รายงาน เรื่อง คำ สมาส คำ สนธิ โดย นางสาวปนัดดา จิตรไธสง เสนอ คุณครูพิสมัย สืบเลย รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน รหัสวิชา ท32102 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสีชมพูศึกษา อำ เภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น
คำ นำ คำ สมาสและคำ สนธิในปัจจุบันบางคนอาจจะยังแยกไม่ออกว่าแตกต่างกัน อย่างไรและคำ สมาสและคำ สนธิใช้ยังไง หากทุกคนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องคำ สมาสและคำ สนธิก็จะแยกออกว่าแตกต่างกันอย่างไรและรู้จักวิธีใช้ ผู้เขียนตระหนักถึงการใช้คำ สมาส คำ สนธิและวิธีแยกคำ สมาส คำ สนธิว่าแตก ต่างกันอย่างไรจึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคำ สมาส คำ สนธินำ เสนอรายงานเพื่อ ให้ผู้อ่านได้รู้จักความหมายของคำ สมาส คำ สนธิ ความสำ คัญสมาส คำ สนธิ วิธีการ ใช้คำ สมาส คำ สนธิ ประเภทของคำ สมาส คำ สนธิ วิธีสังเกตคำ สมาส คำ สนธิทั้งทั้นี้ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ได้บ้างตามสมควร ขอขอบพระคุณคุณครูพิสมัย สืบเลย เพื่อนๆ5/3และคุณพ่อคุณแม่ที่กรุณาให้คำ แนะนำ ในการจัดทำ รายงานจนสำ เร็จลุล่วงด้วยดี นางสาวปนัดดา จิตรไธสง 29 กุมภาพันธ์ 2567
สารบัญ เรื่อง หน้า ความหมายของคำ สมาส คำ สนธิ วิธีสร้างคำ สมาส ตัวอย่างคำ สมาส คำ สมาสแบบมีสนธิ วิธีสังเกตคำ สมาส คำ สนธิ บรรณานุกรม 1 3 6 7 9 11 ตัวอย่างคำ สนธิ สรุปคำ สมาส คำ สนธิ 8 10
ความหมายของคำ สมาส คำ สนธิ คำ สมาส การสร้างคำ สมาสในภาษาไทยได้แบบอย่างมาจากภาษา บาลีและสันสกฤต โดยนำ คำ บาลี-สันสกฤต ตั้งตั้แต่สองคำ มาต่อกันหรือ รวมกัน ลักษณะของคำ สมาสเป็นดังนี้ 1.เป็นคำ ที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤตเท่านั้นนั้คำ ที่มาจากภาษาอื่นๆ นำ มาประสมกันไม่นับเป็นคำ สมาส ตัวอย่างคำ สมาส บาลี+บาลี อัคคีภัย วาตภัย โจรภัย อริยสัจ ขัตติยมานะ อัจฉริยบุคคล สันสกฤต+สันสกฤต แพทยศาสตร์ วีรบุรุษ วีรสตรี สังคมวิทยา ศิลปกรรม บาลี+สันสกฤต, สันสกฤต+บาลี หัตถศึกษา นาฎศิลป์ สัจธรรม สามัญศึกษา 2.คำ ที่รวมกันแล้วไม่เปลี่ยนแปลงรูปคำ แต่อย่างใด เช่น วัฒน+ธรรม = วัฒนธรรม สาร+คดี = สารคดี พิพิธ+ภัณฑ์ = พิพิธภัณฑ์ กาฬ+ปักษ์ = กาฬปักษ์ ทิพย+เนตร = ทิพยเนตร โลก+บาล = โลกบาล เสรี+ภาพ = เสรีภาพ สังฆ+นายก = สังฆนายก 3.คำ สมาสเมื่อออกเสียงต้องต่อเนื่องกัน เช่น ภูมิศาสตร์ อ่านว่า พู- มิ-สาด เกียรติประวัติ อ่านว่า เกียด-ติ-ประ-หวัด เศรษฐการ อ่านว่า เสด-ถะ-กาน รัฐมนตรี อ่านว่า รัด-ถะ-มน-ตรี เกตุมาลา อ่านว่า เก-ตุ- มา-ลา 4.คำ ที่นำ มาสมาสกันแล้ว ความหมายหลักอยู่ที่คำ หลัง ส่วนความ รองจะอยู่ข้างหน้า เช่น ยุทธ (รบ) + ภูมิ (แผ่นดิน สนาม) = ยุทธภูมิ (สนามรบ) หัตถ (มือ) + กรรม (การงาน) = หัตถกรรม (งานฝีมือ) คุรุ (ครู) + ศาสตร์ (วิชา) = คุรุศาสตร์ (วิชาครู) สุนทร (งาม ไพเราะ) + พจน์ (คำ กล่าว)= สุนทรพจน์ (คำ กล่าวที่ไพเราะ) ตัวอย่างคำ สมาส กายกรรม กายสิทธิ์ กาลกิริยา กาลเทศะ กาฬโรค กิตติคุณ กิตติศัพท์ กิจวัตร กิจจะลักษณะ กุลบุตร กุลสัมพันธ์ เกียรติศักดิ์ ขันติธรรม คชกรรม คชศาสตร์ คณิตศาสตร์ คนธรรพวิวาห์ คัมภีรภาพ คุณธรรม คุณวิเศษ คุณภาพ คุณลักษณะ คุณวุฒิ จตุปัจจัย จตุบท จตุโลกบาล จตุสดมภ์ ธรรมจริยา พุทธจริต จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส จักรพรรดิ จักรราศี จันทรคติ นครบาล จิตรกร จินตกวี จุฑารัตน์ จุลทรรศน์ จุลภาค จุฬาลักษณ์ เจดียสถาน ฉกกษัตษัริย์ ฉัตรมงคล ฉันทลักษณ์ ฉัพพรรณรังสี ชนมพรรษา ชมพูทวีป ชลธาร ชลประทาน ชลมารค ชัยภูมิ ดุษฎีบัณฑิต ตรีคูณ ไตรปิฎก เถรวาท ทรกรรม ทรชน ทวารบาล ทัณฑฆาต ทิพยจักษุ ทุกขลาภ ธนบัตร ธรรมขันธ์ ธรรมจริยา รัตติกาล รัตนบัลลังก์ ราชหัตถเลขา รูปพรรณ ลหุโทษ
คำ สนธิ ในภาษาไทยหมายถึงคำ ที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต มาเชื่อมต่อกัน ทำ ให้ เสียงพยางค์หลังของคำ แรกกลมกลืนกันกับเสียงพยางค์แรกของคำ หลังคำ สนธิ เป็นการนำ คำ มูลที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตตั้งตั้แต่ ๒ คำ ขึ้นไป มาเชื่อมเข้าด้วยกัน โดยมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะสระ หรือนิคหิตที่เชื่อม ให้ท้ายเสียงของคำ หน้ากับต้น เสียงของคำ หลังมีเสียงกลมกลืนกันเป็นคำ ใหม่ 1.สระสนธิ คือการกลมกลืนคำ ด้วยเสียงสระ เช่น วิทย+อาลัย = วิทยาลัย พุทธ+อานุภาพ = พุทธานุภาพ มหา+อรรณพ = มหรรณพ นาค+อินทร์ = นาคินทร์ มัคค+อุเทศก์ = มัคคุเทศก์ พุทธ+โอวาท = พุทโธวาท รังสี+โอภาส = รังสิโยภาส ธนู+อาคม = ธันวาคม 2.พยัญชนะสนธิ เป็นการกลมกลืนเสียงระหว่างพยัญชนะกับพยัญชนะ ซึ่งไม่ค่อยมี ใช้ในภาษาไทย เช่น รหสฺ + ฐาน = รโหฐาน มนสฺ + ภาว = มโนภาว (มโนภาพ) ทุสฺ + ชน = ทุรชน นิสฺ + ภย = นิรภัย 3.นฤคหิตสนธิ ได้แก่การเชื่อมคำ ที่ขึ้นต้นด้วยนฤคหิตหรือพยางค์ท้ายของคำ หน้า เป็นนฤคหิต กับคำ อื่นๆ เช่น สํ + อุทัย = สมุทัย สํ + อาคม = สมาคม สํ + ขาร = สังขาร สํ + คม = สังคม สํ + หาร = สังหาร สํ + วร = สังวร ตัวอย่างคำ สน พุทธานุภาพ มหรรณพ มหัศจรรย์ เทศภิบาล วิทยาคม ภัณฑาคาร พันธนาการ ปริยานุช รัฏฐาภิบาล ราโชวาท โลกาธิบดี โลกาธิปไตย วชิราวุธ วัตถาภรณ์ วันทนาการ นาคินทร์ มหินทร์ ราเมศวร มหิทธิ ปรมินทร์ ปรเมนทร์ รัชชูปการ มัคคุเทศก์ ราชูปโภค ราชูปถัมภ์ชโลทร มโหสถ พุทโธวาท อเนก มโหฬาร กรินทร์ ไพรินทร์ รังสิโยภาส อัคโยภาส สามัคยาจารย์ ราชินยานุสรณ์ จตุปาทาน คุรู ปกรณ์ ธันวาคม จักขวาพาธ รโหฐาน มโนภาพ ทุรชน สมุทัย สมาคม สมาจาร สโมสร สังขาร สังคม สัญจร สัณฐานกินนร สันธาน สัมผัส สังวร สังโยคสังสรรค์
วิธีสังเกตคำ สมาส คำ สนธิ หลักสังเกตคำ สมาสในภาษาไทย 1. เกิดจากคำ มูลตั้งตั้แต่สองคำ ขึ้นไป 2. เป็นคำ ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้นนั้เช่น กาฬพักตร์ ภูมิศาสตร์ ราชธรรม บุตรทาน อักษรศาสตร์ อรรถคดี ฯลฯ 3. พยางค์สุดท้ายของคำ หน้า หากมีสระ อะ หรือมีตัวการันต์อยู่ ให้ยุบตัว นั้นนั้ออก (ยกเว้นคำ บางคำ เช่น กิจจะลักษณะ เป็นต้น) 4. แปลความจากหลังมาหน้า เช่น ราชบุตร แปลว่า บุตรของพระราชา, เทว บัญชา แปลว่า คำ สั่งสั่ของเทวดา,ราชการ แปลว่า งานของพระเจ้าแผ่นดิน 5. ส่วนมากออกเสียงพยางค์ท้ายของคำ หน้า แม้จะไม่มีรูปสระกำ กับอยู่ โดยจะใช้เสียง อะ อิ และ อุ (เช่น เทพบุตร) แต่บางคำ ก็ไม่ออกเสียง (เช่น สมัยนิยม สมุทรปราการ) 6. คำ บาลีสันสกฤตที่มีคำ ว่า พระ ซึ่งกลายเสียงมาจากบาลีสันสกฤต ก็ถือว่า เป็นคำ สมาส (เช่น พระกร พระจันทร์) 7. ส่วนใหญ่จะลงท้ายว่า ศาสตร์ กรรม ภาพ ภัย ศึกษา ศิลป์ วิทยา (เช่น ศึกษาศาสตร์ ทุกขภาพ จิตวิทยา) 8. อ่านออกเสียงระหว่างคำ เช่น ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ –หวัด –ติ –ศาสตร์ นิจศีล อ่านว่า นิจ –จะ –สีน ไทยธรรม อ่านว่า ไทย –ยะ –ทำ อุทกศาสตร์ อ่านว่า อุ –ทก –กะ –สาด อรรถรส อ่านว่า อัด –ถะ –รด จุลสาร อ่านว่า จุน –ละ –สาน 9. คำ ที่มีคำ เหล่านี้อยู่ด้วย มักจะเป็นคำ สมาส คือ การ กร กรรม คดี ธรรม บดี ภัย ภัณฑ์ ภาพ ลักษณ์ วิทยา ศาสตร์ ข้อสังเกต 1. ไม่ใช่คำ ที่มาจากภาษาบาลีสันสกฤตทั้งทั้หมด เช่น เทพเจ้า (เจ้า เป็นคำ ไทย) พระโทรน (ไม้ เป็นคำ ไทย) พระโทรน (โทรน เป็นคำ อังกฤษ) บายศรี (บาย เป็นคำ เขมร) 2.คำ ที่ไม่สามารถแปลความจากหลังมาหน้าได้ไม่ใช่คำ สมาส เช่น ประวัติวรรณคดี แปลว่า ประวัติของวรรณคดี นายกสมาคม แปลว่า นายกของสมาคม วิพากษ์วิ ษ์ วิจารณ์ แปลว่า การวิพากษ์แ ษ์ ละการวิจารณ์
3. คำ สมาสบางคำ ไม่ออกเสียงสระตรงพยางค์ของคำ หน้า เช่น ปรากฏ อ่านว่า ปรา –กด –กาน สุภาพบุรุษ อ่านว่า สุ –พาบ– บุ –หรุด สุพรรณบุรี อ่านว่า สุ –พรรณ– บุ –รี สามัญศึกษา อ่านว่า สา –มัน –สึก –สา หลักสังเกตคำ สนธิในภาษาไทย การสนธิแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. สระสนธิ 2. พยัญชนะสนธิ 3. นฤคหิต สนธิ 1. สระสนธิ คือการนำ คำ ที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำ ที่ขึ้นค้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฏเกณฑ์ - ตัดสระพยางค์ท้ายคำ หน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าคำ หลัง เช่น ราช อานุภาพ = ราชานุภาพ สาธารณ อุปโภค = สาธารณูปโภค นิล อุบล = นิลุบล -ตัดสระพยางค์ท้านคำ หน้า และใช้สระพยางค์ต้นของคำ หลัง โดยเปลี่ยน สระพยางค์ต้นของคำ หลัง อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู อุ,อู เป็น โอ เช่น พงศ อวตาร = พงศาวตาร ปรม อินทร์ = ปรเมนทร์ - เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำ หน้าเป็นพยัญชนะ คือ อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว ใช้สระพยางค์ต้นของคำ หลังซึ่งอาจเปลี่ยนรูปหรือไม่เปลี่ยนรูปก็ได้ ใน กรณีที่สระพยางค์ต้นของคำ หลังไม่ใช่ อิ อี อุ อู อย่างสระตรงพยางค์ท้าย ของคำ หน้า เช่น กิตติ อากร = กิตยากร สามัคคี อาจารย์ = สามัคยาจารย์ ธนู อาคม = ธันวาคม คำ สนธิบางคำ ไม่เปลี่ยนสระ อิ อี เป็น ย แต่ตัดทิ้งทิ้ทั้งทั้สระพยางค์หน้าคำ หลังจะไม่มี อิ อี ด้วยกัน เช่น ศักคิ อานุภาพ = ศักดานุภาพ ราชินี อุปถัมภ์ = ราชินูปถัมภ์
2. พยัญชนะสนธิ คือการเชื่อมคำ ด้วยพยัญชนะเป็นการเชื่อมเสียง พยัญชนะใน พยางค์ท้ายของคำ แรกกับเสียงพยัญชนะหรือสระในพยางค์แรก ของคำ หลัง เช่น -สนธิเข้าด้วยวิธี โลโป คือลบพยางค์สุดท้ายของคำ หน้าทิ้งทิ้เช่น นิรส ภัย = นิรภัย ทุรส พล = ทุรพล อายุรส แพทย์ = อายุรแพทย์ -สนธิเข้าด้วยวิธี อาเสโท คือแปลงพยัญชนะท้ายของคำ หน้า เป็นสระ โอ แล้ว สนธิตามปกติ เช่น มนส ภาพ = มโนภาพ ยสส ธร = ยโสธร รหส ฐาน = รโหฐาน 3. นฤคหิตสนธิ คือ การเชื่อมคำ ด้วยนฤคหิต เป็นการเชื่อมเมื่อพยางค์หลังของ คำ แรกเป็นนฤคหิตกับเสียงสระในพยางค์แรกของคำ หลัง มี 3 วิธี คือ เช่น สํ อาคม = สม อาคม = สมาคม สํ อุทัย = สม อุทัย = สมุทัย 2. นฤคหิตสนธิกับพยัญชนะของวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิตเป็นพยัญชนะตัว สุดท้ายของพยัญชนะในแต่ละวรรค ได้แก่ วรรคกะ เป็น วรรคกะ เป็น ง วรรคจะ เป็น ญ วรรคตะ เป็น น วรรคฏะ เป็น ณ วรรคปะ เป็น ม เช่น สํ จร = สญ จร = สัญจร สํ นิบาต = สน นิบาต = สันนิบาต 3. วรรคกะ เป็นสนธิกับพยัญชนะเศษวรรค ให้เปลี่ยนนฤคหิต เป็น ง เช่น สํ สาร = สงสาร สํ หรณ์ = สังหรณ์
วิธีสร้างคำ สมาส 1. คำ ตั้งตั้แต่สองคำ ขึ้นไปที่มีรากศัพท์มาจากบาลีและสันสกฤต เท่านั้นนั้เช่น - วิทย์ (สันสกฤต) + ศาสตร์ (สันสกฤต) = วิทยาศาสตร์ ถ้าคำ ที่นำ มาสร้างนั้นนั้คำ ใดคำ หนึ่งไม่ใช่บาลีหรือสันสกฤตจะไม่ นับว่าเป็นคำ สมาส เช่น - สรรพ (สันสกฤต) + สิ่ง (ไทย) = สรรพสิ่ง (ประสม) - ราช (บาลี) + วัง (ไทย) = ราชวัง (ประสม) 2. ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำ หน้ามีรูปสระ ะ หรือตัวการันต์ ต้องตัดสระหรือไม้ทัณฑฆาต ( ) ออก เช่น - ศิลปะ + ศึกษา = ศิลปศึกษา 3. การเรียงคำ เข้าสมาส คำ ที่เป็นคำ หลักจะวางไว้หลัง คำ ขยายจะวางไว้หน้า เมื่อแปลความหมายจะต้องแปลจากหลังมาหน้า เช่น - ภูมิศาสตร์ หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยโลก - ราชโอรส หมายถึง. ลูกชายพระราชา - รัฐ + ศาสตร์ = รัฐศาสตร์ อ่าน รัด – ถะ – สาด - ภูมิ + ทัศน์ = ภูมิทัศน์ อ่าน พูม – มิ – ทัด 4. คำ บาลี – สันสกฤต ซึ่งมีคำ ว่า “พระ” ซึ่งแผลงมาจาก “วร” ที่เป็นภาษาบาลีประกอบข้างหน้าจัดว่าเป็นคำ สมาสเช่นเดียวกัน - พระ + กรรณ 5. การออกเสียงคำ สมาส ต้องออกเสียงสระที่พยางค์สุดท้าย ของคำ หน้า ถ้าพยางค์สุดท้ายของคำ หน้าไม่มีรูปสระกำ กับ ให้อ่าน ออกเสียง อะ เช่น - รัฐ + ศาสตร์ = รัฐศาสตร์ อ่าน รัด – ถะ – สาด - ภูมิ + ทัศน์ = ภูมิทัศน์ อ่าน พูม – มิ – ทัด 6. คำ ส่วนใหญ่ที่ลงท้ายด้วยคำ ว่า กิจ การ กรรม กร ศึกษา ภัย สถาน ภาพ วิทยา ศิลป์ ธรรม ศาสตร์
คำ สมาสแบบมีสนธิ คำ สมาสแบบมีสนธิ คือ คำ ที่เกิดจากการนำ คำ บาลีสันสกฤตมาเชื่อมเสียงให้ กลมกลืนกันสั้นสั้เข้าเป็นคำ ใหม่ มีเสียงสละสลวยน่าฟัง ทั้งทั้นี้เพื่อสะดวกใน การประพันธ์และการออกเสียง (สนธิ = ต่อ , เชื่อม , ทำ ให้ติดกัน , การ เชื่อมเสียงให้กลมกลืนกัน) ลักษณะของคำ สมาสแบบมีสนธิ ลักษณะของคำ สมาสแบบมีสนธิ สังเกตได้ดังต่อไปนี้ 1. มุ่งการนำ คำ มาเชื่อมให้เสียงกลมกลืนกัน 2. คำ ที่นำ มาเชื่อมต้องมาจากภาษาบาลีและสันสกฤต 3. มีการเปลี่ยนเสียงตัวอักษรระหว่างคำ ที่นำ มาเชื่อม 4. การเรียงลำ ดับคำ และการแปลความหมายเหมือนอย่างคำ สมาส 5. ชนิดของคำ สมาสแบบมีสนธิมี ๓ ชนิด คือ สระสนธิ พยัญชนะสนธิ และนิคหิ สระสนธิ คือ การเชื่อมคำ ให้มีเสียงกลมกลืนกัน ระหว่างเสียงสระ พยางค์ท้ายของคำ หน้ากับเสียงสระพยางค์แรกของคำ หลัง เมื่อเชื่อมกันแล้ว เสียงสระเหลือเพียงเสียงเดียว ซึ่งอาจเป็นเสียงสระพยางค์ท้ายของคำ หน้า หรือเสียงสระพยางค์แรกของคำ หลังหรือเสียงสระคงที่ หรืออาจแปลงเป็น เสียงสระอื่น หลักการสมาสแบบมีสนธิของสระสนธิ การสนธิแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1. สระสนธิ 2. พยัญชนะสนธิ 3. นฤคหิตสนธิ 1. สระสนธิ คือการนำ คำ ที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำ ที่ขึ้นค้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระตามกฎเกณฑ์ – ตัดสระพยางค์ท้ายคำ หน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าคำ หลัง เช่น ราช + อานุภาพ = ราชานุภาพ สาธารณ + อุปโภค = สาธารณูปโภค นิล + อุบล = นิลุบล – ตัดสระพยางค์ท้ายคำ หน้า และใช้สระพยางค์ต้นของคำ หลัง โดยเปลี่ยน สระพยางค์ต้นของคำ หลัง อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู
ตัวอย่างคำ สมาส อุบัติเหตุ แยกคําสมาสเป็น อุบัติ + เหตุ กายกรรม แยกคําสมาสเป็น กาย + กรรม ธุรกิจ แยกคําสมาสเป็น ธุระ + กิจ เกษตรกรรม แยกคําสมาสเป็น เกษตร + กรรม อุณหภูมิ แยกคําสมาสเป็น อุณห + ภูมิ ประวัติศาสตร์ แยกคําสมาสเป็น ประวัติ + ศาสตร์ เอกชน แยกคําสมาสเป็น เอกะ + ชน ดุษฎีบัณฑิต แยกคําสมาสเป็น ดุษฎี + บัณฑิต ธนบัตร แยกคําสมาสเป็น ธนะ + บัตร ยุติธรรม แยกคําสมาสเป็น ยุติ + ธรรม อุดมคติ แยกคําสมาสเป็น อุดม + คติ สันติภาพ แยกคําสมาสเป็น สันติ + ภาพ อุตสาหกรรม แยกคําสมาสเป็น อุตสาห + กรรม กาฬพักตร์ แยกคําสมาสเป็น กาฬ + พักตร์ วิทยฐานะ แยกคําสมาสเป็น วิทยะ + ฐานะ กิจกรรม แยกคําสมาสเป็น กิจ + กรรม คหกรรม แยกคําสมาสเป็น คห + กรรม กายภาพ แยกคําสมาสเป็น กายะ + ภาพ
ตัวอย่างคำ สนธิ กรรมกร แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น กรรม + อากร สุริโยทัย แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น สุริย + อุทัย พุทโธวาท แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น พุทธ + โอวาท คงคาลัย แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น คงคา + อาลัย อัคโยภาส แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น อัคคี + โอภาส สามัคยาจารย์ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น สามัคคี + อาจารย์ พลานามัย แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น พล + อนามัย สุโขทัย แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น สุข + อุทัย กรกฎาคม แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น กรกฎ + อาคม จุฬาลงกรณ์ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น จุฬา + อลงกรณ์ มโหสถ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น มหา + โอสถ มหัศจรรย์ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น มหา + อัศจรรย์ จินตนาการ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น จินต + อาการ คเชนทร์ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น คช + อินทร์ มัคคุเทศก์ แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น มัคค + อุเทศก์ มโหฬาร แยกคำ สมาสแบบสนธิเป็น มหา + โอฬาร
สรุปคำ สมาส คำ สนธิ การสมาสแบบมีสนธิ คือ การสมาสคำ โดยการเชื่อมค าเข้าระหว่างพยางค์หลัง ของคำ หน้ากับพยางค์หน้า ของคำ หลัง เป็นการย่ออักขระให้น้อยลงเวลาอ่านจะเกิดเสียงกลมกลืนเป็นคำ เดียวกัน การสนธิแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ 1.สระสนธิ 2.พยัญชนะสนธิ 3.นฤคหิตสนธิ *สำ หรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ* สระสนธิคือ การนาคำ ที่ลงท้ายด้วยสระไปสนธิกับคำ ที่ขึ้นต้นด้วยสระ ซึ่งเมื่อ สนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ ตามกฎเกณฑ์ พยัญชนะสนธิ พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีน้อย คือเมื่อนำ คำ 2คำ มาสนธิกัน ถ้าหากว่า พยัญชนะ ตัวสุดท้าย ของคำ หน้ากับ พยัญชนะตัวหน้าของคำ หลังเหมือนกัน ให้ตัดพยัญชนะที่เหมือนกัน ออกเสีย ตัวหนึ่ง นิคหิตสนธิ นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใช้วิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ให้สังเกตพยัญชนะตัวแรกของคำ หลังว่าอยู่ในวรรคใด แล้วแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้นนั้ เช่น เช่น ส สนธิกับ กรานต เป็น สงกรานต์ (ก เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง) ส สนธิกับ คม เป็น สังคม (ค เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง) ส สนธิกับ ฐาน เป็น สัณฐาน (ฐ เป็นพยัญชนะวรรค ตะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ณ) ส สนธิกับ ปทาน เป็น สัมปทาน (ป เป็นพยัญชนะวรรค ปะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ม) ถ้าพยัญชนะตัวแรกของค าหลังเป็นเศษวรรค ให้คงนิคหิต (_ ) ตามรูปเดิม อ่านออกเสียง อัง หรือ อัน
บรรณานุกรม https://www.wordyguru.com/a/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8% AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B4/hit100 https://dltv.ac.th/utils/files/download/67417 https://www.wordyguru.com/a/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B 8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA/hit100 https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/26083 https://www.gotoknow.org/posts/287153