทดสอบหลัง เรียน ความแตกต่าง ค่าคะแนน (10 คะแนน) (10 คะแนน) 1 เด็กชายกฤษฎาพงศ์ อยู่ยอด 3 7 4 2 เด็กชายชุติพนธ์ สังคโต 5 8 3 3 เด็กชายณัฐนันท์ อำไพ 5 7 2 4 เด็กชายธนพล อินเมฆ 4 7 3 5 เด็กชายธัชพล มูลเกษร 5 6 1 6 เด็กชายนพพล ศรีดวง 4 7 3 7 เด็กชายบวรรัตน์ สำลีอ่อน 3 6 3 8 เด็กชายพงศกร อยู่ยอด 2 5 3 9 เด็กชายยุคลเดช เสนาหมื่น 2 6 4
48 10 เด็กชายสิรภพ ดีเลิศ 7 8 1 11 เด็กชายสุวิทย์ จานุพันธ์ 6 8 2 12 เด็กชายอภิสิทธิ์ บำรุงยา 5 8 3 13 เด็กชายณภัทร สายสะอาด 4 7 3 14 เด็กหญิงจิณณพัต คำพ่วง 4 5 1 15 เด็กหญิงจุฑามณี โสนนอก 6 8 2 16 เด็กหญิงณัฐณิชา โพธิ์ทอง 3 7 4 17 เด็กหญิงธนภร สาหร่าย 3 6 3 18 เด็กหญิงนรบดี บัวบาน 4 7 3 19 เด็กหญิงรัญชิดา เอี่ยมประไพ 4 6 2 20 เด็กหญิงกุลจิรา ขอนทอง 5 8 3 21 เด็กชายกุลกิตติ สรสิทธิ์ 5 7 2 22 เด็กชายณัฐพล ช่ำชอง 6 8 2 23 เด็กชายธนกร ฉวีทอง 3 6 3 24 เด็กชายธนกร ศรีสะอาด 5 7 2 25 เด็กชายธีระพงษ์ ศรีสวัสดิ์ 5 6 1 26 เด็กชายปิยังกูร มีพุ่ม 3 5 2 27 เด็กชายพงศกร ขัดสุข 4 6 2 28 เด็กชายภัทรธร อ่างทอง 2 5 3 29 เด็กชายรัชชภูมิ นาคพิณ 3 5 2 30 เด็กชายสุภสันต์ ปานเกิด 3 6 3 31 เด็กชายอนุชา นุชนารถ 3 5 2 32 เด็กชายอาทิตย์ หล่อหลอม 7 8 1 33 เด็กชายชาคริต สาหร่าย 3 6 3 34 เด็กหญิงแก้ววีรญา บุญเกิด 7 8 1 35 เด็กหญิงจิรัชยา เจริญสุข 6 8 2 36 เด็กหญิงญาณิศา แสวงมิ้ม 3 6 3 37 เด็กหญิงเย็นเย็น 4 7 3 38 เด็กหญิงวนัชญพร พินแย่ง 6 6 0 39 เด็กหญิงสิรีธร มีโพธิ์ 5 8 3 40 เด็กหญิงเมธาวินี จันทร์สอน 4 6 2 ค่าเฉลี่ย 5.11 7.85 2.74
49 จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 นั้น โดยใช้วิธีการสอนแบบบูรณาการ Story line นั้น นักเรียนทดสอบก่อนเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 5.11 คะแนน จากนั้นทดสอบหลังเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.85 คะแนน โดยนักเรียนมี ค่าคะแนนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 2.74 คะแนน ซึ่งเป็นพัฒนาการของคะแนนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดิม ตารางที่ 3 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ ( Index of Item Objective Congruence : IOC) ข้อ ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 รวม 1 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 4 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 6 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 0.67 ใช้ได้ ค่า IOC รวมทั้งหมด = 8.68 = 8.68/10 = 0.868 สรุปว่า แบบทดสอบการเรียนการสอดังกล่าวนั้นใช้ได้
50 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนของนักเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2/1 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องกระบวนการในการ ตรากฎหมาย 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการ พัฒนาการสอน สมมติฐานของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ Story line สามารถทำให้นักเรียนบางส่วนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น กลับมาเข้าใจบทเรียนมากขึ้น และเรียนรู้ได้มากขึ้นกว่าคำอธิบายของครู ประโยชน์คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการการวิจัยครั้งนี้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาและกลุ่มสาระการเรียนรู้ อื่นๆ สามารถนำวิธีการการจัดการเรียนรู้โดยใช้บูรณาการ Story line เป็นฐาน ไปปรับใช้ และประยุกต์ใช้ได้ใน กระบวนการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในการคิดอย่าง มีวิจารณญาณและปัญหาได้ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้บูรณาการ Story line เป็นฐาน มีความสามารถใน การคิดการ คิดอย่างมีวิจารณญาณและแก้ไขปัญหาที่สูงขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบบูรณาการ Story line 2. แบบบันทึกคะแนนและใบงาน 3. สมุดแบบฝึกหัดและใบกิจกรรมของนักเรียน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 40 คน การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะเฟ้นหานักเรียนที่เก่ง และมีความรับผิดชอบมี ลักษณะเป็นผู้นำมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อช่วยในการกระตุ้นเพื่อนๆ ขณะทำกิจกรรมการ เรียนรู้
51 2. ครูผู้สอนชี้แจงการเรียนแบบบูรณาการ Story line โดยหลังจากครูสอนในแต่ละครั้งก็จะ มอบหมายให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด โดยนักเรียนนั่งทำแบบฝึกหัดระดมสมองช่วยกันคิด หากหัวข้อ ใดสมาชิกในกลุ่มไม่เข้าใจ ผู้ที่เข้าใจก็จะช่วยกันอธิบายจนเพื่อนเข้าใจ หากสมาชิกในกลุ่มยังไม่เข้าใจ ก็จะปรึกษาครูผู้สอน 3. ครูสังเกตการทำกิจกรรมของกลุ่ม การช่วยกันแก้ปัญหา ความสนใจ และความตั้งใจของสมาชิก ในกลุ่ม 4. สังเกตผลการทำแบบฝึกหัดว่าดีขึ้นหรือไม่ 5. สังเกตการประเมินตามสภาพจริงในแต่ละครั้ง 6. วัดผลการเรียนเมื่อสิ้นบทเรียน 7. ครูช่วยสรุปการเรียนรู้ทั้งหมดที่นักเรียนปฏิบัติเป็นความคิดรวบยอด สรุปผลการวิจัย ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ Story line มาใช้ในการเรียนการสอนวิชา สังคมศึกษา ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 5.11 คะแนน และคะแนน เฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 7.85 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 2.74 คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่าง คะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 53.62 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนทำ ให้เกิดบรรยากาศที่ดีและเอื้อต่อการเรียนการสอน ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยู่ ตลอดเวลา ช่วยสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดม ความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทางนี้เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี รวมถึง สามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาสังคมศึกษาเป็นอย่างมาก ผลพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของ นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บูรณาการ Story line จากการสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่มของนักเรียน ทุกกลุ่มมีคะแนนพฤติกรรมการทำงานกลุ่มเพิ่มขึ้น อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาวิจัยพบว่าการสอนโดยวิธีบูรณาการ Story line ระหว่างนักเรียนในรายวิชา ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความสามารถในการคิด วิเคราะห์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ Story line มีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อน เรียนและเทียบกับเกณฑ์ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการ Story line เป็นกิจกรรมที่ให้โอกาสให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิดการสร้างความรู้ นำมาใช้ในการ เรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้เรียนได้คิด ได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง เน้นให้ผู้เรียน สร้าง (Construct) ความรู้ด้วยตนเอง โดยมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง เกิดการ เรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถพัฒนาผู้เรียน ทั้งด้านสติปัญญา (Head) ด้านอารมณ์ เจตคติ (Heart) และด้านทักษะปฏิบัติ (Hands) เป็นวิธีสอนที่ให้อำนาจแก่ ผู้เรียน (Learner
52 Empowerment) คือ ให้โอกาสสร้างความรู้หรือปรับแต่งโครงสร้างความรู้ด้วย ตนเองอย่างเป็นอิสระ และแสดงถึงกระบวนการในการได้มาซึ่งความรู้นั้นๆ รับผิดชอบต่อ ความรู้ที่สร้างขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การ เรียนรู้ตลอดชีวิต (Long Life Learning) จากการที่ผู้เรียนมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากนำกระบวนการเรียนรู้แบบ บูรณาการ Story line มาใช้จัดการเรียนการสอนนั้นแสดงให้เห็นว่า ผลการวิจัยสอดคล้องกับ แนวความคิด เรื่อง การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ Story line ที่นักวิชาการหลายท่าน กล่าวไว้ว่าบูรณาการ Story line เป็นกระบวนการที่ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้รับประสบการณ์ตรงใน กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ทุกขั้นตอน การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลใน กิจกรรมการเรียนการสอนแบบ Story Line เป็นการประเมินจากการสังเกตหรือ ประเมินจากผลงาน หรือชิ้นงานของนักเรียน ผู้สอนต้องเก็บข้อมูลแล้วแปลออกมาเป็นคุณภาพ เช่นการประเมินจากการ จัดนิทรรศการและผลงานที่รวบรวมในแฟ้มสะสมผลงาน อาจให้นักเรียนเลือกผลงานที่นักเรียนพอใจ พร้อมอธิบายเหตุผลที่เลือกผลงานชิ้นนั้นมาประเมิน ความก้าวหน้าของพัฒนาการเด็ก โดยมีข้อคิดใน การประเมิน ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการวิจัยในครั้งนี้ 1.1 ครูผู้สอนในวิชาควรใช้กระบวนการบูรณาการ Story line มาจัดกระบวนการเรียนรู้ใน หน่วยเนื้อหาที่ต้องการให้นักเรียนใช้การวิเคราะห์ที่เฉพาะด้านมากขึ้น 1.2 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรสนับสนุนให้ครูในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ นำกระบวนการ เรียนรู้แบบบูรณาการ Story line ไปจัดกระบวนการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้เพิ่มเติม 1.3 ครูควรกำหนดเส้นทางการเดินเรื่อง (Storyline) และจัดเรียงเป็นตอนๆ (Episode) ด้วย การใช้คำถามหลัก (Key Questions) เป็นตัวกำหนดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 เป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนจำได้ถาวร (Retention) ซึ่งการเรียนแบบนี้ต้อง เริ่มต้นด้วยการทบทวนความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนควรมีการจัดการเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่อง 2.2 ควรทำการวิจัยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมตามประสบการณ์ชีวิตของตน และ เป็นประสบการณ์จริงในชีวิตของผู้เรียน 2.3 ข้อมูลจากการวิจัยครั้งนี้ จะเป็นแนวทางและเป็นประโยชน์ต่อการนำไปปรับปรุง การ เรียนการสอนของครูให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์ในการจัดการเรียนรู้หลากหลายวิชามากขึ้น ผู้เรียน ได้เรียนรู้อย่างเป็นสุข สนุกสนาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ และงานที่นำไปนำเสนอต่อเพื่อนต่อชุมนุม ทำให้เกิดความตระหนัก เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง
53 บรรณานุกรม อำนาจ บุญรัตนรัตน์. (2557). การปฏิรูปการศึกษายุคใหม่. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช อาภา ถนัดช่าง. (2557, มิถุนายน). “การสอนแบบบูรณาการ Story line ”, วารสารแนะแนว. 135:25. วลัย พานิช. (2558). การสอนด้วยวิธี storyline. ในอรรถพล อนันตวรสกุล (บรรณาธิการ). การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยวิธี Storyline. กรุงเทพ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ----------. กระทรวงศึกษาธิการ (2559). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ----------.กระทรวงศึกษาธิการ. (2559) สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2545. กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). จิรา ยงเขตกิจ. (2559). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ ชีวิต และพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยการ เรียนแบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ และการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ครุศาสต รมหาบัณฑิต สถาบันราชภัฏนครสวรรค์ ฐิติพร ดวงจิตร. (2560). การพัฒนาชุดทักษะกระบวนการทางสังคมศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษาสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 โดยใช้รูปแบบบูรณาการ Story line . ปริญญา นิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ---------- . (2560). กลุ่มบูรณาการ Story line เพื่อการจัดการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : นิชิน แอดเวอร์ไทซิ่ง กรู๊ฟ วัฒนา ก้อนเชื้อรัตน์. ทบทวนแนวการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา. นครราชสีมา :สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษา นครราชสีมา เขต 1, 2560. ชนาธิป พรกุล. (2560). รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สมฤทัย สมหมาย. (2561) . เอกสารประกอบการสอนการวิจัย story line. มหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงใหม่. กล่อมจันทร์ จันทรศิริ. (2561). เว็บช่วยสอนแบบสตอรี่ไลน์เพื่อการพัฒนาทักษะการอ่านของ นักเรียนไทยในโรงเรียนนานาชาติระดับ MiddleSchool (Grade 8). วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต (สาขาวิชาเทคโนโลยีและ สื่อสารการศึกษา) คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี. วัฒนาพร ระงับทุกข. (2562). แผนการสอนที่เนนผูเรียนเปนศูนยกลาง (พิมพครั้ที่ 2). กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. : มหาวิทยาลัยเกริก Morgan, Clifford T. (2016). “Thinking and Problem Solving”. A Brief Introduction to Psychology. 2nd ed. New Delhi Tata McGrew-Hill.co.
54 Piaget, J. (2016). The Origins of Intelligence in Children. New York : W.W.Norton. Polya, George. (2016). How to solve it. San Francisco : Stanford University. Bell, S. and Harkness, S. (2017). The Storyline Approach. Workshop in Thailand : 11-12 December. Creswell, Jeff. (2018). Creating Worlds : ConstructingMeaning. Portsmouth : Henieman. Sallis, V. (2019). Total Quality Management in Education. London : Kogon Page. Good, C. V. (2019). Dictionary of Education. New York : McGraw Hill. Bell, S. and Fifeld, K. (2020). An Introduction to the Storyline Method. Glasgow : JodanhillCollege.
55 ภาคผนวก
56 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 วิชาสังคมศึกษาพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องกระบวนการในการตรากฎหมาย เวลา 4 ชั่วโมง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด 1.1 ตัวชี้วัด ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ม. 2/1 อธิบายกระบวนการในการตรากฎหมาย 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายขั้นตอนในการตรากฎหมายได้อย่างถูกต้อง (K) 2. จำแนกขั้นตอนในการตรากฎหมายได้(P) 3. เห็นคุณค่าของกระบวนการในการตรากฎหมายเพิ่มมากขึ้น (A) 3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น สาระการเรียนรู้จากสื่อ - กระบวนการในการตรากฎหมาย • ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย • ขั้นตอนการตรากฎหมาย • การมีส่วนร่วมของประชาชน ในกระบวนการตรา กฎหมาย - - ความหมายและความสำคัญ ของ กฎหมาย - กระบวนการในการตรา กฎหมาย 4. มโนทัศน์สำคัญ (Key Concept) - การตรากฎหมายนั้น จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกระบวนการตรากฎหมาย 5. คำถามหลัก (Big Question) - กระบวนการตรากฎหมายมีขั้นตอนอย่างไร 6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด - ทักษะการทำให้กระจ่าง 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน
57 7. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคคู่คิด ขั้นนำ 1. ครูแจ้งให้นักเรียนทราบถึงวิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคคู่คิด ชื่อเรื่องที่ จะเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ และผลการเรียนรู้ 2. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง กฎหมายกับการดำเนิน ชีวิตประจำวัน 3. ครูนำสนทนาด้วยการยกตัวอย่างข่าวเหตุการณ์กรณีศึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติและการละเว้น ปฏิบัติตามกฎหมายและถามคำถามเพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียน เช่น - นักเรียนเคยปฏิบัติตามกฎหมายใดบ้าง และมีวิธีการปฏิบัติอย่างไร (แนวตอบ ปฏิบัติตามกฎจราจร เช่น การข้ามถนนตรงทางม้าลายหรือสะพานลอย เพื่อให้ เกิดความปลอดภัยทั้งต่อตนเองและผู้ใช้รถใช้ถนนทั่วไป) ขั้นสอน 1. ครูให้นักเรียนช่วยกันอธิบายว่า กฎหมายคืออะไร โดยออกมาเขียนบนกระดาน จากนั้นครู เลือกความหมายที่นักเรียนเขียนมาอธิบายเพิ่มเติม 2. ครูนำข่าวเกี่ยวกับการกระทำของบุคคลที่มีทั้งกระทำถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย มาให้ นักเรียนวิเคราะห์ร่วมกันว่า การกระทำใดเป็นการกระทำที่เหมาะสม การกระทำใดเป็นการกระทำที่ ไม่เหมาะสม และผลที่ได้รับเป็นอย่างไร 3. ครูสุ่มนักเรียนจำนวน 2-3 คน ยกตัวอย่างกฎหมายที่นักเรียนรู้จักคนละ 1 ตัวอย่าง พร้อมทั้ง อธิบายพอสังเขปว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับอะไร จากนั้นครูตั้งคำถาม เช่น - กฎหมายมีความสำคัญอย่างไร (แนวตอบ กฎหมายช่วยให้สังคมมีความเป็นระเบียบ เป็นสิ่งที่ควบคุมความประพฤติและ ปฏิบัติของคนในสังคมให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามบทบาทหน้าที่ รวมถึงเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้สังคมมีระเบียบส่งผลให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข) 4. ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปความรู้เกี่ยวกับความหมายของกฎหมายและความสำคัญของ กฎหมาย 5. ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 6 คน คละกันตามความสามารถ คือ เก่ง ปานกลางค่อนข้าง เก่ง ปานกลางค่อนข้างอ่อน และอ่อน แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจับคู่กันเป็น 3 คู่ จากนั้นให้แต่ละคู่ ร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง กระบวนการในการตรากฎหมาย จากหนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.2 หรือ จากแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ เช่น หนังสือในห้องสมุด เว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ต 6. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำข้อมูลมาอภิปรายร่วมกัน และนำข้อมูลมาจัดทำเป็นตารางแสดง กระบวนการในการตรากฎหมายแต่ละประเภท ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และข้อบัญญัติองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น พร้อมทั้งอธิบายว่าเป็นกฎหมายอะไร พอสังเขป
58 7. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาขั้นตอนการตรากฎหมายจากหนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.2 ประกอบการดูแผนผังกระบวนการตราพระราชบัญญัติ จากนั้นอภิปรายแสดงความคิดเห็นร่วมกัน 8. ครูนำข่าวเกี่ยวกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎรมาให้นักเรียนดู แล้ว ให้นักเรียนร่วมกันสรุปข่าวว่า เป็นการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอะไร มีขั้นตอนอย่างไร และมี ผลสรุปอย่างไร จากนั้นอภิปรายแสดงความคิดเห็นร่วมกัน 9. ครูให้นักเรียนร่วมกันเขียนแผนผังแสดงกระบวนการตราพระราชบัญญัติในรัฐสภา โดยเริ่ม จากวาระที่ 1 ไปจนถึงวาระที่ 3 ลงบนกระดานหน้าชั้นเรียน ประกอบการอธิบายหรือแสดงความ คิดเห็นร่วมกัน 10. ครูนำข่าวเกี่ยวกับการพิจารณาในวุฒิสภา หรือการทำงานของวุฒิสภา มาให้นักเรียนดู แล้ว ให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวดังกล่าวว่า มีขั้นตอนอย่างไร และมีผลสรุปอย่างไร จากนั้นอภิปรายแสดงความคิดเห็นร่วมกัน 11. ครูให้นักเรียนร่วมกันเขียนแผนผังแสดงกระบวนการพิจารณาในวุฒิสภา ลงบนกระดานหน้า ชั้นเรียน ประกอบการอธิบายหรือแสดงความคิดเห็นร่วมกัน 12. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจับคู่กันทำใบงานที่ 2.1 เรื่อง กระบวนการในการตรากฎหมาย ดังนี้ - คู่ที่ 1 ทำใบงานที่ 2.1 ตอนที่ 1 - คู่ที่ 2 ทำใบงานที่ 2.1 ตอนที่ 2 - คู่ที่ 3 ทำใบงานที่ 2.1 ตอนที่ 3 13. นักเรียนแต่ละคู่ช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของใบงานที่ตนรับผิดชอบ แล้วผลัดกัน อธิบายผลงานให้เพื่อนในกลุ่มฟัง 14. ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับกระบวนการในการตรากฎหมาย ในแบบฝึกสมรรถนะฯ หน้าที่พลเมืองฯ ม.2 เพื่อเป็นการบ้านส่งครูในชั่วโมงถัดไป ขั้นสรุป - ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับกระบวนการในการตรากฎหมาย หรือใช้ PPT สรุป สาระสำคัญของเนื้อหา ตลอดจนความสำคัญของกระบวนการในการตรากฎหมายต่อการดำเนิน ชีวิตประจำวัน 1. ครูประเมินผลจากการตอบคำถาม การร่วมกันทำงาน และการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน 2. ครูตรวจสอบผลจากการทำใบงาน และแบบฝึกสมรรถนะฯ หน้าที่พลเมืองฯ ม.2
59 8. การวัดและประเมินผล รายการวัด วิธีวัด เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน 8.1 การวัดและประเมินผล ก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง กฎหมายกับการ ดำเนิน ชีวิตประจำวัน - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - แบบทดสอบก่อน เรียน - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ 8.2 การวัดและประเมินผล ระหว่างการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ 1) อธิบายและจำแนก ขั้นตอน ในการตรากฎหมาย ได้ อย่างถูกต้อง - ตรวจใบงานที่ 2.1 - ใบงานที่ 2.1 - ร้อยละ 60 ผ่าน เกณฑ์ 2) การนำเสนอผลงาน - ประเมินการ นำเสนอ ผลงาน - แบบประเมินการ นำเสนอ ผลงาน - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 3) พฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงาน รายบุคคล - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงาน รายบุคคล - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 4) พฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงานราย กลุ่ม - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 5) คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ มุ่งมั่น ในการทำงาน - แบบประเมิน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
60 9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 9.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนสังคมศึกษาฯ ม.2 2) แบบฝึกสมรรถนะฯ หน้าที่พลเมืองฯ ม.2 3) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม (1) กระมล ทองธรรมชาติ. 2548. องค์กรตามรัฐธรรมนูญกับการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน. กรุงเทพมหานคร : (ม.ป.ท.). (2) เฉลียว ฤกษ์รุจิพิมล. 2543. “การจัดระเบียบสังคม” ในสังคมวิทยา. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (3) นันทวัฒน์ บรมานันท์. (ม.ป.ท.). กฎหมายปกครอง. กรุงเทพมหานคร : วิญญู ชน. (4) บุญทรง พฤกษาพงศ์ และสัก กอแสงเรือง. (ม.ป.ท.). รวมกฎหมายแรงงาน. กรุงเทพมหานคร : นิติบรรณการ. (5) สภาทนายความ. 2540. กฎหมายเบื้องต้นสำหรับประชาชน. กรุงเทพมหานคร : ประยูรวงศ์พริ้นติ้ง. 4) ใบงานที่ 2.1 เรื่อง กระบวนการในการตรากฎหมาย 9.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - https://elsiam.org - https://news.mthai.com - https://www.thairath.co.th - https://www.khaosod.co.th - https://www.parliament.go.th
61 บัตรภาพ
62
63 ใบงานที่ 2.1 กระบวนการในการตรากฎหมาย ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ตอนที่ 1 : ให้นักเรียนอธิบายความหมายของกฎหมายต่อไปนี้ 1. พระราชบัญญัติ 2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 3. พระราชกำหนด 4. พระราชกฤษฎีกา
64 5. กฎกระทรวง 6. ข้อบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
65 คำชี้แจง : ตอนที่ 2 : ให้นักเรียนเติมข้อความลงในกรอบให้ได้ใจความสมบูรณ์ ขั้นตอนการตรากฎหมายการพิจารณา ในสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1 วาระที่ 2 วาระที่ 3 ขั้นรับหลักการ ลักษณะที่ 1 ลักษณะที่ 2 ลงมติเห็นชอบ ลงมติไม่เห็นชอบ หรือ
66 คำชี้แจง : ตอนที่ 3 : ให้นักเรียนอธิบายข้อความให้เชื่อมโยงกับประเด็นที่กำหนด การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ของวุฒิสภา เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ แก้ไขเพิ่มเติม
67 เฉลย ใบงานที่ 2.1 กระบวนการในการตรากฎหมาย ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ตอนที่ 1 : ให้นักเรียนอธิบายความหมายของกฎหมายต่อไปนี้ 1. พระราชบัญญัติ เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา 2. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่กำหนดรายละเอียดที่เป็นกฎเกณฑ์สำคัญเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่ง รัฐธรรมนูญในบางมาตราที่บัญญัติหลักการไว้กว้าง ๆ ให้มีความกระจ่างแจ้ง ชัดเจน และ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น 3. พระราชกำหนด เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี เพื่อใช้ใน กรณีจำเป็น เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องกัน ภัยพิบัติสาธารณะอันมิอาจจะหลีกเลี่ยง ได้ 4. พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี หรือฝ่าย บริหารตามอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือตามพระราชบัญญัติ เพื่อการบริหาร ราชการแผ่นดิน
68 5. กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่ออกตามพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด อันเป็นกฎหมายแม่บท ออกโดยฝ่ายบริหาร 6. ข้อบัญญัติองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นและใช้บังคับเป็นการทั่วไปภายในเขตอำนาจขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนตำบล
69 คำชี้แจง : ตอนที่ 2 : ให้นักเรียนเติมข้อความลงในกรอบให้ได้ใจความสมบูรณ์ ขั้นตอนการตรากฎหมายการพิจารณา ในสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1 วาระที่ 2 วาระที่ 3 ขั้นรับหลักการ ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. ชี้แจงหลักการและเหตุผล ที่ประชุมลงมติ รับหลักการ ลักษณะที่ 1 พิจารณาร่าง พ.ร.บ. โดยคณะกรรมาธิการ กรณีมีความ จำเป็นรีบด่วน ร่าง พ.ร.บ. มีหลายละเอียด ไม่มาก ลักษณะที่ 2 สภาผู้แทนราษฎรมีมติแต่งตั้งณะกรรมาธิการ คณะใดคณะหนึ่งพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ. เสนอคำขอ แปรญัตติ ภายใน 7 วัน ลงมติเห็นชอบ ส่งร่าง พ.ร.บ. ต่อไป ยังวุฒิสภา ลงมติไม่เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. ตกไป หรือ
70 คำชี้แจง : ตอนที่ 3 : ให้นักเรียนอธิบายข้อความให้เชื่อมโยงกับประเด็นที่กำหนด การพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ของวุฒิสภา เห็นชอบ ไม่เห็นชอบ วุฒิสภายับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน และส่งกลับ ไปยังสภาผู้แทนราษฎร แก้ไขเพิ่มเติม นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระราชปรมาภิไธย ดำเนินการประกาศใช้ในราชกิจจา นุเบกษา ดำเนินการแจ้งให้สภา ผู้แทนราษฎรทราบ เพื่อตั้ง คณะร่วมกันพิจารณาร่าง พระราชบัญญัติขึ้น ถ้าสภาทั้งสองเห็นชอบด้วย กับร่าง พ.ร.บ. ที่ คณะกรรมาธิการ ร่วมกันพิจารณาแล้วให้ถือว่า พ.ร.บ. นั้น ได้รับความ เห็นชอบของรัฐสภา นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้ในราช กิจจานุเบกษา
71 แบบทดสอบ ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน สามารถเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติได้เฉพาะในเรื่องใด ก. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ข. สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ค. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ง. องค์กรอิสระตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2. กฎหมายฉบับใดที่ประกาศใช้ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็น เร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ก. กฎกระทรวง ข. พระราชกำหนด ค. พระราชบัญญัติ ง. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 3. กฎหมายฉบับใดที่ออกโดยฝ่ายบริหาร ก. กฎกระทรวง ข. เทศบัญญัติ ค. รัฐธรรมนูญ ง. พระราชบัญญัติ 4. ขั้นตอนการพิจารณากฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร วาระที่สองนั้น มีลักษณะอย่างไร ก. รับหลักการของกฎหมาย ข. พิจารณาหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ ค. พิจารณารายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ ง. แก้ไขเพิ่มเติมแล้วลงมติว่าจะรับร่างพระราชบัญญัติ หรือไม่ 5. ร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ใครเป็นผู้นำ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลง พระปรมาภิไธย ก. นายกรัฐมนตรี ข. ประธานรัฐสภา ค. ประธานวุฒิสภา ง. ประธานสภาผู้แทนราษฎร 6. ผู้แทนโดยชอบธรรม คือใคร ก. ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้เยาว์ ข. ผู้ปกครอง บิดาหรือมารดาของผู้เยาว์ ค. ผู้ที่ทำกิจการงานต่าง ๆ แทนผู้เยาว์ก่อนบรรลุ นิติภาวะ ง. บุคคลซึ่งจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ หรือให้ความยินยอม แก่ผู้เยาว์ในการทำนิติกรรม 7. นิติกรรมในข้อใด ที่ผู้เยาว์สามารถกระทำได้ด้วยตนเอง ก. สมัครงาน ข. ซื้อรถจักรยานยนต์ ค. กู้ยืมเงิน จำนวน 2,000 บาท ง. ทำพินัยกรรมเมื่ออายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ 8. ผู้ที่จะต้องมีบัตรประจำตัวประชาชน ต้องมีอายุตามเกณฑ์ ในข้อใด ก. 15 ปีบริบูรณ์ จนถึงตลอดชีวิต ข. 7 ปีบริบูรณ์ จนถึง 60 ปีบริบูรณ์ ค. 17 ปีบริบูรณ์ จนถึง 60 ปีบริบูรณ์ ง. 15 ปีบริบูรณ์ จนถึง 50 ปีบริบูรณ์ 9. ชานนท์ อายุ 19 ปีบริบูรณ์ จะทำการหมั้นกับสายฝน อายุ 17 ปีบริบูรณ์ ได้หรือไม่ ก. ได้ เพราะทั้งสองคนอายุเกิน 15 ปีบริบูรณ์แล้ว ข. ไม่ได้ เพราะทั้งชานนท์และสายฝนยังเป็นผู้เยาว์ ค. ไม่ได้ เพราะชานนท์และสายฝนอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ ง. ได้ แต่ต้องให้บิดามารดาของชานนท์และสายฝน ให้ความยินยอม 10. โก้หมั้นกับดาวแล้ว โก้ให้แหวนเพชรเป็นของหมั้นแก่ดาว ต่อมาโก้ทะเลาะกับดาว โก้จึงขอแหวนเพชรคืน โก้สามารถเรียกแหวนเพชรคืนจากดาวได้หรือไม่ ก. ได้ เพราะแหวนเพชรเป็นของโก้ ข. ได้ เพราะทั้งสองยังไม่ได้ทำการสมรสกัน ค. ไม่ได้ เพราะดาวเป็นผู้ครอบครองแหวนเพชรวงนั้น ง. ไม่ได้ เพราะเมื่อหมั้นแล้วของหมั้นตกเป็นสิทธิของดา
72 11. นายเมฆมีภรรยาชื่อฝน มีบิดาชื่อดิน มีมารดาชื่อดาว มีพี่ชื่อ หมอก มีน้องชื่อทราย ต่อมานายเมฆถึงแก่กรรม ผู้ใดมีสิทธิ ได้รับมรดก ก. ฝน ข. ดิน ดาว ค. ฝน ดิน ดาว ง. ฝน ดิน ดาว หมอก ทราย 12. ใหญ่ อายุ 30 ปีบริบูรณ์ต้องการรับติ๋ม อายุ 18 ปีบริบูรณ์เป็น บุตรบุญธรรม โดยพ่อแม่ของติ๋มให้ความยินยอมได้หรือไม่ ก. ได้ เพราะพ่อแม่ของติ๋มให้ความยินยอม ข. ได้ เพราะใหญ่อายุเกิน 25 ปีบริบูรณ์แล้ว ค. ไม่ได้ เพราะติ๋มเป็นวัยรุ่นอายุเกิน 15 ปีแล้ว ง. ไม่ได้ เพราะใหญ่มีอายุแก่กว่าติ๋มไม่ถึง 15 ปี 13. เงินได้สุทธิ หมายถึงอะไร ก. เงินได้พึงประเมินหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ข. เงินได้พึงประเมินบวกด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ค. เงินค่าลดหย่อนบวกด้วยค่าใช้จ่ายและเงินได้ พึงประเมิน ง. เงินค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลบวกค่าลดหย่อน บวกเงินภาษี เงินได้ 14. ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ภายในเดือนใด ของทุกปีที่ถัดจากปีที่มีรายได้ ก. 1 มกราคม ข. 30 มีนาคม ค. 31 มีนาคม ง. 30 ธันวาคม 15. กฎหมายแรงงาน มีลักษณะสำคัญอย่างไร ก. กำหนดบทบาทของนายจ้างและลูกจ้าง ข. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ค. กำหนดอัตราค่าจ้างของลูกจ้างอย่างยุติธรรม และกำหนดสวัสดิการให้แก่ลูกจ้าง ง. กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง กำหนดคุ้มครองความปลอดภัยแก่ลูกจ้างในการ ทำงานให้กับนายจ้าง 16. กฎหมายคุ้มครองแรงงาน ห้ามใช้แรงงานเด็กอายุ ต่ำกว่ากี่ปีทำงาน ก. 12 ปี ข. 13 ปี ค. 14 ปี ง. 15 ปี 17. องค์กรใด จัดเป็นการบริหารราชการแผ่นดินรูปแบบพิเศษ ก. จังหวัด ข. เทศบาล ค. เมืองพัทยา ง. องค์การบริหารส่วนตำบล 18.พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ มีผลสำคัญในข้อใด มากที่สุด ก. ปลูกป่าทดแทนต้นไม้ที่ถูกตัดไป ข. รักษาพันธุ์ไม้ประเภทต่าง ๆ ที่หายาก ค. อนุรักษ์ป่าไม้ ป้องกันการบุกรุกและทำลายป่าไม้ ง. เพิ่มปริมาณสัตว์ป่าให้มากขึ้นเพราะมีพื้นที่ป่าไม้ จำนวนมาก 19. การขออนุญาตปลูกสร้างสวนป่าในกรณีป่าสงวนแห่งชาติ มีสภาพป่าเสื่อมโทรมนั้น จะต้องขออนุญาตจากใคร ก. ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ค. หัวหน้าวนอุทยานแห่งชาติหรือป่าสงวนแห่งชาติ ง. อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช 20. ผู้ใดมีลักษณะเข้าเกณฑ์การได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขต ปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติ ก. เพื่อปลูกพืชล้มลุก ข. เพื่อช่วยป้องกันการตัดไม้ ค. เพื่อการศึกษาหรือวิจัยทางวิชาการ ง. เพื่อปลูกบ้านอาศัยในช่วงที่ป่าเสื่อมโทรม เฉลย 1. ข 2. ข 3. ก 4. ค 5. ก 6. ง 7. ง 8. ข 9. ง 10. ง 11. ค 12. ก 13. ก 14. ค 15. ง 16. ง 17. ค 18. ค 19. ง 20. ค
73 แบบประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน ประกอบหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แผนการเรียนรู้ที่ 1 คำชี้แจง ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียน และการปฏิบัติงานของนักเรียน แล้วขีด / ให้คะแนนลง ในช่อง ที่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ คุณลักษณะที่ประเมิน ความสนใจ และ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ความ ซื่อสัตย์ ความมี ระเบียบ ความรับ ผิด ชอบ ต่องาน การตรงต่อ เวลาในการ ทำงาน สรุปผล การประเมิน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 15 ผ่าน/ไม่ผ่าน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24
74 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 เกณฑ์การประเมิน ผู้ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินต้องได้คะแนน 12 คะแนนขึ้นไป ถือว่าผ่าน ลงชื่อ ผู้ประเมิน (…………........…………………………………..)
75 แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบุคคล ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงใน ช่องที่ตรงกับระดับคะแนนที่กำหนด ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม
76 แบบแสดงความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีต่อแบบทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแบบทดสอบการอ่าน เพื่อความเข้าใจ โดยใส่เครื่องหมาย ( ✓) ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียนข้อเสนอแนะที่ เป็นประโยชน์ในการนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป +1 คือ แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่ กำหนด 0 คือ ไม่แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่ กำหนด -1 คือ แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่ กำหนด รายการขอความคิดเห็น ความคิดเห็น เหมาะสม ข้อเสนอแนะ 1 ไม่แน่ใจ 0 ไม่ เหมาะสม -1 1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสูตร 2. ความสอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติวิชา 3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และปัญหา 5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผู้เรียน 6. ความเหมาะสมของเนื้อหา 7. ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร 8. ความเหมาะสมของการใช้ภาษา 9. ความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรียน 10.ความเหมาะสมของรูปแบบ ขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่ง ............................................ (..............................................)
77 ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อสอบกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ วิชา.................................................................... ตัวชี้วัด/ ผลการเรียนรู้ ข้อสอบ ข้อที่ คะแนนความเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC สรุปผล คนที่1 คนที่2 คนที่3
78 9.บันทึกหลังจัดการเรียนรู้ 9.1 ผลความรู้ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน (K) 9.2 กระบวนการ/สมรรถนะ (P) 9.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน (A) ลงชื่อ............................................................ (...................................................) ครูผู้สอน ลงชื่อ............................................................ (...................................................) หัวหน้ากลุ่มสาระฯ
79 ประวัติผู้ทำรายงานวิจัย ชื่อ – สกุล นายออมทรัพย์ ประสาทแก้ว วัน เดือน ปีเกิด 5 มีนาคม 2542 สถานที่อยู่ปัจจุบัน 41 หมู่ 10 ตำบลมหาชัย อำเภอไทรงาม จ.กำแพงเพช 62000 ประวัติการศึกษา พ.ศ. 2559 มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนราษฎร์ปรีชาวิทยาคม จ.กำแพงเพชร พ.ศ 2564 ปัจจุบันกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีคณะครุศาสตรบัณฑิต (ค.บ.) โปรแกรมวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร