ตัวอย่างขอ้ สอบความถนัดทางวทิ ยาศาสตร์ (Pat 2: Biology) เมือ่ พิจารณาคูแตง่ งานท่ีท้งั คู่มผี วิ ปกติ (II-2 และ II-3) โดยฝ่ายเจา้ สาวมีพอ่ แมผ่ ิว
(กมุ ภาพันธ์ 2561) ปกติ (I-1 และ I-2) แตม่ ีพช่ี ายผวิ เผือก (II-1) ขณะที่ฝา่ ยเจ้าบ่าวมีพอ่ แมผ่ ิวปกติ ปกติ (I-3 และ
I-4) เช่น แตม่ นี อ้ งสาวผิวเผอื ก (II-4) และน้องชายผวิ ปกติ (II-5) เมอื่ พจิ ารณาจีโนไทป์ของ
33. เกษตรกรคนหนงึ่ ผสมพันธ์ุถั่วลนั เตา โดยใชถ้ วั่ ลนั เตาทมี่ ีเมลด็ สเี ขยี ว 2 สายพนั ธุ์ ลกั ษณะผวิ เผือกจากพนั ธุประวตั ิ ตอ่ ไปน้ี
(พันธุ์ A1 และ A2) ผสมพนั ธ์ุกบั ถวั่ ลนั เตาเมลด็ สีทองสายพนั ธแุ์ ท้ (พนั ธุ์ Z) ลกู รุ่น
F1 ของท้งั สองคผู่ สมพนั ธม์ุ เี มล็ดสที อง แตล่ กู ร่นุ F2 มีสัดสว่ นของลกั ษณะเมล็ดสี ก. คนที่ I-1 มีโอกาสเป็นจีโนไทป์ AA หรือ Aa สดั ส่วน 1 : 1
ทอง: สีเขยี วในสัดสว่ นทแ่ี ตกต่างกนั ดังตาราง ข. คนท่ี II-2 มีโอกาสเป็นจีโนไทป์ AA หรือ Aa สดั ส่วน 1 : 2
ค. คนที่ III-1 มีโอกาสผวิ ปกตหิ รือผวิ เผือก สัดส่วน 3 : 1
ขอ้ ใดถูก ง. คนท่ี I-3 มีโอกาสเป็นจีโนไทป์เป็นแบบ heterozygous
1. จำนวนยืนทคี่ วบคมุ ลักษณะสเี มลด็ ในถว่ั ลันเตาพันธุ์ A1 และ A2 แตกต่างกัน จ. คนที่ II-4 มีโอกาสเปน็ จีโนไทปเ์ ปน็ แบบ homozygous
2. ยืนท่คี วบคุมลักษณะเมล็ดสที องและสเี ขยี วอยตู่ า่ งตำแหน่งกันบนโครโมโชม
3. ลูกรุ่น F2 ของคู่ผสมพนั ธุท์ ี่ 2 ทมี่ เี มล็ดสเี ขยี วมจี โี นไทปแ์ บบเดียว ข้อใดถกู ตอ้ ง
4. ถั่วลันเตาพนั ธุ์ Z มีจโี นไทปแ์ บบ homozygous recessive
5. ถว่ั ลนั เตาพนั ธุ์ A2 ไม่ใช่สายพันธ์แุ ท้ 1. จ เท่านนั้
2. ก ข และ ค
34. พันธุประวัตติ ่อไปนี้แสดงการถายทอดลักษณะผวิ เผือกของครอบครวั หน่ึง 3. ก ค และ ง
4. ข ง และ จ
5. ก ข ค ง และ จ
เพมิ่ เตมิ จากปี 2562 2 ทฤษฎีความนา่ จะเป็นแบบเบย์
พจิ ารณาพนั ธปุ ระวัตติ อ่ ไปน้ี
I1 Bayes’s Tjeorem หรือ ความนา่ จะเปน็ แบบเบย์ เป็นทฤษฎีที่พดู ถงึ ความนา่ จะเปน็
ในการเกดิ สิง่ หน่งึ ก็ต่อเมอ่ื อกี สิ่งท่ีได้เกดิ ข้ึน หรอื ท่ีเรยี กกันว่า “Given” ซงึ่ ลักษณะของการ
II 5 เขียนสญั ลักษณ์ คอื P(A|B) อา่ นว่า ความน่าจะเป็นของเหตกุ ารณ์ A เมือ่ เกดิ เหตุการณ์ B แลว้
12 3 4
จากโจทย์ III-4 อาจจะเป็น AA กไ็ ด้ Aa (เหตกุ ารณ์ A) เพราะ II-4 กับ II-5 เปน็
III Aa และ Aa
12 3 4 โอกาสทจ่ี ะเป็น AA = 1/3 (โอกาสทง้ั หมดเป็น 3 ไม่นับรวม aa)
โอกาสท่จี ะเป็น Aa = 2/3
ถ้า III-4 แต่งงานกับคนทเี่ ปน็ heterozygous ลูกมโี อกาสผิดปกติเทา่ ใด
โจทยอ์ ยากได้รนุ่ ท่ี 4 ท่ีเกิดจาก III-4 แตง่ งานกบั heterozygous ที่มีความ
1. 1/2 2. 1/4 3. 1/6 4. 1/8 5. 0 ผิดปกติ (aa) (เหตกุ าณ์ B)
ทำให้เกิดสถาณการณ์เกดิ ขึ้นไดห้ ลายรูปแบบ 2 คือ
1. ความนา่ จะเป็นทจ่ี ะมลี ูกผดิ ปกติ (aa) เมื่อ III-4 เปน็ AA P(B=aaA=AA)
= 0 x 1/3
=0
2. ความนา่ จะเปน็ ท่จี ะมลี กู ผดิ ปกติ (aa) เมอ่ื III-4 เป็น Aa P(B=aaA=Aa)
= 1/4 x 2/3
= 1/6
35. นักเรยี นคนหน่ึงวาดรปู กระบวนการแปลรหัสดังภาพ ซึ่งมีความผดิ พลาดหลาย
ตำแหนง่
หากนักเรียน เขยี นอธบิ ายกระบวนการข้างตน้ ดังตอ่ ไปน้ี
ก. mRNA มีลำดับเบสดังน้ี 3' AAUTTCGCACCGGUCGUA 5’
ข. ไรโบโซมหนว่ ยยอ่ ยขนาดเลก็ เขา้ มาจับกบั mRNA แล้วหน่วยยอ่ ยขนาด
ใหญ่จึงเข้ามาจับเพือ่ พร้อมทำงาน
ค. ไรโบโซมจะเคลื่อนทไ่ี ปบน mRNA ในทิศทางจากปลาย 3' ไปยังปลาย 5’
ง. tRNA ทมี่ ีแอนติโคดอน 5'CGT3' คู่สมกับโคดอนบน mRNA นำกรดอะมิ
โน 1 ตัวมาเรยี งตอ่
จ. tRNA โมเลกลุ ถดั มานำกรดอะมโิ นอกี ตวั มาเรยี งต่อ แลว้ สรา้ งพันธะเพป
ไทด์เพ่ือเชอื่ มกนั เป็นสายยาวเรยี กวา่ พอลิเพปไทด์
คำอธิบายขา้ งตน้ ผดิ จากหลักการแปลรหสั ท่ีถกู ตอ้ งก่ีข้อ
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4 5. 5
Translation
2nd
Aminoacyl site (A site) 1st
Peptidyl site (P site)
เพมิ่ เติมจากปี 2562
Exit site (E site)
ยีน A ถอดรหัสแล้วได้ mRNA ที่มคี วามยาวตลอดทงั้ สาย ดังนี้
5’ AUCUGCAUGCCAUCGUCCACAACUUAGUAA 3’
โดยกรดอะมโิ น 1 ตัวใน mRNA สายนมี้ ีหม่ฟู อรม์ ลิ อยดู่ ว้ ย mRNA ท่ไี ด้มาจากการถอดรหสั
ของยนี A สามารถแปลรหสั ไดส้ ารพอลิเปปไทด์ท่ีองคป์ ระกอบดว้ ยกรดอะมโิ นก่ีโมเลกลุ
1. 6
2. 7
3. 8
4. 9
5. 10
พันธศุ าสตรป์ ระชากร ลองคำนวณ
ลองคำนวณ
ประชากร (population) หมายถงึ ส่ิงมีชีวิตสปีชีส์เดียวกันท่ีอาศยั อยู่รว่ มกนั ในพ้ืนที่
เดียวกนั ในชว่ งเวลาใดเวลาหน่งึ และสามารถผสมพันธกุ์ ันได้
พันธศุ าสตรป์ ระชากร (population genetics) เป็นการศกึ ษาเกีย่ วกับ การ
เปลีย่ นแปลงความถี่ของแอลลลลี (allele frequency) และความถขี่ องจโี นไทป์ (genotype
frequency) รวมถงึ ปจั จยั ทท่ี ำให้เกิดการเปล่ียนแปลงดงั กล่าว ซ่งึ นำไปสวู่ วิ ัฒนาการของ
สิ่งมชี ีวิต
ในแตล่ ะประชากรจะมยี นี ที่ควบคมุ ลักษณะต่างๆ อยเู่ ป็นจำนวนมาก ยนี ทง้ั หมดทมี่ ี
อยู่ในประชากรในชว่ งหนงึ่ เรยี กว่า gene pool ซง่ึ ประกอบแอลลีลทค่ี วบคมุ ลกั ษณะตา่ งๆ ทุก
ลกั ษณะของทกุ ยีนในประชากรนนั้
ความถ่ีแอลลลี คือ จำนวนของแอลลลี ใดแอลลลี หนงึ่ ในยีนพลู ต่อแอลลลี ทง้ั หมดที่
ควบคมุ ลกั ษณะนั้น
ฝึกคำนวณ !!
หลกั การของฮาร์ด-ี ไวน์เบริ ก์ ปรากฏการณ์คอขวด (Bottleneck effect)
ความถ่ขี องแอลลลี และความถ่ขี องจีโนไทป์ในยีนพลู ของประชากรจะมคี ่าคงท่ใี น 36. โรค Tay-Sachs ควบคุมด้วยแอลลลิ ต้อยบนออโตโซม ทารกท่ีเปน็ โรคน้จี ะมคี วามผดิ
ทกุ ๆชัว่ รุ่นถา้ ประชากรในอยใู่ นเงอื่ นไข ปกติทางประสาทและสมอง และมกั จะเสียชีวิต โรคนีเ้ กดิ ข้นึ ในบางกลุ่มชาติพันธใ์ุ นยโุ รป
นกั วิทยาศาสตร์ได้ศกึ ษาพนั ธกุ รรมของโรค Tay-Sachs ในประชากรหน่ึง พบว่า 1 ใน 10,000
- ประชากรต้องมขี นาดใหญ่ ทำให้การเปลย่ี นแปลงแบบสุม่ มโี อกาสทจี่ ะเกดิ ขึ้น คนของทารกที่คลอดมกั จะแสดงอาการของโรคืและเชอ่ื กันวา่ ความถข่ี องโรคท่สี งู ในประชากร
ได้น้อย นี้เม่ือเทยี บกับประชากรอน่ื เป็นเพราะเกิดปรากฏการณค์ อขวด (bottleneck effect) จาก
การฆา่ ล้างเผา่ พนั ธุท์ ำให้ประชากรมขี นาดเล็กลงในช่วง 100 กว่าปีทผี่ า่ นมา เม่อื พจิ ารณา
- ไม่มกี ารถา่ ยเทหรือเคลื่อนย้ายยนี ระหวา่ งประชากรจากการอพยพเข้าหรอื ขอ้ สรุปต่อไปน้ี
ออก จึงไม่มกี ารรบั เพิ่มหรือสญู เสยี แอลลลี เดมิ ทำให้ความถ่ขี องแอลลลี ใน
ประชากรไม่เปลีย่ นแปลง ก. ประชากรน้ีมีการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลอยา่ งไม่เจาะจง จงึ ทำให้ความถ่ขี อง
แอลลลี ดอ้ ยในประชากรที่เตบิ โตขนึ้ มาใหม่ แตกต่างจากประชากรเรม่ิ ตน้
- ไม่เกดิ มิวเทชนั เน่ืองจากมวิ เทชนั อาจทำให้เกดิ การหายไปหรอื เพิ่มขน้ึ ของ
แอลลลี ทำใหค้ วามถ่ีเปลี่ยนแปลงไปได้ ข. ปรากฏการณ์คอขวดทำให้ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรมในประชากรน้ีลดลง
เน่ืองจากมีบางแอลลลี หายไป ไมม่ โี อกาสถ่ายทอดไปยังรนุ่ ลูก
- สมาชกิ ทกุ ตวั ต้องมโี อกาสผมพนั ธ์ุไดเ้ ทา่ กนั หรอื การผสมพนั ธ์ุเป็นแบบสุ่ม
- ไม่เกดิ การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ ค. ความถขี่ องแอลลลี ด้อยท่เี ป็นสาเหตขุ องโรคในประชากรนี้ = 0.01
ง. ถ้าบคุ คลในประชากรนมี้ ีการจบั คแู่ ต่งานแบบสมุ่ จะทำให้มคี วามถ่ีของคน ที่เปน็ พาหะ
ของโรค = 0.0198
มีจำนวนขอ้ ที่กลา่ วถูกกขี่ ้อ
1. 0 2. 1 3. 2 4. 3 5. 4
37. สัตวม์ กี ระดูกสนั หลัง และ สตั วไ์ มม่ กี ระดูกสันหลงั ในข้อใด ใชโ้ ครงสรา้ งสำหรบั แมงมุมใช้แผงปอด (book lung) ในการแลกเปลย่ี นแกส๊ ซงึ่ ผา่ นเยื่อบางๆและลำเลยี งแกส๊
แลกเปลยี่ นแกส๊ ทม่ี ลี ักษณะคลา้ ยกันมากทส่ี ดุ ผ่านระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ผ่านการป๊มั ของหวั ใจไปตามเส้นเลอื ด แตไ่ ม่อยูใ่ นหลอดเลือดตลอดเวลา
1. คน - แมงมุม จดั เป็นระบบหมุนเวียนเลอื ดแบบเปดิ (open circulatory system)
2. นกพริ าบ - ผีเส้อื
3. เตา่ ตนุ - หอยมือเสือ
4. กบนา - แมงดาทะเล
5. ปลาตนี – ไสเ้ ดือนดิน
เพ่มิ เตมิ ปี 2562
โครงสร้างท่ใี ช้ในการแลกเปลยี่ นแกส๊
ของสัตว์ชนดิ ใดต้องพ่งึ การทำงานของ
ระบบหมุนเวียนเลอื ดนอ้ ยท่สี ดุ และ
มากทส่ี ดุ ตามลำดับ
1.ปูมา้ แมงมมุ
2. แมลงวนั ฟองนำ้
3. ไฮดรา พลานาเรยี
4. หอยทาก ผเี สอ้ื
5. ไส้เดอื นฝอย หอยมือเสอื
38. จับตัวของเซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง (agglutination) เกิดจากการท่แี อนตเิ จน เซลล์เมด็ 39. กระทรวงสาธารณสขุ ประกาศรา้ ยการสารอาหารท่ีแนะนำให้บรโิ ภคตอ่ วนั สำหรบั
คนไทยอายุต้ังแต่ 6 ปีขึน้ ไป โดยระบวุ ่าสำหรบั ผู้ทต่ี ้องการพลงั งานวันละ 2,000
เลือดแดงทำปฏกิ ิริยากบั แอนตบิ อดีทีเ่ ป็นคูส่ ม ดงั นี้ กโิ ลแคลอรี ควรบรโิ ภคโซเดียมวันละไม่เกิน 2,400 มิลลกิ รัม โดยปรมิ าณโซเดยี มที่
เกนิ ความตอ้ งการของรา่ งกายจะถกู ขับออกจากรา่ งกายทางปัสสาวะ โครงสรา้ งใด
แอนตเิ จน A + anti-A --> agglutination ของหน่วยไตมบี ทบาทชว่ ยลดปรมิ าณโชเดยี มทไ่ี หลเวยี นอย่ใู นกระแสเลือดได้มาก
ทสี่ ดุ
แอนตเิ จน B + anti-B --> agglutination 1. glomerulus
แอนติเจน Rh + anti-D --> agglutination 2. proximal convoluted tubule
3. loop of Henle
กำหนดให้ หมายถงึ การเกดิ agglutination 4. distal convoluted tubule
5. collecting duct
จากตารางบนั ทึกผลการตรวจสอบหมเู่ ลือดของนกั เรียน 5 คน โดยใช้
แอนติบอดขี องศนู ยบ์ รกิ ารโลหติ แห่งชาติ สภากาขาดไทย นักเรียนในขอ้ ใดมหี มู่ Remal pelvis
เลือด O Rh-
Structure of kidney cortex and medulla
ในการดูดกลับ Na+
บริเวณ proximal convoluted tubule มกี ารดูด
กลับ Na+ มากทส่ี ดุ (60-70%)
บรเิ วณ loop of Henle มกี ารดดู กลบั Na+
รองลงมา (20-25%)
บรเิ วณ distal convoluted tubule มีท้งั การขับ
และดดู กลับ Na+ โดยการควบคมุ ของฮอร์โมน
aldosterone (เช่นเดยี วกบั บรเิ วณ collecting duct)
เพ่มิ เตมิ ปี 2562
จากแผนภาพ โครงสรา้ งหนว่ ยไตของคน → → → →
การทำงานของไตในข้อใดมบี ทบาทช่วยเพมิ่ ความเขม้ ข้นของโซเดยี มในปัสสาวะมากที่สดุ
1. การกรองสารท่โี ครงสรา้ ง A
2. การหลั่งสาร K+ ท่ีโครงสร้าง B
3. การดดู นำ้ กลบั ทโี่ ครงสร้าง C
4. การหลัง่ สาร Na+ ทีโ่ ครงสร้าง D
5. การหล่ังสาร H+ ทีโ่ ครงสรา้ ง E
40. นกั กฬี าทเี่ ขา้ รว่ มว่ิงแข่งขนั มาราธอน ต้องเผชิญกบั ความเครียดในการแขง่ ชันความ
ร้อนทเี่ กิดจากการทำงานของกลา้ มเน้อื และการสญู เสียเหงือ่ เพอ่ื ลดความร้อนใน
ร่างกาย จงึ ต้องมกี ารหลง่ั ฮอรโ์ มนเพื่อตอบสนองต่อการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ ว
บทบาทของฮอรโ์ มนในขอ้ ใด ไมเ่ กย่ี วข้องกบั สถานการณด์ ังกล่าว
1. cortisol เพ่ิมระดับกลโู คสในเลอื ด
2. epinephrine กระตนุ้ ให้หวั ใจเตน้ เร็วขนึ้
3. norepinephrine ทำให้น้ำตาลในเลอื ดเพม่ิ ข้นึ
4. antidiuretic hormone ลดการขบั ถา่ ยปีสสาวะ
5. thyroxine ควบคุมอัตราเมแทบอลซิ มึ ของรา่ งกาย