The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สังคมพหุวัฒนธรรมประเทศจีน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pl0642383, 2022-12-30 04:24:45

สังคมหุวัฒธรรมประเทศจีน

สังคมพหุวัฒนธรรมประเทศจีน

สั งคมพหุ
วัฒนธรรม
ประเทศจีน



คำนำ

ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนับหลายพันปี และมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ วัฒนธรรมจีน
นอกจากแสดงถึงความเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านวัตถุและพัฒนาการทางสังคมของประเทศจีนแล้ว
ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตและแนวความคิดของประชาชนจีนด้วย

คำว่า”วัฒนธรรม” นักวิชาการแขนงต่างๆ มีการให้คำนิยามหรือความหมายที่กว้างขวางมาก
ครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆที่มีผลต่อการดำเนินชีวิตของคนในชนชาติและหมู่คณะเดียวกัน ซึ่งประกอบด้วย
ความรู้วิทยาการ ความเชื่อ จริยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎระเบียบของสังคม วัฒนธรรม
ของชนชาติต่างๆย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่และความคิด ตลอดจนแนวทางในการดำเนินชีวิต
ทางด้านต่างๆของคนในสังคม เช่น การประกอบอาชีพการงาน วิธีการทำธุรกิจ ขนบประเพณี
มารยาท และวิธีปฏิบัติต่อกันระหว่างบุคคล

ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ประชาชนจีนตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันต้องเผชิญกับ
ปัญหาและอุปสรรคต่างๆนานา ทั้งที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และจากการกระทำของ
มนุษย์ จึงต้องหาทางดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นักปรัชญาและนักคิดผู้ยิ่งใหญ่
ในสมัยต่างๆของจีนได้พยายามขบคิดปัญหาต่างๆที่มนุษย์เผชิญ และได้มาซึ่งความคิดและคำสอนที่มี
คุณค่าในการดำเนินชีวิต ประเทศจีนยังมีศิลปะ หัตถกรรมและสิ่งปลูกสร้างทางวัตถุจำนวนมาก มรดก
ทางวัฒนธรรมของจีนที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันจึงมีอยู่มากมายและหลากหลาย การเข้าใจถึง
วัฒนธรรมจีนนอกจากทำให้เรามีความรู้มากขึ้นแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการติดต่อ
สมาคมกับคนจีนซึ่งมีจำนวนมากถึงหนึ่งในห้าของประชากรโลกด้วย



สารบัญ หน้า

ประวัติประเทศจีน 1-2
ประวัติความเป็นมาของภาษาจีน 3
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ 4
ลักษณะภูมิอากาศ 5
เชื้อชาติ
ศาสนา 6-8
วิถีชีวิต 9-10
ขนบธรรมเนียม 11-12
แหล่งท่องเที่ยว 13-15
16-19



ประวัติประเทศจีน

จีน (China) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China)
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮั่น จีนเป็น
ประเทศที่มี ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออก และมีขนาดเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงรัสเซียและ
แคนาดา สาธารณรัฐประชาชนจีนมีพรมแดนติดกับ 15 ประเทศ (นับเวียนตามเข็มนาฬิกา) คือ เวียดนาม
ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน สิกขิม เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน
รัสเซีย มองโกเลีย และ เกาหลีเหนือ

คำว่า จีนแผ่นดินใหญ่ ใช้เรียกส่วนของจีน ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีน
(ส่วนใหญ่จะยกเว้นเขตบริหารพิเศษ 2 แห่ง คือ ฮ่องกง และมาเก๊า) บางคนนิยมเรียกสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนว่า จีนแดง (Red China) โดยเฉพาะผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับจีน ปัจจุบันสาธารณรัฐ
ประชาชนจีนและประเทศญี่ปุ่นเป็นมหาอํานาจในภูมิภาคเอเชีย มีเศรษฐกิจและกำลังทางทหารใหญ่ที่สุดใน
ภูมิภาคเอเชีย








ที่มาข้อมูล http://www.baanjomyut.com/library/china/2020

การปฏิวัติครั้งแรกของจีนเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) หรือ การปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่ง
เป็นการโค่นล้มอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง โดยการนำของ ดร.ชุน ยัตเซน หัวหน้าพรรคก๊ก
มินตั๋ง เป็นผลทำให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ประชาธิปไตยในที่สุด

สาเหตุที่ก่อให้เกิดการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้น่าจะมาจากความเสื่อมโทรมของสภาพสังคมจีน ผู้นำ
ประเทศจักรพรรดิแมนจูไม่มีอำนาจกำลังพอที่จะปกครองประเทศได้

ที่มารูปภาพ : https://www.prairiestateblue.com

การปฏิวัติของจีนครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) เป็นการปฏิวัติภายหลังสงครามโลก
ครั้งที่สองยุติลง ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง
การปกครองจากระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย เข้าสู่ ระบอบสังคมนิยม มีสาเหตุจาก ปัญหาความ
เสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจและความยากจนของประชาชน ซึ่งรัฐบาล ของประธานาธิบดี เจียง ไคเช็ค ไม่
สามารถแก้ปัญหาได้

ที่มารูปภาพ https://www.silpa-mag.com/history/article_2619 ที่มารูปภาพ https://www.silpa-mag.com/history/article_43286

ผลกระทบของการปฏิวัติจีนครั้งที่สอง คือการปฏิวัติของ เหมา เจ๋อตง เป็นแบบอย่างในการ

ปฏิวัติของกระบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศ กำลังพัฒนา ทั้งในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ โดย

เฉพาะการใช้ยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” โดยเริ่มจากการปฏิวัติของเกษตรในชนบท และค่อยๆขยายเข้าไป
สู่เมือง การปฏิรูปเศรษฐกิจตามแนวของ เติ้ง เสี่ยวผิง โดยยอมรับระบบทุนนิยมของโลกตะวันตก เป็น
ตัวอย่างความสำเร็จ ของการแยกระบบการปกครองออกจากระบบเศรษฐกิจ

ระบอบคอมมิวนิสต์ในยุคของ เหมา เจ๋อตุง รัฐบาลได้ยึดที่ดินทำกินของเอกชนมาเป็นของรัฐบาล

และใช้ระบบการผลิตแบบนารวม ชาวนามีฐานะเป็นแรงงานของรัฐทำให้ขาดความกระตือรือร้นเพราะทุก

คนได้รับผลตอบแทนเท่ากันชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนส่วน ใหญ่มีสภาพลำบากยากจนเหมือนๆกัน

ประวัติความเป็นมาของภาษาจีน

อักษรจีน คือ อักษรภาพที่โดยหลักๆ ในปัจจุบันใช้สำหรับเขียนภาษาจีน อักษรจีนเป็น

หนึ่งในสามอักษรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลก และเป็นอักษรที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน

อักษรภาพเหมือนของอียิปต์และอักษรรูป
ลิ่มของสุเมเรียนได้เลิกใช้ไปแล้ว

汉字ทฤษฏีการกำเนิดอักษรจีนมีหลากหลาย เช่น การผูกปมเชือก การสลัก และชางเจี๋ยประดิษฐ์อักษร

อักษรจีนอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า ฮั่นจื้อ ( )

สัญลักษณ์แต่ละตัวแสดงคำในภาษาจีนและความหมาย มีจุดกำเนิดจากรูปคน สัตว์ หรือสิ่งอื่นๆ แต่
เมื่อเวลาผ่านไป รูปร่างของอักษรมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างและไม่เหมือนกับสิ่งที่เลียนแบบอีกต่อไป

สัญลักษณ์หลายตัวเกิดจากสัญลักษณ์ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมารวมกัน อักษรจีนราว 2,000 ตัวที่ใช้ใน
ประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ได้เปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบที่เขียนง่ายขึ้น แต่ในไต้หวัน ฮ่องกงและมาเก๊ายังใช้
อักษรตัวเต็มอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อักษรทั้ง 2 แบบก็ยังได้รับความนิยมจนปัจจุบัน

ลักษณะทางภูมิศาสตร์

ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออก บนฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่
มีพื้นที่บนบกมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก และถูกพิจารณาว่ามีพื้นที่ทั้งหมดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก ความไม่
แน่นอนเกี่ยวกับข้อมูลขนาดนี้เกี่ยวข้องกับ (ก) ความถูกต้องของการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนของจีน อย่างเช่น อัคสัยจินและดินแดนท
รานส์คอราคอรัม (ซึ่งอินเดียอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนทั้งสองด้วยเช่นกัน) และ (ข) วิธีการคำนวณขนาดทั้งหมดโดยสหรัฐอเมริกา ซึ่ง
หนังสือความจริงของโลกระบุไว้ที่ 9,826,630 กม.2 และสารานุกรมบริตานิการะบุไว้ที่ 9,522,055 กม.2 สถิติพื้นที่นี้ยังไม่นับรวม
ดินแดน 1,000 ตารางกิโลเมตรซึ่งผนวกเข้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรัฐสภาทาจิกิสถานเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554
ซึ่งยุติข้อพิพาทด้านดินแดนที่ยาวนานนับศตวรรษ

ประเทศจีนมีอาณาเขตติดต่อกับ 14 ประเทศ มากกว่าประเทศอื่นใดในโลก (เท่ากับรัสเซีย) เรียงตามเข็มนาฬิกาได้แก่
ประเทศเวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฏาน เนปาลปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กีซสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย
และเกาหลีเหนือ นอกเหนือจากนี้ พรมแดนระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสาธารณรัฐจีนตั้งอยู่ในน่านน้ำอาณาเขต ประเทศ
จีนมีพรมแดนทางบกยาว 22,117 กิโลเมตร ซึ่งยาวที่สุดในโลก

ดินแดนจีนตั้งอยู่ระหว่างละติจูด 18° และ 54° เหนือ และลองติจูด 73° และ 135° ตะวันออก ประกอบด้วยลักษณะภูมิ
ภาพหลายแบบ ทางตะวันออก ตามแนวชายฝั่งที่ติดกับทะเลเหลืองและทะเลจีนตะวันออก เป็นที่ราบลุ่มตะกอนน้ำพาซึ่งมี
ประชากรอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่นและกว้างขวาง ขณะที่ตามชายขอบของที่ราบสูงมองโกเลียในทางตอนเหนือนั้นเป็นทุ่ง
หญ้า ตอนใต้ของจีนนั้นเป็นดินแดนหุบเขาและแนวเทือกเขาระดับต่ำเป็นจำนวนมาก ทางตอนกลาง-ตะวันตกนั้นเป็น
สามเหลี่ยมปากแม่น้ำของแม่น้ำสองสายหลักของจีน ได้แก่ แม่น้ำหวงและแม่น้ำแยงซี ส่วนแม่น้ำอื่นที่สำคัญของจีนได้แก่
แม่น้ำซี แม่น้ำโขง แม่น้ำพรหมบุตร และแม่น้ำอามูร์ ทางตะวันตกนั้น เป็นเทือกเขาสำคัญ ที่โดดเด่นคือ เทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมี
จุดสูงสุดของจีนอยู่ทางครึ่งตะวันออกของยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และที่ราบสูงอยู่ท่ามกลางภูมิภาพแห้งแล้ง อย่างเช่น ทะเล
ทรายทาคลามากันและทะเลทรายโกบี

ประเด็นปัญหาใหญ่ประการหนึ่งคือการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของทะเลทราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทะเลทรายโกบี
ถึงแม้ว่าแนวต้นไม้กำบั้งซึ่งปลูกไว้ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 จะช่วยลดความถี่ของการเกิดพายุทรายขึ้นได้ แต่ภัยแล้งที่
ยาวนานขึ้นและวิธีการทางเกษตรกรรมที่เลวส่งผลทำให้เกิดพายุฝุ่นขึ้นทางตอนเหนือของจีนทุกฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นจึง
แพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นของเอเชียตะวันออก รวมทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น ตามข้อมูลของสำนักงานสิ่งแวดล้อมจีน (SEPA)
ประเทศจีนกำลังกลายสภาพเป็นทะเลทรายราว 4,000 กม.2 ต่อปีน้ำ การกัดเซาะ และการควบคุมมลพิษได้กลายมาเป็น
ประเด็นที่สำคัญในความสัมพันธ์ของจีนกับต่างประเทศ ธารน้ำแข็งที่กำลังละลายในเทือกเขาหิมาลัยยังได้นำไปสู่การ
ขาดแคลนน้ำในประชากรจีนนับหลายร้อยล้านคน

ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นฤดูแล้งและฤดูมรสุมชื้น ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิใน
ฤดูหนาวและฤดูร้อน ในฤดูหนาว ลมทางเหนือซึ่งพัดลงมาจากละติจูดสูงทำให้เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้ง ขณะที่ในฤดู
ร้อน ลมทางใต้ซึ่งพัดมาจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ละติจูดต่ำจะอบอุ่นและชุ่มชื้น ลักษณะภูมิอากาศในจีนแตกต่างกันมากใน
แต่ละพื้นที่ เนื่องจากภูมิลักษณ์อันกว้างขวางและซับซ้อนของประเทศ

ที่มารูภาพ : https://th.m.wikipedia.org ที่มารูปภาพ : https://th.m.wikipedia.org ที่มารูปภาพ : https://th.m.wikipedia.org

ลักษณะภูมิอากาศ

ประเทศจีนมีสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่เป็นฤดูแล้งและฤดูมรสุมชื้น ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิในฤดูหนาวและฤดู
ร้อน ในฤดูหนาว ลมทางเหนือซึ่งพัดลงมาจากละติจูดสูงทำให้เกิดความหนาวเย็นและแห้งแล้ง ขณะที่ในฤดูร้อน ลมทางใต้ซึ่งพัดมาจาก
พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่ละติจูดต่ำจะอบอุ่นและชุ่มชื้น
ลักษณะภูมิอากาศในจีนแตกต่างกันมากในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากภูมิลักษณ์อันกว้างขวางและซับซ้อนของประเทศ
ฤดูหนาว (Winter) (พฤศจิกายน-มีนาคม) อากาศจะอยู่ประมาณ 10 องศาลงมา
ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) (มีนาคม-พฤษภาคม) อากาศจะอยู่ประมาณ 10-22 องศา
ฤดูร้อน (Summer) (พฤษภาคม-สิงหาคม) อากาศจะอยู่ประมาณ 22 องศาขึ้นไป
ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) (กันยายน-ตุลาคม) อากาศจะอยู่ประมาณ 10-22 องศา

ที่มา : https://th.maps-china-cn.com/

เชื้ อชาติ

มีชนชาติต่าง ๆ อยู่รวมกัน 56 ชนชาติ โดยเป็นชาว ”ฮั่น” ประมาณร้อยละ 90 ที่เหลือเป็นชนกลุ่มน้อย ที่สำคัญได้แก่
ชนเผ่าจ้วง หุย ทิเบต แมนจู มองโกล

汉族1) ชนชาติฮั่น ( )

ชนชาติฮั่นเกิดจากการหลอมรวมประสมประสานระหว่างชนเผ่าต่างๆ หลายเผ่าหลายวัฒนธรรม ผ่านระยะเวลายาวนานกว่าจะ
กำเนิดเป็นชนชาติที่อยู่ร่วมกันในดินแดนหนึ่งกลุ่มชนเผ่ารากเหง้าที่เป็นแกนของชนชาติฮั่นนั้น เรียกกันว่าชาว “หัวเซี่ย”

ชาวหัวเซี่ยดั้งเดิมประกอบด้วยชนเผ่าสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มของ “หวงตี้” (จักรพรรดิเหลือง) และกลุ่มของ “เหยียนตี้” สอง

姬 姬กลุ่มนี้เป็นพันธมิตรกัน มีการแลกเปลี่ยนสมรสกันระหว่างเผ่า ตำนานบันทึกว่าต้นตอของเผ่าหวงตี้อยู่ที่ลุ่มแม่น้ำจี จึงใช้แซ่ว่าจี แต่
伎 伎山แม่น้ำชื่อนี้ปัจจุบันหาไม่พบ นักวิชาการจีนเสนอว่า ต้นตอของเผ่าหวงตี้คงจะอยู่แถบลุ่มแม่น้ำจี เชิงเขาจีซาน ค่อนไปทางเหนือ
姜 姜ของมณฑลส่านซีปัจจุบัน ส่วนต้นตอของเผ่าเหยียนตี้ อยู่ที่ลุ่มน้ำเจียง จึงใช้แซ่ว่าเจียง แม่น้ำเจียงนี้ นักวิชาการจีนเสนอว่าน่าจะอยู่
宝鸡แถบอำเภอเป่าจี ค่อนมาทางใต้ของมณฑลส่านซีในปัจจุบัน

壮族2) ชนชาติจ้วง ( ) ที่มา : https://www.angelstartravel.com

ชนชาติเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีประชากรมากที่สุดในจีน หากไม่นับรวมชาว
ฮั่น จากข้อมูลเมื่อปี 1990 ประเทศจีนมีชาวจ้วงอยู่ราว 15 ล้านคน ในจำนวนนี้ 80 – 90% อาศัยอยู่ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
ส่วนที่เหลือกระจายกันตั้งถิ่นฐานอยู่ในมณฑลยูนนาน, กวางตุ้ง และก้วยโจวจ้วงคือส่วนหนึ่งของชนเผ่าไป่เยว่ หรือชาวเยว่ร้อยเผ่า
ตามบันทึกของจีนโบราณอายุ 3,000 ปีระบุไว้ว่า บริเวณทางตอนใต้ของจีนเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชนชาติไป่เยว่ ที่ประกอบด้วยชนเผ่า
มากมายหลายร้อยเผ่า ด้านข้อมูลจากการขุดค้นทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า บริเวณมณฑลกว่างซีเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนมาตั้งแต่
600,000 – 10,000 ปีก่อน มีการค้นพบซากศพมนุษย์โบราณที่มีใบหน้าแบนราบ สันจมูกไม่โด่ง โหนกแก้มสูง คางยื่น คล้ายคลึงกับรูป
ลักษณ์ของชาวจ้วงในปัจจุบัน จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษของชาวจ้วง นอกจากนั้นยังพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหิน ไป
จนถึงภาพวาดบนหน้าผาแสดงการประกอบพิธีกรรม บ่งชี้ว่าชาวจ้วงที่อาศัยอยู่ยังพื้นที่นี้มีลูกหลานสืบทอดวัฒนธรรมต่อกันมา
เรื่อยๆ

ที่มา : https://www.angelstartravel.com

回族3) ชนชาติหุย ( ) เชื้ อชาติ

ชาวหุย สืบเชื้อสายมาจากมุสลิมชาวเปอร์เซีย อาหรับ และเอเชียกลาง ที่อพยพเข้ามาในจักรวรรดิจีนในฐานะทูตการเมือง
ทหาร และพ่อค้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 บรรพบุรุษของชาวหุยจึงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะบนเส้นทางสายไหมใน
ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และเมืองท่าแถบชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจีน พ่อค้ามุสลิมนำสินค้ามีค่า เทคโนโลยีใหม่ และความมั่งคั่งสู่
จักรวรรดิจีน เช่น เครื่องเทศ งาช้าง เพชรนิลจินดา พวกเขายังเผยแพร่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ความรู้ด้านดาราศาสตร์ และการแพทย์
สู่สังคมจีน ถึงแม้ว่าทางราชสำนักจีนได้จำกัดการค้าและการตั้งบ้านเรือนของชาวมุสลิมไว้ในจัตุรัสชาวต่างชาติเท่านั้น แต่ก็อนุญาต
ให้พ่อค้ามุสลิมแต่งกายได้อย่างอิสระ รับประทานอาหารและปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเสรี พ่อค้ามุสลิมจำนวนมากยึดประเทศจีนเป็น
สถานที่ค้าขายและเริ่มก่อร่างสร้างครอบครัวที่นี่ พวกเขาจำนวนมากหัดพูดภาษาจีนและตั้งถิ่นฐานในประเทศจีนอย่างถาวร พ่อค้า
บางคนแต่งงานกับสาวชาวฮั่นที่เปลี่ยนมารับอิสลาม ลูกหลานที่สืบเชื้อสายต่อมาจากพวกเขาจึงพูดภาษาจีน และได้วางรากฐานชุมชน
จีนมุสลิมที่กระจัดกระจายออกไปทั่วประเทศจีน

ที่มา : https://www.angelstartravel.com

藏族4) ชนชาติทิเบต ( )

ป็นชนกลุ่มใหญ่ในเขตปกครองตนเองทิเบต ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และถือชนชาติกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งมี
วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นอยู่เป็นของตนเอง แต่ความเป็นชุมชนเมืองและ
เศรษฐกิจของชาวจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่กำลังทำลายความเป็นทิเบตดั้งเดิม ดั่งชนกลุ่มน้อยในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกชาวทิเบตสืบเชื้อสาย
จากชนเผ่าตูรัน และตังกุตในเอเชียกลาง ต่อมาได้อพยพมาจากทางตอนบนในเขตหุบเขาที่ราบลุ่มแม่น้ำยาร์ลุงซางโป และแต่งงานกับ
ชนพื้นเมืองแถบนี้ แล้วออกลูกออกหลานเป็นชาวทิเบตในปัจจุบัน ชาวทิเบตเป็นชนเผ่าที่รักสงบ ในอดีตเคยเป็นพวกชาวเขาที่ไม่แตกต่าง
กับชาวเขาทั่วไป แต่พอได้รับพระพุทธศาสนาแบบวัชรยานจากพระปัทมสัมภวะ (คุรุรินโปเช่) ทำให้ทิเบตมีวัฒนธรรมที่โดดเด่น

ที่มา : https://www.angelstartravel.com

满族5) ชนชาติแมนจู ( ) เชื้ อชาติ

ชาวแมนจูหรือชื่อเดิมว่า หนวี่เจินนั้นมีอารยธรรมเกิดขึ้นมาควบคู่กับอารยธรรมฮั่น โดยมีมาตุภูมิ (Homeland) อยู่แถบบริเวณ
ลุ่มแม่น้ำแม่น้ำอามูร์หรือ "แม่น้ำมังกรดำ" ของมณฑลเฮย์หลงเจียง ถือเป็นต้นกำเนิดชาวแมนจู แม่น้ำมังกรดำ เป็นแม่น้ำที่ยาวเป็น
อันดับ 10 ของโลก อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย แม่น้ำมีความยาว 2,824 กม.เป็นเส้นเขตแดนระหว่างมณฑลเฮย์หลง
เจียงของประเทศจีนกับประเทศรัสเซีย

ชาวหนวี่เจินเป็นชนชาติที่มีประวัติอันยาวนานชนชาติหนึ่ง สืบย้อนหลังไปได้ถึง 2,000 กว่าปีก่อน บรรพบุรุษของชนชาติแมนจู
ดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ บริเวณที่ลุ่มตอนกลางและตอนต้นของแม่น้ำอามูร์และลุ่มแม่น้ำอูซูหลี่เจียงซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของภูเขา
ฉางไป๋ซานในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนมาโดยตลอด

ที่มา : https://www.angelstartravel.com

蒙古族6)ชนชาติมองโกล ( )

มองโกเลียเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ซึ่งต่อมาได้ยึดอำนาจเข้าปกครองจีนในนาม
ของราชวงศ์หยวนแต่ก็ต้องมาเสียอำนาจเมื่อราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงเข้ามามีอำนาจซึ่งทางมองโกเลียเองต้องอยู่ใต้อำนาจของ
ราชวงศ์ดังกล่าวอีกด้วย

มองโกเลียได้รับเอกราชจากสาธารณรัฐจีน เมื่อปี พ.ศ. 2464 (ค.ศ. 1921) จากการช่วยเหลือของสหภาพโซเวียตแต่ต้อง
สถาปนาการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ตามแบบประเทศเพื่อนบ้าน ลัทธิคอมมิวนิสต์สิ้นสุดหลังจาก การปฏิวัติประชาธิปไตย เมื่อ
ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) ปีเดียวกันกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งต่อมามองโกเลียได้นำระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
มาใช้กับตน

ที่มา : https://www.angelstartravel.com

ศาสนา

ตามตำนานฝ่ายจีนเล่าไว้ว่า พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศจีนตั้งแต่ ๒๑๗ ปี
ก่อน แต่ตามที่ปรากฏหลักฐานในทางราชการ ค้นได้ว่าเมื่อ ค.ศ. ๖๕ พระจักรพรรดิมิ่งตี่ แห่งราชวงศ์ฮั่น
ทรงส่งคณะทูต ๑๘ คนไปสืบศาสนา ณ เมืองโขตาน หลังจากนั้น ๒ ปี คณะทูตก็ได้กลับมายังประเทศจีน
พร้อมด้วยพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระกาศยปะมาตังคะ กับ พระธรรมรักษะ และ คัมภีร์พระพุทธศาสนาส่วน
หนึ่ง พระภิกษุทั้ง ๒ รูปได้มาพำนักอยู่ ณ วัดม้าขาว แห่งนครโลยาง และได้แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาจีน
หลายคัมภีร์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น นับแต่นั้นมา

แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะได้รับความเคารพเลื่อมใสและการอุปถัมภ์บำรุง แต่ก็ยังเสียเปรียบและ
ถูกต่อต้านจากอิทธิพลของลัทธิศาสนาเดิมของจีน (คือ ขงจื้อและเต๋า) จนกระทั่งถึงปลายราชวงศ์นี้ จึงมี
ปราชญ์ผู้สามารถ เช่น โม่วจื้อ แสดงหลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้เห็นความลึกซึ้งจริงแท้เหนือกว่าลัทธิ
ศาสนาเดิมของถิ่น กับได้อาศัยความประพฤติอันบริสุทธิ์ของพระสงฆ์เป็นเครื่องจูงศรัทธา

ที่มา : https://l3ankdatasocial.wordpress.com

ศาสนา

พระพุทธศาสนาได้รับความนิยมเลื่อมใสยิ่งกว่าลัทธิศาสนาอื่นๆ ครั้นถึงสมัยราชวงศ์เว
(หรือ วุยก๊กในสมัยสามก๊ก) ในคริสต์ศตวรรษที่ ๔ พระพุทธศาสนาก็ได้เป็นศาสนาประจำชาติของจีน ตั้งแต่
รัชกาลของพระจักรพรรดิพระองค์แรก ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๔ และ ๕ นี่เอง พระภิกษุผู้ทรง
เกียรติคุณเป็นปราชญ์หลายท่าน เช่น กุมารชีวะ เป็นต้น ได้เดินทางเข้ามาจากอาเซียกลางและอินเดีย ช่วย
แปลพระคัมภีร์ รจนาอรรถกถา และเผยแพร่สั่งสอนธรรมแก่ประชาชนอย่างแพร่หลายกว้างขวาง ลัทธิ
อมิตาภะก็ได้เข้ามาเผยแพร่ในสมัยนี้ด้วย

ลัทธิอมิตาภะ พระโพธิธรรม

ที่มารูปภาพ https://www.chinatalks.co/chinesegods/ ที่มารูปภาพ https://www.blockdit.com/posts/5e11a72085442b0d1104b854





เหตุการณ์สำคัญอีกครั้งหนึ่งคือ พระโพธิธรรม ได้นำพระพุทธศาสนานิกาย ฉาน (บาลีว่า

ฌาน, สํสกฤตว่า ธยาน, ญี่ปุ่นว่า เซน) เข้ามาเผยแพร่เมื่อประมาณ ค.ศ. ๕๒๖

พระพุทธศาสนาในประเทศจีนได้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก โดยได้รับพระบรมราชูปถัมภ์จากราชวงศ์

ถังและราชวงศ์ต่อๆ มาโดยลำดับ แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ได้มีผู้นำลัทธิลามะ (พระพุทธศาสนานิกาย

หนึ่งแบบในทิเบต) เข้ามาเผยแพร่ในจีนเหนือ และทางฝ่ายอาณาจักรได้สนับสนุนลัทธินั้น ต่อนั้นมา

พิธีกรรมต่างๆ ก็เจริญแพร่หลายออกหน้า ส่วนศาสนธรรมที่แท้ก็เลือนรางจืดจางไปจากความสนใจ

ที่มา : https://l3ankdatasocial.wordpress.com

วิถีชีวิต


การใช้ชีวิตในประเทศจีน


คนจีนจะค่อนข้างสนทนากันเสียงดังพอสมควร ตามมารยาทสังคมของประเทศจีน

คนจีนทำอะไรเร็วมาก เก่งค้าขาย ขยัน จุดนี้เป็นจุดดีที่คนไทยควรเรียนรู้มาจากคนจีน
เวลาที่ประเทศจีน เร็วกว่าเวลาไทย 1 ชั่วโมง
อากาศและเวลาของจีนไม่สอดคล้องกัน จีนจะสว่างประมาณ 04:00 น. หรือ 05:00 น. และจะมืดเวลาประมาณ
19:00 น. หรือ 20:00 น.
อากาศบางเมืองในจีนค่อนข้างเปลี่ยนไว ตอนกลางวันแดดจ้า สักพักฝนตกและลมหนาวมา
ถ้าฝนตก จะตกหนักทั้งวัน และน้ำจะขัง เนื่องจากระบบการระบายน้ำช้า จนทำให้เกิด น้ำท่วม ซึ่งเป็นเรื่อง
ธรรมดาของจีน
เวลาไปซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ต พนักงานจะใส่ถุงพลาสติกให้ ลูกค้าควรจะเตรียมถุงไปเองหรือถ้าอยากได้ก็
ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
การรับประทานอาหาร เป็นการรับประทานร่วมกันโดยอุปกรณ์การกินหลัก คือ ตะเกียบ
รสชาติอาหารจีน ภาคใต้ จะเป็นรสหวานๆ จืดๆ ภาคกลางจะเป็นรสจัด เผ็ดๆ มันๆ ภาคตะวันออกจะเป็นรส
เปรี้ยว จืดบ้าง กลมกล่อม
อาหารจีนจะมีเครื่องเทศผสมอยู่ และจะมีกลิ่นแรงมาก รับประทานแล้วจะไม่เผ็ดถึงลิ้นแบบไทย แต่จะเผ็ดแค่
บริเวณปาก
คนจีนนิยมรับประทานแป้งมาก อาหารจานก็ใหญ่มาก เพราะต้องใช้พลังงานเยอะ
ร้านอาหารที่ประเทศจีน ส่วนมากเป็นร้านอาหารแบบข้างทาง จะเปิดตอนกลางคืน และจะเป็นอาหารปิ้ง ย่างเป็น
ส่วนใหญ่
ห้องน้ำของจีนส่วนมากจะเป็นส้วม ไม่ใช่แบบชักโครก ไม่มีน้ำให้ล้าง
คนจีนเดินกันเป็นกิโลเมตร เหมือนเครื่องจักร เป็นเรื่องธรรมดาของจีน
การใช้โทรศัพท์ที่จีน เสียเงินทั้งคนโทรและคนรับ คนจีนส่วนใหญ่เลยนิยม SMS หรือ chat social ต่างๆหากัน
มากกว่า
การขับรถของคนจีนจะอยู่ทางซ้าย ซึ่งต่างกับประเทศไทย อยู่ทางขวา
รถมอเตอร์ไซค์ของจีน ไม่ใช้ระบบเติมน้ำมัน แต่จะใช้ระบบไฟฟ้า(การชาร์จแบตเตอรี่)
การขึ้นรถเมล์ของคนจีนจะแย่งกันขึ้น
รถแท็กซี่จีนมี2สี คือ สีฟ้า และ สีเทา มีลูกกรงกั้นระหว่างคนขับกับคนนั่ง

ที่มาข้อมูลและรูปภาพประกอบ : https://sites.google.com/site/43zrytu6i5t43ertg/contact-me

วิถีชีวิต

การจราจรในเมืองจีน การขับรถจ่อท้ายรถคันหน้า เปิดไฟสูง และบีบแตรไล่ดัง เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้ ใน
ทำนองเดียวกัน การขี่จักรยานปาดหน้าก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้
คนจีนนิยมเล่นแอพ QQ และ Wechat ในการคุยกัน ไม่สามารถเล่น Facebook หรือ Youtube ได้ ซึ่งคนจีนจะเล่น
Weibo ซึ่งเปรียบเสมือน Facebook ของประเทศจีน
สาเหตุที่ผู้หญิงจีน ไม่โกนขนรักแร้ เพราะกลัวถูกมองว่าเป็นผู้หญิงขายบริการ
ค่านิยมของผู้หญิงจีนจะนิยมใส่กระโปรงสั้นมาก
ห้องสมุดเปิด 8 โมงเช้า มีเด็กจีนเป็นจำนวนมาก มารอเข้าห้องสมุดตั้งแต่ 7 โมงครึ่ง และถ้าจะหาที่นั่งในห้องสมุด
ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จึงได้ที่นั่ง
มหาลัยที่จีนไม่มีศาลเจ้า ศาลพระภูมิ หรือพระวิษณุกรรมประจำมหาวิทยาลัย ส่วนมากมีรูปปั้นผู้สถาปนา
มหาวิทยาลัย
ใครที่มีมือถือผิงกั๋ว (ไอโฟน) มีโอกาสโดนขโมยล้วงจากกระเป๋าได้ง่ายกว่ามือถือรุ่นอื่นๆ

นักเรียนจีนส่วนมากเรียนจบระดับปริญญาตรี แล้วจะเรียนต่อปริญญาโท และจบปริญญาโท ก็จะต่อปริญญาเอก
ดังนั้นนักเรียนที่เรียนระดับปริญญาโท-ปริญญาเอกจะอายุไม่มาก และมักจะมาแต่งงานในช่วงที่เรียนต่อปริญญาโท
หรือปริญญาเอก
นักเรียนจีนแต่งงานแล้วจะมีลูกทันที เพราะเด็กจะมีปู่ย่าตายายช่วยเลี้ยงดู
การให้ของขวัญแต่งงานคนจีนนิยมให้เงิน ต้องใส่เป็นเลขคู่ มีความสนิทสนมน้อยใส่ 200 หยวน สนิทสนมมากใส่
800 หยวนและปกติทั่วไปใส่ 600 หยวน
นักศึกษาจีนส่วนมากเวลาเห็นนักศึกษาชาวต่างชาติกำลังตกยาก พวกเขาจะช่วยอย่างสุดความสามารถ

ที่มาข้อมูลและรูปภาพประกอบ : https://sites.google.com/site/43zrytu6i5t43ertg/contact-me

ขนบธรรมเนียม

วัฒนธรรมและประเพณีของจีนมีการสืบทอดมาและถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน ประเพณีและ วัฒนธรรมของจีนมี

มากมาย เช่น เทศกาลตรุษจีน เทศกาลโคมไฟ เทศกาลฉงหยาง เทศกาลตวนอู่ และเทศกาล หยวนเซียว
ตรุษจีน

วันตรุษจีนถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีของชาวจีนในจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
ซึ่งวันตรุษจีนนี้นับเป็นวันพิเศษและมีความสำคัญยิ่งสำหรับคนจีน จะมีการเฉลิมฉลองกันไปทั่วโลก โดยเฉพาะชุมชนขนาดใหญ่
ของคนจีนในประเทศต่างๆ ในวันตรุษจีนนี้ชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีนถือว่าเป็นวันที่สมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะไป
ประกอบธุรกิจการงานที่ไหน หากอยู่ในจังหวัดหรือในประเทศเดียวกัน บรรดาสมาชิกในครอบครัวชาวจีนเหล่านั้น จะกลับบ้าน
มาพบปะกันอย่างพร้อมเพรียงกัน คล้ายกับวันสงกรานต์ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวไทย

ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/social/103492/

เช็งเม้ง
วันเช็งเม้งเป็นวันที่ลูกหลานชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีนพากันไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่สุสานฝังศพ(ฮวงจุ้ย)

สำหรับในประเทศไทยวันเช็งเม้งถือวันที่ ๕ เมษายนของทุกปีเป็นหลัก

ที่มา : https://shopee.co.th/blog/qingming-festival/

พิธีไหว้บ๊ะจ่าง ขนบธรรมเนียม

เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง (ขนมจ้าง) หรือเทศกาลตวนอู่ หรือเทศกาลตวงโหงว เป็นเทศกาลที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ


ของชาวจีนทั้งในประเทศจีนและประเทศต่างๆ ตรงกับวันที่ ๕ เดือน ๕ ตามปฏิทินทางจันทรคติ ซึ่งตามทัศนะคติของชาวจีน

เชื่อว่า เป็นเทศกาลที่แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ในการไหว้บ๊ะจ่างนี้ คนจีนจะไหว้ในตอนเช้า โดยไหว้ด้วยธูป ๓ ดอก

หรือ ๕ ดอก (การไหว้ด้วยธูป ๕ ดอก เพื่อระลึกถึงครูอาจารย์ พ่อแม่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์) ส่วนชาวจีนในประเทศไทยหรือชาว

ไทยเชื้อสายจีนจะไหว้เจ้าและบรรพบุรุษในช่วงเช้า แต่จะพิเศษตรงนำขนมบ๊ะจ่างมาเป็นของไหว้เพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งขนมบ๊ะ

จ่างนี้จะซื้อหรือจะทำเองก็ย่อมได้ แล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบ้านนั่นเอง

ที่มารูปภาพ : https://www.banmuang.co.th/news/promotion/280729

สารทจีน
วันสารทจีน ถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลานชาวจีนจะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว และยังถือเป็น

เดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญได้ ซึ่งตามปฏิทินจีนตรงกับวันที่ ๑๕ เดือน ๗
เทศกาลไหว้พระจันทร์
ชาวจีนถือว่า วันไหว้พระจันทร์เป็นวันสารทวันหนึ่ง ซึ่งตามจันทรคติแบบจีนตรงกับวันที่ ๑๕ เดือน ๘ ส่วนตามจันทรคติแบบ
ไทยจะประมาณเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งพอถึงเทศกาลนี้ ชาวไทยเชื้อสายจีนจะทำพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์และเจ้าแม่กวนอิม
พร้อมกันในวันนี้

ที่มารูปภาพ : https://www.hanyuban.com/content

ขนบธรรมเนียม


เทศกาลกินเจ
เทศกาลกินเจ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น ๑ ค่ำถึงขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีนทุกๆ ปี (รวมเป็นเวลา ๙ วัน ๙ คืน) ซึ่งจะ
ตรงกับวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ของไทย ดังนั้น เทศกาลกินเจจึงอยู่ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคมของทุกๆ ปี

เทศกาลตังโจ่ย ที่มา : https://www.hanyuban.com/content/1730/

เทศกาลตังโจ่ย หรือเทศกาลไหว้ขนมบัวลอย (ขนมอี๊) ถือเป็นเทศกาลสุดท้ายของชาวจีนในรอบหนึ่งปี ซึ่งจะตรงกับ

เดือน ๑๑ ของจีน และโดยประมาณแล้วจะตรงกับวันที่ ๒๒ ธันวาคม (ตามปฏิทินสากล) ของทุกปี ในเทศกาลนี้ชาวจีนจะทำ

ขนมบัวลอยมาไหว้ฟ้าดิน ปึ๋งเถ่ากง ตี่จู๋เอี๊ย (เจ้าที่) เพื่อขอบคุณที่ได้ช่วยให้การดำรงชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว

ดำรงมาได้อย่างราบรื่นตลอดปีที่ผ่านมา และเพื่อความสมัครสมานสามัคคีกันของทุกคนในครอบครัว

ที่มา : https://m.facebook.com/creativeculturalcitysilpakorn/photos/

เทศกาลไหว้พระจันทร์

ชาวจีนถือว่า วันไหว้พระจันทร์เป็นวันสารทวันหนึ่ง ซึ่งตามจันทรคติแบบจีนตรงกับวันที่ ๑๕ เดือน ๘ ส่วนตาม

จันทรคติแบบไทยจะประมาณเดือนกันยายนของทุกปี ซึ่งพอถึงเทศกาลนี้ ชาวไทยเชื้อสายจีนจะทำพิธีเซ่นไหว้พระจันทร์และ

เจ้าแม่กวนอิมพร้อมกันในวันนี้

ที่มาข้อมูล : tps://www.hanyuban.com/content/1730/ ที่มา : https://www.samyan-mitrtown.com/

เเหล่งท่องเที่ยว

1. พระราชวังต้องห้าม (THE FORBIDDEN CITY)
ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีนและอยู่ทางตอนเหลือของจตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวัง

แห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ให้ประชาชนเข้า แม้แต่ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาติเป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า
"พระราชวังต้องห้าม" จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัน ขันที
และข้าหลวงคอยรับใช้ แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของ
ประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย ยูเนสโก้ได้ประกาศให้
พระราชวังต้องห้ามร่วมกับพระราชวังเสิ่นหยางเป็นหนึ่งในมรดกในนาม พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและราชวงศ์
ชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง

ที่มา : https://www.th.mwikipedia.rog.com

2. กำแพงเมืองจีน (THE GREAT WALL)
เป็นกำแพงที่มีป้อมคั่นเป็นช่วง ๆ ของจีนสมัยโบราณ กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัย ราชวงศ์

ฉิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวฮัน กำแพงเมืองจีนยังคงเรียกว่า กำแพงหมื่นลี้ นักโบราณคดีได้ตรวจวัดความยาว
ของสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือ "กำแพงเมืองจีน" พบว่ายาวกว่าที่บันทึกไว้เดิมกว่า 2 เท่า หรือ
21,196.18 กิโลเมตร จากเดิม 8,850 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ และนับเป็น 1 ใน 7สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ยุคกลาง ด้วย มีความเชื่อกันว่า หากมองเมืองจีนจากอวกาศจะสามารถเห็นกำแพงเมืองจีนได้ ซึ่งในความเป็นจริงไม่
สามารถมองเห็นจากอวกาศได้

ที่มา : https.//www.winners.tv.com

เเหล่งท่องเที่ยว

3.อุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย (ZHANGJIAJIE NATIONAL FOREST PARK)
เป็นมรดกโลกทางธนนมชาติแห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี 1992 เนื้อที่กว่า 9,500 ตารางกิโลเมตรของอุทยาน เต็มไป

ด้วยแท่งภูเขาหินทราย สูงขึ้นฟ้ามากกว่า 3,000 ยอด มีทัศนียภาพที่สวยงามรอบล้อมไปด้วยหมู่ขุนเขา ซื้อภาพยนต์ชื่อดัง
"อวตาร" ได้นำมาเป็นฉากในการถ่ายทำ ท่านจะได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์อันสวยงาม

ที่มา : https://www.grandtourchina.com

4.เขาเทียนเหมินซานหรือถ่ำประตูสวรรค์ (TIANMEN MOUNTAIN)
เขาเทียนเหมินซาน หรือ ภูผาประตูสวรรค์แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งของเมืองจางเจียเจี้ย ไฮไลท์ของที่นี่

คือการนั่งกระเช้าที่ยาวที่สุดแห่งหนึ่งในโลก โดยนั่งกระเช้าขึ้นสู่จุดสูงสุดของเขาเทียนเหมินซาน ซึ่งมีความยาวถึง 7.5 กิโลเมตร
ใช้เวลา 40 นาที นั่งกระเช้าชมความงามของภูเขานับร้อย ยอดเขาที่สูงเสียดฟ้าและสวยงามแปลกตา ชมวิวทิวทัศน์ริมหน้าผาที่
มองเห็นยอดเขาสลับซับซ้อนมากมาย และยังมีเส้นทาง 99 โค้งสู่ยอดเขา ถ้ำประตูสวรรค์ เป็น 1 ใน 4 ของภูเขาที่สวยของ
ประเทศจีน ที่เรียกว่าถ่ำประตูสวรรค์เพราะเมื่อมองจากด้านล่างขึ้นไปจะดูคล้ายประตูขนาดใหญ่ที่เห็นท้องฟ้างามตา จะถูกเรียก
ว่าถ่ำประตูสวรรค์นั่นเอง

ที่มา :https://www.goeasyholiday.com

เเหล่งท่องเที่ยว

5.ทะเลสาบซีหู (Xihu Lake)
ทะเลสาบตะวันตก หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ทะเลสาบซีหู ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ของเมืองหางโจว

มณฑลเจ้อเจียง เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่มีทัศนียภาพสวยงามเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี รอบด้านประกอบด้วยภูเขา 3 ลูก น้ำมี
ความใสราวกับกระจก และมีสิ่งก่อสร้างทางวัฒธรรมที่สวยงามอยู่รายรอบทั้งเจดีย์, เก๋งจีน, วัด, สวนแบบจีน, สวนแบบญี่ปุ่น,
ศาลเจ้า จนถูกขนานนามว่าเป็น "สวรรค์บนดิน"

ที่มา :https:// www.angelstaravel.com

6.จิ่วจ้ายโกว (Jiuzhaigou)
อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกวซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงระดับโลกของจีน และตั้งอยู่ในมณฑลเสฉวน ที่แห่งนี้ถูกชาว

ตะวันตกเรียกขานกันในนาม‘ดินแดนแห่งเทพนิยาย’ เพราะความงามประหลาดของน้ำในจิ่วไจ้โกวนั้นถือเป็นจุดดึงดูดที่สุดใน
บรรดาสุดยอดความงามของทิวทัศน์จิ่วไจ้โกว ทั้งในด้านรูปลักษณ์ สีสัน ความหลากหลาย อีกทั้งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่
สวยงามยิ่งใหญ่ ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อเลื่องลือระดับชาติของจีน

ที่มา : https://www.merrylandtravel.com

เเหล่งท่องเที่ยว

7.พระราชวังโปตาลา (Potala Palace, Lhasa)
พระราชวังโปตาลา ตั้งอยู่ที่กรุงลาซา ทิเบต ประเทศจีน พระราชวังแห่งนี้อยู่เหนือกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 3,600 เมตร

บนที่ราบสูงทิเบต พระราชวังซึ่งเป็นทั้งป้อมปราการ และ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 17 ตัวพระราชวังถูก
ทำลายและสร้างใหม่หลายครั้งหลายคราว จนถึงรัชสมัยทะไลลามะ องค์ที่ 5 ใน ค.ศ. 1617 - 82 มีพระบัญชาให้สร้างปราสาทนี้
ในลักษณะของวังซ้อนวัง พระราชวังวงนอกเรียกว่า วังขาว เพราะทาสีขาว สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1648 พระราชวังชั้นในเรียก
ว่า วังแดง ได้ชื่อตามผนังที่ทาสีแดง ซึ่งสร้างที่หลังวังขาวเกือบ 50 ปี พระราชวังโปตาลามีระเบียงที่มีภาพเขียนสีเรียงซับ
ซ้อน มีทั้งบันไดไม้บันไดหิน มีห้องสวดมนต์ที่ตกแต่งสวยงาม มีรูปเคารพเกือบสองแสนองค์ ปัจจุบันพระราชวังโปตาลากลาย
เป็นพิพิธภัณฑ์และสถานสักการะภายในวังขาว มีสำนักงาน โรงเรียนศาสนา ส่วนวังแดงเป็นส่วนที่ยังใช้ประกอบพิธีกรรมอยู่
เป็นศูนย์รวมใจของโปตาลา ยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ไปเพื่อศักการะสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และชมความงามของพระราชวัง
แห่งนี้

ที่มา : https://www.wikipedia.org.com

8.เดอะบันด์+หาดไว่ทัน (The Bund+Waitan)
เดอะบันด์ (The Bund) ที่คนจีนเรียกว่า หาดไว่ทันฝั่งเมืองเก่าเป็นที่ถ่ายทำภาพยนต์เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ จากการพัฒนาเป็น

เวลาร้อยกว่าปี ปัจจุบันมีตึกสูงเรียงรายการจราจรแน่นขนัด สถาปัตยกรรมโบราณและสมัยใหม่ที่อยู่รวมตัวกันเหล่านี้ ได้กลายเป็น
สัญลักษณ์ของนครเซี่ยงไฮ้แล้ว หาดไว่ทัน นี้ยังอยู่ใกล้ หนานจิงลู่ ถนนคนเดินเป็นแหล่งช๊อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมและสถานที่ท่อง
เที่ยวที่นิยมของคนไทย และ หาดไว่ทัน นี้เรายังมองเห็น ห่อไข่มุก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ ใครมาเยือนเซี่ยงไฮ้ ต้องแวะ
ชมความงามแบบคลาสสิกของ “เดอะ บันด์” จึงเรียกได้ว่ามาถึงเซี่ยงไฮ้

ที่มา ::https://www.whenorwhere.com






Click to View FlipBook Version