คำนำผูเ้ ขียน
หนังสือเล่าขานตานานดอยเต่าเล่มนี้ ค้นคว้าเรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการ
รับรู้ เรื่องราวของบรรพชนคนดอยเต่าในอดีต เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เกิดความรักใน
ท้องถิ่น บ้านเกิด เมืองนอนของตน และยังเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษา ใช้เป็น
เอกสารประกอบการเรียนการสอนหลักสูตรท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติพุทธศักราช 2542 และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560 และผู้สนใจทั่วไป เนื้อหาในหนังสือเป็นเรื่องของ
เมอื งดอยเตา่ กอ่ นถกู น้าท่วม วิถีชีวิตชาวบ้าน และขนบทาเนียมประเพณี ที่ควรค่าแก่
การศึกษา เรียบเรยี งจากคาบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบต่อกันมาโดยเฉพาะพ่อ
ครยู ง อนิ ทรจกั ร พอ่ หนานธรรม พงิ คเ์ จริญ พ่อจู ไชยวงศ์ พ่อหลวงดี มอนเต๋ พอ่ อยุ้
จันทา มอนเต๋ พ่อประดิษฐ์ เมธาสุข และพ่อหนานตา ยานะ ท่านได้ให้ข้อมูลอย่าง
ละเอียด การจัดพิมพ์ครั้งนี้จัดพิมพ์ จานวน 1,000 เล่ม ในงานเกษียณอายุราชการ
ของข้าพเจ้า
ขอขอบพระคุณศาสตราจารย์เกียรติคุณมณี พยอมยงค์ ที่ให้คาปรึกษา
และอธิบายข้อสงสัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีล้านนา ขอขอบพระคุณผู้อาวุโส
ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกท่าน ที่ทาให้เรื่องราวในอดีตมีความสมบูรณ์ชัดเจนยิ่งขึ้น และ
ขอขอบพระคณุ ทกุ ท่านทมี่ ีส่วนร่วมแต่ไม่ได้เอ่ยนาม
อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้คงเป็นสื่อที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของ
เมืองดอยเต่า จากท่านผู้รู้ในโอกาสต่อไป ท้ายสุดขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน
และครอบครัวที่ให้โอกาสให้กาลังใจ ช่วยพิมพ์ ช่วยรวบรวมข้อมูล จนหนังสือเล่มน้ี
สมบูรณ์
ดร. วทิ ยา พัฒนเมธาดา
กันยายน 2563
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา ก
ประวัติผเู้ ขยี น
ดร.วทิ ยำ พัฒนเมธำดำ
ตำแหนง่ ผ้อู านวยการสถานศกึ ษา
โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม จ.เชียงใหม่
วิทยฐำนะ ชานาญการพเิ ศษ
หมำยเลขโทรศัพท์ 084-3789807
วนั เดือน ปีเกดิ 7 ธนั วาคม 2502
ทอ่ี ยู่ 104 หมู่ 1 ตาบลท่าเด่ือ อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชยี งใหม่ 50260
วุฒิกำรศึกษำ
- ระดบั ปรญิ ญาเอก การบริหารการศกึ ษา มหาวิทยาลัย อดมั สัน
- ระดับปรญิ ญาโท การบริหารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัย นเรศวร
- ระดบั ปรญิ ญาตรี วิจิตรศลิ ป์ วิทยาลัยครูนครราชสีมา
ประวัตกิ ำรรบั รำชกำรทส่ี ำคญั
- ครู โรงเรยี นโนนสูงศรธี านี อาเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสมี า
- ครู โรงเรยี นดอยเต่าวทิ ยาคม อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่
- ผชู้ ว่ ยผอู้ านวยการโรงเรียนแมต่ ืนวทิ ยา อาเภอล้ี จงั หวดั เชยี งใหม่
- ผู้ชว่ ยผูอ้ านวยการโรงเรยี นฮอดพิทยาคม อาเภอฮอด จงั หวดั เชียงใหม่
- ผูช้ ว่ ยผู้อานวยการโรงเรยี นจนุ วทิ ยาคม อาเภอจุน จงั หวัดพะเยา
- รองผู้อานวยการโรงเรยี นจอมทอง อาเภอจอมทอง จงั หวัดเชยี งใหม่
- ผ้อู านวยการโรงเรยี นบา้ นแม่มะลอ อาเภอแม่แจม่ จงั หวดั เชียงใหม่
- ผ้อู านวยการโรงเรยี นบ้านผาจุก อาเภอดอยเตา่ จังหวัดเชียงใหม่
- ผู้อานวยการโรงเรียนศนู ยอ์ พยพ แปลง 8 อาเภอดอยเต่า จังหวดั เชียงใหม่
- ผูอ้ านวยการโรงเรียนบ้านบงตัน อาเภอดอยเตา่ จังหวดั เชียงใหม่
- ผู้อานวยการโรงเรียนสันปา่ ยางวิทยาคม อาเภอแม่แตง จงั หวัดเชียงใหม่
- ผู้อานวยการโรงเรียนดอยเตา่ วิทยาคม อาเภอดอยเตา่ จงั หวัดเชยี งใหม่
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา ข
ผลงำนทีภ่ ำคภูมิใจ
- รางวัลเหรยี ญทองชนะเลิศ รางวัลทรงคณุ ค่า สพฐ. (OBEC AWARDS)
ผู้อานวยการสถานศึกษายอดเยีย่ มระดบั มธั ยมศกึ ษา ขนาดเลก็ ด้านบริหารจดั การ
ยอดเยี่ยม ประจาปีการศึกษา 2557
- รางวลั โรงเรยี นพระราชทาน ประจาปี 2559
- รางวัลผู้มผี ลการปฏิบตั ิทีเ่ ปน็ เลศิ ระดับประเทศของศนู ย์สถานศกึ ษาพอเพียง
มลู นิธิ ยุวสถริ คณุ ประจาปี 2560
- รางวลั เหรยี ญทอง รองชนะเลศิ อนั ดับ 1 รางวลั ทรงคุณคา่ สพฐ. (OBEC
AWARDS) ผู้อานวยการสถานศกึ ษายอดเยย่ี ม ระดับมัธยมศึกษา ขนาดกลาง ดา้ น
บริหารจดั การ
ยอดเยีย่ ม ประจาปกี ารศึกษา 2561
- รางวัลผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ดเี ดน่ ของสมาคมผบู้ ริหารโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษาแห่ง
ประเทศไทยประจาปี 2559 และ 2561
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา ค
ประวัติศำสตรเ์ มืองดอยเต่ำ
เมืองดอยเต่า ปรากฏชื่อในตานาน ที่เรียกชื่อแตกต่างกันไป ตามความเข้าใจ
ของแต่ละคนเช่น ดอนเต้า มะเต้า จากการศึกษา น่าจะคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ
ภาษาพูด และภาษาเขียน (ดอน คือ เนินเล็ก ๆ เต้า คือ มะเต้า หรือ แตงโม)
เมอื งดอนเต้า หมายถึง เมอื งท่อี ยบู่ นเนินและอดุ มไปด้วยแตงโม
บุคคลเป็นจานวนมากอยากทราบ คาว่า “ดอยเต่ำ” มีประวัติความเป็นมา
อย่างไร บางคนเข้าใจว่าพื้นที่แห่งนี้มีดอยหรือภูเขารูปร่างคล้ายเต่า จึงเรียกว่า
“ดอยเต่า” บ้างก็ว่า ตามภูเขาหรือดอยในท้องที่แห่งนี้แต่ก่อนนานมามีเต่าคลาน
ต้วมเตี้ยมเต็มไปหมด จึงเรียกตามที่พบเห็นว่า “ดอยเต่า” อย่างไรก็ตามมีตานาน
เลา่ สบื ต่อกันมาหลายตานานวา่
1. เมืองดอยเต่าตามตานานสิงหนวัต1
ตานานสิงหนวัต อันเป็นตานานเก่าแก่ของล้านนา มีอายุมากกว่าพันห้าร้อยปี
ได้กล่าวถึงดอยเต่าไว้ว่า กาลครั้งหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จจาริกเทศนา
สั่งสอนเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปตามชมภูทวีป เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงดินแดน
แห่งนี้ ได้ทรงหยุดประทับแรมเทศนาสั่งสอนชาวบ้าน ณ สถานที่เป็นเนินเล็ก ๆ
ภายใต้รม่ ไมใ้ หญอ่ ากาศเยน็ สบาย ซึง่ ไมห่ ่างไกลจากหมบู่ ้านมากนัก (เนนิ น้ีคอื หมบู่ า้ น
ดอยเต่าในปจั จุบัน) เมื่อชาวบ้านทราบข่าวต่างมีความปิติยินดีเป็นล้นพ้น จึงนาปัจจัย
ไทยทานมาถวาย เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับบิณฑบาตแล้วสังเกตเห็นว่าสิ่งของ
ท่ีประชาชนนามาถวายนัน้ มี “มะเต้า” (แตงโม) มากกว่าสิ่งของอื่นใด พระพุทธองค์
จึงทรงทานายและตรัสกับชาวบ้านที่นาสิ่งของมาถวายว่า “ ดูกร ท่านทั้งหลาย
ดินแดนแห่งน้ีอดุ มไปดว้ ยพชื พันธุแ์ ละธัญญาหาร ต่อไปภายภาคหน้าดินแดนแห่งนี้จะ
เจริญรุ่งเรืองเป็นบ้านเมืองและขอตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า “ดอนเต้า” (ดอนคือเนิน
เล็ก ๆ เต้า คือมะเต้า หรือแตงโม) คาว่า ดอนเต้า จึงเรียกขานกันมาตั้งแต่บัดนั้น
นานเขา้ จงึ เรียกคลาดเคลอ่ื นไปเปน็ “ดอยเต่า” เหมอื นปจั จุบัน
1 บรรยายสรุปอาเภอดอยเต่า จังหวัดเชยี งใหม่ ปี 2536 และ ปี 2542 หน้า 1 - 2
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 1
พระพุทธองค์ทรงทานายต่อไปอีกว่าดินแดนแห่งนี้มีแม่น้าสายใหญ่ไหลผ่าน
สองฝง่ั แม่นา้ อุดมสมบูรณ์ดีในกาลข้างหน้าจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปผู้คนที่อยู่ริม
สองฝั่งแม่น้าจะถูกรบกวน น้าจะไหลย้อนกลับจะมีพญานาคตัวใหญ่มาขวางกั้นลาน้า
แห่งนี้ไว้ จะมีสาเภาเงินสาเภาทองวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็นประจา กาลนั้นแลดินแดนแห่งนี้จะ
เปน็ เมืองท่เี จริญรงุ่ เรืองในแคว้นน้ี
จากคาทานายจะเห็นว่าเม่ือมกี ารสร้างเขอ่ื นภูมิพลที่อาเภอสามเงา จังหวัดตาก
ปิดกั้นแม่น้าปิง ทาให้เกิดเป็นแหล่งน้าขนาดใหญ่บริเวณเหนือเขื่อนภูมิพล จนถึง
อาเภอฮอด ประชาชนท่มี ีถน่ิ ฐานอย่เู ดิมตามริมสองฝั่งแม่น้าปิง ต้องอพยพหนีน้าท่วม
เข้ามาอยู่ในบริเวณที่ดินจัดสรรของนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล จังหวัดเชียงใหม่
บริเวณอ่างเก็บน้าอุดมไปด้วยปลานานาชนิด ประชาชนบางกลุ่มได้จับปลาขายเป็น
อาชีพหลัก มีการสัญจรไปมาติดต่อกันโดยทางเรือทั้งเรือเล็ก เรือขนาดใหญ่ เรือนแพ
และภัตตาคารลอยน้า ดอยเต่ากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ
จังหวัดเชียงใหม่ สมดังคาทานายของพระพทุ ธองค์ 1
2. เมืองดอยเต่าตามตานานพระธาตุหลวงลาพนู 2
ตานานพระธาตุหลวงลาพูนที่ได้กล่าวถึงดอยเต่า โดยได้บันทึกไว้ว่า เมื่อพระ
นางจามเทวีโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นที่ดอยเกิ้ง เพื่อเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสา
ริกธาตสุ ่วนพระนลาฏ ซงึ่ พระสวุ รรณอรหันต์พุทธสาวกในครัง้ นั้นถวาย พระนางได้จัด
ขบวนเสด็จอันประกอบด้วย ข้าราชบริพารเครื่องไทยทาน ซึ่งจัดตกแต่งเป็นองค์
ปราสาทจานวนมาก เดินทางด้วยเรือแพจากลาพูนมาตามลาน้าแม่กวง ลงสู่ลาน้าปิง
เมื่อมาถึงบริเวณหนึ่ง ซึ่งเป็นทุ่งกว้างมีลาน้าคดเคี้ยว ริ้วขบวนเครื่องไทยทานผ่าน
ทาให้มองเห็นริ้วขบวนละลานตาเต็มท้องทุ่งสวยงามมาก จึงเรียกบริเวณนั้นว่า
บ้านทุ่งผาสาดซึ่งก็คือ ทุ่งปราสาท ต่อมาเรียกหมู่บ้านนี้ว่าบ้านโท้งปราสาท คือบ้าน
โทง้ ในปัจจุบนั
1 อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เศรษฐกิจ สังคม ประชากร และโครงสร้างพื้นฐาน
สถาบันวิจัยสังคม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ กนั ยายน 2527 หน้า 7
2 ตานานเมืองลาพูน ฉบับลานผูกของเก่า ห้องสมุด มณี พยอมยงค์ อาเภอแม่ริม จังหวัด
เชียงใหม่ "เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 2
เมืองดอยเต่ำประวตั ศิ ำสตร์ทอ้ งถิ่น
เมอื งดอยเตำ่ ในอดตี
เมืองดอยเต่าในอดีตตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มน้าแม่ปิงมีพื้นที่ 58 ตารางกิโลเมตร
อยู่ในความปกครองของอาเภอฮอด ประกอบด้วย 4 ตาบล คือ ตาบลบ้านแอ่น
ตาบลมืดกา ตาบลท่าเดื่อ และตาบลดอยเต่า การคมนาคมติดต่อกับอาเภอฮอด
แต่ก่อนนั้นเป็นไปด้วยความยากลาบาก หากจะเดินทางโดยรถยนต์จากดอยเต่าไป
อาเภอฮอด ต้องนั่งรถยนต์จากตาบลดอยเต่าไปออกที่บ้านแม่ตืน ตาบลแม่ตืน
อาเภอลี้ จังหวัดลาพูน ไปจังหวัดเชียงใหม่ แล้วย้อนกลับมาที่อาเภอสันป่าตอง
อาเภอจอมทอง และอาเภอฮอด ทาให้เสียเวลาในการเดินทางทั้งวัน หากเดินทางเท้า
ก็ต้องผ่านป่าเขาและค้างแรมระหว่างทาง หรือถ้าจะเดินทางด้วยรถจักรยาน (รถถีบ)
ต้องไปนอนที่บ้านหนองอี่ปุ้ม 1 คืน รุ่งเช้าจึงออกเดินทางต่อไปยังอาเภอฮอด1
การติดต่อประสานงานระหว่างอาเภอ ตาบล หมู่บ้าน เป็นไปอย่างล่าช้า จึงเป็น
ปัญหาด้านการปกครอง ไมส่ ามารถที่จะขจดั ทุกข์บารงุ สขุ ใหก้ บั ราษฎรไดอ้ ย่างทั่วถึง
คนดอยเต่าสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากคน 3 เผ่า คือ ลั่ว (ละว้า) ตะโข่
คะฉีน เพราะคนดอยเต่าสว่ นใหญ่มีผวิ ดา รูปร่างใหญ่ ภาษาพูดก็ต่างจากอาเภออื่น ๆ
ในจังหวัดเชียงใหม่ และตามประวัติศาสตร์บริเวณนี้ก็เป็นที่อยู่ของคน 3 เผ่าน้ี
หมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุด จากคาบอกเล่าของผู้นาชุมชนและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน คือ
บ้านชั่งและบ้านมืดกาตะวันตก มีอายุหมู่บ้านประมาณ 400 – 530 ปี โดยเฉพาะ
บ้านมืดกาตะวันตก มีหงส์ทองซึ่งอายุ ประมาณ 400 – 550 ปี สร้างขึ้นเป็น
สัญลักษณ์ของกษัตริย์มอญเมื่อมีอานาจจะสร้างหงส์ไว้เป็นสัญลักษณ์โดยตั้งเสาสูงไว้
กลางหม่บู ้าน
1 สัมภาษณ์ พอ่ จู ไชยวงศ์ , อายุ 78 ปี บ้านเลขที่ 14 หมู่ที่ 4 ต. โปงทุ่ง อ. ดอยเต่า
จ. เชียงใหม่ วนั ท่ี 4 สงิ หาคม 2544.
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 3
สภาพของชุมชนก่อนปี พ.ศ. 2507 การตั้งถิ่นฐานหมู่บ้านของแต่ละ
หมู่บ้าน มีทั้งรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ตามแนวถนน และกระจายอยู่ตามที่ราบสองฝั่งริม
แม่น้าปิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตตาบลดอยเต่า ตาบลท่าเดื่อ และตาบลบ้านแอ่น
หลังจากเขื่อนภูมิพลฯ สร้างเสร็จเมื่อ ปี พ.ศ. 2506 มีการกักเก็บน้าและน้าเพิ่ม
สูงข้ึน หมบู่ า้ นที่กระจายอยู่ที่ราบริมสองฝั่งแม่น้าปิงต้องย้ายขึ้นมาอยู่ในที่จัดสรรของ
นิคมสรา้ งตนเองเขื่อนภูมิพล และกระจายไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ดังแนวการย้ายหมู่บ้านใน
อดีตหนา้ ถดั ไป
รูปภาพ : บา้ นเรือนคนดอยเต่าก่อนนา้ ท่วม
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 4
แนวการยา้ ยจากหมู่บ้านเกา่ เขา้ สหู่ ม่บู า้ นใหม่และจานวนครัวเรอื นที่ยา้ ย1
1 อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เศรษฐกิจ สังคม ประชากร และโครงสร้างพื้นฐาน
สถาบันวิจัยสงั คม มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ กนั ยายน 2527 หน้า 16
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 5
แผนผังกำรจดั สรรทอ่ี ยอู่ ำศยั ให้ชำวบ้ำนท่ีอพยพขึ้นมำหลกั จำกน้ำท่วม
รูปภาพ : จากนิคมสรา้ งตนเองเข่ือนภูมิพล
จงั หวัดเชยี งใหม่
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 6
ภำษำของชำวดอยเต่ำ
ภาษาถิ่นของชาวดอยเต่ามีสาเนียงและคาที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่นในจังหวัด
เชียงใหม่ โดยจะออกเสียงช้า เรียกห้วยหรือลาธารว่า อุ่ม หรือ อม เช่น อุ่มป้าด
ซึ่งหมายถึง ห้วยที่พาดผ่าน เรียกน้า เป็น นั้ม เรียก ไก่ เป็น ก่อย พูดคาว่าไป
เป็น ปอย ,ไหน เป็น หนอย เปน็ ตน้
วัฒนธรรมประเพณี
คนดอยเต่ามีขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างที่แตกต่างจากถิ่นอื่น เช่น
ประเพณีปอยข้าวสัง ซึ่งเป็นประเพณีทาบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่
ล่วงลบั ไปแล้ว ถือเป็นประเพณที ่ีสาคัญอันหนึง่ แตร่ ะยะหลังเริ่มหายไป
คนดอยเต่ำดง้ั เดิม
คนดอยเต่าดั้งเดิมมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะอาศัยอยู่ตามลุ่มน้าแม่หาด ได้แก่
บา้ นดอยเตา่ เก่า , บ้านไร่ ,เกาะหลวง, โปงทุ่งและ บ้านงิ้วสูง กลุ่มที่ 2 อาศัยอยู่แถบ
ที่ราบลุ่มแม่ปิงเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่มแรก กลุ่มนี้ได้แก่ บ้านงิ้วเฒ่า ,บ้านมืดกา
ตะวันตก, บ้านมืดกาตะวันออก ,บ้านตีนดอย, บ้านชั่ง, บ้านท่าเดื่อ, บ้านโท้ง ,
บ้านน้อย, บ้านแอ่นและบ้านหนองอี่ปุ้ม มีหมู่บ้านทั้งเล็กและใหญ่รวมกันถึง
21 หมูบ่ า้ น ครอบคลมุ พน้ื ที่ถึง 54 ตารางกโิ ลเมตร
รปู ภาพ : ประเพณแี หค่ รวั ทาน
ของคนดอยเต่ากอ่ นน้าทว่ ม
"เล่าขานตานานดอยเต่า" 7
รูปภาพ : ประเพณีแห่ครัวทานของคนดอยเตา่ ก่อนนา้ ท่วม
อำชีพเดิมของคนดอยเต่ำ
อาชีพเดิมของคนดอยเต่าได้แก่ การเพาะปลูกข้าว ถั่ว ยาสูบ ครั่ง และ
ค้าขาย โดยนาสนิ คา้ ใส่เรอื แพลอ่ งไปขายทางตอนล่าง แถบเมืองตาก เมืองปากน้าโพ
นครสวรรค์
ปีพุทธศักราช 2506 เมื่อรัฐบาลไทยสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จ เขื่อนเริ่มปิด
ก้ันนา้ น้าได้เออ่ ขน้ึ มาทว่ มพ้นื ทีร่ าบสองฝั่งแม่น้าปิง ชาวบ้านที่อาศัยตามลุ่มน้าปิงได้
อพยพขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ ที่ทางราชการจัดไว้ให้ เป็นแปลง ๆ เรียกกันว่า บ้านอพยพ
แปลงที่เท่านั้นเท่านี้ โดยจัดหมวดหมู่แปลงตามถนนฮอด- ดอยเต่า - แม่ตืน แปลง
เลขคี่จะอยู่ทางด้านขวามือ ส่วนแปลงเลขคู่จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ในการอพยพ
ราษฎรจะได้คา่ ชดเชยทดี่ ินเดมิ ไร่ละ 400 บาท 1
1 สัมภาษณ์ พ่อจู ไชยวงศ์ , อายุ 78 ปี บา้ นเลขที่ 14 หมทู่ ี่ 4 ต. โปงทงุ่ อ. ดอยเต่า
จ. เชยี งใหม่ วันท่ี 4 สงิ หาคม 2544
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 8
เมืองดอยเต่ำที่ควรรู้
วันที่ 25 กรกฎาคม 2500 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทาน
พระปรมาภิไธยให้ชื่อเขื่อนว่า ‘เขื่อนภูมิพล’ สร้างปิดกั้นลาน้าปิงที่บริเวณ เขาแก้ว
อาเภอสามเงา จังหวัดตาก มีรัศมีความโค้ง 250 เมตร สูง 154 เมตร ยาว 486 เมตร
สันเข่ือนกว้าง 6 เมตร รองรับน้าไดส้ งู สุด 3,462 ล้านลกู บาศก์เมตร
วันที่ 24 มิถุนายน 2504 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จ
พระราชดาเนินทรงวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างก่อสร้าง ปี พ.ศ.2506 เริ่มมีการเริ่มปิด
เขื่อนกัน้ น้า
วันที่ 17 พฤษภาคม 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จ
พระราชดาเนินทรงเปิดเขื่อนภูมิพล ชะตากรรมของชาวบ้านทางตอนเหนือของ
เขื่อนภูมิพล รวมถึงชาวบ้านดอยเต่าเริ่มสั่นคลอน สองฝั่งลาน้าปิง ที่เคยมีต้นไม้
นานาพรรณ ให้ชาวบ้านล่องเรือแพ ชื่นชมความงาม ตีฆ้องตีกลองร้องเพลง
ล่องขึ้นมาเป็นวัดๆ ก็หายไป เป็นการสูญเสียวัฒนธรรมอันล้าค่า ในปี พ.ศ. 2502
ทาง เขื่อนภูมิพล ได้ทาการเวนคืนที่ดินในเขตน้าท่วม เริ่มตั้งแต่บ้านงิ้วเฒ่าจนถึง
บ้านวังหม้อและต่อไปอาเภอฮอด แต่ชาวบ้านได้ปฏิเสธที่จะโยกย้ายไปอยู่ในพื้นท่ี
ดังกล่าว เพราะทุกคนเห็นว่าพื้นที่ที่ทางการเตรียมไว้ให้นั้น ยังขาดสาธารณูปโภค
ด้านต่างๆ
ในปี พ.ศ.2507 น้าเริ่มแผ่ขยายเข้าท่วมพื้นที่ตาบลมืดกา ตาบลท่าเดื่อ และ
ตาบลบ้านแอน่ หมู่บา้ นท่ีเจอนา้ ทว่ มบ้านแรก คือ หมู่บ้านงิ้วเฒ่า ถัดมาน้าได้เข้าท่วม
หมู่บ้านมืดกาตะวันตก มืดกาตะวันออก บ้านชั่ง บ้านตีนดอย บ้านหนองบัวคา บ้าน
ท่าคร่งั บ้านท่าเดอื่ บ้านโท้ง บา้ นน้อย บ้านนาแก่ง บา้ นแพะ บ้านแอ่น บ้านวังหม้อ
บ้านหนองอี่ปุ้ม ตามลาดับ หลังจากย้ายหมู่บ้านแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ย้ายไปจาก
ชมุ ชนเดิมไมไ่ ด้ คอื วัฒนธรรม และโบราณสถานท่เี หลอื แคร่ ่องรอย วดั โบราณ
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 9
ปี พ.ศ. 2506 กรมประชาสงเคราะห์ได้ดาเนินการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง
เขื่อนภมู ิพลจังหวัดเชยี งใหม่ ข้นึ เพือ่ ช่วยเหลือราษฎร 2,400 ครอบครวั
วันที่ 17 ตุลาคม 2515 แยกพื้นที่ตาบลท่าเดื่อ ตาบลดอยเต่า ตาบลมืดกา
และตาบลบ้านแอ่น อาเภอฮอด มาตัง้ เปน็ กิ่งอาเภอดอยเต่า
วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2522 กระทรวงมหาดไทยได้มีพระราชกฤษฎีกายก
ฐานะกิ่งอาเภอดอยเต่าขึ้นเป็นอาเภอดอยเต่า โดยรวมเอาตาบลนาคอเรือเข้าไปด้วย
ดังนั้น อาเภอดอยเต่าจึงมี 5 ตาบล คือ ตาบลบ้านแอ่น ตาบลมืดกา ตาบลนาคอเรือ
ตาบลทา่ เดื่อ และตาบลดอยเตา่
วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 มีพระราชกฤษฎีกาโอนตาบลนาคอเรือ
ไปขึ้นกับอาเภอฮอดตามเดิม เพราะสะดวกในการคมนาคม และตั้งตาบลโปงทุ่ง
แยกจากตาบลดอยเต่า ตั้งตาบลบงตัน แยกจากตาบลท่าเดื่อ ปัจจุบันอาเภอดอยเต่า
มเี ขตการปกครองท้งั หมด 6 ตาบล 43 หมบู่ า้ น
รูปภาพ : พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร เสดจ็ พระราชดาเนนิ อาเภอดอยเตา่
เมือ่ วันที่ 17 มนี าคม พ.ศ. 2519 10
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา
เล่ำขำนตำนำนดอยเตำ่
“ จะเล่าขานตานานดอยเต่า มีเรื่องเล่าจากผู้เฒ่าผ่านมา สองพันห้าร้อยเจ็ด
ทุกขย์ ากหนกั หนา หนีตายออกมาจากบ้านเกดิ ริมนา้ ปงิ ”
สมัยก่อนสภาพเศรษฐกิจของเมืองดอยเต่า ไม่แตกต่างไปจากเมืองล้านนา
ทั่วไป มีการดารงชีวิตด้วยการทานา ปลูกข้าว หาปลา เลี้ยงครั่ง ตามที่ราบลุ่ม
แม่น้าปิงอันอุดมสมบูรณ์ การทานามีการลงแขกช่วยเหลือกัน (ประเพณีฮอมแฮง)
ในบางคร้ังก็มกี ารจา้ งงานบ้าง เพอ่ื นบ้านไมม่ ีขา้ วกนิ ก็หยิบยมื กนั ได้ เม่ือปลกู ข้าวได้ก็
นามาใช้คืนไม่มีดอกเบี้ย เป็นสังคมที่โอบอ้อมอารีย์ มีแต่ความสุข รักกันช่วยเหลือกัน
ไมแ่ ขง่ ขนั กนั ในปี พ.ศ. 2500 ค่าจ้างแรงงานทั่วไปของคนดอยเต่า ตกวันละ 5 บาท
ก๋วยเตย๋ี วชามละ 50 สตางค์ ข้าวสารราคาลติ รละ 2 บาท เงินที่ใช้ในสมัยนั้นจะใช้เงิน
ใบละ 1 บาท , 5 บาท และ 10 บาท สินค้าที่ขึ้นชื่อของเมืองดอยเต่าในสมัยนั้น คือ
ขา้ ว คร่ัง หอม กระเทียม ปลาแห้ง ถั่วลิสง และอ้อย ใครท่เี ลย้ี งคร่งั ในสมัยนน้ั จะเปน็
ผมู้ ีเงินร่ารวย 1
ต่อไปนี้ขอนาเสนอประวัติของแต่ละหมู่บ้านและเหตุการณ์ก่อนน้าท่วมบ้านเรือน
ท่วมไร่ ท่วมนาให้ท่านที่สนใจได้ทราบโดยเขียนตามคาบอกเล่าของผู้สูงวัยที่อยู่ใน
เหตุการณ์ได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ขอเริ่มจากบ้านที่อยู่ใต้สุดไล่ขึ้นมาถึงเหนือสุด
พอสังเขป ดังนี้
1 สมั ภาษณ์ นายเมอื งแกว้ , หมูท่ ี่ 2 ต. ท่าเดือ่ อ. ดอยเต่า จ. เชยี งใหม่
1 สัมภาษณ์ พ่อจู ไชยวงศ์ , อายุ 78 ปี บ้านเลขที่ 14 หมู่ท่ี 4 ต. โปงทงุ่ อ. ดอยเต่า
จ. เชยี งใหม่ วนั ท่ี 4 สิงหาคม 2544 11
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 12
บำ้ นง้วิ เฒำ่
บ้านงิ้วเฒ่า (ปัจจุบันคือบ้านแปลง4) ผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์ พ่อครูยง อินทร
จักร บ้านเลขที่ 79 หมู่ที่ 3 ต. มืดกา อ. ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 8
สิงหาคม 2544 ซึ่งพ่อครูเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านงิ้วเฒ่า พ่อครูยง บอกว่า
บรรพบุรุษของคนหมู่บ้านงิ้วเฒ่า อพยพมาจากบ้านเด่นคาเดิม (ปัจจุบันบ้านเด่นคา
เดิมได้เปลี่ยนสภาพเป็นสวนลาไยไปหมดแล้ว) พ่อครูยงบอกสาเหตุที่คนบ้านงิ้วเฒ่า
อพยพมาจากบ้านเด่นคานั้น สันนิษฐานได้จาก 1.บ้านเด่นคาเดิมมีต้นมะพร้าวสูง
มากและพ่อเฒ่าแม่หม่อนบ้านงิ้วเฒ่าเป็นเจ้าของ ลูกหลานเหลนของคนบ้านงิ้วเฒ่า
สามารถไปเก็บเอาผลมะพร้าวมากินได้ 2.หาอาชีพใหม่ เพิ่มรายได้ให้แก่
ครอบครัว เพราะอยรู่ ิมฝ่ังแม่นา้ ปิงสามารถจบั ปลาขายได้โดยเฉพาะในช่วงเดือน 3 –
5 เหนือ จะมีปลาสร้อยและ ปลาอื่น ๆ อีกมากมาย อพยพขึ้นมาตามลาน้าแม่ปิง
เพื่อวางไข่ ชาวบ้านจะทาการจับปลาไว้เป็นอาหารและขาย 3.การคมนาคม
สะดวก แม่น้าปิงในสมัยนั้นเป็นเส้นทางการคมนาคมโดยพ่อค้าจะนาสินค้าจากทาง
เหนือ ตัวเมืองเชียงใหม่ ล่องไปขายทางใต้ที่ปากน้าโพ จังหวัดนครสวรรค์ ขากลับ
พ่อคา้ จะบรรทุกสนิ ค้าใหม่ ๆ ใส่เรือจากปากน้าโพ ขึ้นมาขายตามลาน้าปิงซึ่งสามารถ
ซ้ือและขายสินคา้ ไดส้ ะดวก
อำชีพของคนบ้ำนงว้ิ เฒำ่
ผู้ชายในฤดูฝนทานา ทาไร่ เลี้ยงครั่ง หาของป่า ฤดูแล้งหาปลาทาปลา
แห้ง ปลาร้า เพื่อนาไปขายและนาไปแลกกับหอม พริกแห้งตามบ้านดอยเต่าเก่า
บ้านเด่นคา บ้านไร่ บ้านโปง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านทาเครื่องจักสาน ตะกร้า
กระด้ง ส่วนผู้หญิงจะทอผ้าเพื่อไว้นุ่งห่ม ปลูกฝ้าย ตาข้าว ตักน้า หาของป่า
ตามฤดูกาล
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 13
วัฒธรรมประเพณี
วัฒนธรรมประเพณีของคนบ้านงิ้วเฒ่า ถึงเดือน12 จะตานก๋วยสลากที่วัดมืดกา
ตะวันตก (เป็นวัดหลวง ตามประเพณีการต๋านก๋วยสลากต้องไปตานวัดหลวง
ก่อน) เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่ จะขนทรายเข้าวัด ทาบุญตักบาตร ฟังเทศน์ สรงน้า
พระธาตุ พระพุทธรูป อาบน้าดาหัวพระเจ้าพระสงฆ์ คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่
ครูบาอาจารย์ พอถึงเดือนเก้า จะมีการเลี้ยงถวายอารักษ์บ้านเจนเมือง
(พ่อหม่อน) งานประเพณีเข้าพรรษา ประเพณีทานข้าวสลากภัตต์ ประเพณี
ออกพรรษา ประเพณียเี่ ป็ง ฟงั เทศน์มหาชาติ ประเพณีสี่เป็ง
พ่อหลวงดี มอนเต๋ บอกว่า (สัมภาษณ์ 19 มิ.ย.62) ในปีพ.ศ. 2507 พ่อหลวง
เย็น ตันไชย ผู้ใหญ่บ้านบ้านงิ้วเฒ่าในตอนนั้น และพ่อหลวงดี มอนเต๋ ( ตอนนั้นเป็น
ผู้ชว่ ยผู้ใหญ่บา้ น ชว่ งหลังไดเ้ ปน็ พอ่ หลวงบา้ นงิ้วเฒ่าต่อจากพ่อหลวงเย็น) บ้านงิ้วเฒ่า
มีประชากร อยูป่ ระมาณ 100 หลงั คาเรอื น กอ่ นน้าจะท่วมบ้านงิ้วเฒ่าพ่อหลวงเย็นได้
เรียกประชมุ ชาวบ้านทั้งหมด และแจ้งว่าน้าจะมาท่วมบ้านเฮาในอีกไม่กี่วันนี้ให้แต่ละ
ครอบครัวรีบพากั๋นเตเฮือน ขนข้าวของเครื่องใช้ขึ้นไปอยู่ในที่ที่ทางการเขาจัดหื้อเด้อ
สังเกตดูชาวบา้ นส่วนใหญ่ไมเ่ ชอ่ื คาพูดของพ่อหลวง ต่างคดิ ว่าเขื่อนกั้นน้าอยู่ไกล ไม่
มีทางมาที่น้าจะมาท่วมได้ แต่แล้วความจริงก็ปรากฏค่าของวันนั้นน้าได้เริ่มเอ่อไหล
ท่วมบ้านอย่างช้า ๆ เสียงชาวบ้านร้องอื้ออึงร้องไห้ได้เตเฮือนย้ายของลุยน้าในคืนนั้น
ท้งั น้าตา บางคนไล่จับเป็ดจับไก่ในคอกเพอ่ื หนนี า้
ป้อ อุ้ยจันทา มอนเต๋ (สัมภาษณ์ 19 มิ.ย.62) เล่าว่า การอพยพของคนบ้าน
งิ้วเฒ่า ตอนแรกขึ้นมาพักที่ข้างบ้านทุ่งคอกช้าง เรียกว่าบ้านเด่นไม้ตึง หลังจากนั้น
ผู้ปกครองนิคมได้ประกาศให้ไปจับฉลากแบ่งพื้นที่หมู่บ้าน จึงพากันไปจับฉลาก
โดยจับเป็นหมู่บ้านก่อนหลังจากนั้นจับเป็นครัวเรือน บ้านงิ้วเฒ่า จับได้บ้านแปลง 4
คือหมู่บา้ นทีอ่ ย่ปู ัจจบุ ันน้ี
ป้ออุ๊ยทาเล่าต่อไปว่า โรงเรียนบ้านงิ้วเฒ่า ปี พ.ศ. 2507 พ่อ ครูยง อินทรจักร
เปน็ ครูใหญ่ มีครูทอง ผัดตุ่น และ ครูมอย ทาสม เป็นครูผู้สอน มีนักเรียนทั้งหมด 80
คน สมัยนน้ั ใครเรียนจบ ป. 4 ได้เป็นครูทนั ที ป้ออยุ๊ ทาบอก
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 14
วัดฉิมพลีวุฒำรำม
ประวัติความเป็นมาวัดฉิมพลีวุฒาราม เดิมชื่อ “วัดศรีดอนคาบ้านงิ้วเฒ่า”
ตั้งอยู่ในพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ริมฝั่งแม่น้าปิงด้านทิศตะวันออก หมู่ที่ 3 ตาบลมืดกา
อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ครูบาจินาและชาวบ้านในสมัยนั้นได้พร้อมใจกันสร้าง
เมอื่ ปี พ.ศ. 2333 สาเหตุที่ไดช้ ื่อว่า วัดฉิมพลีวุฒาราม หรือหมู่บ้านงิ้วเฒ่านั้น เรื่อง
มีอยวู่ า่ บริเวณทต่ี ั้งหมู่บ้านนั้นมีต้นงิ้วดอกแดง (งิ้วหลวง ) ลาต้นสูงใหญ่มากและมีต้น
งิว้ เลก็ อกี หลายต้น อยู่ด้านล่างของวัดเมื่อไปตั้งเป็นหมู่บ้านคนทั่วไปจึงเรียกหมู่บ้านน้ี
ว่า “หมู่บ้านง้วิ เฒ่า”
ปี พ.ศ.2485 ในสมัยพระธรรมรังษี (พ่อหนานธรรม พิงค์เจริญ อายุ 90 ปี)
เป็นเจ้าอาวาสวัดงิ้วเฒ่า ได้มีการเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็นภาษาบาลี คาว่า งิ้ว ในภาษา
บาลีคือ ฉิมพลี คาว่า เฒ่า ในภาษาบาลีคือ วุฒา บวกกับ อาราม จึงเป็น “วัดฉิมพลี
วุฒาราม” จนถึงปัจจุบัน พ่อหนานธรรม พิงค์เจริญ เล่าอีกว่า วัดฉิมพลีวุฒาราม
มวี หิ ารหลวงทส่ี วยงามมาก วหิ ารหลังน้สี ร้างเมอ่ื ปี พ.ศ. 2344 นับจนถึงปจั จุบนั มี
อายไุ ด้ 200 กวา่ ปี
ปีพ.ศ.2507 น้าเขื่อนภูมิพลขึ้นมาท่วมบ้านและวัด ทางเจ้าคณะสงฆ์อาเภอฮอด
ได้ทาการรื้อถอนวัดงิ้วเฒ่าและนาเอาเสาวิหารของวัดงิ้วเฒ่าทั้งหมด ไปสร้างวิหารที่
วัดเมืองมางในตัวเมืองจังหวัดเชียงใหม่ (ลูกหลานชาวดอยเต่าถ้ามีโอกาสเข้าไปในตัว
เมืองเชียงใหม่ไปชมเสาวิหารเก่าแก่ คู่บ้านคู่เมืองดอยเต่าอายุสองร้อยกว่าปีได้)
ส่วนพระประธาน ในวิหารวัดฉิมพลีวุฒารามนั้น เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปกรมาขุด
เจาะเอาของมีค่าในพระพุทธรูปไปทั้งหมด (ผู้เขียนไม่สามารถทราบได้ว่าตอนนี้ของมี
ค่านน้ั คืออะไรบา้ งและอยกู่ ับใครที่ไหน) ส่วนคณะศรัทธาวัดฉิมพลีวุฒาราม ได้เพียง
พระพทุ ธรูปเก่าแกท่ ัง้ ไม้และทองเหลอื ง มาเก็บรกั ษาไว้ทวี่ ัดฉมิ พลวี ุฒารามปัจจุบนั
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 15
บำ้ นแมก่ ำ๋ ดอนไจ หรอื บำ้ นมดื กำตะวันออก
บา้ นมืดกาตะวนั ออก ต้ังอย่รู ิมฝ่งั ตะวันออกของแม่นา้ ปิง ทิศเหนือติดกับแหล่ง
ท่องเที่ยวชื่อดังสมัยก่อนคือผาเผือก บางครั้งชาวบ้านเรียกว่าผาเพี๊ยก ทิศใต้ติดกับ
หมู่บ้านงิ้วเฒ่า ทิศตะวันออกติดกับตาบลดอยเต่า ทิศตะวันตกติดแม่น้าปิง บ้านมืด
กาตะวันออกมีวัดชื่อวัดแม่ก๋าดอนไจ โรงเรียนตั้งอยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน
ชอ่ื โรงเรียนบา้ นมืดกาตะวนั ออก บา้ นมดื กาตะวันออกมบี ้านเรอื น 145 หลังคาเรือน
นับว่าเป็นหมูบ้านที่ใหญ่มากจึง มีสถานีตารวจภูธรแม่กาตั้งอยู่ในหมู่บ้านน้ี
(ปัจจบุ ันสถานีตารวจแม่กายา้ ยไปอยู่ท่บี า้ นดอยเตา่ เกา่ )
อำชีพคนมดื กำตะวนั ออก
ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอาชีพ ทานา หลังเสร็จนาจะปลูกยาสูบ
ปลูกผกั กาด ปลูกหอม กระเทียม ไว้กินและไว้ขาย สัตว์เลี้ยงชาวบ้านจะเลี้ยงควาย
ไว้ใช้งาน ส่วนวัวมีเลี้ยงเป็นบางครอบครัว อุตสาหกรรมครัวเรือนที่สาคัญ คือ
การทอผ้า (ผ้าซ่นิ ตนี จกลายนา้ ท่วมในปจั จบุ นั )ไวใ้ ชน้ ุง่ หม่ ในครัวเรือน
วัดประถมกำรำม เดิมชื่อวัดมืดกาตะวันออก (ดอนชัย) หรือวัดแม่ก๋าดอนไจ
เป็นวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2343 โดยครูบาเสียงหน้อย
เป็นผู้สร้าง ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้าปิง ณ หมู่ที่ 2 ต.มืดกา อ.ฮอด จ. เชียงใหม่
ส่ิงก่อสร้างภายในวัดมี วิหาร ศาลา 9 ห้อง กุฏิพระสงฆ์สามเณร กาแพงรอบวัดก่อ
ด้วยก้อนหินโดยวางเรียงกันสูง 120 เซนติเมตร ในวัดเปิดสอนพระปริยัติธรรม
ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2485
พ่อครูยง อินทรจักร เล่าว่า บ้านมืดก๋าตะวันออก เดิมชื่อบ้านแม่ก๋าดอนไจ
ตอนหลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบ้านมืดก๋าตะวันออกและวัดก็เปลี่ยนชื่อไปด้วยเป็นวัด
ประถมการาม ( ปัจจุบันตั้งอยู่บ้านแปลง 1 ต. มืดกา อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่)
แต่ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกวัดแม่ก๋าวันออกเพราะความเคยชิน พ่อครูยง เล่าต่ออีก
ว่าที่ได้ชื่อว่าบ้านมืดกาเพราะว่า “เวลาค่าแลงลงมาจะมีฝูงนกกาบินกลับรังมานอนท่ี
หมู่บ้านน้ีตลอดกาล”
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 16
บำ้ นมืดกำตะวันตก
บ้านมืดกาตะวันตกตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้าปิง ทิศเหนือติดกับ ลาห้วย
แม่ลาย ทิศใต้ติดกับหน่วยอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ทิศตะวันออกติดกับแม่น้า
แม่ปิง ทิศตะวันตกติดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย บ้านมืดกาตะวันตกมีวัดชื่อ
วัดปัจฉิมการาม หรือวัดจาป๋าแยงเงา ( ปัจจุบันตั้งอยู่บ้านแปลง 2 หมู่ที่ 1 ต. มืดกา
อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่) ตั้งอยู่บนเนินสูงประมาณ 5 – 6 เมตร ติดกับแม่น้าปิง
เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 โมง ถึง 5 โมง เย็น เงาวิหารวัดกับเงาพระธาตุในวัดจะยื่นลงสู่
แม่น้าปิง คนสมัยนั้นจึง เรียกว่า วัดแยงเงา หรือจาป๋าแยงเงา วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2447 โดยครูบากันทวัง และครูบาศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนาเคยมาจาพรรษา
อยู่วัดนี้ วัดจาป๋าแยงเงามีสิ่งสาคัญที่เป็นมงคลและศักดิ์สิทธิ์มากคือ หงส์ไม้สักลงรัก
ปิดทอง ศิลปะมอญ อายุประมาณ 400 – 550 ปี นามาจากประเทศพม่าติดตั้งไว้
บนหลังคาโบสถ์วัดจาป๋าแยงเงา เมื่อพ่อค้าล่องเรือจากทางใต้ลอยตามลาน้าแม่ปิง
เมื่อมองเห็นหงส์ไม้สีทองจะพากันดีใจ เพราะหงส์เป็นสัญลักษณ์ของความดี
ความมั่นคง มั่งคั่ง ความปลอดภัย ถึงเขตอันอุดมสมบูรณ์แล้ว บ้านมืดกาตะวันตก
มีโรงเรียนขนาดเล็กตง้ั อยู่ทศิ ตะวนั ตกของวดั ช่ือโรงเรียนบ้านมืดกาตะวนั ตก
อำชพี
ชาวบ้านส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพ ทานา ปลูกยาสูบ ปลูกผักกาด ปลูกหอม
กระเทยี ม ไวก้ นิ และไวข้ าย เลี้ยงวัวควายไวใ้ ชง้ าน
ภาพวาดจาลอง : หมบู่ า้ นมืดกาตะวนั ตก จากวหิ ารวดั ปัจฉมิ การาม
"เล่าขานตานานดบอา้ นยเแตป่าล" ง 2ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 17
บำ้ นตีนดอย
บ้านตีนดอย หลังจากงานประเพณีสรงน้า
สักการะพระธาตุเจ้าดอยเกิ้ง ในวันขึ้น 15 ค่า
เดือน 5 (มาฆบูชา) ณ วัดพระธาตุดอยเกิ้ง
ผ่านพ้นไป ชาวบ้านตีนดอยจะทาความ
สะอาดวัดให้สะอาดเรียบร้อยเป็นกิจวัตรทา
เป็นประจาทุกปี
ทาอย่างมีความสุขที่ตื้นตันใจ ขณะที่ผมเขียนก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา
เป็นวิถีชีวิตเป็นศาสตร์ท้องถิ่นที่ดีงามในการสร้างความรักความสามัคคี บ้านตีนดอย
หรือบ้านหนองโปง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ตีนดอยเกิ้ง ในอดีตเป็นหมู่บ้านที่มี
ความสัมพันธ์กับวัดพระธาตุเจ้าดอยเกิ้งมากที่สุด มีบ้านเรือนประมาณ 20 กว่า
หลังคาเรือน ทิศเหนือตดิ กบั หว้ ยผาอา่ ง และผาจอมสวรรค์ ทิศตะวันออกติดแม่น้าปิง
ตรงข้ามกับบ้านชั่ง ทิศใต้ติดห้วยแม่ลาย ห่างบ้านมืดกาตะวันตกประมาณ 5 กม. ทิศ
ตะวนั ตกติดดอยเก้ิง บา้ นตีนดอยมวี ัดช่อื วดั หนองโปง ตั้งอยู่ด้านล่างของพระธาตุจอม
สวรรค์ พ่อประดิษฐ์ เมธาสุข อายุ 83 ปี บ้านถิ่นสาราญ อ.ดอยเต่า เล่าว่า หมู่บ้าน
ตีนดอย ตั้งอยู่ตีนดอยเกิ้ง ก่อนการจัดงานประเพณีสรงน้าพระมหาบรมธาตุเจ้าดอย
เกิ้งชาวอาเภอฮอด และชาวอาเภอดอยเต่า จะทาการจัดงานบวงสรวงฉลองสมโภชน์
พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้งที่ ศาลาหมู่บ้านหนองโปง หรือบ้านตีนดอยแห่งนี้
พอวันรุ่งขึ้น 15 ค่า เดือน 5 (มาฆบูชา)ชาวบ้านจะพากันเดินเท้าขึ้นไปสรงน้า
พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง การเดินขึ้นไปสรงน้าพระมหาธาตุเจ้าดอยเกิ้ง เมื่อเดิน
ไปถงึ เขตพน้ื ทหี่ ว้ ยดาหัว บางคนจะมีอาการเมา วิงเวียนศรีษะไม่สามารถเดินต่อไปได้
ก็จะน่งั พกั ที่หว้ ยและเดนิ ทางกลับลงมา คนโบราณเชอ่ื วา่ นน้ั หมายถงึ คนๆนั้นไม่มีบุญ
พอที่จะได้กราบไหว้พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง พ่อประดิษฐ์ เล่าต่อไปอีกว่า
ชาวบ้านตีนดอยทุกคนจะคอยดูแลรักษา และทาความสะอาดวัดพระธาตุดอยเกิ้ง
หลงั มกี ารจัดงานสรงนา้ พระธาตุ หรอื กอ่ นจัดงานสรงนา้ พระธาตุ ทกุ ครงั้
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 18
หลังจากที่น้าในเขื่อนภูมิพล ไหลเอ่อท่วมบ้านตีนดอยแล้ว ชาวบ้านส่วนหนึ่ง
ได้อพยพมาอยู่หลังวัดและข้างวัดปัจฉิมการาม บ้านแปลง 2 ความศักดิ์สิทธิ์อีกอย่าง
ของบ้านตีนดอยคือหินลอยน้าได้ปัจจุบันอยู่ที่วัดบ้านชั่ง บ้านแปลง8 หินนามาจาก
ศาลาบา้ นหนองโปง หรอื บา้ นตีนดอย…
ภาพวาดจาลอง : ประเพณีวนั สงกรานตแ์ ละวันลอยกระทง ของคนดอยเตา่ ในอดตี
จากวิหารวัดปัจฉมิ การาม บา้ นแปลง 2 19
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา
บ้ำนช่ัง
บ้านชั่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ต. ท่าเดื่อ อ. ฮอด จ.เชียงใหม่ ทิศเหนือติดบ้านท่าครั่ง
ทิศใต้ติดลาห้วยแม่หาด ทิศตะวันออกติดตาบลท่าเดื่อ ทิศตะวันตกติดแม่น้าปิง
ตรงกันขา้ มกบั หม่บู ้านตนี ดอย
บ้านชั่งเป็นหมู่บ้านใหญ่มีโรงเรียนอยู่กลางหมู่บ้าน วัดบ้านชั่งในอดีต ตั้งอยู่บน
ฝั่งแม่น้าปิงด้านตะวันออก ตรงข้ามกับพระธาตุเจ้าดอยเกิ้ง ตั้งอยู่บนดอยสูงซึ่งเป็น
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง วัดบ้านชั่งเป็นวัดที่เก่าแก่มากวัดหนึ่ง สร้างเมื่อใดไม่มี
หลกั ฐานปรากฎ คาดว่าคงสร้างก่อน พ.ศ.2300 ขึ้นไป ปี พ.ศ.2420 ครูบาสุข อินโต
ได้ปฏิสังขรต่อจากของเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้บริเวณบ้านชั่ง ยังมีวัดร้างอีก
3 วัด คือ วัดกาด วัดไม้สามโฮง และวัดป่าช้า ทั้งสามวัดนี้ เหลือแต่ซากของฐานราก
พอให้เห็นเท่านั้น ด้านหลังวัดบ้านชั่งมีต้นไม้ใหญ่ขนาด 5 คนโอบ ชาวบ้านเรียกว่า
ไม้งุ้น ต้นไม้นี้จะมีผึ้งมาอาศัยทารังเป็นจานวนมากประมาณ 100 กว่ารัง ชาวบ้านจึง
เรยี กอีกวา่ “ไม้ตน้ ผงึ้ ” บ้านช่งั น้นั เดิมต้ังอย่บู นฝ่ังแมน่ า้ ปงิ ต่อมานา้ ปิงได้เปลี่ยนทิศ
ทางการไหลห่างออกไปจากที่เดิมประมาณ 300 เมตร วัดกาด(วัดร้าง ) ก็เลยอยู่ไกล
ฝั่งน้าปิง ท้องของแม่น้าปิงตรงจุดวัดกาดได้เกิดเป็นหนองน้าขึ้น ชาวบ้านเรียกว่า
หนองยะลวา้ จุดที่ตั้งของวัดกาดเป็นจุดที่สูงที่สุดของฝั่งแม่น้าปิงด้านตะวันออกทาให้
มองเห็นหมู่บ้านต่างๆตามลาน้าปิง นอกจากนี้บ้านชั่งยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างคือ
บ่อน้าโบราณอายุราวสองร้อยกว่าปี จานวน 3 บ่อเป็นบ่อน้าลึกประมาณ 10 เมตร
ปากบ่อก่อด้วยอิฐเผาโบราณสภาพอิฐเผายังดี หนาประมาณ 5 นิ้ว ในบ่อมีน้าตลอด
ทงั้ ปี ปจั จบุ นั สภาพบอ่ น้ายงั ดี
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 20
ในอดตี หลายชว่ งอายคุ น นบั พนั ๆ ปีบรเิ วณท่รี าบล่มุ แห่งนี้ อาจจะเป็นที่อยู่เดิม
ของคนเผ่าละว้า หรือ ลั๊วะ ก็ได้ โดยหลักฐานจากหนองน้าที่วัดกาด (วัดร้าง) ที่บ้าน
ชั่งเก่านั้นมีชื่อว่า หนองย่านลั๊วะ และมักจะพบสิ่งประดิษฐ์จากดินเหนียวปั้น
ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “บูยา” ไม่ใช่บูชา บูยาคือสิ่งที่บรรจุยาสูบบุหรี่ที่ทาขึ้นจาก
ดินเหนียวปั้นแกะลวดลายสวยงามมากปัจจุบันหาดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ทั่วไป สิ่งเหล่านี้
ส่วนใหญ่เป็นของชาวลั๊วะ ชาวลั๊วะคงอาศัยอยู่ตามริมฝั่งน้าปิง ตั้งแต่อาเภอฮอด
ล่องลงมา บ้านแอ่น บ้านโท้ง บ้านน้อย บ้านท่าเดื่อ บ้านชั่ง บ้านท่าครั่ง
บ้านหนองบัวคา บ้านมืดกา ที่เหล่านี้ คงเป็นที่อยู่อาศัยของชนชาวลั๊วะมาก่อน
ก่อนที่จะถูกไทยใหญ่รุกรานหนีไป จะเห็นได้จากวัดร้างที่บ้านชั่งมีทั้งหมด 3 วัด
บนดอยแม่สมิ ก็มซี ากวัดเกา่ อย่หู ลายทเ่ี ช่นกนั
รูปภาพ : อิฐเก่าของวดั กาด
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 21
ตามตานานพระเจา้ เลียบโลก กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกโปรดสัตว์โลก
มาถึงตรงบ้านชั่งจึงได้หยุดพักหรือจั้ง คาว่าจั้งหมายถึง หยุดพัก คาว่ายั้งและจั้งก็คา
เดียวกนั ตอ่ มาก็เลยเพยี้ น จากจั้งมาเป็นจั่งหรือชั่ง สืบทอดกันมา บ้านชั่งสมัยก่อน
นั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก ทาเกษตรกรรมโดยวิธีธรรมชาติเท่านั้น หลังจากการเก็บ
เกี่ยวผลผลิตแล้ว จะช่วยกันซ่อมแซมปรับปรุงทนุบารุง วัดวาอารามเป็นอย่างดี
มีเรอ่ื งเล่ากันว่าคร้งั หนงึ่ มตี ุ๊เจา้ (พระ)พร้อมด้วยศรัทธาชาวบ้านและสามเณร ได้พากัน
ไปค้นหาธรรม หรือพระไตรปิฎก ฉบับใบลาน โดยนาเรือล่องน้าปิงไปหาธรรม
ตามวัดรา้ งต่าง ๆ ในแกง่ สร้อย แก่งปวง หรือตามถ้า หรือที่วัดกะตา เมื่อได้ธรรมมา
หลายหีบก็นาใส่เรือถ่อขึ้นมาเรื่อย ๆ (พายเรือทวนน้า) เมื่อมาถึงวัดผาเผียก ตรงกับ
วัดสมแคเหนือ บ้านมืดกาตะวันตกเก่า สามเณรน้อย วัดสบแค เห็นสามเณรน้อย
องค์หนึ่ง ทมี่ าในเรือกบั คณะคน้ หาธรรม พิการหลงั โก่ง สามเณรน้อยวัดสบแคก็เลย
ถามเป็นปัญหาไปว่า “เอาโลพระกั๋งมาด้วยหรือ” ทุกคนที่มาในเรือนั้นต่างก็ตอบ
แก้ปัญหาไม่ได้สักคน คณะที่ถ่อเรือนาหีบธรรมนั้นไปเก็บไว้ที่วังผาหีบเหนือบ้าน
ท่าครง่ั ท่ีตรงนั้นจงึ ไดช้ ือ่ ผาหีบเทา่ ทกุ วันน้ี
ส่วนผาเผียกนั้น เพี้ยนมาจากคาว่า “ เพี๊ยก” เพี๊ยกก็คือพูดล้อเล่น แซวเล่น
พูดส่อเสียดให้คนอื่นอับอายที่ตรงนั้นก็มีชื่อว่า ผาเผียก ทั้งผาเผียกและผาหีบยังมีให้
เห็นในปัจจุบัน (ขอบคุณข้อมูลจาก พ่ออุ้ยจันทร์ตา ยานะ บ้านแปลง 8 หมู่ 2
ตาบลทา่ เด่ือ อาเภอดอยเต่า )
รปู ภาพ : บ่อนา้ พันปี
วัดบา้ นช่งั
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 22
บำ้ นท่ำครง่ั
บ้านท่าครั่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตาบลท่าเดื่อ อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ทิศเหนือติดลาห้วยแม่ตาล ทิศใต้ติดกับบ้านชั่ง ทิศตะวันออกติดตาบลท่าเดื่อ
ทิศตะวันตกติดแม่น้าปิง ( บริเวณดอยเรือในปัจจุบัน) ก่อนน้าท่วม มีประชากร
ประมาณ 550 คน 130 ครัวเรือน ประชากรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพ เลี้ยงครั่ง
ทานา ปลูกยาสูบ ปลูกผักกาด ปลูกหอม กระเทียม ไว้กินและไว้ขาย สัตว์เลี้ยงนิยม
เลยี้ งควายไวใ้ ช้งาน อุตสาหกรรมครวั เรอื นทส่ี าคัญคือการทอผ้า (ผ้าซิ่นตีนจก ลายน้า
ทว่ มในปัจจบุ นั )ไวใ้ ช้ในครัวเรอื น
โรงเรียนบ้านท่าครั่งอยู่ติดกับวัดบ้านชั่งเปิดสอนระดับชั้น ป.1- ป.6 วัดบ้าน
ท่าครั่ง ชื่อเดิมคือวัดบ้านอีก้อมในฤดูน้าหลากวัดอีก้อมได้ถูกน้าปิงเปลี่ยนทิศทาง
เจาะเซาะผ่าตรงกลางวัด พัดพาวัดหายไปกับสายน้า ชาวบ้านจึงย้ายวัดขึ้นไปตั้งในท่ี
แห่งใหม่ อยู่ริมฝั่งแม่น้าปิงด้านทิศตะวันออกมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ เรียกชื่อวัด
ใหม่ว่า วัดท่าครั่ง โดยมี ครูบาปัญญา เป็นผู้นาสร้าง ประกาศตั้งวัดเมื่อวันที่ 1
มกราคม พ.ศ.2440 บ้านท่าครั่งมีท่าเรือเป็นสถานที่ซื้อขายครั่งของพ่อค้าเพื่อส่ง
สินค้าไปขายต่อทางภาคกลาง ในปีพ.ศ. 2507 น้าจากเขื่อนภูมิพลเอ่อท่วมวัด
ชาวบ้านจึงพากันอพยพไปอยู่ในที่จัดสรรของนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลจังหวัด
เชยี งใหม่ที่จัดสรรให้โดยศรัทธาได้ช่วยกันนาพระพุทธรูปและวัตถุโบราณต่าง ๆ 3 วัด
คือวดั บา้ นชั่ง วัดท่าคร่ัง และวัดหนองบวั คา ไปรวมกันไวใ้ นทเ่ี ดยี วกนั
รูปภาพ : การขนของอพยพ
หนนี า้ ท่วม
ของชาวดอยเต่า
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 23
ปีพ.ศ. 2513 ศรัทธาวัดท่าครั่ง ตกลงกันได้จึงมาสร้างวัดขึ้นใหม่ที่บ้านโปงทุ่ง
หมู่ที่ 5 ตาบลโปงทุ่ง อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ หนังสือที่ดิน น.ส. 3 เลขท่ี
32 มีที่ดิน 6 ไร่ 1 งาน 50 วา อาณาเขตทิศเหนือประมาณ 71 วา จดทาง
สาธารณประโยชน์ ทิศใต้ประมาณ 72 วา จดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตก
ประมาณ 53 วา จดที่ของนายติ๊บ ปัญญามี และนายจันทร์ติ๊บ วันตา ทิศตะวันออก
จดทางสาธารณะประโยชน์ จึงได้นาพระพุทธรูปและสิ่งของวัตถุโบราณมา ไว้ที่วัดท่า
ครัง่ จนถึงปัจจบุ นั
รูปภาพ : ววั เทยี มเกวียณ
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 24
บ้ำนหนองบัวคำ
บ้านหนองบัวคา เดิมตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตาบลท่าเดื่อ อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
เป็นหมู่บ้านใหญ่ประมาณ 300 กว่าหลังคาเรือน ด้านตะวันออกติดกับแม่น้าปิง
ด้านตะวันตกติดกับ ดอยเกิ้ง ด้านทิศใต้ติดกับดอยเรือ ดอยเรือมีสัญลักษณ์เด่นคือมี
เสาหินเหมอื นเสาศลิ าแลงต้ังอยดู่ ้านทิศใต้ของดอย ตามตานานเล่าไว้ว่าเสาศิลาแลงนี้
เป็นหลกั ผกู เรือของพญาโยคีสีสู่ ซึ่งอยู่ทางเมืองใต้ ได้นาเรือขึ้นมาแต่งงานลูก ถึงดอย
เรือน้าปงิ เกิดตื้นเขินเรือไปไม่ได้ จึงให้ทหารมัดเรือไว้ตรงนี้เพื่อรอให้น้าขึ้นจะได้ไปต่อ
สถานท่นี ี้จงึ ไดช้ ่อื วา่ ดอยเรอื (ปจั จุบันยงั อย)ู่ ดา้ นทิศเหนือตดิ กับหนองบัวคาที่เรียกว่า
หนองบัวคาเพราะว่าเป็นหนองน้าขนาดใหญ่มีน้าใสสะอาด มีดอกบัวสีเหลืองโผล่เต็ม
หนองน้ามองดูคล้ายสีทองหรือคา จึงเรียกว่า หนองบัวคา น้าในหนองบัวคาแต่ก่อน
ใสสะอาดสามารถดื่มกินได้ มีจอก แหน ผักตบชวา หอย ปู ปลาอุดมสมบูรณ์เป็น
เสมือนศูนย์ซูเปอร์มาร์เก็ตธรรมชาติ จึงเป็นแหล่งทามาหาเลี้ยงชีพของคนในหมู่บ้าน
ผู้ใหญ่บ้านคนแรกของบ้านหนองบัวคาคือ ลุงหนานอุปาลี จันทร์ยะ ต่อมาได้เป็น
กานันตาบลท่าเดื่อ คนที่สองพ่อหลวงสม จันทร์เมือง คนที่สาม พ่อหลวงคาติ๊บ
แดงทา คนท่สี ี่พอ่ หลวงสุข จงสวา่ ง
วัดบ้านหนองบัวคาอยู่ติดลาน้าปิง อยู่ตรงข้ามกับวัดท่าครั่ง เป็นวัดที่มี
พระประธานในวิหาร สวยงามมากโดยเฉพาะเศียรและพระพักตร์ สวยงามมากจน
แม่เฮือนและสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายที่ไปวัดหลงไหล ถึงกับมวนบุหรี่เป็นมัดไปวาง
ไว้ทพี่ ระบาทของพระพุทธรูป (สาวสมัยก่อนรักใครชอบใครสาวมักจะมวนบุหรี่ฝากไว้
ให้ ) สาหรับเศียรของพระพุทธรูปองค์นี้หลังจากน้าท่วมแล้วท่านพระครูคาปวน
พรหมปัญโญ อดีตเจ้าคณะอาเภอดอยเต่าเจ้าอาวาสวัดพิงค์คาราม บ้านวังหม้อ
สมัยนั้น ได้นาลูกศิษย์พายเรือไปตัดเศียรพระมาสวมกับพระประธานของวัด
พิงค์คาราม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9
ได้เสด็จมาทอดพระเนตรแล้ว จะสวยงามขนาดไหนเชิญศาสนิกชนแวะไปกราบไหว้
บูชาไดท้ ่ีวัดพิงคค์ าราม บา้ นวงั หม้อ ต.บา้ นแอ่น อ.ดอยเตา่ จ. เชยี งใหม่
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 25
โรงเรียนบ้านหนองบัวคาเดิมอยู่หลังวัดหนองบัวคาด้านทิศเหนือ ครูที่จบจาก
โรงเรียนบ้านหนองบัวคาและย้ายขึ้นมาหลังน้าท่วมได้แก่ 1.พ่อครูเสาร์ เขียวมัง
2. พ่อครูต่อน ปันจันทร์ 3.พ่อครูนา กุณาหย้อง 4. พ่อครูต่วน เขียวมัง
5. พ่อครปู รญิ ญา เขยี วมงั . 6. พ่อครปู ระดิษฐ์ เมธาสุข
ต้นมะม่วงคา หนึ่งเดียวในโลก คนเฒ่าคนแก่เล่าว่าที่ท้ายหมู่บ้านหนองบังคา
มีต้นมะม่วงต้นหนึ่งขนาดสองคนโอบ มีลูกเป็นสีเหลืองทอง ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า
ต้นมะม่วงคา ต้นมะม่วงต้นนี้ต่างจากต้นอื่นคือมีรอยพระบาทพระพุทธเจ้าตามต้น
มะม่วงโดยมีรอยขึ้นทางด้านทิศตะวันออกและมีรอยลงทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่
น่าอัศจรรย์ยิ่ง มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า สมัยพุทธกาลองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
เสด็จมาโปรดเวไนยสัตว์ ณ ที่แห่งนี้ พระองค์ได้ฉันมะม่วงแล้วโยนเมล็ด ทิ้งลงดิน
มะม่วงเมล็ดนั้นได้งอกงามเจริญเติบโตเพียงต้นเดียวและเป็นที่อัศจรรย์คือไม่สามารถ
นาเมล็ดไปขยายพันธุ์ได้หรือตอนกิ่งได้ ต่อมามีคนไปตัดโค่นต้นมะม่วงทองคา แม้จะ
ตัดขาดแล้วต้นมะม่วงก็ยังไม่ล้ม คนตัดต้องทาพิธีขอต้นไม้ถึงจะล้มลง และคนที่ตัด
ตน้ ไมก้ ม็ ีอันเปน็ ไปเช่นกนั
อาชีพของชาวบ้านหนองบัวคา ในอดีตคือทานา เลี้ยงครั่ง เลี้ยงวัว หาของป่า
การทานาชาวบ้านจะใช้ภูมิปัญญา ทาหลุกวิดน้าจากแม่น้าปิงเข้าแปลงนาโดยไม่ต้อง
ใช้ไฟฟา้ หรอื เครอ่ื งสูบนา้ แต่อย่างใด
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 26
บำ้ นทำ่ เดอ่ื
บ้านท่าเดื่อ หมู่ที่ 4 ตาบลท่าเดื่อ อาเภอ ฮอด จังหวัด เชียงใหม่ ตั้งอยู่บน
ฝั่งแม่น้าปิง มีประชากร 250 หลังคาเรือน ตั้งอยู่เรียงรายยาวตามลาน้าปิง
ทิศเหนือจดป่าช้าของหมู่บ้าน ทิศใต้จดสวนไม้ฉาฉา ทิศตะวันออกจดที่นา
ทิศตะวันตก จดลาน้าปิง จากเหนือสุดถึงใต้สุดมีความยาว ประมาณ 1,500 เมตร
ส่วนกว้างที่สุดประมาณ 800 เมตร ส่วนแคบประมาณ 500 เมตร ภายในหมู่บ้าน
แบ่งออกเป็น 3 เขตโดยมีลาคลองกั้นเขตถึง 2 คลอง เขตเหนือจะเรียกขานกันภายใน
ว่าบ้านโฮ่ง เขตกลางเรียกว่าบ้านกลาง เขตใต้ เรียกว่าบ้านใต้ มีผู้ใหญ่บ้านคน
เดยี วกนั วัดเดียวกนั โรงเรียนเดียวกนั ถอื วา่ เป็นหมบู่ ้านท่ีใหญ่ทส่ี ดุ ในสมยั นน้ั
อาชพี หลักคอื ทานาปี โดยอาศยั น้าฝนและน้าห้วยแม่ตาล นอกจากการทานา
มีการปลูกยาสูบพันธ์ริชมอนต์ โดยนาไปขายที่บ้านแอ่น อาเภอฮอด จังหวัด
เชียงใหม่ เพราะมีโรงบ่มยาสูบ นอกจากนี้มีการปลูกถั่วลิสง โดยต้องนาไปขึ้น
รถบรรทุกที่บ้านแอ่นเช่นเดียวกัน แล้วนาไปขายในตัวเมืองเชียงใหม่ การคมนาคม
ขนส่งลาบากมาก รถบรรทุกกับโดยสาร เป็นรถคันเดียวกัน บรรทุกทั้งคนทั้งสินค้า
เปน็ รถแบบคอกหมู
การค้าขายทางน้า ได้แก่ การค้าขายทางเรือหรือแพ ล่องไปตามลาน้าปิง
แต่ก็ไม่มากนัก นาสินค้าหรือพืชผลในท้องถิ่น เช่น พริกแห้ง หอมแดง ขี้ยา (ชัน)
ครั่ง ฯ ไปขายที่ตาก และปากน้าโพ จังหวัดนครสวรรค์ ตอนขากลับก็ซื้อเกลือ
ปลาเค็ม ปลาทูเค็ม และเครื่องใช้อื่นๆขึ้นมา พวกที่ล่องแพไปตอนกลับจะกลับโดย
ทางรถไฟ ส่วนพวกที่ไปค้าขายทางเรือ จะนาเรือกลับพร้อมด้วยสินค้า ผู้ควบคุม
เรอื หรือเจา้ ของเรอื จะเรยี กกนั วา่ นายฮ้อย ต่อมาการค้าขายทางเรอื ลดน้อยลงไม่มีการ
ต่อเรือใหม่ แต่จะขายเรือที่มีอยู่ออกไป เพราะน้าในแม่น้าปิงเริ่มตื้นเขิน อีกอย่าง
หนึง่ การสัญจรไปมาทางบกเรมิ่ สะดวกขนึ้ การคมนาคมทางนา้ จึงเลิกไปโดยปริยาย
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 27
ปี พ.ศ. 2506 รัฐบาลให้ชาวบ้านท่าเดื่ออพยพออกจากเขตน้าท่วมของเขื่อน
ภูมิพล ไปอยู่ที่จัดสรรใหม่ในเขตป่าของตาบลท่าเดื่อ แต่ชาวบ้านท่าเดื่อส่วนมากไม่
ยินยอมไปอยู่ในทจี่ ดั สรรให้ จงึ ได้แบ่งออกเป็นกลุม่ ดงั นี้
กล่มุ ที่ 1 อพยพไปอยใู่ นที่ที่รัฐบาลจัดสรรให้ ซึ่งก็ได้แก่หมู่บ้านแปลง 5 กลุ่ม
นี้ควรที่จะได้รับตั้งชื่อของหมู่บ้านว่า “ท่าเดื่อ” ตามชื่อเดิมเพราะยินยอมเข้าไปอยู่
โดยสมัครใจ มีความเห็นรวมกันว่า หากได้รับความเดือดร้อน ก็จะได้รับ
ความช่วยเหลอื จากเจ้าหน้าที่ที่เกยี่ วขอ้ งดว้ ยดี
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ได้รับการชดเชยค่าที่ดินหรือมีที่นามาก มีเงินพอประมาณ
มีฐานะดีอยู่แล้วจึงพากันย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในถิ่นเจริญในเขตอาเภอจอมทอง อาเภอ
เชยี งดาว อาเภอเมือง และอาเภอฝาง จงั หวัดเชยี งใหม่
กลุ่มที่ 3ทอพยพไปอยู่ในเขตตาบลดอยเต่า และอาเภอลี้ จังหวัดลาพูน
บางท้องที่มีชาวบ้านท่าเดื่ออพยพเข้าไปทามาหากินอยู่ก่อนแล้วก่อนที่ชาวบ้านจะ
อพยพเข้าไปอยู่ใหม่ โดยมีความเห็นว่า มีที่ทามาหากินตัวเองอยู่แล้ว ส่วนมากจะ
เข้าไปอยู่ตามหมู่บ้านเล็กๆ ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ปัจจุบันทราบว่าได้รับ
การเอาใจใส่ดูแลจากทางราชการเป็นอย่างดี การสัญจรไปมาสะดวกสบายข้นึ
กล่มุ ท่ี 4 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ยอมอพยพเข้าไปอยู่ในที่จัดสรรบ้านแปลง 5
โดยมคี วามเห็นรว่ มกันวา่ สถานทีต่ ั้งหมู่บ้านแปลง 5 นั้นกันดารน้า จึงพร้อมใจกัน
เลือกไร่ร้างของชาวกะเหรี่ยง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับดอยหิน และดอย
ทอก บริเวณแถวน้แี ต่เดมิ เรียกกนั วา่ “ดงสักงาม” ขณะทช่ี าวบ้านเข้ามาตั้งหมู่บ้าน
เหลือสักไม่กี่ต้น วัดท่าเดื่อก็โยกย้ายตามชาวบ้านกลุ่มนี้ ในขณะนั้นพระมหาทอง
ยามเวที รักษาการเจ้าอาวาส ให้เหตุผลที่วัดไม่โยกย้ายไปตามกลุ่มที่ 1 นั้น
เพราะขณะนั้นทางราชการไม่ต้องการให้มีวัดมากบารุงไม่ทั่วถึงบ้านชั่ง บ้านท่าครั่ง
บา้ นหนองบัวคา และบ้านทา่ เดือ่ (แปลง 5) จะใหร้ วมเป็นวดั เดียวหรือเหลอื วดั เดียว
คอื วัดบา้ นชัง่ (แปลง 8) ปจั จบุ นั น้ี
"เลา่ ขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 28
ชาวบ้านไม่ยอมจึงช่วยกันจัดสร้างหมู่บ้านขึ้น โดยมีนายสม หมื่นแยง
เป็นหัวหน้ากลุ่ม อาศัยน้าในลาห้วยแม่ตาล เป็นน้าอเนกประสงค์ เมื่อจัดสร้าง
หมู่บ้านเสร็จแล้ว ได้ประชุมปรึกษากันว่า จะตั้งชื่อหมู่บ้านนี้อย่างไร มีผู้เสนอชื่อ
หลายชื่อเช่น บ้านดงสักงาม บ้านดอยหิน บ้านสมพัฒนา บ้านสมนิมิต บ้านอุทุมพร
ดิตถ์(ท่าเดื่อ) และบ้านศรีสมบูรณ์ ตอนทาพิธีตั้งหมู่บ้านนั้น หลวงพ่อพระครูอดุล
ญาณสุนทร (จันทร์ เตโช) เจ้าคณะตาบลท่าเดื่อ ในขณะนั้น ได้มาเป็นประธานสงฆ์
เจรญิ พระพุทธมนต์ พระอาจารย์คามูล สุจติ โต (อนิ ทจกั ร) ได้เลือกชื่อบ้านศรีสมบูรณ์
เป็นชื่อบ้านใหม่ เนื่องจากมีความเคารพนับถือซึ่งกันและกัน จึงไม่มีใครคัดค้าน
ตกลงว่าบ้านนช้ี ่อื บ้าน “ศรสี มบรู ณ์”
เมื่อมีหมู่บ้านแล้ว ก็ต้องมีวัด มีโรงเรียนประจาหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพร้อมใจ
กันจัดสร้างวัดและสร้างโรงเรียน แบบชั่วคราวขึ้นก่อนด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน
วดั และโรงเรียนอยภู่ ายในบริเวณเดียวกัน ครูคนแรกที่เข้ามาสอนคือ นายปั๋น อาศนะ
ซึ่งเคยเป็นครูของโรงเรียนประชาบาลบ้านท่าเดื่อมาก่อน แต่ครูปั่น อพยพเข้าไปอยู่
กับหมู่บ้านแปลง 5 ครูปั๋นไม่ได้ถามทางวัดและกรรมการหมู่บ้านว่าบ้านนี้ชื่ออะไร
แตไ่ ด้ถามผู้ เฒ่าผแู้ กบ่ างคน ซ่ึงกไ็ ด้รบั คาตอบว่า บ้านหนองผักบุ้ง ครูปั๋น จึงเขียน
ป้ายโรงเรียนว่า โรงเรียนบ้านหนองผักบุ้ง หมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อตามโรงเรียนว่า
บา้ นหนองผักบงุ้ มาถงึ ทุกวนั นี้
รปู ภาพ : รถยนต์ขนสง่
สนิ ค้าในอดีต
ของดอยเตา่
"เลา่ ขาน 29
บำ้ นโทง้
บ้านโท้งเดิมชื่อว่า บ้านโท้งปราสาทที่ชื่อบ้านโท้งปราสาทเพราะสมัยก่อนทุกปี
เจ้าครองเมืองนครเชียงใหม่จะจัดขบวนไทยทานลงเรือเป็นจานวนมากมาไหว้สาดอย
เก้ิงทกุ ปี บริเวณบา้ นโท้งเป็นทงุ่ กวา้ งลานา้ ปิงคดเคยี้ วไปมา เมื่อขบวนผ่านจึงมองเห็น
ปราสาทที่ตกแต่งเครื่องไทยธรรมเต็มท้องทุ่งจึงเรียกขานว่าทุ่งผาสาดและเพี้ยนเป็น
โท้งผาสาดตามสาเนียงท้องถิ่น ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตาบลท่าเดื่อ กิ่งอาเภอดอยเต่า
จังหวัดเชียงใหม่ ทิศเหนือติดกับบ้านน้อย ทิศใต้ติดกับบ้านท่าเดื่อ ทิศตะวันออก
ติดทุ่งนา ทิศตะวันตก ติดลาน้าปิง บ้านโท้งมีวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจวัดบ้านโท้ง
สร้างเมื่อ1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2480 ติดกับลาน้าปิง โดยมีพระชาว โสติธม.โม
พร้อมดว้ ยศรทั ธาบา้ นโทง้ รว่ มกันสร้างข้ึน
ใน ปี พ.ศ. 2507 หลังเกิดน้าท่วมหมู่บ้าน วัดบ้านโท้งได้อพยพมาพร้อมกับ
ชาวบ้านโดยมีพระคาปัน ปณ.ญาวโร เปน็ เจ้าอาวาสในสมัยนัน้ มาสรา้ งวัดอยู่ในที่ดิน
จัดสรรของนิคมสร้างตนเองเขื่อนภมู ิพล ซ่งึ เป็นทต่ี ้ังหมบู่ ้านในที่ปัจจุบัน บริเวณนี้แต่
ก่อนเป็นพื้นที่ทาไร่เลื่อนลอยของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ชาวบ้านจึงมาแผ้วถางทาเป็น
พื้นท่อี ยอู่ าศัยครอบครวั ละ 1 งาน
อาชีพและรายได้ ชาวบ้านโท้งสมัยก่อนมีอาชีพทาไร่ ทาสวน ปลูกข้าว
ถว่ั ลิสงและฝ้าย
รูปภาพ : รถยนต์โดยสารของดอยเตา่ ในอดตี
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 30
วัฒนธรรมประเพณี
วฒั นธรรมประเพณขี องชาวบ้านโท้งสมยั ก่อนที่ทาสบื ทอดตอ่ กนั มา มดี ังนี้
1. การเลี้ยงเจ้าพ่อบ้านของหมู่บ้าน ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนเก้าของทุกปี โดยใน
งานจะมีการจัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน และไก่ไว้สาหรับเลี้ยง โดยจะเลี้ยงไก่ 3 ปี
ในปที ่ี 4 จะเล้ียงหมู และเวียนกนั ไปแบบน้ตี ลอด
2. การเลี้ยงผีบ้านผีเรือน หรือผีปู่ย่า จะทาหลังจากการเลี้ยงเจ้าพ่อบ้านของ
หม่บู า้ นเสรจ็ แลว้ จะกลับมาทาพิธที ีบ่ ้านของตนเอง
การเล้ียงผี จะทาเมอื่ มีการทาผดิ ผี คอื การที่ผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไร
กัน มีการถูกเนื้อต้องตัวกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการจ่ายค่าสินไหมกันใน
ปัจจุบัน แต่สมัยก่อนจะต้องมีการแก้ด้วยการเลี้ยงผีขอโทษ โดยนาหัวหมู เหล้า
ดอกไม้ ธปู เทียน หรอื ของต่าง ๆ มาเซ่นไหว้
3. การแตง่ งาน สมยั ก่อนเมื่อชาย - หญิงแต่งงานกัน ผู้ชายจะต้องเป็นฝ่ายมา
อยทู่ บ่ี า้ นผหู้ ญิง แต่ในสมยั นี้ขนึ้ อยกู่ บั ความจาเปน็ ของแตล่ ะครอบครัว
4. การเกิด (การคลอดลูก) ในสมัยก่อนผู้หญิงจะคลอดลูกที่บ้านโดยมีแม่จ้าง
(หมอตาแย) เป็นผู้ทาคลอดให้ โดยใช้ไม้ฮวก(ไม้ไผ่)ในการตัดสายสะดือเด็ก
เมื่อคลอดลูกได้ประมาณ 10 วันหรือครึ่งเดือนถ้าเด็กร้องไห้มากเกินไป จะต้องถาม
เมื่อ (หมอดูในปัจจุบัน) ว่าเป็นใครมาเกิดและทาพิธีเพื่อไม่ให้เด็กร้องไห้ ผู้หญิงท่ี
คลอดลูกแล้วจาเป็นต้องมีการอยู่เดือนให้ครบ 30 วัน ในช่วงนี้จะต้องทานข้าวจี่
(ข้าวเหนียวปิ้งไฟ)เท่านั้น พออยู่เดือนได้ครึ่งเดือนให้ทานพริกดาป่นและเกลือกับ
ข้าวเหนียว นอกจากนี้จะต้องดื่มน้าร้อนที่ต้มกับแก่นฝางหรือไม้ฝ้ายตลอด ไม่ให้ดื่ม
นา้ เย็น โดยเชอ่ื ว่าเป็นการฆา่ เชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อออกเดือนแล้วจะต้องทาการอยู่เส้า
เป็นเวลา 5 วัน (การอยู่เส้าคือ การขุดหลุมลึก 1 ศอก กว้าง 1 ศอกล้อมรอบ
บริเวณนนั้ ดว้ ยเชือกเปน็ รูปวงกลม แล้วเผาก้อนหินให้ร้อนใส่ไว้ในหลุมเสร็จแล้วให้ตา
ใบปูเลยผสมกับนา้ รดลงไปบนก้อนหนิ รอ้ น ๆ แล้วให้ผหู้ ญิงนั่งรมควันอยู่ในเส้าเพื่อให้
เหง่ือออก โดยมคี วามเชอื่ วา่ เป็นการทาใหม้ ดลูกหดตัวเรว็ ข้ึน
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 31
5. การรักษาโรค ของชาวบ้านในสมัยก่อน คือ การรักษาแบบแผนโบราณ
ไดแ้ ก่ การตม้ ราก ลาต้น ใบไมต้ า่ ง ๆ รักษาตามอาการ เช่น
5.1 ทอ้ งเสยี ให้ดมื่ น้าต้มยอดไมแ้ พง่ ยอดใบฝรงั่ หรอื ยอดใบทบั ทิม
5.2 อาเจยี นและทอ้ งเสยี ให้ด่มื นา้ ผักขมต้มที่ใช้ไม้คนข้าวคน
5.3 มีไขแ้ ละปวดหวั ให้ดื่มน้าที่แช่หญ้าเมืองวาย(สาบเสือ) และรากผักขม
เชอื่ กนั วา่ เป็นยาเย็นจะทาใหห้ ายได้ แตต่ ้องใช้เวลาในการรักษา
6. การตาย สมัยก่อนจะจัดงานศพไว้ที่บ้าน 3-5 วันขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละ
ครอบครัว ศพจะถูกวางไว้ แล้วชาวบ้านจะช่วยกันทาแตะเป็นรูปแมวมาครอบศพไว้
เพือ่ ไม่ใหม้ องดอู ุดจาดตา และจะไม่มีพิธีสวดศพของพระสงฆ์ แต่เม่อื นาไปฝังหรือเผา
แลว้ จะนิมนตพ์ ระสงฆ์มาทาพธิ ใี ห้แก่คนตาย
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 32
บ้ำนนอ้ ย
บ้านน้อยเดิมตั้งอยู่ลุ่มแม่น้าปิงมาหลายชั่วอายุคน มีตานานพื้นบ้านล้านนา
เล่าว่า พระยาแสนโทเป็นผู้ปกครองเมืองพิศดารนคร (เมืองฮอดปัจจุบัน) มีธิดา
สวยงามชื่อพระนางแอ่นฟ้า พระนางแอ่นฟ้าได้ไปรักไคร่กับลูกชายเสนาชื่อน้อยสิงห์
คา ปัญหารักต่างฐานันดรจึงเกิดขึ้น พระยาแสนโททราบเรื่องจึงเรียกคนทั้งสองมาว่า
กล่าวตักเตือน หากฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลมีโทษประหารชีวิต แต่ด้วยความรักที่ทั้ง
สองมีต่อกันจึงตกลงปรงใจชวนกันหนีออกจากเมือง ทั้งสองได้ควบม้าสีขาวออกไป
กลางดกึ สงัด เมอื่ ความทราบถึงพระยาแสนโท พระองค์กริว้ มาก จึงสั่งเสนาอามาตย์
และทหารออกติดตามพร้อมสั่งว่าหากเจอคนทั้งสองให้ประหารชีวิตเสีย ขณะที่
พระนางแอ่นฟ้าและน้อยสิงห์คากาลังควบม้าไปนั้น ได้ยินเสียงเท้าม้ากระทบแผ่นดิน
สะเทือนเลือนลั่นตามมาติดๆทั้งสองเห็นจวนตัวจึงหยุดอยู่ที่หน้าผาริมแม่น้าปิง
ปรึกษากันว่า อยู่ก็ตายหนีก็ตายเราจะกระโดดหน้าผาอันสูงชันนี้ตายด้วยกันทั้งสอง
พระนางแอ่นฟ้าจึงเอาผ้าสไบสีขาวผูกตาม้าไว้เพื่อไม่ให้ม้าเห็นหน้าผาจะวิ่งไปทางอื่น
พระนางแอ่นฟา้ เหน็ ว่าน้อยสิงห์คาไม่กล้าบังคับม้าให้กระโดดหน้าผา จึงเป็นผู้ควบม้า
แทนใหน้ ้อยสงิ ห์คานง่ั ช้อนท้าย จากนั้นพระนางแอ่นฟ้าได้ตีท้ายม้าอย่างแรง ม้าจึงวิ่ง
ทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วตกลงจากหน้าผาสูงลงสู่แม่ระมิงค์(แม่นาปิง)
จมหายไปทง้ั มา้ ทง้ั คน
ต่อมาหน้าผาแห่งนี้เรียกว่า”ผาวิ่งชู้”ร่างของน้อยสิงห์คาลอยไปติดท่าน้าที่บ้าน
จึงเรียกที่นี่ว่า”บ้านน้อย” ร่างของพระนางแอ่นฟ้าลอยไปติดอีกท่าน้าเรียกว่า”บ้าน
แอ่น”ส่วนผ้าขาวที่ปิดตาม้าจมอยู่ในน้าเรียกว่า”วังผ้าขาว”ส่วนร่างของม้าลอยไปติด
ไมไ่ กลนักเรยี กทน่ี ั้นวา่ ”ท่าม้า”
บ้านน้อยเดิม ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตาบลท่าเดื่อ อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ห่างจากแม่น้าปิงประมาณ 300 เมตร 157 ครัวเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบ
อาชีพด้านการเกษตร มีฐานะยากจน บางครอบครัวต้องกินหัวเผือกหัวมันแทนข้าว
บางครอบครัวนาปลาย่าง ปลาร้าไปแลกข้าวที่บ้านบ่อหลวง อาเภอฮอด เพื่อที่จะ
นามาเลย้ี งครอบครวั
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 33
ปีพ.ศ. 2507 ชาวบ้านน้อยและหลายๆ หมู่บ้านตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว
เพราะทางเขื่อนภูมิพล ประกาศให้ทราบว่าน้าจะท่วมถึงหลักที่หมายแล้วให้ชาวบ้าน
อพยพออกจากพนื้ ที่ดว่ น ชาวบา้ นช่วยกันรื้อถอนบ้านเรือน วัด และโรงเรียนทั้งน้าตา
อพยพมาอยู่กลางทุ่งนา (น้ายังมาไม่ถึง)ทาอะไรไม่ถูก เมื่อตั้งสติได้ จึงประชุม
ปรกึ ษาหารือกันโดยพ่อน้อยใจคา ชัยแก้ว ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นาประชุมปรึกษาหารือว่า
จะย้ายไปอยู่ที่ไหนบ้าง ผลการประชุมมีมติไปอาศัยกับญาติพี่น้องต่างจังหวัดต่าง
อาเภอก่อน ชาวบ้านบางกลุ่มไปอยู่อาเภอแม่แตง บางกลุ่มไปอยู่อาเภอจอมทอง
บางกลุ่มไปอยู่อาเภอฮอด บางกลุ่มไปอยู่อาเภอลี้ เหลือชาวบ้านอีกประมาณ 35
หลังคาเรือนเป็นกลุ่มรักบ้านเกิด ไม่ย้ายไปไหนจึงอพยพจากกลางทุ่งนามาอยู่ที่ป่า
“บ้านเด่น” อยไู่ ด้ประมาณปีกว่า พื้นที่ทาเลไม่ค่อยดี ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นทามาหากิน
กล็ าบาก จงึ ชวนกันอพยพจากบ้านเด่นมาอยู่ที่แห่งใหมซ่ ึง่ ชาวบ้านเรียกวา่ “บวกตึง”
ปี พ.ศ. 2511 ทางกรมประชาสงเคราะห์โดยนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล ได้
จัดสรรที่ดินให้กับชาวบ้านเป็นแปลง ๆ ชาวบ้านน้อยจึงอพยพเข้ามาอยู่แปลงที่14
และสร้างบ้าน สร้างวัด สร้างโรงเรียนขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน บ้านน้อยตั้งอยู่หมู่ที่ 1
ตาบลบงตนั อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่
รูปภาพประกอบ: บา้ นนอ้ ย
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 34
บำ้ นนำแก่ง
บ้านนาแก่ง ตาบลบ้านแอ่น อาเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่ราบลุ่มแม่น้า
ปิงด้านทิศตะวันตก เป็นบ้านเกิดของพระพรหมมงคล วิ. (หลวงปู่ทอง สิริมงฺคโล)
อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร อาเภอจอมทอง เชียงใหม่ มีวัดอยู่ติด
กับหนองน้าในหมบู่ ้าน
อำชีพของคนบำ้ นนำแกง่
ทานา ทาไร่ ฤดแู ล้งหาปลาทาปลาแห้ง ปลารา้
วฒั ธรรมประเพณี
บ้
ภาพวาดจาลอง : การแห่เทยี นพรรษา
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 35
บ้ำนแอ่น
บ้านแอ่น ตามประวัติวัดและหมู่บ้านในเขตน้าท่วมเหนือเขื่อนภูมิพล อาเภอ
ดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดในระแวกนั้นจึงเป็นที่ตั้งของตาบล
อยู่ทิศตะวันตกของลาน้าปิง ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตาบลบ้านแอ่น อาเภอฮอด จังหวัด
เชยี งใหม่ สมยั ก่อนน้าท่วมเปน็ ชมุ ชนขนาดกลาง มีบ้านเรือน 800 กวา่ หลังคาเรือน
ตั้งอยู่บนที่ราบริมฝั่งตะวันตกของแม่น้าปิง มีพืชผักอุดมสมบูรณ์เป็นอู่ข้าวอู่น้าใน
ชุมชนตาบลบ้านแอ่น ส่วนบ้านแอ่นใต้แยกมาจากบ้านแอ่น ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตาบล
บา้ นแอน่ อาเภอฮอด จงั หวดั เชยี งใหม่ มีบา้ นเรือนประมาณ 200 กวา่ หลงั คาเรอื น
บ้านแอน่ เนือ่ งจากเป็นชุมชนใหญ่จึงมีวัดอยู่ 2 วัด ด้านเหนือคือวัดบ้านแอ่น ครู
บาจีนาวรรณ เป็นผู้สร้าง พ.ศ. 2240 และทางใต้ของหมู่บ้านคือวัดศรีพิงค์ชัย สร้าง
เมื่อปี พ.ศ. 2498 พระอานันต์ นน.ทธม.โม เป็นผู้สร้าง ทั้ง 2 วัดอยู่ติดกับลาน้าแม่ปิง
เช่นเดียวกัน บ้านแอ่นมีโรงเรียนอยู่กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทา
การเกษตร เชน่ ทาไร่ ทานา การประมง
ภาพวาดจาลอง : บา้ นแอ่น
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 36
ปีพ.ศ. 2507 นายปั๋น วรรณติ๊บ กานันตาบลบ้านแอ่น เป็นตัวแทนรัฐบาล
ประกาศบอกให้ประชาชนทุกหมู่บ้าน ที่อาศัยอยู่ตามลาน้าปิง ให้รีบขนย้ายข้าวของ
บ้านเรือน ของตัวเองไปอยู่ในที่ที่ทางการได้จัดไว้ให้หรือที่อื่นๆ ที่สะดวก เพราะน้า
จากเขอื่ นภมู พิ ล กาลงั จะท่วมหมบู่ า้ น ชาวบา้ นบางคนพดู แย้งว่า พอ่ กานันจะเอาน้า
ที่ไหนมาท่วมบ้านเขื่อนภูมิพลก็อยู่ตั้งไกล และก็พูดกันไปอีกต่าง ๆ นาๆ แต่ไม่นาน
น้าก็เอ่อมาท่วมจริง ๆ ชาวบ้านบางคนไม่เชื่อไม่ได้เตรียมตัว จึงเก็บข้าวของไม่ทัน
วิ่งหนีกันทั้งน้าตาจึงมีการเรียกเขื่อนภูมิพลว่า “เขื่อนเจ้าน้าตา” เพราะชาวบ้านแอ่น
บางกลุ่มตั้งตัวไม่ทัน ขนของไปร้องไห้ไปด้วย.. ชาวบ้านแอ่นใต้ได้ช่วยกันขนของ
อปุ กรณ์เครือ่ งใชจ้ ากบา้ นเรือน จากวดั และจากโรงเรียนขา้ มแมน่ า้ ปงิ มาอยู่บ้านห้วย
แรด อยู่ทางใต้ของบ้านแอ่นดงถ่าน (บ้านแอ่นดงถ่านคือชาวบ้านที่อพยพมาจาก
บ้านแอ่นหรือบ้านแอ่นใหม่ปัจจบุ นั น้)ี อยบู่ ้านหว้ ยแรดได้ 1 ปี พ.ศ. 2508 จึงอพยพ
มาอยู่บ้านแอ่นจัดสรร ที่ทางรัฐบาลจัดสรรให้ (บ้านแอ่นจัดสรรในปัจจุบัน) ตั้งอยู่
หมู่ที่ 3 ต.บ้านแอ่น อ. ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ บางครอบครัวย้ายไปอยู่
ตา่ งจงั หวดั ตา่ งอาเภอ ตา่ งหมบู่ ้าน ทาให้ชาวบา้ นแอ่นเก่าซึ่งเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่
ตอ้ งพัดพรากจากกนั ทง้ั พ่อ แม่ ญาติ พีน่ ้อง และเพือ่ นๆ จากกันไปอยู่ที่อื่น นับว่าเป็น
การเปล่ยี นแปลงทางสงั คมครั้งใหญ่ของคนดอยเตา่ ในอดีตทผ่ี า่ นมา
"เล่าขานตานานดอยเตา่ " ดร.วทิ ยา พัฒนเมธาดา 37
บำ้ นหนองอป่ี มุ้
บ้านหนองอี่ปุ้มหรือหนองนางปุ้ม ตาบลบ้านแอ่น อาเภอ ฮอด จังหวัด
เชียงใหม่ อยู่บริเวณบ้านวังลุงเก่า การที่ได้ชื่อว่า บ้านอี่ปุ้มนั้น มีประวัติเล่าว่า
มีผู้หญิงคนหนึ่งได้มาหาปลาในหนองน้าใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณหมู่บ้าน ขณะที่หาปลาได้
นางปุ้มได้เอาปลาที่หาได้คาบไว้ในปากโดยไม่ได้เอาใส่ในข้อง และหาปลาต่อไป
ในขณะจับปลาเพลินอยู่นั้นบังเอิญปลาที่คาบไว้ดิ้นทะลักเข้าไปในปาก ลงสู่ท้องนาง
ปุ้มหายใจไม่ออก และขาดใจตายในที่สุด หนองน้านั้นจึงได้ชื่อว่าหนองอี่ปุ้ม และ
หมบู่ ้านกม็ ีชือ่ ตามชอื่ หนองน้านน้ั ว่า บ้านหนองอีป่ ุ้ม (หนองนางป้มุ )
ในปี พ.ศ. 2507 ทางราชการให้ประชาชนในบริเวณนั้นย้ายออกจาก
เขตน้าท่วม อันเนื่องมาจากการสร้างเขื่อนภูมิพลชาวบ้านจึงอพยพมาอยู่ที่ใหม่ คือ
บริเวณสุสานบ้างวังหม้อในปัจจุบัน ต่อมาหน่วยงานกรมประชาสงเคราะห์ได้เข้ามา
จดั สรรทอี่ ยใู่ หเ้ ป็นแปลงๆ เพอ่ื ให้ประชาชนเข้าอยู่อาศัย
ในปี พ.ศ. 2509 ชาวบ้านและพระอธิการคาปวน พรหมปุญโญ
(พระครูปัญญาพรหมคุณ อดีตเจ้าคณะอาเภอดอยเต่า) ได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นโดยมี
กุฎิ 1 หลัง วิหารชั่วคราว 1 หลังเพื่อใช้ทาพิธีกรรมทางศาสนา และต่อมา
บ้านหนองอีป่ ้มุ ไดเ้ ปลยี่ นชอ่ื ใหมเ่ ป็นบ้านวังหม้อ
ปัจจุบันบ้านวังหม้อ ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตาบลบ้านแอ่น อาเภอดอยเต่า จังหวัด
เชียงใหม่ เดิมทีมีประชากรอยู่ประมาณ 60 กว่าหลังคาเรือน ปัจจุบันมีจานวน
หลังคาเรือนอยู่จานวน 300 หลังคาเรือน ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพทาง
การเกษตร เช่น ปลกู ขา้ ว ปลกู ถ่ัว สวนผลไม้ เช่นลาไย มะม่วง และมะนาว
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 38
ที่มาของชื่อวังหม้อมาจาก มีพ่อค้าคนหนึ่งได้ล่องเรือตามลาน้าปิงนาหม้อมา
ขายโดยผ่านเส้นทางนี้ มีครั้งหนึ่งเรือของพ่อค้าขายหม้อ เจอน้าวนเรือได้ล่มลงตรง
บริเวณน้ี ตอ่ มาชาวบ้านจึงเรียกบรเิ วณนีว้ า่ “วังหมอ้ ” จนถึงทกุ วันนี้
(สัมภาษณ์พระครูปัญญาพรหมคุณ เจ้าคณะอาเภอดอยเต่า จ. เชียงใหม่
วนั ท่ี 28 กันยายน 2544 )
รุปภาพ : พระพทุ ธรปู วดั หนองอ่ีปุ้ม
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วทิ ยา พฒั นเมธาดา 39
วัดท่สี ำคัญกบั ตำนำนดอยเตำ่
“วัดพระธำตุดอยเกิง้ ”
พระมหาธาตุเจ้าดอยเกิ้ง เป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองดอยเต่ามาตั้งแต่อดีตกาล
ยังไม่ปรากฎหลักฐานอ้างอิงได้ว่าสร้างขึ้นในสมัยใด ตั้งอยู่บนดอยเกิ้ง เป็นที่ สงบ
ร่มรื่น เหมาะสาหรับพุทธศาสนิกชนปฏิบัติธรรม เมื่อมองจากพระธาตุดอยเกิ้ง
ไปทางทิศตะวันออกจะมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบดอยเต่าอันกว้างใหญ่สวยงาม
พร้อมเมืองดอยเต่าในอดีตที่จมอยู่ใต้พื้นน้าทะเลสาบดอยเต่าตามลุ่มแม่น้าปิง
วัดพระธาตุดอยเกิ้ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 5 ตาบลท่าเดื่อ อาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่
ตามตานานสงิ หนวุ ตั 1 อันเป็นตานานเก่าแกข่ องลา้ นนา มีอายมุ ากกว่าพนั หา้ รอ้ ยปี
ได้กล่าวว่า ในสมัยพุทธกาลองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรด
เวไนยสัตว์ ณ ที่แห่งนี้ และต่อมาพญาสีสู่ผู้ครองเมืองสุวรรณภูมิและขุนแสนทอง
ได้รับพระเกษาของพระพุทธเจ้า 2 เส้นจึงนามาประดิษย์ฐานไว้ที่พระธาตุดอยเกิ้ง
หรืออีกตานานหนึ่งคือตานานพระธาตุหลวงลาพูนที่กล่าวถึงดอยเต่าโดยบันทึกไว้ว่า
พระนางจามเทวีโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นที่ดอยเกิ้ง เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรม
สารีริกธาตุส่วนพระนลาฏ ซึ่งพระนางได้รับจากการนาถวายของท่านสุวรรณอรหันต์
พุทธสาวกในครั้งนั้น พระนางได้จัดขบวนเสด็จอันประกอบด้วย ข้าราชบริพาร
เครื่องไทยทาน ซึ่งจัดตกแต่งเป็นองค์ปราสาทจานวนมาก เดินทางล่องด้วยเรือแพ
ตามลานา้ ปิง 40
"เล่าขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา
วัดพระธาตุดอยเกิ้ง มีปูชนียวัตถุที่สาคัญคือพระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้งเป็น
สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หีบธรรม 7 หีบ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ 3 องค์
องค์เล็ก 500 องค์ และหีบเงินหีบคา เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไป พระ
ธาตุดอยเกิ้งมีลักษณะเป็นเจดีย์ รูปกรวย สูงประมาณ 15 เมตรเศษ ตั้งอยู่บนยอด
เขาริมทะเลสาบดอยเต่าด้านทิศตะวันตก นอกจากนี้ยังมี พระเจดีย์ 6 ฉัตร 1 องค์
บันไดนาคขึ้นพระธาตุ อนุสาวรีย์พระครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนาไทย ผู้บูรณะ
พระธาตุดอยเกิ้ง ปี พ.ศ. 2462 อนุสาวรีย์พระนางเจ้าจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่ง
เมอื งหริภุญชัย (ลาพนู ) ผู้เคยมาบรู ณะธาตุดอยเกิง้ ระหวา่ งปี พ.ศ. 1200 – 1275
เสมาหิน เป็นเครื่องหมายว่าได้ฝังพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระอรหันต์สาวก
ไว่ใต้ดินระหว่างกองหิน 2 กอง และรูปปั้นพระแม่ธรณีที่ประดิษฐานอยู่ในสระ
โบกขรณี ซึ่งเป็นปางที่ศักดิ์สิทธิ์และมีรูปร่างสวยงามมาก ปัจจุบัน พระครูบริรักษ์
บรมธาตุ ( หลวงพ่อครบู าบุญศรี อภปิ ณุ โณ เป็นเจา้ อาวาส )
"เลา่ ขานตานานดอยเต่า" ดร.วิทยา พฒั นเมธาดา 41