ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน
สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
รายวิชาการอ่านคิดพัฒนาชีวิต ETH0406
มหาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน
จัดทำโดย
๑. นางสาวปิยธิดา นาคบำรุง รหัสนักศึกษา ๖๒๐๑๑๐๕๐๐๑๐๔๒
๒. นางสาววรรณชนก นะวะกะ รหัสนักศึกษา ๖๓๐๑๑๐๕๐๐๑๐๓๕
๓. นางสาวสุธิดา จันทร์กิ่ว รหัสนักศึกษา ๖๓๐๑๑๐๕๐๐๑๐๔๖
๔. นางสาวสุภาวดี สุขแก้ว รหัสนักศึกษา ๖๓๐๑๑๐๕๐๐๑๐๔๘
๕. นางสาวมาริสา หีตอักษร รหัสนักศึกษา ๖๓๐๑๑๐๕๐๐๑๐๕๙
๖. นางสาวเพชรรัตน์ ชูแสง รหัสนักศึกษา ๖๓๐๑๑๐๕๐๐๑๐๖๖
กลุ่มเรียน ๖๓๐๑๐.๑๕๒
สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์
รายวิชาการอ่านคิดพัฒนาชีวิต ETH0406
มหาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการอ่าน
คิดพัฒนาชีวิต (ETH๐๔๐๖ ) มีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาความรู้ทั่วไป
เกี่ยวกับการอ่าน ซึ่งมีประเด็นเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของการอ่าน
ความสำคัญของการอ่าน จุดมุ่งหมายของการอ่าน ประเภทของการอ่าน
กระบวนการอ่าน องค์ประกอบของการอ่าน ประโยชน์ของการอ่าน
ลักษณะการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงคุณสมบัติของนักอ่านที่ดี
คณะผู้จัดทำหวังว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) นี้จะเป็น
แนวทางในการศึกษาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการอ่านและสามารถนำไปใช้
ในการจัดการเรียนการสอน เผยแพร่องค์ความรู้ ก่อประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ
จะศึกษา หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า
ก
เรื่อง ข
คำนำ ๑
สารบัญ ๒
ความหมายของการอ่าน ๕
ความสำคัญของการอ่าน
จุดมุ่งหมายของการอ่าน ค
ประเภทของการอ่าน
กระบวนการอ่าน
องค์ประกอบของการอ่าน
ประโยชน์ของการอ่าน
ลักษณะการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณสมบัติของนักอ่านที่ดี
บรรณานุกรม
๑
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน เป็นความรู้เบื้องต้นสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาด้าน
การอ่าน การอ่าน เป็นกระบวนการค้นหา รับรู้หรือเข้าใจตัวอักษร และสัญลักษณ์
อื่น ๆ ออกมาเป็นความคิด เพื่อสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อโดยผ่าน
กระบวนการจับใจความ ตีความหรือกระบวนการอื่น ๆ ซึ่งความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ
การอ่านนั้นประกอบไปด้วย ความหมาย ความสำคัญ จุดมุ่งหมาย ประเภท
กระบวนการ องค์ประกอบ ประโยชน์ของการอ่าน รวมถึงลักษณะการอ่านอย่าง
มีประสิทธิภาพ และคุณสมบัติของนักอ่านที่ดี
๑. ความหมายของการอ่าน
ได้มีนักการศึกษาให้ความหมายของการอ่านไว้ ดังนี้
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๖,
๑๓๖๔) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า “การอ่าน” ว่าตามตัวหนังสือ ถ้าอ่านออก
เสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ต้องอ่านออกเสียงเรียกว่า อ่านในใจ สังเกต
หรือพิจารณาดูให้เข้าใจ เช่น อ่านสีหน้า อ่านริมฝีปาก อ่านใจ ตีความ
กิตติมา พลเทพ (๒๕๖๐, ๑๕) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า การอ่าน เป็น
กระบวนการแปล และตีความ เพื่อค้นหาความหมายหรือความเข้าใจ ตัวอักษรภาพ
และสัญลักษณ์ อื่น ๆ ออกมาเป็นความคิด เพื่อสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียน
ต้องการจะสื่อ ซึ่งกระบวนการแปลและตีความที่มีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับความรู้และ
ประสบการณ์เดิมของผู้อ่านด้วย
๑
ศิวกานท์ ปทุมสูติ (๒๕๔๐, ๑๓) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า “การอ่าน
คือ การออกเสียงตามหนังสือเพื่อให้ได้ความหรือเข้าใจความ หรือเพื่อสื่อความตาม
หนังสือนั้นประการหนึ่ง หรือแม้ไม่ออกเสียงแต่ทำความเข้าใจความหมายต่าง ๆ ให้
เข้าใจตลอดจนการคิดเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจนั้นอีกประการหนึ่งด้วย”
กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์ (๒๕๕๑, ๘๗) ให้คำจำกัดความของการอ่านไว้ว่า การอ่าน
หมายถึง การแปลความหมาย และการทำความเข้าใจกับความหมายของลายลักษณ์
อักษรที่ปรากฏอย่างถ่องแท้ รวมถึงสิ่งเกี่ยวข้องและมีความหมายที่ปรากฏร่วมกับลาย
ลักษณ์อักษรด้วย
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่าน คือกระบวนการค้นหา รับรู้และเข้าใจความ
หมายของสิ่งที่อ่าน โดยผ่านกระบวนการจับใจความสำคัญ และตีความ เพื่อเพิ่มพูน
ประสบการณ์และพัฒนาตนเองทั้งด้านสติปัญญา อารมณ์ และสังคม
๒. ความสำคัญของการอ่าน
การอ่านนอกจากเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้วิชาต่างๆ แล้ว การอ่านยังเป็น
เครื่องมือ ในการแสวงหาความรู้ ทำให้ทันโลก ทันเหตุการณ์ ได้มีนักวิชาการหลายท่าน
กล่าวถึงความสำคัญของ การอ่านไว้ดังนี้
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (๒๕๔๕ : ๗) กล่าวถึงความสำคัญของการ
อ่าน ดังนี้
๑. การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในวัยศึกษา
เล่าเรียนจำเป็นต้อง
อ่านหนังสือเพื่อการศึกษาหาความรู้ด้านต่าง ๆ
๒. การอ่านเป็นเครื่องมือช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการประกอบอาชีพ เพราะ
สามารถนำความรู้ที่ได้จากความสามารถไปพัฒนาตนพัฒนางาน
๒
๓. การอ่านเป็นเครื่องมือสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่น
ต่อ ๆ ไป
๔. การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดและความฉลาดรอบรู้เพราะ
ประสบการณ์ ที่ได้จากการอ่านเมื่อเก็บสะสมเพิ่มพูนเข้านานวัน ก็จะทำให้เกิดความคิด
เกิดสติปัญญา เป็นคนฉลาด รอบรู้ได้
๕. การอ่านเป็นกิจกรรมก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการ
แสวงหาความสุขให้แก่ตนเองที่ง่ายที่สุด และได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด
ธีระยุทธ ธีระศิลป์ (๒๕๕๑, ๓๐) ได้กล่าวถึงของความสำคัญของการอ่านไว้ว่า
การอ่านเป็นทักษะการรับสารที่สำคัญไม่น้อยกว่าการฟัง ยิ่งความเจริญทางเทคโนโลยี
เจริญมากขึ้นเท่าใด การอ่านก็ยิ่งมีความสำคัญและความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมาก
ขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ข่าวสารและสารสนเทศต่าง ๆ ได้เผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสื่อทางเสียง จนมีคำกล่าวว่า “ไม่อ่านหนึ่งวันโง่ไปหนึ่งปี”
ดังนั้นจึงพอสรุปถึงความสำคัญของการอ่านได้ดังนี้
๑. ความสำคัญเกี่ยวกับความรู้ เพราะการอ่านเป็นเครื่องมือการแสวงหาความรู้
จะเห็นว่าการศึกษาค้นคว้าหาความรู้นั้น ต้องอาศัยการอ่านเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะ
เป็นการอ่านหนังสือโดยตรง หรืออ่านจากอินเตอร์เน็ตก็ตาม
๒. ความสำคัญเกี่ยวกับอารมณ์ เพราะการอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความ
เพลิดเพลินบันเทิงใจ จึงช่วยให้มีอารมณ์ดีคลายเครียดได้ทางหนึ่ง ซึ่งอาจเกิดจาก
ถ้อยคำภาษาไทยที่ไพเราะและเนื้อหาที่สนุกสนาน ตรงกับคความสนใจ
๓. ความสำคัญด้านจิตใจ เพราะการอ่านช่วยกล่อมเกลา ชักนำ โน้มน้าวใจ ฯลฯ
ให้คนเรามีจิตใจที่ดีงามขึ้น เสมือนเติมคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้น จึงเรียกกันว่า
“การจรรโลงใจ” นั่นเอง
๓
๔. ความสำคัญด้านบุคลิกภาพ เพราะการอ่านเปรียบเสมือนท่องไปในโลกกว้าง
ไม่มีขอบเขต ผู้อ่านจึงได้เรียนรู้ พบเห็นสิ่งต่าง ๆ ทุกแง่มุม และนำสิ่งเหล่านั้นมา
พัฒนาบุคลิกภาพตนเอง หรือนำมาใช้ในโอกาสต่าง ๆ อย่างผู้มีวิสัยทัศน์ ปฏิบัติได้
อย่าทันสมัย เหมาะสมทุกสภาวะเป็นผู้มีเหตุผล
๕. ความสำคัญเกี่ยวกับอาชีพ เพราะการอ่านเป็นที่มาของอาชีพและพัฒนา
อาชีพ จึงเห็นได้ว่าทุกอาชีพต้องมีตำรา มีวารสาร ฯลฯ สำหรับอาชีพด้านนั้นโดยตรง
เช่น เกษตรกร มีหนังสือสำหรับเกษตรกร ครูมีหนังสือสำหรับอาชีพครู หมอมีหนังสือ
สำหรับอาชีพหมอ เป็นต้น ซึ่งการอ่านจะช่วยให้การประกอบอาชีพมีคุณภาพมากขึ้น
กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์ (๒๕๕๑, ๘๗) ให้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ว่า
การอ่าน เป็น ทักษะการรับสารที่มีส่วนช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้เกิดขึ้น
ได้ นอกจากนั้นการอ่านยังมีความสำคัญอีกหลายประการ ดังนี้
๑. เสริมสร้างองค์ความรู้
การอ่านมีส่วนช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้ ทั้งเพิ่มพูนความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ให้
มุมมองที่แตกต่างไปจากความรู้หรือความคิดเดิมของผู้อ่าน รวมทั้งเสริมสร้างความรู้
และประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้อ่านทำให้ผู้อ่านมีความรู้เพิ่มขึ้น
๒. พัฒนาคุณค่าทางอารมณ์
การอ่านมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านได้รับความสุขหรือความบันเทิงใจ ซึ่งส่งผลดีต่อ
สุขภาพจิตและสุขภาพกาย รวมทั้งยังช่วยให้ผู้อ่านมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี และ
เมื่อคนมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีแล้วย่อมเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดพัฒนาใน
ด้านต่าง ๆ ตามมา นอกจากนี้ยังหมายรวมถึงการมีอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปกับเรื่อง
ราวที่อ่าน
๔
๓. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
การอ่านมีส่วนช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อได้เรียนรู้เรื่องราว
ต่าง ๆ จะทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้หรือแนวคิด รวมทั้งส่งเสริมจิตนาการ เพื่อนำมา
สร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ในทางใดทางหนึ่ง
จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ (๒๕๔๘, ๙๑) ได้กล่าวถึงความ
สำคัญของการอ่าน ดังต่อไปนี้
๑. การอ่านทำให้ผู้อ่านได้รับสาระความรู้ต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเป็นผู้ที่ทันต่อ
ความคิด ความก้าวหน้าของโลกได้เช่นเดียวกับการรับสารจากสื่อชนิดต่าง ๆ เช่น
วิทยุโทรทัศน์และสื่อ อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ
๒. หนังสือเป็นสื่อที่ดีที่สุด ใช้ง่ายที่สุดและมีราคาถูกที่บุคคลทั่วไปใช้เพื่อศึกษา
หาความรู้และความเพลิดเพลิน
๓. การอ่านหนังสือเป็นการฝึกให้สมองได้คิดและเกิดสมาธิด้วย ฉะนั้นหากมีการ
ฝึกอย่างต่อเนื่องจะทำให้ทักษะด้านนี้พัฒนาและเกิดผลสัมฤทธิ์สูง
๔. ผู้อ่านหนังสือสามารถสร้างความคิดและจินตนาการได้เอง ในขณะที่สื่ออย่าง
อื่น เช่น วิทยุโทรทัศน์ฯลฯ จะจำกัดความคิดของผู้อ่านมากกว่า ฉะนั้นการอ่าน
หนังสือจึงทำให้ผู้อ่านมีอิสระทางความคิดได้ดีกว่าการใช้สื่อชนิดอื่น
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านเป็นทักษะสำคัญในการเรียนรู้ การแสวงหา
ความรู้ทางการศึกษาของทุกคน เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้และพัฒนา
สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรมและค่านิยมต่าง ๆ
๕
๓. จุดมุ่งหมายของการอ่าน
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และ อัมพร ทองใบ (๒๕๕๕ : ๒๖๒-๒๖๔) การอ่านมีจุด
ประสงค์ที่กำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการ ศึกษาค้นคว้าข้อมูล
เพื่อประโยชน์เชิงวิชาการ หรืออ่านเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ การอ่านของแต่ละคนมี
จุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป นักวิชาการด้านการอ่านหลายท่านได้จำแนกจุดมุ่ง
หมายของการอ่านอย่างกว้าง ๆ พอประมวลได้ดังนี้
๑. อ่านเพื่อหาความรู้หรือเพิ่มพูนความรู้ เป็นความรู้จากหนังสือประเภทตำรา
ทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์ การอ่านจากหนังสือที่มีสาระเดียวกัน ควรอ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน
เพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของเนื้อหา ผู้อ่านจะมีความรอบรู้ได้
แนวคิดที่หลากหลาย การอ่านเพื่อศึกษาหาความรู้นี้ เป็นการอ่านเพื่อสั่งสมความรู้
และประสบการณ์ของผู้อ่าน
๒. อ่านเพื่อให้ทราบข่าวสารความคิด เป็นการอ่านเพื่อให้ทราบข่าวสารความคิด
เข้าใจแนวคิด ซึ่งได้แก่ การอ่านหนังสือประเภทบทวิจารณ์ข่าว รายงานการประชุม
ผู้อ่านไม่ควรเลือกอ่านหนังสือที่สอดคล้องกับความคิดและความชอบของตน
ควรเลือกอ่านอย่างหลากหลาย จะทำให้มีมุมมองที่กว้างขึ้นจะช่วยให้เรามีเหตุผล
อื่น ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ ได้ลุ่มลึกมากขึ้น
๓. อ่านเพื่อความเพลิดเพลินหรือเพื่อความบันเทิง ความชื่นชม การอ่านเป็น
อาหารใจให้เกิดความบันเทิงใจ อ่านแล้วเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน จากการอ่าน
หนังสือประเภทบันเทิงคดี เช่น นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน หรืออ่านบท ละคร
อ่านบทกวีนิพนธ์ บทเพลง บทขำขัน เป็นต้น นอกจากจะเพลิดเพลินไปกับภาษา และ
เรื่องราวที่สนุกสนานแล้ว ยังได้ความรู้และคติข้อคิดควบคู่ไปด้วย
๖
๔. อ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพื่อพัฒนาวิจารณญาณ
และค่านิยม จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น
และ มีการเพิ่มพูนมวลประสบการณ์ทางโลกและชีวิตที่เจนจัดมากขึ้น นักเรียนจึงจะ
เข้าใจ คติธรรมที่แทรกอยู่ในวรรณกรรมที่อ่าน ด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างสม
เหตุสมผล สามารถเลือกและประยุกต์สิ่งที่มีคุณค่ามาพัฒนาตนเอง ให้เป็นทรัพยากร
บุคคลที่มีคุณภาพ และดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า สามารถรับใช้สังคม
ประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ตามกำลังสติปัญญาที่เพิ่มพูนขึ้น อันสืบเนื่องมาจาก
นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สภาพแวดล้อมของชีวิต ในด้านที่เป็นสัจธรรมความ
จริงสมบูรณ์ขึ้น (กุสุมา รักษมณี และ คณะ : ๒๕๓๖ : ๗๙)
๕. การอ่านเพื่อกิจธุระหรือประโยชน์อื่น ๆ การอ่านเพื่อกิจธุระอื่น ๆ นอกเหนือ
จากจุดมุ่งหมายที่กล่าวมาแล้ว การอ่านเพื่อประโยชน์เฉพาะกิจ เช่น อ่านแบบฟอร์ม
ต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้จำนองและซื้อขาย อ่านใบสมัครและระเบียบ การอ่าน
คำสั่งและสัญญาณบ่งบอกที่มีความหมายต่าง ๆ เป็นต้น เราถือว่าสารเหล่านี้จะมี
แบบแผนและรายละเอียดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะองค์การ หรือเฉพาะสังคม ซึ่งการติดต่อ
สื่อสารในโลกปัจจุบัน เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการอ่านสิ่งนี้ได้เลย หากอ่านผิดพลาดหรือ
ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริง อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสียผลประโยชน์ของ
เราได้
คณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช
มงคลกรุงเทพ (๒๕๕๑ : ๓๑) กล่าวว่า การอ่านหนังสือแต่ละครั้งและของแต่ละคนมี
จุดมุ่งหมายต่าง ๆ กันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจ ความต้องการ และประเภทหนังสือ
แต่ก็สามารถจำแนกจุดมุ่งหมายสำคัญๆ ได้ ดังนี้
๗
๑. จุดมุ่งหมายด้านความรู้ ซึ่งการอ่านเพื่อความรู้นั้นผู้อ่านจะได้รับความรู้ ๒
ประเภท คือ ความรู้ด้านวิชาการ ได้แก่ อ่านตำรา บทความ สารคดี งานวิจัย ฯลฯ
และความรู้ประเภทข่าวสาร ได้แก่ อ่านหนังสือพิมพ์ นิตยสาร เป็นต้น
๒. จุดมุ่งหมายด้านบันเทิง เป็นการอ่านเพื่อผ่อนคลายให้เกิดความเพลิดเพลิน
ทำให้อารมณ์ดี สนุกสนานไปกับเนื้อเรื่องและถ้อยคำสำนวนที่อ่าน ได้แก่
อ่านนวนิยาย เรื่องสั้น วรรณคดี บทกวี เป็นต้น
๓. อ่านเพื่อพัฒนาจิตใจ เป็นการอ่านเพื่อยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นที่เรียกว่า
จรรโลงใจ คือ ช่วยให้เพิ่มพูนด้านศีลธรรม คุณธรรม ได้แก่ อ่านหนังสือธรรมะ
ชีวประวัติของบุคคล บทกวีนิพนธ์ เป็นต้น
๔. จุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาคำตอบ เป็นการอ่านเพื่อนำความรู้มาแก้ปัญหา หรือ
ตอบข้อสงสัย สามารถนำความรู้มาปฏิบัติในการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง ได้แก่
การอ่านผลงาน การวิจัย อ่านประกาศ อ่านคู่มือการใช้อุปกรณ์ อ่านฉลากยา เป็นต้น
วรรณี โสมประยูร (๒๕๔๔ : ๑๒๗-๑๒๘) ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของการอ่าน
ไว้ ดังนี้
๑. เพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม เช่น อ่านตำรา บทความ สารคดี
๒. เพื่อความบันเทิง เช่น อ่านนวนิยายการ์ตูน วรรณคดี
๓. เพื่อใช้วลาว่างให้เป็นประโยชน์
๔. เพื่อหารายละเอียดของเรื่อง เช่น อ่านสารคดีประวัติศาสตร์
๕. เพื่อวิเคราะห์วิจารณ์จากขอ้มูลที่ได้ เช่น อ่านข่าว
๖. เพื่อหาประเด็นว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จส่วนใดเป็นจริง เช่น การอ่านคำโฆษณา
๗. เพื่อจับใจความสำคัญของเรื่อง เช่น อ่านบทความในวารสาร
๘. เพื่อปฏิบัติิตาม เช่น อ่านคำสั่ง คำแนะนา คู่มือการใช้
๙. เพื่อออกเสียงใหถูกต้อง ชัดเจน มีน้ำเสียงเหมาะสมกับเนื้อเรื่องและเหมือนกับ
คำพูด เช่น อ่านบทละคร
๘
ทัศนีย์ ศุภรเมธี (๖๐-๖๒) การที่เราอ่านหนังสือมีความมุ่งหมายดังต่อไปนี้
๑. เพื่อการศึกษาหาความรู้ เมื่อเราต้องการรู้เรื่องอะไร เราจะสามารถสนองความ
ต้องการได้โดยการ ศึกษาค้นคว้า ด้วยวิธีการอ่าน หรือการฟัง แต่การอ่านจะสะดวก
เพราะไม่ต้องอาศัยผู้อื่นพูด เพียงแต่ไปค้นคว้าให้ตรงแหล่ง และใช้พฤติกรรมการอ่าน
ก็จะได้สิ่งที่เราต้องการ และความต้องการของคนเราที่จะศึกษาในเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ไม่
แน่นอน บางครั้งต้องการรู้เพียงเรื่องราวโดยย่อ แต่บางครั้งเราต้องการรู้ในเรื่องนั้นโดย
ละเอียด ก็จะสามารถอ่านซ้ำเก็บสาระสำคัญจนสามารถนำมาปฏิบัติได้หรือสามารถนำ
ไปถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้
๒. เพื่อค้นหาคำตอบในสิ่งที่ต้องการ เป็นการอ่านเพื่อต้องการประโยชน์ใน เรื่องใด
เรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อ่านเพื่อค้นหาข้อมูล อ่านเพื่อพิจารณาหาเหตุผล อ่านเพื่อบรรเทา
ข้อสงสัยในเรื่องนั้น ๆ เป็นการอ่านเพื่อให้ได้คำตอบจากคำถามหรือปัญหาที่ผู้อ่าน
ข้องใจ
๓. เพื่อความบันเทิงใจ เพื่อความเพลิดเพลิน ซึ่งเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง โดย
เลือกอ่านหนังสือที่ตนชื่นชอบ บันเทิงคดี นวนิยาย เพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ได้แก่
การอ่านประเภท สารคดีท่องเที่ยว วรรณคดีบางเรื่อง จากหนังสือพิมพ์รายวัน หรือราย
สัปดาห์ โดยทั่ว ๆ ไปคนมักนิยมอ่านเพื่อความมุ่งหมายนี้ และคอลัมภ์บางคอลัมภ์ และ
ความรู้สึกที่จะบันเทิง ผู้อ่านจะเป็นผู้เลือก เพราะเป็นการอ่านเพื่อความสำราญใจไม่
เป็นการฝืนใจอ่าน และความรู้สึกที่จะบันเทิงนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้อ่านแต่ละคนการ
อ่านเพื่อความบันเทิงใจนั้น หนังสืออ่านเองแต่ถ้าถูกบังคับให้อ่านความบันเทิงอาจไม่เกิด
ขึ้นก็ได้
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านจะมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกันออกไปตาม
ความต้องการของผู้อ่าน โดยผู้อ่านจะเป็นผู้กำหนดจุดมุ่งหมายในการอ่านแต่ละครั้ง
เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อ่าน อาทิเช่น การอ่านเพื่อความบันเทิง การอ่าน
เพื่อให้ทราบข่าวสาร การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ การอ่านเพื่อค้นหาคำตอบในสิ่ง
ที่ต้องการ เป็นต้น
๙
๔. ประเภทของการอ่าน
การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อะไรเป็น
เกณฑ์ในการพิจารณาในการแบ่งประเภทของการอ่าน
อัมพร ทองใบ (๒๕๔๐ : ๑๘-๑๙) แบ่งประเภทของการอ่านไว้ ดังนี้
๑. อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านเอาเรื่องทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่าน เช่น การพลิก
ตำราบางเล่มเพื่อดูว่าเนื้อหาครอบคลุมเรื่องที่จะค้นคว้าหรือไม่อาจจะอ่านเพียงหัวเรื่อง
หรืออ่านหน้าสารบัญหรืออ่านหน้าผนวกท้ายเล่ม เป็นต้น
๒. การอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความและเพื่อทำความเข้าใจเป็นการอ่าน
เพื่อแสวงหาความรู้ความบันเทิงให้แก่ตนเองผู้อ่านจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์และ
สามารถเข้าใจเรื่องราวที่ได้อ่านโดยตลอด การอ่านหนังสือเมื่ออ่านไปโดยตลอดก็พอจะ
เก็บใจความได้ว่าเรื่องที่อ่านมีเนื้อหาเรื่องราวว่าอย่างไรหากมีบางตอนที่อาจจะไม่เข้าใจ
เพราะเรื่องที่อ่านนั้นยากเกินความรู้ของผู้อ่านที่จะทำความเข้าใจได้ผู้อ่านควรจะ
พยายามเอาชนะด้วยการอ่านอย่างมีสมาธิและรับรู้ความหมายทุกถ้อยคำจนเกิดความ
เข้าใจเนื้อเรื่องได้ตลอด
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (๒๕๔๖ : ๒) แบ่งการอ่านออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑. การอ่านออกเสียง (Read aloud) มีความสำคัญในการฝึกให้หัดอ่านตั้งแต่วัยเด็ก
เพื่อจะได้ฟังการอ่าน ออกเสียงว่าถูกต้อง ชัดเจนหรือไม่ เพียงใด ผู้ฝึกจะได้แก้ไขให้ถูก
ต้องได้การอ่านออกเสียงช่วยสนองความต้องการและความอยากรู้อยากเห็นของเด็กได้
เป็นอย่างดี ค่าต่าง ๆ ที่ใช้ในการฝึกอ่านควรจะเป็นค่าที่อยู่ แวดล้อมรอบ ๆ ตัวเด็ก
ภายในครอบครัวการอ่านออกเสียงยังมีประโยชน์ ในการอ่านวรรณคดีและวรรณกรรม
ประเภทร้อยกรอง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเองหรืออ่านให้ผู้อื่นฟังจะทำให้ผู้อ่านเกิดความ
เพลิดเพลิน ซาบซึ้งในบทประพันธ์นั้น ๆ และผู้ฟังก็ได้รับอรรถรสจากการฟังการอ่าน
ออกเสียงผู้อ่านที่ได้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจะมีลีลาและท่วงทำนองอ่าน
๑๐
ตลอดจนการออกเสียงถูกต้องตามอักขรวิธีจะทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์และจินตนาการ
ตามไปด้วยนอกจากนี้การอ่านออกเสียงจะทำให้เรียนภาษาต่างประเทศ ได้เร็วขึ้น
เพราะการอ่านออกเสียงช่วยให้ฝึกการเลียนแบบเสียงเจ้าของภาษาเป็นการฝึกที่ได้
ประโยชน์ผู้อ่าน
๒. การอ่านในใจ (Silent reading) การอ่านในใจมีความสำคัญและจำเป็นต้อง
ฝึกอ่านในใจเมื่อเรียนในระดับสูงขึ้น เพราะการอ่านในใจทำให้อ่านได้เร็วขึ้นไม่เสีย
เวลาในการออกเสียงตามไปด้วยการอ่านเร็วทำให้อ่านหนังสือได้มากขึ้นในเวลาอัน
จำกัดในขณะที่อ่านผู้อ่านควรจับใจความสำคัญ ตอบปัญหา หรือตอบคำถามจากเรื่อง
ที่อ่าน จดจำ ย่อความ สรุปความ และตีความ ได้ รวมทั้งสามารถแยกข้อคิดเห็นออก
จากการศึกษาเล่าเรียนแล้วการอ่านในใจยังจำเป็นที่ต้องอ่านในชีวิตประจำวันโดย
เฉพาะการอ่านสื่อที่ต้องอาศัยความรวดเร็วในการอ่าน เช่น การอ่าน ข้อความในสื่อ
โฆษณา สื่อโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ แผ่นใส ภาพนิ่ง และในภาพยนตร์ เป็นต้น
กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์ (๒๕๕๑ : ๙๖-๙๗) แบ่งประเภทของการอ่านออกเป็น ๒
ประเภท การอ่านออกเสียงและการอ่านในใจซึ่งการอ่านแต่ละประเภทนั้นก็มีลักษณะ
ที่แตกต่างกันไป ดังนี้
๑.การอ่านออกเสียง คือ การทำความเข้าใจข้อความที่อ่านไปพร้อมๆ กับ การ
เปล่งเสียง ดังนั้นผู้อ่านจะต้องมีสมาธิในขณะอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเพราะ
ไม่เช่นนั้นแล้วอาจไม่สามารถเข้าใจข้อความที่อ่านได้ รวมทั้งจะต้องใช้น้ำเสียงให้
เหมาะสม กับเรื่องที่อ่าน ไม่ใช่เป็นการเปล่งเสียงที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ
นอกจากเรื่องของความถูกต้องในการสะกดถ้อยคำแล้วเรื่องของศิลปะการอ่านก็มีผล
ต่อการ ทำความเข้าใจของผู้ฟัง เช่น น้ำเสียง การเว้นวรรคตอน ลีลาการอ่านการอ่าน
ออกเสียง คือ การทำความเข้าใจข้อความที่อ่านไปพร้อม ๆ กับการเปล่งเสียง
๑๑
ดังนั้น ผู้อ่านจะต้องมีสมาธิในขณะอ่านข้อความที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราะ ไม่
เช่นนั้นแล้วอาจไม่สามารถเข้าใจข้อความที่อ่านได้ รวมทั้งจะต้องใช้น้ำเสียงให้เหมาะ
สมกับเรื่องที่อ่านไม่ใช่เป็นการเปล่งเสียงที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ อย่างไรก็ตาม
ต้อง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเนื้อหาของเรื่องด้วยหากเป็นการอ่านให้ผู้อื่นฟัง
นอกจากเรื่องของความถูกต้องในการสะกดถ้อยคำแล้วเรื่องของศิลปะการอ่านก็มีผล
ต่อการทำความเข้าใจของผู้ฟัง เช่น น้ำเสียง การเว้นวรรคตอน ลีลาการอ่าน เป็นต้น
๒. การอ่านในใจ การอ่านในใจเป็นการอ่านที่ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจกับ
ข้อมูลนั้น ๆ ในขณะที่กวาดสายตา และต้องรู้จักความสำคัญของเรื่องนั้น ๆ การอ่าน
ในใจเป็นกลไกร่วมกันระหว่างสายตาและสมองดังนั้นการอ่านในใจจึงเป็นทักษะที่
สามารถฝึกฝนให้มีประสิทธิภาพได้
สมุทร เซ็นเชาวนิช (๒๕๓๕ : ๓) แบ่งประเภทการอ่านออกเป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑. การอ่านเพื่อการศึกษา (Work-study type reading) เป็นการอ่านที่ต้องการ
ความเร็วสูงพอประมาณ การอ่านแบบนี้มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือต้องการครอบคลุม
เนื้อหาให้ได้มากที่สุด เก็บใจความสำคัญและรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด
เท่าที่จะทำได้การอ่านประเภทนี้ผู้อ่านจะต้องพิจารณาคำศัพท์และความหมายของคำที่
พบให้ละเอียดถี่ถ้วน นอกจากรู้ความหมายเฉพาะแล้วผู้อ่านควรจะต้องรู้ความหมาย
แฝงหรือความหมายตามนัยประหวัด (Connotation) ของคำนั้น ๆ ด้วยเพื่อจะได้เข้าใจ
ข้อความที่อ่านได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
๒. การอ่านเพื่อการพักผ่อนและความบันเทิงใจ (Recreatory reading) เป็น
การอ่านเพื่อความรื่นรมย์เป็นส่วนตัวหรือเพื่อพักผ่อนหย่อนใจเป็นส่วนใหญ่ เช่น
การอ่านนวนิยาย เรื่องสั้น หรือหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีคำศัพท์เฉพาะมากมายนัก เป็นต้น
การอ่านชนิดนี้มักไม่ต้องการความเข้าใจ ที่ลึกซึ้งมาก ผู้อ่านจะอ่านโดยใช้ความเร็วช้า
หรือเร็วอย่างไรก็ได้ สุดแล้วแต่ความพึงพอใจของผู้อ่าน
๑๒
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ การอ่านเพื่อรับรู้
ข้อมูล ศึกษาค้นคว้า เป็นการทำความเข้าใจข้อความที่อ่านไปพร้อมๆ กับการเปล่งเสียง
ส่วนการอ่านในใจ เป็นการอ่านเพื่อเก็บใจความและเพื่อทำความเข้าใจเป็นการอ่าน
เพื่อแสวงหาความรู้ความบันเทิงให้แก่ตนเองดังนั้นการอ่านในใจจึงเป็นทักษะที่สามารถ
ฝึกฝนให้มีประสิทธิภาพได้
๕. กระบวนการอ่าน
พันธุ์ทิพา หลาบเลิศบุญ (๒๕๔๒ : ๔๕) กระบวนของการอ่าน ประกอบด้วย
๑. การมองเห็นคำและตัวอักษรอย่างชัดเจน
๒. การแปลความหมายและเข้าใจความหมายของคำนั้น ๆ
๓. การรู้จักเลือกใช้ความหมายที่ถูกต้องตรงกับผู้แต่งตั้งใจไว้
๔. การนำความหมายนั้นไปใช้
กระบวนการอ่านหนังสือมิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่ายและได้ประโยชน์เท่าเทียมกันทุกคน
แม้ว่าจะเป็นหนังสือเล่มเดียวกันก็ตาม ขึ้นอยู่กับระดับความสามารถในเชิงอ่านของ
แต่ละคนที่แตกต่างกันไป การที่จะอ่านได้อย่างรวดเร็วนั้นผู้อ่านต้องรู้จักฝึกการ
เคลื่อนไหวสายตาให้เป็น ไปอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งการเคลื่อนไหวของสายตามีขั้นตอน
ดังนี้
๑. การจับตา (Fixation) ได้แก่ ตอนที่สายตาจับที่ตัวหนังสือ การจับสายตานี้
สายตาจะจับเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย แล้วเคลื่อนที่ต่อไป คนที่อ่านหนังสือชำนาญจะ
จับตาน้อยครั้งในบรรทัดหนึ่ง ๆ คนที่อ่านไม่ได้ดีจะจับตาหลายหน ในทำนองเดียวกัน
คนอ่านที่ชำนาญจะจับตาเป็นเวลาสั้นกว่าคนที่อ่านหนังสือไม่ชำนาญ
๑๓
๒. ช่วงสายตา (Eye span) ได้แก่ ระยะจากจุดที่สายตาจับ จุดหนึ่งไปยังจุดที่
สายตาจับในคราวต่อไป ช่วงสายตานี้เขาวัดกันที่ช่วงตัวอักษร คนอ่านที่ชำนาญ
จะมีช่วงสายตากว้างกว่าคนที่อ่านไม่ชำนาญ
๓. การย้อนกลับ (Regression) บางทีคนเราอ่านหนังสือไป ไม่แน่ใจว่าคำที่
อ่านไปแล้วหมายความว่าอย่างไร ต้องย้อนกลับมาอ่านใหม่ การทวนสายตามาจับ
ตรงคำที่เราไม่เข้าใจ เรียกการย้อนกลับ คนอ่านหนังสือที่ชำนาญจะย้อนกลับมา
น้อย ส่วนคนที่อ่านไม่ชำนาญ จะมีการย้อนกลับมาบ่อย ๆ ทำไห้เสียเวลาในการ
อ่าน
๔. การเปลี่ยนบรรทัด (Back sweep) เมื่ออ่านจบบรรทัด แล้วเราต้องกวาด
สายตากลับมาทางซ้ายมือเมื่อขึ้นบรรทัด การกระทำตอนนี้เรียกว่า การเปลี่ยน
บรรทัดคนอ่านที่ชำนาญจะเปลี่ยนบรรทัดได้ถูกต้องแม่นยำ ส่วนคนที่อ่านไม่
ชำนาญ อาจจะกลับมาอ่านบรรทัดเดิมหรืออ่านข้ามบรรทัดได้ บางคนถึงกับต้อง
ใช้มือชี้หรือใช้กระดาษคั่น เพื่อไม่ให้หลงบรรทัดได้
ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ กล่าวว่า กระบวนการอ่าน มี ๔ ขั้นตอน คือ
ขั้นแรก การอ่านออก อ่านได้ หรืออ่านออกเสียงได้ถูกต้อง
ขั้นที่สอง การอ่านแล้วเข้าใจ ความหมายของคำ วลี ประโยค สรุปความได้
ขั้นที่สาม การอ่านแล้วรู้จักใช้ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเห็นในทาง
ที่ขัดแย้งหรือเห็นด้วยกับผู้เขียนอย่างมีเหตุผล
ขั้นสุดท้าย คือ การอ่านเพื่อนำไปใช้ ประยุกต์ใช้ในเชิงสร้างสรรค์ ดังนั้นผู้ที่อ่านได้
และอ่านเป็นจะต้องใช้กระบวนการทั้งหมดในการอ่านที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยการถ่ายทอดความหมายจากตัวอักษรออกมาเป็นความคิด และจากการคิดที่
ได้จากการอ่านผสมผสานกับประสบการณ์เดิม และสามารถความคิดนั้นไปใช้
ประโยชน์ต่อไป
๑๔
ยุภาพร วิวัฒน์พัฒนกุล (๒๕๔๒) การอ่านเป็นทักษะ (Skill) สามารถทำให้เกิด
ได้จากการฝึกฝนทักษะ ๕ ขั้นตอนในกระบวนการอ่าน
1.อ่านออก
2.อ่านคล่อง
3.อ่านเข้าใจจับใจความสำคัญได้
4.อ่านแล้วสามารถวิเคราะห์สังเคราะห์ได้
5.อ่านแล้วสามารถตีความหรือวินิจสารได้
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านต้องอาศัยกระบวนการที่หลากหลาย คือ
การมองเห็นคำและตัวอักษรอย่างชัดเจนสามารถอ่านได้และออกเสียงถูกต้องการ
อ่านแล้วเข้าใจความหมายของคำนั้น ๆ และสรุปความได้ การรู้จักเลือกใช้ความคิด
วิเคราะห์ วิจารณ์และออกความเห็นในทางที่ขัดแย้งหรือเห็นด้วยกับผู้เขียนอย่างมี
เหตุผล การอ่านแล้วสามารถตีความหรือวินิจสารได้ ตลอดจนนำความคิดนั้นไปใช้
ประโยชน์ต่อได้ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะมีผลทำให้เกิดความสามารถในการอ่าน
อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๑๕
๖.องค์ประกอบของการอ่าน
การอ่านเป็นวิธีการสำคัญอย่างหนึ่งในการแสวงหาสิ่งต่าง ๆ อันมีคุณค่าและคุณ
ประโยชน์แก่ผู้อ่าน หากเรารับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของการอ่านแล้วจะมีส่วน
ช่วยให้กระบวนการอ่านเป็นไปได้โดยสมบูรณ์
นักการศึกษาหลายท่าน ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการอ่านไว้หลากหลายขอ
กล่าวตามลำดับ ดังนี้
มุกดา ลิบลับ (๒๕๔๒ : ๑๒๕) องค์ประกอบของการอ่านประกอบด้วย
๑. ผู้อ่าน คือ ผู้ที่ทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏโดยการรับข้อมูล
จะสมบูรณ์ได้นั้นก็ต่อเมื่อผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้ถ่องแท้
๒. ตัวอักษร คือ สัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อสื่อความหมายแทนสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้เขียน
ต้องการนำเสนอมายังผู้อ่าน ในที่นี้หมายถึงเพียงสัญลักษณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร
เท่านั้น
๓. ความหมาย คือ สิ่งที่เป็นเนื้อหาหรือข้อมูลที่ผู้เขียนต้องการจะนำเสนอมายังผู้
อ่าน
๔. เลือกความหมาย คือ การทำความเข้าใจกับลายลักษณ์อักษรและข้อมูลต่าง ๆ
ที่ปรากฏ
๕. การนำไปใช้ คือ การทำความเข้าใจที่ถ่องแท้ของผู้อ่าน และสามารถนำสิ่งที่
เป็นประโยชน์หรือคุณค่าที่ได้รับจากการอ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
มาลินี ชายศิลป์ และคณะ (๒๕๓๗ : ๑๐๒-๑๐๓) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการ
อ่านไว้ ๕ ส่วน ซึ่งสอดคล้องกับ ธนู ทดแทนคุณ และกานต์รวี แพทย์พิทักษ์ (๒๕๕๒
: ๕๒) ที่กล่าวถึงองค์ประกอบ ๕ ส่วนสำคัญของการอ่าน สรุปได้ดังนี้
๑๖
๑. ผู้อ่าน เป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนแรกที่ทำให้เกิดการอ่าน เพราะถ้าไม่มีผู้
อ่านการอ่านก็ไม่เกิดขึ้น
๒. สาร หนังสือหรือตัวอักษร เนื้อหาเรื่องราวและสารจากหนังสือเหล่า
นั้นจะให้ความคิดแก่ผู้อ่าน ถ้าอ่านไม่ออกหรืออ่านไม่เข้าใจ การอ่านก็ไม่สัมฤ
ทธิผล
๓. ความหมาย ผู้อ่านต้องเข้าใจความหมายของคำ การอ่านจึงจะเกิดขึ้น
ต่อไปได้
๔. การเลือกความหมาย ความหมายของคำในภาษาไทยนั้น มีจำนวนไม่
น้อยที่มีหลายความหมาย ผู้อ่านจะต้องสามารถพิจารณาเลือกให้ถูกต้องว่า ผู้
แต่งมีจุดมุ่งหมายให้คำนั้นหมายความว่าอย่างไร ถ้าผู้แต่งและผู้อ่านมีความ
เข้าใจตรงกัน ก็สามารถอ่านได้ความถูกต้อง หากเข้าใจไม่ตรงกันก็ทำให้เข้าใจ
ผิดได้เช่นกัน
๕. การนำไปใช้ การอ่านจะได้รับผลสำเร็จมากน้อยหรือไม่เพียงใดอยู่ที่ผู้
อ่านเข้าใจความหมายเรื่องราวถูกต้องตามจุดประสงค์ของผู้แต่ง สามารถ
เลือกสิ่งที่ดีถูกต้องเหมาะสม และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันตามโอกาสต่าง ๆ
ได้ หรือทำประโยชน์ให้ตนเองและสังคมต่อไปได้ด้วย
๑๗
กัลยา ยวนมาลัย (๒๕๓๙ : ๓๑-๓๒) กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อการ
เข้าใจในการอ่านว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้อ่าน สรุปได้ดังต่อไปนี้
๑. ประสบการของผู้อ่านในเรื่องที่อ่าน จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องได้
ชัดเจนและเห็นภาพพจน์ เกิดจินตนาการได้ง่าย เพราะมีประสบการในเรื่องนั้น
มาแล้ว
๒. ความสามารถด้านภาษา คือ ความรู้ในด้านศัพท์ ถ้อยคำ สำนวน
โวหาร ความหมายของคำและการตีความ
๓. ความสามารถในการคิด ผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้ จะต้องใช้
ความสามารถในการคิด การมีประสบการณ์ตรง จะเป็นส่วนประกอบสำคัญใน
การพัฒนาการคิด
๔. ความสนใจและความเชื่อ จะเป็นแรงจูงใจที่ทำให้เกดความสนใจและ
ความเข้าใจ
๕. จุดประสงค์ในการอ่าน การอ่านอย่างมีจุดประสงค์ จะทำให้ผู้อ่าน
สามารถมุ่งความสนใจไปสู้เนื้อเรื่อง ทำให้เกิดความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
๑๘
ส่วนนักการศึกษาต่างประเทศ ได้กล่างถึงองค์ประกอบของการอ่านต่าง ๆ กัน
เช่น
ร็อด เอลลิส และไบรอัน ทอมลินสัน (๑๙๘๐ : ๑๔๐-๑๔๒) ให้ความเห็นเกี่ยว
กับองค์ประกอบของการอ่าน ซึ่งประกอบด้วยทักษะต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้
๑. การใช้ทักษะกลไก คือ ทักษะในการใช้สายตากวาดคำไปตามตัวอักษร
จากซ้ายไปขวา ผู้อ่านที่มีทักษะดีด้านนี้ จะสามารถอ่านได้อย่างรวดเร็ว
๒. การเข้าใจความหมายของคำ ผู้อ่านจะต้องพยายามเข้าใจความหมาย ทั้ง
โดยตรงและโดยอ้อมของคำในบทอ่าน
๓. การเข้าใจความหมายทางไวยกรณ์ ผู้อ่านควรมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้าง
ของประโยคแบบต่าง ๆ รู้จักใช้ตัวแนะในการสร้างความคิด รู้จักการใช้ตัวเชื่อม
และเข้าใจถ้อยคำที่ผู้อ่านใช้อ้างอิงสิ่งที่กล่าวมาแล้ว
๔. ทักษะการใช้เหตุผล เป็นทักษะทางด้านความคิดที่ผู้อ่านจะใช้ในการ
เชื่อมหรือลำดับเรื่องราว ต่าง ๆ ในบทอ่านเข้าด้วยกัน ผู้อ่านจะได้รู้ว่าสิ่งใด
สำคัญ และสิ่งใดไม่สำคัญ
๕. ทักษะการเลือกสาร ทักษะนี้จะช่วยให้ผู้อ่านรับรู้ถึงโครงสร้างภายในบท
อ่าน เช่น รู้ว่าส่วนใดคือบทนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป ผู้อ่านจะสามารถแยะแยะ
ความแตกต่างระหว่างใจความสำคัญและใจความที่มาสนับสนุนได้
๑๙
เอ็ดดี วิลเลียมส์ (๑๙๘๗ : ๓-๗) กล่าวถึงองค์ประกอบที่จะช่วยให้การ
อ่านมีประสิทธิภาพว่า ประกอบด้วย
๑. ความรู้ในระบบการเขียน ได้แก่ ความรู้ด้านการสะกดคำ และการ
อ่านออกเสียง
๒. ความรู้ในเรื่องภาษา หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบของคำ การ
เรียบเรียงคำ โครงสร้างและไวยกรณ์ของภาษา
๓. ความสามารถในการตีความ หมายถึง ความสามารถเข้าใจจุด
ประสงค์ของข้อความ รู้วิธีการเรียบเรียงประโยคเป็นข้อความที่ต่อเนื่องกัน
และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประโยค
๔. ความรู้รอบตัวทั่วไป ได้แก่ ลักษะของข้อเขียน วัฒนธรรม เหตุการณ์
ปัจจุบัน ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ
๕. เหตุผลในการอ่านและวิธีการอ่าน ผู้อ่านแต่ละคนมีเหตุผล และ
ความต้องการในการอ่านแตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกวิธีการอ่าน ผู้
อ่านจึงควรเลือกใช้วิธีการอ่านให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านต้องอาศัยองค์ประกอบด้านต่าง ๆ คือ
ความสามารถของผู้อ่าน หนังสือหรือสิ่งที่อ่าน การเข้าใจความหมายของคำ
ถ้อยคำ ความหมายของประโยค ความรู้ในเรื่องของภาษา โครงสร้างทาง
ภาษา และความรู้เกี่ยวกับเหตุผลในการอ่านและวิธีการอ่าน เพื่อที่จะให้เกิด
ความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ที่ผู้เขียนต้องการสื่อ ตลอดจนการนำเอาสิ่ง
ที่ได้รับจากการอ่านไปใช้ประโยชน์ได้ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งองค์
ประกอบเหล่านี้จะมีผลทำให้เกิดความสามารถในการอ่านขึ้น
๒๐
๗. ประโยชน์ของการอ่าน
เทือก กุสุมา ณ อยุธยา (๒๕๑๑ : ๔๗) กล่าวว่า การอ่านหนังสือมีประโยชน์
ดังนี้
๑. ประโยชน์ในฐานที่เป็นวรรณคดี คือ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน เกิดอารมณ์สะเทือนใจ และความนึกฝันไปตามท้องเรื่อง
๒. ประโยชน์อันเกิดแก่ผู้เขียนเอง ได้แก่ การระบายอารมณ์ การแสดงความ
คิด การให้ทัศนะหลักเกณฑ์ชีวิตแก่ผู้อ่าน
๓. ประโยชน์ในฐานที่เป็นเครื่องบันเทิง ทั้งยังมีการประยุกต์เป็นละครวิทยุ
ละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เป็นต้น
๔. ประโยชน์ในด้านความรู้ เช่น สภาพความเป็นอยู่ ภูมิฐานของบ้านเมือง
วัฒนธรรม ฯลฯ หรือเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นสภาพชีวิตในเรื่องที่แต่งก็ได้ เช่น
เหตุการณ์ ในประวัติศาสตร์ จะทำให้ผู้อ่านทราบรายละเอียดของชีวิตบุคคล
สำคัญที่ทำคุณประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ
๕. ประโยชน์ในด้านภาษา ผู้อ่านจะได้รับรสไพเราะทางภาษา ที่ร้อยกรองไว้
อย่าง ประณีตบรรจงแล้ว
๖. ประโยชน์ทางด้านคติธรรม เป็นเครื่องชำระจิตใจผู้อ่าน ยกระดับจิตใจให้
สูงขึ้นถ้าเป็นวรรณคดีที่ดี
๗. ประโยชน์ทางการเมือง อาจทำให้การเมืองผันแปรได้ โดยผู้แต่งใช้
นวนิยาย เป็นสื่อคัดค้านความยุติธรรม และทำให้ผู้อ่านเห็นด้วยได้
๒๑
สุปราณี ดาราฉาย และคณะ (๒๕๔๒ :๑๕๓-๑๕๔) หนังสือเป็นสิ่งที่ห่อหุ้ม
และบรรจุความรู้และวิทยาการต่าง ๆ ไว้อย่างมากมาย ทั้งให้ ความรู้ทางด้าน
วิชาการ และให้ความสนุกสนามเพลิดเพลิน ตลอดจนให้ข้อคิดคติธรรมความ
จรรโลงใจแก่ผู้อ่าน ดังนั้น ผู้ที่อ่านหนังสือมาก ๆ จึงนับได้ว่าเป็นพหูสูตเป็นผู้
ที่มีความรู้ดี มีความรู้กว้างไกลและสามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตหรือ
ประกอบอาชีพได้ด้วยการติดต่อสื่อสารปัจจุบันนี้ยังต้องอาศัยการอ่านเป็น
หลักสำคัญในการติดต่อสื่อความหมาย ด้วยเหตุนี้ การอ่านจึงมีประโยชน์ต่อ
มนุษย์เป็นอย่างมาก ดังนี้
๑. ได้รับความรู้ ความคิดเห็น อันนำไปสู่การเกิดปัญญา มีหลายครั้งที่ยาม
มีปัญหาคับอกคับใจไม่สามารถปรึกษาใครได้ การอ่านเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้
ได้รับความรู้แก้ปัญหาตลอดจนมองเห็นหนทางในการแก้ปัญหาได้กระจ่าง
ชัดเจนขึ้น
๒. เกิดจินตนาการ หนังสือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้
เขียน ผู้อ่านจึงได้ซึมซาบจินตนาการเหล่านั้นเข้าไว้ในจิตใจ ตลอดจนเกิด
ประกายสรรค์สร้างจินตนาการที่เจิดจรัสขึ้นมาในชีวิตของตนเอง มนุษย์ต่าง
กับสัตว์โลกตรงการมีจินตนามีชีวิตจริงที่แสนจะแห้งแล้งเพราะกิจวัตรประจำ
วันและภาระหน้าที่ที่แสนซ้ำซากจำเจ ลองหาหนังสือที่คุณพอใจสักเล่ม หยิบ
มันขึ้นมาอ่าน เพื่อจุดประกายจินตนาการให้กับชีวิต
๒๒
๓. ได้รับประสบการณ์ มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความอยากรู้อยากเห็น อยาก
ทำนั่น อยากทำนี่ แต่ก็มีกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานอีกหลายอย่างที่กีดกันไม่ให้เรา
ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ดังใจฝันหากเราได้สามารถทำสิ่งที่ต้องการนั่นคือ การได้
รับประสบการณ์ตรง เพราะเราได้ไปสัมผัสกับสิ่งนั้นๆ เอง ในทางตรงกันข้าม
หากมีบางอย่างก็ใช่ว่าเราจะหมดหวังเสียทีเดียว การอ่านเป็นการสร้างเสริม
ประสบการณ์ทางอ้อมให้กับมนุษย์ใครล่ะจะรู้ว่าเมื่อถึงคราวที่ต้อง นักเรียน
หลายคนบรรยายฉากการเสพติด และอารมณ์ที่บรรเจิดได้อย่างดีเยี่ยม
จนผู้อ่าน เผชิญหน้ากับความเป็นจริง อาจหลงคิดว่าผู้เขียนท่าจะเคยลองเสพ
จริง แต่จริงๆ แล้วเกิดจากการที่ผู้เขียนอ่าน และศึกษา ประสบการณ์ทางอ้อมที่
เราได้รับจากการอ่านจะช่วยเราไว้ได้ ค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเกิดประสบการณ์
ทางอ้อมนั่นเอง
๔. ได้พักผ่อน และได้รับความบันเทิง การอ่านหนังสือเป็นการพักผ่อน
อย่างหนึ่ง ที่ประหยัดและปลอดภัยตัวผู้เขียนเองนอกจากจะต้องอ่านตำรา
ต่างๆ เพื่อเตรียมการสอนแล้ว นอกเหนือเวลาทำงานผู้เขียนยังใช้การอ่าน
เป็นการสร้างความบันเทิงให้กับชีวิต การมีหนังสือดีๆ อ่านแม้สักเล่มเท่ากับมี
เพื่อนคลายเหงาที่ดีผู้หนึ่ง
๕. การอ่านเป็นการฝึกสมาธิแบบหนึ่ง เมื่อพูดถึงคำว่าสมาธิ หลาย ๆ
คนคง นึกถึงวัด พระที่ศักดิ์สิทธิ์ และความยิ่งใหญ่ แต่ความจริงแล้วเราสามารถ
สร้างสมาธิได้จากการ อ่านหนังสือ เพราะการอ่านหนังสือเป็นกิจกรรมประเภท
หนึ่งที่ต้องอาศัยสมาธิ การรวบรวม ความสนใจให้เพ่งไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งในที่
นี้หมายถึงตัวหนังสือที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเป็นทิวแถว ยังไม่เคยพบเห็นใครที่ขณะ
อ่านหนังสือแล้วจะประกอบกิจกรรมอย่างอื่นไปได้ด้วยดี
๒๓
จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (๒๕๔๐ : ๓๐) กล่าวว่า การอ่านมีประโยชน์ดังต่อไป
นี้
๑. การอ่านหนังสือทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่อ่านเป็น
ผู้ที่ทันต่อเหตุการณ์
ทันความคิด ความก้าวหน้าของโลกได้เช่นเดียวกับการรับสารจากสื่อชนิดต่าง
ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์
๒. หนังสือเป็นสื่อที่ดีที่สุด ใช้ง่ายที่สุดและมีราคาถูกที่สุดที่บุคคลทั่วไปใช้
เพื่อศึกษาหาความรู้และเพลิดเพลิน
๓. การอ่านเป็นการฝึกให้สมองได้คิด และเกิดสมาธิด้วย ฉะนั้นหากมีการ
ฝึกอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ทักษะด้านนี้พัฒนาและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด
๔. ผู้อ่านหนังสือสามารถสร้างความคิดและจินตนาการได้เอง ในชณะที่
สื่ออย่างอื่น เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จะจำกัดความคิดของผู้อ่านมากกว่า
ฉะนั้นการอ่านหนังสือ จึงทำให้ผู้อ่านมีอิสระทางความคิดได้ดีกว่าการใช้สื่อ
อื่น ๆ
๒๔
ฐะปะนีย์ นาครทรรพและ คณะ (๒๕๔๖ : ๕๖-๕๗) กล่าวถึงประโยชน์ของ
การอ่าน สรุปได้ดังนี้
๑.ทำให้มีความรู้ในวิชาการด้านต่าง ๆอาจเป็นความรู้ทั่วไปหรือความรู้
เฉพาะด้านก็ได้
๒.ทำให้รอบรู้ทันโลกทันเหตุการณ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้รู้ทันข่าวสารบ้าน
เมืองและสภาพการณ์ต่าง ๆ ในสมัยสังคมทั้งภายในและภายนอกประเทศแล้ว
ยังจะได้ทราบข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง บทความวิจารณ์ ตลอดจนการโฆษณาสินค้า
ต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปรับความเป็นอยู่ให้เหมาะ
สม สอดคล้องกับสภาพสังคมของตนในขณะนั้น
๓. ทำให้ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้ การอ่านหนังสือจะช่วยตอบคำถามที่
เราข้องใจ สงสัยต้องการรู้ได้ เช่น อ่านพจนานุกรม เพื่อหาความหมายของคำ
อ่านหนังสือกฎหมาย เพื่อต้องการรู้ข้อปฏิบัติ เป็นต้น
๔.ทำให้เราเกิดความเพลิดเพลิน การอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาดี น่าอ่าน น่า
สนใจ ย่อมทำให้ผู้อ่านมีความสุขความเพลิดเพลิน เกิดอารมณ์คล้องตาม
อารมณ์ของเรื่องนั้น ๆ ผ่อนคลายความตึงเครียด ได้ข้อคิดและยังเป็นการยก
ระดับจิตใจผู้อ่านให้สูงขึ้นได้อีกด้วย
๕. ทำให้เกิดทักษะและพัฒนาการในการอ่าน ผู้ที่อ่านหนังสือสม่ำเสมอ
ย่อมเกิดความชำนาญในการอ่าน สามารถอ่านได้เร็ว เข้าใจเรื่องราวที่อ่านได้
ง่าย จังใจความได้ถูกต้อง เข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่อง และสามารถประเมิน
คุณค่าเรื่องที่อ่านได้อย่างสมเหตุสมผล
๒๕
๖.ทำให้ชีวิตมีพัฒนาการเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ ผู้ที่อ่านมากย่อมรู้เรื่อง
ราวต่าง ๆ มาก เกิดความรู้ความคิดที่หลากหลายกว้างไกล สามารถนำมา
เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนให้ชีวิต มีคุณค่าและมีระเบียบ
แบบแผนที่ดียิ่งขึ้น
๗. ทำให้เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดีและเสริมสร้างบุคลิกภาพ ผู้อ่านมาก
ย่อมรอบรู้มาก มีข้อมูลต่าง ๆ
สั่งสมไว้มาก เมื่อสนทนากับผู้อื่นย่อมมีความมั่นใจไม่ขัดเขิน เพราะมีภูมิรู้
สามารถถ่ายทอดความรู้
ให้คำแนะนำแก่ผู้อื่นในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้ ผู้รอบรู้จึงมักได้รับ
การยอมรับและเป็นที่เชื่อถือจากผู้อื่น
ฉวีวรรณ คูหาพินันทน์ (๒๕๕๒) กล่าวว่า การอ่านมีประโยชน์ต่อชีวิต
มนุษย์มากการ ตั้งแต่เกิดมามนุษย์ต้องพบกับการอ่านไม่ว่าจะเป็นการอ่าน
ด้วยตนเองหรือคนอื่นอ่านให้ฟังเพราะอ่านไม่ออก มนุษย์จะต้องอ่านไป
จนกระทั่งอายุมากจนไม่สามรถอ่านด้วยตนเองได้ จึงต้องฟังคนอื่นอ่านให้
ฟัง หรือฟังสื่ออื่น ๆ
๒๖
ผู้ประกอบอาชีพต่าง ๆ เมื่อเรียนจบแล้วไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้อง
อ่าน ผู้ที่ประกอบอาชีพต่าง ๆ จะต้องพัฒนาอาชีพของตนให้เจริญก้าวหน้า
และทันสมัย ทุกอาชีพจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากความ
เจริญทางด้านวิทยาศาสตร์รุดหน้ารวดเร็วมาก มีเทคโนโลยีต่าง ๆ เพิ่มมาก
ขึ้น มีเครื่องมือที่จะต้องศึกษาและใช้ให้เป็น เช่น เป็นแพทย์ก็จะต้องอ่าน
หนังสือวารสาร ด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ เพื่อช่วยให้รู้จักเทคโนโลยีและ
เครื่องมือใหม่ ๆ ได้แก่ เครื่องฉายเลเซอร์ ยาชนิดใหม่ ๆ และกรรมวิธีใหม่ใน
การรักษาคนไข้ เป็นต้น อาชีพแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เป็น อาชีพที่
เกี่ยวข้องกับงานด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องอ่านอย่าง
สม่ำเสมอ ต้องอ่านงาน วิจัยใหม่ ๆ เพื่อคิดค้นคว้างาน หรือประดิษฐ์เครื่องมือ
ใหม่ ๆ ได้
แม่บ้าน หรือผู้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับการประกอบอาหารจะต้องอ่าน
หนังสือเกี่ยวกับวิธี การประกอบอาหาร เครื่องมือเทคโนโลยีต่าง ๆ หนังสือ
เกี่ยวกับโภชนาการ เพื่อจะได้สามารถใช้ เครื่องมือใหม่ ๆ และพัฒนาฝีมือการ
ปรุงอาหารให้ได้มาตรฐาน และถูกหลักโภชนาการ นักธุรกิจ นายธนาคาร
เจ้าของโรงงาน บริษัทต่าง ๆ อ่านกฎหมายแรงงาน ความรู้ความเข้าใจใน
ธุรกิจ อุตสาหกรรม สิ่งของที่ผลิต ศึกษาตลาด ทุนอุดหนุน เพื่อเพิ่มปริมาณ
และคุณภาพ พัฒนาแรงงาน จำเป็นจะต้องส่งเสริมธุรกิจเพื่อทันต่อเหตุการณ์
และตลาดอีกด้วย
๒๗
การอ่านหนังสือท่องเที่ยวจะทำให้ผู้อ่านมีประสบการณ์ รู้จักสถานที่ต่าง ๆ
และใช้เป็นคู่มือนำเที่ยวได้ การอ่านทำให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ สร้าง
นิสัยรักการอ่านและการค้นคว้าให้กับผู้อ่าน
การอ่านทำให้คลายเครียดหายเหงาทำให้เกิดความเพลิดเพลิน และก่อให้
เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ เช่น การอ่านบทกลอนที่ไพเราะมาก ๆ ทำให้สามารถ
เขียนบทกลอนได้ และเป็นนักประพันธ์ได้ เป็นต้น
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อ่านมากมาย ทั้ง
การให้ความเพลิดเพลิน
การฝึกสมาธิ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ การใช้ภาษา คติชีวิต และความรู้ในด้าน
ต่าง ๆ ซึ่งประโยชน์จากการอ่านในแต่ละครั้งก็จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับ
สารที่ผู้อ่านได้รับ และในปัจจุบันนี้ยังต้องอาศัยการอ่านเป็นหลักสำคัญในการ
ติดต่อสื่อสาร รับสารต่าง ๆ จึงทำให้เห็นว่าการอ่านจึงมีประโยชน์ต่อมนุษย์เป็น
อย่างมาก
๒๘
๘. ลักษณะการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ
จิรพัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (๒๕๕๕ : ๒๗๔) การอ่านอย่างมี
ประสิทธิภาพ คือ การที่ผู้อ่านรู้จักพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีความสามารถในการ
อ่านและการคิดซึ่งเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้มีทักษะการอ่านเพื่อการศึกษา
นักวิชาการและผู้เชี่ยววชาญการอ่านหลายท่านได้เสนอแนะวิธีการอ่านอย่างมี
ประสิทธิภาพซึ่งผู้อ่านสามารถเลือกฝึกปฏิบัติ และเลือกหนังสืออ่านให้ตรงกับ
รสนิยม และความต้องการของตน ในที่นี้จะกล่าวถึงหลักและวิธีการอ่านที่ผู้
เชี่ยวชาญด้านการอ่านของไทยได้ว่ากล่าวไว้ ดังนี้
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (๒๕๕๑ : ๓๐-๓๑) ได้กล่าวถึงลักษณะการอ่านอย่าง
มีประสิทธิภาพไว้ใน "ทักษะการอ่านเพื่อการศึกษา" สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับอัตราเร็วในการจับใจความ การอ่านแต่ละประเภท มีความยาก
ง่ายต่างกัน ผู้อ่านจึงใช้เวลาในการอ่านแตกต่างกัน สารที่ง่ายจะใช้เวลาอ่านและ
จับใจความเนื้อเรื่องได้ไม่มากนัก ส่วนสารที่ยากจะใช้เวลาอ่านมาก ดังนั้น
อัตราเร็วในการอ่าน และอัตราเร็วในการจับใจความ จึงต้องยืดหยุ่น ปรับให้
เหมาะสมกับความยากง่ายของสาร และเพื่อความถูกต้องของการจับใจความ
๒. การอ่านควบคู่กับการคิด การคิด ในความหมายนี้ หมายถึง การคิด
วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่าเนื้อหาที่อ่าน การวิเคราะห์สาร จึงเป็นการ
พิจารณาส่วนประกอบของเนื้อหา ภาษาที่ใช้ และรายละเอียดต่าง ๆ ส่วน การ
สังเคราะห์ เป็นการพิจารณาภาพรวมของสารทั้งหมด และการประเมินค่า โดย
พิจารณาเหตุผล ข้อเท็จจริงต่าง ๆ เพื่อใช้ในการตัดสิน การอ่านควบคู่กับการคิด
จึงเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการนำไปใช้ควบคู่กับการอ่าน
๒๙
ฉวีวรรณ คูหาพินันทน์ (๒๕๔๒ : ๔๑-๔๓) ลักษณะของการอ่านที่ดีมี
ประสิทธิภาพ
๑. ผู้อ่านได้ลองอ่านเรื่องที่จะอ่านออกเสียงให้เข้าใจก่อน ถ้ารู้จักแบ่งวรรค
ตอนได้ถูกต้อง อาจจะอ่านในใจก่อนและทำเครื่องหมายวรรคตอนไว้
๒. ผู้อ่านได้ฝึกการอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ทั้งคำศัพท์ การเว้นวรรคตอน
และควรจับเวลาดูด้วย เพื่อให้ทันต่อเวลาที่กำหนดไว้ ควรอัดแถบบันทึกเสียง
ไว้เพื่อเปิดฟังและปรับปรุงการอ่าน
๓. ผู้อ่านได้ค้นคว้าหนังสืออ้างอิง เช่น คำศัพท์ และการอ่านออกเสียงที่ถูก
ต้องไว้ล่วงหน้าเสียก่อน ผู้ที่ทำหน้าที่พิธีกรจะต้องมีพจนานุกรมภาษาไทย และ
พจนานุกรมภาษาต่างประเทศอยู่ใกล้ ๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา
๔. ไม่ควรอ่านเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป ควรให้ทันต่อเวลาที่กำหนด (ถ้ามี
กำหนดเวลา เช่น การอ่านรายชื่อผู้เข้าพระราชทานปริญญาบัตร)
เวลาอ่านเรื่องที่เป็นความรู้เนื้อหายากควรคำนึงถึงผู้ฟังด้วย ถ้าผู้ฟังมีความรู้
น้อยควรอ่านให้ช้าลงเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ยากนัก เป็นเรื่อง
สนุกสนานอาจจะอ่านให้เร็ว แต่ไม่ควรเร็วจนเกินไป ควรให้พอเหมาะที่ผู้ฟังจะ
สามารถจับใจความสำคัญได้ การอ่านตัวเลขหรือรหัสต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังได้
จดจำไว้ควรอ่านช้า ๆ และอ่านทวน ๒ ครั้ง เช่น หมายเลขโทรศัพท์และรหัส
ไปรษณีย์ เป็นต้น
๓๐
๘. ลักษณะการอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ (ต่อ)
๓. การเลือกใช้กลวิธีการอ่านสารที่มีเนื้อหาเฉพาะอย่าง เป็นการใช้กลวิธี
อ่านให้เหมาะกับเนื้อหาของสาร เช่น อ่านเนื้อหาเกี่ยวกับสังคมศึกษา จำเป็นต้อง
อ่านอย่างละเอียดควบคู่กับการจดบันทึกคำสำคัญ และเวลาที่เกิดเหตุการณ์ เพื่อ
ใช้ในการอ่านทบทวนถ้าอ่านสารที่มีเนื้อหาวิทยาศาสตร์ จำเป็นต้องอ่านอย่างมี
วิจารณญาณ ติดตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เขียนแผนผังและแผนภูมิ
เพื่อช่วยสร้างความเข้าใจในการอ่านสาร เป็นต้น
ดังนั้น การเลือกใช้กลวิธีการอ่าน จึงขึ้นอยู่กับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ของ
การอ่านที่ใช้เพื่อการศึกษานั่นเอง
๓๑
ฉวีวรรณ คูหาพินันทน์ (๒๕๔๒ : ๔๑-๔๓) ลักษณะของการอ่านที่ดีมี
ประสิทธิภาพ
๑. ผู้อ่านได้ลองอ่านเรื่องที่จะอ่านออกเสียงให้เข้าใจก่อน ถ้ารู้จักแบ่งวรรค
ตอนได้ถูกต้อง อาจจะอ่านในใจก่อนและทำเครื่องหมายวรรคตอนไว้
๒. ผู้อ่านได้ฝึกการอ่านออกเสียงให้ถูกต้อง ทั้งคำศัพท์ การเว้นวรรคตอน
และควรจับเวลาดูด้วย เพื่อให้ทันต่อเวลาที่กำหนดไว้ ควรอัดแถบบันทึกเสียงไว้
เพื่อเปิดฟังและปรับปรุงการอ่าน
๓. ผู้อ่านได้ค้นคว้าหนังสืออ้างอิง เช่น คำศัพท์ และการอ่านออกเสียงที่ถูก
ต้องไว้ล่วงหน้าเสียก่อน ผู้ที่ทำหน้าที่พิธีกรจะต้องมีพจนานุกรมภาษาไทย และ
พจนานุกรมภาษาต่างประเทศอยู่ใกล้ ๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา
๔. ไม่ควรอ่านเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป ควรให้ทันต่อเวลาที่กำหนด (ถ้ามี
กำหนดเวลา เช่น การอ่านรายชื่อผู้เข้าพระราชทานปริญญาบัตร)
เวลาอ่านเรื่องที่เป็นความรู้เนื้อหายากควรคำนึงถึงผู้ฟังด้วย ถ้าผู้ฟังมีความรู้
น้อยควรอ่านให้ช้าลงเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่ยากนัก เป็นเรื่อง
สนุกสนานอาจจะอ่านให้เร็ว แต่ไม่ควรเร็วจนเกินไป ควรให้พอเหมาะที่ผู้ฟังจะ
สามารถจับใจความสำคัญได้ การอ่านตัวเลขหรือรหัสต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ฟังได้
จดจำไว้ควรอ่านช้า ๆ และอ่านทวน ๒ ครั้ง เช่น หมายเลขโทรศัพท์และรหัส
ไปรษณีย์ เป็นต้น
๕. ต้องรู้จักเน้นใจความสำคัญสาระสำคัญ อ่านออกเสียงหนักเบา การเน้น
ควรเน้นแต่พอสมควร เสียงที่ผิดธรรมชาติ เช่น ใช้เสียงแหลมหรือพูดเล่น
สำหรับการอ่านหนังสือวรรณคดีจะต้องอ่านเสียงชัดเจนหนักแน่นและทอดเสียง
บางตอน เพราะน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟังจะทำให้ผู้ฟังเกิดความสบายใจและเกิด
อารมณ์คล้อยตามไปด้วย
๓๒
๖. อ่านให้เสียงดังเพื่อให้ผู้ฟังในห้องฟังอย่างชัดเจน จะทำให้ผู้ฟังไม่เบื่อไม่
ง่วงและไม่รำคาญ แต่ไม่ควรอ่านเสียงดังเกินขนาดจะเป็นอันตรายกับผู้ฟังได้
สำหรับความดังของเสียงนั้นองค์การอนามัยโลกได้กำหนดไว้ว่าความดังของ
เสียงที่ได้ยินต้องไม่เกิน ๘๕ เดซิเบล ภายในเวลาติดต่อกันไม่เกิน ๘ ชั่วโมงต่อ
วัน การที่เรารับฟังเสียงดังมากกว่านี้ และฟังอยู่เป็นเวลานานจะก่อให้เกิด
อันตรายต่อระบบการได้ยิน สามารถทำให้เกิดอาการหูตึงหรือหูอื้อชั่วคราว
จนถึงถาวร และเป็นอันตรายต่อสุขภาพอาทิ เช่น ทำให้ความดันโลหิตสูง เป็น
โรคกระเพาะ โรคหัวใจ เกิดสภาวะตึงเครียด ทำให้ชีพจรเต้นผิดปกติ เกิดอาการ
เกร็งของกล้ามเนื้อ ตกใจ และอาจทำให้เกิดอาการหดตัวของหลอดเลือดเล็ก ๆ
ที่มือและเท้าได้ (อัจฉราวรรณ รำพรรณ์ ๒๕๓๗ : ๑๑๖ )
๗. อ่านให้คล่องและชัดเจนชัดถ้อยชัดคำซึ่งขึ้นอยู่กับการฝึกฝน การอ่านมา
ล่วงหน้าโดยการฝึกอ่านทีละประโยคหลายครั้งจึงอ่านได้ดีไม่ติดขัด เมื่ออ่านจริง
ก็จะสามารถอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว การอ่านผิดบ่อย ๆ หรือตะกุกตะกัก กลับ
ไปกลับมาจะทำให้ผู้ฟังเบื่อและสับสน ผู้ฟังจะรำคาญทำให้เรื่องไม่น่าสนใจ
๘. อ่านให้เหมาะกับเนื้อเรื่อง เช่น การอ่านสารคดี ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ควร
อ่านด้วยเสียงธรรมชาติแต่ถ้าเป็นการอ่านเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องใช้อารมณ์ หรือ
เป็นบทร้อยกรอง เช่น การเล่าเรื่องหนังสือ การเล่านิทาน หรือการอ่านหนังสือ
ให้เด็กฟัง ผู้อ่านควรสอดใส่อารมณ์ให้เหมาะสมเพื่อเร้าความสนใจ ใหเกิด
ภาพพจน์ เช่น ทำเสียงประกอบเลียนเสียงแมว เสียงสุนัข และเสียงนก เป็นต้น
๓๓
๙. บุคลิกภาพท่าทางมั่นใจ ท่านั่งหรือท่ายืนเหมาะสม ผู้อ่านจะต้องวาง
สีหน้าให้ปกติ ถ้าอ่านสารคดีจะไม่สอดใส่อารมณ์ ไม่หลุกหลิก เวลาอ่านต้องไม่
ยกกระดาษ หรือต้นฉบับขึ้นให้ผู้ฟังมองเห็น เวลาอ่านไม่ควรจะ ก้มหน้าอ่าน
ตลอดเวลา เงยหน้าดูผู้ฟังบ้างเพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นหน้าผู้อ่านและผู้อ่านได้มองดู
หน้าผู้ฟัง เพื่อสังเกตดูความสนใจของผู้ฟังบางครั้งผู้ฟังอาจจะคุยหรือนั่งหลับ
เรื่องไม่น่าสนใจ ผู้อ่านสังเกตดูปฏิกิริยาของผู้ฟังว่าเข้าใจหรือเกิดอารมณ์ร่วม
ด้วยหรือไม่ ฟังทันหรือไม่ ถ้าฟังไม่ทันควรลดความเร็วลง ผู้อ่านไม่ควรแสดง
อารมณ์โมโหฉุนเฉียว ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ว่ากล่าวตักเตือนผู้ฟัง ควรรู้จักระงับ
อารมณ์ถ้าผู้ฟังคุยกันเสียงดังอาจจะต้องถามผู้ฟังว่าฟังทันหรือไม่อย่างไร เพื่อ
ปรับปรุงการอ่านของตน
๑๐. ถ้าเป็นการอ่านรายชื่อนักศึกษาเพื่อรับประกาศนียบัตร หรือเข้ารับ
พระราชทานปริญญาบัตรจะต้องระมัดระวังการอ่าน ให้ตรงกับชื่อนามสกุลผู้ที่
กำลังเดินขึ้นมาบนเวทีให้ถูกต้อง อยากอ่านเร็วหรือช้าเกินไปแต่ต้องให้ทันเวลา
ตามที่กำหนด
๑๑. ต้องฝึกซ้อมการอ่านมาล่วงหน้าหลาย ๆ ครั้ง เพื่อความถูกต้องของการ
ออกเสียงตัวสะกดการันต์และการเว้นวรรคตอน จับเวลาไปด้วยเพื่อรักษาเวลา
ให้ได้ตามที่กำหนด (สำหรับการอ่านออกเสียง) เช่น การอ่านรายชื่อนักศึกษา
เพื่อรับประกาศนียบัตรหรือวุฒิบัตร เป็นต้น
๓๔
๑๒. รู้จักวิธีใช้ห้องสมุดเพื่อหาหนังสืออ่านได้อย่างรวดเร็ว เช่น ใช้ตู้บัตร
รายการ หรือคอมพิวเตอร์ช่วยค้น
๑๓. รู้จักใช้ส่วนต่าง ๆ ของหนังสือ เช่น สารบัญและดัชนีช่วยในการ
ค้นคว้าให้รวดเร็ว
๑๔. สามารถค้นพจนานุกรมหรือสมุดโทรศัพท์ได้อย่างรวดเร็ว รู้จักวิธีใช้
คำนำทางที่อยู่ตอนบนของหน้ากระดาษทุกหน้า และอักษรนำเล่มที่อยู่ที่
สนามหนังสือที่มีหลายเล่มจบ หรือรู้จักใช้ดัชนีริมกระดาษ เป็นต้น
๑๕. ไม่มีนิสัยเสียในการอ่าน อาทิเช่น เวลาอ่านในใจทำปากขมุบขมิบไป
ด้วย อ่านออกเสียงไปด้วย สายหน้า เอานิ้วแตะน้ำลาย เอานิ้วชี้ไปด้วยขณะที่
อ่าน และอ่านย้อนกลับไปมา
๑๖. รู้จักกวาดสายตาได้รวดเร็ว เช่น การอ่านสารบัญ อ่านข่าวพาดหัว
หนังสือพิมพ์ และอ่านนวนิยาย เป็นต้น
๑๗. รู้จักตั้งคำถาม ตอบคำถามทบทวน หรือทำแบบฝึกหัดท้ายบทเมื่อ
อ่านจบ จะทำให้เข้าใจดียิ่งขึ้น
๑๘. อ่านแล้วจับใจความสำคัญได้ สรุปได้ เช่น การอ่านหนังสือสารคดี ตำรา
และบทความทางวิชาการ เป็นต้น
๑๙. อ่านแล้วแยกข้อเท็จจริงออกจากข้อคิดเห็นได้ เช่น การอ่าน
บทบรรณาธิการและการอ่านบทความทางสารคดีที่ผู้เขียนได้แสดงข้อคิดเห็น
ไว้ด้วย
๒๐. อ่านแล้วตีความได้ สามารถอธิบายความหมายของข้อความในการ
เปรียบเทียบ ตลอดจนในที่ซ่อนเร้นอยู่ในข้อความนั้นได้
๒๑. อ่านแล้ววิจารณ์ได้ เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อข้อความที่อ่านว่าดี
หรือไม่ดีอย่างไรควรแก้ไขอย่างไร บกพร่องอะไรบ้าง เห็นด้วยหรือไม่กับ
ข้อความนั้น ๆ
๓๕
๒๒. อ่านแล้วเล่าเรื่องได้ แสดงให้เห็นว่าเข้าใจในเรื่องที่อ่านและสามารถเล่า
ให้ผู้อื่นฟังให้เข้าใจได้
๒๓. อ่านแล้วจดบันทึกได้ รู้จักวิธีจดบันทึกสิ่งที่อ่านเพื่อจะได้นำไปใช้ในการ
เขียนรายงานหรือนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้
๒๔. อ่านแล้วเกิดความคิดสร้างสรรค์ สร้างงานใหม่หรือนำไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์
จากการศึกษาสรุปได้ว่า การอ่านอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการอ่านที่มุ่งให้
ผู้อ่านเข้าใจความหมายของสารที่อ่านได้อย่างถูกต้อง ตรงตามที่ผู้เขียน
ต้องการและสามารถสรุปความ หรือขยายความข้อความที่อ่านได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งสามารถนําไป ใช้ประโยชน์ตามที่ตนตั้งจุดประสงค์ไว้ได้
๓๖
กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์ (๒๕๕๑ : ๑๐๒-๑๐๓) ลักษณะของนักอ่านที่ดีผู้ที่มี
คุณสมบัติของนักอ่านที่ดีจะเป็นหนทางนำไปสู่ความสำเร็จในการอ่านเพราะจะรู้
และสามารถทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อ่านได้ และยังใช้การอ่านหนังสือแสวงหา
ความรู้ในแง่มุมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้อ่านควรจะฝึกฝนคุณสมบัติของ
ลักษณะนักอ่านที่ดีโดยมีแนวทางที่ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. หมั่นแสวงหาความรู้
การแสวงหาความรู้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์มีพัฒนาการทางสติ
ปัญญา และเมื่อมนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญาที่ดีแล้วจะนำไปสู่การนำไปใช้ในการ
ดำเนินชีวิตที่เหมาะสม หากมนุษย์สนใจใคร่รู้ในประเด็นต่าง ๆ แล้วจะเป็นจุดเริ่ม
ต้นของการนำไปสู่การเป็นนักอ่านที่ดี
๒. ไม่เลือกประเภทหนังสือที่อ่าน
ผู้อ่านที่ดีจะต้องไม่เลือกประเภทของหนังสือที่อ่าน เพื่อจะได้รับรู้เรื่องราว
หลากหลายแง่มุม และพึงระลึกอยู่เสมอว่าหนังสือทุกประเภทนั้นมีประโยชน์ทั้ง
สิ้น แต่ผู้อ่านจะต้องพิจารณาใคร่ครวญในการรับรู้ข้อมูลเหล่านั้น และเลือกสิ่งที่
ดีของหนังสือนั้น ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์
๓. มีสมาธิ
ผู้อ่านที่ดีจะต้องมีสมาธิในขณะอ่าน ผู้อ่านที่ดีจะต้องมีสมาธิในขณะอ่าน
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตาม ที่ตนเองกำหนดไว้ หากมีสมาธิแล้วผู้อ่านก็จะมี
ใจจดจ่อกับข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ได้รับข้อมูลที่ต้องการอย่างครบถ้วน
สามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นได้ด้วยความเข้าใจ
๓๗
๔. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
ผู้อ่านควรกำหนดวัตถุประสงค์ในการอ่านที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถ
ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้รวดเร็ว ครบถ้วน และถูกต้อง หากมี
วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนแล้วจะช่วยให้ผู้อ่านเลือกหาหนังสือที่ต้องการได้
รวดเร็วขึ้นด้วย
๕. จับใจความสำคัญของเรื่องได้
การจับใจความสำคัญของเรื่องได้ ทั้งใจความสำคัญในแต่ละย่อหน้า
และใจความสำคัญของเรื่องทั้งหมด จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ผู้อ่านจะรู้
ได้ว่าผู้เขียนต้องการนำเสนอข้อมูลใด ผู้อ่านเองก็จะรู้ความสำคัญของ
ประเด็นที่อ่าน เพื่อให้นำไปสู่การดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้อย่างถูก
ต้องเหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามใจความสำคัญในความหมายของผู้อ่าน
อาจหมายถึงเพียงข้อมูลที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้อ่านซึ่งผู้อ่านจะต้อง
กำหนดวัตถุประสงค์ไว้ล่วงหน้าก่อน
๖. ประโยชน์ที่ได้จากเรื่องไปใช้ในทางที่เหมาะสม
เมื่อผู้อ่านได้รับข้อมูลตามที่ต้องการแล้ว สิ่งสำคัญเป็นลำดับต่อไปคือการ
เลือกนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในด้าน
การพัฒนาสติปัญญา พัฒนาด้านอารมณ์ หรือการมีพฤติกรรม ที่เหมาะสม
มิใช่ให้การอ่านครั้งนั้น ๆ เป็นเพียงแค่รับรู้แล้วผ่านเลย โดยไม่นำไปใช้ให้
เกิดประโยชน์ใด ๆ
๓๘
หากผู้อ่านสามารถปฏิบัติได้ตามนี้แล้ว จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวที่อ่าน
ได้เป็นอย่างดี และจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตนเองกำหนดไว้ รวมทั้งทำให้รับ
รู้สารที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการอ่านแต่ละครั้ง
ผู้อ่านควรมีการบันทึกเพื่อช่วยจำด้วย เพราะจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านในภาย
หลังหากต้องการอ้างอิงหรือค้นคว้าเพิ่มเติม นอกจากนั้นผู้อ่านยังควรฝึกตนเอง
ให้เป็นผู้มีนิสัยรักการอ่านโดยอาจเริ่มต้นจากการเลือกอ่านหนังสือที่ตนเองสนใจ
เป็นพิเศษและค่อย ๆ เลือกอ่านหนังสือที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อการแสวงหา
ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่ตนเองและนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่การอยู่ร่วมกันใน
สังคม
คุณลักษณะดังกล่าว ทุกคนสามารถที่จะฝึกฝนได้ด้วยตนเอง ยิ่งฝึกฝนมาก
ขึ้นเป็นลำดับก็จะยิ่งทำให้บุคคลผู้นั้นเป็นนักอ่านที่ดีมากขึ้น และจะทำให้เป็นผู้มี
สติปัญญาที่กว้างไกล เลือกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ตามสถานการณ์ที่เหมาะ
สม ซึ่งจะเป็นผลดีที่สะท้อนกลับมาสู่ตนเอง
ทัศนีย์ ศุภรเมธี (๖๕-๖๖) นักอ่านที่ดีควรมีคุณลักษณะ ดังนี้
๑. อ่านหนังสือได้เร็ว และเข้าใจความหมายได้ทันที
๒. มีหนังสือดี ๆ อ่านอย่างสม่ำเสมอ
๓. มีประสบการณ์เกี่ยวกับการอ่านพอสมควร
๔. มีสมาธิแน่วแน่ในการอ่าน
๕. มีพื้นฐานอารมณ์ที่อ่อนไหว สามารถเข้าถึงอารมณ์ในข้อเขียนและเคลิบเคลิ้ม
ไปตามข้อเขียนในหนังสือได้
๖. เข้าใจศิลปะแห่งการแต่งหนังสือ ศิลปะการใช้ถ้อยคำ ศิลปะการใช้โวหารทั้งที่
เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง
๓๙
ปัจจุบันนิสิตนักศึกษาต้องอ่านหนังสือมาก ทั้งหนังสือในเวลาและนอก
เวลา ผู้ที่อ่านหนังสือช้า และผู้ที่อ่านหนังสือแล้วไม่สามารถจับสาระสำคัญ
ของเรื่องที่อ่านได้ ยอมเสียเปรียบ เพราะท่านต้องเสียเวลามากขึ้น ดังนั้นการ
ฝึกให้มีนิสัยอ่านหนังสือเร็ว มีสมาธิแน่วแน่ในการอ่าน อ่านแล้วเก็บสาระได้
เป็นสิ่งจำเป็นมากและหากท่านเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติในสิ่งดังกล่าวมาแล้วได้
ก็ได้ชื่อว่าเป็นนักอ่านที่ดี
ข้อที่ควรพิจารณาในการอ่านหนังสือ หากท่านยังอ่านได้ไม่เร็วเท่าที่ควร
ก่อนอื่นควรพิจารณาหาสาเหตุว่าเนื่องมาจากอะไร เพื่อจะได้หาวิธีแก้ไขให้
ตรงเป้าหมาย สาเหตุที่ทำให้อ่านหนังสือช้า อาจเนื่องมาจาก
๑. สุขภาพทางร่างกายไม่ดี เช่น การเจ็บไข้ สายตาไม่ดี เหนื่อยมาก
๒. สิ่งแวดล้อมไม่ดี เช่น แสงสว่างไม่พอ โต๊ะม้านั่งไม่เหมาะสม อากาศร้อน
หรือหนาวเกินไป
๓. ผู้อ่านมีความวิตกกังวล เคร่งเครียด หรือขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
๔. พื้นความรู้ไม่ดีพอ
๕. ประสิทธิภาพทางสติปัญญา
๖. การอ่านที่ผิดวิธี เช่น อ่านทีละคำ จึงทำให้อ่านได้ช้า
๗. ไม่มีสมาธิ ไม่มีความตั้งใจในการอ่าน
๘. ขาดการแนะนำที่ดี
๔๐
การทดสอบความเข้าใจในการอ่านหนังสือ ผู้อ่านควรทดสอบตนเองดูว่า
สามารถเข้าใจในเรื่องราวที่อ่านมากน้อยเพียงใด จะได้ปรับปรุงแก้ไขการอ่านได้
มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้น วิธีการทดสอบ เมื่ออ่านหนังสือแล้ว จงพิจารณา
ตนเองว่ามีความสามารถในประเด็นต่อไปนี้เพียงใด
๑. มีความเข้าใจเนื้อเรื่องเป็นส่วนรวมได้ถูกต้อง
๒. สามารถจับความคิดสำคัญของผู้เรียนได้
๓. สามารถบอกได้ว่าตอนไหนเป็นใจความสำคัญมาก ตอนไหนเป็นเพียงส่วน
ประกอบ ตอนไหนเป็นรายละเอียดปลีกย่อย
๔. สามารถตอบคำถามท้ายบทได้
๕. สามารถสรุปและจับลำดับเรื่องราวที่อ่านได้
๖. สามารถวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้
๗. สามารถประเมินผลการอ่านของตนเองได้
คณาจารย์ มหาวิทยามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ( ๒๕๕๓ : ๑๕๔-๑๕๕ )
นักอ่านที่ดีควรใส่ใจพัฒนาทักษะการอ่านและปรับปรุงตนเองให้มีคุณลักษณะ
ดังนี้
๑. รู้จักเรื่องอ่านแต่หนังสือที่ให้ประโยชน์ ไม่โน้มน้าว หรือชักจูงผู้อ่านให้
กระทำผิดหรือเข้าใจผิด คือ รู้จักพิจารณาว่า หนังสือชนิดใดดีหรือไม่ดี ควรอ่าน
หรือไม่ควรอ่าน ทั้งยังต้องรู้ด้วยว่าหนังสือชนิดใดควรอ่านอย่างไร มีกลวิธี
อย่างไร จึงจะได้ความรู้โดยเร็วและประหยัดเวลา
๔๑
๒. มีสมาธิในการอ่าน คือ ในเวลาที่อ่านหนังสือหรือตำรับตำราอยู่นั้นผู้อ่าน
จะต้องมีสมาธิอย่างมั่นคงและมีความอดทนในการอ่าน ซึ่งก็จะส่งผลทำให้
สามารถอ่านหนังสือได้ในระยะเวลานาน ๆ ไม่เบื่อหน่าย และไม่ใส่ใจต่อสิ่งอื่น
หรือเสียงรบกวนรอบ ๆ ด้าน
๓. มีพื้นฐานความรู้และประสบการณ์พอสมควรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้แก่
ความรู้ทั่วไป ถ้อยคำ สำนวน โวหาร ศิลปะการแต่ง เป็นต้น
๔. รู้จักตั้งจุดประสงค์ในการอ่าน คือ ในขณะที่อ่านหนังสืออยู่นั้น ต้องรู้ว่า
ตนเองมีจุดประสงค์อย่างไร เช่น เพื่อให้ได้ความรู้ที่เป็นวิชาการ หรือ เพื่อความ
สนุกสนานบันเทิง หรือ เพื่อให้ได้ข้อคิดความจรรโลงใจ เมื่อทราบจุดประสงค์แล้ว
ก็พยายามอ่านให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
๕. พร้อมในการอ่าน คือ ความพร้อมทางร่างกาย ทางสมอง ทางสังคม ทาง
อารมณ์ จินตนาการ ประสบการณ์ และถึงมีความพร้อมทางด้านสุขภาพร่างกาย
และสายตา ตลอดจนความพร้อมทางด้านภาษาด้วย
๖. รู้จักจับประเด็นสำคัญของเรื่องที่อ่านได้โดยตลอด คือ สามารถจับใจความ
สำคัญของเรื่องที่อ่านได้เป็นอย่างดี ถูกต้องและรวดเร็ว
๗. รู้จักจำ และจดบันทึกรวบรวมความรู้ความคิดที่ได้จากการอ่าน เช่น
ทำการบันทึกย่อไว้เพื่อช่วยจำ ในการบันทึกย่อนั้นก็ควรทำให้ถูกต้อง เพื่อนำมา
ใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงในโอกาสที่ต้องใช้
๘. มันทบทวน ติดตาม สืบต่อ ความรู้ทั้งเก่าและใหม่อย่างสม่ำเสมอ
๙. มีวิจารณญาณในการอ่าน รู้จักใคร่ครวญ ตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาข้อเท็จ
จริงของหนังสือที่อ่านว่า เขียนดีหรือไม่ดีอย่างไร มีจุดเด่นและจุดบกพร่องที่ต้อง
ปรับปรุงแก้ไขอย่างไรบ้าง ตลอดจนรู้จักเก็บสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์นำไปใช้ใน
โอกาสต่อไป
๔๒
๑๐. รู้จักใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของหนังสือ เช่น คำนำ สารบัญ
บรรณานุกรม ภาคผนวก อภิธานศัพท์ ดัชนี เป็นต้น ให้เป็นประโยชน์
นอกจากนี้ ผู้ที่จะอ่านหนังสือได้ดีและมีประสิทธิภาพ ควรประกอบด้วย
คุณสมบัติสำคัญของนักอ่าน ๘ ประการ ดังนี้
๑) อ่านหนังสือได้เร็ว เข้าใจเรื่องหรือสาระของเรื่องได้ทันที สามารถสรุปเรื่อง
ได้การอ่านหนังสือเร็วและทำความเข้าใจได้ทันทีนั้นจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผู้อ่านมี
อุปนิสัยรักการอ่านฝึกหัดการอ่านอยู่เสมอ และมีความเข้าใจในประโยชน์ของ
การอ่านท่องแท้
๒) อ่านหนังสือสม่ำเสมอ และอ่านหนังสือได้หลายประเภท ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่ง
ที่จะส่งเสริมคุณสมบัติการเป็นนักอ่านที่ดีในข้อต่อไป เพราะการอ่านจะช่วยให้ผู้
อ่านมีพื้นฐานดีขึ้น
๓) ตั้งใจอ่านหนังสือทุกประโยค มีความอดทน และมีสติในการอ่านหนังสือ
สามารถอ่านได้นานและอ่านด้วยความเข้าใจ การฝึกหัดตนให้มีความอดทนและ
มีสมาธิมั่นคงในการอ่านจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ต้องอาศัยความตั้งใจจริงและมุ่งมั่น
ของผู้อ่านที่จะหาประโยชน์จากหนังสือนั้นให้จงได้
๔) มีพื้นฐานในการอ่านในด้านประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านพอสมควร เพื่อ
ให้สามารถเข้าใจและตีความ หรือเชื่อมโยงความคิดที่ปรากฏในเรื่องเข้ากับความ
คิดของตนได้เป็นต้นว่า เรื่องเศรษฐกิจ การเมืองศาสนา ความรัก ประสบการณ์นี้
อาจเกิดได้ตามวัยของผู้อ่าน เมื่อผู้อ่านได้ผ่านกาลเวลาและผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ
มามาก ก็จะมีประสบการณ์เพิ่มพูนขึ้น
๔๓
๕) มีพื้นฐานในการอ่านในด้านภาษาและศิลปะการเรียบเรียงหนังสือ ทั้งนี้
เพื่อสามารถทำความเข้าใจในคำศัพท์ โวหาร คําพังเพย สำนวน อุปมาอุปไมย
หรือสำนวนเปรียบเทียบ หรือการใช้สัญลักษณ์แทนความหมาย จะได้เข้าใจเนื้อ
ความได้ตลอดโดยกระจ่างแจ้ง ชัดเจนถูกต้อง ตามสาระที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร
ให้ผู้อ่านทราบ
๖) เป็นผู้หาความรู้เพิ่มเติม หรือทำความเข้าใจให้กระจ่างในข้อความที่อ่าน
แล้วแต่ยังคลุมเครืออยู่ ด้วยการอ่านหนังสือที่ผู้เขียนอ้างอิง ด้วยการสอบถามผู้รู้
ด้วยการเปิดพจนานุกรมเพื่อหาคำอธิบายศัพท์ ด้วยการไตร่ตรองคิดและทบทวน
ประสบการณ์ของตนเอง
๗) จะทำบันทึกการอ่าน จด หรือทำประมวลสรุปสาระเรื่องที่อ่านไว้สำหรับ
นำมาใช้ในภายหลัง เรื่องนี้จะได้กล่าวถึงต่อไปข้างหน้า
๘) สนใจติดตามข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวงการหนังสืออยู่เสมอ เพื่อให้มี
ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือ สามารถเสาะแสวงหามาอ่านศึกษาได้ หรือสามารถติดตาม
รับทราบคำวิจารณ์หนังสือต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางประกอบการเลือก
หนังสืออ่าน
คุณสมบัติดังกล่าว เป็นสิ่งสำคัญที่นักอ่านควรคำนึงถึงในการอ่านหนังสือ
แต่ละครั้งเพราะสามารถทำให้อ่านหนังสือได้อย่างเหมาะสม ได้รับประโยชน์ตรง
ตามความต้องการ ถามให้ผู้อ่านมีความรู้เพิ่มพูนมากขึ้น และยังทำให้การอ่านมี
ประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
จากการศึกษาสรุปได้ว่า ผู้ที่จะเป็นนักอ่านที่ดีนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่รู้จักเลือก
อ่านหนังสือดี ๆ ที่เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพชีวิต และในขณะที่อ่านจะต้องมี
สมาธิ ตั้งจุดมุ่งหมายทุกครั้งก่อนอ่าน ต้องรู้จักอ่านอย่างมีวิจารณญาณ มีทักษะ
และความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านว่า เป็นเนื้อหาหรือเป็นหนังสือเกี่ยวกับ
ประเภทใด หลังอ่านจบควรจดบันทึกความรู้ที่ได้จากการอ่าน
๔๔
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการอ่าน จึงเป็นความรู้เบื้องต้นที่ทำให้ผู้ที่ได้ศึกษา และ
สนใจด้านการอ่าน เข้าใจความหมาย ความสำคัญ จุดมุ่งหมาย กระบวนการ องค์
ประกอบของการอ่านมากขึ้น รวมถึงเข้าใจประโยชน์ของการอ่านที่จะช่วยพัฒนา
ผู้อ่านให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ร่วมถึงการเข้าใจลักษณะของการ
อ่าน และการเป็นนักอ่านที่ดีอีกด้วย
๔๕
บรรณานุกรม
๔๖