มนุษย์เกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุใดจึงกำ เนิดมนุษย์ บนโลกนี้เพราะพระเจ้าหรือเพราะเหตุผลทาง วิท วิ ยาศาสตร์และตามหลักคณิตศาสตร์สามารถใช้ เหตุผลได้ไหม ในแต่ละด้วนล้วนเกี่ยวข้องกับการ กำ เนิดมนุษย์ การกำ เนิดมนุษย์ในทางวิท วิ ยาศาสตร์มีหลายแง่มุม ที่ถูกศึกษาอยู่การแตกต่างของทฤษฎีกำ เนิดมนุษย์มัก จะขึ้นอยู่กับมุมมองทาง วิท วิ ยาศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่ง ซึ่ รวมถึง ทฤษฎีวิวั วิ ฒ วั นธรรม (CULTURAL EVOLUTION) และทฤษฎีสังคมวิท วิ ยา (SOCIOCULTURAL THEORY) ที่เน้นความสำ คัญของปัจจัยสังคมและ วัฒ วั นธรรมในการกำ เนิดมนุษย์แง่มุมทางวิท วิ ยาศาสตร์ มีการศึกษาซึ่ง ซึ่ สนับสนุนทฤษฎีวิวั วิ ฒ วั นธรรมที่มนุษย์ เกิดจากการพัฒนาทางวัฒ วั นธรรมและความสามารถ ในการใช้เ ช้ ครื่องมือ การคิดวิเ วิ คราะห์ และการสื่อสารที่ ทันสมัย
1.กำ เนิดมนุษย์ทางพระพุทธศาสนา 1 2.กำ เนิดมนุษย์ทางวิท วิ ยาศาสตร์ 4 3.กำ เนิดมนุษย์ทางคณิตศาสตร์ 8 4.กำ เนิดมนุษย์ตามหลักมงคล38 10 5.สรุป 13 6.ข้อมูลอ้างอิง 14 หน้า
กำ เ นิ ด ม นุ ษ ย์ ท า ง พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์จะต้องมี คุณธรรมด้วย จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีจิตใจ สูง และเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ พระพุทธ ศาสนาได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของ ความเป็นมนุษย์ ความสำ คัญของชีวิต วิ ว่า กว่าจะได้อัตภาพเป็นมนุษย์นี้ยากแสนยาก จิตของมนุษย์นั้นถือว่า เป็นธรรมชาติพิเศษ สามารถสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นได้ เมื่อจิตได้ รับการฝึก อบรม เจริญ ริ คุ้มครอง รักษา สำ รวมอย่างดี จะให้ประโยชน์มาก ให้ผล มหาศาล ดังพุทธพจน์ที่ตรัสว่า “จิตที่ฝึก ดีแล้วนำ ความสุขมาให้” 1
จากการศึกษากำ เนิดของมนุษย์ในพระสุตตัน ตปิฎก พบว่า ว่ กำ เนิดของมนุษย์ เป็นกำ เนิด จากครรภ์มารดา มีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1) บิดามารดาอยู่ร่วมกัน มีเพศสัมพันธ์กัน 2) มารดาอยู่ในวัย วั มีระดู 3) มีคันธัพพะมา ปรากฏในครรภ์มารดา ชีวิต วิ ของมนุษย์มีองค์ ประกอบ 2 ประการคือ ร่างกายกับจิตใจ ทั้ง ร่างกายและจิตใจอาศัยซึ่งกันและกัน ทำ หน้าที่เพื่อดำ เนินชีวิต วิ ต่อไป หรือ รื เรีย รี กอย่าง หนึ่งว่า ว่ รูปกับนาม ได้แก่ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญ วิ ญาณ รูปคงเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญ วิ ญาณ เป็นนาม และการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นไปภายใต้กฎแห่ง กรรม กรรมย่อมจำ แนกสัตว์ใว์ ห้เลวและ ประณีตการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ใน พระสุตตันตปิฎกพบว่า ว่ รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเกิดเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะ เกิด เป็นเปสิ จากเปสิเกิดเป็นฆนะ จากฆนะเกิด เป็น 5 ปุ่ม ปุ่ ต่อจากนั้น ผม ขน และเล็บจึงเกิด ขึ้น มารดาของสัตว์ใว์ นครรภ์บริโริ ภคข้าวน้ำ โภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้ ว์ ผู้อยู่ในครรภ์ ก็เลี้ยง อัตภาพอยู่ด้วยโภชนาหารอย่างนั้น 2
สรุปได้ว่า ชีวิต วิ ของมนุษย์เรานี้ ก็ประกอบด้วย ร่างกายและจิตใจ ซึ่งจิตใจก็ต้องอาศัยร่างกายที่ ยังเป็นๆอยู่เกิดขึ้นมา และความรู้สึกว่ามีตัวเรานี้ก็ ต้องอาศัยจิตและอวิช วิ ชา (ความรู้ว่ามีตัวเรา) มา ปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาอีกที ซึ่งมันก็เป็นไปตามหลัก ของเหตุผลและความจริง ริ ตามหลักวิท วิ ยาศาสตร์ และก็ตรงกับหลักพุทธศาสนาเรื่อ รื่ งอนัตตา (ความ ไม่ใช่ตัวตนของตนเอง) ซึ่งความเชื่อเรื่อ รื่ งพระ พรหมลงมากินง้วนดินนั้นเป็นแค่ความเชื่อตาม ตำ ราที่พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะเหตุ ว่ามีตำ ราอ้างอิง ดังนั้นเรื่อ รื่ งพระพรหมลงมากิน ง้วนดินนั้นจึงไม่ควรสนใจ สิ่งที่ควรสนใจก็คือเรื่อ รื่ ง การกำ เนิดชีวิต วิ ตามหลักวิท วิ ยาศาสตร์และเรื่อ รื่ งการ เกิดร่างกายและจิตใจตามความเป็นจริง ริ เพราะนี่ คือการมองชีวิตตา วิ มที่เป็นจริง ริ อันเป็นปัญญาที่จะ นำ ไปใช้ดับทุกข์ตามหลักอริย ริสัจ ๔ ของ พระพุทธเจ้า 3
กำ เ นิ ด ม นุ ษ ย์ ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ วิวั วิวั ฒนาการของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิต วิ อื่นๆ คือ กระบวนการการ เปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมและการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต วิ โดย ถ่ายทอดลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปยังสิ่งมีชีวิต วิ รุ่นต่อ ไป เพื่อให้เกิดการปรับตัวและเพิ่มโอกาสการมีชีวิตร วิ อดในสภาพ แวดล้อมที่แตกต่าง ในปี 1859 ชาร์ลส์ ดาร์วิน วิ (Charles Darwin) นักธรรมชาติ วิท วิ ยาชาวอังกฤษ กล่าวถึงหลักการของวิวั วิวั ฒนาการของสิ่งมีชีวิต วิ ว่า วิวั วิวั ฒนาการของสิ่งมีชีวิต วิ นั้น เป็นผลมาจาก “การคัดเลือกโดย ธรรมชาติ” (Natural Selection) ทำ ให้เกิดการปรับตัวของสิ่ง มีชีวิต วิในสภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสของการอยู่รอด โดย จะเกิดการถ่ายทอดลักษณะพิเศษจากการปรับตัวที่เกิดขึ้น ส่ง ผ่านไปยังสิ่งมีชีวิต วิในรุ่นต่อไป เช่น สี ขนาด รูปร่าง การสืบพันธุ์ หรือ รื คุณสมบัติอื่นๆ 4
I n y o u r e y e s M A R G A R I T A P E R E Z วิวั วิวั ฒนาการเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างค่อย เป็นค่อยไป ซึ่งอาจใช้เวลาหลายแสนจนถึงหลาย ล้านปี เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิต วิสายพันธุ์ใหม่ (Species) ในขณะที่สิ่งมีชีวิต วิ ที่ไม่ได้ปรับตัวให้ เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม อาจมีจำ นวน ประชากรลดลง หรืออ รื าจถึงขั้นสูญพันธุ์จากโลก ไปในท้ายที่สุด เปรีย รี บเสมือนการต่อสู้กับทั้ง ธรรมชาติและตนเอง เพื่อความอยู่รอด (Survival of the Fittest) 5
6 จีนัสโฮโม มนุษย์จีนัสโฮโมมีวิวั วิวั ฒนาการ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่ผ่าน มา ซากดึกดำ บรรห์ของจีนัสโฮโมที่ พบว่ามีอายุมากที่สุดคือ Homo habilis มีกระ ถูกนิ้วมือที่คล้าย มนุษย์ปัจจุบันมากจึงน่าจะช่วยให้สามารถหยับจับ หรือ รืใช้เครื่อ รื่ งมือได้ ดี ซึ่งจากหลักฐานที่หมในบริเ ริ วณ เดียวกับซากดีกดำ บรรห์เครื่อง รื่ มือ หันและร่อง รอยการอยู่อาศัย ทำ ให้ สันนัษฐานได้ว่า H. habilis อาจเป็นพวกแรกที่ รู้จักการประดัษฐ์ ขวาน จากหันเพื่อนำ มาใช้ประโยชน์ในการดำ รง ชีวิต วิ ในช่วงปลายสมัยไมโอซีนมีการเปลี่ยนแปลงของ สภาพภูมิอากาศส่งผลให้สภาพแวดล้อมใน ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป ภาดว่าน่าจะเป็นแรง ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสาย วิวั วิวั ฒนาการของเอพ มีการลดขนาดเขี้ยวและ ขยายขนาดฟันกราม บรรพบุรุษของมนุษย์เริ่ม ริ่ ปรากฏครั้งแรกในสมัยไมโอซีน ในราว ประมาณ 4.3 ล้านปีก่อนบรรพบุรุษที่มีความคล้ายมนุษย์มาก ที่สุดคือ ออสทราโลพ์เทคัส (Australopithecus)
Homo erectus เป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพมา จากแอฟริก ริ าไปยังเอเชียและยุโรป พบ ซากดึกดำ บรรพ์โครงกระดูก ซากดึกดำ บรรพ์ที่ พบในหมู่เกาะชวา และรู้จักกันในวงกว้างจะเรีย รี ก ว่ามนุษย์ชวา (Java man) และที่พบในปักกิ่ง ซึ่งเป็น สปีชีส์เดียวกัน เรีย รี กว่า มนุษย์ปักกิ่ง H. erectus ในแอฟริภ ริ าถือเป็นบรรพบุรุษของ Homo sapiens หรือ รื มนุษย์ปัจจุบัน อย่างไร ก็ตามพบว่ามีมนุษย์ลักษณะทิ่งกลางระหว่าง Herectus na: H.sapiens ก็คือ มนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal man) สมมติฐานแรก เชื่อว่ามนุษย์ปัจจุบันที่อยู่ในต่าง ทวีปวี นั้นมีวิวั วิวั ฒนาการมาจาก H. erectus ที่แพร่กระจายจากแอฟริก ริ าไปอยู่ ตามที่ต่างๆ เช่น ยุโรป เอเชียและออสเตรเลีย สมมุติฐานที่2 Herectusได้แพร่กระจายไปอยู่ ตามที่ต่างๆทั่วโลกแต่ในที่สุดก็สูญพันธุ์ไปจนหมด เหลือเพียงกลุ่ม H.erectus ในแอฟริก ริ ากลุ่ม เดียวเท่านั้น จากนั้นแพร่กระจายออกไปยังสถาน ที่ต่างๆโดยไม่มีการผสมผสานทางเผ่าพันธุ์กับ มนุษย์โบราณที่อหยหมาก่อนหน้านั้น 7
ซึ่งการกำ เนิดมนุษย์สามารถนำ ไปบูรณาการกับวิช วิ า คณิตศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่อ รื่ งความน่าจะเป็นของ เหตุการณ์ (Probability of an event) เช่น การ คาดเดาหมู่เลือดของลูกที่จะเกิดในรุ่นถัดไป ความน่าจะเป็น (Probability) ความน่าจะเป็น หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงโอกาส ของการเกิดสิ่งที่เราสนใจ ว่ามีโอกาสเกิดขึ้นมาก น้อยเพียงใด สามารถเกิดขึ้นได้ในปริภู ริ ภู มิตัวอย่างซึ่งมี โอกาสเกิด ขึ้นเท่า ๆ กัน แซมเปิลสเปซ (sample space) คือ เซตที่มี สมาชิกเป็นผลลัพธ์ที่อาจจะเป็นไปได้ทั้งหมดของการ ทดลองสุ่ม เขียนแทนด้วย ร และจำ นวนของ แซมเปิลสเปซ เขียนแทน ด้วย n(S) กำ หนดให้ A แทนเหตุการณ์ใด ๆ ของปริภู ริ ภู มิ ตัวอย่าง S และ ท(A) แทนจำ นวนเหตุการณ์A ที่ สนใจ และ n(S) แทนจำ นวนเหตุการณ์ทั้งหมดในปริภู ริ ภู มิตัวอย่าง ดัง นั้นความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A เขียนแทน ด้วย P(A) มีค่าดังนี้ กำ เ นิ ด ม นุ ษ ย์ ท า ง คณิ ต ศ า ส ต ร์ 8
ตัวอย่าง เช่น พ่อมีหมู่เลือด B แบบ Homozygous และแม่มีหมู่เลือด A แบบ Heterozygous จงหาความน่าจะเป็นที่ลูกจะเกิดมาเป็นหมู่เลือด B เมื่อเราทำ การหาวีโวี นไทป์และพีโนไทป์แล้ว จะได้เป็นโอกาสลูกที่ เกิดมาเป็นหมู่เลือด AB B AB B ซึ่งมีอัตราส่วนเป็น 2:2เมื่อเรา ได้ข้อมูลว่าหมู่เลือดของลูกที่จะเกิดแล้ว จึงสามารถนำ มาเข้าสูตร ของความน่าจะเป็น ได้นั้นก็คือ P(A)= 2ส่วน4 ดังนั้นความน่าจะเป็นของลูกที่จะเกิดมาเป็นหมู่เลือด B คือ 2ส่วน4 9
กำ เ นิ ด ม นุ ษ ย์ ต า ม ห ลั ก ม ง ค ล 3 8 ในเรื่อ รื่ งของการกำ เนิดมนุษย์นั้น ก็ยังสามารถ นั้นไปเชื่อมโยงเกี่ยว กับเรื่อง รื่ ของการกำ เนิด มนุษย์ในทางพระพุทธศาสนาและเรื่อ รื่ งของ มงคล สูตรคำ ฉันท์หรือ รื หลักมงคล 38 ในเรื่อ รื่ ง ของการดำ รงชีวิตแ วิ ละการ พัฒนาตนเองตาม หลักมงคลชีวิต วิ ในเรื่อ รื่ งของมงคลสูตรคำ จันท์หรือ รื หลักมงคล 38 จะเกี่ยวข้องกับการทำ ความดีทำ ในสิ่งที่ดี การศึกษาตามหลักมงคลชีวิตใวิ ห้เข้าใจง่าย เรา ต้องมองภาพรวมของมงคลสูตรให้เข้าใจว่าพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้จัดลำ ดับหมวดหมู่ไว้ อย่างเป็นระบบ เรีย รี งลำ ดับจากง่ายไปหายาก สามารถนำ มาปฏิบัติได้ตามลำ ดับ มงคลเปรีย รี บ เสมือนการขึ้นบันใดที่ละขั้นจนถึงขั้นสูงสุด มงคลสูตรทั้ง 38 ข้อนั้น แบ่งได้เป็น 10 หมู่ มงคลเป็นเรื่อ รื่ งของการครองตน ครองชีวิตใวิ ห้มี ความเจริญ ริ ก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม รวมถึงสามารถนำ ไปใช้ครอบคลุม ถึงการพันา ปรับปรุงองค์กรด้านธุรกิจสังคม การเมืองการ ปกครอง ให้เจริญ ริ ก้าวหน้าประสบผลสำ เร็จ 10
มงคลหมู่ที่ 1 ฝึกใช้เป็นคนดี มงคลที่ 1 ไม่คบคนพาล มงคลที่ 2 คบบัณฑิต มงคลที่ 3 บูชาบุคคลที่ควรบูชา มงคสหมู่ที่ 2 สร้างความพร้อมในการฝึกตนเอง มงคลที่ 4 อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม มงคลที่ 5 มีบุญวาสนามาก่อน มงคลที่ 6 ตั้งตนชอบ มงคลหมู่ที่ 3 ฝึกคนให้เป็นตแมีประโยชน์ มงคลที่ 7 เป็นพหุสุด มงคลที่ 8 มีศิลปะ มงคลที่ 9 มีวินั วินั ย มงคลที 10 มีอาจาสุภาษิต มงคลหมู่ที่ 4 บำ เพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว มงคลที่ 11 บำ รงบิดามารดา มงคลที่ 12 เสียงดบุตร มงคลที่ 13 สงเคราะห์ภรรยา(สามี) มงคลที่ 14 ทำ งานไม่คั่งค้าง มงคลหมู่ที่ 5 บำ เพ็ญประโยชน์ต่อสังคม มงคลที่ 15 บำ เพ็ญทาน มงคลที่ 16 ประพฤติธรรม มงคลที่ 17 สงเคราะห์ญาติ มงคลที่ 18 ทำ งานไม่มีโทษ 11
มงคลหมู่ที่ 6 ปรับเตรีย รี ม ภาพใจให้พร้อม มงคลที่ 19 ดดเว้นจากบาป มงคลที่ 20สำ รวมจากการดื่มน้ำ เมา มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรม มงคลหมู่ที่ 7 การแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัว มงคลที่ 22 มีความเคารพ มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน มงคลที่ 24 มีความสันโดษ มงคลที่ 25 มีความกตัญญ มงคลที่ 26 ฟังธรรมตามกาล มงคสหมู่ที่ 8 การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัวให้เต็มที่ มงคลที่ 27 มีความอดทน มงคลที่ 28 เป็นคนว่าง่าย มงคลที่ 29 เห็นสมณะ มงคลที่ 30 สนทนาธรรมตามกาล มงคลหมู่ที่ 9 การฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำ จัดการให้สิ้นไป มงคลที่ 31 บำ เพ็ญตบะ มงคลที่ 32 ประพฤติพรหมจรรย์ มงคลที่ 33 เห็นอริย ริสัจ มงคลที่ 34 ทำ พระนิพพานให้แจ้ง มงคลหมู่ที่ 10 ผลจากการปฏิบัติอนหมดกิเสส มงคลที่ 35 จิตไม่หวันไหวในโลกธรรม มงคลที่ 36 จิตไม่โลก มงคลที่ 37 จิตปราศจากธุลี มงคลที่ 38 จิตเกษม 12
13
14