ประวตั ศิ าสตรช์ าติไทย
รหัสวชิ า 20000 - 1502
ครภู าณุวิชญ์ ประภาสอน
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1
กระบวนการทางประวัติศาสตร์
แบบทดสอบกอ่ นเรียน
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 กระบวนการทางประวตั ิศาสตร์
1.1 ความหมายของวิชาประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์เป็นวิชาท่ีว่าด้วยการศึกษาเรื่องราวท่ีเกิดขึ้นในอดีตเพื่อพิจารณาถึงความเป็นไป
อันจะเป็นภูมิคุ้มกันสู่อนาคต โดยใช้การศึกษาด้วยกระบวนการทางประวัติศาสตร์ ท้ังน้ีเน่ืองจาก
ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์สากล คือ มีการศึกษาอยู่ในทั่วทุกภูมิภาคของโลก จึงมีผู้ที่สนใจใคร่รู้ได้ให้
ความหมายของประวัติศาสตร์ไว้มากมาย ดังน้ี
E.H. Carr ให้ความเหน็ เก่ียวกับประวัติศาสตร์ว่า ประวัติศาสตร์คือ “การบวนการอนั ต่อเนื่อง
ของการโต้ตอบกันระหว่างนักประวตั ิศาสตรก์ บั ข้อมูลของเขา เป็นบทสนทนาระหว่างปัจจุบันกับอดีตที่ไม่มีท่ี
ส้ินสดุ ”
R. G. Collingwood กลา่ วว่าประวัติศาสตร์คอื “ศาสตรท์ ี่วา่ ด้วยความพยายามที่จะตอบคาถาม
เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษยใ์ นอดตี ”
R. G. Collingwood, E.H. Carr, และศ.ดร.นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์
1.1 ความหมายของวชิ าประวตั ศิ าสตร์
ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ให้ความหมายของประวัติศาสตร์ว่าคือ “การศึกษาความเป็นมา ของ
มนุษยชาติหรือสังคมใดสังคมหน่ึงตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต โดยอาศัยวิธีการที่รู้จักกันดีว่า วิธีของ
ประวัติศาสตร์ (historical method)”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของประวัติศาสตร์ (น.) ว่า
หมายถงึ วิชาวา่ ดว้ ยเหตกุ ารณท์ เี่ ป็นมาหรือเรอื่ งราวของประเทศชาติ เปน็ ตน้ ตามท่บี ันทึกไว้เป็นหลกั ฐาน
สรุป ประวัติศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยพฤติกรรมหรือเรื่องราวของมนุษย์ที่เกิดข้ึนในอดีต
ร่องรอยที่คนในอดีตสร้างเอาไว้ เป้าหมายของการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ คือ การเข้าใจสังคมในอดีตให้
ใกล้เคียงกบั ความเป็นจริงมากทส่ี ดุ เพ่อื นามาเสริมสร้างความเขา้ ใจในสงั คมปจั จุบนั
R. G. Collingwood, E.H. Carr, และศ.ดร.นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์
1.2 ลักษณะสาคัญของประวัติศาสตร์
1.2.1 พฤติกรรมมนุษย์
ประวัติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่มุ่งศึกษาในพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งในมิติการกระทา ความคิด
และความรูส้ กึ ท่ีคอยผลกั ดนั ใหเ้ กิดเหตกุ ารณ์
1.2.2 อดีต
ประวัติศาสตร์มุ่งศึกษาเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนแล้วเท่าน้ัน ในอดีตเหตุการณ์ที่จะเรียกว่า
ประวตั ิศาสตรไ์ ด้ มกั ใหค้ วามสาคญั กับเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขึ้นแล้วนับสบิ ปี
1.2.3 ผลตอ่ สงั คม
ประวัติศาสตร์นอกจากจะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในอดีตแล้ว พฤติกรรมของมนุษย์ท่ี
ศึกษานั้นมกั เปน็ พฤตกิ รรมมนุษยท์ ่มี ีผลกระทบต่อสงั คมหรอื มนุษยชาติดว้ ย
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธปิ ไตย
1.3 บิดาของประวตั ศิ าสตร์
1.3.1 พระบิดาของประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย
: สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดารงราชานภุ าพ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เป็นพระ
ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นกาลัง
ส า คั ญ ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ใน
ก า ร พั ฒ น า ป ร ะ เ ท ศ ใ ห้ ไ ด้ รั บ ค ว า ม
เจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านวงการ
การศึกษาของไทยที่ทรงเป็นผู้ริเร่ิมก่อตั้ง
กรมศลิ ปากร พิพธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาติ
1.3.2 บิดาประวตั ิศาสตร์โลก : เฮโรโดตัส (Herodotos)
เฮโรโดตัส เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกท่ี มีช่ือเสียงและได้รับการยอมรับ
จากผลงานการบันทึกสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย ซ่ึงถือกันว่าเป็นบุคคลแรกของ
ยโุ รปท่บี ันทกึ ประวตั ิศาสตรเ์ ป็นร้อยแก้ว ถือเป็นผู้บกุ เบกิ การบันทกึ ประวตั ศิ าสตร์
เฮโรโดตสั (Herodotos)
1.4 หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์
1.4.1 ความหมายของหลักฐานประวตั ิศาสตร์
1. มาร์ค บลอค (Marc Bloch) ใ ห้ ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ห ลั ก ฐ า น ท า ง
ประวตั ิศาสตร์เอาไวว้ ่า หลกั ฐานประวัตศิ าสตร์ คอื “ร่องรอยพฤติกรรม การพูด การเขียน
การประดิษฐ์คิดคน้ การดารงชีวิตของมนุษย์และสงิ่ ท่ีมอี ยภู่ ายในหลักฐานกค็ ือ ร่องรอย
มาร์ค บลอค (Marc Bloch)
1.4.2 ประเภทของหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์
หลักฐานทางประวตั ิศาสตรส์ ามารถแบ่งออกได้หลายประเภท และการแบ่ง
ตามลาดับความสาคญั หรือความนา่ เชอ่ื ถือของหลักฐาน ดงั น้ี
1. การแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามลาดับความสาคัญหรือความ
น่าเช่ือถอื ของหลกั ฐานเป็นเกณฑ์ ได้แก่
(1) หลกั ฐานชน้ั ต้น (Primary Source)
(2) หลกั ฐานชน้ั รอง (Secondary Source)
2. การแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์โดยใช้ลายลักษณ์อักษรเป็นเกณฑ์
ไดแ้ ก่
(1) หลักฐานที่มีลายลกั ษณอ์ กั ษร
(2) หลกั ฐานทไ่ี ม่เป็นลายลกั ษณ์อักษร
1. การแบ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามลาดับความสาคัญหรือความน่าเชื่อถือของ
หลักฐานเปน็ เกณฑ์ ได้แก่
(1) หลักฐานช้ันต้น (Primary Source) เป็นข้อมูลหรือหลักฐานดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์
เช่น จารึกต่างๆ พระราชพงศาวดาร โบราณสถาน โบราณวตั ถุ
(2) หลักฐานชั้นรอง (Secondary Source) เป็นหลักฐานที่ผ้ศึกษารวบรวมข้ึนมาภายหลังเช่น
งานวจิ ัย ตารา รายงานและบทความต่างๆ
2. การแบง่ หลักฐานทางประวตั ิศาสตรโ์ ดยใชล้ ายลกั ษณ์อักษรเปน็ เกณฑ์ ไดแ้ ก่
(1) หลักฐานทม่ี ลี ายลักษณอ์ ักษร เชน่ จารึก พงศาวดาร บันทกึ ต่างๆ
(2) หลกั ฐานท่ไี มเ่ ปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร เชน่ วัตถุ สงิ่ ของเคร่ืองมือเครอื่ งใช้ โครงกระดกู มนษุ ย์
ใบงานที่ 1.1
ประวตั ิศาสตร์ และหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์
การศึกษาประวัติศาสตร์ไม่ใช่การคาดเดาเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในอดีตอย่างไม่มีทิศทางหรือ
ปราศจากซ่ึงเหตุผลแต่มีวิธีการท่ีสาคัญเรียกว่า “กระบวนการทางประวัติศาสตร์” มคี วามน่าเช่ือถือมาก
ย่งิ ขน้ึ ประกอบดว้ ย
1. การกาหนดปัญหาและสมมตฐิ าน
2. การแสวงหาความร้โู ดยการรวบรวมหลกั ฐาน
3. การวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ คณุ คา่ ขอ้ มูล
4. การตคี วามและสงั เคราะห์ขอ้ มลู
5. การนาเสนอขอ้ มูล
1.6.1 ช่วยพัฒนาการคดิ และวางแผนการทางานอย่างเป็นระบบ
เพราะการศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องอาศัย กระบวนการทางประวัติศาสตร์ อันเป็นรูปแบบการ
ทางานทม่ี ลี กั ษณะผสานทกั ษะหลายประการประกอบกันทง้ั การคิดวเิ คราะห์
1.6.2 เป็นการตอบสนองความต้องการพน้ื ฐานของมนุษย์
การต้ังคาถามและการพยายามตอบคาถามในวิชาประวัติศาสตร์จึงคล้ายกับความพยายามค้นหา
ลูกกุญแจเพ่อื ไขข้อสงสัยของมนษุ ยต์ อ่ เร่ืองราวต่าง ๆ
1.6.3 เปน็ ภูมิคุ้มกนั ในปจั จุบนั
แม้ประวัติศาสตร์ไม่มีทางเกิดข้ึนซ้ารอยเพราะเกิดข้ึนต่างสถานท่ีและต่างเวลากัน แต่อาจมีความ
เป็นไปได้ทจี่ ะเกิดเหตกุ ารณท์ ี่ใกลเ้ คยี งกัน
1.6.4 ช่วยสรา้ งความสามคั คขี องคนในชาติ
เมื่อมนุษย์ศึกษาประวัติศาสตร์ มนุษย์จะเข้าใจในรากเหง้าของตนและเกิดความรักความหวง
แหนในชาตกิ าเนิด เกิดความภาคภมู ิใจ