The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรการเพาะยางนาและขยายพันธุ์พืช 36 ชม.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by fishing.sitt, 2020-06-20 09:03:41

หลักสูตรการเพาะยางนาและขยายพันธุ์พืช 36 ชม.

หลักสูตรการเพาะยางนาและขยายพันธุ์พืช 36 ชม.

หลักสูตรสถานศึกษา หลักสตู รการเพาะและการขยายพันธุ์พชื
จานวน 36 ช่วั โมง

โดย นายชสู ทิ ธิ์ หว่ งไธสง
ครู กศน.ตาบล

ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอกาบเชิง
สานกั งานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จังหวัดสรุ นิ ทร์

คานา

ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอกาบเชิง เป็นสถานศึกษาสังกัดสานักงาน
ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้ดาเนินการจัดกิจกรรมเพื่อเป็น
ประโยชน์และเป็นการพัฒนาผู้เรียน จนเป็นเอกลักษณ์ของสถานศึกษาคือ “ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียง”เพ่ือการ
พัฒนาแก่ผู้เรยี นและการพฒั นาสู่สงั คม และประเทศชาตติ ่อไป

หลกั สูตรสถานศึกษา หลกั สูตรการเพาะยางนาและการขยายพันธุ์พืช จานวน 36 ช่ัวโมง เป็นหลักสูตรท่ี
รวบรวมเทคนิคและวิธีการในการขยายพันธุ์พืชเพื่อใช้ในการศึกษาค้นคว้า แก่นักศึกษาและประชาชนผู้สนใจท่ัวไป
ผจู้ ดั ทาหวงั เปน็ อย่างยง่ิ ว่าหลักสตู รนี้ จะนาความรสู้ ่ผู ู้สนใจต่อไป

นายชูสทิ ธิ์ ห่วงไธสง
ครู กศน.ตาบล ผูจ้ ัดทา
ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอกาบเชิง

สารบญั หนา้

คานา
สารบัญ
ความเปน็ มา
บทที่ ๑ การเพาะยางนา
บทที่ ๒ การขยายพันธพุ์ ืชดว้ ยวธิ กี ารตอนกิง่

การขยายพนั ธุ์พืชด้วยวธิ กี ารตอนกิ่งแบบที่ 1
การขยายพันธพ์ุ ชื ดว้ ยวธิ ีการตอนกิ่งแบบที่ 2
การขยายพนั ธุ์พืชดว้ ยวิธกี ารตอนกงิ่ แบบท่ี 3
การขยายพนั ธ์ุพืชด้วยวิธกี ารตอนกิ่งแบบที่ 4
การขยายพันธุ์พชื ด้วยวิธกี ารตอนกงิ่ แบบท่ี 5
การขยายพนั ธพ์ุ ชื ด้วยวธิ ีการตอนก่งิ แบบที่ 6
บทท่ี ๓ การขยายพนั ธ์พุ ืชด้วยวิธีการทาบกิ่งและการเสียบยอด
วิธีการทาบกิ่งแบบประกบั
วิธีการทาบก่ิงแบบเสยี บ
การปฏบิ ตั ิดูแลหลังจากทาการทาบกิ่ง
วธิ ีการตดั กิ่งทาบ
การชากิ่งทาบ
การเสียบยอด
วธิ ีการเสียบยอด
บทท่ี ๔ การขยายพันธ์พุ ืชดว้ ยวธิ ีการติดตา
ขัน้ ตอนการตดิ ตา
บทท่ี ๕ การขยายพนั ธุ์พชื ด้วยวิธีการชา
วธิ ีการชา
บทที่ ๖ การขยายพนั ธุ์พชื ดว้ ยวธิ ีการเพาะเมล็ด
การเพาะเมล็ดท่ีนิยมปฏิบตั ิ
บรรณานุกรม

หลกั สตู รการเพาะยางนาและการขยายพนั ธพ์ุ ืช จานวน ๓๖ ช่ัวโมง
กลมุ่ อาชพี เกษตรกรรม

ความเป็นมา
การจัดการศึกษาอาชีพในปัจจุบันมีความสาคัญมาก เพราะจะเป็นการพัฒนาประชากรของประเทศให้ มี

ความรู้ ความสามารถและทกั ษะในการประกอบอาชีพ เป็นการแกป้ ัญหาการว่างงานและส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่
เศรษฐกิจชุมชน ซ่ึงกระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดยุทธศาสตร์ 2555 ภายใต้กรอบเวลา 2 ปี ท่ีจะพัฒนา 5
ศักยภาพของพ้ืนที่ใน 5 กลุ่มอาชีพใหม่ ให้สามารถแข่งขันได้ใน 5 ภูมิภาคหลักของโลก “รู้เขา รู้เรา เท่าทัน เพ่ือ
แข่งขันได้ในเวทีโลก” ตลอดจนกาหนดภารกิจท่ีจะยกระดับการจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความ
สามารถใหป้ ระชาชนไดม้ ีอาชีพทสี่ ามารถสรา้ งรายได้ ทมี่ ่ันคง โดยเนน้ การบูรณาการให้สอดคล้องกับศักยภาพด้าน
ต่างๆ มงุ่ พัฒนาคนไทยใหไ้ ดร้ บั การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชพี และการมีงานทาอย่างมี คุณภาพ ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
ประชาชนมรี ายไดม้ ัน่ คง มัง่ คั่ง และมีงานทาอย่างยั่งยืน มีความสามารถเชิงการแข่งขันทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียน
และระดับสากล ซ่ึงจะเป็นการจัดการศึกษาตลอดชีวิตในรูปแบบใหม่ที่สร้างความม่ันคงให้แก่ ประชาชนและ
ประเทศชาต.ิ

สภาพสังคมปัจจุบันมนุษย์เราได้รับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงในด้านต่างๆ เช่นด้านเศรษฐกิจ
การเมอื ง สังคมและส่ิงแวดล้อมเปน็ อย่างมาก ประชากรมนุษย์เพิ่มข้ึนเรื่อยๆ แต่ทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้ไปอย่าง
รวดเร็ว และไม่เพียงพอกับจานวนประชากรท่ีเพิ่มข้ึนทุกมุมโลก มนุษย์จึงประสบปัญหาต่างๆตามมามากมาย
โดยเฉพาะด้านการดารงชพี และชีวติ ความเป็นอยขู่ องประชาชน นอกจากจะมีการประกอบอาชีพเพื่อเป็นการเล้ียง
ตัวเองและครอบครวั แล้ว ยังมีส่ิงท่ีถือวา่ เป็นภาระหนักคืออาหารเพื่อบริโภคประจาวัน จึงจาเป็นอย่างย่ิงท่ีมนุษย์
เราจะตอ้ งสร้างข้นึ หรือหามาทดแทนโดยวิธกี ารตา่ งๆ เพ่อื การอยู่รอด

ดังนนั้ การแนะนาหรอื ส่งเสรมิ ให้ประชาชน สามารถเพ่ิมรายได้ให้กับตนเอง โดยการเป็นผู้ผลิตย่อมเป็นส่ิง
สาคัญ ศูนย์ กศน.อาเภอกาบเชิง มองเห็นศักยภาพท่ีสาคัญในพ้ืนที่ จึงได้ส่งเสริมความรู้ต่อยอดความสมารถของ
ประชาชนในพ้ืนที่ โดยการสง่ เสรมิ การขยายพนั ธ์ุพืชขนึ้ เพอ่ื เสรมิ รายได้และพัฒนาอาชีพตอ่ ไป

หลักการของหลกั สตู ร
1. เป็นหลักสตู รท่เี น้นการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพเน้นการบูรณาการเน้ือหาสาระภาคทฤษฎีควบคู่
ไปกับการฝึกปฏิบัติจริง ผู้เรียนสามารถนาความรู้และทักษะไปประกอบอาชีพได้จริงอย่างมีคุณภาพ
และมคี ุณธรรมจริยธรรม
2. เป็นหลักสูตรทเี่ นน้ การดาเนนิ งานร่วมกับเครือขา่ ย เพ่ือประโยชน์ในการประกอบอาชีพและการศกึ ษา
ดงู าน
3. เปน็ หลกั สตู รท่ีเนน้ การใชศ้ ักยภาพ 5 ด้านในการประกอบอาชพี ได้แก่ ศักยภาพด้านทรพั ยากร
ภมู อิ ากาศ ภมู ิประเทศและทาเลท่ีต้ัง ศลิ ปวฒั นธรรมประเพณีและวิถชี ีวติ และด้านทรัพยากรมนุษย์
4. ส่งเสรมิ การใชแ้ หลง่ เรยี นรู้

จดุ หมาย
เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นมคี ุณลักษณะดังนี้
1. มคี วามรแู้ ละทกั ษะในการประกอบอาชพี สามารถสรา้ งรายได้ทีม่ ่นั คง มั่งคง่ั
2. ตดั สนิ ใจประกอบอาชพี ให้สอดคลอ้ งกับศกั ยภาพของตนเอง ชมุ ชน สังคม และสง่ิ แวดลอ้ มอย่างมี
คุณธรรมจรยิ ธรรม

3. มเี จตคตทิ ด่ี ีในการประกอบอาชีพ
4. มีความรูค้ วามเข้าใจและฝึกทักษะการบริหารจดั การในอาชีพได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
5. มโี ครงการประกอบอาชพี เพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาอาชีพของตนเอง

กลุม่ เปา้ หมาย 2. ผทู้ ม่ี อี าชีพและต้องการพัฒนาอาชพี

มี 2 กล่มุ เป้าหมาย คือ
1. ผ้ทู ีไ่ ม่มอี าชพี

ระยะเวลา ๑๒ ช่ัวโมง ภาคปฏิบตั ิ ๒๔ ชัว่ โมง
ภาคทฤษฎี ๓๖ ชว่ั โมง

รวมจานวน

โครงสร้างหลกั สูตร

๑.การเพาะยางนา
ทฤษฎี จานวน ๓ ชั่วโมง
ปฏิบตั ิ จานวน ๓ ช่ัวโมง
(รวมปฏิบตั ิ จานวน ๖ ชั่วโมง)

๒.การขยายพนั ธพุ์ ืชดว้ ยวธิ กี ารตอนกง่ิ
ทฤษฎี จานวน ๒ ช่ัวโมง
ปฏิบัติ จานวน ๔ ชัว่ โมง
(รวมปฏบิ ตั ิ จานวน ๖ ชวั่ โมง)

๓.การขยายพันธพุ์ ืชด้วยวธิ ีการตอนทาบก่งิ เสยี บยอด ของพชื ชนดิ ต่างๆ
ทฤษฎี จานวน ๒ ชั่วโมง
ปฏิบตั ิ จานวน ๔ ช่ัวโมง
(รวมปฏิบตั ิ จานวน ๖ ชั่วโมง)

๔.การขยายพนั ธุ์พืชดว้ ยวธิ ีการติดตา ของพชื ชนิดต่างๆ
ทฤษฎี จานวน ๒ ชวั่ โมง
ปฏิบตั ิ จานวน ๔ ช่ัวโมง
(รวมปฏบิ ัติ จานวน ๖ ชัว่ โมง)

๕.การขยายพันธุพ์ ืชดว้ ยวิธีการชา ของพืชชนิดต่างๆ
ทฤษฎี จานวน ๒ ช่ัวโมง
ปฏิบัติ จานวน ๔ ชว่ั โมง
(รวมปฏบิ ตั ิ จานวน ๖ ชวั่ โมง)

๖.การขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีการเพาะเมลด็ ของพืชชนิดตา่ งๆ
ทฤษฎี จานวน ๑ ชวั่ โมง
ปฏิบัติ จานวน ๕ ช่วั โมง
(รวมปฏิบัติ จานวน ๖ ชว่ั โมง)

การจัดกระบวนการเรยี นรู้
1. การบรรยาย
2. การสาธติ ทดลอง
3. การศึกษาดูงาน
4. การวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะหบ์ ทเรยี น
5. การฝกึ ปฏิบัติ

ส่อื การเรียนรู้
1. ศึกษาจากเอกสาร / ใบความรู้
2. ศกึ ษาจากแหลง่ เรยี นรใู้ นชุมชน / วทิ ยากร / ภมู ิปัญญาท้องถนิ่

การวดั และประเมนิ ผล
1. การประเมนิ ความรู้ภาคทฤษฎีระหว่างเรียนและจบหลกั สูตร
2. การประเมนิ ผลระหว่างเรียนจากการปฏิบัติงานท่ีมีคณุ ภาพเพียงพอ สามารถสร้างรายได้ใหก้ บั ตนเอง
ความสาเรจ็ ของการปฏบิ ตั ิและจบหลกั สตู ร

การจบหลักสตู ร
1. มีเวลาเรียนและฝึกปฏิบตั ิตามหลกั สูตรไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ 80
2. มผี ลการประเมนิ ผา่ นตลอดหลกั สตู ร ไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 60
3. มผี ลงานผ่านการประเมนิ ทดสอบท่ีมีคณุ ภาพตามหลักเกณฑ์การขยายพันธ์ุพชื

เอกสารหลกั ฐานการศึกษา
1. หลกั ฐานการประเมนิ ผล
2. วฒุ ิบตั รออกโดยศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอ / เขต
3. ทะเบียนคุมวฒุ บิ ตั ร

การเทียบโอน
ผูเ้ รยี นท่ีจบหลกั สตู รนส้ี ามารถนาไปเทยี บโอนผลการเรยี นร้กู ับหลกั สตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั

พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ในสาระการประกอบอาชพี รายวิชาเลือกทส่ี ถานศึกษาไดจ้ ัดทาขนึ้ ในระดับใดระดบั หนง่ึ



รายละเอยี ด โคร
หลกั สตู รการเพาะยางนาและการขยายพันธุ์พืช

เรอ่ื ง จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เนอ้ื หา

เรอ่ื งท่ี ๑ การเพาะ 1.ผูเ้ รยี นทราบถึงขั้นตอนการ 1.1 การคัดเลือกลกู ยางนา
ยางนา ขยายพันธ์ยุ างนา โดยการเพาะ 1.2 การเพาะลูกยางนา

เมล็ด

รงสร้างหลักสูตร จานวนชวั่ โมง
ประกอบด้วยเนื้อหา 6 เร่อื ง จานวน ๓๖ ชั่วโมง ดังน้ี ทฤษฎี ปฏิบัติ

กิจกรรม ๓๓

1.ทฤษฎี ทฤษฎีขั้นตอนการขยายพนั ธยุ์ างนา โดยการ
เพาะเมลด็
2.ปฏบิ ตั ิ ข้นั ตอนการเพาะยางนา

เรอ่ื ง จุดประสงค์การเรียนรู้ เนอ้ื หา

เร่ืองที่ ๒ การ 1.ผู้เรยี นทราบถงึ ข้ันตอนการ 1.1 ทฤษฎีการขยายพันธพุ์ ืช
ขยายพันธ์ุพชื ดว้ ย ขยายพนั ธ์พุ ชื ดว้ ยวธิ ีการตอนกิ่ง ตอนกิ่ง แบบท่ี 1
วิธีการตอนกิ่ง ของ 2.ผู้เรียนสามารถตอนกิ่ง ของพชื 1.2 ทฤษฎีการขยายพนั ธุพ์ ชื
พืชชนดิ ตา่ ง ๆ ชนดิ ต่าง ๆ ตอนก่ิง แบบที่ 2
เช่น มะนาว ฝรัง่ 1.3 ปฏิบตั ิการขยายพนั ธพุ์ ืช
(จานวน ๓ ชั่วโมง) ตอนกิ่ง แบบที่ 1
1.4 ปฏบิ ัตกิ ารขยายพันธพุ์ ชื
๒.1 ทฤษฎกี าร ตอนกงิ่ แบบ2
ขยายพันธุ์พชื ดว้ ย
วิธกี ารตอนกิ่ง แบบ
ที่ 1

๒.2 ทฤษฎกี าร
ขยายพันธ์พุ ืชด้วย
วธิ ีการตอนกิ่ง แบบ
ที่ 2

๒.3 ปฏบิ ตั ิการ
ขยายพนั ธุ์พืชด้วย
วธิ ีการตอนกง่ิ แบบ
ท่ี 1

๒.4 ปฏิบตั กิ าร
ขยายพนั ธพ์ุ ชื ดว้ ย
วธิ ีการตอนกิ่งแบบ

กิจกรรม จานวนชว่ั โมง
ทฤษฎี ปฏบิ ัติ
ชด้วยวิธกี าร 1.ทฤษฎี ทฤษฎีการขยายพันธพุ์ ชื ด้วยวิธกี ารตอนกง่ิ
ชด้วยวิธีการ แบบที่ 1 / แบบที่ 2 ๒๔
ชดว้ ยวธิ กี าร
2.ปฏบิ ัติ การขยายพนั ธ์พุ ืชด้วยวิธกี ารตอนกงิ่ แบบท่ี
1 / แบบท่ี 2 ด้วยตนเอง

ชดว้ ยวธิ กี าร

เรอ่ื ง จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหา

เรื่องที่ ๓ การ 1.ผเู้ รยี นทราบถงึ ขน้ั ตอนการ 2.1 ทฤษฎกี ารขยายพันธ์พุ ชื
ขยายพันธพ์ุ ชื ด้วย ขยายพันธพ์ุ ืชดว้ ยวิธีการทาบก่ิง ทาบกง่ิ
วธิ ีการตอนทาบกิ่ง เสียบยอด 2.2 ทฤษฎีการขยายพันธุ์พชื
เสยี บยอด
เสยี บยอด ของพชื 2.ผู้เรยี นสามารถทาบก่งิ เสียบ 2.3 ปฏิบัติการขยายพนั ธุพ์ ืช
ชนดิ ตา่ งๆ เชน่ ยอดของพชื ชนดิ ตา่ ง ๆ ทาบกิ่ง
2.4 ปฏบิ ัติการขยายพนั ธ์พุ ืช
มะมว่ ง ชวนชม เสียบยอด
(จานวน ๓ ชวั่ โมง)

๓.1 ทฤษฎีการ

ขยายพันธ์ุพืชด้วย
วิธีการทาบก่ิง

๓.2 ทฤษฎกี าร
ขยายพนั ธพุ์ ืชดว้ ย
วิธีการเสียบยอด

๓.3 ปฏิบตั ิการ
ขยายพันธุ์พืชด้วย

วิธีการทาบก่งิ
๓.4 ปฏบิ ตั กิ าร

ขยายพนั ธพ์ุ ืชดว้ ย
วธิ กี ารเสียบยอด

กิจกรรม จานวนช่ัวโมง
ทฤษฎี ปฏิบตั ิ
ชดว้ ยวธิ กี าร 1.ทฤษฎี ทฤษฎกี ารขยายพันธพุ์ ชื ดว้ ยวิธกี ารทาบกง่ิ
ชดว้ ยวิธีการ เสยี บยอด 2๔
ชดว้ ยวิธกี าร 2.ปฏิบตั ิ การขยายพันธพ์ุ ชื ดว้ ยวิธกี ารทาบกิง่ เสยี บ

ยอด ด้วยตนเอง

ชด้วยวธิ ีการ

เร่อื ง จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา

เรื่องที่ ๔ 1.ผเู้ รียนทราบถงึ ข้ันตอนการ 3.1 ทฤษฎีการขยายพนั ธพุ์ ชื
จัดกระบวนการ ขยายพนั ธ์พุ ชื ดว้ ยวิธกี ารติดตา ติดตา
เรยี นรู้ การ 2.ผ้เู รยี นสามารถติดตา ของพชื 3.2 ปฏิบตั ิการขยายพันธ์พุ ืช
ขยายพันธุพ์ ืชด้วย ชนดิ ตา่ ง ๆ ติดตา
วธิ กี ารตดิ ตา ของ
พืชต่างชนิด เช่น
มะม่วง ส้มโอ
(จานวน ๓ ชว่ั โมง)
๔.1 ทฤษฎีการ
ขยายพนั ธุพ์ ชื ด้วย
วธิ ีการติดตา
๔.2 ปฏบิ ตั กิ าร
ขยายพันธพ์ุ ชื ด้วย
วธิ ีการติดตา

กจิ กรรม จานวนชวั่ โมง
ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ
ชด้วยวธิ ีการ 1.ทฤษฎี ทฤษฎกี ารขยายพนั ธพุ์ ืชด้วยวธิ กี ารติดตา
2.ปฏิบัติ การขยายพนั ธุ์พชื ดว้ ยวธิ ีการตดิ ตา ด้วย 24

ชดว้ ยวธิ ีการ ตนเอง

เรื่อง จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เนอ้ื หา

เรือ่ งท่ี ๕ 1.ผู้เรียนทราบถงึ ขน้ั ตอนการ 4.1 ทฤษฎกี ารขยายพันธุ์พชื
จัดกระบวนการ ขยายพนั ธพุ์ ืชด้วยวิธกี ารชา การชา
เรียนรู้ การ 2.ผเู้ รียนสามารถชา ของพืชชนิด 4.2 ปฏิบัตกิ ารขยายพนั ธุพ์ ืช
ขยายพนั ธพุ์ ชื ด้วย ตา่ ง ๆ การชา
วิธกี ารชา
๕.1 ทฤษฎีการ
ขยายพนั ธพุ์ ืชดว้ ย
วิธีการ
๕.2 ปฏิบัติการ
ขยายพันธพุ์ ืชด้วย
วธิ ีการติดตา

ชดว้ ยวธิ ี กจิ กรรม จานวนชว่ั โมง
ชดว้ ยวธิ ี ทฤษฎี ปฏิบตั ิ
1.ทฤษฎี ทฤษฎกี ารขยายพันธพ์ุ ชื ด้วยวิธีการชา
2.ปฏบิ ตั ิ การขยายพนั ธุ์พืชดว้ ยวิธกี ารชา ดว้ ยตนเอง 24

เรือ่ ง จุดประสงค์การเรียนรู้ เนอ้ื หา

เร่ืองท่ี ๖ 1.ผู้เรยี นทราบถึงขั้นตอนการ 5.1 ทฤษฎีการขยายพนั ธพ์ุ ชื

จัดกระบวนการ ขยายพันธพุ์ ืชด้วยวธิ กี ารเพาะเมล็ด เพาะเมลด็

เรียนรู้การขยายพนั ธุ์ 2.ผู้เรียนสามารถเพาะเมลด็ ของ 5.2 ปฏบิ ัติการขยายพนั ธพ์ุ ชื

พชื ด้วยวิธกี ารเพาะ พชื ชนดิ ตา่ ง ๆ เพาะเมล็ด

เมล็ด ของพชื ชนิด

ตา่ งๆ

๖.1 ทฤษฎกี าร

ขยายพนั ธพ์ุ ืชด้วย

วิธกี ารเพาะเมลด็

๖.2 ปฏบิ ัติการ

ขยายพันธพ์ุ ชื ดว้ ย

วธิ กี ารเพาะเมล็ด

ผ้เู สนอหลกั สูตร ผู้ตรวจเน้ือหา

ลงชอื่ ลงช่ือ
(นายชูสิทธ์ิ หว่ งไธสง) (นางวมิ าน คาเลิศ)
ครู กศน.ตาบล ครูอาสาสมคั รฯ

กจิ กรรม จานวนชัว่ โมง
ทฤษฎี ปฏิบัติ
ชด้วยวธิ กี าร 1.ทฤษฎี ทฤษฎกี ารขยายพันธ์พุ ชื ดว้ ยวธิ ีเพาะเมลด็
2.ปฏิบตั ิ การขยายพันธพุ์ ชื ด้วยวิธเี พาะเมล็ด ด้วย ๒๔

ชด้วยวธิ กี าร ตนเอง

ผู้เหน็ ชอบหลักสูตร ผอู้ นมุ ัติหลักสูตร

ลงชอ่ื ลงชอ่ื
(นางสาวปรยี ารัตน์ พวงนาค) (นายโมไนย โรปริรัมย์)
ประธานกรรมการสถานศกึ ษา
ผอู้ านวยการ กศน.อาเภอกาบเชงิ

หลักสูตรการขยายพนั ธ์พุ ชื
บทที่ ๑ การเพาะยางนา

1.1 การคดั เลือกลูกยางนา
คัดเลือกลูกยางนาทม่ี ีความสด มีสีอมเขียว หรอื ใช้ลูกยางนาที่หล่นจากตน้

ใหม่ๆลูกยางนาจะมนี า้ หนกั จะมอี ัตราการงอกทดี่ ีกวา่

๑.๒ ข้นั ตอนการเพาะเมลด็ และการปลูก
1. ต้มน้าอุน่ ที่สามารถชงกาแฟได้ ใสภ่ าชนะท่เี ตรียมแช่เมลด็
2.นานา้ ยากนั เชื้อราหาชอ้ื ทีร่ า้ นเกษตรทว่ั ไป ผสมกับนา้ อนุ่ อนั ตราการใสก่ ะเอาเองตามจานวนเมล็ดทเ่ี ราจะ

แช่ การใสน่ ้าใส่ทว่ มเมล็ดประมาณ2ส่วนของเมลด็ เชน่ เมลด็ 1 ส่วนน้า 2 สว่ นพร้อมผสมนา้ ยา
3.คนน้ายากับน้าอุ่นให้เขา้ กันและนาเมล็ดใส่ลงไปและคนใหเ้ ค้ากนั พักทง้ิ ไว้ประมาณ. 3-6 ชม.
4.เตรียมดินเพาะ ดินเพาะ ผสมเองก็ใช้ ทราย ขุยมะพรา้ ว แกลบดา หรอื จะชื้อดนิ เพาะท่ีเขาขายท่ัวไป
5.พอเมลด็ เริ่มพองตวั ในเวลา 5-6 ชมแล้ว ก็คนใหเ้ ขา้ กนั อีกคร้ังและสงั เกตดูว่า เมลด็ ท่แี ช่เกิดการ

เปลี่ยนแปลงยังงยั บา้ ง เช่นการพองตวั การแตกของเมลด็ อ่ินน้าแลว้ หรอื ยัง ถา้ เมล็ดพองตัวเสร็จได้ที่ สามารถนาเมล็ด
ไปเพาะไดเ้ ลย

6.รดน้าวนั ละ 1-2 คร้ัง ห้ามแชะ เมล็ดจะเน่าได้และอย่าเพาะเมล็ดใตต้ ้นไมใ้ หญ่ จะทาให้งอกช้างอกน้อย
ควรเพาะเมล็ด ตรงทโ่ี ลง่ เจอแสงเยอะๆเมลด็ จะงอกภายใน. 5-10วัน และเรม่ิ แตกใบภายใน 15 วัน

7.อนุบาลตน้ กล้า ฉีดยาหรือนา้ หมักจุรนิ ทรี ไลแ่ มลงและให้ป๋ยุ ทางใบเพือ่ การเจริญเติบโตของตน้ กล้า หรือจะ
ใชว้ ธิ ีเรง่ ราก เพ่ือใหต้ น้ สวย ใบดกใหพ้ ่นเดอื นละ 3ครัง้ เพ่ือปอ้ งกันโรคต่างๆเช่น ราสนิม รากเน่า อ่ืนๆ พน่ จนครบ8
เดอื น

8.เมื่อแตกใบเลยี้ งสักสองสามคู่ ควรแยกออกมาเพาะอนุบาลในถุง ขนาดทเ่ี หมาะสมในระยะเวลาเพ่อื ทเี่ ตรียมการ
ปลูก. ถุงควรใช้ขนาน 3*7 ตน้ กล้าจะโตพรอ้ มลงดนิ เลยี้ งในถุงประมาณ5-8เดือน ถ้าเกินน้นั จะทาใหร้ ากของตน้ กลา้
คดงอ อาจจะตายไดเ้ ม่ือตน้ โตประมาณ. 5-8 ปี ดังนั้นควรลงดิน ประมาณ 5-8เดือนเป็นตน้

9.เมือ่ ลงดินปลูกตน้ กล้า ระยะหา่ งการปลกู 3*3 ‘ 4*4 ‘ 5*5 ‘8*8เพอ่ื ได้เน้อื ไมแ้ ละการเจริญเตบิ โตไดด้ ี
ขุดหลมุ 50*50*50และใสป่ ๋ยุ ขี้วัวหรือปุ๋ย สูตรต่างๆไวก้ น้ หลมุ เพือ่ ให้ตน้ ไมม้ ีการดดู ซมึ สารอาหารเพอื่ เลยี้ งรากให้
แขง็ แรงจนกวา่ จะช่วยเหลือตวั เองได้กลบดิน
10.ระยะเวลาการเจริญเติบโตของตน้ กล้า ควรริดกง่ิ ที่ไม่จาเปน็ ออกเพ่ือได้ทรงไมท้ ี่สวยตรง จนถงึ 3-5เมตร และใส่
ปยุ๋ ใดหญ้า ปีละ3คร้ัง

บทท่ี ๒ การขยายพนั ธุ์พืชด้วยวิธกี ารตอนก่งิ

การตอนก่งิ หมายถึง วธิ กี ารทาให้กิ่งพชื ออกรากในขณะอยู่ติดกับตน้ แม่ เมือ่ ก่งิ ตอนนัน้ ออกรากดแี ลว้ จึงตัด
ไปปลกู ต่อไป การตอนกิง่ เป็นการตดั ทอ่ ลาเลียงอาหารของพืชส่วนทอ่ นา้ ยงั มีอยู่ตามปกติ จงึ ทาใหก้ ิ่งท่ที าการตอน
ไดร้ ับน้าอยตู่ ลอดเวลา ดว้ ยเหตุน้จี ึงทาให้ก่ิงตอนสดอยเู่ สมอจนกว่าจะออกราก

การออกรากของกิง่ ตอน จะขน้ึ อยู่กบั ความช้ืน การถา่ ยเทอากาศ และระดับอุณหภมู ิท่เี หมาะสม แตถ่ ้าปลอ่ ย
ให้ดินหรือวสั ดุหุม้ กง่ิ แหง้ โดยมไิ ดด้ ูแล ย่อมจะเปน็ อปุ สรรคต่อการเกิดรากไดเ้ ชน่ กนั ดงั น้นั ฤดูกาลท่เี หมาะสมที่สุดใน
การตอนกิง่ ควรเปน็ ฤดูฝน

การตอนกงิ่ ใช้แกป้ ญั หา โดยเฉพาะพืชบางชนิดทีไ่ มส่ ามารถออกรากไดโ้ ดยใชว้ ธิ ตี ดั ชา แตอ่ อกรากไดโ้ ดย
วธิ ีตอนกิง่ สามารถทาได้งา่ ยทงั้ กลางแจ้งและในเรือนเพาะชา นอกจากน้ี ก่งิ ตอนยังมจี านวนรากมากกว่าก่งิ ตัดชา
เม่อื นาไปปลกู จงึ มโี อกาสตง้ั ตัวได้เรว็ และมีเปอรเ์ ซน็ ต์การตายนอ้ ยกวา่ กงิ่ ตดั ชา ประการสาคัญอกี อย่างหนงึ่ คือ พชื
ต้นใหม่ท่ีได้จากการตอน จะมลี กั ษณะเป็นไม้พ่มุ เตยี้ จึงสะดวกตอ่ การดแู ลปฏิบัติบารุงรักษาและเก็บเก่ียว โดยเฉพาะ
ไมป้ ระดบั จะได้ทรงพ่มุ ทสี่ วยงาม เปน็ ตน้ แตก่ ่งิ ตอนมีข้อเสีย คือ พชื ทน่ี าไปปลกู เม่อื โตเต็มที่จะล้มงา่ ย เพราะไม่มี
รากแกว้

ปัจจัยทีม่ ีอิทธิพลตอ่ การตอนกิง่
1) การทาใหเ้ กิดการสะสมอาหารและสารบางชนิดที่จาเป็นตอ่ การงอกราก ในบริเวณทีท่ าการตอน โดยวิธกี ารทาให้ก่งิ
เกิดแผล เพื่อตดั ท่อลาเลียงอาหารของพชื ในส่วนอื่นๆ จึงเกดิ การสะสมอาหารและสารบางอย่างขนึ้ เหนอื แผลท่ีทาการ
ตอน
2) การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มให้เหมาะสมกับการงอกรากของพืช เชน่ ความชืน้ อุณหภูมิ และแสงสวา่ ง
3) การดูแลรักษา ควบคุมความชื้นหรอื การป้องกนั ไมใ่ ห้เกดิ ความเสียหาย อันเกิดจากศัตรอู ืน่ ๆ เช่น มด แมลง สัตว์
เล้ยี ง เป็นตน้

อุปกรณ์ทใ่ี ชใ้ นการตอนก่ิง
1) มดี ขยายพันธ์ุหรือคตั เตอร์ (Cutter) หรือมดี ติดตาต่อก่งิ
2) ถงุ พลาสตกิ ขนาด 2x4 นวิ้ หรือ 3x5 น้ิว
3) วัสดุหุ้มกิง่ ตอน เช่น กาบมะพรา้ ว ถา่ นแกลบหรือขยุ มะพรา้ ว
4) เชอื กมัดวัสดุหุ้มกง่ิ ตอน เช่น เชือกฟาง
5) ฮอร์โมนเรง่ ราก

รูปแบบการตอนกง่ิ มหี ลายวธิ ี ทีน่ ิยมกันไดแ้ ก่
1) การตอนกิ่งในอากาศ (Air Layering)
2) การตอนกง่ิ แบบฝังยอด (Tip Layering)
3) การตอนกิ่งแบบฝงั กิง่ ให้ยอดโผลพ่ น้ ดนิ (Simple Layering)
4) การตอนกิง่ แบบงูเล้ือย (Compound Layering)
5) การตอนกิ่งแบบขุดร่อง (Trench Layering)
6) การตอนกงิ่ แบบสมุ โคน (Mound or Stool Layering)

1) การตอนกิง่ ในอากาศ (Air Layering) การตอนกิง่ ในอากาศ โดยเฉพาะแบบควัน่ กงิ่ เหมาะสาหรบั ไม้ดอกไม้
ประดับ เช่น กหุ ลาบ โมก โกสน แสงจันทร์ เลบ็ ครฑุ ฯลฯ และไมผ้ ลบาง
ชนิด เชน่ มะม่วง ลาไย มงั คดุ มะเฟอื ง ฯลฯ เป็นต้น มขี ้นั ตอน ดังนี้

1.1 เลือกกง่ิ ที่มีอายไุ ม่เกิน 1 ปี หรืออยู่ในวยั หนมุ่ สาว ซง่ึ จะออกรากได้ดกี ว่ากงิ่ ทม่ี ีอายุมาก และควรเป็นกงิ่
กระโดงหรือกงิ่ นา้ คา้ ง ท่ีสมบรู ณ์ ปราศจากโรคและแมลง

1.2 คว่นั เปลอื กกงิ่ ความยาวของรอยแผล ประมาณเส้นรอบวงของกิง่ ทงั้ ด้านบนและลา่ งของก่ิง แล้วลอก
เอาเปลือกออกและขูดเย่อื เจรญิ ท่เี ป็นเมอื กล่ืนๆ รอบก่ิงออกใหห้ มด

1.3 นาตุ้มตอน (ขุยมะพร้าวเกา่ ท่ีแชน่ า้ จนอิ่มตวั แลว้ บบี น้าออกพอหมาดๆ อัดลงในถุงพลาสติกแล้วผกู ปาก
ถงุ ใหแ้ น่น) มาผ่าตามความยาวแลว้ นาไปหุ้มรอยแผลของกงิ่ ตอน มัดด้วยเชอื กท้ังบนและล่างรอยแผลทค่ี ว่ัน

1.4 เมื่อกง่ิ ตอนงอกรากซง่ึ จะเกิดตรงบรเิ วณรอยควน่ั ด้านบน และรากเรมิ่ แกเ่ ป็นสเี หลอื ง หรอื มสี ีน้าตาล
ปลายรากมีสีขาวและมจี านวนรากมากพอ จงึ ตัดก่งิ ตอนไปชาหรอื ปลูกได้

1.5 ตัดกิง่ ตอนไปชาในภาชนะ ในกระถางหรอื ถุงพลาสตกิ เพอ่ื รอการปลกู ตอ่ ไป

2) การตอนกง่ิ แบบฝงั ยอด (Tip Layering) การตอนกิง่ แบบน้ี รากจะออกตรงบรเิ วณใกลก้ บั ยอดทน่ี าฝงั ลงดนิ
เหมาะกับพชื บางชนิด เชน่ ตน้ ประทัดจนี มีขน้ั ตอน ดังนี้

2.1 ใช้เสียมหรือพลว่ั กาบอ้อย ขุดดินให้เป็นหลมุ ลึก ประมาณ 7 – 8 เซนติเมตร
2.2 สอดปลายยอดเข้าไปในหลมุ แล้วกลบดินทับ

2.3 รดนา้ ทุกวัน และดแู ลอยา่ ให้วัชพชื ข้นึ บดบังแสง
2.4 ประมาณ 30 – 45 วนั เมอ่ื ยอดใหม่โผล่ขน้ึ มาจากดนิ จะมรี าก พรอ้ มท่จี ะยา้ ยปลกู ได้ทนั ที

3) การตอนก่ิงแบบฝังก่ิงใหย้ อดโผล่พ้นดนิ (Simple Layering) การตอนกิ่งแบบน้ี เหมาะสาหรับพืชทีม่ ีกง่ิ ยาว
และมีลกั ษณะดดั โคง้ ไดง้ ่าย เชน่ มะลชิ นิดต่างๆ เป็นต้น มขี น้ั ตอน ดงั น้ี

3.1 เลอื กกง่ิ ที่มีอายมุ ากกวา่ 1 ปี
3.2 ทาแผลให้เกดิ ขึ้นโดยการบิดใหแ้ ตกหรอื ใช้มีดปาด

3.3 โน้มกงิ่ ลงหาพื้นดิน แลว้ กลบดนิ บริเวณบางสว่ นของกิง่ โดยใหย้ อดโผลข่ ้นึ เหนอื ดิน ยาวประมาณ
15 – 30 เซนติเมตร

3.4 ใชไ้ มป้ ัก ผูกมัดยอดให้ตรง เพื่อให้รากเกดิ ขึน้ เร็วบริเวณกิ่งท่กี ลบดิน

3.5 รดน้าทุกวัน และดแู ลอย่าใหว้ ัชพืชข้ึนบดบงั แสง
3.6 ประมาณ 50 - 60 วัน จะมรี ากเกิดขึ้นบริเวณทีเ่ ปน็ แผล พรอ้ มทจ่ี ะย้ายปลกู ไดท้ ันที

4) การตอนกงิ่ แบบงเู ลอื้ ย (Compound Layering) การตอนกง่ิ แบบนี้ คลา้ ยกบั วิธีท่ี 3 เหมาะกบั ชนดิ ต่าง
ๆ ได้แก่ ไมด้ อกไมป้ ระดับ เช่น มะลิ เล็บมือนาง การเวก พลูชนิดต่างๆ ตีนต๊กุ แก และไมผ้ ลชนดิ ต่างๆ
เช่น องุ่น มันเทศ พรกิ ไทย เปน็ ต้น มขี ั้นตอนดงั น้ี

4.1 เลือกกิ่งยาวและมีลักษณะดัดโค้งไดง้ า่ ย แบง่ เปน็ ตอน ๆ ยาวประมาณ 30 เซนตเิ มตร
4.2 ใชม้ ดี ปาดให้เกดิ แผล แลว้ กลบดนิ ทับ เปน็ ตอน ๆ ตลอดความยาวของก่งิ
4.3 รดน้าทุกวนั และดูแลอย่าให้วัชพชื ข้นึ บดบังแสง
4.4 ประมาณ 30 – 45 วัน เมอื่ ยอดใหม่โผลข่ น้ึ มาจากดนิ จะมรี ากพร้อมท่จี ะยา้ ยปลูกได้ทันที

5) การตอนกงิ่ แบบขุดร่อง (Trench Layering) การตอนกง่ิ แบบน้ี เหมาะสาหรับไม้ผลเมืองหนาวบางชนิด เช่น ท้อ
สาลี่ และเชอรี่ เป็นต้น มขี ั้นตอน ดังนี้

5.1 ขุดรอ่ งลกึ ประมาณ 5 เซนติเมตร เพ่ือเตรียมสาหรบั โนม้ ก่ิงไว้ก่อน
5.2 เมื่อก่ิงต้นแม่ เรม่ิ แตกยอดอ่อน ใหโ้ นม้ ก่ิงขนาดตดิ กบั ผิวหน้าดนิ โดยใช้ตะขอเหล็กเส้น รูตัว ยู (U)

ปักยึดโคนก่ิงไว้ ให้กง่ิ นอนราบกับพ้นื รอ่ งทเ่ี ตรียมไว้
5.3 ตัดปลายก่ิงออกเล็กน้อย แล้วใชด้ ินร่วนกลบให้หนา ประมาณ 3 – 5 เซนตเิ มตร
5.4 รดนา้ ทุกวนั และดแู ลอย่าให้วชั พืชข้นึ บดบังแสง
5.5 เมื่อตากง่ิ เริ่มแตกยอดพน้ ผวิ ดนิ ทก่ี ลบคร้ังแรก ใหก้ ลบดินเพิม่ ขน้ึ อีก และตอ้ งรบี กลบกอ่ นที่ยอดจะเริ่ม

คลีใ่ บ
5.6 ในชว่ ง 2 – 3 สปั ดาห์ ให้กลบดนิ แบบนีอ้ ยู่เร่อื ย ๆ ไป จนกว่าจะแนใ่ จวา่ บริเวณของกิ่งทแี่ ตกยอดนัน้

ไม่ไดร้ ับแสงแดด การกลบดนิ แต่ละครง้ั ให้กลบประมาณ ½ ของยอดท่โี ผล่ออกมาพน้ ดิน
5.7 การเกิดราก จะเกดิ ข้นึ ที่บริเวณฐานของกิ่งทีแ่ ตกยอดใหม่ ซ่ึงใชร้ ะยะเวลาประมาณ 50 - 60 วัน
5.8 การย้ายปลกู ให้ขุดเอาดินทีก่ ลบออก แล้วตัดก่งิ ออกเปน็ ทอ่ น ๆ ตามจานวนตน้ ที่เกดิ ใหม่ นาไปชาในถงุ
ดา ดแู ลรกั ษา จนกวา่ ตน้ สมบูรณ์ดี จึงนาไปปลูกตอ่ ไป

6) การตอนแบบสุมโคน (Mound or Stool Layering) การตอนกงิ่ แบบน้ี จะต้องตดั ตน้ พชื ทีต่ ้องการออกให้
เหลือส้นั ติดผิวดนิ ในขณะที่ตน้ พชื อยูใ่ นระยะพกั ตัว สว่ นมากทากบั ต้นพืชทีม่ กี ิง่ แขง็ แรง ไม่สะดวกตอ่ การโนม้ กง่ิ

ลงมายงั พื้นดนิ หรอื ตดั กิง่ ได้ยาก แต่มีความสามารถท่จี ะแตกกิ่งกา้ นจากตน้ ตอคอดนิ พืชที่นยิ มทาส่วนมากเปน็ ไม้
ผล เชน่ พทุ รา แอปเป้ิล ลาไย ลนิ้ จี่ เป็นต้น มขี ั้นตอน ดังนี้

6.1 เม่ือตัดตน้ ทีต่ ้องการออกแล้ว จะสงั เกตเห็นตามท่โี คนต้น เรมิ่ แตกเป็นตน้ อ่อน

6.2 เม่ือตน้ ออ่ นท่เี กิดใหม่ ยาวประมาณ 6 – 12 เซนตเิ มตร ใชด้ นิ ร่วนสมุ โคน ประมาณ ½ ของยอดที่
เกดิ ใหม่

6.3 เม่ือตน้ สูง ประมาณ 25 เซนตเิ มตร ให้สุมโคนครั้งท่ี 2 และครัง้ ท่ี 3 เมือ่ กง่ิ ยาวประมาณ 50 เซนตเิ มตร
6.4 รดน้าทุกวัน และดูแลอย่าใหว้ ชั พชื ขึ้นบดบังแสง
6.5 หลังจากนั้น ประมาณ 2 สปั ดาห์ จึงตัดกงิ่ ไปปลูกหรอื ชา โดยตัดให้ชดิ โคนต้นและมรี ากติดไปด้วยให้มาก

ที่สดุ
6.6 เม่ือตัดกงิ่ ไปแลว้ จะตอ้ งเอาดินท่ีสมุ โคนออก ให้ถงึ ต้นตอเดิม เพ่อื ใหต้ อเดิมแตกยอดใหม่อีก และทาการ

สมุ โคนตอ่ ไปเม่ือตอ้ งการตน้ ใหม่

บทท่ี ๓ การขยายพนั ธุพ์ ชื ด้วยวธิ กี ารตอนทาบกิง่ เสียบยอด

1 การทาบก่งิ (GRAFTING)
การทาบก่งิ เป็นวธิ ีการขยายพนั ธ์ุทีใ่ ห้ไดต้ น้ พันธุท์ ี่ใหไ้ ด้ต้นพันธุ์ดซี ง่ึ มลี กั ษณะทางสายพันธเ์ุ หมอื นต้นแมว่ ธิ ี
หนงึ่ โดยกิง่ พนั ธุด์ ีจะทาหน้าที่เป็นลาต้นของต้นพืชใหม่ สว่ นต้นตอท่นี ามาทาบติดกบั ก่ิงของต้นพนั ธด์ุ ีจะทา
หน้าทเ่ี ปน็ ระบบราก เพอ่ื หาอาหารให้กับตน้ พนั ธ์ดุ ี

วัสดุอปุ กรณท์ ีใ่ ช้ในการทาบกิ่ง
๑. มีดบางหรอื มีดท่ใี ชส้ าหรบั ขยายพนั ธ์ุ
๒. กรรไกรตดั แตง่ กิ่ง
๓. แผ่นพลาสตกิ ขนาด ๐.๕ x ๑๒ นิว้ หรือเทปพลาสติกสาเร็จรปู เปน็ มว้ น
๔. ตน้ ตอหรือต้มุ ทาบ
๕. เชอื กหรอื ลวด

วธิ ีการทาบก่ิง แบง่ ออกเป็น ๒ แบบ คือ

๑. การทาบกิ่งแบบประกับ (Approach grafting)
การทาบกิ่งแบบนีท้ งั้ ต้นตอและก่ิงพนั ธุด์ ีต่างก็ยงั มรี ากและยอดอยู่ทง้ั คู่ มกั ใชใ้ นการทาบกิง่ ไม้ผลท่ีรอยแผล
ประสานกัน ชา้ เช่น การทาบกิ่งมะขาม เปน็ ต้น สาหรับวธิ ีการทาบมี ๓ วธิ ดี งั น้ี

๑.๑ วธิ ที าบก่งิ แบบฝานบวบ (Spliced approach grafting)
๑. เลือกต้นตอและกิง่ พันธุ์ดี ใหบ้ ริเวณทีจ่ ะทาบมีขนาดพอ ๆ กนั และมลี ักษณะเรยี บตรง
๒. เฉอื นกง่ิ พันธดุ์ ีเขา้ ไปในเน้อื ไม้เลก็ นอ้ ย รอยแผลยาวประมาณ ๑-๒ น้วิ ลกั ษณะแผลรอยเฉอื น

คลา้ ยรูปโล่
๓. เตือนตน้ ตอในทานองเดียวกนั และให้มีความยาวเทา่ กับแผลบนกง่ิ พันธุด์ ี
๔. มัดตน้ ตอและยอดพนั ธดุ์ ีเข้าด้วยกันโดยจัดแนวเยื่อเจริญให้สมั ผัสกนั มากที่สดุ
๕. พันรอบรอยดว้ ยพลาสตกิ ใหแ้ นน่

๑.๒ วิธกี ารทาบกิ่งแบบเขา้ ล้ิน (Tongued approach grafting) เป็นวิธีท่ีคลา้ ยวิธแี รก แตต่ ่างกนั ตรงท่ี
รอยแผลของต้นตอและก่ิงพนั ธดุ์ ีจะทาเป็นล้นิ เพ่ือใหส้ ามารถสอดเข้าหากนั ได้

๑. เลือกตน้ ตอและกิ่งพันธดุ์ ี ให้บริเวณท่จี ะทาบมีขนาดพอ ๆ กนั
๒. เฉอื นต้นตอให้มแี ผลเป็นรปู โลย่ าวประมาณ ๑-๒ นิ้ว พยายามเฉือนให้เรยี บอย่าให้เปน็ คลื่น
๓. จาก ๑/๓ ของปลายรอยแผลทีเ่ ฉือนน้ี เฉือนให้เปน็ ลิ้นลงมาเสมอกับโคนรอยแผลด้านลา่ ง

๔. เฉือนก่งิ พันธุ์ดีในลกั ษณะเดยี วกัน แต่ใหล้ ้นิ ท่เี ฉอื นกลบั ลงในลกั ษณะตรงกนั กบั ลิน้ ของต้นตอ
๕. สวมล้ินของตน้ ตอและกง่ิ พันธ์ดุ เี ขา้ ดว้ ยกัน โดยจดั ใหแ้ นวเยื่อเจริญสัมผสั กัน
๖. พนั รอบรอยแผลด้วยพลาสติกให้แนน่

๑.๓ วิธีทาบกิง่ แบบพาดรอ่ ง (Inlay approach grafting) การทาบก่งิ วิธนี ้มี ักใช้เพอ่ื การเปลยี่ นยอด หรอื
การเสริมรากใหต้ น้ ไม้ที่มรี ะบบรากไม่แข็งแรง หรอื ระบบรากถกู ทาลาย วิธีทางก่ิงปฏบิ ตั ไิ ด้ดงั น้ี

๑. กรีดเปลือกต้นตอตรงบริเวณท่ีจะทาการทาบ ใหม้ คี วามยาวประมาณ ๒-๓ นว้ิ โดยกรีดเป็น
สองรอยใหข้ นานกนั และใหร้ อยกรหี ่างกนั เท่ากับเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางของกิ่งพนั ธด์ุ ี

๒. กรดี เปลือกตามขวางตรงหัวและท้ายรอยกรีดท่ีขนานกนั แลว้ แกะเอาเปลือกออก
๓. เฉอื นกิง่ พันธุ์ดใี หเ้ ข้าไปในเนอ้ื ไมเ้ ป็นรปู โล่ และใหย้ าวเท่ากบั ความยาวของแผลที่เตรียมบนต้น
ตอ
๔. ทาบก่ิงพันธ์ดุ ตี รงบรเิ วณที่เฉอื นน้ันให้เขา้ ในแผลบนตน้ ตอ
๕. ใช้ตะปูเขม็ ขนาดเลก็ ตอกก่งิ พนั ธุ์ดตี ดิ กับตน้ ตอ แล้วพนั ดว้ ยพลาสตกิ ใหแ้ นน่
๖. เม่ือกง่ิ พนั ธดุ์ ีและตน้ ตอตดิ กนั ดีแลว้ จงึ ทาการตัดตน้ ตอเหนือรอยต่อและตดั กิ่งพนั ธดุ์ ใี ต้รอยต่อ
กรณีตอ้ งการเปล่ยี นเป็นยอดพนั ธุด์ ี

๑.๔ การทาบกิง่ แบบเสียบ (Modified approach grafting) เปน็ วธิ ีทาบก่งิ ท่แี ปลงมาจากวธิ กี ารทาบก่งิ
แบบประกับ โดยจะทาการตดั ยอดต้นตอออกให้เหลอื สัน้ ประมาณ ๓-๕ นิ้ว เพ่อื ลดการคายนา้ สาหรบั วธิ ีทาบแบบ
เสยี บที่นยิ มปฏบิ ัตกิ นั มี ๓ วิธคี อื

๑.๕ การทาบกงิ่ แบบฝานบวบแปลง (Modified spliced approach grafting) เป็นวธิ ที น่ี ยิ มใชก้ นั มาก
เพราะสามารถทาได้รวดเรว็ และใชก้ บั พืชไดท้ วั่ ๆ ไป พืชที่นิยมใชว้ ิธีทาบแบบนี้ ไดแ้ ก่ มะม่วง มะขาม ขนนุ
ทุเรยี น เป็นต้น โดยมีวธิ ีปฏิบตั ดิ ังนี้

๑. นาต้นตอข้นึ ไปทาบโดยกะดบู รเิ วณท่ีจะทาแผลท้ังต้นตอและกิง่ พันธุ์ดี
๒. เฉือนกิ่งพนั ธ์ดุ เี ปน็ รปู โล่เขา้ เนือ้ ไมเ้ ล็กนอ้ ย และให้แผลยาวประมาณ ๑.๕-๒ นว้ิ
๓. เฉือนตน้ ตอเฉยี งขนึ้ เปน็ ปากฉลามให้แผลยาวเท่ากบั แผลที่เตรียมบนก่ิงพันธุ์ดี

๔. นาตน้ ตอประกบกับก่ิงพันธ์ดุ ี โดยใหแ้ นวเยอื่ เจริญทับกันดา้ นในด้านหน่ึงหรอื ท้งั สองดา้ น
๕. พนั รอบรอยแผลด้วยพลาสติกใหแ้ นน่ และมัดต้นตอเขา้ กบั กิ่งพันธ์ดุ ี

๑.๖ การทาบกิง่ แบบเข้าบา่ ขดั หลัง (Modified veneer side approach grafting) วธิ กี ารทาบกิ่งแบบ
น้คี ล้ายกบั วธิ ีฝานบวบแปลง แต่แตกตา่ งกนั ตรงรอยแผลของก่งิ พนั ธ์ุดีจะเฉือนทาเปน็ บา่ หรอื เง่ียงปลา สว่ น
ของตน้ ตอจะเฉือนด้านหลังของรอยแผลปากฉลามออกเล็กน้อย พชื ทนี่ ิยมใช้เชน่ เดียวกับแบบฝานบวบแปลง
โดยมีวิธีปฏบิ ัตดิ งั น้ี

๑. เฉอื นก่งิ พันธุ์ดีเอยี งขึน้ เขา้ เนื้อไม้ประมาณ ๑/๔ ของเส้นผ่าศูนยก์ ลางของกิ่งความยาวแผล
ประมาณ ๑.๕-๒ นว้ิ เฉือนแผลดา้ นบนทาเป็นบ่าหรอื เง่ียงปลาประมาณ ๑/๔ ของความยาวของแผล

๒. เฉือนตน้ ตอเปน็ รูปปากฉลามตดั ด้านหลังเอียงขน้ึ เขา้ หาปากฉลามขนาดความยาวแผล
ประมาณ ๑/๔ ของแผลปากฉลาม

๓. นาต้นตอทปี่ าดเรยี บรอ้ ยแลว้ สอดเขา้ ไปขัดกบั บ่าหรอื เงย่ี งปลาท่ีทาไว้ แล้วจัดให้แนวเยื่อเจรญิ
สัมผัสกนั มากที่สดุ

๔. พนั ดว้ ยพลาสตกิ ให้แนน่

๑.๗ การทาบกิ่งแบบเสียบข้างแปลง (Modified side approach grafting) วิธกี ารทาบแบบนีม้ ขี ั้นตอน
ตา่ ง ๆ เหมือนวธิ แี รก แต่แตกต่างกันที่ลักษณะเฉือนตน้ ตอและก่ิงพนั ธ์ุดี โดยมวี ิธปี ฏิบัติ ดงั นี้

๑. เฉอื นกิง่ พันธุ์ดเี ป็นมุมเอียงข้นึ ประมาณ ๒๐-๓๐ องศา เขา้ ไปในเน้ือไมป้ ระมาณ ๑/๔ ของ
เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางของกง่ิ ความยาวแผลประมาณ ๑.๕-๒ น้วิ

๒. เฉือนต้นตอเปน็ รปู ลิม่ โดยให้แผลส่วนทส่ี มั ผัสด้านในาวกว่าแผลหน้าท่ีสมั ผัสด้านนอก
๓. สอดต้นตอเข้าไปในเนื้อไม้แบบตอกลิม่ โดยให้แนวเยอ่ื เจรญิ สัมผสั กนั มากที่สดุ
๔. พนั ด้วยพลาสติกให้แนน่

การปฏบิ ตั ิดูแลหลงั จากทาการทาบแล้ว
๑. ควรใหน้ ้าแกต่ ้นแมพ่ นั ธุ์ก่ิงพนั ธดุ์ ีอย่างสม่าเสมอ พรอ้ มกบั สังเกตดนู า้ ในต้มุ ทาบท่ที าบแบบประกบั ซึ่ง
มักจะแห้งจงึ ต้องให้นา้ โดยการใช้หัวฉดี ฉีดน้าเข้าไปในถุงตมุ้ ทาบบ้างในบางครง้ั แต่สาหรบั ตุม้ ทาบแบบเสยี บ
มักจะไม่พบปญั หาตมุ้ ทาบแห้งเท่าใดนกั ยกเว้นทาการทาบในฤดแู ล้ง
๒. กรณที ีส่ ่วนยอดก่ิงพนั ธ์ดุ หี ลงั จากทาบแลว้ มีโรคและแมลงเข้าทาลาย ควรกาจดั โดยการฉีดพ่นสารเคมี
กาจดั โรค และแมลง
๓. กรณีทม่ี พี ายุหรอื ฝนตกหนักต้องหาไม้มาช่วยพยงุ หรอื คา้ ก่งิ ไวเ้ พือ่ ไม่ใหก้ ิ่งพนั ธทุ์ ่ีทาการทาบหกั ได้
๔. กรณที ่ที าการทาบหลายตุ้มในกง่ิ เดยี วกันควรตอ้ งหาไม้ค้า หรือเชือกโยงไว้กับลาตน้ เพอ่ื ไม่ให้กง่ิ ใหญ่หัก
เสียหาย

ลกั ษณะของก่งิ ทาบท่สี ามารถตัดไปชาได้
๑. กงิ่ ทาบมอี ายุประมาณ ๔๕-๖๐ วัน
๒. สังเกตรอยแผลของตน้ ตอและกิ่งพันธดุ์ ีว่าประสานกันดี เปลยี่ นเป็นสีน้าตาล และนูน
๓. กระเปาะหรือตมุ้ ทาบีความชืน้ พอประมาณณ (ค่อนขา้ งแหง้ )
๔. กระเปาะหรอื ตุ้มทาบมรี ากเจริญออกมาใหมเ่ ห็นชัด รากเปน็ สีนา้ ตาล และปลายรากมีสขี าว

วิธกี ารตัดก่ิงทาบ
ให้ตดั ก่ิงพันธ์ดุ ตี รงระดบั กน้ กระเปาะหรอื ตุ้มทาบ เพ่ือสะดวกในการยา้ ยชาและชว่ ยทาใหร้ อยต่อของแผลไม่
หกั หรอื ฉกี เน่ืองจากนา้ หนักของสว่ นยอดพนั ธุด์ ี เพราะส่วนโคนกิง่ พนั ธดุ์ ีทย่ี าวเลยรอยแผลจะช่วยพยงุ น้าหนกั
ของส่วนปลายยอดพนั ธดุ์ ีเอง

การชากิ่งทาบ
เม่อื ตัดกิง่ ทาบจากต้นพนั ธด์ุ ี ใหน้ ามาแกะเอาถุงพลาสตกิ ออก แลว้ ชาลงในถุงพลาสตกิ สดี าขนาด ๘x๑๐ นิ้ว
หรือกระถางดินเผาขนาดเส้นผ่าศูนยก์ ลาง ๘ นิ้ว ทบ่ี รรจดุ ว้ ยขยุ มะพรา้ วลว้ น ๆ หรอื ดนิ ผสม ปกั หลักและผูก
เชอื กกง่ิ ทาบให้แน่น นาเข้าพกั ไว้ในโรงเรอื นทร่ี ม่ รดนา้ ให้ชุ่ม ทิ้งไวป้ ระมาณ ๑๕-๒๐ วันหรอื จนกงิ่ พนั ธ์ดุ เี รมิ่
แตกใบใหม่ จึงนาไปปลกู หรือจาหนา่ ยได้ สาหรบั การชากิ่งพนั ธุด์ ีทที่ ้ิงใบง่าย เชน่ ขนุน กระท้อน ควรพักไวใ้ น
โรงเรือนทมี่ ีความช้ืนสงู เชน่ กระโจม พลาสตกิ หรือโรงเรือนระบบพน่ หมอก จะช่วยลดปญั หาการทิ้งใบของ
พืชนน้ั ลงได้

2 การเสียบยอด

การเสยี บยอด คอื การนายอดของชวนชมพันธ์ดุ ีมาเสยี บกับต้นตอชวนชมทมี่ คี วามแขง็ แรง เปน็ การเปลี่ยน
ยอดของพันธ์เุ ดิมใหเ้ ป็นพนั ธใุ์ หม่ตามยอดท่ีนามาเสยี บ โดยยอดที่นามาเสียบจะไมก่ ลายพันธ์ไุ ปจากตน้ แม่ วิธนี เ้ี ปน็ วิธี
ทีค่ ่อนข้างยงุ่ ยากแตไ่ ด้ผลเรว็ และต้นใหมท่ ่ีได้จะฟื้นตวั และแขง็ แรงเรว็ ชวนชมที่ขายเปน็ กระถางพันธต์ุ า่ งๆ ส่วนใหญ่
จะใช้วิธเี สียบยอด
– การเตรยี มตน้ ตอ อายุ 5-7 เดือน เลอื กเอาตน้ ทแ่ี ขง็ แรงไม่เป็นโรคและมขี นาดโตใกลเ้ คียงกบั ขนาดของกิ่งพันธ์ุ
ตัดขวางตน้ ตอหา่ งจากโคน 5-10 ซม. ผ่ากลางกิง่ ตน้ ตอเปน็ ปากฉลามหรือรูปตัววลี กึ 1.5-2 ซม.
– การเตรียมก่ิงพนั ธ์ุ ใชม้ ีดท่คี มและสะอาดตดั กงิ่ พันธุท์ ส่ี มบรู ณ์จากต้นแมพ่ นั ธุท์ ี่ตอ้ งการนาไปเสยี บกบั ต้นตอ จากน้นั
ตดั สว่ นยอดของก่ิงพันธ์ุออกให้เหลอื ส่วนโคนยาวประมาณ 3-5 ซม. ใหม้ ใี บติดอยู่ 1-2 ใบ และมีตาติดอยู่ 2-3 ตา
เฉือนโคนกง่ิ เปน็ รูปลม่ิ ยาว 1.5-2 ซม.
– การเสียบยอด นาก่ิงพนั ธ์ุทเี่ ตรยี มไวม้ าเสียบลงในรอยผา่ ของต้นตอ ให้รอยแผลของก่ิงพันธ์ุและตน้ ตอแนบสนิทกัน
ใช้เทปพลาสตกิ พันรอยตอ่ ใหแ้ นน่ คลุมตน้ ท่ีเสียบกิ่งเรยี บร้อยแลว้ ดว้ ยถงุ พลาสติกเพ่อื รักษาความชุ่มช้ืน วางกระถาง
ในทไี่ มถ่ ูกแสงแดดจัด เปิดถงุ รดน้าวนั ละครัง้ ประมาณ 1-2 สปั ดาหจ์ งึ เปดิ ถุงออก และหลังจากนน้ั อกี 2-4 สัปดาห์
จึงคอ่ ยแกะเทปพลาสตกิ ที่พนั อยู่ออก รอยต่อจะติดกนั สนทิ
คอื การนายอดของชวนชมพนั ธุด์ ีมาเสยี บกบั ต้นตอชวนชมท่ีมีความแข็งแรง เป็นการเปลี่ยนยอดของพันธเ์ุ ดมิ ให้เป็น
พนั ธ์ใุ หม่ตามยอดท่นี ามาเสยี บ โดยยอดท่นี ามาเสียบจะไม่กลายพันธ์ุไปจากตน้ แม่ วิธีนเี้ ปน็ วิธที ค่ี อ่ นข้างยุง่ ยากแต่
ได้ผลเรว็ การนาก่งิ พนั ธุ์ดีมาตอ่ บนตน้ ตอ มักใชส้ าหรบั การเปลยี่ นพันธพ์ุ ืชมากกวา่ การขยายพันธ์ุ นิยมใช้แพร่หลาย
และได้ผลดกี บั ทงั้ ไมผ้ ลและไมป้ ระดับ เช่น มะม่วง ขนุน เฟ่ืองฟา้ ชบา โกศล เป็นต้น ปจั จัยสาคัญทสี่ ดุ ในการตอ่ กิ่ง
คือ ต้นตอและตน้ พันธด์ุ ีเมื่อต่อแลว้ เน้อื เยอ่ื เจรญิ ของต้นตอและกิ่งพันธด์ุ ีต้องเชื่อมตอ่ กนั ได้ สามารถเจริญเตบิ โต
ออกดอก และตดิ ผลได้

วธี กี ารเสียบยอด

1. เตรยี มต้นตอทมี่ ขี นาดกาลงั พอดีพยายามเลือกกิง่ ของตอและยอดพนั ธ์ใุ หม้ ขี นาดใกลเ้ คยี งกันเพือ่ ทเี่ นอื้ เยอ่ื จะได้
แนบชดิ เหมาะเจาะ ส่วนกง่ิ พนั ธ์ดุ กี อ่ นทเี่ ราจะนาไม้มาเสียบน้นั ทางทดี่ ีเราควรจะรดิ ใบของเค้าใหอ้ อกเสยี หมดก่อน

เพื่อปอ้ งกันไมใ่ หเ้ คา้ คลายนา้ ในกิง่ มากเกนิ ไปแล้วปล่อยไวใ้ หค้ าลาตน้ ไวอ้ ยา่ งนนั้ จนกว่าข้วั ใบจะหลุดออกจากกง่ิ แลว้
คอ่ ยนามาเสยี บดีกว่า แต่กม็ ีบางทา่ นท่ีไมไ่ ดร้ ดิ ใบกอ่ นทจี่ ะเสยี บกม็ ี…แบบตัดปุ๊ปเสยี บปป๊ั เลย แตโ่ ดยสว่ นตวั ผมไม่ชอบ
วิธนี ้ีเพราะวา่ เวลาเราคลุมถุงแล้วบางคร้ังใบท่ีคากบั ยอดนั้นชอบร่วงคาอย่ใู นถงุ บางครงั้ กล็ มื เกบ็ ออกทาให้ใบทรี่ ่วงน้นั

เกดิ อาการเนา่ ได้และพาลเอาเช้อื ไปสกู่ ิง่ พนั ธุ์ได้ แต่มวี ิธีอกี เสยี บอกี วิธหี น่งึ ที่บางทา่ นไดใ้ ช้กนั อยา่ งแพรห่ ลาย….คือ
หลังจากทีต่ ัดยอดพันธดุ์ ีมาแล้วใหร้ ิดใบออกทง้ั หมดเหลอื ไว้แต่ใบอ่อน แล้วก็สสัดยางที่ค้างอยู่ตรงข้วั ใบออกไวใ้ ห้

หมดแลว้ คอ่ ยนามาเสียบ แตว่ ธิ ีนก้ี ม็ ปี ญั หาเหมือนกันตรงที่เวลาทข่ี ั้วใบยังคาอยูก่ ับกิ่งน้นั แผลมันยงั สดอยู่อาจจะพาล
ให้ก่ิงพันธ์นุ นั้ ติดเชอ้ื และเนา่ ไดเ้ หมอื นกัน เอาเปน็ วา่ ใครสะดวกแบบไหนก็ทาได้เลยเพราะทผ่ี มว่ามาท้ังสามแบบนนั้ ผม
กไ็ ดล้ องมาหมดแล้วกต็ ดิ ทกุ วธิ ี…แตม่ าชอบวธิ แี รกมากกวา่ เพราะไม่มใี บและข้ัวใบมาคอยใหเ้ กิดปัญหาในภายหลังได้

ครบั
2.ตัดยอดพันธ์ดุ มี าประมาณซัก 3 นวิ้ กาลังดีเพราะว่าเน้ือไม้ยง่ิ เยอะการติดจะดกี ว่าเน้อื ไมท้ ่นี ้อย แตบ่ างคร้ังยอดพนั ธุ์

ดมี คี วามยาวประมาณซกั 2 เซนตเิ มตรกส็ ามารถนัน้ มาเสียบไดเ้ ชน่ กนั แตไ่ ม่ขอแนะนาครบั เอายาวไวก้ ่อนเป็นดี เสร็จ
แล้วเราก็ตดั ตน้ ตอเลยแล้วเอาผ้าซบั น้าหล่อเล้ียงยางท่ีออกมาจากลาต้นให้หมด ตรงนีแ้ หละสาคัญเพราะยางก็เป็นส่วน
หนง่ึ ท่จี ะทาใหก้ ง่ิ นัน้ เนา่ เสยี หายได้

3.ซบั ยางจนกว่าตรงรอยท่ปี าดจะหมดยางแล้วก็นามีด(ที่คม)มาบากให้เป็นดัง่ ในภาพแต่ตอ้ งให้รอยบากลกึ ลงไป
มากกวา่ 1 เซนตเิ มตร

4.เสร็จแลว้ เราก็นายอดพนั ธ์ดุ ีมาเฉอื นเป็นรูปลิ่มตามรูปทเ่ี ห็นแล้วกน็ ามาเสยี บลงไป..ที่สาคัญเนอ้ื เยื่อตรงที่ไมจ้ ะแนบ
ตดิ กันอยา่ ใหเ้ กิดรอยช้า..ตรงนีส้ าคญั มาก

5.หลังจากบากตอแล้วปาดลมิ่ แลว้ กเ็ สยี บลงไป
6.เสร็จแล้วก็นาเชือกฟางมาพันไวพ้ ยายามใหป้ มท่ีมัดไว้ให้อยู่ตรงด้านของเนื้อด้านตอ อย่าให้ปมท่ีมดั ไว้ไปอยตู่ รงด้าน
ของยอดพันธุด์ ี เพราะวา่ แรงกดจากการมัดปมอาจจะทาให้เนอื้ ตรงน้ันท่ีบอบบางช้าและเน่าได้
7. แล้วก็หาถงุ ขนาดพอดีไม่ตอ้ งใชข้ นาดใหญ่มากเอาแคพ่ อคลมุ ส่วนยอดไว้กพ็ อ แลว้ กด็ ทู ศิ ทางการไหลของหยาดนา้
ในถงุ ด้วยพยายามอย่าให้หยาดนา้ ในถุงนั้นไหลเข้ามาสตู่ รงรอยแผลทีเ่ สียบไว้ คลุมไวแ้ บบน้ีในทรี่ ่มประมาณซกั 10
วนั กรณีถา้ เราคลมุ ไปซัก 2-3 วันแลว้ หยาดน้าในถุงนั้นเยอะมากเราก็แกะถงุ ออกมาแลว้ กลับดา้ นในออกมาสลดั น้า
แลว้ ใช้ผา้ เช็ดให้แหง้ แล้วก็คลมุ กนั ตอ่ ไป
:หมายเหตชุ ว่ งท่เี ราเอาหยาดน้าออกจากถงุ น้ันพยามยามอยา่ ทาในช่วงทอ่ี ากาศร้อนจัดเพราะอาจจะทาให้ยอดพันธด์ุ ี
นัน้ โดนอากาศท่ีร้อนกว่าตอนท่ีอยู่ในถุงอาจจะทาใหย้ อดนั้นชะงักได้ ควรทาในตอนเย็นหรือชว่ งท่ีอากาศไม่ร้อนจดั

8. สว่ นเรื่องของตอใหญ่กวา่ กิ่งพนั ธดุ์ ีก็ดูตามรปู เลยวธิ ที ากเ็ หมือนกันกับวธิ แี รก
1.เสียบแบบติดชิดรมิ ของตอดา้ นใดดา้ นหนึ่ง….วธิ นี โ้ี อกาสของยอดพันธุ์จะติดดีกว่าเสยี บยอดพันธ์ุไวต้ รงกลางระหว่าง
ตอ เพราะว่าท่อส่งอาหารของตน้ ไมจ้ ะอยู่ดา้ นข้างของกงิ่ ทาใหย้ อดตดิ ได้ดกี วา่ เสยี บไวต้ รงกลางระหวา่ งตอ วิธีนี้
เหมาะทสี่ าหรับจะเสียบยอดพันธ์ุที่หายาก (ก่งิ แม่) แต่เวลาที่กง่ิ ตดิ ดีแลว้ ก่ิงยอดพนั ธไุ์ ด้เจริญเติบโตมันจะไมส่ มดลุ ..คือ
เน้อื เยือ่ ตรงท่เี สยี บมนั จะไมอ่ มหัวตอแบบบาลานซ์
2.แตถ่ า้ เราเสียบยอดไวต้ รงกลางระหวา่ งตอเนือ้ เย่อื จะเดินชา้ กวา่ การเสยี บริมตอแตเ่ วลาทกี่ งิ่ พนั ธไ์ุ ด้เจริญเตบิ โตมัน
จะดูสวยงามกวา่ เสียบแบบริมตอ

เท่าที่ผมสังเกตมาตรงระหวา่ งไส้กลางของตอ เน้ือเยือ่ ตรงส่วนนัน้ มนั จะออ่ นกวา่ ตรงดา้ นริมตอ อาจจะทาให้การเสยี บ
ยอดตรงกลางตอน้ันเนือ้ เยื่ออาจจะเดินช้ากว่าแบบเสยี บชิดริมตอ แตเ่ ท่าทผ่ี มลองเสยี บมาทง้ั สองแบบ….เสียบแบบริม

ตอหรือกลางตอก็ตดิ ไดด้ เี หมอื นกัน
9. สว่ นภาพน้ีเวลาท่ีเราปาดลม่ิ ตรงยอดพนั ธุ์ดใี หป้ าดพอดีกับรอยบากของตอ อย่าปาดใหแ้ ผลยาวกวา่ ตอเพราะ

อาจจะทาใหย้ อดพนั ธ์ุมีแผลเกนิ มากขึ้นทาให้การสูญเสยี ความชน้ื นัน้ มมี ากและอาจจะพาลให้ตดิ เชื้อโดยงา่ ยด้วย
10.ตน้ ตอทสี่ มบูรณบ์ วกกับเน้อื ไมม้ ีความพรอ้ มที่เหมาะสาหรับการเสยี บยอดและทส่ี าคญั กค็ ืออุณหภูมิน้นั กม็ สี ่วนตอ่
การทจี่ ะทาให้เน้ือไม้น้นั แนบตดิ สนทิ และปดู ปลิ้นออกมาได้ด้วย

11. และหลงั จากทไ่ี ด้ทดลองการเสยี บยอดมาน้ัน ก่งิ พนั ธ์ุที่มีใบติดอยสู่ ักประมาณ 5-6 ใบ(กง่ิ ทมี่ ใี บและกาลัง
เจริญเตบิ โต) จะเดินยอดได้ดกี วา่ กิ่งพันธ์ุทไ่ี มม่ ใี บเลย(ก่ิงท่ีทง้ิ ใบและพักตวั ) และรอดกู ารเจริญเติบโตของต้นไม้

บทท่ี ๔ การขยายพนั ธ์พุ ืชดว้ ยวิธกี ารติดตา

การตดิ ตา
คอื การเช่ือมประสานสว่ นของต้นพชื เขา้ ด้วยกนั เพ่อื ให้เจรญิ เปน็ พืชตน้ เดียวกัน โดยการนาแผน่ ตาจาก

กิ่งพนั ธ์ดุ ี ไปตดิ บนตน้ ตอ การติดตาจะมีวิธกี ารทา 2 วธิ ี คอื วธิ ีการติดตาแบบลอกเน้อื ไม้ และแบบไมล่ อกเนอ้ื ไม้ ซ่งึ
ในทนี ี้จะแนะนาเฉพาะขัน้ ตอน การติดตาแบบลอกเนอื้ ไม้ ดังน้ี

1.เลือกตน้ ตอในสว่ นที่เป็นสเี ขียวปนน้าตาล แล้วกรดี ตน้ ตอจากบนลงล่าง 2 รอย ห่างกันประมาณ 1 ใน 3 ของ
เสน้ รอบวงของต้นตอ ความยาวประมาณ 6 - 7 เซนติเมตร

2.ตัดขวางรอยกรีดด้านบน แลว้ ลอกเปลือกออกจากดา้ นบนลงดา้ นลา่ ง ตัดเปลอื ก ทลี่ อกออกให้เหลือด้านล่างยาว
ประมาณ 1 เซนตเิ มตร

3.เฉือนแผ่นตายาวประมาณ 7 - 10 เซนติเมตร ลอกเนอ้ื ไม้ออกแล้วตดั แผน่ ตา ดา้ นล่างท้ิง

4.สอดแผ่นตาลงไปในเปลือกต้นตอ โดยใหต้ าตง้ั ขึ้น แล้วพันดว้ ยพลาสตกิ ให้แน่น

5.ประมาณ 7 - 10 วัน จงึ เปิดพลาสติกออก แล้วพันใหม่ โดยเว้นช่องให้ตาโผล่ ออกมา ทิ้งไวป้ รัะมาณ 2 - 3
สัปดาห์ จงึ ตัดยอดต้นเดมิ แล้วกรดี พลาสติกออก

บทที่ ๕ การขยายพนั ธุ์พชื ดว้ ยวิธีการชา

การตดั ชา คอื การนาส่วนต่าง ๆ ของพชื พันธ์ุดี เช่น ใบ และ ราก มาตดั และปักชาในวัสดุเพาะชา เพอ่ื ให้
ได้พืชตน้ ใหม่จากสวนที่นามาตัดชา แต่ในทีน่ ้ีจะขอแนะนาข้นั ตอนการตดั ชาก่งิ ซ่ึง มีขน้ั ตอน ดังนี้

1. ตดั โคนก่งิ ให้ชดิ ขอ้ ยาวประมาณ 15 - 20 เซนติเมตร โดยตดั เฉียงเปน็ รูปปากฉลาม และตดั ปลายบนใหเ้ หนือ
ตาประมาณ 1 เซนตเิ มตร

2. ใช้มดี ปลายแหลมกรดี บริเวณรอบโคนยาว 1 - 1.5 เซนตเิ มตร ประมาณ 2 - 3 รอย
3. ปกั กง่ิ ชาลงในวัสดเุ พาะชา ลึกประมาณ 2.5 - 5 เซนตเิ มตร
4. นาเข้าโรงอบพลาสติก หรือถุงพลาสตกิ ขนาดใหญ่
5. ประมาณ 25 - 30 วนั กิ่งตดั ชาจะแตกยอกอ่อน พรอ้ มออกราก เม่ือมีจานวนมากพอ จึงยา้ ยปลูกต่อไป

บทท่ี ๖ การขยายพนั ธพ์ุ ชื ด้วยวิธกี ารเพาะเมลด็

การเพาะเมลด็ เปน็ วิธที ่ีมกั ใช้ในงานปลูกพืชที่ต้องการตน้ พืชจานวนไมม่ ากนกั เช่น ในการเพาะจาหน่ายพันธ์ุ
ไม้ การปลูกผกั สวนครัว ไม้ดอกไมป้ ระดบั เป็นต้น การเพาะเมลด็ ทาได้ทั้งในแปลงเพาะและในภาชนะเพาะ สาหรบั
การเพาะในภาชนะเพาะสามารถป้องกันมิให้ตน้ พืชทเี่ พาะไดร้ ับความเสยี หายได้ง่าย วิธีนีจ้ าเป็นจะต้องจัดเตรียม
อุปกรณแ์ ละวัสดทุ ี่ใชด้ งั น้ี

1. ภาชนะและวัสดุท่ีใชเ้ พาะ ภาชนะควรมนี ้าหนกั เบา ไม่แตกหกั หรือผพุ ังงา่ ย หาไดง้ ่ายและมรี าคาถกู มี
ขนาดพอเหมาะทจ่ี ะหยบิ ยกได้สะดวก และมรี ูระบายน้าใหไ้ หลออกได้งา่ ย โดยทัว่ ไปการเพาะเมล็ดในภาชนะมกั จะใช้
กระบะไม้หรอื กระบะสาหรับเพาะ วัสดุที่ใชเ้ พาะหรอื ดินท่ใี ชเ้ พาะเมล็ดควรมีลกั ษณะดงั น้ี

ก. ดินจะตอ้ งโปร่ง และมีอากาศถ่ายเทดีอุ้มนา้ ได้มากพอสมควร และระบายนา้ ได้งา่ ย
ข. มีธาตอุ าหารสาหรบั พชื เพยี งพอใช้ชว่ งอายขุ องกลา้ พชื ตามปกติ คือ ประมาณ ๓๐-๔๕ วัน
ค. เบาหรอื ค่อนขา้ งเบา สามารถเคล่อื นย้ายและหยิบยกไดส้ ะดวก
ง. ปราศจากโรค แมลง หรือสารอนื่ ใดที่เป็นพิษ
จ. ไมเ่ ปน็ กรดหรอื ด่างจดั จนทาใหก้ ลา้ พืชไมเ่ จริญเทา่ ท่คี วร
สาหรับวัสดุท่ีใช้เพาะเมล็ด โดยท่ัวไปมักจะใช้ดินซึ่งอาจนามาจากหนา้ ดินในแปลงปลูกพืช ดินขุยไผ่ ดนิ ปุ๋ยหมกั หรือ
ใบไมผ้ ุ หรอื อาจนามาผสมกับวัตถุอ่ืนใหม้ ีคุณสมบัติในการงอกของเมล็ดและการเจริญของกล้าพืชดียงิ่ ขนึ้ หรืออาจใช้
วสั ดสุ าเร็จรปู เช่น พีตมอส ในการเพาะ
2. เมล็ดท่ีจะนามาเพาะ ควรจะเป็นเมล็ดท่ไี ด้จากตน้ แมท่ ่ีแข็งแรง เมลด็ สมบูรณ์ดีคือ เมลด็ เต่งและมนี า้ หนัก
ดี เปน็ เมล็ดทีไ่ มอ่ ยใู่ นระยะพกั ตัว งอกได้มาก หรือมเี ปอร์เซ็นตค์ วามงอกสงู งอกได้เรว็ และสมา่ เสมอ ไม่มีวัตถอุ ่นื เจือ
ปนมากบั เมลด็ เปน็ เมล็ดทป่ี ราศจากเชอื้ โรค หรอื ผา่ นการคลกุ ยาฆา่ เชอ้ื โรคมาแลว้
3. วิธเี พาะเมล็ด เร่ิมจากการบรรจุดินลงกระบะเพาะควรมวี ัตถชุ ว่ ยระบายนา้ เชน่ เศษอิฐหกั เศษหิน เศษ
หญ้าแหง้ เปลอื กถ่ัวลิสง ใยกาบมะพรา้ วหรือแกลบดบิ ใส่รองท่ีก้นภาชนะเพาะสงู ¼ - ½ น้วิ แล้วบรรจุดินทีใ่ ช้เพาะให้
เตม็ ภาชนะเพาะ ปรับหนา้ ดินเพาะให้เรยี บ โดยให้ระดบั หนา้ ดนิ เพาะตา่ กวา่ ขอบภาชนะเลก็ น้อยเพื่อป้องกนั การชะ
ลา้ งหนา้ ดินเนื่องจากรดนา้ มากเกินไป ความหนาของเน้ือดนิ ท่ีใช้เพาะควรหนาอย่างน้อย 3 น้ิว จากนั้นจงึ โรยเมลด็ พชื
ลงไปเป็นแถวในภาชนะเพาะหรือหลมุ สาหรบั เพาะเสร็จแล้วจงึ กลบดว้ ยดินทีใ่ ช้เพาะ โดยไมค่ วรกลบเมล็ดให้หนาเกิน
2-3 เทา่ ของเส้นผา่ นศนู ย์กลางของเมล็ด และหลังจากกลบดนิ ทับเมล็ดแลว้ ควรจะกดดินใหพ้ อกระชับเมล็ด เพ่อื ให้
เมล็ดไดร้ บั ความชนื้ และงอกได้สม่าเสมอ จากน้นั จงึ จะรดน้าให้ชุม่
เมื่อเมล็ดงอกเปน็ ต้นกล้าแลว้ ต้องเลย้ี งดูกล้าพชื ให้แขง็ แรงพ้นจากการทาลายของโรคโคนเนา่ คอดิน การดแู ล
รักษากล้าพชื ในระยะแรกกค็ ือ เปิดให้ตน้ กลา้ ไดร้ ับแสงหลงั จากงอกโผลพ่ ้นผิวดนิ นอกจากแสงแลว้ อณุ หภมู กิ ็มสี ่วน
เกยี่ วขอ้ งกับการเจริญของกลา้ พืชอกี ดว้ ย โดยปกตอิ ุณหภมู ิขนาดปานกลางถงึ ค่อนขา้ งต่าจะชว่ ยให้กลา้ พืชเจริญได้
แข็งแรง รกั ษาระดับความช้ืนให้พอเหมาะไมม่ ากเกินไปจนทาให้อากาศถ่ายเทในดินไมส่ ะดวก ซึ่งจะทาให้เกิดโรคโคน
เน่าคอดินระบาดได้รวดเรว็ โดยทัว่ ไปขณะที่กล้าพชื ยงั เลก็ อยู่ รากยงั มนี อ้ ย ควรจะรดน้าทกุ วนั เพอื่ ช่วยใหร้ ากเจริญ
ได้เร็วข้นึ แตเ่ มอื่ กล้าเจรญิ ได้ดีพอแลว้ อาจจะงดการใหน้ ้าได้บา้ ง แต่ก็ควรให้แปลงเพาะชืน้ อยู่เสมอ เมือ่ กล้าพชื
เจรญิ เตบิ โตพอสมควรจงึ ย้ายลงปลูกในกระถางก่อนหรือนาลงปลกู ในแปลงปลกู ตอ่ ไป

การเพาะเมลด็ ทน่ี ิยมปฏบิ ัตกิ ันมดี ังน้ี

๑. การเพาะในกระบะเพาะชา

กระบะเพาะชาจะตอ้ งมีขนาดทส่ี ามารถเอือ้ มมอื เข้าไปทางานไดส้ ะดวกทง้ั สองด้าน ซง่ึ ส่วนใหญจ่ ะกว้างประมาณ
๑๐๐-๑๒๐ เซนติเมตร ความยาวแลว้ แต่ขนาดของพืน้ ท่ี ความสงู ประมาณ ๑๕-๓๐ เซนติเมตร ข้นึ อยู่กบั ชนดิ พืชท่ี
ต้องการเพาะ สว่ นพื้นล่างของกระบะตอ้ งรองพนื้ ดว้ ยวัสดชุ ่วยระบายนา้ ได้แก่ หินบด กรวด อิฐทุบ ขนาดเล็ก
ประมาณ ๐.๕ เซนติเมตร ควรปดู ว้ ยทรายหยาบข้างบนแลว้ อัดพน้ื ใหเ้ รียบ ความสงู ของพืน้ ชน้ั ล่างทร่ี ะบายนา้
ประมาณ ๒-๕ เซนติเมตร รองพนื้ ขนึ้ สุดท้ายดว้ ยใยมะพรา้ วหรือเศษหญา้ แห้ง บรเิ วณดา้ นขา้ งกระบะส่วนล่างท่ีตดิ กบั
พ้ืนควรเจาะรูระบายนา้ โดยรอบ เพอื่ ป้องกันไม่ให้น้าขงั เพราะจะทาใหเ้ มล็ดเนา่ เสียหายได้ เมือ่ เตรียมกระบะเสร็จ
เรียบร้อยแล้วจงึ เตรยี มวัสดุ เพาะชา ดังน้ี

การเตรยี มวสั ดุเพาะชา
วสั ดเุ พาะชาสาหรบั การเพาะเมล็ดต้องสามารถเก็บความชืน้ และระบายนา้ ได้ดพี อสมควรอกี ท้งั ไมจ่ ับกันแนน่ เกินไป ซ่ึง
จะสรา้ งความยุ่งยากในการถอนยา้ ยตน้ กล้า ได้แก่

๑. ข้เี ถ้าแกลบเก่าทที่ ิง้ ไว้คา้ งปี ถ้าเป็นขีเ้ ถ้าแกลบใหม่ตอ้ งผ่านการลา้ งน้ามาหลายคร้งั เพอ่ื ลดความเป็นด่าน
ของขเ้ี ถา้ แกลบ

๒. ขุยมะพรา้ ว เป็นขุยที่ได้จากการตเี ปลอื กมะพรา้ วแหง้ เพอ่ื นาเอาเสน้ ใยไปใช้ประโยชนอ์ ยา่ งอ่นื แล้วเหลือ
แตข่ ยุ ซ่งึ มีใยปะปนอยคู่ อ่ นข้างน้อย เป็นวัสดุเพาะชาท่เี กบ็ ความชน้ื ไดด้ ีมาก

๓. วัสดุเพาะชาผสมขยุ มะพร้าว ทราย ปยุ๋ คอก และดิน ในกรณีท่ีเพาะเล้ียงไวใ้ นเวลาหลาย ๆ วัน การใช้ขุย
มะพร้าวเพียงอยา่ งเดยี วอาจจะไม่เหมาะกบั เมล็ดพชื บางชนิดทไ่ี มต่ ้องการความช้นื แฉะมาก ดงั นนั้ ต้องนาทรายเข้ามา
ช่วยผสมเพอ่ื ไมใ่ ห้เกิดความชืน้ มากเกินไป

๔. ดินรว่ น ในกรณีทีไ่ มส่ ามารถหาวัสดุที่กลา่ วขา้ งต้นได้ก็สามารถใช้ดินรว่ นเปน็ วสั ดุเพาะชาได้ดีเช่นกัน
ฉะนนั้ การเลอื กใชว้ สั ดุเพาะชาแบบไหนน้ันขน้ึ อยกู่ บั ชนดิ พืชและความเหมาะสมในแต่ละพ้นื ทสี่ ภาพอากาศและ
บริเวณทีต่ ั้งของกระบะเพาะชา

วิธีการเพาะ
๑. นาเมล็ดท่ีผ่านการคดั เลือกและเตรยี มไว้เรยี บร้อยแลว้ มาเพาะในกระบะโดยเว้นระยะหา่ งระหวา่ งต้นและ
ระหว่าง แถว ๑๐x๑๐ หรอื ๑๐x๑๕ เซนติเมตร (เฉพาะไม้ผลทม่ี ใี บใหญ่ เช่น มะม่วง ขนนุ ) การวางเมลด็ ควรวางสว่ น
ข้ัวของเมล็ดลงในวสั ดุเพาะชา เพอ่ื ใหร้ ากพืชทเ่ี กิดใหม่หาอาหารได้ง่ายและยงั ทาใหร้ ะบบรากพืชตง้ั ตรงแขง็ แรงอกี
ด้วย จากนนั้ กลบดินหรือวัสดุเพาะชาให้มิดเมล็ด แต่พืชบางชนิดไมจ่ าเป็นต้องกลบดนิ จนมิดเมล็ด เชน่ มะม่วง
มะพร้าว ในกรณีทต่ี อ้ งกลบวสั ดุเพาะชาใหม้ ดิ เมล็ดก็ไมค่ วรเกนิ ๒-๓ เทา่ ของเส้นผ่าศนู ยก์ ลางของเมล็ดพชื นั้น ๆ
๒. ทาวัสดพุ รางแสงในช่วงแรก กรณที ม่ี ีแสงเขม้ มากอาจจะทาให้เมล็ดงอกได้ไม่ดเี ท่าทคี่ วร หลังจากเมล็ด
เรม่ิ งอกหมดแล้วจงึ นาวสั ดุพรางแสงออกทลี ะนอ้ ยจนกว่าจะมีใบจรงิ จนกระทง่ั ใบจรงิ ชดุ แรกแกแ่ ล้วจึงนาวสั ดุพราง
แสงออกใหห้ มด
๓. การให้นา้ หลังจากทาการเพาะเมล็ด ต้องรดนา้ ให้ช่มุ การให้นา้ ช่วงแรกอาจจะตอ้ งใช้บัวรดนา้ หรือถ้าใช้
ระบบใหน้ า้ ผ่านทางท่อสายยางก็จาเป็นตอ้ งหาฝกั บวั เสียบต่อตอนปลายทอ่ สายยาง เพอื่ ชะลอความแรงของนา้ ทจ่ี ะ
กระแทกวัสดุ เพาะชาทก่ี ลบเมล็ดไว้ รวมท้ังในกรณีทต่ี น้ ออ่ นเร่ิมงอกแล้ว การใหน้ ้าแบบใช้ท่อสายยางทไ่ี ม่ไดส้ วม
หวั บวั ที่ส่วนปลายก็อาจจะทาให้ต้นพืชทีง่ อกขนึ้ มาใหม่บอบช้า และหกั ล้มเสยี หาย ช่วงเวลาท่ีใหน้ ้าควรเปน็ เวลาชว่ ง
เชา้ ตรูแ่ ละเย็น ควรใหท้ กุ วัน แตก่ ็พจิ ารณาความเหมาะสมของสภาพอากาศดว้ ย ถา้ มีฝนตกลงมาควรงดการใหน้ า้

๔. การปฏิบตั ิดแู ลรกั ษา ควรฉดี พน่ สารเคมเี พ่อื ปอ้ งกันและกาจดั โรค แมลง เมื่อพบการถกู ทาลาย และ
กาจดั วชั พืชโดยใช้มือถือถอนออกจะดที ่สี ดุ ไมค่ วรใชส้ ารเคมีกาจัดวัชพืชฉีดพ่นในแปลงกลา้ เพราะอาจทาให้ต้นกลา้
ตายได้

๒. การเพาะในแปลงเพาะ
วิธกี ารนเี้ ปน็ วิธีท่งี า่ ย ลงทุนน้อย เพียงเตรียมแปลงบนดินโดยวธิ ีการขดุ ดินตงั้ แปลงเพาะใหค้ วามกวา้ งของ

แปลงประมาณ ๑-๑.๕ เมตร ความยาวแล้วแต่ความเหมาะสม
วิธกี ารเตรยี มแปลง
๑. ควรเลือกแปลงทีอ่ ยู่ใกล้บริเวณแหล่งนา้ เปน็ ที่ท่นี ้าไมท่ ่วมขังเมื่อมฝี นตกหนัก ห่างไกลจากจอมปลวก ขุด

ดนิ ตง้ั แปลงให้สว่ นดา้ นยาวของแปลงอยใู่ นแนวทิศเหนอื ใต้หรือขวางแนวแสงจากดวงอาทิตย์ ดนิ ท่ีทาการขดุ จะตอ้ ง
ยอ่ ยเมล็ดดนิ ให้แตกละเอียดพอสมควร ตากดนิ ไว้ประมาณ ๑๐-๑๕ วัน ในกรณีที่ดนิ นั้นมคี วามอดุ มสมบรู ณค์ ่อนขา้ ง
ตา่ อาจจะตอ้ งใสป่ ุ๋ยคอกเพิม่ คลกุ เคล้าเข้ากับดนิ ดว้ ย และถ้าพบว่าดนิ บรเิ วณนน้ั เปน็ กรดจะต้องใสป่ ูนขาวผสมไปใน
ดินที่เตรยี ม ไวเ้ ช่นกนั เพือ่ ลดความเปน็ กรดของดนิ

๒. ทาวสั ดุพรางแสงเพ่อื ลดอุณหภมู ิและความเขม้ ของแสง ซง่ึ อาจจะมีผลตอ่ การงอกของเมลด็ ได้ เพราะถ้า
อณุ หภมู ิสูงเกนิ ไปอาจจะทาให้เมล็ดไมง่ อกไดเ้ ช่นกนั เมอ่ื ต้นกลา้ งอกหมดแลว้ จงึ นาวัสดุพรางแสงออกทลี ะน้อยจน
หมด เพราะถา้ นาวัสดพุ รางแสงออกหมดเลยทีเดียวกอ็ าจทาให้ใบต้นกล้าไหม้แห้งตายได้

๓. การใหน้ ้าและการปฏิบัติดแู ลรกั ษาก็ทาเช่นเดยี วกับวธิ เี พาะเมลด็ ในกระบะเพาะ
๓. การเพาะในภาชนะ

ภาชนะท่ีใชเ้ พาะได้แก่ กระถางดนิ เผา ถาดเพาะชาสาเรจ็ รูป หรอื ถงุ พลาสตกิ สขี าวหรอื สดี าก็ได้ แต่ถุงสดี าจะ
ช่วยให้ระบบรากพืชเจรญิ ไดด้ ีกวา่ สีขาว ขนาดของภาชนะขนึ้ อยกู่ บั ชนิดตน้ พืชที่ทาการเพาะ รวมท้ังเวลาในการ
เพาะเลยี้ งว่ายาวนานเท่าไร ถ้าเพาะเล้ียงนานควรใชภ้ าชนะใหญ่ และภาชนะทน่ี ามาใช้ต้องเปน็ ภาชนะทม่ี ีรูระบายนา้
ที่บรเิ วณสว่ นกน้ ภาชนะ

วิธกี ารเพาะ
๑. เพาะเมลด็ ลงในภาชนะโดยตรง วิธีการน้ีหากหยอดเมล็ดพชื เพยี งเมลด็ เดยี วลงในภาชนะ ถ้าตน้ กล้าไม

งอกจะทาใหส้ ูญเสียเนือ้ ที่ในการวางภาชนะและส้นิ เปลอื งค่าใช้จา่ ยในการปฏบิ ตั ิดูแลรกั ษา ดังนน้ั ในกรณที ีเ่ มล็ดพชื มี
ขนาดเล็กอาจจะเพิม่ จานวนเมล็ดขน้ึ อกี เปน็ ๒-๓ เมลด็ และถ้าต้นพชื งอกขน้ึ ใหมใ่ นกระถาง ๒-๓ ต้น กใ็ ห้ถอนต้นท่ี

อ่อนแอหรือมขี นาดเลก็ กว่าออกเหลอื ต้นทโ่ี ตสมบูรณ์เพียงต้นเดยี ว
๒. วิธียา้ ยชาต้นกลา้ ออ่ น วิธกี ารนเ้ี ปน็ วธิ กี ารเตรียมภาชนะเพาะชาท่บี รรจดุ ว้ ยวสั ดุเพาะชาไว้เรยี บร้อยแลว้

ขณะเดียวกันการเพาะเมล็ดพชื ท่ีต้องการจะเพาะในถาดเพาะชาซ่ึงบรรจุดว้ ยวัสดุเพาะชาทีส่ ามารถทาการแยกต้นออ่ น
ออกมาได้ง่าย และเม่อื เมล็ดงอกแลว้ ก่อนท่ีใบเล้ยี งจะคลอ่ี อกกท็ าการยกถาดเพาะชาไปแช่น้าเพอื่ ใหว้ ัสดุเพาะชาออ่ น
ตัวแล้วคดั เลือกกลา้ อ่อนมาเพาะในภาชนะที่เตรียมไว้อกี ทหี นง่ึ วิธีการนีจ้ ะชว่ ยให้ไดต้ ้นกลา้ ขนึ้ เต็มทีท่ กุ ภาชนะ และ

ไดต้ ้นพืชใหม่ทม่ี ีขนาดเทา่ ๆ กนั อีกด้วย อกี ท้ังเป็นการชว่ ยลดจานวนภาชนะชาเมล็ดพันธแ์ุ ละลดต้นทุนในการปฏิบัติ
ดแู ลรักษาอีกด้วย

สรุป

การขยายพันธุ์พืช เป็นการใช้เทคโนโลยีที่มีการคิดค้นจากความสามารถและประสบการณ์ของ
เกษตรกรผู้ท่ีมีความพยายามที่จะขยายพันธุ์พืช เพื่อการรักษาพันธุ์พืชและการจาหน่าย การขยายพันธุ์พืช มีเทคนิค
และวิธีการที่มีความแตกต่างกัน ผู้ที่มีความสนใจควรมีการศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆเพ่ิมเติมเช่น ในส่ือต่างๆหรือ
จากผู้ร้โู ดยตรง และนามาทดลองปฏิบัตเิ พอ่ื เกิดความชานาญและพฒั นาอาชีพของตนเองตอ่ ไป

ภาคผนวก

บรรณานุกรม

เวบ็ ไซดเ์ กษตรพอเพียง
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=467.0
http://www.gotoknow.org/posts/450687
http://www.pantown.com/board.php?id=25869&area=3&name=board7&topic=1&action=v
http://www.gotoknow.org/posts/450687
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308731246&



หลกั สตู รสตู รสถานศกึ ษา

การขยายพนั ธ์พุ ชื จานวน ๕๐ ชว่ั โมง

ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อาเภอกาบเชงิ
สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั สรุ นิ ทร์


Click to View FlipBook Version