2
2 บทที่ 2 เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ ในงานประกอบตู้ไฟหลัก ( MDB ) 2.1 เครื่องมือช่างไฟฟ้า เครื่องมือที่ช่างไฟฟ้าต้องใช้งานมีมากมายหลายชนิด ในที่นี้จะแยกอธิบายเป็น 2 ประเภทคือ เครื่องมือติดตั้งไฟฟ้าในอาคารและเครื่องมือติดตั้งไฟฟ้าในโรงงาน ที่สำคัญดังนี้ 2.1.1 เครื่องมือติดตั้งไฟฟ้าในอาคาร การติดตั้งไฟฟ้าในอาคารส่วนใหญ่จะนิยมใช้วิธีการเดินสายไฟฟ้าด้วยเข็มขัดรัดสาย เครื่องมือที่จำเป็นมีดังนี้ 1. ค้อนเดินสายไฟฟ้า จะออกแบบให้มีขนาดกระชับมือ ที่ปลายหัวค้อนจะออกแบบให้ แหลมมน เพื่อให้สะดวกในการใช้ตอกตะปูในบริเวณแคบ ๆ โดยทั่วไปมีนํ้าหนัก ประมาณ 200 กรัม และ 250 กรัม 2. คีมช่างไฟฟ้า ได้แก่ คีมตัด คีมปากแหลม (ปากจิ้งจก) คีมรวม คีมปอกสาย คีมยํ้า หางปลา คีมล็อก เป็นต้น 3. คัทเตอร์ โดยทั่วไปจะนิยมใช้คัทเตอร์ชนิดที่เปลี่ยนใบได้และด้ามเป็นฉนวน พลาสติก เนื่องจากราคาถูกและมีจำหน่ายทั่วไป 4. ไขควง จะใช้ไขควงที่มีด้ามเป็นฉนวนพลาสติกหรือด้ามไม้ก็ได้ ทั้งไขควงปากแบน และปากแฉก 5. ไขควงเทสไฟ นิยมเรียกอีกอย่างว่าไขควงเช็คไฟ เป็นเครื่องมือประจำตัวของช่าง ไฟฟ้าที่นิยมพกติดกระเป๋าเสื้อไว้เสมอ เนื่องจากสามารถขันสกรูขนาดเล็กได้เป็น อย่างดีนอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทดสอบแรงดันไฟฟ้าได้อีกด้วย 6. บิดหล่า โดยทั่วไปจะใช้เจาะแป้นไม้ แผงจ่ายไฟ และอื่น ๆ 7. สว่านไฟฟ้า ใช้สำหรับเจาะรูโดยเฉพาะ ประกอบด้วย สว่านธรรมดา ใช้สำหรับเจาะไม้และเจาะเหล็ก สว่านกระแทก ใช้สำหรับเจาะผนังปูนซีเมนต์ สว่านโรตารี่ ใช้สำหรับเจาะผนังปูนซีเมนต์หรือคอนกรีต สว่านมือถือ ใช้สำหรับงานเจาะที่มีแรงเสียดทานไม่มาก นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ เป็นไขควงขันสกรูได้อีกด้วย 8. ปักเต้า ใช้สำหรับตีเส้นให้ตรงและได้ระดับ 9. ระดับนํ้า ใช้ตรวจสอบความเที่ยงตรงในงานเดินสายไฟฟ้าด้วยเข็มขัดรัดสาย 10. ลูกดิ่ง ใช้ตรวจเช็คระดับในแนวดิ่ง
3 11. ตลับเมตร ใช้วัดระยะ มีหน่วยเป็นเซนติเมตร (cm) และเป็นนิ้ว (in) 12. ฟุตเหล็ก ใช้วัดระยะและตีเส้นในช่วงสั้น 13. เหล็กนำศูนย์ เรียกอีกอย่างว่าเหล็กตอกนำ ใช้ตอกนำบนผนังที่ฉาบด้วยปูนซีเมนต์เพื่อป้องกัน ตะปูงอ 14. เหล็กส่ง ใช้สำหรับตอกตะปูในที่แคบ และไม่สามารถใช้ค้อนตอกตะปูได้โดยตรง 15. สิ่ว ใช้สำหรับบากแป้นไม้รองสวิตซ์ ปลั๊ก และแผงจ่าย 16. เลื่อย ได้แก่ เลื่อยฉลุ เลื่อยลันดา เลื่อยลอ เป็นต้น 17. มัลติมิเตอร์ เป็นเครื่องมือวัดเอนกประสงค์ที่นิยมใช้ทั่วไป 2. เครื่องมือติดตั้งไฟฟ้าในโรงงาน ส่วนใหญ่จะเดินสายไฟฟ้าในท่อร้อยสาย ทั้งท่อโลหะและอโลหะ เครื่องมือที่จำเป็นต้อง ใช้มีดังนี้ 1. เครื่องมือดัดท่อ โดยทั่วไปนิยมเรียกว่า เบนเดอร์ (Bender) ประกอบด้วย EMT Bender ใช้ดัดท่อโลหะบาง (ท่อ EMT) Hickey ใช้ดัดท่อโลหะหนาปานกลาง (ท่อ IMC) Hydraulic Bender ใช้ดัดท่อโลหะหนา (ท่อ Rigid หรือท่อRSC) 2. คัทเตอร์ตัดท่อ ใช้ตัดท่อโลหะทุกชนิดหรืออาจใช้เลื่อยตัดเหล็กได้เช่นกัน 3. ปากกาจับท่อ ใช้จับท่อให้อยู่กับที่ในขณะตัดท่อ 4. เครื่องมือต๊าปเกลียว ใช้สำหรับทำเกลียวท่อ IMC และท่อ RSC 5. เครื่องมือคว้านท่อ เรียกอีกอย่างว่า รีมเมอร์ (Reamer) ใช้สำหรับลบคมบริเวณปลายท่อ 6. ลวดดึงสายไฟ เรียกอีกอย่างว่าฟิชเทป (Fish Tape) มีหลายชนิดคือ ยาว 25 ฟุต 50 ฟุต 100 ฟุต และ 200 ฟุต 7. น็อกเอาท์พันช์ (Knock Out Punch) ใช้สำหรับขยายรูในตู้โหลดเซนเตอร์ หรือกล่องโลหะอื่นๆ 8. เครื่องเจียร ใช้สำหรับเจียรลบคม หรือทำให้บางลง 9. ประแจ ได้แก่ ประแจคอม้า ประแจเลื่อน ประแจปากตาย เป็นต้น 10. คีมตัด ใช้ตัดสายเคเบิ้ล 11. บันไดอะลูมิเนียม ใช้สำหรับปฏิบัติงานในที่สูงกว่าความสูงของผู้ปฏิบัติงาน 12. เครื่องมือทดสอบฉนวน (Insulation Tester Meter) 2.2 วัสดุอุปกรณ์ 2.2.1 วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้ติดตั้งไฟฟ้าในอาคาร วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับงานเดินสายไฟฟ้าด้วยเข็มขัดรัดสายที่สำคัญ มีดังนี้
4 1. เข็มขัดรัดสาย หรือ คลิป (Clip) หรือกิ๊ป จะเรียกเป็นเบอร์ (#) ได้แก่เบอร์3/4, 0, 1, 1.5, 2, 2.5, 3, 4, 5 และ 6 ตั้งแต่เบอร์3 ถึงเบอร์6 จะมีขนาดสองรู 2. ตะปู ตะปูตอกคลิปบนอาคารไม้จะใช้ขนาด 3/8 นิ้ว หรือ 1/2 นิ้ว เคาะส่วนอาคาร คอนกรีตฉาบปูนซีเมนต์จะใช้ขนาด 5/16 นิ้ว 3. พุก เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฟิกเซอร์ (Fixer) จะใช้งานคู่กับสกรูเพื่อใช้ในการจับยึด อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ให้มีความแข็งแรง ที่ใช้งานทั่วไปมี3 ชนิดคือ พุกพลาสติก พุก ตะกั่วและพุกเหล็ก 4. สกรู มีสองชนิดคือหัวแฉกและหัวแบน 5. แป้นไม้ ใช้รองรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ มีหลายชนิด เช่น 4 × 6 นิ้ว 8 × 10 นิ้ว เป็น ต้นปัจจุบันมีการผลิตแป้นพลาสติกออกมาใช้งานคู่กับแป้นไม้ ซึ่งได้รับความนิยม ใกล้เคียงกัน 6. สวิตซ์ (Switch) ใช้สำหรับตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้าใด ๆ ดังนั้นการนำไปใช้งานจึงต้อง ต่อแบบอนุกรม (Series Connection) เท่านั้น ยกเว้นนำไปใช้งานในลักษณะอื่น 7. เต้ารับ (Receptacle) เรียกอีกอย่างว่าปลั๊กตัวเมีย ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเพื่อถ่าย โอนพลังงานไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ 8. เต้าเพดาน ใช้สำหรับห้อยดวงโคมลงมาจากเพดานเพื่อให้แสงสว่างเฉพาะจุด 9. เทปพันสายไฟ มีคุณสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า ใช้สำหรับพันทับรอยต่อสายไฟฟ้าเพื่อ ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด 10. อุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ ฟิวส์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ทิชิโน อุปกรณ์ป้องกันจากไฟฟ้าดูด (ELCB) 11. หลอดไฟฟ้า ที่ใช้ทั่วไปคือ หลอดธรรมดาหรือที่เรียกว่า หลอดไส้ (Incandescent Lamp) หลอดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) หลอดตะเกียบ เป็นต้น 12. บัลลาสต์ (Ballast) ได้แก่ บัลลาสต์แกนเหล็ก (แบบเดิม) บัลลาสต์แกนเหล็กแบบ โลลอส (Low loss) และบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์สูงมาก 13. สตาร์ตเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบวงจรหลอดฟลูออเรสเซนต์ โดยจะทำหน้าที่อุ่น ไส้หลอดในช่วงเริ่มต้น 14. สายไฟฟ้า จะเรียกตามขนาดความโตชองพื้นที่หน้าตัดของเส้นลวดตัวนำ คือ ตาราง มิลลิเมตร 15. มม.2 หรือ ตร.มม. หรือ square mil (mm)2 สำหรับฉนวนที่ห่อหุ้มตัวนำคือ พีวีซี(Poly Vinyl Chloride; PVC)
5 สายบางชนิดเป็นฉนวนหนาและแข็ง (Crossed Link Polyethylene ; XLPE) ตัวอย่างสายไฟฟ้าที่ใช้ ติดตั้งทั่วไปคือสาย VAF, VCT, VFF, VSF, THW และ NYY เป็นต้น 16. โคมไฟ โคมไฟแต่ละชนิดจะมีสัมประสิทธิ์ในการสะท้อนแสงต่างกัน ดังนั้นจะต้องเลือกให้ เหมาะสมกับสถานที่นั้น 2.2.2 วัสดุ อุปกรณ์ ที่ใช้ติดตั้งไฟฟ้าในโรงงาน การติดตั้งไฟฟ้าในโรงงาน ส่วนใหญ่จะเดินสายไฟฟ้าในท่อร้อยสาย วัสดุ อุปกรณ์ที่สำคัญ มีดังนี้ 1. คอนเน็คเตอร์ (Connector) ใช้เชื่อมต่อระหว่างท่อกับกล่องต่อสาย 2. ข้อต่อหรือคัปปิ้ง (Coupling) ใช่ต่อท่อสองท่อนเข้าด้วยกันมีทั้งแบบสกรูและแบบ เกลียวหมุน 3. ล็อกนัต (Locknut) ผิวด้านในจะทำเป็นเกลียวใช้ยึดท่อเข้ากับกล่องต่อสาย 4. บุชชิ่ง (Bushing) ใช้สวมเข้ากับปลายท่อ เพื่อป้องกันท่อร้อยสายขูดฉนวนของ สายไฟฟ้า 5. แคล้มป์จับท่อ (Clamp) เรียกอีกอย่างว่า สแตร๊ป (Strap) ใช้สำหรับจับท่อให้แนบ ชิดกับผนัง มีทั้งชนิดจับท่อ EMT และชนิดที่ใช้จับท่อ IMC 6. ท่อร้อยสายไฟฟ้า (Electrical Conduit) ประกอบด้วยท่อโลหะหนา (ท่อริจิดหรือ ท่อ RSC) ท่อโลหะหนาปานกลาง (IMC) ท่อโลหะบาง (EMT) ท่อโลหะอ่อน ท่อพีวีซี ท่ออ่อนกันนํ้าได้ 7. กล่องตัดสาย (Box) กล่องต่อสายที่ใช้ประกอบท่อร้อยสาย มีดังนี้ 1. Handy Box ใช้สำหรับติดตั้งสวิตซ์และเต้ารับ 2. Square Box เป็นบ็อกซ์สี่เหลี่ยมจัตุรัส ใช้ติดตั้งเป็นกล่องต่อสาย 3. Octagon Box เป็นบ็อกซ์ขนาดแปดเหลี่ยม ใช้ติดตั้งบนเพดานหรือติดลอย 4. Europa Box ใช้งานเช่นเดียวกับ Handy Box แต่มีขนาดใหญ่กว่า 5. M.K. Box เรียกอีกอย่างว่า แครบทรี (Crab Tree) ใช้เป็นจุดแยกสาย 6. บ็อกซ์กลมกันนํ้า 7. F.S. Box ใช้ติดตั้งสวิตซ์หรือปลั๊ก เมื่อเดินสายด้วยท่อ IMC หรือท่อริจิด (RSC) 8. ฝาปิดกล่อง (Box Cover) 1. ฝาปิด Handy Box 2" × 4" 2. ฝาปิด Octagon Box 3. ฝาปิดและฝาเสริม Square Box 4" × 4"
6 4. ฝาปิด F.S. Box 2" × 4" และฝาปิด Europa Box 5. ฝาปิด F.S. Box 4" × 4" 9. คอนดูเลท (Condulet) ใช้เป็นกล่องต่อสาย เดินสายหักมุม หรือข้ามสิ่งกีดขวาง ของท่อโลหะหนา (RSC) 10. หัวงูเห่า (Entrance Caps) ใช้สำหรับนำสายเมนจากภายนอกสู่ตัวอาคาร 11. รางตัวซี (C- Channel) ใช้สำหรับยึดท่อจำนวนหลาย ๆ ท่อน บนรางตัวซีเพียงตัว เดียว โดยใช้งานคู่กันทำให้สะดวกในการติดตั้งและจัดวางท่อเป็นระเบียบสวยงาม 12. ไวร์นัท (Wire Nut) ใช้หมุนเพื่อบีบรัดสายให้แน่น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็น ฉนวนให้กับจุดต่อสายอีกด้วย ที่ใช้กันทั่วไปมีหลายขนาด ดังนี้ ตารางที่2.1 ขนาดและการใช้งานไวร์นัท 13. น้ำยาร้อนสาย (Electrical Wire Pulling Lubricant) 14. หางปลา (Lugs) ใช้สำหรับเข้าหัวสายไฟฟ้า เพื่อให้จุดต่อสายมีความแข็งแรงมากที่สุด 15. เคเบิ้ลแกรนด์ (Cable Gland) ใช้สำหรับบีบรัดสายให้แน่นไม่ให้เคลื่อนไหวโดยทั่วไปจะติดตั้ง เข้ากับกล่องต่อสายมีทั้งเคเบิ้ลแกรนด์พลาสติก และเคเบิ้ลแกรนด์เหล็ก 16. Power Plugs & Sockets ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถป้องกันประกายไฟได้ 3. รางเดินสายไฟฟ้า (Wire Way) รางเดินสายไฟฟ้า เรียกอีกอย่างว่า ไวร์เวย์ ผลิตจากแผ่นเหล็กพับขึ้นรูปพร้อมฝาปิด (Cold Rolled Steel) อาจจะมีช่องระบายอากาศหรือไม่มีก็ได้ เคลือบผิวด้วยกรรมวิธีการชุบฮอทดิป กัลป์วาไนซ์ (Hot Dip Galvanized) หรือพ่นด้วยสีฝุ่นอีพ็อกซี่ (Epoxy – Polyester Powder Painted) ใช้สำหรับรองรับ (Support) การเดินสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ โดยติดตั้งไว้ภายในอาคาร (Indoor) หรือในโรงงาน ตามมาตรฐานจะกำหนดให้เป็นสีเทา (Gray Color) ความยาวท่อนละ 4 ฟุต (1,220 มม.) และ 8 ฟุต (2,440 มม.) ความหนาตั้งแต่ 0.8 – 2.0 มม. มีหลายขนาด (สูง × กว้าง) เช่น
7 2 × 3, 2 × 4, 3 × 4, 4 × 4, 4 × 6, 6 × 6, 4 × 8, 6 × 8, 4 × 10, 6 × 10, 6 × 12 และ 8 × 12 นิ้ว มี2 แบบ คือ แบบขันสกรูและแบบกดล็อก ข้อก าหนดเกี่ยวกับรางเดินสายไฟฟ้า 1. การใช้งาน 1. ใช้กับการเดินสายแบบเปิด รางเดินสายที่ติดตั้งในสถานที่เปียกต้องเป็นแบบกันฝน 2. ห้ามใช้รางเดินสายโลหะในสถานที่ต่อไปนี้ 3. ในที่ซึ่งอาจเกิดความเสียหายทางกายภาพ 4. ในที่มีไอที่ทำให้เกิดการผุกร่อน 5. ในที่อันตราย 2. จำนวนสายไฟฟ้าที่มีกระแสไหลในรางเดินสาย ต้องไม่เกิน 30 เส้น สายไฟฟ้าในวงจรสัญญาณหรือ วงจรควบคุมระหว่างมอเตอร์กับสตาร์ตเตอร์ที่ใช้เฉพาะช่วงเวลาสตาร์ตมอเตอร์ไม่ถือว่าเป็นสายไฟฟ้าที่ มีกระแสไหล 3. พื้นที่หน้าตัดของตัวนำและฉนวนทุกเส้นในรางเดินสายรวมกันไม่เกินร้อยละ 20 ของพื้นที่หน้าตัด ภายในรางเดินสาย 4. ในกรณีที่จำนวนสายไฟฟ้าที่มีกระแสไหลในรางเดินสายเกิน 30 เส้น ให้ใช้ตัวคูณลดกระแสเรื่อง จำนวนสาย แต่ทั้งนี้พื้นที่หน้าตัดและฉนวนทุกเส้นในรางเดินสายรวมกันต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของ พื้นที่หน้าตัดภายในรางเดินสาย ข้อก าหนดเกี่ยวกับการติดตั้ง 1. การต่อสายในรางเดินสายเฉพาะส่วนที่เข้าถึงได้พื้นที่หน้าตัดของสายและฉนวนรวมทั้งหัวต่อ รวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 75 ของพื้นที่หน้าตัดภายในรางเดินสาย บริเวณจุดต่อสาย 2. ห้ามต่อรางเดินสายตรงจุดที่ทะลุผ่านผนังหรือพื้น 3. จุดปลายทางของรางเดินสายต้องปิด 4. ในรางเดินสายตรงตำแหน่งที่ต้องมีการดัดงอสาย เช่น ปลายทาง ตำแหน่งที่มีท่อสายเข้า – ออก รางเดินสายต้องจัดให้มีที่ว่างสำหรับดัดงอสายอย่างเพียงพอ และมีการป้องกันไม่ให้มี ส่วนคมที่อาจบาดสายได้ 5. ห้ามใช้รางเดินสายเป็นตัวนำแทนสายดิน 6. รางเดินสายต้องมีการจับยึดทุกระยะไม่เกิน 1.50 เมตร สำหรับรางเดินสายในแนวดิ่งต้องมี การจับยึดทุกระยะ 4.50 เมตร และห้ามมีจุดต่อเกิน 1 จุด ในแต่ละระยะจับยึด
8 รางเคเบิ้ล (Cable Tray) รางเคเบิ้ลหรือเคเบิ้ลเทรย์ ใช้สำหรับงานติดตั้งงานระบบไฟฟ้าที่ต้องการความแข็งแรง ทนทานต่อทุกสภาพการใช้งาน จึงสามารถติดตั้งได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ใน โรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากการติดตั้งทำได้รวดเร็วและสามารถใช้งานได้กับระบบไฟฟ้ากำลังระบบ แสงสว่าง ระบบสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงขนาดสายเคเบิ้ลทำได้สะดวก รางเคเบิ้ลที่นิยมใช้ทั่วไปมี3 แบบ คือ แบบบันได (Cable Ladder) แบบรางช่องระบายอากาศ และแบบรางด้านล่างปิดทึบแต่โดยทั่วไปจะ นิยมใช้สองแบบแรกเท่านั้น แบบบันได (Cable Ladder) เคเบิ้ลแลดเดอร์ มีลักษณะเป็นขั้นบันได ตัวรางประกอบด้วยเฟรมเหล็ก 2 ด้าน และ ลูกคั่นที่แบ่งเป็นช่วง ๆ (ประมาณ 300 มม.) โดยใช้เหล็กแผ่นที่มีความหนามาตรฐาน 2 มม. เคลือบผิว ด้วยกรรมวิธีการชุบฮอทดิป–กัลป์วาไนซ์ หรือพ่นด้วยสีฝุ่นอีพ็อกซี่ แล้วนำมาร้อยประกอบกันด้วยสกรูที่ ผ่านการชุบกัลป์วาไนซ์เช่นเดียวกัน ความยาวมาตรฐานท่อนละ 3,000 มม. ความกว้าง 200, 300, 500, 600, 700, 800, 900 และ 1,000 มม. รางเคเบิ้ลแบบมีช่องระบายอากาศ ใช้สำหรับงานติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ต้องการความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ ข้อกำหนดเกี่ยวกับรางเคเบิ้ล 1. การใช้งาน 1. สายและอุปกรณ์ ต่อไปนี้ยอมให้ติดตั้งในรางเคเบิ้ลได้แต่ต้องเป็นไปตาม วิธีการที่กำหนดของการเดินสายหรือของอุปกรณ์นั้น ๆ 1. สายเคเบิ้ล Type MI, Type MC และ Armored Cable 2. สายเคเบิ้ลแกนเดียว ชนิดมีฉนวนและเปลือกนอกขนาดตัวนำไม่เล็ก กว่า 50 ตารางมิลลิเมตร 3. สายเคเบิ้ลหลายแกนในระบบแรงตํ่าทุกขนาด 4. สายอื่นชนิดหลายแกน สำหรับควบคุมสัญญาณ 5. ท่อร้อยสายชนิดต่าง ๆ 2. ยอมให้ติดตั้งสายเคเบิ้ลแกนเดียวชนิดไม่มีเปลือกนอก ขนาดตัวนำไม่ เล็กกว่า 50 ตารางมิลลิเมตร ได้ ในรางเคเบิ้ลแบบบันได ซึ่งมีระยะห่าง ระหว่างขั้นบันไดไม่เกิน 23 ซม. (9 นิ้ว) หรือแบบรางมีช่องระบายอากาศ เฉพาะในงานอุตสาหกรรมที่มีบุคคลมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลบำรุงรักษา
9 3. ห้ามใช้สาย Crosslink – Polyethylene วางในรางเคเบิ้ลในอาคาร ยกเว้นร้อยสายในท่อร้อย สายชนิดท่อโลหะ 4. ในบริเวณอันตราย ต้องใช้สายเฉพาะที่อนุญาตให้ใช้ในเรื่องบริเวณอันตรายเท่านั้น 5. ห้ามใช้รางเคเบิ้ลในปล่องลิฟท์หรือสถานที่อาจเกิดความเสียหายทาง กายภาพ 6. ในสถานที่ใช้งานซึ่งสายมีโอกาสถูกแสงแดดโดยตรง ต้องใช้สายชนิดทนแสงแดดได้ 2. ข้อกำหนดเกี่ยวกับรางเคเบิ้ล 1. ต้องมีความแข็งแรงและมั่นคงที่จะรองรับนํ้าหนักสายทั้งหมดที่ติดตั้ง ไม่มีส่วนแหลมคมที่ อาจทำให้ฉนวนและเปลือกเสียหาย 2. มีการป้องกันการผุกร่อนอย่างพอเพียงกับสภาพการใช้งาน ต้องมีผนังด้านข้างและใช้ เครื่องประกอบการติดตั้งที่เหมาะสม 3. รางเคเบิ้ลชนิดโลหะ ต้องทำด้วยวัสดุต้านเปลวไฟ 3. การติดตั้ง 1. รางเคเบิ้ลต้องมีความต่อเนื่องทางกล 2. รางเคเบิ้ลที่เป็นโลหะต้องมีความต่อเนื่องทางไฟฟ้า และต้องต่อลงดิน 3. สายที่ติดตั้งบนรางเคเบิ้ลเมื่อเดินแยกเข้าท่อสายอื่นต้องมีการจับยึดให้มั่นคง 4. ห้ามติดตั้งสายเคเบิ้ลระบบแรงตํ่าในรางเคเบิ้ลเดียวกันกับสายเคเบิ้ลระบบแรงสูง 5. รางเคเบิ้ลต้องติดตั้งในที่เปิดโล่งและเข้าถึงได้ และมีที่ว่างเพียงพอที่จะปฏิบัติงาน บำรุงรักษาสายเคเบิ้ลได้สะดวก 6. ในรางเคเบิ้ลที่มีเคเบิ้ลแกนเดียวหลายเส้นต่อขนานกันเพื่อประกอบเป็นสายเฟสหรือสาย นิวตรอลของวงจร สายเคเบิล ดังกล่าวต้องติดตั้งเป้นกลุ่มซึ่งประกอบด้วยตัวนำไม่เกิน 1 เส้น ต่อเฟส หรือนิวตรอล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกระแสไม่สมดุล เนื่องจากเกิดการ เหนี่ยวนำและต้องผูกมัดตัวนำแต่ละกลุ่ม เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวเมื่อเกิดการลัดวงจร 7. ต่อสายในรางเคเบิ้ลต้องทำให้ถูกต้องตามวิธีการต่อสาย แต่จุดต่อสายต้องอยู่ภายในราง เคเบิ้ล และต้องไม่สูงเลยขอบด้านข้างของรางเคเบิ้ล 8. ห้ามใช้รางเคเบิ้ลเป็นตัวนำแทนสายดิน 4. ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดวางสายและจำนวนสายในรางเคเบิ้ลในระบบแรงตํ่า 4.1 สายเคเบิ้ลหลายแกนที่ใช้งานต่างประเภท เช่น ใช้สำหรับไฟฟ้ากำลังแสงสว่าง สัญญาณควบคุม วางในรางเคเบิ้ลแบบบันไดหรือแบบรางมีช่องระบายอากาศจะต้องเป็นไปตาม ข้อกำหนดต่อไปนี้
10 1. สายเคเบิ้ลตั้งแต่ 95 มิลลิเมตร ขึ้นไป ผลรวมเส้นผ่านศูนย์กลางรวมฉนวนและเปลือกของสาย ทั้งหมด ต้องไม่เกินขนาดความกว้างของรางเคเบิ้ล และให้วางเรียงกันได้ชั้นเดียวเท่านั้น 2. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดเล็กกว่า 95 มิลลิเมตร ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและเปลือกของสาย ต้องไม่มากกว่าพื้นที่สูงสุดที่ยอมให้วางสายได้ตามที่กำหนดไว้ในตารางที่ 2.2 ช่องที่ 1 3. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตามข้อ ก. และ ข. วางรวมกันในรางเคเบิ้ล ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวน และเปลือกของสายต้องไม่มากกว่าพื้นที่สูงสุดที่ยอมให้วางสายได้ตามที่กำหนดไว้ ในตาราง 2.2 ช่องที่ 2 และให้วางซ้อนกันได้ สำหรับสายเคเบิ้ลที่มีขนาดตั้งแต่ 95 ตารางมิลลิเมตร ขึ้น ไป ต้องวางเรียงกันเพียงชั้นเดียว โดยไม่มีสายเคเบิ้ลอื่นวางทับ 2. สายเคเบิ้ลหลายแกนสำหรับควบคุมและ/หรือเคเบิ้ลสัญญาณวางในรางเคเบิ้ลแบบบันไดหรือ แบบรางมีช่องระบายอากาศ ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและเปลือกของสายทั้งหมดต้องไม่เกินร้อย ละ 50 ของพื้นที่ภาคตัดขวางภายในของรางเคเบิ้ล สำหรับรางเคเบิ้ลที่มีความลึกมากกว่า 15 เซนติเมตร ให้ใช้ค่าความลึก 15 เซนติเมตร ในการคำนวณพื้นที่ภาคตัดขวาง 3. สายเคเบิ้ลหลายแกนที่ใช้งานต่างประเภทวางในรางเคเบิ้ลแบบด้านล่างปิดทึบจะต้องเป็นไป ตามข้อกำหนดต่อไปนี้ 1. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตั้งแต่ 95 ตารางมิลลิเมตร ขึ้นไป ผลรวมของเส้นผ่าศูนย์กลางรวมฉนวนและ เปลือกของสายทั้งหมดต้องไม่เกินร้อยละ 90 ของขนาดความกว้างของรางเคเบิ้ลและให้วางเรียงกัน ได้ชั้นเดียวเท่านั้น 2. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดเล็กกว่า 95 ตารางมิลลิเมตร ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและเปลือกของสาย ต้องไม่มากกว่าพื้นที่สูงสุดที่ยอมให้วางสายได้ตามที่กำหนดไว้ในตาราง 2.2 ช่องที่ 3 3. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตามข้อ ก. และ ข. วางรวมกันในรางเคเบิ้ล ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและ เปลือกของสายที่มีขนาดเล็กกว่า 95 ตารางมิลลิเมตร ทั้งหมดต้องไม่เกินพื้นที่สูงสุดที่ยอมให้วาง สายได้ตามที่กำหนดไว้ ในตารางที่ 2.2 ช่องที่ 4 และให้วางซ้อนกันได้สำหรับสายเคเบิ้ลที่มีขนาด ตั้งแต่ 95 ตารางมิลลิเมตร ขึ้นไป ต้องวางเรียงกันเพียงชั้นเดียว โดยไม่มีสายเคเบิ้ลอื่นวางทับ 4. สายเคเบิ้ลหลายแกนสำหรับควบคุมและ/หรือเคเบิ้ลสัญญาณวางในรางเคเบิ้ลแบบด้านล่างปิด ทึบ ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและเปลือกของสายทั้งหมดต้องไม่เกินร้อยละ 40 ของพื้นที่ ภาคตัดขวางภายในของรางเคเบิ้ล สำหรับรางเคเบิ้ลที่มีความลึกมากกว่า 15 เซนติเมตร ให้ใช้ค่า ความลึก 15 เซนติเมตร ในการคำนวณพื้นที่ภาคตัดขวาง 5. สายเคเบิ้ลแกนเดียวในรางเคเบิ้ลแบบบันไดหรือแบบรางมีช่องระบายอากาศ จำนวนสายเคเบิ้ล สูงสุดต้องเป็นดังนี้
11 1. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตั้งแต่ 400 ตารางมิลลิเมตร ขึ้นไป ผลรวมเส้นผ่านศูนย์กลางรวมฉนวนและ เปลือกของสายทั้งหมดต้องไม่เกินขนาดความกว้างของรางเคเบิ้ล 2. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตั้งแต่ 120 ถึง 400 ตารางมิลลิเมตร ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและเปลือก ของสายต้องไม่มากกว่าพื้นที่สูงสุดที่ยอมให้วางสายได้ตามที่กำหนดไว้ในตารางที่ 2.2 ช่อง 5 3. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตามข้อ ก. และ ข. วางรวมกันในรางเคเบิ้ล ผลรวมพื้นที่หน้าตัดรวมฉนวนและ เปลือกของสายที่มีขนาดเล็กกว่า 400 ตารางมิลลิเมตร ทั้งหมดต้องไม่เกินพื้นที่สูงสุดที่ยอมให้วาง สายได้ตามที่กำหนดไว้ในตารางที่ 2.2 ช่องที่ 6 4. สายเคเบิ้ลที่มีขนาดตั้งแต่ 50 ถึง 95 ตารางเซนติเมตร ผลรวมเส้นผ่านศูนย์กลางรวมฉนวนและ เปลือกของสายทั้งหมดต้องไม่เกินขนาดความกว้างของรางเคเบิ้ล และให้วางเรียงกันได้ชั้นเดียว เท่านั้น 2. ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดวางสายและจำนวนสายในรางเคเบิ้ลในระบบแรงสูงผลรวมของเส้น ผ่านศูนย์กลางของสายเคเบิ้ลแกนเดียวและหลายแกนทั้งหมดรวมกันต้องไม่เกินความกว้างของราง เคเบิ้ล การวางเคเบิ้ลยอมให้วางเรียงได้ชั้นเดียวเท่านั้นห้ามวางซ้อนหรือเกยกันในที่ซึ่งสายเคเบิ้ล แกนเดียวเป็นชนิดตีเกลียวเข้าด้วยกันหรือมัดควบเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มละวงจรผลรวมของเส้นผ่าน ศูนย์กลางของสายเคเบิ้ลทั้งหมดต้องไม่เกินความกว้างของรางเคเบิ้ลและกลุ่มของสายเคเบิ้ลเหล่านี้ ห้ามวางซ้อน 3. ขนาดกระแสของสายในรางเคเบิ้ลในระบบแรงตํ่า 1. สายเคเบิ้ลแกนเดียว 1. ขนาดกระแสของสายเคเบิ้ลแกนเดียวหรือสายแกนเดียวตีเกลียวเข้า ด้วยกัน (เช่น Triplex Quadruplex) ติดตั้งในรางเคเบิ้ลแบบบันได ต้อง เป็นไปตาม ตารางที่ 2.3 วิธีที่ 7 2. ขนาดของกระแสของสายเคเบิ้ลแกนเดียวหรือสายแกนเดียวตีเกลียวเข้า ด้วยกันติดตั้งในรางเคเบิ้ลแบบมีช่องระบายอากาศ ขนาดกระแสให้ใช้ได้ ไม่เกินร้อยละ 95 ของขนาดกระแสที่ได้จากตาราง 2.3 วิธีที่ 7 ถ้าราง เคเบิ้ลมีการปิดตลอดด้วยฝาทึบความยาวเกิน 180 เซนติเมตร ขนาด กระแสให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 90 ของขนาดกระแสที่ได้จากตารางที่ 2.3 วิธีที่ 7 ยกเว้น การติดตั้งสายเคเบิ้ลแกนเดียวในรางเคเบิ้ลที่ไม่มีฝาปิด ถ้าแต่ละเส้น วางห่างกันไม่น้อยกว่าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของสายเคเบิ้ลเส้นโตที่อยู่ใกล้กัน การคิดขนาดกระแส ยอมให้ใช้ค่ากระแสที่ได้จากตารางที่ 2.3 วิธีที่ 2
12 2. สายเคเบิ้ลหลายแกน ขนาดกระแสของสายเคเบิ้ลหลายแกน ยอมให้ใช้ค่าตารางที่ 2.3 วิธีที่ 3 (ท่อ โลหะ) ข้อยกเว้นที่ 1 รางเคเบิ้ลปิดตลอดด้วยฝาทึบยาวเกิน 180 เซนติเมตร ขนาด กระแสของสายให้ลดลงเหลือไม่เกินร้อยละ 95 ของค่าที่ได้จากตารางที่ 2.3 วิธีที่ 3 (ท่อโลหะ) ข้อยกเว้นที่ 2 การติดตั้งเคเบิ้ลหลายแกนในรางเคเบิ้ลที่ไม่มีฝาปิด ถ้าแต่ละ เส้นวางห่างกันไม่น้อยกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของสายเคเบิ้ลเส้นโตที่อยู่ใกล้กัน ขนาดกระแสของสายยอม ให้ไม่เกินค่าที่ได้จากตารางที่ 2.3 วิธีที่ 3 (ท่อโลหะ) ตารางที่2.2 ข้อก าหนดเกี่ยวกับการจัดวางสายในรางเคเบิ้ลระบบแรงต ่า หมายเหตุ 1. Sd1 หมายถึง ผลรวมของเส้นผ่าศูนย์กลางรวมฉนวนและเปลือกของเคเบิ้ลหลายแกนทุก เส้นมีขนาดตั้งแต่ 95 ตารางมิลลิเมตรขึ้นไป ซึ่งติดตั้งรวมกับเคเบิ้ลที่มีขนาดเล็กกว่าในราง เคเบิ้ลเดียวกัน (หน่วยเป็นเซนติเมตร) 2. Sd2 หมายถึง ผลรวมของเส้นผ่าศูนย์กลางรวมฉนวนและเปลือกของเคเบิ้ลแกนเดียวที่มี ขนาดตั้งแต่ 400 ตารางมิลลิเมตร ขึ้นไป ซึ่งติดตั้งรวมกับเคเบิ้ลที่มีขนาดเล็กกว่าในราง เคเบิ้ลเดียวกัน (หน่วยเป็นเซนติเมตร)
13 3. พื้นที่หน้าตัดรวมสูงสุดสำหรับวางเคเบิ้ลสามารถคำนวณได้ เช่น ในช่องที่ 2 ถ้ารางเคเบิ้ล มีความกว้างภายในของรางเคเบิ้ล 30 เซนติเมตร จะมีพื้นที่สูงสุดสำหรับวางเคเบิ้ลที่มี ขนาดเล็กกว่า 95 ตารางมิลลิเมตร เท่ากับผลที่ได้จาก 90 ตารางเซนติเมตร ลบออกด้วย 1.2 เท่าของ Sd1 ตารางที่2.3 การเดินสายไฟฟ้าวิธีต่าง ๆ และค่าขนาดกระแสของสายไฟฟ้า หมายเหตุ ขนาดกระแสของสายไฟฟ้าทองแดงหุ้มฉนวนพีวีซี ตาม มอก.11 อุณหภูมิ ตัวนำ 70 องศา เซลเซียส ขนาดแรงดัน 300 และ 750 โวลต์ อุณหภูมิโดยรอบ 40 องศาเซลเซียส (สำหรับการติดตั้งวิธีที่ 1 ถึง 3 กับ 6 และ 7) และ 30 องศาเซลเซียส (สำหรับการติดตั้งวิธีที่ 4 และ 5)
14 ตารางที่2.3 (ต่อ) การเดินสายไฟฟ้าวิธีต่าง ๆ และค่าขนาดกระแสของสายไฟฟ้า หมายเหตุ ขนาดกระแสของสายไฟฟ้าทองแดงหุ้มฉนวนครอสลิ้งค์โพลีเอทิลีน อุณหภูมิ ตัวนำ 90 องศา เซลเซียส ขนาดแรงดัน 600 และ 24,000 โวลต์ อุณหภูมิโดยรอบ 30 องศาเซลเซียส (สำหรับการติดตั้ง วิธีที่ 4 และ 5)
15 ตารางที่2.3 (ต่อ) การเดินสายไฟฟ้าวิธีต่าง ๆ และค่าขนาดกระแสของสายไฟฟ้า 1. รูปแสดงวิธีการติดตั้ง 2. ค่าคูณลดขนาดกระแสสำหรับอุณหภูมิโดยรอบในอากาศ มากหรือน้อยกว่า40 องศาเซลเซียส
16 3. ค่าตัวคูณลดขนาดกระแสสำหรับอุณหภูมิโดยรอบใต้พื้นดิน มากหรือน้อยกว่า 30 องศา เซลเซียส 5. บัสเวย์ (Busway) บัสเวย์ เรียกอีกอย่างว่า บัสดักค์ (Busduck) เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากโรงงานผู้ผลิต ใช้แทนการเดินสายไฟในราง ส่วนใหญ่มักจะใช้กับกระแสสูง ๆ มีข้อดีคือ ติดตั้งได้ง่ายเนื่องจากมีจุดต่อ แยกสายเตรียมไว้ให้แล้ว (Plug In) สำหรับตัวนำที่ใช้งานมีสองชนิดคือ อะลูมิเนียมและทองแดง บัสเวย์ จะมีรูปร่างต่างกันตามการออกแบบของผู้ผลิต ข้อดีของบัสเวย์เมื่อเทียบกับสายไฟฟ้า 1. มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสายไฟ จึงเป็นการประหยัดพื้นที่ 2. ติดตั้งรวดเร็วประหยัดเวลาและได้มาตรฐาน 3. อิมพีแดนซ์ตํ่า ทำให้การสูญเสียน้อย จึงเป็นการประหยัดค่าไฟ 4. Voltage Drop ตํ่า ทำให้แรงดันปลายทางไม่ตกลงมาก 5. แข็งแรงทนทานกว่าสายไฟ 1. โครงสร้างของบัสเวย์ จากรูปที่ 2.34 ประกอบด้วย 1. ตัวนำ (Conductor) มีสองชนิด คือ อะลูมิเนียมและทองแดง ปัจจุบันนิยมใช้ตัวนำ อะลูมิเนียมมากกว่าทองแดง เนื่องจากที่พิกัดกระแสเดียวกัน อะลูมิเนียมจะมีนํ้า หนักเบากว่าและราคาถูกกว่ามาก ตัวนำแต่ละชนิดจะมีการเคลือบสารเพื่อกันการ กัดกร่อน (Corrosion) หากไปสัมผัสกับตัวนำต่างชนิด โดยอะลูมิเนียมจะเคลือบ ด้วยดีบุกและทองแดงเคลือบด้วยเงินตัวนำมีขนาดต่าง ๆ ดังนี้ 225, 400, 600, 800, 1000, 1200, 1350, 1600, 2000, 2500, 3000, 4000, 5000 A
17 2. Housing โดยทั่วไปมีวัสดุให้เลือก 2 ชนิด คือ Aluminium หรือEpoxy Paint Steel ซึ่งมีระบบการเคลือบสีจะมีลักษณะเดียวกับการเคลือบสีรถยนต์ รูปแบบของ Housing มี 2 แบบคือ 1. Ventilated Housing มีลักษณะโปร่ง โดยตัวนำจะอยู่บน Support การระบาย ความร้อนจะใช้อากาศภายนอกตัวนำโดยตรง ซึ่งรูปแบบนี้ยังไม่เป็นที่นิยมใน ปัจจุบันเนื่องจาก ฝุ่นและนํ้าเข้าได้ ค่า Reactance สูง ทำให้Voltage Drop มาก ทนกระแสลัดวงจรได้ตํ่า 2. Total Enclosed Housing แบบนี้Housing จะปิดหมด การระบายความร้อนจะเป็นลักษณะ Radiator ซึ่งจะไม่มีการ Derating ของกระแสเนื่องจากผลของอุณหภูมิ จึงเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เนื่องจาก มีความแข็งแรงสูง ทนกระแสลัดวงจรได้สูง ป้องกันฝุ่น แมลง และละอองนํ้าได้ มีชนิดกันนํ้า Reactance ตํ่า เนื่องจากบัสบาร์อยู่ชิดติดกันทำให้Voltage Drop ตํ่า 3. ฉนวน มีให้เลือก 2 ชนิดคือPolyester Film และEpoxy Coat ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติการเป็น ฉนวนใกล้เคียงกัน สามารถเลือกใช้ได้ 2 ชนิด แต่ที่สำคัญคือการทนอุณหภูมิสูงสุดของฉนวน ฉนวน Class A ทนอุณหภูมิสูงสุด 105 องศาเซลเซียส ฉนวน Class B ทนอุณหภูมิสูงสุด 130 องศาเซลเซียส 4. Ground Bus ระบบ Ground ได้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อให้ระบบมีReturn Pathเมื่อเกิดฟอลต์ลง ดินในระบบ Ground ของบัสเวย์มีให้เลือกหลายลักษณะดังนี้ 1. External Ground 2. Internal Ground 3. Housing as Ground 4. Integral Housing as Ground 5. Integral Ground (รวมเอา Ground Bus กับ Housing ของบัสเวย์เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในระบบ และยังสามารถตรวจสอบ Ground Fault ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้องแม่นยำ)
18 2. อุปกรณ์ประกอบของบัสเวย์ อุปกรณ์ประกอบมีดังนี้ 1. Feeder คือท่อนตรงของบัสเวย์ ซึ่งมีอยู่สองชนิดคือ Feeder Busway และ Plug In Feeder Busway ความยาวมาตรฐานคือ4, 6, 8, 10 ฟุตFeeder Busway คือท่อน ตรงของบัสเวย์ซึ่งไม่มีช่องสำหรับ Tap กระแสไปใช้งาน Plug in Feeder Bus คือท่อนตรงของบัสเวย์ซึ่งมีช่องสำหรับ Plug in Opening สำหรับ Tap กระแสไปใช้งานได้ 2. Plug in Opening คือ ช่องสำหรับนำกระแสไปใช้ โดยทั่วไปจะมีทุกระยะ 61 ซม. 3. Plug in Unit คือ อุปกรณ์ซึ่ง Tap ไฟจาก Plug in Opening ไปใช้งาน โดยมีลักษณะเป็นกล่อง มีเซอร์กิตเบรกเกอร์อยู่ภายใน สามารถ Tap ไฟไปใช้ได้แม้ในขณะที่บัสเวย์มีไฟอยู่ 4. Joint คือ อุปกรณ์สำหรับต่อ Feeder เข้าหากัน และเป็นจุดอ่อนที่สุดของระบบบัสเวย์ หาก Joint ไม่แน่นจะเกิดอาร์กและมีความร้อนสูง สำหรับนัต (Nut) ที่ใช้ร้อยผ่าน Joint เพื่อเช็คความแน่นของรอยต่อมีให้เลือก 2 ชนิด คือ นัตซึ่งทางผู้ติดตั้งต้องใช้ประแจเช็คว่าได้Torque ตามที่โรงงานผู้ผลิตออกแบบ ไว้หรือไม่ นัตซึ่งโรงงานผู้ผลิตออกแบบมาเพื่อขันหัวนัตตัวแรกให้หลุดก็จะได้Torque ตามมาตรฐานผู้ผลิต 5. Fitting หมายถึงอุปกรณ์ประกอบการต่อบัสเวย์ 1. Elbow คือข้องอตามมาตรฐาน 90 องศา 2. Flanged End คืออุปกรณ์สำหรับใช้ต่อกับบัสบาร์ในตู้ควบคุม 3. End Closer คืออุปกรณ์สำหรับปิดปลาย ใช้กับท่อนสุดท้ายของ Feeder 4. Support และ Hanger คืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแขวนบัสเวย์ตามแนวดิ่งและ แนวราบ ข้อกำหนดเกี่ยวกับบัสเวย์ 1. การใช้งาน 1. บัสเวย์ต้องติดตั้งในที่เปิดเผยมองเห็นได้ และสามารถเข้าถึงได้เพื่อการ ตรวจสอบและบำรุงรักษาตลอดความยาวทั้งหมด ข้อยกเว้นที่ 1 ยอมให้บัสเวย์ที่ติดตั้งหลังกำบัง เช่น เหนือฝ้าเพดาน โดยจะต้อง มีทางเข้าถึงได้ และต้องเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้ทั้งหมด
19 1. ไม่มีการติดตั้งเครื่องป้องกันกระแสเกินที่บัสเวย์ นอกจากเครื่องป้องกัน กระแสเกินของดวงโคม หรือโหลดอื่น ๆ เฉพาะจุด 2. ช่องว่างด้านหลังที่กำบังที่จะเข้าถึงได้ต้องไม่ใช้เป็นช่องลมของ เครื่องปรับอากาศ (Air - Handing) 3. บัสเวย์ต้องเป็นชนิดปิดมิดชิด ไม่มีการระบายอากาศ 4. จุดต่อระหว่างช่องและเครื่องประกอบต้องเข้าถึงได้เพื่อการบำรุงรักษา ข้อยกเว้นที่ 2 ยอมให้บัสเวย์ที่ติดตั้งหลังที่กำบังสามารถเข้าถึงได้ และที่จัดให้ เป็นที่หมุนเวียนอากาศด้วย ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดต่อไปนี้ทั้งหมด 1. บัสเวย์ต้องเป็นชนิดปิดมิดชิด ไม่มีการระบายอากาศ 2. ใช้บัสบาร์ชนิดหุ้มฉนวน 3. ไม่มีจุดต่อแยก ชนิด Plug – In 2. ห้ามใช้บัสเวย์ในสถานที่ต่อไปนี้ 1. บริเวณที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายทางกายภาพอย่างรุนแรง หรือมี ความชื้นที่ทำให้เกิดการผุกร่อน 2. ในปล่องลิฟท์หรือปล่องขนของ 3. ในที่อันตราย 4. ภายนอกอาคาร ที่ชื้น ที่เปียก นอกจากจะเป็นชนิดที่ออกแบบไว้สำหรับ งานนั้น ๆ 2. ข้อกำหนดเกี่ยวกับการติดตั้ง 1. บัสเวย์ต้องจับยึดอย่างมั่นคง ระยะห่างระหว่างจุดจับยึดต้องไม่เกิน 1.50 เมตร หรือตามการออกแบบของผู้ผลิต 2. จุดปลายทางของบัสเวย์ต้องปิด 3. การต่อแยกบัสเวย์ต้องต่อด้วยเครื่องประกอบที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ และ ต้องติดตั้งเครื่องป้องกันกระแสเกินที่จุดต่อแยก เพื่อใช้ป้องกันวงจรที่ต่อแยก นอกจากระบุไว้เป็นอย่างอื่น 4. เครื่องป้องกันกระแสเกินของบัสเวย์ ต้องเป็นไปตามที่กำหนด 5. การลดขนาดของบัสเวย์ ต้องติดตั้งเครื่องป้องกันกระแสเกิน ยกเว้นในโรงงาน อุตสาหกรรม บัสเวย์ที่เล็กลงมีขนาดกระแสมากกว่าหรือเท่ากับ 1 ใน 3 และ ความยาวของบัสเวย์ที่มีขนาดเล็กกว่ายาวไม่เกิน 15 เมตร ไม่ต้องติดตั้งเครื่อง ป้องกันกระแสเกิน
20 6. บัสเวย์ต้องไม่ติดตั้งให้สัมผัสกับวัสดุที่ติดไฟง่าย 7. เปลือกหุ้มที่เป็นโลหะของบัสเวย์ ต้องต่อลงดิน และให้ใช้แทนสายดินได้ถ้า บัสเวย์ได้ออกแบบไว้เช่นนั้น 3. การใช้เครื่องมือ วัสดุ อุปกรณ์ ในงานประกอบตู้จ่ายไฟหลัก (MDB) ในงานประกอบตู้จ่ายไฟหลัก จะต้องใช้เครื่องมือหลายชนิด ดังนั้นผู้ปฏิบัติงาน ต้องศึกษาทำ ความเข้าใจ เพื่อให้สามารถเลือกใช้เครื่องได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพต่องาน ในเรื่องของวัสดุ อุปกรณ์ งานประกอบตู้จ่ายไฟหลัก ก็เช่นกัน ต้องศึกษา ทำความเข้าใจ มาตรฐานและข้อกำหนดการใช้ งานของวัสดุอุปกรณ์นั้น เพื่อให้นำมาใช้ประกอบตู้ได้อย่างถูกต้องไม่มีข้อผิดพลาดวัสดุอุปกรณ์ทางไฟฟ้า ที่นำมาประกอบตู้ (MDB) ส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ โครงห่อหุ้มหรือตัวตู้ บัสบาร์ เซอร์กิตเบรกเกอร์ สำหรับวงจรประธาน เซอร์กิตเบรกเกอร์สำหรับสายป้อน บริภัณฑ์การตรวจวัด เช่น โวลต์มิเตอร์ แอมป์มิเตอร์ เป็นต้น ในการประกอบตู้(MDB) ไม่มีขนาดที่ตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ที่ สั่งทำเป็นส่วนใหญ่ 1. ข้อควรคำนึงและข้อควรระวังในการใช้เครื่องมือ ข้อแนะนำในการใช้เครื่องมือ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน มีดังนี้ 1. ควรศึกษาการใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง โดยศึกษาจากคู่มือ หรือผู้รู้ 2. เครื่องมือที่นำมาใช้งานต้องมีสภาพที่สมบูรณ์ ไม่ชำรุด 3. เครื่องมือที่มีด้ามเป็นฉนวนควรตรวจส่วนที่เป็นฉนวนว่าชำรุดหรือไม่ หากชำรุด ให้ทำการซ่อมแซม 4. ไม่ควรออกแรงใช้เครื่องมือเกินขนาดที่ออกแบบไว้ 5. ไม่ควรใช้เครื่องมือในที่เปียกชื้น หรือในบรรยากาศที่สามารถระเบิดได้ 6. ศึกษาการใช้เครื่องมืออย่างถูก ต้องไม่ใช้เครื่องมือเกินกำลัง 7. เครื่องมือที่มีความแหลมคม ควรระมัดระวังเป็นพิเศษในการพกพา 8. เก็บเครื่องมือไว้ในที่ปลอดภัยพ้นจากมือเด็ก 9. ด้ามเครื่องมือไม่ควรเปื้อนนํ้ามัน เพราะจะทำให้ลื่นเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย 10. อย่าส่งเครื่องมือโดยการโยน 11. ควรซ่อมและบำรุงรักษาเครื่องมือสมํ่าเสมอ 12. ไม่ควรวางเครื่องมือไว้บนที่สูง เช่น วางไว้ส่วนบนของบันได จะทำให้เครื่องมือ หล่นลงมาถูกคนข้างล่างได้ 13. เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม จะช่วยป้องอันตราย จากอุบัติเหตุได้
21 การใช้เครื่องมือเฉพาะงาน การประกอบตู้จ่ายไฟหลัก (MDB) แบ่งงานได้เป็น 3 แผนก ได้แก่ แผนกงานบัสบาร์ แผนกงานคอนโทรลหรือแผนกงานไวร์ริ่ง แผนกงานควบคุมคุณภาพ ซึ่งแต่ละแผนกงานจะใช้เครื่องมือที่ แตกต่างกัน สามารถจำแนกเครื่องมือในแต่ละแผนกงานได้ดังนี้ 1. เครื่องมือแผนกงานบัสบาร์ ในงานบัสบาร์ ประกอบด้วย การติดตั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์ การดัดบัสบาร์ การตัด บัสบาร์ การเจาะรูบัสบาร์ การติดตั้งบัสบาร์R, S, T, N ภายในตู้ ซึ่งมีเครื่องมือดังนี้ 1. ประแจ ได้แก่ ประแจแหวน ประแจทอล์ค ลูกบ็อกซ์ และประแจเลื่อน ใช้ ขันน็อตประกอบบัสบาร์ ขนาดประแจจะขึ้นอยู่กับขนาดของน็อตที่ใช้ใน การประกอบบัสบาร์ 2. ไขควงปากแบน ปากแฉก ใช้ขันน็อตยึดเซอร์กิตเบรกเกอร์กับบัสบาร์ และ ติดตั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์เข้ากับตู้ (MDB) 3. เครื่องดัดบัสบาร์ ใช้ดัดบัสบาร์ ตามขนาดมุมที่ต้องการ ดัดมุมได้สูงสุด 90 องศา ความกว้างของทองแดงสูงสุด 200 มม. ความหนาสูงสุด 10 มม. เป็น ระบบไฮดรอลิกส์ใช้งานร่วมกับปั๊มลม 4. เครื่องเจาะบัสบาร์ (Hydraulic busbar punching tools) เครื่องเจาะรูไฮด รอลิกส์ เจาะบัสบาร์ความหนาสูงสุด 12 มม. ขนาดรูที่เจาะได้11.1 มม. (3/8"), 14.3 มม.(1/2"), 17.5 มม.(5/8") , 20.6 มม.(3/4") ใช้งานร่วมกับ ปั๊มลม 5. เครื่องตัดบัสบาร์ (Hydraulic Busbar Cutting) ใช้ตัดบัสบาร์ ความกว้าง ของทองแดงสูงสุด 200 มม. ความหนาสูงสุด 10 มม. ใช้งานร่วมกับปั๊มลม 6. ตลับเมตร (measuring tape) ใช้วัดขนาดบัสบาร์ วัดความยาว ในการตัด บัสบาร์ และวัดเพื่อติดตั้งบัสบาร์เข้ากับตู้ (MDB) 7. สว่านไฟฟ้า (Electric drill) ใช้ในการเจาะรู เพื่อติดตั้งเซอร์กิตเบรกเกอร์ และวัสดุ อุปกรณ์อื่น ๆ เข้ากับตู้ (MDB) 8. ระดับนํ้า ใช้วัดความเที่ยงตรงในการติดตั้งบัสบาร์เข้ากับตัวตู้ 2. เครื่องมือแผนกงานคอนโทรล งานคอนโทรลหรืองานไวร์ริ่ง เป็นงานเดินสายในตู้ (MDB) จะใช้เครื่องมือในการ ทำมาร์คสำหรับวงจร ตัดสาย ปอกสาย ยํ้าหางปลาและยึดสายเข้ากับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ตู้ (MDB) 1. คีมปอกสาย ใช้ตัดและปอกสาย
22 2. คีมยํ้าหางปลา ใช้ยํ้าหางปลาเข้ากับสาย มีทั้งสำหรับยํ้าหางปลาเข้ากับ สายในวงจรควบคุมและสำหรับยํ้าหางปลาขนาดใหญ่ 3. ไขควง ปากแบน ปากฉาก ใช้ขันน็อตยึดสายเข้ากับอุปกรณ์ 4. เครื่องพิมพ์มาร์คสาย (Wire Marking Machine) ใช้พิมพ์มาร์คในการ เดินสายใช้งานร่วมกับหลอดไวร์มาร์ค 3. วัสดุ ในงานประกอบตู้จ่ายไฟหลัก เป็นวัสดุที่ใช้ในการเดินสาย ประกอบการเดินสายในตู้ ทำสีบัสบาร์ จัดสายไฟฟ้า ประกอบด้วย 1. สายไฟฟ้า VSF เดินสายในด้านแรงตํ่า สำหรับเดินสายในวงจรซีเล็กเตอร์ สวิตซ์โวลต์และซีเล็กเตอร์แอมป์ แอมป์มิเตอร์ โวลต์มิเตอร์Pilot lamp 2. ปลอกสี ใช้สวมเข้าที่ปลายสาย เพื่อบอกเฟสนั้น ๆ เช่น เฟส R สีแดง เฟสS สีเหลือง เฟส T สีนํ้าเงิน สายนิวทรัล สีขาว และสายกราวด์ สีเขียว 3. หางปลาแบบแฉก, หางปลาแบบกลม ใช้ยํ้ากับปลายสายเพื่อต่อกับอุปกรณ์ อื่น ๆ 4. เนมเพลท ใช้บอกหน้าที่ของอุปกรณ์บนหน้าตู้จ่ายไฟหลักหรือตู้คอนโทรล 5. แป้นกาว ใช้งานร่วมกับเคเบิ้ล ไทร์ ในการจัดสาย 6. เคเบิ้ล ไทร์ ใช้ในการจัดสายให้เรียบร้อย 7. น็อต ใช้ยึดอุปกรณ์เข้ากับตัวตู้และฝาตู้ 8. รางรีเลย์ ในตู้จ่ายไฟหลักส่วนมากจะใช้ยึดฟิวส์เพียงอย่างเดียว 9. รางเทอร์มินอล ใช้ยึดเทอร์มินอลเข้ากับตู้ 10. ไวร์ดักซ์ ใช้เป็นทางในการจัดเก็บสาย และช่วยป้องกันสายชำรุด 11. สีสเปย์ ใช้พ่นสีบัสบาร์ แดง เหลือง นํ้าเงิน ขาว และเขียว 12. โฮล ซอว์ (Hole saw) ใช้งานกับสว่านไฟฟ้า ในการเจาะวงกลมเพื่อยึด อุปกรณ์ เช่น Pilot lamp, Push button 13. ไส้ไก่เก็บสาย สำหรับเก็บสายอ่อนจำนวนหลาย ๆ เส้น รวมไว้ด้วยกัน เพื่อ ความเรียบร้อยของการเดินสาย