The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

น.ส.สนีญา วงศ์วาสนา รหัส031 ปวส.2/2 ดกฟ.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 031 สนีญา วงศ์วาสนา, 2024-01-11 11:28:11

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศิลปกรรม

น.ส.สนีญา วงศ์วาสนา รหัส031 ปวส.2/2 ดกฟ.

ความรู้พื้รู้นพื้ฐานทางศิลศิ ปะ 1 ความหมายของศิลศิ ปะ 1 ความงามของธรรมชาติแติละความงามของศิลศิ ปะ 1 คุณค่าของศิลศิ ปะ 2 ประเภทของศิลศิ ปะ (Classification of art) 3 ทัศทันศิลศิ ป์ (VISUAL ART) 4 ทัศทันธาตุ 5 หลักลัการจัดจัองค์ปค์ระกอบศิลศิ ป์ 6 การวิเวิคราะห์และวิจวิารณ์ศิลศิ ปะ 7 ทฤษฎีหฎีรือรืเกณฑ์ในงานศิลศิ ปะ 8 วงจรของศิลศิ ปะวิจวิารณ์ 9 สารบัญ บั เรื่อรื่ง หน้า


ยุคสมัยมัและรูปรูแบบของงานทัศทันศิลศิ ป์ 10 ยุคก่อนประวัติวัศติาสตร์ 10 ศิลศิ ปะสมัยมัอียิอี ปยิต์ 11 ศิลศิ ปะสมัยมัเมโสโปเตเมียมี12 ศิลศิ ปะสมัยมั โรมันมั13 ศิลศิ ปะตะวันวัออก 14 ศิลศิ ปะสากล 15 สารบัญ บั เรื่อรื่ง หน้า


ความงามของธรรมชาติ ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามกฎเกณฑ์ของความเป็นจริง โดยส่วน รวมเกิดขึ้นตาม วัฏจักรของตนเอง และมีความจำ เป็นต่อการดำ รงชีพ มนุษย์เราอาศัยธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น ธรรมชาติทำ ให้เราเกิดความรู้สึกมีความสุขสดชื่น แจ่มใส และเบิกบาน เมื่อเราได้พบเห็น หรือไม่ได้รับอากาศอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ความงามของศิลปะ คือ ความงามที่เกิดจากการสร้างสรรค์จากความคิด สติปัญญา ของมนุษย์ เท่านั้น ซึ่งแบ่งออกได้ ดังนี้ 1. โดยการพิจารณาตามรูปแบบของศิลปะ ประกอบด้วย 1.1 ความงามของจิตรกรรม คือ ความงามที่แสดงออกเกี่ยวกับ เส้น สี แสง – เงา รูปร่าง 1.2 ความงามของปติมากรรม คือ ความงามที่แสดงออกให้เห็นถึง ปริมาตร แสง – เงา สัดส่วน 1.3 ความงามของสถาปัตยกรรม คือ ความงามที่แสดงออกให้เห็นรูปร่าง รูปทรง ปริมาตร บริเวณว่าง ความสะดวกในการใช้สอย 2. โดยการพิจารณาตามลักษณะของความมุ่งหมายในการแสดงออกประกอบด้วย 2.1 สร้างขึ้นเพื่อบรรยายหรืออธิบายตามเรื่องราว 2.2 สร้างขึ้นเพื่อแสดงออกเพื่ออารมณ์ตามความรู้สึก 2.3 สร้างขึ้นเพื่อประดับตกแต่งให้สวยงาม ความหมายของศิลปะ ศิลปะ (ART) เป็นคำ ที่มีความหมายกว้าง และมีค่านิยมที่ไม่แน่นอนตายตัวขึ้นอยู่กับผู้ให้คำ นิยาม เช่น ศิลปิน นักการศึกษาทางศิลปะ และนักวิจารณ์ศิลปะ เป็นต้น จึงพอจะสรุปได้ว่า “ศิลปะ คือ ผลงานของมนุษย์ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความงามและความพึงพอใจของมนุษย์” ความงามของธรรมชาติและความงามของศิลปะ


คุณค่าของศิลปะ 1. คุณค่าของศิลปะทางความรู้สึกเช่น ความงาม ความเชื่อ เป็นต้น 2. คุณค่าของศิลปะทางการอำ นวยประโยชน์ เช่น การอยู่อาศัย 3. คุณค่าของศิลปะในทางช่วยสร้างสรรค์ความเจริญเช่น ด้านมนุษยธรรม


แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ 1. วิจิตรศิลป์ (Fine art) บางที่เราก็เรียกว่าประณีตศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่ตอบสนองความ ต้องการของมนุษย์ด้านจิตใจและอารมณ์แบ่งออกได้เป็น 5 แขนง คือ 1.1 จิตรกรรม หมายถึง การวาดภาพโดยใช้วัสดุการเขียนลงบนพื้นระนาบ 1.2 ประติมากรรม หมายถึง การปั้น การแกะสลัก และการหล่อ 1.3 สถาปัตยกรรม หมายถึง การออกแบบสิ่งก่อสร้างและที่อยู่อาศัย 1.4 วรรณกรรม หมายถึงการประพันธ์ต่างๆ 1.5 นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่แสดงออกทางท่าทางและทางเสียงที่มี จังหวะ 2. ประยุกต์ศิลป์ (Applied art) หมายถึง ศิลปะที่ตอบสนองความต้องการทางร่างกาย จิตใจ ได้แก่ 2.1 พาณิชยศิลป์ หรือศิลป์เพื่อการค้า 2.2 อุตสาหกรรมศิลป์ หมายถึง ศิลป์ที่เป็นผลผลิตด้านอุตสาหกรรม 2.3 มัณฑนศิลป์ หมายถึง ศิลปะการออกแบบตกแต่ง ภายใน – ภายนอก 2.4 ศิลปหัตถกรรม หมาย ศิลปะที่ทำ ด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หัตถศิลป์” ความเป็นมาของประยุกต์ศิลป์ มีบทบาทต่อสังคมมาตั้งแต่สมัยดึกดำ บรรพ์และ ได้เจริญขึ้นตามกาลเวลา รูปแบบเปลี่ยนไปตามความนิยมของแต่ละยุคสมัย ซึ่งจำ แนกได้ ดังนี้ 1. ความต้องการทางประโยชน์ใช้สอย 2. สภาพทางสังคมตามสภาพความนิยม 3. สภาพทางเศรษฐกิจ คุณค่าของงานประยุกต์ศิลป์ มีดังนี้ 1. คุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย เช่น ขนาดสัดส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์ ความเหมาะสมกับหน้าที่ ใช้สอย ความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย 2. คุณค่าทางความงาม เช่น การออกแบบอย่างสมบูรณ์ลงตัว ประเภทของศิลปะ (Classification of art)


ทัศนศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่มีตัวตน กินเนื้อที่ในอากาศ สามารถจับต้องได้และสนองประสาท สัมผัสทางตา สามารถแบ่งออกได้เป็นแขนงต่าง ๆ คือ 1. จิตรกรรม (PAINTING) คือการเขียนภาพโดยใช้สี ส่วนมากผู้เขียนใช้พู่กัน ซึ่งเป็นการ ถ่ายทอดรูปแบบที่เห็นจากธรรมชาติ หรือ สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นตามแนวความคิด สร้างสรรค์ ผู้ที่ทำ งานจิตรกรรม เรียกว่า “จิตรกร(ARTIST)” ผลงานจิตรกรรมสามารถแยกตาม ลักษณะต่าง ๆ กัน คือ 3.1.1 เรียกชื่อตามวัสดุที่ใช้ เช่น จิตรกรรมสีน้ำ จิตรกรรมสีน้ำ มัน จิตรกรรมสีอครีลิก ฯลฯ 3.1.2 เรียกชื่อตามเรื่องราว เช่น จิตรกรรมหุ่นนิ่ง จิตรกรรมภาพทิวทัศน์ จิตรกรรมภาพคน ฯลฯ 3.1.3 เรียกชื่อตามตำ แหน่งติดตั้ง เช่น จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมโฆษณากล้างแจ้ง จิตรกรรมประดับผนังอาคาร, โรงแรม ฯลฯ 2. ประติมากรรม (SCULPTURE) มีลักษณะเป็นสามมิติ คือ มีความกว้าง ความยาว ความหนา หรือความสูง มีวิธีทำ ได้หลายวิธี เช่น 2.1 วิธีปั้น หมายถึง การเอาวัสดุส่วนย่อยเพิ่มเข้าเพื่อให้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ดินเหนียว ดิน น้ำ มัน ขี้ผึ้ง ฯลฯ 2.2 วิธีแกะสลัก หมายถึง การเอาส่วนย่อยออกจากส่วนรวม วัสดุที่ใช้ เช่น หินอ่อน ไม้ ศิลาแลง ฯลฯ 2.3 วิธีทุบ ตี วัสดุที่ใช้เป็นพวกโลหะ นำ มาทำ เพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ 2.4 วิธีหล่อ เป็นกระบวนการที่ต่อจากการทำ ประติมากรรมปั้นเพื่อให้ได้จำ นวนมากตามความ ต้องการ ทัศนศิลป์ (VISUAL ART)


3. สถาปัตยกรรม (ARCHITECTURE) สถาปัตยกรรมเป็นงานที่รวมจิตรกรรมและประติมากรรมมา ประกอบด้วยมีขนาดใหญ่กว่าศิลปะแขนงอื่น ๆ เป็นทัศนศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ ก่อสร้างเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ เป็นการกำ หนดขอบเขตบริเวณว่างเพื่อให้เกิดประโยชน์ ผู้ ออกแบบสถาปัตยกรรม เรียกว่า สถาปนิก (ARCHITECT) ความเป็นมาของสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมที่มีลักษณะเด่น ให้เห็นเด่นชัด สมัยแรกมนุษย์อยู่ตามถ้ำ ซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ต่อมามนุษย์อพยพ ออกจากถ้ำ แหล่งที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ก็คือ บริเวณใกล้แม่น้ำ ลำ ธาร เพื่อสะดวกในการไปมา หาสู่กัน เป็นที่สร้างที่อยู่อาศัยใช้ในการเพาะปลูก สถาปัตยกรรมจึงเป็นการก่อสร้างอัน สำ คัญของมนุษย์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตนเองและสังคม ประเภทของสถาปัตยกรรม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. สถาปัตยกรรมที่เป็นปูชนียสถาน เป็นประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้ 2. สถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัย เป็นประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่ได้ เช่น อาคารบ้านเรือน สถาปัตยกรรมแบ่งตามลักษณะวัสดุและเทคนิคการก่อสร้าง มี 4 ประเภท คือ 1. สถาปัตยกรรมเครื่องไม้ 2. สถาปัตยกรรมเครื่องหิน 3. สถาปัตยกรรมคอนกรีตเสริมเหล็ก 4. สถาปัตยกรรมโครงเหล็ก ทัศนศิลป์ (VISUAL ART) ทัศนธาตุ (VISUAL ELEMENTS) เป็นองค์ประกอบสำ คัญของงานศิลป์ ได้แก่ 1. เส้น (LINE) คือส่วนประกอบเบื้องต้นที่สำ คัญ 2. รูปร่างและรูปทรง 3. แสงและเงา 4. บริเวณว่าง 5. สี 6. ลักษณะพื้นผิว


หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ หมายถึง หลักการจัดวางสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกันและเกิดเป็นศิลปะ จะเอาองค์ประกอบมาจัดทุกอย่างหรือบางอย่างก็ได้มาประกอบกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมีอยู่หลาย อย่างด้วยกัน ซึ่งมนุษย์ได้แบบอย่างมาจากธรรมชาติ บางครั้งก็ดัดแปลงขึ้นมาใหม่ แต่บางอย่าง ก็นำ ธรรมชาติมาใช้เลย สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา ได้แก่ 1. จุด 2. เส้น 3. ทิศทาง 4. รูปร่างและรูปทรง 5. ขนาดและสัดส่วน 6. ลักษณะผิว 7. น้ำ หนักสีอ่อนแก่ 8. สี องค์ประกอบที่ดีนั้น ควรจะประกอบไปด้วยส่วนสำ คัญ 2 ส่วน คือ 1. ส่วนประธาน หมายถึง จุดสนใจของภาพเป็นส่วนที่สำ คัญที่สุด 2. ส่วนรองประธาน หมายถึง ส่วนสำ คัญรองลงไปเป็นส่วนที่จะมาช่วยให้งานมีเนื้อหา มีความ เด่น มีคุณค่าและสมบูรณ์มากขึ้น หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์


มีความสำ คัญเพราะเป็นเครื่องแสวงหาความรู้ ตรวจสอบ แนวความคิด และวิธีการแสดงออกใน ผลงานศิลปะทั้งของตนเองและผู้อื่น การวิจารณ์ศิลปะเป็นเนื้อหา และกิจกรรมใหม่สำ หรับ สังคมไทย เริ่มมีขึ้นเมื่อตอนมีการจัดสัมนาศิลปะการวิจารณ์ขึ้นที่มหาวิทยาลัยศิลปากรพระราชวัง สนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ในปี พ.ศ. 2523 ปัจจุบันยังไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าที่ควร ฉะนั้น การพัฒนาเกี่ยวกับการวิจารณ์ ศิลปะจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ในชั้นเรียน ฝึกหัดให้แสดงความคิด เห็น วิเคราะห์ และตีความผลงานศิลปะอยู่เสมอ สร้างความเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตน โดย ตั้งอยู่บนเหตุผลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ ตามพจนานุกรมนักเรียน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ หมายถึง การใคร่ครวญ แยกแยะออกเป็นส่วน ๆ การวิจารณ์ศิลปะ ตามพจนานุกรมศัพท์ศิลปะฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง การวิพากษ์ วิจารณ์ ผลงานทางศิลปะซึ่งศิลปินได้สร้างสรรค์ไว้ โดยให้ความเห็นตามกฎเกณฑ์และหลักการ ของศิลปะแต่ละสาขา ทั้งในด้านสุนทรีย์ศาสตร์และปรัชญาสาขาอื่น ๆ คุณสมบัติของนักวิจารณ์ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะทั้งในส่วนที่เป็นประจำ ชาติ และสากล 2. ควรมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลป์ รูปแบบงานศิลปะ ทำ ให้มองงานที่จะวิจารณ์ได้หลาย ประเด็น 3. ควรมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ ช่วยให้รู้แง่มุมของความงาม เปิดใจให้กว้างขึ้น จะได้ไม่ เอากรอบใดกรอบหนึ่งมาวัดงานทุกชิ้น 4. ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง และไม่คล้อยตามคนอื่น 5. กล้าที่จะแสดงออกทั้งที่เป็นไปตามหลักวิชาการและแสดงออกตามความรู้สึกและ ประสบการณ์ การวิเคราะห์และวิจารณ์ศิลปะ


สิ่งสำ คัญในการวิจารณ์ศิลปะ คือ “เกณฑ์” ที่เป็นบรรทัดฐาน ของวิธีการศึกษาที่กำ หนดขึ้นใช้ โดยก่อนจะทำ การวิจารณ์งานศิลปะควรที่จะทราบลักษณะของงานเสียก่อน เพื่อจะได้ทำ การ วิจารณ์ได้อย่างถูกต้อง ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ 1. นิยมการเลียนแบบ เป็นการเห็นความงามในธรรมชาติแล้วเลียนแบบไว้ให้เหมือนทั้งรูปร่าง รูปทรง สีสัน ฯลฯ เกณฑ์ พิจารณาความเหมือนทั้งรูปร่างลักษณ์และความรู้สึก เช่น ภาพแตงโมผ่าซีก ต้องดู แล้วรู้สึกหวานฉ่ำ 2. นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ ให้สวยงามด้วยทัศนธาตุ (เส้น รูป ร่าง รูปทรง สี น้ำ หนัก ผิว บริเวณว่าง ) และเทคนิควิธีการต่าง ๆ เกณฑ์ ความสวยงามรูปร่าง รูปทรง สัดส่วน การจัดภาพ เทคนิคการ สร้างสรรค์ บางครั้งไม่แสดงเนื้อหาเรื่องราว 3. นิยมแสดงอารมณ์ เป็นการสร้างงานให้ดูมีความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอารมณ์อันที่เนื่องมาจาก เนื้อหาเรื่องราว และอารมณ์ของศิลปินที่ถ่ายทอดลงไปในชิ้นงาน เกณฑ์ ภาพกระตุ้นให้ผู้ดูผู้ชมเกิดความรู้สึกไปตามที่แสดงออก หรือกระตุ้น ความรู้สึกที่เป็นประสบการณ์เดิมของผู้ดูแต่ละคน 4. นิยมแสดงจินตนาการ เป็นงานที่แสดงภาพจินตนาการ และแสดงความคิดฝันที่แตกต่างไป จากธรรมชาติ และสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ เกณฑ์ การแสดงออกอย่างอิสรเสรีทั้งเนื้อหา เรื่องราว และเทคนิควิธีการ สร้างสรรค์ ทฤษฎีหรือเกณฑ์ในงานศิลปะ


การทำ ความเข้าใจศิลปะวิจารณ์จะต้องรับรู้องค์ประกอบ หรือวงจรที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำ ให้เข้าใจ ความสัมพันธ์อันเป็นเหตุปัจจัยต่อกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ 1. ศิลปิน เป็นผู้มีหน้าที่สร้างสรรค์งานศิลปะซึ่งต้องมีความจริงใจที่จะสร้าง ผลงานขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลใดทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ และในด้านของผลประโยชน์ทาววัตถุ นอกจากนั้นศิลปินจะต้องมีความสามารถพิเศษหรือเรียก ว่า “พรสวรรค์” ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของตนเองด้วยภาษาของทัศนศิลป์ ประการ สำ คัญศิลปิน จะต้องเป็นผู้ที่มีโลกทัศน์กว้างขวาง มีความเข้าใจในชีวิตมนุษย์และปรัชญาการ ดำ เนินชีวิต 2. ผลงานศิลปะ คือ รูปของผลงานศิลปะที่ศิลปินใช้เป็นภาษาหรือสื่อกลางที่ จะถ่ายทอดความนึกคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตนออกมา ภาษาทางทัศนศิลป์เป็นการใช้ ภาษาของการมองเห็นด้วยตา 3. คนดู คือ ส่วนของประชาชนที่เป็นผู้รับรู้ภาษาที่ศิลปินใช้สื่อความหมาย คนดูเป็นองค์ประกอบสำ คัญที่จะทำ ให้ความหมายของการสร้างศิลปะสมบูรณ์ครบวงจร ผลงาน ศิลปะใดถ้าขาดคนดูย่อมจะสูญเสียความประสงค์สำ คัญทั้งหมด คนดูจะรวมไปถึงนักวิจารณ์ ศิลปะด้วย ปละคนดูโดยทั่วไปอาจกล่าวโดยอนุมานได้ว่า เขาทุกคนคือนักวิจารณ์ศิลปะเพราะ จะต้องตัดสิน หรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงความชอบและไม่ชอบของตนเอง การวิจารณ์ศิลปะ มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ 1. เพื่อให้ผู้รู้ ครู อาจารย์ และนักวิจารณ์ศิลปะ ได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจและ ประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับศิลปะให้กับผู้ที่สนใจรวมทั้งนักศึกษา อย่างถูกต้องตามหลัก วิชาการ ที่ผ่านมายังไม่มีการเรียนการสอนวิชาศิลปวิจารณ์อย่างเป็นระบบ 2. เพื่อให้ผู้ที่สนใจรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาได้รับความรู้ หรือเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ และ ประสบการณ์เกี่ยวกับศิลปะให้กับตนเองอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จนสามารถเข้าใจและ ชื่นชมศิลปะได้ 3. เพื่อให้นักวิจารณ์ศิลปะได้ช่วยเผยแพร่ หรือบอกเล่าความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะนัก วิจารณ์ศิลปะยังทำ หน้าที่เป็นตัวกลาง เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างศิลปินกับผู้ชม วงจรของศิลปะวิจารณ์


มนุษย์ผู้เริ่มสร้างศิลปะในยุโรปได้แก่ มนุษย์โคร-มันยอง ซึ่งมีอายุระหว่าง 50,000 – 5,000 ปี มาแล้ว งานทัศนศิลป์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในยุโรปและในประเทศไทย มีรายละเอียดดังนี้ 1. งานจิตรกรรม ที่มีชื่อเสียงมากคือ จิตรกรรมบนฝาผนังที่ค้นพบตามผนังถ้ำ และหน้าผา เช่น ที่ผนังถ้ำ อัลตามิรา ในประเทศสเปน ส่วนในประเทศไทยก็มีหลายแห่ง เช่น ผาแต้ม จ.อุบลราชธานี ลักษณะของงานจิตรกรรมพอสรุปได้ ดังนี้ 1. เรื่องราวของภาพส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ ภาพคน การดำ รงชีวิต 2. ลักษณะของภาพ เขียนเป็นภาพเส้นรอบนอกก่อน แล้วระบายสีภายใน บางภาพก็เป็น ภาพเส้นหยาบๆ มักแสดงรูปสัตว์ด้านข้างแสดงให้เห็นอวัยวะต่าง ๆ ชัดเจน 3. สีที่ใช้มีสีที่ได้จากดินสีต่าง ๆ เช่น ดินเหลือง ดินแดง ดินดำ 2. งานประติมากรรม ได้แก่ ภาพสลักหิน ภาพลอยตัวขนาดเล็ก ๆ มีทั้งภาพคน และภาพสัตว์ ภาพคนที่มีชื่อเสียงมากคือ ภาพสตรีที่มีชื่อว่า “วีนัส วิเลนดอรฟ” พบในถ้ำ ที่ ออสเตรีย 3. งานสถาปัตยกรรม ในสมัยแรกมนุษย์รู้จักทำ การก่อสร้าง เมื่อออกจากถ้ำ ได้แก่ การนำ ก้อน หินหรือแท่งหินมาประกอบกันโดยการวางโครงสร้างหยาบๆ คือวางซ้อนกันหรือพาดกัน เรียกว่า หินตั้ง หรือโต๊ะหิน ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคสมัยและรูปแบบของงานทัศนศิลป์


ชาวอียิปต์เชื่อว่า ชีวิตจะกลับคืนสู่ร่างกายของคนตายได้ จึงเก็บซากศพของคนตายไว้แล้วอาบ น้ำ ยาเรียกว่า มัมมี่ และของใช้ทั้งหลายขณะที่ยังดำ เนินชีวิตอยู่ ก็เก็บฝังรวมกับศพล้วนเป็นของ มีค่าทั้งสิ้น หลุมฝังศพเป็นของกษัตริย์ที่มีความสำ คัญ ก็จะสร้างเป็นปิรามิด ศิลปะอียิปต์ที่สำ คัญ คือ ศิลปะสมัยอียิปต์ ศิลปะสมัยเมโสโปเตเมีย ศิลปกรรมที่สำ คัญและรู้จักกันแพร่หลาย คือ 1. ประติมากรรม ได้แก่ ภาพแกะสลักลงไปในอิฐที่เรียงเป็นซุ้มประตู ผนังหรือกำ แพงอยู่แล้ว 2. สถาปัตยกรรม ได้แก่ ซากบ้านเมือง และวิหารเมือง อูร์ (UR) สิ่งก่อสร้างในเมืองนี้สร้างด้วย อิฐดินเผาและดินดิบที่มีชื่อเสียงมากคือ วิหารใหญ่ที่ทำ เป็นหอสูง มีทางวนเวียนราดลงแทนบันได อาคารต่าง ๆ มีเสาขนาดใหญ่ ๆ มีการสร้างเพดานโค้งและมีการสลักตกแต่งสวยงาม สิ่งก่อสร้างที่ มีชื่อเสียงมากอีกแห่งคือ สวนลอยแห่งบาบิโลน มีการสร้างสวนให้สูงจากพื้น โดยการก่อสร้างอิฐ ซ้อนกันขึ้นไป โดยวางแผนผังลดหลั่นกันอย่างสลับซับซ้อน ตามซุ้มประตูต่างๆ ประดับด้วยภาพ สลักมหึมา 1. จิตรกรรม ลักษณะภาพเขียนของอียิปต์เป็นศิลปะแบบเริ่มแรก คือ เขียน ตามความรู้สึกไม่ คำ นึงถึงความถูกต้อง และความเป็นจริง เป็นรูปทรงแบบง่าย ๆ 2. ประติมากรรม เป็นรูปสลักใหญ่โต คือ รูปสฟริงค์ 3. สถาปัตยกรรม 3.1 สถานที่ฝังศพ สร้างปิรามิด องค์และมีชื่อเสียงที่สุด คือ ปิรามิด กิเซท์ สร้างขึ้นเพื่อบรรจุศพกษัตริย์ คุฟู 3.2 วิหาร สำ หรับประดิษฐานเทวรูปหรือเทพเจ้า วิหารที่ สำ คัญ คือ วิหารคาร์นัค วิหารลักซอร์


แบบอย่างศิลปะโรมันปรากฎลักษณะชัดเจนในช่วงพุทธศตวรรษ ที่ 4 เรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1040 โดยในช่วงเวลา หลังได้เปลี่ยนสาระเรื่องราวใหม่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา คริสต์ สืบต่อมาเป็นเวลาอีกนานมาก จนกระทั่งเมื่อ กรุงคอนสะ แตนติโนเปิลได้กลายเป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมัน ในปี พ.ศ.870 ทำ ให้สมัยแห่งโรมันต้องสิ้นสุดลง ศิลปะสมัยโรมัน 1. แหล่งอารยธรรมสำ คัญของโรมัน คือ อารยธรรมกรีกและอีทรัสกัน 2. จิตรกรรมของโรมัน อาศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอี สตาบิเอ และ เฮอร์คิวเลนุม ซึ่ง ถูกถล่มทับด้วยลาวาจากภูเขาไฟวิสุเวียส เมื่อ พ.ศ. 622 และถูก ขุดค้นพบในสมัยปัจจุบัน จิตรกรรม ผาฝนังประกอบด้วยแผงรูปสี่เหลี่ยผืนผ้า ซึ่ง มักเลียนแบบหินอ่อน เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพคน และ ภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม มีการใช้แสงเงา และกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจน เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกับ กาวน้ำ ปูน และสีขี้ฝึ้งร้อน นอกจากการวาดภาพ ยังมีภาพประดับด้วยเศษหินสี (Mosaic) ซึ่งใช้กันอย่าง กว้างขวาง ทั้งบนพื้นและผนังอาคาร 3. ประติมากรรมของโรมัน ได้รับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงลักษณะ ที่ถูกต้องทางกายภาพ เป็นแบบอุดมคติที่เรียบง่าย แต่ดูเข้มแข็ง มาก ประติมากรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็น ที่นิยมคือประติมากรรมรูปนูนเรื่องเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดของเรื่องราว เหตุการณ์ถูกต้อง ชัดเจน ประติมากรรม โรมันในยุคหลัง ๆ เริ่มเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนามากเป็นพิเศษ วัสดุที่ใช้สร้างประติมากรรมของโรมันมักสร้างขึ้นจาก ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และสำ ริด 4. สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน วัสดุที่ใช้ สร้างอาคารได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูน และคอนกรีต ซึ่งชาวโรมันเป็นชาติแรก ที่ใช้คอนกรีตอย่างกว้างขวาง และ พัฒนารูปแบบออกจากระบบเสาและคาน ไป สู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลม และหลังคาทรงโค้ง กากบาท มีการนำ สถาปัตยกรรมที่สำ คัญของกรีกทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้นชาวกรีกใช้เสาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง แต่ชาว โรมันมักจะเพิ่มการ ตกแต่งลงไป โดยไม่คำ นึงถึงประโยชน์ทางโครงสร้างเท่าไร นัก ลำ เสาของกรีกจะเป็นท่อน ๆ นำ มา วางซ้อนต่อกันขึ้นไป แต่เสาของโรมันจะ เป็นเสาหินท่อนเดียวตลอด รูปแบบอนุสาวรีย์ที่พบมากของ โรมันคือ ประตูชัย เป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับตกแต่งด้วยคำ จารึก และรูปนูนบรรยายเหตุการณ์ ที่ เป็นอนุสรณ์


ได้แก่ ลักษณะของศิลปะที่แสดงคุณลักษณะเฉพาะอย่างของรูปแบบ ศิลปะจะแสดงออกทางอิทธิพล ทางภูมิอากาศ ขนบประเพณี รูปแบบของศิลปะตะวันออกจะเด่นชัดทางอิทธิพลทางศาสนา เช่น งาน ทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนประยุกต์ศิลป์ งานประณีตศิลป์และงาน หัตถกรรม ซึ่งมีส่วนในการนำ ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำ วันของชาวตะวันออกตามพื้นเพเดิมของ การดำ รงชีวิต ชาวตะวันออก คือ มนุษย์ที่อยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออก ตั้งแต่ตะวันออกกลาง จนถึงตะวันออกไกล โดยมีรูปร่างทางร่างกายและวัฒนธรรมเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่แตกต่างกันออกไป ด้วย การนับถือศาสนาก็มีอิสระต่อกัน ประกอบด้วย ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ลัทธิ เต๋า และศาสนาคริสต์ เป็นต้น สภาพความเป็นอยู่จะเป็นไปตามลักษณะของภูมิประเทศและภูมิ อากาศ ซึ่งทำ ให้ลักษณะบ้านเรือน เครื่องแต่งกายและสิ่งของเครื่องใช้เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม การ สร้างสรรค์ศิลปะจึงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง ศิลปะในประเทศตะวันตกนั้น มีโอกาสที่จะเป็นลักษณะ เดียวกันในบางยุคบางสมัย เพราะมีความนิยมร่วมกัน แต่ในประเทศตะวันออกนั้น ล้วนมีเอกลักษณ์ ประจำ ชาติของตนเองมาแต่ยุคโบราณ และต่างก็สืบต่อลักษณะทางศิลปะกันลงมาไม่ขาดสายจึงเป็น สิ่งยืนยันได้ว่าชาวตะวันออกซึ่งประกอบด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ นั้น มีความเคารพนับถือใน ขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองยิ่งกว่าชีวิต ทำ ให้ศิลปะของชาวตะวันออกมีลักษณะรูปแบบตนเอง “ ศิลปะประจำ ชาติ ” เด่นชัด และไม่ถือเอาความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นสำ คัญ จึงสร้างสรรค์ ศิลปะให้บังเกิดความงามที่เหนือขึ้นไปจากธรรมชาติตามรสนิยมและความรู้สึกของตน ความเป็นมาของศิลปะไทย ไทยเป็นชาติที่มีศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมาช้านานแล้ว เริ่ม ตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวัฒนาการและสืบเนื่องเป็นตัวของตัวเองในที่สุด เท่าที่เรา ทราบราว พ.ศ. 300 จนถึง พ.ศ. 1800 พระพุทธศาสนานำ เข้ามาโดยชาวอินเดีย ครั้งนั้นแสดงให้ เห็นอิทธิพลต่อรูปแบบของศิลปะไทยในทุก ๆ ด้านรวมทั้งภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดยกระจาย เป็นกลุ่มศิลปะสมัยต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สมัยทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เมื่อกลุ่มคนไทยตั้งตัวเป็นปึกแผ่น แล้ว ศิลปะดังกล่าวจะตกทอดกลายเป็นศิลปะไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรค์ให้มีลักษณะพิเศษกว่า งานศิลปะของชาติอื่น ๆ คือ จะมีลวดลายไทยเป็นเครื่องตกแต่ง ซึ่งทำ ให้ลักษณะของศิลปะไทยมีรูป แบบเฉพาะมีความอ่อนหวาน ละมุนละไม และได้สอดแทรกวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและ ความรู้สึกของคนไทยไว้ในงานอย่างลงตัว ดังจะเห็นได้จากภาพฝาผนังตามวัดวาอารามต่าง ๆ ปราสาท ราชวัง ตลอดจนเครื่องประดับและเครื่องใช้ทั่วไป ศิลปะตะวันออก


ศิลปะตะวันออก ลักษณะของศิลปะไทย ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความ งามอย่างนิ่มนวลมีความละเอียดปราณีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยและจิตใจของคนไทยที่ ได้สอดแทรกไว้ในผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้น โดยเฉพาะศิลปกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่ง เป็นศาสนาประจำ ชาติของไทย อาจกล่าวได้ว่าศิลปะไทยสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา เป็นการเชื่อมโยงและโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ภาพไทย หรือจิตรกรรมไทยจัดเป็นภาพเล่าเรื่องที่เขียนขึ้นด้วยความคิดจินตนาการของคนไทย มีลักษณะตามอุดมคติของกระบวนงานช่างไทย คือ 1. เขียนสีแบน ไม่คำ นึงถึงแสงและเงา นิยมตัดเส้นให้เห็นชัดเจน และเส้นที่ใช้ จะแสดง ความรู้สึกเคลื่อนไหวนุ่มนวล 2. เขียนตัวพระ-นาง เป็นแบบละคร มีลีลา ท่าทางเหมือนกัน ผิดแผกแตกต่าง กันด้วยสี ร่างกายและเครื่องประดับ 3. เขียนแบบตานกมอง หรือเป็นภาพต่ำ กว่าสายตา โดยมุมมองจากที่สูงลงสู่ ล่าง จะเห็นเป็น รูปเรื่องราวได้ตลอดภาพ 4. เขียนติดต่อกันเป็นตอน ๆ สามารถดูจากซ้ายไปขวาหรือล่างและบนได้ทั่ว ภาพ โดยขั้น ตอนภาพด้วยโขดหิน ต้นไม้ กำ แพงเมือง และเส้นสินเทาหรือ คชกริด เป็นต้น 5. เขียนประดับตกแต่งด้วยลวดลายไทย มีสีทองสร้างภาพให้เด่นเกิดบรรยากาศ สุขสว่างและมี คุณค่ามากขึ้น ภาพลายไทย เป็นลายที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยมีธรรมชาติมาเป็นแรงดลบันดาลใจ โดยดัดแปลง ธรรมชาติให้เป็นลวดลายใหม่อย่างสวยงาม เช่น ตาอ้อย ก้ามปู เปลวไฟ รวงข้าว และดอกบัว ฯลฯ ลายไทยเดิมทีเดียวเรียกกันว่า "กระหนก" หมายถึงลวดลาย เช่น กระหนกลาย กระหนก ก้านขด ต่อมามีคำ ใช้ว่า "กนก" หมายถึง ทอง กนกปิดทอง กนกตู้ลายทอง แต่จะมีใช้เมื่อใดยัง ไม่มีหลักฐานแน่ชัด ซึ่งคำ เดิม "กระหนก" นี้เข้าใจเป็นคำ แต่สมัยโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยทวา ราวดี โดยเรียกติดต่อกันจนเป็นคำ เฉพาะ หมายถึงลวดลายก้านขด ลายก้านปู ลายก้างปลา ลายกระหนกเปลว เป็นต้น การเขียนลายไทย ได้จัดแบ่งตามลักษณะที่จัดเป็นแม่บทใช้ในการ เขียนภาพมี 4 ลาย ด้วยกัน คือลายกระหนก ลายขดรี ลายกระบี่และลายคชะ เป็นต้น


ศิลปะสากล ศิลปะสากลหรือศิลปะตะวันตก หมาย ถึง ศิลปะที่สร้างขึ้นในอารยธรรมยุโรป อียิปต์ กรีก โรมัน ซึ่งมีการพัฒนามาเป็นเวลากว่าสามพันปี จนมีรูปแบบแนวคิด ความเชื่อตามยุคสมัยต่าง ๆ และมีวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัยจนอิทธิพลขยายไปยังชาติต่างๆในโลกกว้าง ขวาง คำ ว่า “ สากล ” ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั่วไประหว่างประเทศ ศิลปะสากลจึงเป็นศิลปะที่มีการผสมผสานแนวความคิด ตลอดจนรูปแบบ ต่างๆ ไว้อย่างกว้างขวาง มีการใช้วัสดุ อุปกรณ์ และมีวิธีการสร้างสรรค์ผลงานได้โดยอิสระ ศิลปะสากลจึงจำ แนกได้ตามช่วงเวลาและยุคสมัยได้อย่างกว้างๆ ดังนี้ 1. ยุคหินเก่า (Paleolithic Age หรือOld Stone Age) เริ่มตั้งแต่ 3.5 – 5 ล้านปีล่วงมาแล้ว มีการสร้างสรรค์งานศิลปะโดยการวาดภาพบนผนังถ้ำ หรือเพิงผา ลักษณะเด่นโดยภาพรวมของจิตรกรรมบนผนังถ้ำ ในยุคหินเก่า คือ ศิลปินพยายามถ่ายทอดภาพ ที่เห็นอย่างตรงไปตรงมาและแสดงความเป็นจริงที่ตาเห็น ด้วยความมั่นใจ ศิลปินสามารถจดจำ ลักษณะโครงสร้างส่วนประกอบของสัตว์ได้เป็นอย่างดีและจับ ลีลาท่าทางต่างๆและถ่ายทอด ออกมาได้อย่างชำ นาญ ส่วนงานประติมากรสมัยหินเก่ามีการใช้วิธีขูด ขัดแต่ง เซาะ รูปแบบ ประติมากรรมจึงเป็นแบบการตัดทอนรูปทรงในธรรมชาติ ให้ง่ายต่อการแสดงออกและรับรู้ อย่าง ไรก้ตามเป็นที่สังเกตุว่าประติมากรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพ คน มักจะเป็นภาพผู้ หญิงและเน้นการบ่งบอกรูปทรงทางเพศที่แสดงออกถึงร่องรอยการ ให้กำ เนิดมาอย่างโชกโชน เช่น ประติมากรรมสลักหินรูปวีนัสแห่งวิเลนดอร์ฟขนาดสูง4นิ้วเศษ พบที่วิเลนด อร์ฟ(Willendorf) ออสเตรีย อายุราว 25000-20000ปีก่อนคริสตกาล สลักจากงาช้างอายุราว 20000ปีก่อนคริสตกาล พบที่ถ้ำ เลส์ปุค ฝรั่งเศส


2. ยุคหินกลาง (Mesolithic or Middle Stone Age Art) เริ่มเมื่อประมาณ 10000 – 6000 ปีล่วงมาแล้ว ลักษณรูปแบบศิลปะในช่วงนี้ไม่มีอะไรโดด เด่นมากนัก และเป็นช่วง รอยต่อที่สำ คัญของยุคหินเก่า ซึ่งมนุษย์มีวิถีชีวิตใกล้เคียงกับสัตว์ ใช้ ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ สู่ยุคหินใหม่ที่มนุษย์สามารถปฏิรูปจัดการธรรมชาติได้ โดยยุคหินกลางจะ ถูกรวมเข้าไว้กับยุคหินใหม่หรือจัดให้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคหินใหม่ ศิลปกรรมสมัยหินกลางที่มี การค้นพบ คือ จิตรกรรมตามหน้าผาบริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของสเปน ประเทศ โปรตุเกสมีการวาดภาพทั้งคนและสัตว์ ความสูงประมาณ3ฟุต มีท่าทางเคลื่อนไหวและเรื่องราว ในการดำ รงชีวิต แสดงออกเป็นรูปคล้ายกันทั้งหมด โดยยุคหินกลาง(Mesolithic or Middle Stone Age Art) เมื่อเปรียบเทียบศิลปะสมัยยุคกินกลางกับยุคหินเก่าแล้วนั้นทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม จะ พบว่ามีคุณค่าด้อยกว่ายุคหินเก่าทั้งฝีมือและการแสดงออก และผลงานที่หลงเหลือก็มีจำ นวน จำ กัดด้วย 3. ยุคหินใหม่(Neolithic Art) เริ่มเมื่ออายุประมาณ 4 พันปีก่อนคริสต์ศักราช ศิลปกรรมยุคหินใหม่ที่เด่นๆ คือ เครื่องปั้นดินเผาประเภทเครื่องประดับ ปรากฎอยู่ในแคว้นบริตานีของฝรัั่งเศส และไอร์แลนด์ ของอังกฤษ ส่วนผลงานจิตรกรรมนั้นไม่เด่นชัดและศิลปกรรมที่โดดเด่นที่สุดของยุคหินใหม่ คือ อนุสาวรีย์หิน (Megelithic) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์นำ เอาหินขนาใหญ่มาตั้ง วาง ในลักษณะต่างๆ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ แบบหินตั้งกับแบบโต๊ะหิน และก็ยังสามารถจำ แนกย่อยตามลักษณะการ วางได้ดังนี้-หินตั้งเดี่ยว (Menhir or Standing Stone) เมนเฮอร์ เป็นแท่งหินที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว เมนเฮร์ที่หใญ่ที่สุดอยู่ที่ลอคมารีเก ฝรั่งเศส สูงถึง 64 ฟุต-หินตั้งเป็นแกนยาว (Alignment) เป็นการตั้งหินให้ตรงเป็นแนวตั้งฉากกับพื้น และเป็นแถวยาวหลายก้อน บางแห่งมีจำ นวนถึง กว่า1000แท่ง และตั้งเรียงยาวกว่า 2 ไมล์-หินตั้งเป็นวงกลม (Cromlech or Stonehenge) คือ การเอาก้อนหินมาวางในลัษณะวงกลมคอมเลคที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่แอฟบิวรี่ อังกฤษ มีเส้นผ่า ศูนย์กลางกว้าง 6 ไมล์


งานด้านจิตรกรรม กรีกไม่นิยมสร้างจิตรกรรมนักเพราะถือว่าไม่อาจถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะที่แท้จริงได้ ดังนั้น งานจิตรกรรมส่วนใหญ่จึงออกมาในรูปแบบการประดับตกแต่งบนภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ เช่น ไห แจกัน อีกทั้งมีภาพบนผนัง ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นจิตรกรรมแท้ของกรีกก็ยังขาดความเป็น เอกลักษณ์เพรามักเป็นภาพเล่าเรื่อง งานด้านจิตรกรรมพบได้บนผนังต่างๆ และบนภาชนะ มี ลักษณะเด่นๆคือ 1.แสดงความรู้สึกตื้นลึกด้วยการเขียนซ้อนกัน 2.ใช้สีจำ กัดและแบน 3.ใช้ลวดลายประกอบกิจกรรมรูปคน 4.เรื่องราวของภาพประกอบในไหเป็นเรื่อง อิเลียดและโอดิสซี แบ่งเป็นตอนๆ 5.นิยมใช้สีดำ และสีแดงเขียนด้วยน้ำ ยาเคลือบ 6.ลักษณะง่าย ชัดเจน


ประติมากรรม ประติมากรรมของโรมันรับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงลักษณะ ที่ถูกต้องทางกายภาพ เป็นแบบอุดมคติที่เรียบง่าย แต่ดูเข้มแข็งมาก ประติมากรรมอีกชนิด หนึ่งที่เป็นที่นิยมคือประติมากรรมรูปนูนเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดของเรื่องราว เหตุการณ์ถูกต้อง ชัดเจน ประติมากรรมโรมันในยุคหลัง ๆ เริ่มเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรม ทางศาสนามากเป็นพิเศษ วัสดุที่ใช้สร้างประติมากรรมของโรมันมักสร้างขึ้นจาก ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และสำ ริด


สถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน วัสดุที่ใช้สร้างอาคาร ได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูน และคอนกรีต ซึ่งชาวโรมันเป็นชาติแรกที่ใช้คอนกรีตอย่างกว้าง ขวางและพัฒนารูปแบบออกจากระบบเสาและคาน ไปสู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลม และหลังคาทรงโค้งกากบาท มีการนำ สถาปัตยกรรมที่สำ คัญของกรีกทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้นชาวกรีกใช้เสาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง แต่ชาวโรมันมักจะเพิ่ม การตกแต่งลงไป โดยไม่คำ นึงถึงประโยชน์ทางโครงสร้างเท่าไรนัก ลำ เสาของกรีกจะเป็นท่อน ๆ นำ มาวางซ้อนต่อกันขึ้นไป แต่เสาของโรมันจะเป็นเสาหินท่อนเดียวตลอด รูปแบบอนุสาวรีย์ ที่พบมากของโรมันคือ ประตูชัยเป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับตกแต่งด้วยคำ จารึก และรูปนูน บรรยายเหตุการณ์ ที่เป็นอนุสรณ์ สถาปัตยกรรมที่สำ คัญอีกอย่างหนึ่งของโรมัน คือสะพานส่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นทางส่ง น้ำ จากภูเขา มาสู่เมืองต่าง ๆ ของชาวโรมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทาง วิศวกรรมของโรมันอย่างเห็นได้ชัด


ศิลปะสากลสมัยกลาง (MIDDLE AGE) ประมาณ ค.ศ. 300 – ค.ศ. 1300ความเจริญทางด้านศิลปะในยุคกลาง เป็นการสร้างสรรค์โดย วัดและคริสต์ศาสนิกชน ซึ่งมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและศิลปวิทยา ศิลปะของคริสต์ศาสนาจึง เจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวกับวัดคาทอลิก มีลักษณะแตกต่างกันออกไปตาม แต่ละท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่สิ่งก่อสร้างจะมีขนาดเล็กลง นิยมสร้างด้วยหินและปูผิวด้วยอิฐ สร้าง สุสานด้วยการเจาะหินหน้าผา กลุ่มศิลปะที่อยู่ในยุคกลางได้แก่ ศิลปะโกติก สมัยฟื้นฟู ศิลปวิทยา ศิลปะบารอก และรอกโกโก


ศิลปะโกธิก (GOTHIC ART) ศิลปะโกธิกนิยมแสดงเรื่องราวทางศาสนาในแนวเหมือนจริง (Realistic Art) ไม่ใช้สัญลักษณ์ เหมือนศิลปะยุคก่อน งานสถาปัตยกรรมมีโครงสร้างทรงสูง มียอดหอคอยรูปทรงแหลมอยู่ข้าง บน ทำ ให้ตัวอาคารมีรูปร่างสูงระหงขึ้นสู่เพดาน ซุ้มประตูหน้าต่างช่องลม มีส่วนโค้งแปลกกว่า ศิลปะแบบใด ๆ สถาปัตยกรรม ใช้โครงสร้างอาร์ชแบบโค้งปลายแหลม (pointed Arch)ใช้เสาค้ำ ยันภายนอก อาคาร (flying buttresses) ส่วนช่องโล่งจากประตูถึงแท่งบูชาวงเก้าอี้ไว้สองข้างมีทางเดินขนาน ทั้งซ้ายขวาอาคารสูง ยอดแหลมนิยมประดับกระจกสีที่หน้าต่าง ประติมากรรม ใช้ประดับตกแต่งโบสถ์ส่วนสำ คัญอยู่เหนือประตูทางเข้าและเสาใช้ประดับ ตกแต่งสุสานคนสำ คัญเรื่องราวในคริสตศาสนารูปคนสัดส่วนค่อนข้างยาว เป็นเส้นตรงรอยยับ ย่นของเสื้อผ้ามากชอบสร้างรูปลอยตัว จิตรกรรม การทำ กระจกสี (Stain Glass) ศิลปะกอธิค พบใน ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน เยอรมัน


ศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (RENAISSANCE ART) เรอนาซอง หมายถึง การเกิดใหม่ (rebirth) การฟื้นฟูขึ้นมาอีก การกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ สงครามครูเสดนำ ความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุโรปตะวันตกอย่างใหญ่หลวง ระบอบการปกครองแบบ ศักดินาหมดสิ้นไป แว่นแคว้นต่าง ๆ เริ่มมีความเป็นอิสระ ศิลปินได้นำ เอาแบบอย่างศิลปะชั้น สูงในสมัยกรีกและโรมัน มาสร้างสรรค์ได้อย่างอิสระเต็มที่ งานสถาปัตยกรรมมีการก่อสร้างแบบ กรีกและโรมันเป็นจำ นวนมาก ลักษณะอาคารมีประตูหน้าต่างเพิ่มมากขึ้น ประดับตกแต่งภายใน ด้วยภาพจิตรกรรมและประติมากรรมอย่างหรูหรา สง่างาม งานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ในสมัย นั้นฟื้นฟูศิลปวิทยา งานจิตรกรรมและประติมากรรมในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปินสร้างสรรค์ในรูปความงามตาม ธรรมชาติ และความงามที่เป็นศิลปะแบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุด ซึ่งพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะ กรีกและโรมัน ความสำ คัญของศิลปะสมัยฟื้นฟู สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้นฟื้นฟูศิลปวิทยา ได้แก่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter)ใน กรุงโรม เป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก


Click to View FlipBook Version