1
ความหมายของการเมืองการปกครอง
การเมอื งเปน็ เรอ่ื งเกยี่ วกบั วธิ ีการไดม้ าซงึ่ อานาจในการปกครองและการบรหิ ารราชการ
แผน่ ดิน และการใชอ้ านาจทไ่ี ด้มาเพ่อื สรา้ งความผาสุกใหแ้ กป่ ระชาชน สว่ นการปกครองเปน็ การ
ทางานของ เจา้ หนา้ ที่ของรัฐ ซงึ่ จะดาเนนิ การตามกฎหมายและนโยบายที่รัฐมอบใหด้ าเนินการ โดยมุ่ง
ท่จี ะสรา้ ง ความผาสุก ความเปน็ ระเบียบ ความสงบเรียบรอ้ ยให้เกิดขน้ึ ในสงั คมภายใตร้ ปู แบบการ
ปกครองแบบ ประชาธิปไตยและแบบเผดจ็ การ
สาระการเรยี นรู้
1. ความร้เู ก่ียวกับรฐั
- รฐั และการจัดระเบยี บการปกครองภายในรฐั
- องคป์ ระกอบของรัฐ
- รปู แบบของรฐั
- ประเภทของรัฐ
- วัตถุประสงค์ของรฐั
- หน้าทข่ี องรัฐ
- การจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ
- หลกั การใช้อานาจในการปกครอง
- แผนผงั แสดงการจดั ระเบียบราชการแผ่นดินของไทยในปจั จบุ นั
2. ระบอบประชาธิปไตย
3. ระบอบเผดจ็ การ
ความรู้เกย่ี วกบั รฐั
มนษุ ย์อย่รู ว่ มกันโดยเรมิ่ จากการอยูด่ ว้ ยกนั ในลกั ษณะสงั คมทเ่ี ล็กทส่ี ดุ ตงั้ แต่ขนาดครอบครัว
หลายๆ ครอบครัวรวมกันในรปู ของเผ่า เม่อื สมาชิกของสังคมเพ่มิ มากข้นึ สังคมก็ขยายตวั ออกไปท้ัง
ในด้านจานวนและบรเิ วณทต่ี ง้ั สังคม จากเผ่ากลายเป็นนครรัฐและไปเป็นชาติ เปน็ รัฐหรือประเทศ
เปน็ อาณาจกั ร เป็นจกั รวรรดิ การแบ่งกล่มุ คนหรอื สังคมเปน็ ประเทศ คาท่ใี ชใ้ นการสอ่ื ความหายคอื
คาว่า รฐั ซึง่ บง่ บอกถึงสถานะนติ บิ คุ คล ของประเทศ ในทางความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ ประเทศ
ต่างๆ มีฐานะเป็นรฐั ในสงั คมนานาชาตโิ ดยเทา่ เทยี มกนั ไมว่ า่ ขนาดของประเทศหรือรฐั จะแตกต่างกัน
หรอื ไมก่ ็ตาม โดยปกติคาวา่ รัฐและประเทศมีความหมายคลา้ ยกันรัฐและการจัดระเบียบการ
ปกครองภายในรัฐ ในการกล่าวถงึ คาวา่ รฐั ผกู้ ล่าวถึงอาจใช้คาวา่ รฐั ในความหมายแตกตา่ งกนั
ไปตามที่ผ้ใู ช้ต้องการจะหมายถึง ไดแ้ ก่
1. รฐั หมายถึง รฐั บาล หรือกล่มุ บุคคลทด่ี ารงตาแหนง่ ท่มี ีอานาจในการตัดสินใจในกิจการ
ต่างๆ ของประเทศ
2. รฐั หมายถงึ ระบบราชการ ซึ่งมอี านาจหน้าทดี่ าเนนิ กจิ การตา่ งๆ ของประเทศตามที่
กฎหมายกาหนด
2
3. รัฐ หมายถึง ชนช้นั ที่มีอานาจปกครองเหนอื ชนชน้ั อ่นื ทอ่ี ย่ภู ายในดนิ แดนน้นั
4. รัฐ หมายถึง องค์การอสิ ระท่มี อี านาจกาหนดบรรทัดฐานทางสังคมใหก้ ล่มุ ชนหรือ
ประชาชนต่างๆ ยดึ ถือและปฏบิ ัติตาม
5. รฐั หมายถึง ดนิ แดนหรือประเทศเอกราชทมี่ ีอานาจในการดาเนินความสมั พันธก์ บั
ประเทศเอกราชอ่ืนในประชาคมระหวา่ งประเทศ
จากความหมายตา่ งๆ ของรัฐทกี่ ลา่ วมาน้ี เราอาจใหค้ วามหมายของรัฐโดยรวมได้
ว่า รัฐ หมายถงึ ประเทศทมี่ ีรฐั บาลเปน็ ผใู้ ช้อานาจอธิปไตยเหนือประชากร ภายในดินแดนของตน
อยา่ งเปน็ อิสระไมข่ ้นึ แก่ใคร
ความหมายของรัฐ
รฐั หมายถงึ กลมุ่ คนที่รวมกันอยูใ่ นดินแดนอันมีอาณาเขตแน่นอน และมรี ัฐบาลซงึ่ มอี านาจ
อธิปไตยหรอื อานาจสูงสุดในการดาเนนิ กิจการของรฐั ในประเทศและนอกประเทศโดยอสิ ระ ดงั นั้นรฐั
จึงเปน็ สงั คมทมี่ ีการจัดองคก์ รทางการเมอื งแตกต่างจากการรวมตัวกันเป็นสังคมแบบธรรมดาๆ
ความหมายของรฐั เนน้ ในเรอ่ื งการเมอื ง คอื มีการจัดองค์กรในรูปแบบทว่ี า่ มคี นจานวนหน่งึ เป็น
ผู้ปกครองมีอานาจเหนอื กลมุ่ คนท้ังหมด อานาจของผปู้ กครองนอ้ี าจไดม้ าดว้ ยการใช้กาลงั หรอื ความ
ยนิ ยอมมอบให้ หรือการยอมรบั ของคนที่อยใู่ นสงั คมน้ันทางใดทางหน่งึ กไ็ ด้ คาวา่ รัฐ นอ้ี าจให้
ความหมายโดยสมบรู ณว์ า่ รัฐประชาชาติ ก็ได้
เมอ่ื พจิ ารณาความหมายของคาว่า รฐั แล้ว จะเหน็ ไดว้ ่า จดุ ประสงคส์ าคญั ในการมรี ัฐ คือ
ความปรารถนาของคนที่จะมีชวี ิตท่ีมคี วามสมบูรณ์ อนั ไดแ้ ก่ การมเี สรีภาพ มโี อกาสอันเท่าเทยี มกัน
มีความเจรญิ กา้ วหนา้ มโี อกาสพฒั นาดา้ นสติปญั ญา ความสามารถและบุคลิกภาพ มีศกั ดิ์และสทิ ธิท์ ่ี
จะเป็นเจ้าของประเทศ
องค์ประกอบของรัฐ
การจดั ว่าสังคมเป็นรัฐ หรือรัฐประชาชาติ ตามท่เี รยี กกันในปจั จุบันน้นั ต้องมอี งค์ประกอบ
4 ประการ จะขาดประการใดประการหน่งึ ไม่ได้ แต่ละองค์ประกอบมสี าระสาคญั ดังตอ่ ไปนี้
1. ประชากร รฐั จะตอ้ งมจี านวนประชากรจานวนหนึง่ ไม่มกี ารกาหนดไว้ว่ารัฐหนง่ึ ควรมี
ประชากรเทา่ ใด แต่หากรฐั ใดมปี ระชากรนอ้ ยเกนิ ไปก็ยากทจ่ี ะคงไวซ้ งึ่ เอกราชของตนเอง โดยเหตนุ ี้
จานวนประชากรของแตล่ ะรัฐอาจจะแตกต่างกนั มาก เชน่ สาธารณรฐั ประชาชนจนี มีประชากร
ประมาณ 1,288 ล้านคน ในขณะทีป่ ระเทศนาอูรู และตวู าลู ซึ่งอย่ใู นแถบโอเชยี เนีย มีประชากร
เพยี ง 1 หมนื่ คนเศษเท่านนั้ ประชากรภายในรัฐไมจ่ าเป็นตอ้ งมเี ชือ้ ชาตเิ ดยี วกัน เชน่ สหพันธรัฐ
รสั เซยี มชี นเชอ้ื ชาติต่างๆ มากกว่ารอ้ ยเชอื้ ชาติ ภาษาท่ใี ช้ในรัฐกไ็ ม่จาเป็นตอ้ งมภี าษาเดียวกัน เชน่
สาธารณรฐั อินเดยี มีภาษาทใี่ ช้มากกวา่ รอ้ ยภาษา ประชากรท่อี ย่ใู นรัฐเดียวกันก็อาจมวี ฒั นธรรม
ประเพณี ความเชอ่ื ที่แตกตา่ งกันก็ได้
3
2. ดนิ แดน รัฐต้องมดี ินแดนทตี่ งั้ หรือมีอาณาเขตที่แน่นอน จะมีขนาดใหญห่ รอื เล็กกไ็ ด้
เช่น สหพนั ธรฐั รสั เซียมพี นื้ ทมี่ ากกว่า 17 ลา้ นตารางกิโลเมตร ในขณะที่สาธารณรฐั สงิ คโปรม์ พี นื้ ที่
เพียง 600 ตารางกโิ ลเมตรเศษเทา่ นั้น หมู่คนทเี่ รร่ อนไมป่ กั หลกั หากินเป็นถิ่นฐานแน่นอน เชน่
พวกยิปซีในสมัยกอ่ นถือวา่ ไม่ไดอ้ ยู่รว่ มกันในลักษณะของรฐั โดยปกตอิ าณาเขตของรฐั มักตดิ ต่อกัน
แตไ่ ม่ไดเ้ ป็นเช่นน้นั เสมอไป เชน่ มลรัฐอะแลสกาของสหรฐั อเมรกิ ามพี ้ืนทไี่ มต่ ิดกบั มลรัฐอ่นื ๆ ของ
สหรฐั อเมรกิ า เพราะมปี ระเทศแคนาดาคั่นอยู่ เป็นตน้
3. รฐั บาล รฐั จาเป็นตอ้ งมหี นว่ ยงานทที่ าหน้าทปี่ กครองบรหิ ารซ่งึ เรียกว่า รฐั บาล เป็นผทู้ า
หน้าที่คมุ้ ครองรกั ษาความสงบภายใน ป้องกันการรุกรานจากภายนอก จัดการทางเศรษฐกจิ และ
การบาบดั ทกุ ข์บารุงสขุ ของประชากรท่ีอาศยั อย่ใู นรฐั รวมทั้งการดาเนนิ กจิ การของรฐั ในทางการเมอื ง
ระหว่างประเทศดว้ ย
4. อธปิ ไตย สังคมทจี่ ะเปน็ รฐั ประชาชาติโดยสมบรู ณ์ไดต้ ้องมีอธปิ ไตย คือมีอานาจเด็ดขาด
และเต็มทท่ี จ่ี ะบญั ญตั ิ บังคบั และตัดสนิ คดีความตามกฎหมายใหป้ ระชาชนของรัฐของตน และ
สามารถทจ่ี ะดาเนินกจิ การภายในหรือภายนอกประเทศโดยอิสระ ไมถ่ กู ควบคุมหรอื บงการโดยรัฐอน่ื
ถา้ หากวา่ รัฐใดขาดอธปิ ไตยแล้ว ถือว่ารัฐนัน้ ไมม่ ีเอกราชโดยแทจ้ รงิ
ในบรรดาองคป์ ระกอบท้งั 4 อยา่ งน้ี อานาจอธปิ ไตยเป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ท่ีสุดของรฐั
ความเปน็ รัฐจะสิน้ สุดลงทนั ทีเม่อื รัฐนนั้ ตกไปอยใู่ ต้การปกครองของรฐั อืน่ ไมว่ า่ จะเปน็ เพราะแพ้
สงครามหรือรวมตัวกบั รัฐอ่นื ก็ตาม ด้วยเหตุนีน้ ักรัฐศาสตรจ์ ึงไมถ่ อื ว่ารัฐนวิ ยอรก์ ของสหรฐั อเมรกิ า
หรือรัฐโอรสิ สาของอนิ เดีย หรอื รฐั บาวาเรียของ เยอรมันนี มีสภาพเป็น รัฐ ท้ังนก้ี เ็ พราะรัฐดงั กล่าว
ไม่มอี านาจอธปิ ไตยเปน็ ของตนเอง และอยภู่ ายใต้การควบคมุ ของรฐั บาลกลางของประเทศนั้น ๆ จึงมี
ผเู้ รียกรฐั ท่เี ปน็ องคป์ ระกอบของรฐั ใหญห่ รอื สหพันธรฐั วา่ มลรัฐ
ขณะเดยี วกนั รฐั กบั ประเทศ ก็ไมใ่ ชส่ งิ่ เดยี วกนั เสมอไป ทง้ั นเี้ พราะคาวา่ ประเทศ อาจ
หมายถงึ ดินแดนทย่ี ังไม่เปน็ เอกราชกไ็ ด้ ตวั อย่างเช่น ประเทศเวยี ดนาม ลาว และกัมพชู า ก่อน
สงครามโลกคร้งั ที่ 2 ประเทศเหลา่ นย้ี ังไม่มฐี านะเป็นรฐั เน่ืองจากอยภู่ ายใต้การปกครองของ
ฝรง่ั เศส และยงั ไมม่ ีอานาจอธิปไตยหรอื อานาจปกครองเปน็ ของตนเอง
4
รูปแบบของรฐั
รัฐ หรือรฐั ประชาชาติ โดยทวั่ ไปมี 2 รปู แบบ คือ รฐั เดยี่ ว กบั รฐั รวม
1. รัฐเดีย่ ว เปน็ รฐั ที่มรี ัฐบาลเพยี งรัฐบาลเดยี วเปน็ ผู้ใช้อานาจอธปิ ไตยปกครองอาณาเขต
หรือดินแดนทงั้ หมด ประชาชนที่อยู่ในรฐั ถือวา่ อย่ภู ายใต้รัฐบาลเดยี วกนั รฐั อาจจะจดั ระบบการ
ปกครองใหม้ หี น่วยปกครองระดบั รองกระจายอยู่ตามสว่ นตา่ งๆ ของรัฐ เพือ่ ใหบ้ รกิ ารหรอื ใหค้ วาม
สะดวกแกค่ นในรัฐ รฐั เดยี่ วนี้แม้จะมกี ารจัดตัง้ หน่วยงานปกครองทอ้ งถิ่น เพือ่ ใหค้ นในทอ้ งถน่ิ มสี ่วน
ร่วมในการปกครอง หรือดาเนินการพฒั นาดา้ นต่างๆ ในท้องถิ่น แต่ก็เปน็ รูปแบบของการปกครอง
ตนเอง หนว่ ยการปกครองท้องถิ่นนนั้ ๆ ยงั ตอ้ งอยู่ภายใต้กฎหมายทีต่ ราขน้ึ มาจากส่วนกลาง คอื
การปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ต้องมีรฐั บาลกลางเป็นผูค้ วบคุม การปกครองตนเองจะมีอานาจมากหรือ
นอ้ ยขน้ึ อยูก่ ับรัฐบาลแหง่ ชาตวิ า่ มคี วามต้องการกระจายอานาจเพียงใด กล่าวคือ อานาจอธปิ ไตยมี
ศูนย์รวมอยู่ท่รี ฐั บาลในสว่ นกลาง จงึ ทาใหก้ ารดาเนนิ งานของรฐั ไมว่ ่าจะเปน็ การวางนโยบายหรือการ
บรหิ ารตอ้ งขึน้ อยกู่ บั การกาหนดและควบคมุ ดูแลของรฐั บาลกลางเปน็ หลกั การปกครองแบบนมี้ ัก
เกิดขน้ึ ในประเทศท่ีมอี าณาเขตไม่กวา้ งขวางมาก ทอ้ งถิ่นมลี กั ษณะไมต่ ่างกันมาก และประชาชนใน
รัฐมีความเกยี่ วข้องผกู พนั กนั ในทางประวตั ิศาสตร์ เช่น ไทย ฝรัง่ เศส ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์
เป็นตน้
2. รัฐรวม รัฐประเภทนไ้ี ดแ้ ก่ การทรี่ ฐั อยา่ งนอ้ ย 2 รฐั มารวมกนั เป็นรฐั เดียว โดยแบง่
การใชอ้ านาจอธิปไตยออกเป็นสดั สว่ น มรี ัฐบาล 2 ระดับ ได้แก่ รฐั บาลกลาง กบั รฐั บาลทอ้ งถิน่
รัฐบาลท้ัง 2 ระดบั ตา่ งมอี านาจหนา้ ทขี่ องตนโดยบัญญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนญู โดยท่วั ๆ ไป รฐั บาลกลาง
ของรฐั รวมจะใช้อานาจอธปิ ไตยในส่วนทเี่ ก่ียวกับผลประโยชนข์ องรัฐทงั้ หมด หรอื ผลประโยชนอ์ นั
เปน็ ส่วนรวมของรฐั เช่น การตดิ ต่อกับตา่ งประเทศ การรกั ษาความมั่นคงของชาติ การเงนิ และการ
คลงั เปน็ ต้น สว่ นรัฐบาลทอ้ งถิ่นมีอานาจในการดาเนนิ กจิ การอันเกี่ยวข้องกับทอ้ งถิ่นโดยเฉพาะ เชน่
การจัดการศึกษา การรกั ษาความสงบภายใน การรกั ษาสขุ ภาพของประชาชนเป็นตน้ รฐั รวม
ประกอบดว้ ยหลายๆ รัฐเขา้ มารวมกนั เป็นรัฐประชาชาติใหญ่ เรยี กว่า สหพนั ธรัฐ เชน่
สหรฐั อเมรกิ า ประกอบด้วยมลรฐั ต่างๆ ถงึ 50 มลรฐั สาธารณรัฐเยอรมนี มรี ัฐต่างๆ รวมกนั ถงึ
16 รัฐ เป็นต้น รัฐธรรมนญู ของรฐั รวมหรือสหพันธรัฐแบง่ แยกอานาจของรฐั บาลกลางและรฐั บาล
ทอ้ งถ่นิ ออกจากกนั อยา่ งเด่นชัดวา่ รฐั บาลใดมีขอบเขตของอานาจหน้าทอ่ี ยา่ งไร ทงั้ นเี้ พอ่ื ป้องกนั
ความขดั แยง้ อันอาจจะเกดิ ขึน้ ได้ ปกตริ ัฐทม่ี กี ารปกครองแบบรฐั รวม มักจะเปน็ รัฐหรอื ประเทศใหญ่
มีอาณาเขตกวา้ งขวาง มภี ูมิประเทศและสภาพทอ้ งถิน่ ไมเ่ หมอื นกนั เชน่ สหพันธรฐั รสั เซยี
ออสเตรเลีย บราซิล สหรัฐอเมริกา แคนาด า อนิ เดีย เปน็ ตน้
ประเภทของรฐั
รัฐเอกราชทเี่ ป็นสมาชิกขององคก์ ารสหประชาชาตปิ จั จุบนั มที ง้ั ส้ิน 191 รัฐ รฐั ทง้ั หมดนม้ี ี
ความแตกต่างกันทั้งเนื้อท่ี จานวนประชากร ลักษณะการปกครอง และลักษณะเศรษฐกจิ อาจ
จาแนกประเภทของรัฐไดต้ ามลักษณะการปกครอง ลกั ษณะเศรษฐกจิ และลกั ษณะของฐานอานาจ
ได้ ดังน้ี
5
1. การจาแนกประเภทของรฐั ตามลกั ษณะการปกครอง ลักษณะการปกครอง หมายถึง รูปแบบ
การเมืองการปกครองของรัฐ โดยพิจารณาจากการทปี่ ระชาชนเขา้ ไปมสี ่วนรว่ มทางด้านการเมอื งการ
ปกครอง ซึง่ จาแนกได้ 2 ลกั ษณะ คือ
1.1 รัฐประชาธปิ ไตย เปน็ ระบอบการปกครองที่ใหโ้ อกาสประชาชนไดม้ ีส่วนร่วมในการ
ปกครองตนเอง เชน่ สหรัฐอเมรกิ า ญป่ี นุ่ ฝรงั่ เศส อินเดยี ไทย เปน็ ต้น
1.2 รัฐเผดจ็ การ เปน็ ระบอบการปกครองทป่ี ระชาชนเข้าไปมสี ่วนรว่ มในการปกครอง
นอ้ ยมากหรือไม่มเี ลย อานาจในการปกครองมาจากคนหรอื คณะบุคคล เชน่ พมา่ เกาหลีเหนอื
เป็นต้น
2. การจาแนกประเภทของรฐั ตามลกั ษณะเศรษฐกจิ ลักษณะเศรษฐกจิ หมายถงึ รปู แบบ
การจดั ระบบเศรษฐกจิ ของรฐั ซึง่ จาแนกได้ 2 ลกั ษณะ คือ
2.1 รัฐทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกจิ ท่ใี ห้โอกาสประชาชนในการดาเนินการผลิต การ
จาหน่าย และใหก้ ลไกตลาดเป็นผกู้ าหนดราคาสินคา้ รัฐไมเ่ ขา้ ไปแทรกแซงหรือแขง่ ขัน ยกเวน้
กจิ การบางอยา่ งทเี่ ป็นสาธารณะเพอื่ ประชาชนสว่ นใหญ่ รฐั อาจเข้าไปดาเนินการเพ่ือใหป้ ระชาชนได้
ประโยชน์มากขึน้ เช่น การคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร การบรกิ ารนา้ สะอาด ไฟฟ้า และ
สาธารณปู โภคอื่นๆ เป็นต้น ประเทศท่ีมลี ักษณะเศรษฐกิจแบบนี้ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
สหราชอาณาจักร สงิ คโปร์ ญปี่ ุ่น เปน็ ต้น
2.2 รฐั สงั คมนิยม เป็นระบบเศรษฐกจิ ทรี่ ฐั เปน็ ผปู้ ระกอบการทง้ั หมด คอื การ
ดาเนินการผลิต การจาหน่าย การกาหนดราคา ประชาชนมีส่วนร่วมในฐานะเปน็ ลูกจา้ งของรฐั และ
เป็นผบู้ รโิ ภคเทา่ นน้ั ประเทศทม่ี ีลกั ษณะเศรษฐกจิ แบบนี้ เชน่ สาธารณรฐั ประชาชนจนี เกาหลี
เหนือ คิวบา ลิเบีย เป็นตน้
3. การจาแนกประเภทของรฐั ตามลกั ษณะของฐานอานาจ ลักษณะของฐานอานาจ หมายถึง
ปัจจัยที่สง่ เสรมิ ความมอี านาจของรฐั ทส่ี าคญั เช่น ขนาดของเน้ือที่ จานวนประชากร ทรพั ยากร
กาลงั ทหาร และศกั ยภาพของอาวธุ ยุทโธปกรณ์ หากรฐั มปี จั จยั ดงั กล่าวอยมู่ ากกส็ ่งเสรมิ ใหม้ ีอานาจ
มาก อาจแบ่งอานาจของรฐั ได้ 3 ลักษณะดังน้ี
3.1 รัฐมีอานาจน้อย เป็นรัฐที่มเี น้ือท่ขี นาดเลก็ ประชากรนอ้ ย มที รัพยากรจากดั เชน่
สงิ คโปร์ กัมพูชา เป็นต้น
3.2 รัฐมีอานาจปานกลาง เป็นรัฐขนาดกลาง ท้งั ด้านเน้ือทแ่ี ละประชากร โดยมี
ทรพั ยากรสนองความต้องการของประชากรไดอ้ ย่างเพยี งพอ เชน่ ไทย สเปน เดนมาร์ก ฟิลปิ ปินส์
เปน็ ตน้
3.3 รฐั มีอานาจมาก เ ปน็ รัฐตามเกณฑท์ ม่ี เี น้ือทม่ี าก มีประชากรมาก มที รัพยากร
หลากหลาย มศี กั ยภาพทางเศรษฐกจิ สูง มคี วามเขม้ แขง็ ทางยทุ ธศาสตร์การทหาร เช่น
สหรัฐอเมรกิ า สหพนั ธรัฐรสั เซยี สาธารณรฐั ประชาชนจนี สหราชอาณาจกั ร และฝรงั่ เศส เปน็ ตน้
การจาแนกประเภทของรัฐตามลกั ษณะดงั กล่าวอาจเปลี่ยนแปลงไดท้ ้งั ทางดา้ นการปกครอง
เศรษฐกจิ และฐานอานาจ การศกึ ษาเร่อื งของรัฐจงึ ให้ความสาคญั เกย่ี วกบั หนา้ ที่ของรัฐตามลักษณะ
การจดั ระเบียบการปกครองของรฐั มากกวา่ ประเภทของรฐั
6
วตั ถปุ ระสงคข์ องรฐั
รฐั จะตอ้ งดาเนินการใหป้ ระชาชนของรัฐมคี ณุ ภาพชวี ติ ท่ดี ี ด้วยการสรา้ งความเปน็ ระเบียบ
การสร้างคณุ ธรรม การจดั ใหม้ สี วัสดิการสาธารณะ และการสรา้ งความเจรญิ กา้ วหนา้ และความมั่นคง
1. สรา้ งความเป็นระเบยี บ ความเปน็ ระเบยี บเป็นรากฐานของความสงบเรยี บร้อยของสงั คม
โดยทวั่ ไป และเปน็ ปจั จัยสาคญั ทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กิดผลดแี กป่ ระชาชน เมือ่ สงั คมมคี วามเป็นระเบียบทาให้
สมาชิกมโี อกาสใชอ้ านาจท่ีถกู ตอ้ ง ชอบธรรมหรือใชส้ ทิ ธขิ องตนได้ ความเป็นระเบยี บทาให้เกดิ
เสรีภาพ คอื ความอิสระทปี่ ระชาชนจะทาส่ิงใดๆ ได้ โดยไม่ละเมดิ สทิ ธขิ องผอู้ ่นื เพราะเสรภี าพจะ
เกดิ ข้ึนได้ก็ต่อเมอื่ รัฐนั้นมีความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย มหี ลกั มีเกณฑ์ และทกุ คนมีความรบั ผดิ ชอบที่
จะควบคมุ การกระทาของตน มใิ หก้ ระทบกระเทือนตอ่ สทิ ธิและเสรีภาพของผอู้ นื่ นอกจากน้คี วาม
เปน็ ระเบียบยงั ทาใหเ้ กดิ ความเสมอภาค คือความเทา่ เทยี มกันของประชาชน เพราะความมีระเบยี บ
ยงั ทาใหเ้ กิดความเสมอภาคกนั ในระหวา่ งคนในชาติ
2. สรา้ งคณุ ธรรม คุณธรรม คอื สงิ่ ทท่ี าให้คนแตกตา่ งจากสัตวป์ ระเภทอ่นื เพราะคณุ ธรรม
ทาให้คนมีความรักความเมตตาตอ่ เพอื่ นมนษุ ย์ด้วยกัน รัฐจงึ ตอ้ งเสรมิ สร้างและสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมี
คุณธรรม ศีลธรรม หรอื จรยิ ธรรมในหลกั ศาสนา ซงึ่ มสี ่วนช่วยสร้างเสรมิ เพม่ิ พูนคุณงามความดี
ใหก้ บั บุคคลเพอ่ื ให้อยรู่ ว่ มกันด้วยความสงบเรียบร้อย มีความเป็นระเบียบ ปลอดภยั และทาใหเ้ กดิ
สันตสิ ุข
3. บริการสาธารณะ กิจการอันเป็นสวัสดกิ ารสาธารณะด้านตา่ งๆ ซ่งึ ประชานไดร้ บั
ประโยชน์ในการใช้บรกิ ารรว่ มกนั เชน่ เส้นทางคมนาคมขนสง่ ไฟฟ้า นา้ สะอาด เปน็ ตน้ รัฐ
จะตอ้ งรับผดิ ชอบดาเนนิ การ
4. สรา้ งความเจรญิ ก้าวหน้าและความมน่ั คง รัฐเหมอื นสงิ่ มีชีวิตท่มี คี ุณค่า ตอ้ งการการ
พัฒนาใหเ้ จริญก้าวหนา้ มคี วามม่นั คงและปลอดภัย ท้งั ดา้ นการเมือง เศรษฐกจิ และสงั คม
หน้าทีข่ องรัฐ
ประชาชนจะอยรู่ อดปลอดภยั และมชี วี ติ ท่ีสุขสมบูรณไ์ ด้ตามวัตถุประสงคด์ งั กล่าวไดน้ นั้ รฐั
จะตอ้ งทาหน้าทดี่ า้ นต่างๆ ดังนี้
1. การบริหาร คอื การปกครอง ดแู ล และการปอ้ งกนั ประเทศ รัฐต้องจัดใหม้ ีสง่ิ ตอ่ ไปนี้
(1) จดั หนว่ ยปกครอง เพื่อการบรหิ ารการปกครอง รฐั จะตอ้ งดาเนินการตามกฎหมาย
ในการให้ความคมุ้ ครองและปอ้ งกนั การละเมดิ สิทธิ เสรภี าพ และความเสมอภาค ทง้ั ในส่วนเอกชน
และมหาชน
(2) รกั ษาความสงบภายใน รฐั ตอ้ งดาเนินการเพ่ือใหเ้ กิดความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ยข้ึน
ในรฐั โดยการปอ้ งกัน ระงบั และปราบปรามอาชญากรรม
7
(3) หารายได้ รฐั ต้องดาเนนิ การเพ่อื หารายไดม้ าใชจ้ า่ ยในการพฒั นาและรกั ษาความ
มั่นคงของประเทศดว้ ยการเก็บภาษอี ากรทเี่ ปน็ ธรรม มคี วามเสมอภาคและไมร่ วั่ ไหล
(4) รกั ษาเอกราช รฐั ตอ้ งดาเนนิ การโดยจัดใหม้ ีกาลงั ป้องกันตนเอง เพ่ือรกั ษาเอกราช
และอธปิ ไตย ท้งั ต้องเปน็ มติ รและมสี ัมพนั ธไมตรกี ับนานาประเทศ ท้งั ด้านการเมอื งและเศรษฐกจิ
2. การบริการและสวสั ดกิ าร รัฐตอ้ งอานวยและบาบัดทุกข์ บารุงสุข ใหแ้ ก่ประชาชนใน
ด้านสุขภาพ อนามยั การสงเคราะหผ์ ู้ประสบภัย การศกึ ษา การฝึกฝนและประกอบอาชีพ เพอ่ื ให้
ประชาชนมคี ุณภาพชวี ิตทดี่ ีขน้ึ มศี ักดิแ์ ละสิทธ์แิ หง่ การเปน็ พลเมอื งของประเทศ
3. ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ รัฐตอ้ งสนบั สนุน สง่ เสรมิ ให้เอกชนมคี วามสามารถและมี
ความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพ ปอ้ งกนั การเอารดั เอาเปรยี บทางดา้ นเศรษฐกจิ จากผู้ทเ่ี ขม้ แข็ง
หรือร่ารวยกว่า และป้องกันการค้าขายผูกขาด
การจัดระเบียบการปกครองภายในรัฐ
ทุกรัฐจะตอ้ งมกี ารจดั ระเบยี บการปกครองภายใน ทงั้ น้ีเพอ่ื ให้การปกครองดาเนินไปด้วย
ความเรยี บร้อยและทาใหป้ ระชาชนอยู่กันดว้ ยความผาสุก ดว้ ยเหตุนท้ี ุกรฐั จงึ สรา้ งระเบยี บแบบแผน
ทางการปกครอง หรอื รัฐธรรมนูญ ขึ้น เพอื่ ระบอุ านาจหนา้ ท่ีของสถาบันการปกครองตา่ งๆ ไว้
อย่างชดั เจน วา่ สถาบันนน้ั ๆ มอี านาจหนา้ ทีอ่ ย่างไร และมคี วามสัมพันธ์กนั อย่างไร รวมทงั้ ระบุ
สทิ ธิ เสรภี าพและหน้าท่ขี องประชาชนไว้
1. สถาบันการปกครอง สถาบนั การปกครองทสี่ าคัญๆ โดยทวั่ ไป ไดแ้ ก่
1) ประมุข ประมขุ ของประเทศต่างๆ มรี ปู แบบสาคัญ 2 รปู แบบ คอื แบบมี
พระมหากษัตริยเ์ ปน็ ประมุข และแบบมปี ระธานาธิบดเี ปน็ ประมขุ โดยทัง้ 2 แบบนีจ้ ะใชอ้ านาจ
ตามทร่ี ฐั ธรรมนญู กาหนด กล่าวคอื ประเทศทมี่ พี ระมหากษัตรยิ ์เป็นประมขุ จะทรงใช้อานาจอธิปไตย
ผา่ นสถาบันการปกครองอนื่ ๆ ไดแ้ ก่ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ส่วนหัวหนา้ ของรฐั บาล คอื
นายกรัฐมนตรี เช่น กรณขี องประเทศองั กฤษ ไทย มาเลเซยี สเป น สว่ นประเทศทม่ี ี
ประธานาธบิ ดเี ป็นประมขุ ประธานาธิบดีอาจเป็นผูใ้ ชอ้ านาจผา่ นสถาบนั การปกครองเช่นเดยี วกบั
พระมหากษัตรยิ ์ และมีนายกรัฐมนตรเี ป็นหวั หน้ารฐั บาล เช่น กรณขี องประเทศอินเดีย สิ งคโปร์
เยอรมนี อิตาลี หรอื อาจเปน็ หัวหน้าผบู้ รหิ ารหรอื รัฐบาลเองก็ได้ เช่น กรณีของประเทศ
สหรัฐอเมรกิ า ฟลิ ิปปินส์ อนิ โดนเี ซีย เปน็ ต้น
2) รฐั สภา มอี านาจหนา้ ทใี่ นการออกกฎหมาย และควบคุมการบริหารราชการแผน่ ดิน
ของคณะรฐั มนตรีหรือรัฐบาล
3) คณะรฐั มนตรหี รือรฐั บาล มีอานาจหน้าทใ่ี นการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ และบงั คบั
ใช้กฎหมายตา่ งๆ
4) ศาล มีอานาจหนา้ ทใ่ี นการตดั สนิ คดตี า่ งๆ ใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย
สาหรบั ประเทศไทยนัน้ มรี ัฐธรรมนูญบญั ญตั อิ านาจหน้าที่ของสถาบนั การปกครองตา่ งๆ
8
และระบสุ ทิ ธิ เสรีภาพและหน้าทีข่ องประชาชนไวอ้ ยา่ งชัดเจน เหมือนของนานอารยประเทศ ดังเช่น
รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ได้บัญญตั ถิ ึงรูปแบบของรัฐไทย และอานาจ
หน้าทขี่ องสถาบันการปกครองต่างๆ ไว้ในมาตรา 1 , 2 และ 3 ดงั น้ี
มาตรา 1 ประเทศไทยเปน็ ราชอาณาจักรอนั หนึง่ อนั เดียว จะแบ่งแยกมไิ ด้
มาตรา 2 ประเทศไทยมกี ารปกครองระบบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็น
ประมขุ
มาตรา 3 อานาจอธิปไตยเปน็ ของปวงชนชาวไทย พระมหากษตั ริยผ์ ทู้ รงเปน็ ประมขุ ทรงใช้
อานาจนั้นทางรฐั สภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบญั ญัติแหง่ รฐั ธรรมนญู นี้
ในส่วนทเี่ ก่ยี วกบั สทิ ธเิ สรีภาพและหน้าทข่ี องประชาชนชาวไทยนน้ั รฐั ธรรมนญู แหง่
ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ไดบ้ ญั ญตั ิไวใ้ นหมวด 3 และหมวด 4
หลกั การใชอ้ านาจในการปกครอง
เรอื่ งสาคัญอกี เรอื่ งหนง่ึ ทท่ี ุกรัฐจะตอ้ งดาเนินการกค็ ือ การจดั ระเบียบการปกครองภายในท่ี
จะทาใหร้ ฐั บาลหรือคณะรัฐมนตรสี ามารถบริหารงานได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ และสามารถอานวย
ประโยชนส์ ขุ ใหแ้ กป่ ระชาชนไดอ้ ยา่ งท่วั ถึง ซงึ่ นักรฐั ศาสตรไ์ ด้เสนอหลกั การใช้อานาจในการ
ปกครองไว้ 3 แบบ คือ
1. หลักการรวมอานาจไวท้ ี่ส่วนกลาง (Centralization of Powers) หมายถึง การให้
กระทรวง ทรวง กรม ซงึ่ ตง้ั อยใู่ นเมอื งหลวง อันเป็นศนู ย์กลางในการบรหิ ารประเทศ มีอานาจหนา้ ที่
ในการบรหิ ารกิจการอนั เป็นหน้าทขี่ องรัฐ โดยกระทรวง ทรวง กรมตา่ งๆ จะจดั สง่ เจา้ หนา้ ที่ของตน
ออกไปปฏบิ ตั ิงานในสว่ นต่างๆ ของประเทศ และมีอานาจหน้าทีท่ จี่ ะโยกยา้ ยสบั เปลยี่ นหนา้ ที่
เหลา่ นนั้ ไดต้ ลอดเวลาตามความเหมาะสม หลกั การรวมอานาจมีข้อดแี ละขอ้ เสยี ดังนี้
ขอ้ ดี มีดงั นี้
1. ชว่ ยใหเ้ กดิ เอกภาพในการบริหารงานราชการแผน่ ดนิ ท้ังน้ีเพราะรัฐบาลในสว่ นกลาง
สามารถวางระเบยี บแบบแผนในการบรหิ ารได้เหมือนกันหมดท่ัวประเทศ รวมทัง้ สามารถควบคมุ ใหม้ ี
การปฏิบตั ิตามระเบยี บแบบแผนไดอ้ ย่างเต็มท่ี และไดร้ บั ความรว่ มมือจากเจา้ หน้าท่ีทกุ คนทไ่ี ป
ประจาอยู่ในสว่ นต่างๆ ของประเทศ
2. ชว่ ยประหยัดค่าใชจ้ า่ ยในการบรหิ ารกิจการตา่ งๆ ได้มาก ทั้งนีก้ ็เพราะรัฐบาลในส่วนกลาง
สามารถโยกยา้ ยสบั เปลี่ยนเคร่อื งมือเคร่อื งใช้ และเจ้าหนา้ ทจี่ ากท้องทหี่ น่งึ ไปยงั อกี ทอ้ งทห่ี นึ่งได้เสมอ
โดยไมจ่ าเปน็ ตอ้ งซ้ือเครื่องมอื เครอ่ื งใชห้ รือจ้างเจา้ หนา้ ที่ใหม่
3. ช่วยให้มีการจดั เก็บภาษแี ละระดมทรพั ยากรของประเทศมาใช้เพอื่ ประโยชนข์ อง
ประชาชนทง้ั ประเทศไดส้ ะดวก ทง้ั นี้กเ็ พราะรฐั บาลในสว่ นกลางสามารถควบคมุ การใชท้ รพั ยากรใน
ทุกส่วนของประเทศ และเกบ็ ภาษีทุกชนดิ มาใช้เพอ่ื ประโยชนข์ องประชาชนท้ังประเทศ มิใชเ่ พ่ือ
9
ประโยชนป์ ระชาชนในท้องถิน่ หน่งึ โดยเฉพาะ
4. ชว่ ยใหม้ ีการวางแผนพฒั นาและแผนกระจายความเจริญไปยงั สว่ นตา่ งๆ ของประเทศได้
งา่ ย ทง้ั นีก้ เ็ พราะรัฐบาลในสว่ นกลางเปน็ เจา้ ของภาษีทัง้ หมด จงึ สามารถทจี่ ะวางแผนการใช้เงนิ เพ่อื
การดังกลา่ วได้โดยสะดวกตามท่ีรัฐบาลในส่วนกลางเหน็ ชอบ
5. ชว่ ยให้รัฐบาลในส่วนกลางสามารถวางแผนรกั ษาความมน่ั คง และปอ้ งกนั การรุกราน
หรือบอ่ นทาลายจากภายนอกไดส้ ะดวก ทงั้ นีก้ เ็ พราะรฐั บาลในสว่ นกลางมอี านาจควบคมุ กจิ การ
ทหารและตารวจได้เดด็ ขาด สามารถวางแผนใชก้ าลังทหารและตารวจเพือ่ ประโยชน์ในการรกั ษา
ความสงบเรยี บร้อยภายในและปอ้ งกันประเทศไดโ้ ดยสะดวก
ขอ้ เสีย มดี งั นี้
1. ทาใหเ้ กิดความลา่ ชา้ ในการบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ทั้งน้กี ็เพราะเจ้าหนา้ ทก่ี ระทรวง ทบวง
กรม สง่ ไปประจายงั สว่ นตา่ งๆ ของประเทศ ไม่สามารถตดั สินใจปฏบิ ตั หิ น้าทสี่ าคัญบางอย่างดว้ ย
ตนเองได้ ต้องขออนุมตั จิ ากผู้บงั คับบญั ชาชนั้ สูงในกระทรวง ทบวง กรมเสมอ
2. ทาใหไ้ มอ่ าจควบคุมดูแลความประพฤติของเจา้ หน้าที่จากสว่ นกลางที่ประจายังส่วนต่างๆ
ของประเทศได้ทั่วถงึ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ สาหรับรัฐทม่ี อี าณาเขตกว้างใหญ่ ยังผลใหเ้ จ้าหน้าที่บางส่วน
สามารถสร้างความเดอื ดรอ้ นใหก้ บั ประชาชน ตลอดจนทุจรติ ต่อหนา้ ทีไ่ ดส้ ะดวก
3. ทาใหค้ วามตอ้ งการของประชาชนในท้องถน่ิ ตา่ งๆ ไม่ไดร้ บั การตอบสนองอยา่ งเตม็ ที่
ท้งั น้กี ็เพราะเจา้ ทที่ กี่ ระทรวง ทบวง กรม ของส่วนกลางสง่ ไปประจาในทอ้ งท่ตี า่ ง ๆ อาจไมเ่ ข้าใจความ
ต้องการและภูมิประเทศของทอ้ งถ่นิ ต่างๆ ไดค้ รบถ้วน
4. ทาให้ประชาชนในท้องถิ่นตา่ งๆ ไมม่ ีโอการได้ปกครองตนเอง หรอื ช่วยบรหิ ารกิจการเพือ่
ประโยชน์ของท้องถิน่ ของตน อันจะเป็นการช่วยเสรมิ สร้างประชาธิปไตยในท้องถิ่น ทง้ั นี้กเ็ พราะ
เจ้าหนา้ ท่ีของสว่ นกลางจะทาหนา้ ที่ทกุ อย่างใหแ้ กป่ ระชาชนในท้องถนิ่
5. ทาให้เจา้ หนา้ ทข่ี องสว่ นกลางมภี าระหนา้ ที่มากเกนิ ไป จนไม่สามารถทาหน้าทเ่ี หล่านน้ั
ใหล้ ลุ ว่ งไปไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ซ่ึงอาจยังผลให้ประชาชนในสว่ นต่างๆ ของประเทศไมพ่ อใจและ
เกลยี ดชังรัฐบาล
2. หลกั การกระจายอานาจ (Decentralization of Powers) หมายถึง การให้ประชาชน
ในทอ้ งถิน่ ตา่ งๆ ใชอ้ านาจการปกครองบางอยา่ งได้ หรอื มอี านาจหน้าทีใ่ นการบรหิ ารกจิ การ
บางอยา่ งเพือ่ ประโยชนส์ ุขของตนเองไดต้ ามทปี่ รารถนา หรอื กล่าวสน้ั ๆ ได้ว่า การกระจายอานาจ
คอื การใหป้ ระชาชนในทอ้ งถ่นิ ตา่ งๆ มอี านาจปกครองตนเองนน่ั เอง โดยองคก์ รการปกครอง
ทอ้ งถ่นิ ทจ่ี ัดตัง้ ขนึ้ ตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถ่ิน จะมีฐานะเปน็ นิตบิ คุ คลมอี านาจทจี่ ะทา
กจิ การต่างๆ ได้เอง หลักการกระจายอานาจการปกครองมขี ้อดีและขอ้ เสีย ดงั น้ี
ข้อดี มดี ังนี้
1. ทาใหป้ ระชาชนในทอ้ งถิ่นต่างๆ สามารถจดั กิจการสนองความต้องการของทอ้ งถ่นิ ได้
ตามทีป่ รารถนาอยา่ งรวดเรว็
10
2. ทาให้ประชาชนมีโอกาสไดป้ กครองตนเอง อนั เป็นการสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมี
ประสบการณก์ บั การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยในท้องถนิ่ ซึ่งจะชว่ ยใหป้ ระชาชนสามารถ
ปฏบิ ัตกิ ารปกครองแบบประชาธปิ ไตยในระดับชาติไดง้ ่าย
3. ทาใหป้ ระชาชนในทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ มีโอกาสช่วยกนั สร้างความเจริญใหแ้ ก่ท้องถ่ินของตน
และคิดพึ่งตนเองมากกวา่ ที่จะพ่ึงเจา้ หนา้ ทข่ี องสว่ นกลาง
4. ทาให้รัฐบาลในสว่ นกลางมภี าระในการปฏบิ ตั หิ น้าที่เพอื่ ประชาชนในทอ้ งถน่ิ ตา่ งๆ
น้อยลง และมีเวลาในการปฏิบัตหิ น้าทีส่ าคัญๆ ของรฐั ไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ อาทิ หนา้ ท่ีในการรักษาความสงบ
เรียบร้อย หน้าท่ใี นการรกั ษาเอกราชของชาติ เปน็ ต้น
ขอ้ เสยี มีดงั นี้
1. เสียค่าใช้จ่ายมาก องค์กรปกครองทอ้ งถ่นิ ทต่ี ง้ั ขน้ึ จะตอ้ งใชเ้ งินทองซอ้ื เครอื่ งมือเครือ่ งใช้
และจา้ งเจา้ หน้าทสี่ าหรบั บรหิ ารกจิ การของท้องถน่ิ ต่างๆ เอง ดว้ ยเหตุน้ี หลกั การกระจายอานาจจงึ
มกั จะใชแ้ พร่หลายในประเทศทร่ี า่ รวย และใชเ้ ฉพาะกบั ทอ้ งถิ่นทีป่ ระชาชนมรี ายไดส้ ูง และมี
ความสามารถทจ่ี ะปกครองตนเองได้เทา่ น้นั ส่วนประเทศทย่ี ากจนมักจะใชห้ ลักการกระจายอานาจใน
ขอบเขตทจี่ ากดั
2. อาจทาใหก้ ารบรหิ ารกจิ การตา่ งๆ อนั เปน็ หน้าทขี่ องรัฐขาดเอกภาพ ทง้ั น้ีเพราะท้องถิ่น
ตา่ ง ๆ อาจสรา้ งระเบียบการปกครองของตนเองแตกตา่ งกนั ไปในแต่ละทอ้ งถ่ิน
3. อาจทาใหร้ ัฐบาลในสว่ นกลางไมส่ ามารถวางแผนในการใช้ทรพั ยากร หรอื แผนในการรักษา
ความสงบเรียบรอ้ ยภายใน หรอื แผนในการป้องกนั ประเทศไดต้ ามตอ้ งการ ทัง้ นกี้ เ็ พราะประชาชนใน
ท้องถน่ิ ต่างๆ อาจไมใ่ หค้ วามรว่ มมอื กับรัฐบาลในสว่ นกลางอยา่ งเต็มทีใ่ นเรือ่ งการรกั ษาความสงบ
เรียบร้อยนอกท้องถนิ่ ของตน รวมทงั้ อาจตอ้ งการใชท้ รัพยากรหรอื ภาษีอากรทเ่ี กบ็ ในท้องถ่ินของตน
เพ่ือประโยชน์ของท้องถิ่นของตนเท่าน้ัน
3. หลักการแบง่ อานาจ (Deconcentration of Powers) หมายถึง การที่กระทรวง ทบวง
กรม ที่ตั้งอยู่ในนครหลวง แบ่งอานาจในการบรหิ ารกิจการบางอย่างให้แก่ขา้ ราชการในสงั กดั ของตน
ทีไ่ ปประจาอยใู่ นภูมิภาค คือ จงั หวัดและอาเภอ ทั้งน้ีเพือ่ ให้ข้าราชการเหลา่ นน้ั สามารถตดั สนิ ใจใน
การทากจิ การตา่ งๆ เพอื่ ใหบ้ รกิ ารประชาชนไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เช่น กรมตารวจแบง่ อานาจในการ
ปราบปรามโจรผูร้ ้าย ใหแ้ กเ่ จ้าหน้าท่ตี ารวจที่กรมตารวจสง่ ไปประจาอยใู่ นจังหวดั และอาเภอต่างๆ
เป็นตน้ หลกั ในการแบง่ อานาจมีข้อดแี ละข้อเสีย ดงั นี้
ข้อดี มดี งั น้ี
1. ทาใหป้ ระชาชนไดร้ ับบรกิ ารจากรัฐบาลกลางเร็วขน้ึ
2. ลดภาระของรฐั บาลกลางในการวนิ จิ ฉัยสง่ั การแก้ปญั หาของภูมภิ าคต่างๆ
3. ลดค่าใช้จา่ ยของรัฐบาลในการใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชน และของประชาชนในการขอรบั
บริการจากรฐั บาลกลาง
ขอ้ เสยี มีดังน้ี
1. ทาให้ประชาชนในทอ้ งถ่ินตา่ งๆ มีโอกาสปกครองตนเองหรือบรหิ ารกจิ การเพื่อสนอง
ความตอ้ งการของทอ้ งถ่ินไดน้ ้อย เพราะขา้ ราชการสว่ นภูมภิ าคซึง่ ไดร้ ับมอบหมายอานาจมาจาก
ส่วนกลางจะเป็นผบู้ รหิ ารกจิ การดว้ ยตนเอง
11
2. ทาให้ความต้องการของประชาชนไมไ่ ด้รบั การตอบสนองอย่างเตม็ ท่ี เนอ่ื งจากข้าราชการ
สว่ นภมู ภิ าคอาจไม่เขา้ ใจความตอ้ งการของประชาชนในท้องถ่นิ ต่างๆ ได้อย่างแท้จรงิ
ระบอบประชาธปิ ไตย คอื ระบอบการปกครองตนเองของประชาชน โดยผา่ นการเลือก
สมาชิกผู้แทนราษฎรไปบรหิ ารและดแู ลเรอ่ื งกฎหมาย เพื่อผลประโยชนข์ องประชาชนสว่ นใหญ่และ
โดยการตรวจสอบควบคุมดูแลของประชาชนโดยตรงหรอื การมสี ว่ นร่วมอยา่ งแขง็ ขัน เชน่ การยน่ื
เสนอหรอื แก้ไขกฎหมาย การยื่นถอดถอนนกั การเมอื งทปี่ ระพฤติมิชอบ การแสดงความคดิ ในการทา
ประชาพจิ ารณ์ การออกเสียงในการทาประชามติ
ระบอบประชาธิปไตย ระบอบนี้มลี ักษณะเดน่ อยูท่ ก่ี ารแข่งขนั อยา่ งเสรรี ะหวา่ งกลุ่มหรอื
พรรคการเมืองต่างๆ เพียงเพอื่ ให้ได้รบั ความไวว้ างใจจากประชาชนสว่ นมากในประเทศใหเ้ ปน็ รฐั บาล
ทาหน้าทบ่ี รหิ ารกจิ การต่างๆ ของประเทศตามนโยบายท่ีกลมุ่ หรือพรรคน้นั ไดว้ างไวล้ ว่ งหนา้
ลกั ษณะเด่นดังกล่าวนจ้ี ะดารงอย่ไู ด้ตลอดไปถ้ากลมุ่ หรอื พรรคการเมอื งน้นั ๆ ยึดหลกั การ
ประชาธิปไตยเปน็ หลกั ในการตอ่ สแู้ ข่งขนั ทางการเมอื งการปกครอง
หลักการของระบอบประชาธปิ ไตย
1. อานาจอธปิ ไตย หรืออานาจสงู สดุ ในการปกครองประเทศ หรือบางทีกเ็ รียกกนั วา่
อานาจของรัฐ (state power) เป็นอานาจทม่ี าจากปวงชน และผู้ที่จะได้อานาจปกครองจะต้อง
ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากประชาชนส่วนใหญใ่ นประเทศ
2. ประชาชนมสี ทิ ธิทจ่ี ะมอบอานาจปกครองให้แกป่ ระชาชนดว้ ยกนั เอง โดยการออกเสยี ง
เลือกต้ังตัวแทนเพอื่ ไปใชส้ ทิ ธิใช้เสียงแทนตน เชน่ การเลือก สส. หรอื สว. โดยมกี ารกาหนดวนั
เลือกตั้งและมีวาระการดารงตาแหนง่ เชน่ ทุก 4 ปี หรือ 6 ปี เป็นตน้
3. รัฐบาลจะตอ้ งเคารพสทิ ธแิ ละเสรภี าพขัน้ พ้นื ฐานของประชาชน อาทิ สทิ ธใิ นทรพั ย์สนิ
สทิ ธใิ นชีวติ เสรีภาพในการพดู การเขยี น การแสดงความคิดเห็น การชมุ นุม โดยรัฐบาลจะต้องไม่
ละเมิดสทิ ธเิ ลา่ น้ี
เวน้ แต่เพ่ือรกั ษาความม่นั คงของชาติ หรือเพ่อื รักษาความสงบเรยี บร้อย หรอื เพ่อื รกั ษาศลี ธรรมอนั ดี
งามของประชาชน
4. ประชาชนทกุ คนมีสิทธิเสมอกันในการทจี่ ะได้รับบรกิ ารทกุ ชนิดทีร่ ัฐจัดใหแ้ ก่
ประชาชน เชน่ สทิ ธใิ นการ ได้รับการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน 12 ปีโดยไมเ่ สียค่าใชจ้ ่าย
5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเปน็ บรรทัดฐานในการปกครอง และในการ
แกป้ ญั หาความขัดแยง้ ตา่ งๆ ระหวา่ งกลมุ่ ชน รวมทั้งจะตอ้ งไม่ออกกฎหมายทม่ี ผี ลเป็นการลงโทษ
บคุ คลยอ้ นหลงั
12
ระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบทมี่ พี ระมหากษัตริยเ์ ป็นประมุข และแบบท่ีมี
ประธานาธิบดเี ป็นประมุข
1. แบบแรกมีพระมหากษัตรยิ เ์ ป็นประมุข ไดแ้ ก่ อังกฤษ เนเธอแลนด์ เบลเยีย่ ม เดนมารก์
นอร์เวย์ สวเี ดน ญีป่ ุน่ มาเลเซยี และไทย
2. แบบทส่ี องมีประธานาธิบดเี ป็นประมขุ ได้แก่ ฝร่ังเศส อนิ เดยี สหรัฐอเมริกา เป็นตน้
ข้อดีและข้อเสยี ของ ระบอบประชาธิปไตย
1. ขอ้ ดีของระบอบประชาธปิ ไตย ที่ควรกลา่ วถึงมดี งั นี้
1.1 เปิดโอกาสใหป้ ระชาชน สว่ นข้างมากดาเนินการปกครองประเทศ โดยประชาชน
สว่ นข้างนอ้ ยมสี ทิ ธิทจ่ี ะดารงอย่แู ละทาการคดั ค้านการปกครองของฝา่ ยขา้ งมากได้ ขอ้ ดขี อ้ น้มี ีสว่ น
ทาใหเ้ กิดผลดตี ่อประเทศชาติโดยส่วนรวม เนื่องจากการตดั สินใจทาสิง่ ต่างๆ ดว้ ยฝา่ ยเสียงขา้ งมาก
น้นั ย่อมจะมีความถูกตอ้ งมากและผดิ พลาดน้อย ขณะเดียวกนั ฝา่ ยเสียงข้างนอ้ ยจะคอยเป็นกระจกเงา
และท้วงตดิ ผลเสียทจ่ี ะตอ้ งปอ้ งกันมใิ หเ้ กิดขน้ึ ตลอดเวลา
1.2 เปดิ โอกาสใหป้ ระชาชนทุกคนใช้สิทธิเสรภี าพได้อย่างเสมอหน้ากัน ตวั อย่างเช่น ไม่
วา่ จะเปน็ คนมงั่ มหี รอื ยากจน มสี ทิ ธทิ ี่จะรวมตัวกนั เปน็ พรรคการเมอื งและสมคั รรบั เลือกตง้ั เป็น
สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและประธานาธบิ ดี ซง่ึ ทาให้ประชาชนมีโอกาสเลอื กคนดแี ละมี
ความสามารถเขา้ ดารงตาแหนง่ ดงั กล่าว
1.3 ถือกฎหมายเปน็ มาตรฐานในการดาเนนิ การปกครอง โดยใชก้ ฎหมายบงั คับแกท่ ุก
คน ไม่วา่ จะเปน็ คนมัง่ มีหรอื ยากจน ไมว่ ่าจะเป็นขา้ ราชการหรือประชาชน ยงั ผลให้ทกุ คนเสมอกัน
โดยกฎหมาย
1.4 ชว่ ยระงบั ความขดั แย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน และระหว่างประชาชนดว้ ย
13
กนั เองโดยสันตวิ ธิ ี โดยมีศาลเปน็ ผพู้ จิ ารณาพพิ ากษาคดตี ่างๆ ให้เปน็ ไปตามกฎหมาย ซึง่ ชว่ ยทาให้
ประชาชนอยูร่ ว่ มกันได้อยา่ งสันติ โดยมกี ฎหมายเปน็ กรอบของความประพฤตขิ องทกุ คน
2. ข้อเสยี ของระบอบประชาธิปไตย ท่คี วรกล่าวถงึ มีดงั นี้
2.1 มคี วามล่าชา้ ในการตัดสนิ ใจทาการต่างๆ เน่ืองจากตอ้ งมกี ารปรกึ ษาหารอื และผ่าน
ขนั้ ตอนมาก เชน่ การตรา กฎหมายแตล่ ะฉบบั ตอ้ งใช้เวลาบางครง้ั หลายวัน หลายสัปดาห์ หรือหลาย
เดือน เนื่องจากต้องมีการอภปิ รายกนั ในสภา และแก้ไขปรบั ปรงุ กันมากกว่าจะประกาศใชบ้ ังคับเป็น
กฎหมาย ด้วยเหตุน้ีผู้นาของประเทศทกี่ าลงั พฒั นาซง่ึ มปี ญั หาท่จี ะต้องแก้ไขโดยรบี ด่วน จงึ มกั จะคดิ
วา่ ระบอบประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศของตน
2.2 ตอ้ งเสียคา่ ใช้จา่ ยในการดาเนนิ การปกครองมาก ตวั อย่างเช่น ในการเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรท่วั ประเทศ หรอื เลอื กตง้ั ประธานาธิบดีแตล่ ะคร้ัง ตอ้ งใชเ้ งินทองเปน็
จานวนมาก ซง่ึ ผู้นาประเทศทกี่ าลงั พัฒนามกั คดิ วา่ ประเทศของตนยากจนเกนิ ไปทจี่ ะใชร้ ะบอบ
ประชาธปิ ไตยได้
2.3 อาจนาไปสูค่ วามสบั สนวนุ่ วายได้ ถ้าประชาชนสว่ นมากในประเทศทใี่ ชร้ ะบอบ
ประชาธปิ ไตย ไม่รู้จกั ใชส้ ิทธเิ สรภี าพให้อย่ภู ายในกรอบของกฎหมาย ซ่ึงอาจทาใหป้ ระเทศชาตเิ จริญ
ช้าลงอกี ดว้ ยเหตุน้ผี นู้ าของประเทศทีก่ าลังพฒั นาบางประเทศ จงึ คดิ วา่ ระบอบประชาธิปไตยไม่
เหมาะสมกบั ประเทศของตน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญย่ ังไมพ่ ร้อมทจี่ ะปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย
รากฐานสาคญั ของประชาธปิ ไตย
อธิบายในเชงิ วิชาการ (เชงิ มเี หตผุ ลยนื ยนั สอดคลอ้ งน่าเชอ่ื ถือหรอื พสิ จู น์ได)้ ไดว้ ่า ระบอบ
ประชาธปิ ไตยท่ีแทจ้ รงิ นน้ั ตอ้ งอยบู่ นรากฐานหลกั การทส่ี าคัญ 5 ประการ คื อ
1. หลกั การอานาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชน ประชาชนแสดงออกซงึ่ การเป็นเจา้ ของโดยใช้
อานาจท่ีมีตามกระบวนการเลอื กตั้งอย่างอสิ ระและท่วั ถึงในการใหไ้ ดม้ าซง่ึ ตวั ผปู้ กครองและผูแ้ ทนของ
ตน รวมทงั้ ประชาชนมอี านาจในการคัดคา้ นและถอดถอนผปู้ กครองและผู้แทนทีป่ ระชาชนเห็นวา่
ไม่ไดบ้ ริหารประเทศในทางทเี่ ป็นประโยชนต์ อ่ สงั คมสว่ นรวม เช่น มีพฤตกิ รรมฉอ้ โกง หา
ผลประโยชน์ทบั ซอ้ นจนรา่ รวยผดิ ปกติ
2. หลกั เสรภี าพ ประชาชนทกุ คนมีความสามารถในการกระทาหรอื งดเวน้ การกระทา
อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ตามทบี่ ุคคลตอ้ งการ ตราบเท่าท่กี ารกระทาของเขาน้นั ไมไ่ ปละเมิดลดิ รอนสทิ ธิ
เสรภี าพของบุคคลอืน่ หรือละเมิดตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คมและความมนั่ คงของ
ประเทศชาติ
3. หลกั ความเสมอภาค การเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนทุกคนสามารถเขา้ ถึงทรพั ยากรและ
คุณค่าตา่ งๆ ของสังคมทม่ี อี ยูจ่ ากัดอยา่ งเท่าเทียมกัน โดยไม่ถูกกีดกนั ดว้ ยสาเหตแุ หง่ ความแตกต่าง
ทางชัน้ วรรณะทางสงั คม ชาตพิ นั ธ์ุ วฒั นธรรมความเปน็ อยู่ ฐานะทางเศรษฐกจิ หรอื ด้วยสาเหตุ
อืน่
4. หลกั การปกครองโดยกฎหมายหรือหลกั นิตธิ รรม การให้ความคมุ้ ครองสทิ ธิข้ันพืน้ ฐาน
ของประชาชนทง้ั ในเร่อื งสิทธิเสรีภาพในทรพั ยส์ นิ การแสดงออก การดารงชีพ ฯลฯ อยา่ งเสมอหน้า
14
กนั โดยผปู้ กครองไมส่ ามารถใช้อานาจใดๆลดิ รอนเพกิ ถอนสิทธเิ สรภี าพของประชาชนได้ และ
ผปู้ กครองไมส่ ามารถใชอ้ ภิสิทธอิ ยเู่ หนือกฎหมาย หรือเหนอื กว่าประชาชนคนอื่นๆได้
5. หลกั การเสียงข้างมาก (Majority rule) ควบคไู่ ปกบั การเคารพในสทิ ธขิ องเสยี งข้างนอ้ ย
(Minority Rights) การตดั สินใจใดๆท่สี ง่ ผลกระทบตอ่ ประชาชนหมู่มาก ไมว่ ่าจะเป็นการเลือกต้ัง
ผู้แทนของประชาชนเข้าสู่ระบบการเมือง การตดั สนิ ใจของฝ่ายนิติบญั ญัติ ฝ่ายบรหิ าร หรือฝ่ายตลุ า
การ ย่อมต้องถอื เอาเสยี งขา้ งมากที่มีตอ่ เรื่องน้นั ๆ เป็นเกณฑ์ในการตดั สินทางเลือก โดยถือวา่ เสยี ง
ขา้ งมากเป็นตวั แทนทีส่ ะทอ้ นความต้องการ/ข้อเรยี กรอ้ งของประชาชนหมู่มาก
หลกั การเสยี งข้างมากนี้ ต้องใชค้ วบคู่ไปกับการ เคารพและคมุ้ ครองสิทธิเสียงขา้ งน้อยดว้ ย
ทั้งน้ีกเ็ พือ่ เป็นหลกั ประกนั วา่ ฝ่ายเสยี งข้างมากจะไมใ่ ชว้ ิธกี ารพวกมากลากไปเพอื่
ผลประโยชน์ของพวกตนอย่างสดุ โต่ง แตต่ ้องดาเนินการเพอื่ ประโยชน์ของประชาชนทง้ั หมด เพ่ือ
สร้างสงั คม ท่ปี ระชาชนเสียงข้างน้อย รวมทงั้ ชนกลมุ่ น้อย ผู้ดอ้ ยโอกาสต่างๆ สามารถอยรู่ ว่ มกบั
ประชาชนกลมุ่ อืน่ ๆ ไดอ้ ยา่ งสนั ตสิ ุข โดยไมม่ ีการเอาเปรียบกัน และไมม่ กี ารสร้างความขดั แย้งใน
สังคมมากเกนิ ไป
ระบอบเผด็จการ มลี กั ษณะเดน่ อยู่ท่ีการรวมอานาจการเมอื งการปกครองไวท้ ่บี คุ คลเพยี งคน
เดียวหรือคณะเดียวหรอื พรรคเดียว โดยบคุ คลหรอื คณะบคุ คลดงั กลา่ วสามารถใช้อานาจนั้นควบคุม
บงั คบั ประชาชนไดโ้ ดยเด็ดขาด หากประชาชนคนใดคดั ค้านผนู้ าหรอื คณะผู้นากจ็ ะถกู ลงโทษให้
ทางานหนกั หรือถูกจาคกุ
ระบอบเผด็จการมี 3 แบบ คอื เผด็จการทหาร เผดจ็ การฟาสซสิ ต์ และเผด็จการ
คอมมวิ นิสต์ ดงั ต่อไปน้ี
1. ระบอบเผดจ็ การทหาร หมายถึง ระบอบเผดจ็ การทค่ี ณะผนู้ าฝ่ายทหารเป็นผใู้ ช้
อานาจเผด็จการในการปกครองโดยตรงหรอื โดยอ้อม (ผ่านทางพลเรอื นทพี่ วกตนสนบั สนุน) และ
มักจะใชก้ ฎอัยการศึกหรอื รัฐธรรมนญู ที่คณะของตนสรา้ งข้นึ เปน็ เครอ่ื งมือในการปกครอง โดยทวั่ ไป
คณะผูน้ าทหารมกั จะใช้อานาจเผดจ็ การปกครองประเทศเปน็ การช่ัวคราว ระหวา่ งที่ประเทศอยใู่ น
ภาวะสงครามหรือหลงั จากลม้ เลกิ ระบอบประชาธปิ ไตย โดยมีเป้าหมายเพ่ือขจัดภัยคกุ คามบางอย่าง
ตอ่ ความมัน่ คงของรฐั ส่วนมากแล้วเมอ่ื เหตุการณ์ความวนุ่ วายตา่ งๆ สงบลง คณะผู้นาทางทหารก็
มกั จะอา้ งสาเหตตุ า่ งๆ นานาเพ่ือยดึ อานาจการปกครองประเทศต่อไปอกี ไมย่ อมทจี่ ะคนื อานาจ
กลับมาใหป้ ระชาชนโดยงา่ ย ดังเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขน้ึ ในสหภาพพมา่ ในปจั จบุ ันนเี้ ป็นต้น แต่ทวา่ เม่ือ
เวลายิ่งผ่านเนิ่นนานออกไปกระแสความไม่พอใจในหมู่ประชาชนรวมทั้งแรงกดดนั จากนานาชาติ ก็
จะทาใหค้ ณะผู้นาทางทหารกมุ อานาจการปกครองไว้ไม่ได้ ในท่สี ุดกจ็ าเปน็ ตอ้ งคืนอานาจให้ประชาน
แตก่ ว่าจะมาถึงจุดนไี้ ด้ ในบางประเทศกเ็ กิดความวุน่ วาย มกี ารต่อสรู้ ะหวา่ งกาลงั ของประชาชนกบั
กาลงั ของรัฐบาลเผดจ็ การทหาร ซ่งึ จากประวัตศิ าสตรก์ ารเรียกรอ้ งสทิ ธเิ สรีภาพในการปกครองท่ีผา่ น
มา มักจะจบลงโดยชยั ชนะเป็นของฝ่ายประชาชน เช่นเหตกุ ารณ์ซ่ึงเกิดข้ึนท่โี รมาเนยี ฟิลปิ ปนิ ส์
15
เปน็ ตน้ ตวั อย่างของการปกครองแบบเผด็จการทหาร เช่น การปกครองของญปี่ นุ่ ระหว่าง
สงครามโลกคร้งั ท่ี 2 อันเป็นระยะทพี่ ลเอกโตโจและคณะนายทหารใชอ้ านาจเผด็จการในการ
ปกครอง หรอื การปกครองของไทยระหวา่ งทีไ่ มม่ รี ฐั ธรรมนญู ในระหวา่ งวันท่ี 20 ตุลาคม 2501
ถงึ วันท่ี 20 มถิ นุ ายน 2511 อานาจการปกครองประเทศตกอยภู่ ายใต้การควบคมุ ของคณะปฏวิ ัติ
ซงึ่ นาโดย จอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ และจอมพลถนอม กติ ตขิ จร ส่วนในปจั จบุ นั (พ.ศ. 2541) กม็ ี
เช่น การปกครองของสหภาพพมา่ ภายใตก้ ารนาของพลเอกตาน ส่วย เปน็ ตน้
2. ระบอบเผด็จการฟาสซสิ ต์ หมายถึง ระบอบเผดจ็ การทผ่ี นู้ าคนหนึง่ ซง่ึ ไดร้ บั การ
สนับสนนุ จากกลมุ่ นกั ธรุ กจิ และกองทัพใหใ้ ช้อานาจเผด็จการปกครองประเทศ ผ้นู าในระบอบการ
ปกครองเผด็จการฟาสซสิ ต์มักจะมลี ัทธิการเมืองทเ่ี รียกกนั วา่ ลัทธิฟาสซสิ ต์ เปน็ ลทั ธิช้นี าในการ
ปกครองและมุ่งทจ่ี ะใชอ้ านาจเผดจ็ การปกครองประเทศเปน็ การถาวร โดยเชือ่ ว่าระบอบการปกครอง
แบบนี้เหมาะสมกบั ประเทศของตน และจะช่วยใหป้ ระเทศของตนมคี วามเจรญิ ก้าวหน้าโดยเรว็
ตัวอย่างของการปกครองระบอบเผดจ็ การฟาสซสิ ต์ เช่น การปกครองของอิตาลสี มยั มสุ โสลินเี ปน็
ผู้นา ระหว่าง พ.ศ. 2473 – 2486 การปกครองของเยอรมนีสมัยฮติ เลอรเ์ ป็นผู้นา ระหวา่ ง พ.ศ.
2476 – 2488 หรือการปกครองของสเปนสมยั จอมพลฟรังโกเป็นผนู้ าระหวา่ ง
พ.ศ. 2480 – 2518 เป็นต้น
3. ระบอบเผด็จการคอมมวิ นสิ ต์ หมายถงึ ระบอบเผดจ็ การทพ่ี รรคคอมมิวนิสตเ์ พียง
พรรคเดียวได้รับการยอมรับ หรอื สนบั สนุนจากกลุม่ บุคคลตา่ งๆ และกองทพั ใหเ้ ป็นผู้ใช้อานาจเผดจ็
การปกครองประเทศ คณะผู้นาของพรรคคอมมิวนิสตเ์ ชอ่ื ว่า ระบอบเผดจ็ การคอมมวิ นสิ ตเ์ ปน็
รปู แบบการปกครองท่ีเหมาะสมกบั ประเทศของตน และจะชว่ ยทาใหช้ นชนั้ กรรมาชีพเปน็ อสิ ระจาก
การถกู กดขี่โดยชนช้นั นายทุน รวมทั้งทาใหป้ ระเทศมีความเจรญิ กา้ วหนา้ และเขม้ แขง็ ทัดเทียมกบั
ต่างประเทศไดเ้ ร็วกว่าระบอบการปกครองแบบอ่นื ระบอบเผดจ็ การคอมมวิ นิสตม์ คี วามแตกตา่ งจาก
ระบอบเผด็จการทหารอยูข่ ้อหนง่ึ ทสี่ าคญั คือ ระบอบเผดจ็ การทหารจะควบคุมเฉพาะกจิ กรรมทาง
การเมืองของประชาชนเท่านัน้ แตร่ ะบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์จะใช้อานาจเผด็จการควบคมุ กจิ กรรม
ละการดาเนินชวี ติ ของประชาชนในทกุ ด้าน ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นการเมอื ง การปกครอง ด้านเศรษฐกจิ
และดา้ นสงั คม ดว้ ยเหตุน้นี กั รฐั ศาสตรจ์ งึ เรียกระบอบเผดจ็ การคอมมิวนสิ ต์อีกอย่างหนงึ่ ว่า ระบอบ
เผดจ็ การแบบเบด็ เสรจ็
16
หลักการของระบอบเผดจ็ การ
1. ผู้นาคนเดียวหรือคณะผูน้ าของกองทพั หรือของพรรคการเมอื งเพยี งกลุม่ เดยี วมอี านาจ
สูงสุด และสามารถใช้
อานาจนัน้ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ทโี่ ดยไมต่ อ้ งฟังเสยี งคนสว่ นใหญ่ในประเทศ
2. การรกั ษาความมนั่ คงของผู้นาหรอื คณะผนู้ า มคี วามสาคญั กว่าการคุ้มครองสิทธเิ สรภี าพ
ของประชาชน ประชาชนไมส่ ามารถทจี่ ะวิพากษว์ ิจารณก์ ารกระทาของผู้นาอย่างเปิดเผยได้
3. ผู้นาหรอื คณะผู้นาสามารถที่จะอยใู่ นอานาจไดต้ ลอดชวี ิต หรือนานเทา่ ที่กลมุ่ ผรู้ ว่ มงาน
หรอื กองทพั ยงั ใหก้ ารสนบั สนุน ประชาชนท่วั ไปไมม่ สี ิทธิทจ่ี ะเปล่ยี นผนู้ าได้โดยวถิ ที างรฐั ธรรมนูญ
4. รัฐธรรมนูญและการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผแู้ ทนทจ่ี ัดขนึ้ ตามรฐั ธรรมนญู และรฐั สภา ไม่มี
ความสาคัญตอ่ กระบวนการทางการปกครองเหมอื นในระบอบประชาธปิ ไตย กลา่ วคอื รัฐธรรมนญู
เป็นแตเ่ พยี งรากฐานรองรบั อานาจของผนู้ าหรอื คณะผู้นาเทา่ นนั้ สว่ นการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนที่
จดั ขนึ้ กเ็ พอื่ ใหป้ ระชาชนออกเสียงเลือกตง้ั ผสู้ มคั รทผี่ ูน้ าหรือคณะผนู้ าส่งเขา้ สมัครรบั เลือกตง้ั เท่าน้นั
ในทานองเดียวกนั รฐั สภาก็จะประชมุ กันปีละ 5 – 10 วนั เพ่อื รับทราบและยนื ยันใหผ้ ้นู าหรอื คณะ
ผนู้ าทาการปกครองตอ่ ไป ตามที่ผนู้ าหรอื คณะผู้นาเห็นสมควร
ข้อดีและข้อเสยี ของระบอบเผด็จการ
ข้อดี ของระบอบเผดจ็ การ ได้แก่
1. รฐั บาลสามารถตดั สนิ ใจทาการอย่างใดอยา่ งหน่ึงได้รวดเรว็ กวา่ รฐั บาลในระบอบ
ประชาธิปไตย เช่น สามารถออกกฎหมายมาใชบ้ ังคบั เพอ่ื วัตถุประสงคอ์ ย่างใดอย่างหนงึ่ ได้ โดยไม่
ตอ้ งขอความเห็นชอบจากเสยี งขา้ งมากในรฐั สภา ทัง้ น้กี ็เพราะผู้นาหรือคณะรฐั มนตรมี กั จะได้รับมอบ
อานาจจากรฐั สภาไว้ล่วงหนา้ ใหอ้ อกกฎหมายหรอื ระเบยี บขอ้ บงั คับบางอย่างไดเ้ อง
2. แก้ปญั หาบางอยา่ งได้อย่างมีประสทิ ธิผลกวา่ ระบอบประชาธปิ ไตย เชน่ สัง่ การปราบการ
จลาจล การก่ออาชญากรรม และการกอ่ การร้ายตา่ งๆ ได้อยา่ งเฉียบขาดมากกวา่ โดยไม่จาตอ้ งเกรง
วา่ จะเกินอานาจที่กฎหมายให้ไว้ เนือ่ งจากศาลในระบอบเผด็จการไมไ่ ดม้ ีความเป็นอสิ ระในการ
พิจารณาคดีเหมือนในระบอบประชาธปิ ไตย
ขอ้ เสีย ของระบอบเผดจ็ การ ไดแ้ ก่
1. เป็นการปกครองโดยบคุ คลคนเดียวหรอื กลมุ่ เดียว ซง่ึ ย่อมจะมกี ารผดิ พลาดและใช้อานาจ
เพื่อประโยชนส์ ว่ นตนและพวกพอ้ งได้โดยไมม่ ใี ครรหู้ รือกลา้ คัดค้าน
2. มกี ารใช้อานาจเผดจ็ การกดขีแ่ ละลดิ รอนสทิ ธเิ สรภี าพ รวมทงั้ ประทษุ รา้ ยตอ่ ชีวติ ของคน
หรอื กล่มุ คนท่ีไมเ่ หน็ ด้วยกบั กลุ่มผู้ปกครอง
3. ทาใหค้ นดมี ีความสามารถที่ไมใ่ ช่พวกพ้อง หรือผสู้ นบั สนนุ กลมุ่ ผปู้ กครองไม่มีโอกาสดารง
ตาแหนง่ สาคัญในทางการเมอื ง
4. ประชาชนส่วนใหญท่ ถี่ ูกกดขแี่ ละขาดสิทธิเสรีภาพ ยอ่ มจะไม่สนบั สนุนนโยบายของ
รัฐบาลอย่างเต็มท่ีและอาจพยายามต่อตา้ นอยเู่ งยี บๆ หรอื มฉิ ะนั้นบางคนก็อาจจะหลบหนีไปอยู่
17
ต่างประเทศ ซึง่ สว่ นใหญบ่ คุ คลเหล่าน้มี กั จะเป็นพวกปญั ญาชน ทาใหป้ ระเทศชาติขาดแคลน
ทรพั ยากรบุคคลท่ีมีความรคู้ วามสามารถ
5. อาจนาประเทศชาติไปสคู่ วามพินาศได้ เหมอื นดงั ฮิตเลอร์ได้นาประเทศเยอรมนี หรือพล
เอกโตโจได้นาประเทศญปี่ ่นุ เขา้ สสู่ งครามโลกคร้งั ท่ี 2 ซึ่งผลปรากฏว่าทัง้ สองประเทศประสบความ
พนิ าศอย่างย่อยยบั หรอื ตวั อยา่ งเหตกุ ารณท์ ป่ี ระธานาธบิ ดซี ดั ดัม ฮุสเซน เห่งอริ คั ไดส้ ง่ กาลงั ทหาร
เขา้ ยึดครองประเทศคเู วต และไม่ยอมถอนตวั ออกไปตามมติขององคก์ ารสหประชาชาติ จนกอง
กาลงั นานาชาติตอ้ งเปิดฉากทาสงครามกบั อริ ักเพอื่ ปลดปลอ่ ยคูเวต และผลสุดท้ายอริ กั กเ็ ป็นฝ่าย
ปราชัยอย่างย่อยยบั ทาใหป้ ระชาชนชาวอริ ักตอ้ งประสบความเดือดรอ้ นอย่างแสนสาหสั เสยี ท้งั
ทรัพยส์ ินและชวี ิต การพฒั นาประเทศหยดุ ชะงกั ทงั้ นเ้ี ป็นเพราะการตดั สนิ ใจผดิ พลาดของผู้นาเพยี ง
คนเดียว
เนอ่ื งจากระบอบประชาธปิ ไตยและระบอบเผดจ็ การต่างกม็ ขี อ้ ดแี ละข้อเสียดังกลา่ ว จงึ ทาให้
ชนช้ันนาและประชาชนจานวนหนง่ึ ในประเทศต่างๆ เลอื กใช้ระบอบการปกครองทพ่ี วกตนคิดวา่
เหมาะสมกับประเทศของตนในขณะนน้ั และสามารถชว่ ยแกป้ ัญหาทางการเมอื ง เศรษฐกิจ และสงั คม
ในประเทศของตนตามแนวทางท่ีพวกตนเชือ่ ได้ ดังจะเหน็ ไดว้ า่ ในระยะต้ังแต่สิน้ สงครามโลกครง้ั ที่
2 เปน็ ต้นมา บางประเทศไดเ้ ปล่ียนแปลงการปกครองของตนจากระบอบเผด็จการมาเปน็ ระบอบ
ประชาธปิ ไตย เชน่ เยอรมนี อิตาลี ญ่ีป่นุ โปรตเุ กส สเปน เปน็ ต้น ส่วนบางประเทศกเ็ ปล่ยี นจาก
ระบอบประชาธปิ ไตยมาเปน็ ระบอบเผด็จการทหาร เชน่ พมา่ นิการากัว เอธิโอเปยี เปน็ ต้น ใน
ทานองเดยี วกัน บางประเทศกเ็ ปลีย่ นจากระบอบเผดจ็ การฟาสซสิ ต์หรือเผดจ็ การทหารเป็นระบอบ
เผดจ็ การคอมมิวนิสต์ เชน่ เกาหลเี หนือ เป็นต้น
18
การเมืองไทย
การเมืองไทย ปจั จบุ นั อยใู่ นระบอบเผด็จการทหารในพฤตินยั ซงึ่ สภานติ ิบญั ญตั แิ ห่งชาติเปน็
ผู้ใชอ้ านาจนติ ิบญั ญัติ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหนา้ คณะรักษาความสงบแหง่ ชาติเป็น
ผใู้ ช้อานาจบริหารและเปน็ นายกรัฐมนตรี คสช. ออกประกาศใหศ้ าลทหารมอี านาจพจิ ารณาคดอี าญา
บางประเภท และกรณฝี ่าฝนื คาสัง่ คสช. (ประกาศที่ 37)
ตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2550 ซ่งึ ถูกเลกิ ไปแลว้ ประเทศไทย
ปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใตร้ ัฐธรรมนูญ และประชาธปิ ไตยระบบรฐั สภา ซง่ึ มีพระมหากษตั ริย์
ซึง่ ทรงอย่ภู ายใต้รฐั ธรรมนญู เป็นประมุขแห่งรัฐ และนายกรฐั มนตรีเปน็ หวั หนา้ รัฐบาล ฝา่ ยนติ บิ ัญญัติ
และฝา่ ยบรหิ ารถ่วงดลุ อานาจซ่ึงกันและกัน ส่วนฝ่ายตลุ าการเป็นอสิ ระจากการถ่วงดลุ อานาจ ฝา่ ย
บรหิ ารมีนายกรัฐมนตรเี ป็นประมขุ แห่งอานาจ ฝ่ายนติ ิบัญญตั ิของไทยอย่ใู นระบบสภาคู่ แบ่ง
ออกเปน็ วฒุ ิสภาและสภาผแู้ ทนราษฎร ฝ่ายตลุ าการ มศี าลเป็นองคก์ รบรหิ ารอานาจ
19
ส่วนใหญป่ ระเทศไทยมรี ะบบพรรคการเมอื งเป็นระบบหลายพรรค กล่าวคอื ไมม่ พี รรค
การเมอื งใดสามารถจัดตงั้ รฐั บาลพรรคเดยี วไดอ้ ย่างเดด็ ขาด จึงตอ้ งจดั ตงั้ รฐั บาลผสมปกครอง
ประเทศ
ต้งั แต่โบราณกาล ราชอาณาจกั รไทยอยู่ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าช อยา่ งไรก็ตาม
หลงั จากการปฏิวตั สิ ยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยจงึ อยภู่ ายใต้การปกครองระบอบราชาธิปไตย
ภายใตร้ ัฐธรรมนญู รัฐธรรมนญู เขยี นฉบับแรกถูกร่างขึน้ อย่างไรกต็ าม การเมอื งไทยยังมกี ารต่อสู้
ระหว่างกลมุ่ การเมอื งระหวา่ งอภิชนหัวสมัยเก่าและหัวสมยั ใหม่ ขา้ ราชการ และนายพล ประเทศไทย
เกดิ รฐั ประหารหลายคร้งั ซง่ึ มักเปลีย่ นแปลงให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้อานาจของคณะรฐั ประหารชดุ
แล้วชดุ เล่า จนถงึ ปจั จบุ ัน ประเทศไทยมรี ฐั ธรรมนญู และกฎบตั รรวมแล้ว 20 ฉบับ (นับรวมฉบับ
ปจั จบุ นั ) ซง่ึ สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความไรเ้ สถยี รภาพทางการเมอื งอย่างสงู หลังรัฐประหารแตล่ ะครง้ั
รฐั บาลทหารมกั ยกเลิกรฐั ธรรมนูญทีม่ ีอยเู่ ดมิ และประกาศใชร้ ัฐธรรมนญู ช่ัวคราว
รัฐธรรมนูญ
กอ่ นหนา้ การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ประเทศไทยยงั ไมม่ ีรัฐธรรมนญู ใช้ในการปกครอง
ประเทศ พระมหากษตั ริย์ทรงเป็นองคร์ ัฏฐาธปิ ัตย์และประมขุ ฝ่ายบรหิ าร ในปี พ.ศ. 2475 มกี าร
ประกาศใช้รฐั ธรรมนญู ฉบบั ลายลกั ษณอ์ ักษร โดยคาดวา่ จะเป็นแนวปฏบิ ตั ิทส่ี าคญั ทสี่ ุดในการ
ปกครองประเทศ อยา่ งไรก็ตาม เมอื่ เกดิ ความขดั แย้งทางการเมอื งข้นึ ระหวา่ งกลมุ่ มอี ิทธพิ ล จงึ ได้เกดิ
รัฐประหารขึน้ เป็นคร้งั แรกในประเทศไทยเมือ่ ปี พ.ศ. 2477 รฐั ธรรมนญู อย่างเปน็ ทางการฉบบั แรก
ของประเทศถกู ยกเลิก และไดม้ ีการประกาศใช้รฐั ธรรมนญู ฉบับใหม่
กฎบัตรและรฐั ธรรมนญู ท้งั หมดของประเทศไทยรบั รองวา่ ประเทศปกครองแบบราชาธิปไตย
ภายใต้รัฐธรรมนญู แตม่ สี มดลุ ของการแบง่ แยกอานาจแตกตา่ งกันมาก รัฐบาลไทยสว่ นใหญ่ปกครอง
แบบประชาธิปไตยระบบรฐั สภา อยา่ งไรกต็ าม รฐั ธรรมนญู บางฉบบั ถูกเรยี กว่าเป็นเผดจ็ การ เชน่
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2500 ประเทศไทยไดเ้ คยใชท้ ้งั ระบบสภาเดยี่ วและ
สภาคู่ และสมาชกิ รัฐสภามีทงั้ แบบเลอื กตั้งและแตง่ ตง้ั พระราชอานาจของพระมหากษัตรยิ ์ตาม
รฐั ธรรมนูญก็ได้มกี ารเปลีย่ นแปลงหลายครัง้ เชน่ กัน
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2540 หรือทเ่ี รยี กกันว่า "รัฐธรรมนญู ฉบบั
ประชาชน" ได้มกี ารประกาศใช้หลังจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535) อย่างไรกต็ าม มกี าร
อ้างวา่ รัฐธรรมนญู ฉบับดังกลา่ ว เปน็ ตน้ เหตขุ องความยงุ่ ยากทางการเมือง รัฐธรรมนูญฉบบั นมี้ ีความ
โดดเดน่ ในด้านการมสี ่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการร่างรัฐธรรมนญู เชน่ เดียวกับความ
เป็นประชาธปิ ไตยในตวั กฎหมาย นอกจากนยี้ ังบญั ญัติใหส้ มาชิกของทัง้ สองสภามาจากการเลอื กตง้ั
ทง้ั หมด มกี ารรับรองสิทธิมนษุ ยชนจานวนมากตามกฎหมาย และมมี าตรการต่างๆ เพอื่ เพมิ่
เสถยี รภาพของรัฐบาลที่มาจากการเลอื กต้งั ขณะท่ีมีการจดั ตง้ั องค์กรอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู ขนึ้ เพ่อื
ตรวจสอบฝา่ ยบริหารเป็นคร้ังแรก เชน่ ศาลรฐั ธรรมนญู ศาลปกครอง และสานกั งานผูต้ รวจการ
แผ่นดนิ ของรฐั สภา
20
อย่างไรก็ตาม หลังจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 รัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540
ถูกยกเลกิ คณะรัฐประหารไดป้ ระกาศกฎอัยการศกึ และรัฐธรรมนูญฉบบั ช่ัวคราวข้ึนปกครองประเทศ
ซ่งึ มเี นอ้ื หาใหค้ ณะรฐั ประหารมอี านาจแตง่ ตง้ั นายกรฐั มนตรี ฝ่ายนติ ิบญั ญตั ิและสภารา่ ง
รัฐธรรมนญู คณะรัฐประหารถกู บบี ให้ยนิ ยอมจัดการเลอื กตง้ั ท้องถ่ินและเทศบาลเป็นปกตใิ นปี พ.ศ.
2550 รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2550 มกี ารประกาศใชห้ ลงั ลง
ประชามติ โดยเน้อื หามจี ุดเดน่ ด้านการเพิ่มสทิ ธิเสรภี าพ การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งของ
ประชาชน และการตรวจสอบการใช้อานาจรฐั ผา่ นองค์กรอสิ ระตามรฐั ธรรมนญู แตไ่ ดถ้ กู
วิพากษ์วิจารณว์ ่ามาจากคณะรัฐประหารปี 2549 ท้ังนี้ คณะกรรมการรา่ งรัฐธรรมนูญมาจากการ
สรรหา
ภายหลงั ความขดั แย้งทางการเมอื งชว่ งปี 2556-2557 เกิดรฐั ประหารในประเทศไทย
พ.ศ. 2557 พรอ้ มกบั การยกเลิกรฐั ธรรมนญู พ.ศ. 2550 ภายใตก้ ารควบคมุ อานาจของคณะ
รักษาความสงบแหง่ ชาติ คณะรฐั ประหารประกาศกฎอยั การศกึ และรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย
(ฉบบั ชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ปจั จบุ ัน ประเทศไทยใช้ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย
พทุ ธศักราช 2560 ซึ่งผา่ นการออกเสียงประชามติรา่ งรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย
พุทธศกั ราช 2559 และแก้ไขตามขอ้ สงั เกตพระราชทานจานวน 3 มาตราโดยพระราชประสงค์ของ
สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั มหาวชิราลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกรู
พฒั นาการทางการเมอื งการปกครองของไทย
1. สมัยกรงุ สโุ ขทยั (พ.ศ.1781 - 1893)
ลกั ษณะการปกครอง
กษัตริย์กรงุ สโุ ขทัย ปกครองประชาชนแบบ “พอ่ ปกครองลกู ” หรอื “ปติ าธปิ ไตย” โดย
ถอื วา่ กษตั ริย์เป็นเสมอื นพ่อของราษฎรราษฎรจึงเรยี กกษตั รยิ ์วา่ “พอ่ ขุน” ซ่งึ เปน็ ผมู้ อี านาจสูงสุดใน
การปกครองการปกครองราชอาณาจกั รสโุ ขทยั แบ่งออกเปน็ 2 สว่ น คือ
1. การปกครองส่วนกลาง หรือเมอื งหลวง หรือเมืองราชธานี คอื สุโขทยั เปน็ ทปี่ ระทบั ของ
พระมหากษตั ริยเ์ ปน็ ทตี่ ัง้ ของรัฐบาลกลางและเป็นศูนย์กลางของการปกครองประเทศ
21
2. การปกครองส่วนภมู ภิ าค หรือการปกครองหัวเมอื ง แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คือ
2.1 หัวเมอื งชน้ั ใน หรอื เมอื งลกู หลวง คอื เมืองหนา้ ดา่ น มีความสาคัญในการป้องกัน
เมอื งหลวงและอยู่ห่างจากเมอื งหลวงเป็นระยะทางเดินเทา้ ภายใ น 2 วนั พระมหากษัตรยิ จ์ ะส่งเช้อื
พระวงศไ์ ปดูแล
2.2 หวั เมอื งชั้นนอก หรอื เมอื งพระยามหานคร เปน็ เมอื งที่อย่หู า่ งไกลออกไปอาจส่งเชอื้
พระวงศห์ รือขนุ นางผ้ใู หญ่ไปดแู ล
2.3 เมอื งประเทศราช คือ เมืองท่เี ปน็ ชาวตา่ งชาติ แต่ยอมขึน้ ตรงตอ่ กรงุ สุโขทัย โดยตอ้ ง
สง่ ส่วยหรอื ราชบรรณาการเมือ่ เกิดศึกสงครามตอ้ งเกณฑท์ หารมาร่วมรบ เมอื งประเทศราชจะมี
กษตั รยิ ์ปกครองตนเอง
ด้านเศรษฐกจิ และสังคม
สมยั สุโขทัยมเี สรีภาพมาก ใครจะประกอบอาชพี ใดก็ได้ ประชาชนตงั้ ตนอยูใ่ นศลี ธรรมอนั ดี นบั ถือ
ศาสนาพทุ ธแบบลังกา แตก่ ็ยงั เชอ่ื ถอื สงิ่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ เช่น ผสี างเทวดานางไม้ดว้ ยสมยั พ่อขนุ รามคาแหง
ทรงประดษิ ฐอ์ ักษรไทยข้นึ และทรงใหจ้ ารกึ กฎระเบียบตา่ งๆ ไว้จึงอาจถือได้ว่าศิลาจารกึ เปน็
รฐั ธรรมนูญ ทเ่ี ป็นลายลกั ษณอ์ ักษรฉบบั แรกของไทย ประชาชนสามารถร้องทกุ ขโ์ ดยตรงตอ่ พอ่ ขุน
โดยไปสน่ั กระดิ่งซึ่งแขวนไวห้ นา้ ประตูวงั แลว้ พระองคจ์ ะทรงออกมาตัดสนิ คดดี ว้ ยความยตุ ธิ รรม
ความสัมพนั ธก์ บั ต่างประเทศและนครรฐั อื่นๆ
สมยั กรงุ สโุ ขทัยมกี ารติดต่อกบั ตา่ งประเทศและนครรฐั ของไทยอ่นื ๆ เพอ่ื ความมั่นคงและการ
แลกเปลย่ี นสินค้าการตดิ ต่อกบั ตา่ งประเทศทส่ี าคัญๆ ไดแ้ ก่ จนี มลายู ลงั กา และมอญ ส่วนใหญ่
ตดิ ต่อกนั ในดา้ นการค้า การติดตอ่ กบั นครรฐั อน่ื ๆ ทเี่ ปน็ คนไทยดว้ ยกัน ได้แก่ พระยามงั รายเจา้
เมือง เชียงใหม่ พระยางาเมือง เจ้าเมอื งพระยา
2. สมัยสมบูรณาญาสิทธริ าช (พ.ศ.1893 - 2475)
2.1 สมัยกรุงศรีอยธุ ยาตอนตน้
กรุงศรอี ยธุ ยาสถาปนา เม่อื ปี พ.ศ.1893 โดยพระเจ้าอทู่ อง (พระรามาธบิ ดีท่ี 1) สมัยกรงุ ศรี
อยธุ ยามกี าร ปกครองแบบราชาธิปไตยหรอื สมบูรณาญาสทิ ธริ าช โดยสมบรู ณ์แบบ คืออานาจอย่ทู ่ี
กษัตริยเ์ พยี งพระองคเ์ ดยี ว โดยเช่ือถือตามคติพราหมณ์ตามแบบพวกเขมรวา่ กษัตริย์เปน็ ผู้ได้รบั
22
อานาจจากสวรรค์ ฐานะของกษตั รยิ จ์ ึงเป็น “สมมติเทพ” ทรงมีอานาจทจี่ ะกาหนดชะตาชวี ติ ของ
ใครกไ็ ดจ้ งึ เรียกระบบการปกครองนว้ี ่า “ระบบเทวสทิ ธ์ิ” (Divine Right) ลักษณะการปกครอง
เปน็ แบบนายปกครองบา่ ว หรอื “เจา้ ปกครองไพร่ ฐานะของกษตั รยิ ก์ บั ประชาชนจึงห่างไกลกนั ขา้
ราชบรพิ าร
เปน็ ส่อื กลางระหว่างกษัตรยิ ์ และประชาชน จึง เกดิ เปน็ ระบบเจา้ ขนุ มลู นายหรือศักดินา ขนึ้ ระบบ
เจา้ ขนุ มลู นายหรอื ศกั ดนิ าเกิดข้นึ เพราะกรุงศรอี ยุธยาอยูใ่ นสภาวะสงครามตลอดเวลา จงึ จาเป็นตอ้ ง
ใหพ้ ลเมืองทุกคนอยใู่ นสังกดั ของเจา้ ขุนมูลนายเพื่อวา่ เม่อื มศี ึกสงครามพระมหากษัตรยิ จ์ ะไดส้ ่งั การให้
เจา้ ขุนมลู นายเกณฑไ์ พรพ่ ลมาช่วยทาสงครามป้องกนั บา้ นเมอื งไดพ้ ระเจ้าอทู่ อง (พระรามาธบิ ดที ่ี 1)
ทรงวางระบบการปกครองสว่ นกลางเปน็ แบบ จตุสดมภ์ โดยมเี สนาบดี 4 คน คอื ขนุ เมือง ขุนวัง
ขุนคลัง และขุนนาเปน็ ผู้ดูแลกิจกรรมหลกั 4 หลักของการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ การปกครอง
สว่ นภมู ิภาคหรือหวั เมืองยงั คงใช้ระบบเดยี วกับสมยั สโุ ขทัย คอื มหี วั เมืองช้นั ใน หั วเมืองชั้นนอก
และเมอื งประเทศราช
2.2 สมยั พระบรมไตรโลกนาถ - สมยั รัชกาลท่ี 4
ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 - 2031) มีการปรับปรงุ ระบบบรหิ ารใหมโ่ ดยแยกเป็น
ฝ่ายทหารและพลเรอื นหวั หนา้ ฝ่ายพลเรอื น เรยี กว่า “สมหุ นายก” รับผิดชอบด้านการบรหิ ารพลเรือน
เกีย่ วกบั เมือง วงั คลัง นา หัวหน้าฝา่ ยทหาร เรยี กวา่ “สมหุ กลาโหม” รับผิดชอบด้าน
การทหารและปอ้ งกันประเทศ เชน่ กรมช้าง กรมมา้ กรมทหารราบ ส่วนในดา้ นภูมภิ าคไดม้ ีการปฏิรูป
การปกครองโดยรวมอานาจไวท้ ่ศี นู ย์กลาง คือ เมอื งหลวงมากขึ้นขยายเขตหวั เมอื งชนั้ ในให้กวา้ งขวาง
ขน้ึ หัวเมอื งช้นั นอกใหเ้ รียกเปน็ หวั เมืองชนั้ เอก โท ตรี ตามลักษณะความสาคญั และขนาดของพน้ื ท่ี
และสง่ พระราชวงศ์ หรอื ขุนนางไปดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ เมอื งประเทศราชยงั คงใหป้ กครอง
ตนเอง และสง่ บรรณาการ 3 ปีต่อครั้งปลายสมยั กรงุ ศรอี ยุธยา (สมยั พระเพทราชา) จงึ มกี าร
ปรบั ปรงุ ระบบการปกครองอกี ครง้ั หนงึ่ โดยแยกหวั เมอื งนอกเขตราชธานเี ป็น 2 ภาค