The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ป2ไทยวิจัยการอ่านสะกดคำ แก้แล้ว 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Prim Yimchoho, 2022-10-14 00:49:53

วิจัยการอ่านสะกดคำ ป.2

ป2ไทยวิจัยการอ่านสะกดคำ แก้แล้ว 2

ชือ่ งานวิจัย การพัฒนาทักษะการอา่ นและเขยี นคำมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝกึ ทักษะ
ของนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบ้านสอยดาว
ผู้วจิ ัย นางบำรุง ยม้ิ จอหอ
ปีการศกึ ษา 2565

บทคดั ยอ่

การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและ
เขียนคำมาตราตัวสะกดของนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 2 และเพื่อพฒั นาแบบฝึกทกั ษะสาระภาษาไทย
ประสทิ ธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 75/75 โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี นกล่มุ ตัวอย่างเปน็
นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท2่ี ภาคเรียนที่ 1 ปี การศกึ ษา 2564โรงเรยี นบา้ นสอยดาว จำนวน 44 คน ซ่ึงไดม้ า
โดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกทักษะ
จำนวน 3 แบบฝกึ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น การวิเคราะห์ข้อมลู ใช้คา่ เฉลย่ี รอ้ ยละ

ผลการวิจยั พบว่าแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำมาตราตวั สะกด ช้ันประถมศึกษาปีท่ี2
จำนวน 3 แบบฝกึ มีประสทิ ธิภาพ 82.5/ 75หมายถงึ นักเรียนได้คะแนนเฉล่ยี จากการทำแบบฝึกทักษะการอ่าน
และการเขียนคำมาตราตัวสะกด ท้ัง 3แบบฝึก คิดเป็นร้อยละ 75.30 และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นด้านการอา่ นและการเขยี น คิดเป็นรอ้ ยละ 82.5แสดงว่าการจดั กจิ กรรม
พัฒนาทักษะการอ่านและการเขยี นคำมาตราตัวสะกด ช้ันประถมศึกษาปที ่ี2โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ทผ่ี วู้ จิ ัยสร้าง
ข้ึนมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ต้ังไว้คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ82.5
คะแนนทดสอบก่อนเรียนคิดเป็นรอ้ ยละ75.00แสดงใหเ้ ห็นว่าการจดัการเรียนรูโ้ ดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน
และการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดชั้นประถมศึกษาปีที่2 ทำให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ด้านการอ่านและ
การเขยี นคำมาตราตัวสะกดมีการพัฒนาขน้ึ ร้อยละ7.5

บทท่ี 1

บทนำ
ความเป็นมาและความสำคญั ของปัญหา

ภาษาไทยเป็นเอกลกษั ณข์ องชาติเป็นสมบตั ิทางวฒั นธรรมอันก่อใหเ้ กดิ ความเปน็ เอกภาพและ
เสริมสร้างบคุ ลกิ ภาพของคนในชาติให้มคี วามเป็นไทยเป็นเครอื่ งมอื ในการตดิ ต่อสอ่ื สารเพื่อสร้างความเขา้ ใจ
และความสมั พันธ์ทด่ี ีต่อกันทำให้ สามารถประกอบกิจธรุ ะการงานและดำเนนิ ชีวติ รว่ มกันในสงั คม
ประชาธปิ ไตยได้อย่างสันติสขุ และเปน็ เครอ่ื งมอื ในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหลง่ ข้อมลู
สารสนเทศตา่ ง ๆ เพอ่ื พัฒนาความร้กู ระบวนการคิดวิเคราะหว์ ิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทนั ตอ่ การ
เปลย่ี นแปลงทางสังคมและความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์เทคโนโลยตี ลอดจนนำไปใช้ในการพฒั นาอาชีพ
ให้มคี วามมั่นคงทางเศรษฐกจิ นอกจากน้ียงั เปน็ ส่ือแสดงภูมิปญั ญาของบรรพบรุ ษุ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี
สุนทรียภาพเป็นสมบัติลำ้ ค่าควรแกก่ ารเรียนรอู้ นรุ กั ษ์และสืบสานให้คงอยู่คชู่ าตไิ ทยตลอดไป
กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551 : 37)ด้วยความสำคัญดังกลา่ วหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน
พุทธศักราช 2551 ม่งุ พัฒนาผู้เรียนทกุ คน ซึ่งเป็นกำลังของของชาตใิ ห้เปน็ มนุษย์ที่มคี วามสมดุลทัง้ ด้านร่างกาย
ความรคู้ ุณธรรม มีจิตสา นึก
ในความเป็นพลเมอื งไทยและเปน็ พลโลก ยึดมน่ั ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหา
กษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ มีความรแู้ ละทักษะพ้ืนฐาน รวมท้ังเจตคตทิ ่ีจำเปน็ ต่อการศึกษาตอ่ การประกอบ
อาชพี และการศกึ ษาตลอดชวี ติ โดยมงุ่ เน้นผูเ้ รยี นเปน็ สำคญั บนพน้ื ฐานความเช่ือว่าทกุ คนสามารถเรียนรู้และ
พัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2551 : 4) เด็กไทยทุกคนควรเรยี นรู้และใช้
ภาษาไทยไดอ้ย่างถูกต้องทุกโอกาส ซ่ึงการเรยี นการสอนภาษาไทยเปน็ ทักษะที่ต้องฝกึ ฝนจนเกดิ ความ
ชำนาญ ในการใชภ้ าษาเพ่ือการส่อื สาร การอา่ นและการฟังเปน็ ทักษะของการรับรู้เรอ่ื งราว ความรู้
ประสบการณ์ส่วนการพูดและการเขียนเปน็ ทักษะของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิดเหน็ ความรูแ้ ละ
ประสบการณก์ ารเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนเพื่อการส่อื สารให้สามารถรบั รูข้ ้อมูลขา่ วสารได้อย่างพินจิ
พิเคราะห์ สามารถนำความรู้ ความคิดมาเลือกใช้เรยี บเรยี งคำมาใช้ตามหลกั ภาษาได้ถูกต้องตรงตาม
ความหมายกาลเทศะและใช้ภาษาไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ วิมลรตั น์ สนุ ทรโรจน(์ 2549 : 80)

จากข้อมูลสภาพปัญหา ผวู้ ิจัยได้รบั มอบหมายใหร้ ับผดิ ชอบในการจดั การเรยี นการสอนวิชา
ภาษาไทยไดท้ ำการทดสอบภาษาไทย ปรากฏว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกัเรยี นช้ันประถมศกึ ษา
ปที ่ี 2 นกั เรยี นมีปัญหาทางด้านการเขียนสะกดคำไมถ่ กู ต้องและอ่านไม่เป็น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนต่ำ มผี ลตอ่ การเรยี นการสอนในกลมุ่ สาระการเรยี นร้อู ื่นอีกด้วย

ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาจงึ พบว่าการใช้แบบฝึกทักษะทำให้สามารถพฒั นาทกั ษะการอา่ นและการเขยี นสะกด
คำมาตราตัวสะกดของนักเรียนมพี ัฒนาการเรยี นการสอนภาษาไทยมปี ระสิทธภิ าพมากย่ิงข้ึน

จดุ มงุ่ หมายของการวิจัย
1.เพือ่ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอา่ นและเขยี นคำมาตราตัวสะกดของ
นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 2
2. เพอื่ พัฒนาแบบฝึกทกั ษะสาระภาษาไทย ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 75/75
ขอบเขตของการวจิ ัย
1.กลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในการวิจัย ได้แกน่ กั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 ภาคเรยี นท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2564
โรงเรียนบ้านสอยดาว จำนวน 18 คน ซ่งึ ไดม้ าโดยการเลือกส่มุ แบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2.ระยะเวลาในการศกึ ษา ระยะเวลาท่ใี ช้ในการศึกษา คอื ภาคเรยี นที่ 1 ปี การศกึ ษา 2564 จำนวน
10 ชว่ั โมง ทัง้ นี้ไมร่ วมเวลาทใี่ ช้ในการทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน
3. เนือ้ หาทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ได้แก่ มาตราตัวสะกดตรงแม่โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ จำนวน 3 แบบฝกึ
ตัวแปรท่ีใช้ในการวจิ ัย
- ตวั แปรต้น ได้แก่ แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียนพื้นฐาน
- ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นด้านการอ่านและการเขียนคำพื้นฐาน
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ

แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขยี นคำพ้นื ฐาน หมายถึง แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียนคำ
มาตราตัวสะกด กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีท2ี่ ท่ีผ้วู จิ ยั สรา้ งข้ึนจำนวน 3 แบบฝกึ

ประสิทธิภาพของแบบฝึก หมายถงึ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี นสะกดคำ กลุม่ สาระการ
เรยี นรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศกึ ษาปีที2่ ท่ีมปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75

75 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลย่ี ร้อยละของนกั เรยี นท่ไี ด้จากการทำแบบทดสอบ
75 ตัวหลัง หมายถงึ คะแนนเฉลย่ี ร้อยละทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
ดา้ นการอา่ นและการเขยี นสะกดคำหลังเรยี น
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึงความรู้ความสามารถในการเรียนภาษาไทยของนักเรยี นที่เรยี น
โดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอา่ นและการเขยี นคา มาตราตวั สะกด ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 ได้จากคะแนนการ
ทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการอ่านและการเขียนสะกดคำที่ผูว้ จิ ยั สรา้ งข้ึน
ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะได้รับ
ไดเ้ รียนรูแ้ บบฝึกทกั ษะการอ่านและเขยี นคำมาตราตัวสะกดช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 2

บทที่ 2

เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

การดำเนนิ การวิจยั ครง้ั นี้เพอื่ พัฒนาทกั ษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝกึ
ทักษะกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านสอยวดาว โดยได้ศึกษาเอกสารและ
งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง ดังตอ่ ไปนี้

1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย
ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2

2. การอา่ น
2.1 ความหมายของการอ่าน
2.2 ความสำคัญของการอา่ น

3. การเขยี น
3.1 ปญั หาของการเขียน
3.2 ความสำคัญของการเขยี น

4. แบบฝกึ ทกั ษะ
4.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทกั ษะ
4.2 ลกั ษณะของแบบฝกึ ทกั ษะท่ีดี
4.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทกั ษะ
4.4 หลกั การสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ
4.5 ส่วนประกอบของแบบฝกึ ทักษะ
4.6 ขน้ั ตอนการสร้างแบบฝกึ ทักษะ

1.หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
1. กำหนดสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้

หลกสั ูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐานพทุ ธศกัราช 25551 กลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยกำหนด
สาระและมาตรฐานการเรียนรูไ้ ว้ดังน้ี (กรมวิชาการ. 2545 : 3-17)
สาระท่ี 1 : การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรู้และความคดิ ไปใช้ตดั สินใจแก้ปญั หาและสรา้ ง
วสิ ยั ทศั นใ์ นการดำเนนิ ชวี ติ และมนี สิ ยั รักการอา่ น
สาระที่ 2 : การเขียน
มาตรฐาน ท 2.1 ใชก้ ระบวนการเขยี น เขียนสื่อสารเขยี นเรยี งความ ย่อความและเขยี นเรือ่ งราวใน

รูปแบบตา่ ง ๆ เขียนรายงานขอม้ ูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นควา้ อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
สาระที่ 3 : การฟงั การดู และการพดู
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดอู ย่างมีวจิ ารณญาณ และพดแู สดงความรู้ความคิด ความร้สู ึก
ในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์
สาระท่ี 4 : หลักการใชภ้ าษา
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษา และพลัง
ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัตขิ องชาติ
มาตรฐาน ท 4.2 สามารใช้ภาษาแสวงหาความรู้ เสริมสร้างลักษณะนิสัยบคุ ลกิ ภาพและความสัมพันธ์
ระหวา่ งภาษากับวฒั นธรรม อาชพี สังคม และชีวติ ประจำวัน
สาระท่ี 5 : วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทย
มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเหน็
คณุ คา่ และนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตจรงิ

2. คณุ ภาพผู้เรยี น
เมอ่ื เรียนจบหลกัสูตรการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทยแลว้ ผเู้ รียนตอ้ งมคี วามรู้
ความสามารถคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ ม (กรมวชิ าการ. 2545 : 9-13) ดงั น้ี

2.1 สามารถภาษาสอื่ สารได้อย่างดี
2.2 สามารถอา่ น เขียน ฟงั ดแู ละพูด ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ
2.3 มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์คิดอย่างมเี หตผุ ล และคิดเป็นระบบ
2.4มีนสิ ยั รักการอา่ น การเขียน การแสวงหาความรู้และใชภ้ าษาไทยในการพัฒนาตน และ
สรา้ งสรรค์งานอาชีพ
2.5ตระหนักในวัฒนธรรมการใช้ภาษาและความเป็นไทยภูมิใจและชื่นชมในวรรณคดีและ
วรรณกรรมซึ่งเปน็ ภมู ปิ ญั ญาของคนไทย
2.6สามารถนำทักษะทางภาษามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและถูกต้อง
ตามสถานการณแ์ ละบคุ คล
2.7 มมี นษุ ยสมั พนั ธท์ ี่ดีและสรา้ งความสามคั คีในความเป็นชาตไิ ทย

2. การอา่ น
การอ่านเปน็ ทักษะทางภาษาทีส่ ำคญั และจำเป็นมากในการดำรงชวี ิตของมนษุ ย์

ในชีวิตประจำวันต้องอาศัยการอ่านจึงจะสามารถเข้าใจและสือ่ ความหมายได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
2.1 ความหมายของการอา่ น

ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน (2547 : 3) ไดใ้ ห้ความหมายของการอา่ น คอื การบรโิ ภคคำ
ทถี่ กู เขยี นออกมาเป็นตัวหนงั สอื หรอื สญั ลักษณ์โดยมีกระบวนการทางวิทยาศาสตรท์ ี่เริ่มจาก “แสง”
ที่ถูกสะทอ้ นมาจากตวั หนงั สือผ่านเลนสน์ ัยน์ตาและประสาทตา เข้าส่เู ซลลส์ มองไปเปน็ ความคดิ (Idea)

ความรับรู้ (Perception) และความจำทง้ั ระยะส้ันและระยะยาว
สรุปความหมายของการอา่ น หมายถึงการเข้าใจความหมายของคำ ประโยค ข้อความ และ

เรอ่ื งท่ีอา่ น และเรอื่ งทีอ่ า่ นมคี วามสำคัญต่อประเทศชาติและพัฒนาตนเองใหก้าวหนา้ ผทู้ ่ีอา่ นมากนอกจาก
ได้รับความรอู้ ย่างกว้างขวางแล้วยงั ทำใหผ้ ู้อ่านคลายความเครียด
2.2 ความสำคญั ของการอ่าน

วรรณี โสมประยูร (2544 : 121-123) ได้อธิบายถึงความสำคญั ของการอา่ นหนังสอื มีผลตอ่
ผ้อู ่าน 2 ประการคือ ประการแรกอา่ นแล้วได“้ อรรถ” ประการทส่ี องอ่านแล้วได“้ รส”ถา้ ผู้อ่านสำนึกอยู่
ตลอดเวลาถึงผลสำคญั ของสองประการนี้ยอ่ มจะได้รบั ประโยชน์อยา่ งเต็มท่จี ากหนังสอื ตรงตามเจตนารมณ์
ของผู้เขียนเสมอ การอ่านมีความสำคัญต่อทุกคนทุกเพศทกุ วัยและทุกสาขาอาชพี ซ่ึงงพอสรปุ ได้ดงั นี้

2.2.1การอา่ นเปน็ เครือ่ งมอื ทส่ี ำคญั ยิ่งในการศกึ ษาเลา่ เรียนทกุ ระดับผู้เรยี น
จำเปน็ ตอ้ งอาศยั ทักษะการอา่ นทำความเขา้ ใจเนื้อหาสาระของวิชาการตา่ งๆ เพือ่ ให้ตนเองไดร้ บั
ความรแู้ ละประสบการณต์ ามที่ต้องการ

2.2.2ในชีวิตประจำวันโดยทั่วไป คนเราต้องอาศัยการอ่านตดิ ต่อสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับบุคคล
อื่นร่วมไปกับทักษะการฟังการพดู การ เขียน ทั้งในด้านกิจส่วนตัวและการประกอบอาชีพการงานต่างๆ ใน
สงั คม

2.2.3 การอ่านสามารถชว่ ยให้บุคคลสามารถนำความรแู้ ละประสบการณ์จากสงิ่ ทอ่ี ่านไปปรบั ปรุงและ
พัฒนาอาชีพหรือธรุ กจิ การงานทีต่ ัวเองกระทำอยใู่ ห้เจริญก้าวหน้าและประสบ
ความสำเร็จไดใ้ นท่ีสดุ

2.2.4การอา่ นสามารถสนองความต้องการพื้นฐานของบคุ คลในด้านต่างๆ ได้เปน็ อยา่ งดี
2.2.5การอ่านทั้งหลายจะส่งเสริมให้บุคคลได้ขยายความรู้และประสบการณ์เพิ่มข้ึนอย่างลึกซ้ึงและ
กว้าขวาง ทำใหเ้ ป็นผรู้ อบรู้เกิดความม่ันใจในการพูดปราศรัยการบรรยายหรืออภิปรายปญั หาต่างๆ นับว่าเป็น
การเพ่ิมบคุ ลิกภาพและความนา่ เชือ่ ถือใหแ้ ก่ตัวเอง
2.2.6การอ่านหนังสือพิมพห์ รือสิ่งพิมพห์ ลายชนิดนับวา่ เป็นกิจกรรมนันทนาการที่น่าสนใจมากเชน่
อ่านหนังสอื พมิ พ์นิตยสารวารสาร นวนิยายการต์ ูน ฯลฯ เปน็ การชว่ ยให้บคุ คลรู้จักใช้
เวลาว่างให้เกิดประโยชนแ์ ละเกิดความเพลิดเพลนิ สนกุ สนานได้เป็นอยา่ งดี
2.2.7การอา่ นเรอ่ื งราวต่างๆ ในอดตี เช่น อ่านศลิ าจารกึ ประวัตศิ าสตรเ์ อกสาร
สำคัญ วรรณคดีฯลฯ จะช่วยให้ อนุชนรุ่นหลังรจ็ ักอนุรักษ์ มรดกทางวฒั นธรรมของคนไทยเอาไวแ้ ละ
สามารถพัฒนาให้เจรญิ รุ่งเรอื งต่อไปได้
สรุปความสำคัญของการอ่านว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญยิ่งในการแสวงหาความรู้การเรียนรู้และพัฒนา
สติปญั ญาของคนในสังคม พัฒนาไปสู่สิ่งทีด่ ที ีส่ ดุ ในชีวติ

3. การเขยี น
สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2550 : ภาคผนวก 2/8) ได้ให้ความหมายการเขยี นว่าหมายถึง

การสอ่ื สารด้วยตวั อักษรเพ่อื ถ่ายทอดความรคู้ วามคดิ อารมณค์ วามรู้สกึ ประสบการณ์
ขา่ วสารและจิตนาการโดยการใช้ภาษาท่ีเหมาะสมตามหลักการใชภ้ าษาและตรงตามเจตนาของ
ผูเ้ ขยี น

สรุปการเขียนสะกดคำ มคี วามสำคัญ ตอ่ การดำรงชวี ิตประจาวันและความเป็นอยู่
ของบคุ คลในปัจจบุ ัน เพราะการเขยี นสะกดคำ ที่ถกู จะชว่ ยให้ผู้เขยี น อา่ นและเขยี นหนังสือได้ถกู ตอ้ ง
ส่อื ความหมายได้แจ่มชดั และมคี วามมั่นใจในการเขียนทำใหผ้ ลงานท่เี ขยี นมคี ุณคา่ เพ่ิมขึ้น นอกจากนี้ยงั อาจจะ
เป็นตัวบง่ ชี้ถงึ คณุ ภาพการศกึ ษาของบุคคลน้ันอีกด้วย
3.1 ปัญหาของการเขียน

การเขยี นสะกดคำเปน็ ปัญหาทส่ี ำคัญของนักเรียนและครูสอนไมต่ รงมาตราตัวสะกดผดิ
เขียนคำทีม่ ตี วั การันต์ผดิ คำ ทส่ี ระเสียงสั้นและเสยี งยาวเขยี นสลับกนั
1. เขยี นคำควบกล้ำ เขียนพยัญชนะบางตัวในคำเบยี ดกัน บางตัวห่างออกไป
2. เขียนคำที่มาจากภาษาตา่ งประเทศผิด
3. เวน้ วรรคตอนย่อหน้าไม่ถูกต้อง
4. ใชค้ ำไมเ่ หมาะสม นำภาษาพูดมาใช้เป็นภาษาเขียน
5. เขยี นคำทใ่ี ช้อักษรยอ่ ไมถ่ กู ต้อง
6. ลำดับความคดิ ในการเขยี นไมไ่ ด้
7. ลายมอื อา่ นยาก
8. ไมม่ คี วามคดิ ในการเขยี น

จากปัญหาท่กี ล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้วา่ ปัญหาทีส่ ำคญั ของการเขยี นสะกดคำผดิ ขน้ึ อยกู่ ับ
ครูผูส้ อนตวั นกั เรยี นเองและวิธีการสอนของครู ดังนน้ั ผู้เก่ียวข้องจึงควรตระหนักถึงปัญหาเหลา่ นั้นเปน็ สำคญั
4.2 ความสำคญั ของการสอนเขยี น

การเขยี นนับว่าเปน็ ส่งิ จำเป็นอย่างยิ่งในการสื่อความหมายอย่างหนึ่งของมนษุ ย์สามารถตรวจสอบได้
และคงทนถาวร ซึ่งมีนกั การศึกษาให้ความหมายไว้ดงั น้ี

เรวดี อาษานาม (2537 : 151) ได้สรุปความสำคัญของการเขียนไว้ดังน้ีคือเด็กที่มีความสามารถใน
การอ่านและประสบความสำเร็จในการเขียนมากจะมจี ินตนาการในการใช้ภาษาได้ดีเพราะได้มีโอกาสเรียนรู้
แนวทางการใช้คำตา่ งๆ จากสำนวนภาษาในหนังสือตา่ งๆทีอ่ า่ นพบ
4.3 จดุ ม่งุ หมายของการเขียน
วรรณี โสมประยูร (วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2549 : 103 ) ได้อธบิ ายจดุ มุ่งหมายการสอนภาษาไทย ดังน้ี
1.เพ่อื คัดลายมอื หรอื เขยี นให้ถูกตอ้ งตามลกั ษณะตวั อักษรใหเ้ ป็นระเบียบชดั เจนหรอื เขาใ้ จง่าย
2. เพอ่ื เปน็ การฝกึ ทักษะการเขียนให้พฒั นางอกงามขึ้นสมควรตามวัย
3. เพือ่ ให้การเขยี นสะกดคำถูกต้องตามอกั ขรวธิ ี เขียนวรรคตอนถกู ต้อง

4. เพอ่ื ใหร้ ู้จักภาษาเขียนทีด่ มี ีคุณภาพเหมาะสมกับบคุ คลและโอกาส
5. เพื่อใหส้ ามารถรวบรวมและลำดบั ความคดิ แล้วจดบนั ทึกสรปุ และย่อใจความเรอื่ งท่ีอ่านหรือฟงั ได้
6. เพอื่ ใหส้ ามารถสงั เกตจดจำและเลือกเฟ้นถอ้ ยคำหรือสำนวนโวหารให้ถูกตอ้ ง
7. เพื่อใหม้ ีทักษะการเขยี นประเภทตา่ งๆ
8. เพ่อื เปน็ การใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์
9.เพ่ือใหเ้ ห็นความสำคัญและคุณค่าของการเขยี นว่ามีประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพการศกึ ษาหาความรู้และ
อืน่ ๆ

4. แบบฝกึ ทักษะ
4.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทักษะ
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ได้สรุปความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ได้วา่

แบบฝึก คอื แบบฝกึ หดั หรือชุดฝึกทคี่ รูจัดให้นกั เรยี นเพื่อใหม้ ที ักษะเพิม่ ขึ้นหลงั จากท่ีได้เรยี นรเู้ รือ่ งนั้นๆมาบ้าง
แล้วโดยแบบฝกึ ตอ้ งมที ิศทางตรงตามจุดประสงค์ประกอบกิจกรรมท่ีน่าสนใจและสนกุ สนาน

ผู้วิจัยได้ศึกษาความหมายและความสำคญั ของแบบฝกึ ทกั ษะ พอสรปุ ได้ว่า แบบฝกึ ทักษะหมายถึง
ชุดฝกึ ทกั ษะท่ีครูสร้างข้นึ ใหน้ ักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพือ่ สร้างความเขา้ใจและช่วยเพ่ิมทักษะ
ความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขน้ึ ทำให้ครูทราบความเขา้ใจของนักเรียนท่มี ีตอ่ บทเรียน ฝึก
ให้เดก็ มคี วามเชอื่ ม่ันและสามารถประเมนิ ผลของตนเองได้ทั้งยงั มีประโยชนช์ ว่ ยลดภาระการสอนของครูและยัง
ชว่ ยพฒั นาตามความแตกตา่ ง

4.2 ลักษณะของแบบฝกึ ทีด่ ี
แบบฝึกเป็นเคร่ืองมอื ท่สี ำคัญทจ่ี ะช่วยเสรมิ สร้างทักษะให้แก่ผเู้ รยี น การสรา้ งแบบฝกึ ให้มี
ประสทิ ธภิ าพจึงจำเปน็ จะต้องอาศยั องคป์ ระกอบและลักษณะของแบบฝึกเพือ่ ใช้ใหเ้ หมาะสม กบั ระดับ
ความสามารถของนกั เรยี น
วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ไดอ้ ธบิ ายถึงลักษณะของแบบฝึกท่ีดี คอื ควรมีความ
หลากหลายรูปแบบ เพอื่ ไมใ่ ห้เกดิ ความเบือ่ หน่ายและต้องมลี ักษณะทจ่ี ูงใจ
ได้คิดพจิ ารณาไดศ้ กึ ษาค้นคว้าจนเกดิ ความรู้ความเข้าใจทกั ษะแบบฝกึ ควรมีภาพดึงดูดความสนใจเหมาะสม
กบั วยั ของผู้เรียนตรงกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้มีเนื้อหาเหมาะสม
สรุปลักษณะของแบบฝกึ ทด่ี เี ป็นแบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ชว่ ยทำใหน้ กั เรยี นประสบ
ความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดีเปรยี บเสมอื นผ้ชู ่วยทสี่ ำคัญของครทู ำให้ครูลด
ภาระการสอนลงได้ทำใหผ้ เู้ รียนพฒั นาความสามารถของตนเพ่อื ความม่ันใจในการเรยี นได้เปน็ อย่างดี
4.3 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ
สวุ ทิ ย์ มลู คำ และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53 - 54) ได้สรปุ ประโยชน์

ของแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้
1. ทำใหเ้ ข้าใจบทเรียนดีขนึ้ เพราะเปน็ เคร่อื งอำนวยประโยชนใ์ นการเรียนรู้
2. ทำใหค้ รูทราบความเขาใ้ จของนักเรยี นทม่ี ตี ่อบทเรยี น
3. ฝึกใหเ้ ดก็ มคี วามเชือ่ มัน่ และสามารถประเมินผลของตนเองได้
4. ฝกึ ใหเ้ ดก็ ทำงานตามลำพงั โดยมีความรบั ผดิ ชอบในงานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย
5. ชว่ ยลดภาระครู
6. ช่วยให้เดก็ ฝึกฝนไดอ้ ยา่ งเต็มที่
7. ชว่ ยพัฒนาตามความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล
8. ช่วยเสรมิ ให้ทักษะคงทน ซ่ึงลกั ษณะการฝึกเพอ่ื ชว่ ยใหเ้ กดิ ผลดงั กล่าวน้ันได้แก่

8.1 ฝึกทนั ทีหลงั จากทเี่ ดก็ ไดเ้ รยี นรใู้ นเร่อื งน้ันๆ
8.2 ฝกึ ซ้ำหลายๆคร้ัง
8.3 เน้นเฉพาะในเรอ่ื งท่ผี ิด
9. เปน็ เครือ่ งมอื วัดผลการเรยี นหลงจั ากจบบทเรยี นในแต่ละคร้ัง
10. ใชเ้ ป็นแนวทางเพือ่ ทบทวนด้วยตนเอง
11. ชว่ ยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรอื ปญั หาต่างๆของเดก็ ได้ชัดเจน
12. ประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายแรงงานและเวลาของครู
สรปุ ได้วา่ แบบฝกึ มีความสำคญั และจำเปน็ ตอ่ การเรยี นทักษะทางภาษามากเพราะจะช่วยให้
ผูเ้ รยี นเข้าใจบทเรียนได้ดขี ึน้ สามารถจดจำเน้ือหาในบทเรียนและคำศัพท์ตา่ งๆได้คงทน ทำใหเ้ กิดความ
สนุกสนาน ในขณะเรยี นทราบความก้าวหน้าของตนเองและครูมองเห็นจดุ เด่นหรอื ปญั หาตา่ งๆ ของเดก็ ได้
ชัดเจน สามารถนำแบบฝึกทกั ษะมาทบทวนเนื้อหาเดิมดว้ ยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพรอ่ งของ
นักเรยี นและนำไปปรบั ปรงุ ได้ทนั ทว่ งที ซ่ึงจะมีผลทำใหค้ รูประหยดั เวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย
4.4 หลักการสรา้ งแบบฝกึ
สุวทิ ย์ มลู คำ และสนุ นั ทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้สรปุ หลกั ในการสร้างแบบฝกึ ว่าต้องมี
การกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทกุ คนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของทุกหน่วยการเรียน ทำให้นักเรียน
ประสบความสำเร็จมากขนึ้

บทท่ี 3

วิธีดำเนินการ

การวิจยั ในครัง้ น้ผี ู้วิจยั ได้ดำเนินการรายงานการพฒั นาทักษะการอ่านและเขยี นคำ
พ้ืนฐานภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทกั ษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2 ปี การศึกษา 2564 ซ่ึงสรปุ ได้
ดังนี้

1. ประชากรและกลุม่ ตัวอยา่ ง
2. เครือ่ งมอื ทีใ่ ช้ในการศกึ ษา
3. แบบแผนการทดลอง และขน้ ั ตอนการทดลอง
4. การสร้างและการหาคุณภาพเครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการศึกษา
5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
6. สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูล

1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
1.กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปี

การศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านสอยดาว จำนวน 18 คนซึ่งได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง(Purposive
Sampling)

2. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ยั
2.1 แบบฝึกทักษะทักษะการอ่านและการเขียนคา มาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัย

สรา้ งขนึ้ เพื่อใชฝ้ กึ ปฎิบัติด้านการอ่านและการเขียน จำนวน 3 แบบฝึก
2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ดิ ้านการอา่ นและการเขยี นคำมาตราตัวสะกด ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2

3. ขนั้ ตอนการดำเนนิ การ
การดำเนินการวิจัยในครง้ั นีไ้ ดด้ ำเนินการจัดกจิ กรรมการเรียนรเู้ รือ่ งการพัฒนาทักษะ

การอา่ นและเขยี นคำมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝึกทักษะของนกัเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 2 ภาคเรียนท่ี2
ปีการศึกษา 2564 โดยมลี ำดบั ขน้ั ตอนการดำเนินการ ดังนี้

1. ทดสอบกอ่ นเรียน (Pre-test ) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ือง การอา่ น
และเขยี นคำมาตราตวั สะกดทสี่ รา้ งข้ึน จำนวน 10 ขอ้

2. ดำเนินการจัดกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแผนการจัดการเรยี นรู้ ระหว่างการจัดกจิ กรรมการ
เรยี นการสอนได้บันทึกคะแนนการทำกิจกรรมกลมุ่ และการทำแบบฝกึ ทักษะ

3.เม่อื ดำเนนิ การสอนครบทกุ แผนแล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test)

4. การสร้างและการหาคณุ ภาพเคร่ืองมือ
ผู้วิจัย ไดด้ ำเนินการสร้างเครือ่ งมือในการศกึ ษาตามลำดบั ดงั นี้
1.การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกดชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2

ผวู้ ิจยั ได้ดำเนนิ การสรา้ งเครื่องมือในการวิจัย ดังน้ี
1.1ศึกษาหลกั สูตรค้นควา้ ข้อมูล คูม่ อื การจดั การเรียนรู้
1.2ศกึ ษาการสรา้ งแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้

ภาษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 2
1.3 ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกด สาระการเรียนรู้

ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 2 จำนวน 3 ชดุ
2. การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เร่ือง การอา่ นและการเขียนคา มาตราตัวสะกด

ชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี2 โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ ผรู้ ายงานได้ดำเนินการสรา้ งตามลำดบั ดังน้ี
2.1 ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎีหลักเกณฑ์และวธิ ีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

แบบอิงเกณฑ์ของบุญชม ศรสี ะอาด (2545 : 89-90)
2.2 ศกึ ษาหลักสูตรคมู่ ือการวดผั ลและประเมินผลตามหลักสูตรโรงเรยี นชุมชนบ้านหัวขัว

พุทธศกั ราช 2552 ตามหลกสั ูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
2.3 กำหนดเนื้อหาและกำหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้ให้สอดคลอ้ งกบั เนื้อหาสาระ
2.4 สรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน

บทท่ี 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล

การพัฒนาทักษะการอา่ นและเขียนคำมาตราตวั สะกด โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2
ผวู้ ิจัยได้เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ตามลำดับข้นั ดังนี้

1. ลำดบั ข้ันในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
2. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู

1. ลำดบั ขน้ั ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
ในการวิเคราะหข์ ้อมูลผรู้ ายงานได้ดำเนินการตามลำดับขนั้ ตอน ดังน้ี

ตอนที่ 1 วเิ คราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขยี นคำมาตรา
ตวั สะกด กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 2 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 75/75

ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนคำมาตราตัว
ตัวสะกดคำกอ่ นเรียนและหลังเรียน โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ

2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ตอนท่ี 1 การหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะการอ่านและการเขยี นคา มาตราตวั สะกด กลุ่มสาระ

การเรียนรูภ้ าษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 75/75 ปรากฏผลดังตารางท่ี 2

ตารางท่ี 2 คะแนนเฉล่ยี และรอ้ ยละ เพอ่ื หาประสิทธภิ าพของแบบฝึกทักษะการอา่ นและเขยี นคำ

มาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 2

แบบฝกึ ทกั ษะ คะแนนเตม็ ค่าเฉลี่ย รอ้ ยละ

ชุดที่ 1 10 7.27 72.7

ชดุ ที่ 2 10 7.5 75

ชดุ ท่ี 3 10 7.8 78

รวม 30 22.59 75.30

จากตารางที่ 2 แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและเขียนคำมาตราตัวสะกดภาษาไทย ของนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี
2 จำนวน 3 แบบฝึก มีคะแนนเฉลี่ย22.59 คิดเป็นร้อยละ 75.30 ดังนั้น แบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นมี
ประสทิ ธภิ าพเป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 75/75 ที่ตงั้ ไว้

ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาความแตกต่างระหว่างคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลการวิเคราะห์
ข้อมลู ปรากฏดงั ในตารางที่ 3 ดังน้ี

ตารางแสดงคะแนนเฉลีย่ และค่าร้อยละของคะแนนแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน

คะแนน จำนวน คะแนนเตม็ คะแนนรวม คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ
นกั เรยี น
ก่อนเรียน 10 330 7.50 75.0
หลังเรยี น 18 10 361 8.25 8.25
18

บทที่ 5

สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ

งานวิจัยในคร้ังนี้ ผวู้ ิจัยได้พฒั นาทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกด โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ
ภาษาไทย ของนกัเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ซง่ึ สรุปไดด้ ังน้ี

1. วัตถุประสงค์ของการวิจยั
2. ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง
3. สรุปผลการวิจัย
4. อภปิ รายผล
5. ขอ้ เสนอแนะ

1. วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
1.1 เพอื่ พัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นและความสามารถในการอ่านและเขยี นคำมาตราตัวสะกด

ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปที ่ี 2
1.2 เพอ่ื พฒั นาแบบฝึกทกั ษะสาระภาษาไทย ใหม้ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75

2. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
2.1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านสอยดาว

ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 18 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง
(Purposive Sampling)

3. สรุปผลการวิจยั
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นและความสามารถในการอา่ นและเขยี นคำมาตราตัวสะกด ของ

นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 มีประสิทธภิ าพ 82.5/ 75 ซง่ึ สูงกวา่ เกณฑ์75/75 ท่ีต้ังไว้

4. อภิปรายผล
จากการวิจัยผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำ มาตรา

ตัวสะกดของนกเั รยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 นำมาอภิปรายผล ดงั นี้
4.1 แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นและการเขียนสะกดคา มาตราตัวสะกด ช้ันประถมศึกษาปีท่ี2 ท่ี

ผ้วู ิจยั สรา้ งข้ึนจำนวน 3 แบบฝกึ มปี ระสทิ ธิภาพ 82.5/ 75หมายถงึ นักเรยี นไดค้ ะแนนเฉล่ยี จากการทำแบบ
ฝกึ ทกั ษะการอ่านและการเขียนคำ มาตราตัวสะกด ท้ัง 3 แบบฝกึ คดิ เป็นรอ้ ยละ 75.30 และไดค้ ะแนนเฉลี่ย

จากการทำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอา่ นและการเขียน คิดเปน็ รอ้ ยละ 82.5แสดงว่า
การจดั กจิ กรรมพัฒนาทักษะการอา่ นและการเขียนคำ มาตราตัวสะกด ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 2 โดยใชแ้ บบฝกึ
ทักษะ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพสงู กว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ตั้งไว้อาจเนื่องมาจากการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะที่นำไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งแบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนเข้าใจ
เน้ือหาได้ดขี ้นึ จดจำความรูไ้ ด้คงทน รวมทั้งพัฒนาความรทู้ ักษะและเจตคตดิ ้านต่าง ๆ ของนกั เรียนให้ดีย่ิงข้ึน
ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจยั ของ พนมวัน วรดลย(์ 2542 : บทคดัยอ่ ) ได้ศกึ ษาการสร้างแบบฝกึ ทักษะการเขียนคำ
มาตราตัวสะกด ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด
มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 87.74/82.11 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นมีนัยสำคัญทางสถิติ
ท่รี ะดับ .01

5. ข้อเสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้
1.การเลอื กเน้ือหาท่นี ำมาจัดกิจกรรมการเรียนรเู้ ปน็ ส่งิ สำคัญ ควรคำนงึ ถงึ ความเหมาะสมของเพศวัย

และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเนื้อหาใดที่นักเรียนสนใจนักเรียนจะเกิดความ
กระตอื รอื รน้ การเรียนรเู้ พ่มิ มากข้ึน

2.ในระหว่างการดำเนนิ การจดกั จิ กรรมครูควรสงั เกตพฤติกรรมนักเรียนทม่ี ีการเรียนรูช้ ้า หรือต้องการ
ความช่วยเหลอื ควรใช้ การเสริมแรงกระต้นุ ให้นักเรียนสนใจ หรืออธิบายให้เขา้ ใจชดั เจนอีกคร้ัง

ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครง้ั ต่อไป
1.ควรมีการนำแบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นไปทดลองใช้กับนักเรียนโรงเรียนอื่นเพื่อจะได้-อสรุปผลการ

วจิ ยั ท่กี ว้างมากขึ้น
2. ควรมกี ารสร้างแบบฝึกทักษะในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในเน้ือหาที่นกั เรยี นสนใจและอยาก

เรยี นรูแ้ ละสร้างในรูปแบบต่างๆ เพ่ือให้นกั เรียนหนั มาสนใจและอยากเรยี นรู้

บรรณานุกรม

กรมวชิ าการ. คู่มือการจดั การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : องค์การรับส่งสนิ ค้า
และพัสดภุ ัณฑ์. 2544.
----------. คู่มือแนวการจดั กจิกรรมการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลกสั ตู ร
การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว, 2546.

กรรณกิ าร์ พวงเกษม. ปญั หาและกลวิธกี ารสอนภาษาไทยในโรงเรยี นประถม. พิมพ์ครั้งที่1.
กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ , 2533.

กระทรวงศกึ ษาธิการ. กรมวิชาการ. หลกัสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551.
กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.

ฉวีลกั ษณ์ บุญกาญจน. จิตวิทยาการอา่ น. กรงุ เทพฯ : บริษัท 21 เซน็ จรู จี่ ำกัด, 2547.
ถวลั ย์ มาศจรสั และคณะ. แบบฝกึ หัด แบบฝกึ ทักษะเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู้ผ้เู รียนและการจัดทำ


Click to View FlipBook Version