ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 630
2. การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อหารสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1
3. การวิจัยบทเรียนบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องการสอนด้วยบทเรียนการ์ตูน สำหรับนักเรียนชั้นประ
ถมศึกษาปีที่ 2
4. การวิจัยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องท้องถิ่นของเรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
10. ข้อใดไม่เกี่ยวกับการพัฒนาแบบทดสอบ
1. ค่าความเชื่อมั่น
2. ค่าความยากง่าย
3. ค่าอำนาจจำแนก
4. ค่าความน่าเชื่อถือ**
11. ข้อต่อไปนี้ เรียงลำดับการเขียนโครงร่างการวิจัยได้ถูกต้อง
1. ชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์ ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ขอบเขต สมมุติฐาน
2. ชื่อเรื่อง วัตถุประสงค์ ที่มาของปัญหาการวิจัย สมมุติฐาน
3. ชื่อเรื่อง ความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน
4. ชื่อเรื่อง คำถามของการวิจัย ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน
12. เรื่องใดที่ต้องระบุในกลุ่มตัวอย่าง
1. วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง
2. สถานที่ได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง
3. ช่วงระยะเวลาที่ได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่าง
4. ผู้วิจัยที่เลือกกลุ่มตัวอย่าง
13. ข้อใดเป็นการหาความตรงของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. การประเมินซ้ำ
2. การทดลองใช้
3. การสรุปผลการทดลอง
4. การให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ**
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 631
14. “การระบุให้ทราบว่าการวิจัยที่จะศึกษากว้างขวางเพียงใดเกี่ยวข้องกับใคร เนื้อเรื่องที่ต้องการ
พัฒนาและระยะเวลาที่ทำการวิจัย” ข้อความดังกล่าวคือความหมายของข้อใด
1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
2. ขอบเขตของการวิจัย**
3. สมมุติฐานของการวิจัย
4. ประโยชน์ของการวิจัย
15. บทเรียนสั้นๆ เกี่ยวกับการดำเนินการทั้งหมดคืออะไรและจะอยู่ในส่วนใดของการเขียนรายงา
นการวิจัย
1. ผลการอภิปรายและส่วนอ้างอิง
2. ผลการอภิปรายและส่วนภาคผนวก
3. บทคัดย่อและส่วนนำ
4. บทคัดย่อและส่วนเนื้อหา
16. การกระทำของข้อใดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม
1. ครู ก ให้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องปลูกผักแก่เด็กหญิงแดงไปศึกษาเองที่บ้าน
2. ครู ข เลือกจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้กับการสอนเรื่องการคูณ
3. ครู ค รณรงค์การทิ้งขยะในโรงเรียนให้เป็นอย่างสม่ำเสมอ**
4. ครู ง เลือกผลิตและพัฒนาแบบฝึกทักษะมาใช้กับนักเรียนที่สอนวิชาภาษาอังกฤษ
17. “ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเครา
ะห์ข้อมูลยละเอียดการเขียนจะอยู่ส่วนใดของการวิจัย
1. บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2. บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
3. บทที่ 4 ผลการวิจัย
4. บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ
18. การสรุปผล อภิปรายผลการวิจัยควรสอดคล้องกับหัวข้อใดมากที่สุด
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย 097-180-7936
ทิชเชอร์ ติวเตอร์
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 632
2. วัตถุประสงค์การวิจัย
3. สมมุติฐานการวิจัย
4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
19. ปัญหาและความสำคัญของการวิจัย ควรนำเสนอในส่วนใดของการเขียนรายงานการวิจัย
1. บทที่ 1 บทนำ
2. บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย
3. บทที่ 4 ผลการวิจัย
4. บทที่ 4 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ
20. “กาพัฒนาทักษะเรื่องการบวกของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1” หัวข้อนี้เหมาะสมกับนวัตกรรม
ประเภทใด
1. การสอนแบบโครงงาน
2. ชุดการการสอนที่พัฒนาการคิด
3. การใช้ผังการคิด
4. บทเรียนสำเร็จรูป
21. เป็นขั้นตอนการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
1. วิเคราะห์ วางแผน เก็บข้อมูล สรุปผล รายงาน
2. วางแผน เก็บข้อมูล วิเคราะห์ สรุปผล นำไปใช้
3. วิเคราะห์ วางแผน ดำเนินการ เก็บข้อมูล สรุปผล*
4. เก็บข้อมูล วางแผน วิเคราะห์ สรุป รายงานผล
22. การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเน้นการวิจัยในลักษณะใด
1. การวิจัยในชั้น
2. การวิจัยเพื่อพัฒนา
3. การวิจัยเพื่อใช้เป็นผลงานวิชาการ
4. การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้*
23. การวิจัยมีความหมายตรงกับข้อใดมากที่สุด
1. เป็นการลองผิดลองถูก
2. เป็นการศึกษาอย่างมีระบบ*
3. เป็นการสำรวจสภาพปัญหา
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 633
4. เป็นการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ
24. การแสวงหาความรู้วิธีใด เป็นการหาความรู้โดยใช้หลักเหตุผล
1. โดยการหยั่งรู้
2. โดยการลองผิดลองถูก
3. โดยการอนุมาน – อุปมาน*
4. การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
25. ข้อใดเรียงลำดับของกระบวนการวิจัยได้ถูกต้อง
1. กำหนดปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งสมมติฐาน วิเคราะห์ข้อมูล สรุป
2. กำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุป*
3. ตั้งสมมติฐาน กำหนดปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุป
4. ตั้งสมติฐาน กำหนดปัญหา วิเคราะห์ข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูล สรุป
26. ข้อใด อาจไม่ใช่ความรู้ที่จำเป็นสำหรับนักวิจัย
1. หลักวิธีวิจัย
2. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
3. ระบบการศึกษาของสังคม*
4. ความรู้ในสาขาที่ต้องการทำวิจัย
27. จรรยาบรรณของนักวิจัยข้อใดสำคัญที่สุด
1. ซื่อสัตย์ และมีคุณธรรม
2. มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษา
3. มีพื้นความรู้ในสาขาที่ทำการวิจัย
4. เคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น*
28. ชื่อเรื่องวิจัยต่อไปนี้ เป็นการวิจัยประเภทใด “การศึกษาปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่ม
สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนบ้านโคกวัด อ.เมือง จ.จันทบุรี”
1. การวิจัยเชิงอนาคต
2. การวิจัยเชิงทดลอง
3. การวิจัยเชิงบรรยาย*
4. การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
29. ชื่อเรื่องวิจัยต่อไปนี้ เป็นการวิจัยประเภทใด“การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิต
ศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในจังหวัดอุบล ระหว่างการสอนแบบโครงงานและการ
สอนแบบบรรยาย”
1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
2. การวิจัยเชิงบรรยาย
3. การวิจัยเชิงทดลอง* 097-180-7936
ทิชเชอร์ ติวเตอร์
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 634
4. การวิจัยเชิงคุณภาพ
30. หัวข้อปัญหาวิจัยใด ตั้งชื่อได้เหมาะสมที่สุด
1. เจตคติที่มีต่อวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏ
2. เจตคติต่อวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลสกลนคร จังหวัด
สกลนคร*
3. การเปรียบเทียบความสนใจของนักเรียนระหว่างการอ่านและการเล่านิทานให้ฟัง
4. ผลของการพัฒนาทักษะในการรำวงมาตรฐานของนักเรียนชั้น ป. 6
31. ชื่อเรื่องวิจัยต่อไปนี้ เป็นการวิจัยประเภทใด"พัฒนาการหลักสูตรประถมศึกษาของประเทศไทย"
1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์*
2. การวิจัยเชิงบรรยาย
3. การวิจัยเชิงทดลอง
4. การวิจัยเชิงคุณภาพ
32. ข้อใด ไม่ใช่ตัวแปร
1. เพศ
2. ศาสนา
3. จังหวัดเชียงใหม่*
4. ระดับการศึกษาของผู้ปกครองนักเรียน
33. ลักษณะงานวิจัยตรงกับข้อใดมากที่สุด
1. สามารถพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน
2. หาคำตอบได้ด้วยวิธีการทำงวิทยาศาสตร์*
3. มีขั้นตอนและระบบการศึกษาอย่างสมบูรณ์
4. เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการศึกษา
34. ข้อใด กล่าวถูกต้อง
1. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ผู้บริหารมากกว่าครู
2. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ผู้ทำวิจัยมากกว่าผู้นำผลการวิจัยไปใช้
3. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ผู้นำผลการวิจัยไปใช้ มากกว่าผู้ทำวิจัย*
4. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ครูมากกว่าผู้บริหาร
35. งานวิจัยเรื่องใด เป็นงานวิจัยเชิงบรรยาย
1. การศึกษานิทานพื้นบ้านของอำเภอสามโคก*
2. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่ออาชีพครู และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา
คุรุทายาท
3. การวิเคราะห์โปรตีนจากเห็ด
4. การศึกษาอัตราการเจริญเติบโตของถั่วเมื่อใช้ปุ๋ยสูตรต่างกัน 097-180-7936
ทิชเชอร์ ติวเตอร์
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 635
คำชี้แจง จากชื่องานวิจัยต่อไปนี้ ใช้ตอบคำถาม
36. อาจารย์ที่มีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ควรจะศึกษางานวิจัยเรื่องใด
1. ทัศนคติของนักเรียนต่อวิชาวิทยาศาสตร์
2. การพัฒนาสไลด์ประกอบการสอนวิทยาศาสตร์
3. ความสัมพันธ์ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
4. การพัฒนากระบวนการสอนทางวิทยาศาสตร์*
37. จากสมมุติฐานที่กำหนด ให้ข้อใดเป็นตัวแปรอิสระ “นักเรียนเพศชายมีความรับผิดชอบมากกว่านัก
เรียนเพศหญิง”
1. นักเรียน
2. เพศของนักเรียน*
3. ความรับผิดชอบของนักเรียน
4. โรงเรียนที่นักเรียนศึกษาอยู่
38. จากข้อ 37 ข้อใดเป็นตัวแปรตาม
1. นักเรียน
2. เพศของนักเรียน
3. ความรับผิดชอบของนักเรียน*
4. โรงเรียนที่นักเรียนศึกษาอยู่
39. สมมุติฐานการวิจัย ข้อใดดีที่สุด
1. การสอนแบบทีมดีกว่าการสอนแบบครูคนเดียว
2. นักเรียนชายมีความเชื่อโชคลางน้อยกว่านักเรียนหญิง*
3. วิธีสอนแบบอภิปรายเชื่อว่าจะให้ผลสัมฤทธิ์สูงกว่าวิธีสอนแบบบรรยาย
4. เด็กในเมืองน่าจะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าเด็กในชนบท
40. “ สภาพแวดล้อมในโรงเรียนหมายถึง การรับรู้พฤติกรรม เหตุการณ์สถานที่ หรือลักษณะใดๆ
ในโรงเรียนที่นักเรียนสังเกตุหรือรับรู้ได้” ข้อความนี้หมายถึงข้อใด
1. จุดมุ่งหมายของการวิจัย
2. สมมุติฐานการวิจัย
3. นิยามศัพท์เฉพาะ*
4. ข้อตกลงเบื้องต้น
41. สมมติฐานการวิจัยที่ว่า “ผู้บริหารที่มีความรู้”ทางจิตวิทยาการปกครองลูกน้องได้ดีกว่าผู้บริหารที่
มีความรู้ทางจิตวิทยาจากสมมติฐาน ข้อใดเป็นตัวแปรอิสระ
1. การปกครองลูกน้อง
2. ผู้บริหารที่มีความรู้ทางจิตวิทยา
3. ผู้บริหารที่ไม่มีความรู้ทางจิตวิทยา 097-180-7936
ทิชเชอร์ ติวเตอร์
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 636
4. ผู้บริหารที่มีความรู้และไม่มีความรู้ทางจิตวิทยา*
42. คำกล่าวในข้อใดไม่ถูกต้อง
1. การวิจัยทุกอย่างล้วนมุ่งเพื่อแก้ปัญหาทั้งสิ้น*
2. การวิจัยเป็นข้อมูลรากฐานในการวางแผนและบริการการศึกษา
3. การวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการส่วนใหญ่จะปรากฏในระดับมหาวิทยาลัย
4. การวิจัยทางการศึกษาของไทยเป็นสิ่งสร้างเสริมความเป็นไทย ทางการศึกษาของ
5. ประเทศไทย
43. ส่วนที่ชี้ให้ทราบว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาค้นคว้าอะไร ตรงกับข้อใด
1. ชื่อเรื่องการวิจัย*
2. สมมติฐานการวิจัย
3. จุดมุ่งหมายของการวิจัย
4. กรอบแนวคิดในการวิจัย
44. ข้อใดเป็นประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการวิจัย
1. ช่วยในการกำหนดนโยบาย
2. ช่วยให้ค้นพบทฤษฎีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ
3. ช่วยให้การจัดการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนเพื่อผู้เรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ*
4. ช่วยกระตุ้นความสนใจของนักวิชาการให้มีผลการวิจัยมากขึ้นและนำผลการวิจัยไปใช้
45. การวิจัยทางการศึกษาเป็นการวิจัยประเภทใด
1. การวิจัยเชิงประยุกต์*
2. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
3. การวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์
4. การวิจัยขั้นพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์
46. . ทำไมการวิจัยจึงต้องอาศัยสถิติมาก
1. เพราะสถิติเป็นวิธีการทำงวิทยาศาสตร์ที่ใช้สรุปคุณสมบัติของข้อมูลอย่างมีเหตุผล
2. เพราะสถิติเป็นคณิตศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งเป็นอยู่ในกลุ่มทักษะอันเป็นเครื่องมือในการแสวง
หาความรู้
3. เพราะสถิติเป็นตัวเลขที่ใช้แทนข้อมูลเชิงคุณภาพทำให้แปลผลได้ถูกต้องชัดเจน*
4. เพราะสถิติเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการวิจัยชนิดต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
เป็นที่ยอมรับของบรรดานักวิจัย
47. ข้อใดเป็นตัวแทนของข้อมูลที่นิยมใช้และรู้จักกันแพร่หลายที่สุด
1. มัธยฐาน
2. ฐานนิยม
3. ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน 097-180-7936
ทิชเชอร์ ติวเตอร์
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 637
4. ค่าเฉลี่ยหรือมัชฌิมเลขคณิต*
48. ข้อใดที่บอกให้เราทราบว่าข้อมูลของกลุ่มนั้นมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
1. มัธยฐาน
2. ฐานนิยม
3. ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน*
4. ค่าเฉลี่ย
49. ข้อใดทำให้ระบบการเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
1. ขาดการกำหนดปัญหาที่ต้องแก้ไข
2. ขาดการออกแบบการเรียนการสอนและสื่อ
3. ขาดการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของสถานที่จัดการเรียนการสอน
4. ขาดการเน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง*
50. การวิจัยมีความหมายตรงกับข้อใดมากที่สุด
1. เป็นการลองผิดลองถูก
2. เป็นการศึกษาอย่างมีระบบ**
3. เป็นการสำรวจสภาพปัญหา
4. เป็นการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ
51. การแสวงหาความรู้วิธีใด เป็นการหาความรู้โดยใช้หลักเหตุผล
1. โดยการหยั่งรู้
2. โดยการลองผิดลองถูก
3. โดยการอนุมาน – อุปมาน**
4. การสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
52. ข้อใดเรียงลำดับของกระบวนการวิจัยได้ถูกต้อง
1. กำหนดปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งสมมติฐาน วิเคราะห์ข้อมูล สรุป
2. กำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุป**
3. ตั้งสมมติฐาน กำหนดปัญหา เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุป
4. ตั้งสมติฐาน กำหนดปัญหา วิเคราะห์ข้อมูล เก็บรวบรวมข้อมูล สรุป
53. ข้อใด อาจไม่ใช่ความรู้ที่จำเป็นสำหรับนักวิจัย
1. หลักวิธีวิจัย
2. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
3. ระบบการศึกษาของสังคม**
4. ความรู้ในสาขาที่ต้องการทำวิจัย
54. จรรยาบรรณของนักวิจัยข้อใดสำคัญที่สุด
1. ซื่อสัตย์ และมีคุณธรรม
2. มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษา
3. มีพื้นความรู้ในสาขาที่ทำการวิจัย
4. เคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น**
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 638
55. ชื่อเรื่องวิจัยต่อไปนี้ เป็นการวิจัยประเภทใด “การศึกษาปัญหาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่ม
สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนบ้านนา อ.เมือง จ.สกลนคร”
1. การวิจัยเชิงอนาคต
2. การวิจัยเชิงทดลอง
3. การวิจัยเชิงบรรยาย**
4. การวิจัยเชิงเปรียบเทียบ
56. ชื่อเรื่องวิจัยต่อไปนี้ เป็นการวิจัยประเภทใด “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิต
ศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3ในจังหวัดสกลนคร ระหว่างการสอนแบบโครงงานและ
การสอนแบบบรรยาย”
1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
2. การวิจัยเชิงบรรยาย
3. การวิจัยเชิงทดลอง**
4. การวิจัยเชิงคุณภาพ
57. หัวข้อปัญหาวิจัยใด ตั้งชื่อได้เหมาะสมที่สุด
1. เจตคติที่มีต่อวิชาชีพครู คณะครุศาสตร์สถาบันราชภัฏสกลนคร**
2. เจตคติต่อวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลสกลนคร จังหวัด
สกลนคร
3. การเปรียบเทียบความสนใจของนักเรียนระหว่างการอ่านและการเล่านิทานให้ฟัง
4. ผลของการพัฒนาทักษะในการรำวงมาตรฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
58. ชื่อเรื่องวิจัยต่อไปนี้ เป็นการวิจัยประเภทใด"พัฒนาการหลักสูตรประถมศึกษาของประเทศไทย"
1. การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์**
2. การวิจัยเชิงบรรยาย
3. การวิจัยเชิงทดลอง
4. การวิจัยเชิงคุณภาพ
59. ข้อใด ไม่ใช่ตัวแปร
1. เพศ
2. ศาสนา
3. จังหวัดเชียงใหม่**
4. ระดับการศึกษาของผู้ปกครองนักเรียน
60. ลักษณะงานวิจัยตรงกับข้อใดมากที่สุด
1. สามารถพิสูจน์ได้ทุกขั้นตอน
2. หาคำตอบได้ด้วยวิธีการทำงวิทยาศาสตร์**
3. มีขั้นตอนและระบบการศึกษาอย่างสมบูรณ์
4. เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการศึกษา
61. ข้อใด กล่าวถูกต้อง
1. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ผู้บริหารมากกว่าครู
2. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ผู้ทำวิจัยมากกว่าผู้นำผลการวิจัยไปใช้**
3. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ผู้นำผลการวิจัยไปใช้มากกว่าผู้ทำวิจัย
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 639
4. การวิจัยให้ประโยชน์แก่ครูมากกว่าผู้บริหาร
62. งานวิจัยเรื่องใด เป็นงานวิจัยเชิงบรรยาย
1. การศึกษานิทานพื้นบ้านของอำเภอสามโคก**
2. การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเจตคติต่ออาชีพครู และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา
คุรุทายาท
3. การวิเคราะห์โปรตีนจากเห็ด
4. การศึกษาอัตราการเจริญเติบโตของถั่วเมื่อใช้ปุ๋ยสูตรต่างกัน
63. สมมุติฐานการวิจัย ข้อใดดีที่สุด
1. การสอนแบบทีมดีกว่าการสอนแบบครูคนเดียว
2. นักเรียนชายมีความเชื่อโชคลางน้อยกว่านักเรียนหญิง**
3. วิธีสอนแบบอภิปรายเชื่อว่าจะให้ผลสัมฤทธิ์สูงกว่าวิธีสอนแบบบรรยาย
4. เด็กในเมืองน่าจะมีความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าเด็กในชนบท
เทคนิคการนิเทศแบบวิจัยชั้นเรียน
การวิจัยเชิงปฏิบัติในชั้นเรียนหรือกลุ่มศึกษาในโรงเรียนสามารถจัดทำให้เหมาะสมกับความ
ต้องการหรือเรื่องอื่น ๆ ของโรงเรียนนอกจากการนิเทศแบบคลินิก แบบผู้ชี้นำแบบที่เลี้ยงรูปแบบขง
การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนหรือกลุ่มศึกษาเช่นนี้อาจปรับจากรูปแบบภายนอกหรือพัฒนาภาย
ในโรงเรียนก็ได้ โดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน โดยผู้เข้ารับการฝึกทุกคนจากทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้มีส่วน
เข้าร่วมในการศึกษาตลอดศึกษานิเทศก์จากเขตพื้นที่ฯ อาจเข้าชั้นสอนแทนหรือเยี่ยมชั้นเป็นบาง
โอกาส เพื่อผู้เข้ารับการฝึกที่จะได้มีโอกาสและบันทึกผลคะแนนกันใน 1 คาบ นอกจากช่วยผ่อนแรงผู้
เข้ารับการฝึกแล้วยังแสดงให้เห็นว่าสนับสนุนการแนะนำเต็มที่ อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้เข้ารับการฝึก
มีเวลาว่างมากขึ้นคือการใช้วีดีทัศน์ การบรรยาย การสอนกลุ่มใหญ่ เพื่อที่ผู้เข้ารับการฝึกคนเดียวจะ
สอนได้ 2 ห้อง การกำหนดเวลาเพื่อให้สามารถใช้วิธีเพื่อนแนะเพื่อนศึกษานิเทศก์แนะนำทีมวิจัยได้นั้น
ควรวางแผนล่วงหน้าโดยหัวหน้าฝ่ายวิชาการร่วมกับผู้เข้ารับการฝึก ทำงานหนักมากนัก
เทคนิคการนิเทศแบบวิจัยชั้นเรียน
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 640
การจัดการกลุ่มผู้เข้ารับการฝึกเพราะการนิเทศเป็นกลุ่มมุ่งเน้นความมีมาตรฐาน ในวงการ
ศึกษาไม่มีกฎตายตัวที่สามารถนำมาใช้ได้ทันที โดยปกติแล้วผู้เข้ารับการฝึกควรจับคู่กันเองเพื่อให้
ทำงานได้สะดวก และไม่จำเป็นต้องมีความสามารถและประสบการณ์เท่ากัน อาจจัดผู้เข้ารับการฝึกที่
มีประสบการณ์เข้าคู่กับผู้เข้ารับการฝึกใหม่ ผู้เข้ารับการฝึกที่มีความสามารถกับผู้เข้ารับการฝึกระดับ
ปานกลาง หรือผู้เข้ารับการฝึกระดับปานกลางกับผู้เข้ารับการฝึกที่กำลังไต่เต้าเรียนรู้ สมาชิกในกลุ่ม
ควรมีความเข้าใจและสะดวกใจเบื้องต้น จึงไม่ควรจัดผู้เข้ารับการฝึกที่มีความคิดเหมือนกันหรือต่างกัน
มากเกินไปเข้าคู่กัน เป้าหมายคือการจับคู่ที่มีความแตกกันแต่ยังสามารถทำงานร่วมกันได้
ในหลายโรงเรียน ผู้เข้ารับการฝึกบางคนเสนอชื่อผู้เข้ารับการฝึกที่จะทำงานร่วมกันได้ต่อผู้อำ
นวยความสะดวกหรือหัวหน้า ซึ่งจะจัดทีมให้เหมาะสมกับความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย วิธีการนี้จึงใช้
ได้ผลดีที่สุด วิธีการในอุดมคติคือ ควรจับคู่ผู้เข้ารับการฝึกโดยยึดหลักความสามารถด้านพุทธิพิสัย
(Cognitive growth) เช่น ผู้เข้ารับการฝึกที่มีประสบการณ์สูงเรื่องการจัดการชั้นเรียนจับคู่กับผู้เข้ารับ
การฝึกที่มีประสบการณ์ในการประเมินผลนักเรียน ผู้เข้ารับการฝึกวิจัยแต่ละคนควรมีทักษะด้านพุทธ
พิสัย ในด้านที่อีกฝ่ายหนึ่งขาด การสร้างทีมมีการเลือกระหว่างวิธีในอุดมคติซึ่งจับคู่โดยยึดหลักพุทธิ
พิสัย หรือจับคู่แบบสะดวกโดยยึดหลักความต้องการความอุ่นใจเมื่อเริ่มโปรแกรมใหม่ การจับคู่ที่เข้า
ได้จะดีที่สุดเมื่อเริ่มโปรแกรม และหลังจากผู้เข้ารับการฝึกคุ้นเคยกับวิธีเพื่อนแนะเพื่อนแล้ว ผู้อำนวย
ความสะดวกก็จะจัดทีมใหม่โดยจับคู่แบบพุทธพิสัยเพิ่มขึ้น
องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโปรแกรมเพื่อนแนะเพื่อนทีมวิจัย คือ การสังเกตความ
ก้าวหน้าของกลุ่มอย่างใกล้ชิดหัวหน้ากลุ่มควนเป็นวิทยากรให้แก่ทีมงานได้เช่น ในการประชุมเตรี
ยมการ เมื่อตกลงกันแล้วว่าจะสังเกตการณ์สอนของผู้เข้ารับการฝึกตรงจุดใดนวัตกรรมการวิจัยมีอะไร
บกพร่อง แต่พอถึงเวลาจริงอาจพลาด การสังเกตในบางจุด โปรแกรมการฝึกอบรมจะตอบปัญหาดัง
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 641
กล่าวได้ แต่การปฐมนิเทศไม่สามารถครอบคลุมความต้องการทั้งหมดได้ ผู้นำในการวิจัยต้องสังเกต
ความต้องการของกลุ่ม ตอบปัญหา จัดหาแหล่งค้นคว้า และให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น ศึกษานิ
เทศก์เขตพื้นที่ฯ ร่วมออกแบบและฝังตัว ณ โรงเรียนเป้าหมายเป็นวันหรือสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ระบบการเฝ้าสังเกตอย่างละเอียดการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลไม่ใช่สิ่ง
จำเป็นผู้นำหรือผู้อำนวยความสะดวกอาจตรวจสอบกับกลุ่มเพื่อนแนะเพื่อนวิจัยทุก 2-3 สัปดาห์ ในการ
ประชุมกลุ่มสาระการเรียนรู้แต่ล่ะครั้ง ผู้นำอาจให้แต่ละกลุ่มเขียนบันทึกความก้าวหน้าของกลุ่ม ผู้อำ
นวยความสะดวกหรือหัวหน้าควรแน่ใจว่ากระบวนการวิจัยปฏิบัติการของเราดำเนินไปอย่างเป็นระบบ
มีขั้นตอนของเรา ตามเค้าโครงการวิจัยปฏิบัติการและวิธีการหรือเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลสังเกต
การสอนเมื่อใช้นวัตกรรมการวิจัยซึ่งจัดไว้เป็นหมวดหมู่ภายในห้องสมุดมีปริมาณเพียงพอให้ผู้เข้ารับ
การฝึกนำไปใช้โดยมุ่งเน้นไปที่การเรียนการสอนเป็นสิ่งแรก และปรับให้กับการเรียนการสอนในชั้น
เรียนของผู้เข้ารับการฝึกมีการพัฒนาคุณภาพ การประชุม การวางแผนปฏิบัติการวิจัยของกลุ่มสาระ
การเรียนรู้ หรือการกำหนดเวลาในแผนงานของกลุ่ม ต้องแยกออกจากกันเพื่อทำสิ่งต่อไปนี้ให้สมบูรณ์
1. ทบทวนเป้าหมาย จุดมุ่งหมาย จุดประสงค์ ที่มีร่วมกัน
2. กำหนดหัวข้อวิจัยเพื่อศึกษาเป้าหมายการเรียนรู้ของนักเรียน (โดยผ่านการอ่าน การ
วางแผนหลักสูตรร่วมกัน การเข้าร่วมสัมมนาหรือการประชุม ถ่ายทำวิดีทัศน์สภาพชั้นเรียนของตนเอง
หรือชั้นเรียนผู้อื่น)
3. วางแผนปฏิบัติการในชั้นเรียนของตนเอง กำหนดการเปลี่ยนแปลง การสอน การประเมิน
และกิจกรรมที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงทรัพยากรที่ต้องใช้ หรือการช่วยเหลือจากสมาชิกขอ
งกลุ่มศึกษาอื่น ๆ
4. รวบรวมข้อมูลการเรียนรู้ที่เป็นปัจจุบัน เพื่อตัดสินว่ามีความก้าวหน้าเพียงใด
5. จัดทำรายงานความก้าวหน้าของแต่ละคน จากงานเดี่ยวไปสู่งานกลุ่มศึกษา และทั้งโรงเรียน
เป็นภาพรวม
6. การสนทนากลุ่มวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญ (Focus Group) เพื่อวิเคราะห์ วิพากษ์ ยืนยัน
ใคร่ครวญ ผลการศึกษา
วิธีอื่นที่จะสร้างกลุ่มศึกษาให้เหมาะสมกับโรงเรียน คือ การให้ผู้เข้ารับการฝึกในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ กำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นปีการศึกษา ความคาดหวังรายปี/มาตราบานช่วงชั้น
ปัญหาสำคัญที่ต้องการแก้ไขหรือพัฒนา ฯลฯ และจัดกลุ่มผู้มีเป้าหมายการเรียนรู้คล้ายคลึงกันทำงา
นร่วมกัน หลังจากนั้นกำหนดการเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติการวิจัย และกระบวนการไตร่ตรองที่เป็น
แบบเดียวกัน
ทั้ง 2 กรณีดังกล่าว กลุ่มศึกษาต้องมุ่งเน้นความสนใจไปในด้านการปรับปรุงสู่การเรียนรู้ในชั้น
เรียนของตนและติดตามผล (หรือขยายผล) การวิจัยอย่างกว้างๆ โดยมีลำดับการดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ขั้นระบุปัญหารวบรวมข้อมูล
- อะไรคือเป้าหมายการเรียนรู้สูงสุดสิ่งแรกของนักเรียน
- เรารู้ได้อย่างไรว่าการแสดงออกของนักเรียนสัมพันธ์กับเป้าหมายที่ตั้งไว้เพียงใด
- เราใช้อะไรเป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนักเรียนในขณะนี้ เพื่อไปเปรียบ
เทียบกับข้อมูลที่ได้ในภายหลัง(หมายรวมการกำหนดปัญหา การกำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย
2. ขั้นวางแผนและนำแผนไปปฏิบัติ
- การเปลี่ยนแปลงใดที่เราต้องการให้เกิดขึ้นในชั้นเรียน
- เราอยากให้เพื่อนช่วยอะไรบ้าง
- วันเริ่มและวันครบกำหนดที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในการเรียนการสอน
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 642
3. ขั้นไตร่ตรองและการประเมิน
- หลังจากการปฏิบัติตามแผนได้ระยะหนึ่ง ข้อมูลใดที่จะรวบรวมเพื่อกำหนดความก้าว
หน้าหรือความบกพร่องและนำไปใช้เป็นวงจรวิจัยครั้งต่อไป
- เราจะปรับปรุงกระบวนการทำงานวิจับคราวหน้าอย่างไร
ควรแยกระบุประเด็นปัญหาออกจากการวางแผนและการนำไปใช้กลุ่มต้องมีความชัดเจนเรื่อง
ของการเรียนการสอนว่าสิ่งใดควรมาก่อน และต้องเข้าใจข้อมูลพื้นฐานก่อนลงมือปฏิบัติ ข้อผิดพลาดที่
เกิดขึ้นบ่อยๆ ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ คือมักใช้ความรู้สึกในการจัดอันดับความสำคัญ (อย่างที่เรียก
ว่าใช้หัวใจในการประเมิน “ใจฉันคิดว่าเราต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้ดีขึ้น”) เพื่อให้ประสิทธิภาพ ทีมวิจัย
เชิงปฏิบัติการแต่ละทีมต้องมีข้อมูลมาสนับสนุนในจุดที่มุ่งปรับปรุงให้ได้มาตรฐานและสัมฤทธิ์ผล เช่น
การเขียน การอ่าน การแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ วินัยและมารยาท ทักษะการคิดวิเคราะห์ และอื่น
ๆ จากนั้นผู้เข้ารับการฝึกจึงพัฒนาแผนปฏิบัติการรวมทั้งหาทางช่วยเพื่อน และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
สมรรถนะของนักเรียนซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม
สรุป
บทสรุปในโครงสร้างการนิเทศที่กล่าวมา สิ่งสำคัญในการทำงานคือการวางโครงสร้างที่เป็น
มิตร (กัลยาณมิตร) กับผู้รับการนิเทศ มีเวลาทรัพยากรเป็นสนับสนุน สอดคล้องกับ จุดมุ่งหมายและ
ระดับความจำเป็นของโรงเรียน โครงสร้างเหล่านี้อาจประกอบด้วยการปฏิสัมพันธ์แบบบุคคลต่อ
บุคคล (การนิเทศแบบคลินิกหรือเพื่อนแนะเพื่อน) หรือปฏิสัมพันธ์แบบกลุ่ม (ทีมวิจัยเชิงปฏิบัติการหรือ
กลุ่มศึกษา) หรือทั้งสองแบบ (เพื่อนผู้ชื่นชม) โครงสร้างปฏิสัมพันธ์ ทางวิชาชีพต้องกำหนดจุดสนใจว่า
จะสังเกตอะไรแล้วเรียนรู้ร่วมกันทั้งการสอนและการเรียนของนักเรียน
นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
นวัตกรรมการศึกษา
”นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )” หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา
และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผล
สูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย
ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย
แล้ว และประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids
Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และ
อินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่านี้ เป็นต้น
นวัตกรรมการเรียนการสอน
เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนอง
การเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้
ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุ
นการเรียนการสอน
ตัวอย่างนวัตกรรมที่ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ การสอนแบบศูนย์การเรียน การใช้กระบวน
การกลุ่มสัมพันธ์ การสอนแบบเรียนรู้ร่วมกัน และการเรียนผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต
การวิจัยในชั้นเรียน ฯลฯ
นวัตกรรมสื่อการสอน
เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี
โทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตสื่อการ
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 643
เรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเองการเรียนเป็นกลุ่มและการเรียนแบบ
มวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรม ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างนวัตกรรม
- คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ((Assisted Instruction-Computer :CAI
- มัลติมีเดีย ((Multimedia
- การประชุมทางไกล ((Tele Conference
- วีดีทัศน์แบบมีปฎิสัมพันธ์ ((Video/Interactive Media
- บทเรียนสำเร็จรูป ((Programed Instruction
- เครื่องช่วยสอน ((Teaching Machine
- วิทยุและโทรทัศน์ช่วยสอน ((Teaching by Radio and TV
- ชุดการสอน ((Learning Packages
เทคโนโลยีทางการศึกษา
เทคโนโลยีการศึกษา (อังกฤษ: Educational Technology) เป็นศาสตร์ที่ประยุกต์เอาวิชาการ
ต่าง ๆ มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิผล
ซึ่งเกิดจากการออกแบบการสอนตามหลักการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design)
โดยคำนึงถึงคุณลักษณะของผู้เรียน ความเหมาะสมของสื่อที่สอดคล้องกับลักษณะเนื้อหาและความ
สนใจของผู้เรียน
เทคโนโลยีการศึกษา เป็นคำที่มาจากคำสองคำ คือ เทคโนโลยี ที่มีความหมายว่า เป็นศาสตร์
แห่งวิธีการ ซึ่งมิได้มีความหมายว่าเป็นศาสตร์แห่งเครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง วัสดุและวิธี
การด้วย เมื่อมาเชื่อมกับคำว่า การศึกษา เกิดเป็นคำใหม่ที่มีความหมายว่า การประยุกต์เครื่องมือ
วัสดุและวิธีการไปส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อการเรียนรู้
สื่อการเรียนการสอน
ในการเรียนการสอน โดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 3 ประการ คือ ผู้สอน ผู้เรียน
และสื่อการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนที่ใช้กันมาก คือ ภาษาพูด และภาษาเขียน ต่อมาได้มี
การพัฒนำขึ้นมาเรื่อยๆ ในปัจจุบันจะพบว่า มีสื่อการเรียนการสอนมากมายหลายชนิด เพราะถือว่า สื่อ
การเรียนการสอน คือ มือที่สามของครู ช่วยให้ครูสอนได้สนุก และมี ประสิทธิภาพ ดังนั้น บทบาทของ
สื่อการเรียนการสอนในบทเรียน ก็คือ เป็นตัวกลาง ตัวช่วย ใน การให้ข้อมูลความรู้หรือสิ่งบอกกล่าว
แก่ผู้เรียน แต่การใช้สื่อการเรียนการสอนให้ได้ผลนั้น ต้อง ตรงกับจุดประสงค์เนื้อหา และกิจกรรมขอ
งบทเรียน อีกทั้งยังต้องใช้อย่างประหยัด และคุ้มค่าอีก ด้วย สื่อการเรียนการสอนมีหลายประเภท
แต่ละประเภทมีคุณลักษณะต้องใช้อย่างประหยัด และคุ้มค่าอีกด้วย สื่อการเรียนการสอนมีหลายประ
เภท แต่ละประเภทมีคุณลักษณะเฉพาะในตัว ของมันเอง ดังนั้น ผู้ที่รับผิดชอบซึ่งรวมทั้งผู้บริหารและครู
ผู้สอน จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของ การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสม สื่อบางประเภท
มีราคาแพง อาจจะหาวิธีการสร้าง และดัดแปลงทรัพยากรในท้องถิ่นเป็นสื่อ เพื่อนำมาใช้ประกอบกา
รสอน รวมทั้งต้องเรียนรู้การ เก็บรักษาสื่อต่าง ๆ เป็นอย่างดีด้วย ผู้บริหารก็เช่นเดียวกัน จะต้องมีความ
รู้เรื่องสื่อการเรียนการ สอน เพื่อให้คำแนะนำแก่ครูผู้สอน รวมทั้งจัดหา สนับสนุน และอำนวยความ
สะดวกในเรื่องสื่อ การเรียนการสอน โดยจะเน้นในเรื่องหาสาระที่จำเป็นสำหรับผู้บริหาร และครูผู้สอน
เกี่ยวกับเรื่อง สื่อการเรียนการสอน โดยจะเน้นในเรื่องความหมาย ประเภทของสื่อ ประโยชน์ของสื่อ
การเรียน การสอน การใช้สื่อการเรียนการสอน การผลิตสื่อการเรียนการสอน การเก็บรักษา การ
บริหารสื่อ การเรียนการสอน บทบาทผู้บริหารโรงเรียนกับสื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนรู้ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้สถานศึกษาจัดการเรียนรู้ได้บรรลุ ตามจุด
หมายของหลักสูตร สื่อเป็นเครื่องถ่ายทอดความรู้ ความคิด เสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรม ค่านิยมและ
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 644
ประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 เป็น หลักสูตรแกนกลางของประ
เทศที่ใช้มาตรฐานเป็นตัวกำหนดคุณภาพของผู้เรียน โดยหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานจะกำหน
ดมาตรฐานจะกำหนดมาตรฐานเป็นตัวกำหนดคุณภาพของผู้เรียน
โดยหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะกำหนดมาตรฐานการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้เป็นช่วง
ชั้น สถานศึกษามีบทบาทและภาระหน้าที่โดยตรงในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา โดยคำนึงถึง
สภาพปัญหา ความพร้อม เอกลักษณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่นและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ทั้งนี้ สถาน
ศึกษาจะต้องจัดทำรายวิชาในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้ครบถ้วนตามมาตรฐานของ หลักสูตรการ
ศึกษาขั้นพื้นฐาน บทบาทในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สถานศึกษา จะต้องดำเนินกา
รด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสูตรของสถานศึกษา
ความหมาย
ในทางการศึกษาได้มีผู้เรียกสื่อตัวกลางแตกต่างกันออกไปตามยุคตามสมัย ตามความ คิดเห็น
และตามความเหมาะสมของแต่ละกรณี เช่น อุปกรณ์การสอน โสตทัศนอุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ สื่อ
การสอน และสื่อการเรียน ในปัจจุบันมักนิยมใช้คำว่า สื่อการเรียนการสอน แต่ละคำดังกล่าวมานี้ล้วน
หมายถึงตัวกลางทั้งสิ้น แต่มีความหมายลึกซึ้งแตกต่างกัน กล่าวคือ สื่อการสอนเน้นที่ตัวผู้สอน ส่วน
สื่อการเรียนเน้นที่ตัวผู้เรียน แต่เนื่องจากการเรียนการสอนเป็น กระบวนการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงซึ่งกัน
และกัน จึงน่าจะเรียกตัวกลางที่ใช้ในการเรียนการสอนว่า สื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอน แต่เดิมนั้นใช้คำว่า อุปกรณ์การสอน (Teaching Aids) เน้นถึงสิ่ง ที่นำ
มาใช้ช่วยประกอบในการสอน แต่ต่อมาพิจารณาเห็นว่า สิ่งที่นำมาใช้ช่วยในการสอนนั้น ส่วนใหญ่
ต้องใช้ประสาทตา และประสาทหูเพื่อการรับรู้ จึงหันมาใช้คำว่า โสตทัศนอุปกรณ์หรือ โสตทัศนูปกรณ์
(Audio-Visual Aids)
ต่อมาเมื่อมีการพิจารณารูปแบบของการเรียนการสอนว่า เข้าลักษณะของกระบวนการ สื่อ
ความหมาย (Communication Process) มีองค์ประกอบครบ ได้แก่ ครูผู้สอนซึ่งทำหน้าที่เป็น ผู้ส่ง
เนื้อหาวิชาตามหลักสูตร คือ สาร อุปกรณ์การเรียนการสอนและวิธีการ คือ สื่อผู้เรียน คือ ผู้รับ ซึ่งสื่อที่
ว่านี้ก็คือตัวกลางนั่นเอง
ด้วยเหตุและผลดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการนำคำว่า สื่อ (Medias) มาใช้แทนคำว่า อุปกรณ์
และเนื่องจากเน้นที่ตัวผู้สอนเป็นสำคัญ จึงเรียกว่า สื่อการสอน (Teaching Medias) จนถึงในยุค
ปัจจุบัน การจัดการศึกษาได้หันมามุ่งเน้นที่ตัวผู้เรียนเพิ่มมากขึ้น คำที่ใช้เรียกกันว่า สื่อการเรียน
(Learning Medias) จึงเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักการศึกษาส่วนมากยังคงใช้คำว่า สื่อการสอน และสื่อการเรียน ถ้า หากจะพิ
จารณาให้ละเอียดและเข้าใจง่าย ก็ต้องพิจารณาคำเรียกโดยยึดถือ เอาตัวผู้ใช้เป็นหลัก เช่น สิ่งที่ครูผู้
สอนนำมาช่วยสอน เรียกว่า สื่อการสอน ได้แก่ แผนภูมิ รูปภาพ แผนภาพ
การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีผู้สอน ผู้เรียนอาจได้พบเห็น ได้ยิน หรือกระทำ กิจกรรม
ต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยใช้สื่อรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่า สื่อการเรียน แต่เมื่อใดก็ตามที่มี การสอน จะ
ต้องมีการเรียนเกิดขึ้น ถ้าสื่อการสอนและสื่อการเรียนสอดคล้องสัมพันธ์กัน การ เรียนการสอนก็จะ
ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายตามที่หลักสูตรต้องการ เช่น ครูใช้แผนภูมิอธิบาย
การสอน เรื่อง อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของนก ประกอบคำอธิบาย และใน ขณะเดียวกัน ครูผู้สอนได้พิมพ์
ภาพลายลักษณ์คล้ายนกในแผนภูมิ แจกจ่ายให้ผู้เรียนคนละแผ่น ผู้เรียนฟังคำอธิบายจากครูผู้สอน
และจดบันทึกคำบรรยายส่วนต่าง ๆ ลงในภาพนก กระบวนการ เรียนการสอนในสภาพเช่นนี้ จะช่วย
ให้การเรียนรู้ดำเนินไปอย่างราบรื่น สะดวก รวดเร็ว และ เข้าใจง่าย เราเรียกแผนภูมิว่า สื่อการสอน
และเรียกภาพนกในกระดาษของผู้เรียนว่า สื่อการ เรียน และเนื่องจากสิ่งที่ครูผู้สอนนั้น ผู้เรียนก็ได้ใช้
ประกอบในการเรียนรู้ไปด้วย ดังนั้น สิ่งที่ ครูผู้สอนนำมาใช้ในกระบวนการสอน จึงน่าจะมีเหตุผลเพียง
พอที่จะเรียกว่า สื่อการเรียนการ สอนได้
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 645
สื่อการเรียนการสอน จึงหมายถึง สิ่งที่ช่วยในการเรียนรู้ ที่ครูผู้สอนและผู้เรียนเป็นผู้ใช้ เพื่อ
ช่วยให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
1. ทำให้สิ่งที่เข้าใจยาก ให้เข้าใจง่ายขึ้น
2. เป็นการสร้างแรงจูงใจ และเร้าความสนใจ
3. ช่วยเสริมสร้างความคิด และการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของนักเรียน
4. สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ เกี่ยวกับเวลา ระยะทาง และขนาดได้ เช่น
4.1 ทำให้สิ่งที่เคลื่อนไหวเร็ว ดูช้าลง เพื่อศึกษาได้
4.2 ทำให้สิ่งที่เคลื่อนไหวช้า ดูเร็วขึ้น เพื่อศึกษากระบวนการเปลี่ยนแปลง
4.3 สามารถนำสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมาศึกษาได้
4.4 สามารถย่อยสิ่งใหญ่ให้เล็กลง เพื่อให้สะดวกแก่การศึกษา
4.5 ขยายสิ่งเล็กให้ใหญ่ขึ้น
4.6 ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมขึ้น
4.7 สามารถนำสิ่งที่อยู่ไกลมาศึกษาได้
ประเภทของสื่อการสอน
สื่อการสอนในปัจจุบันมีความสำคัญต่อหลักสูตรมาก จนมีการพัฒนาเป็นวิชาใหม่ ที่ เรียกว่า
เทคโนโลยีทางการศึกษา ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวัตถุที่ใช้สนับสนุนการเรียนรู้ของ นักเรียนและช่วย
การสอนของครูให้ดำเนินไปได้สะดวกขึ้น
ประเภทของสื่อการสอน จำแนกได้ 3 ประเภท คือ
1. สื่อประเภทวัสดุ (Software) บางครั้งเรียกว่า (Small Media) เป็นสื่อที่ทำหน้าที่ เก็บความรู้
ในลักษณะของภาพ เสียงและตัวอักษรในรูปแบบต่าง ๆ ที่ผู้เรียนสามารถใช้เป็นแหล่ง ศึกษาความรู้
วัสดุที่ใช้ประกอบการเรียนสอนนี้ จำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 วัสดุที่เสนอเรื่องราวหรือความรู้ได้ด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องมือ หรือ
อุปกรณ์ใดๆ ในการนำเสนอเรื่องราวได้ กระดาน ชอล์กกระดาน ผ้าสำลี โปสเตอร์ ภาพเขียน
ภาพถ่าย แผนภาพ แผนภูมิ กราฟ การ์ตูน ของจริง ของจำลอง บัตรคำ หนังสือเรียน เป็นต้น
1.2 วัสดุที่ต้องอาศัยเครื่องมือกลไก (Software) เป็นตัวนำเสนอเรื่องราวหรือความรู้
ได้แก่ แผ่นเสียง เทปบันทึกเสียง ฟิล์มสตริป เทปบันทึกภาพ
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับสื่อประเภทวัสดุ ก็คือ เป็นตัวอุ้มหรือตัวที่เก็บความรู้ใน ลักษณะของ
ภาพ เสียง หรืออักษรไว้ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นสื่อที่ให้ความรู้แก่นักเรียนอย่างสำคัญยิ่ง เป็นแหล่ง
ความรู้ที่นักเรียนจะหาประสบการณ์หรือศึกษาได้อย่างกว้างขวาง
2. สื่อประเภทเครื่องมือ หรือโสตทัศนูปกรณ์ (Hardware) บางครั้งเรียกว่า (Big Media) ซึ่ง
เป็นตัวกลาง หรือทางผ่านของความรู้ที่จะถ่ายทอดไปยังครูและนักเรียนต้องอาศัย วัสดุมาใส่ในตัวขอ
งมัน สื่อประเภทนี้ ได้แก่ เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องฉาย ข้ามศีรษะ เครื่องรับวิทยุ
เครื่องรับโทรทัศน์ โทรทัศน์วงจรปิด เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องฉาย สไลด์ เครื่องฉายฟิล์มสตริป
เครื่องรับวิทยุ และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
สื่อประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นตัวกลาง ซึ่งเป็นที่อาศัยหรือทางผ่านของความรู้ที่จะ ถ่ายทอดไปยังผู้
เรียน โดยตัวของมันเองแล้วแทบไม่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้เลย ถ้าไม่มีความรู้ ในแบบต่าง ๆ มา
ป้อนผ่านสื่อเหล่านี้ไปยังผู้เรียน เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ ต้องมีฟิล์ม ภาพยนตร์ เครื่องรับวิทยุและ
โทรทัศน์ต้องการรายการ เครื่องช่วยสอนต้องการบทเรียนสำเร็จรูป เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ถือ
ว่าสื่อประเภทเครื่องมือนี้มีความสำคัญมากเช่นกัน
3. สื่อประเภทเทคนิค หรือวิธีการ (Technique or Method) หมายถึง กิจกรรมทุก อย่างที่ครู
หรือนักเรียนจัดขึ้นทั้งในและนอกห้องเรียน ในบางครั้งการเรียนการสอนต้องอาศัย เทคนิคบาง
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 646
ประการเข้าช่วย จึงทำให้การเรียนได้ผลดี จะใช้เพียงวัสดุหรือเครื่องมืออย่างใดอย่าง หนึ่ง หรือทั้ง 2
อย่าง ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องอาศัยสื่อการสอนต่อไปนี้ คือ
3. 1 การเล่นละครและหุ่น
3. 2 การแสดงบทบาทสมมติ
3. 3 การสาธิต
3. 4 การศึกษานอกสถานที่
3. 5 การแสดงนิทรรศการ
3. 6 การทดลอง
3. 7 นิทรรศการ
3. 8 รายการโทรทัศน์
3. 9 รายการวิทยุ ฯลฯ เป็นต้น
กระบวนการพัฒนาสื่อการเรียนรู้
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีลักษณะต่างไปจากหลักสูตรที่ผ่านมาที่สถานศึกษา จะต้องจัด
ทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษาเอง บทบาทในการผลิตและพัฒนาสื่อการเรียนรู้ตาม หลักสูตรของ
สถานศึกษาจึงเป็นภารกิจที่ครูผู้สอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้จะต้องดำเนินการ เพราะสื่อการเรียน
รู้ที่มีอยู่เดิม หรือมีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดคงมิอาจจะสนองผลการเรียนรู้ราย ปี/รายภาค ตาม
หลักสูตรกลุ่มสาระต่าง ๆ ของสถานศึกษาได้อย่างครบถ้วน การผลิตและพัฒนา สื่อการเรียนรู้ให้สอด
รับผลการเรียนรู้รายปี/รายภาค อาจดำเนินการได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
1. การผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่
2. การจัดแปลง/ปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ที่จัดทำ/สร้างไว้แล้ว
การผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่
การผลิต/จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่ เป็นวิธีการได้มาซึ่งสื่อการเรียนรู้ที่ครูผู้สอน สามารถกำ
หนดรูปแบบ สาระการเรียนรู้และวิธีนำเสนอสาระการเรียนรู้ของสื่อชิ้นนั้นได้ตาม ความต้องการของผู้
สอนอย่างแท้จริง แต่ครูผู้สอนจะต้องใช้เวลาในการออกแบบและดำเนินการ ผลิต จัดทำสื่อชิ้นนั้นมา
กบ้างน้อยบ้าง ตามแต่ละชนิดหรือประเภทของสื่อที่จะผลิต การผลิต/ จัดทำสื่อการเรียนรู้ขึ้นใหม่
สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น
1. หนังสือเรียน เป็นสื่อการเรียนรู้พื้นฐานสำหรับการเรียนการสอนในชั้นเรียน ซึ่งมี เนื้อหา/
สาระครอบคลุมขอบข่ายสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หนังสือเรียนที่ดีไม่ เพียงแต่นำเสนอ
ข้อเท็จจริงหรือความรู้ต่าง ๆ เท่านั้น แต่จะต้องให้แนวทางแก่ผู้เรียนใน การศึกษาความรู้เพิ่มเติม
พัฒนาความคิด และการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันด้วย
หนังสือเรียนมีลักษณะพิเศษที่จะช่วยผู้เรียนให้ศึกษาทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เป็น ขั้นตอนที
ละเล็กทีละน้อยตามลำดับ จนเกิดการเรียนรู้สิ่งที่กว้างขวางขึ้น การเรียนรู้จากหนังสือ บางบท/หน่วย
การเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง แต่บางบท/หน่วยการเรียนรู้ผู้เรียน ก็จำเป็นต้องได้รับ
คำชี้แนะ ช่วยเหลือจากผู้สอน เพื่อเสริมเติมเต็มสาระการเรียนรู้ให้มีความ สมบูรณ์ ชัดเจนยิ่งขึ้น รูป
แบบของหนังสือเรียน อาจทำในลักษณะของหน่วยการเรียนรู้ เช่น สาระการเรียนรู้ กลุ่มสุขศึกษาและ
พลศึกษา ชั้นปีที่ 1 (ป.1) กำหนดสาระไว้ 4 หน่วยการเรียน คือ หน่วยกายใจสมบูรณ์ หน่วยเพิ่มพูนพ
ลานามัย หน่วยปลอดภัยไร้พิษและหน่วยชีวิตมีคุณค่า ซึ่งแต่ละหน่วยจะมีสาระแยกเป็นเรื่องๆ ไป
2. คู่มือครู/คู่มือการสอน/คู่มือการจัดการเรียนรู้ เป็นสื่อที่ให้แนวทางกับครูผู้สอน ในการจัด
กระบวนการเรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้ให้เป็นไปตามจุดประสงค์หรือมาตรฐานการ เรียนรู้ของ
หลักสูตร โดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยจุดประสงค์ของบทเรียน เนื้อหา/สาระการ เรียนรู้กิจกรรม/กระ
บวนการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล บางเล่มอาจมีสาระ อื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือ
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 647
จากที่กล่าวไปแล้ว เช่น กิจกรรมเสนอแนะเพิ่มเติม โครงงาน และ ภาคผนวกหรืออาจจะเสนอหลักการ
ทฤษฎี และหรือความรู้โดยละเอียดสำหรับครูผู้สอน
3. ชุดการเรียนการสอน ประกอบด้วย สื่อหลายๆ ชนิด จัดรวมไว้เป็นชุด เช่น คู่มือ แนะนำการ
ใช้ชุดการเรียนการสอน หนังสือเรียน หนังสืออ้างอิง ใบงาน แบบฝึกหัด/แบบฝึก กิจกรรม บทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน สไลด์ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำชุดการเรียนการสอน อาจจัดทำในรูปแบ
บที่จะสามารถบูรณาการภายในกลุ่มหรือระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตลอดจนบูรณาการกระบวนการ
ใช้สื่อแต่ละชนิดในชุดให้เหมาะสมกับกาลเวลาและ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
4. บทเรียนสำเร็จรูป เป็นสื่อที่เหมาะสมสำหรับให้ผู้เรียนใช้เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ประกอ
บด้วย สาระการเรียนรู้ที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และประเมินผลการ เรียนได้ด้วย
ตนเอง ซึ่งอาจจัดทำในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือและสื่อเทคโนโลยี เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอน (CAT)
5. แบบฝึกหัด/แบบฝึกทักษะ/แบบฝึกกิจกรรม เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ครูควรเป็น ผู้จัดทำขึ้นเอง
เพราะครูเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน จึงย่อมจะทราบดีว่าสาระส่วน ใดควรจะมีแบบฝึกที่
จะช่วยเสริมทักษะให้กับผู้เรียน
6. สื่อเสริมการเรียนรู้อื่น ๆ เป็นสื่อที่มีสาระลึกซึ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ (Theme) เช่น เรื่องดิน
จักรวาล ประเทศเพื่อนบ้าน หรืออาจมีสาระรวมหลายๆ เรื่องเพื่อการศึกษาค้นคว้า เพิ่มเติมผู้เรียนสา
มารถศึกษาค้นคว้าได้ตามความสนใจและความสามารถของแต่ละบุคคล สื่อ เสริมการเรียนรู้นี้อาจจัด
ทำในรูปของหนังสือ แถบบันทึกภาพพร้อมเสียง แถบบันทึกเสียง สไลด์ ซีดีรอม อินเทอร์เน็ต
กระบวนการผลิตสื่อการเรียนรู้
การผลิตสื่อการเรียนรู้แต่ละประเภทอาจมีขั้นตอน/วิธีผลิตที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อย แตกต่าง
กันไป ในที่นี้จะนำเสนอกระบวนการผลิตสื่อการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ได้กับการผลิต สื่อการเรียนรู้
ทั่วๆ ไป ซึ่งมีกระบวนการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการผลิตสื่อ
2. ศึกษาและกำหนดคุณสมบัติของผู้เรียน โดยพิจารณาว่าผู้ที่จะใช้สื่อนั้นคือใคร มี
ความรู้และประสบการณ์เดิมมาอย่างไร เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดคุณสมบัติส่วน อื่น ๆ
ของสื่อให้เหมาะสมต่อไป
3. กำหนดและวิเคราะห์เนื้อหาสาระว่าจะต้องประกอบด้วยเนื้อหาสาระอะไรบ้าง ทั้งนี้
ควรจะต้องพิจารณากำหนดเนื้อหาสาระให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และให้เหมาะสมกับ ผู้เรียน
ด้วย
4. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยการตีความและจำแนกแยกย่อยจุดประสงค์
ทั่วไปให้ละเอียดลงไปถึงขั้นที่ทราบได้ว่า เมื่อผู้เรียนเรียนรู้จากสื่อนั้นแล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่ง
จะเป็นแนวทางสำคัญในการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต่อไป
5. กำหนดรูปแบบและวิธีประเมินผล
6. กำหนดวิธีการและแนวทางการเสนอเนื้อหา เป็นการวางแผนว่าจะเสนอเนื้อหาสาระ
ในรูปแบบใด เรียงลำดับหัวข้อและเนื้อหาอย่างไร มีตัวอย่าง มีการนำเรื่อง สรุปเรื่อง หรือทบทวนเรื่อ
งอย่างไร ควรมีแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมแทรกอยู่ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ก็เพื่อที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนบรรลุจุด
ประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
7. กำหนดแหล่งข้อมูลที่สนับสนุนการจัดทำสื่อการเรียนรู้ ไม่ว่าจะผลิตสื่อการเรียนรู้
ชนิดใด อาจจะเป็นสิ่งพิมพ์หรือสื่อเทคโนโลยี ผู้ผลิตจะต้องกำหนดว่าจะหาข้อมูลสนับสนุนได้จาก
แหล่งใด เช่น แหล่งค้นคว้าเกี่ยวกับเนื้อหา ภาพประกอบ แผนภูมิ เป็นต้น
8. ยกร่างและจัดทำสื่อการเรียนรู้ตามรูปแบบ และวิธีการที่กำหนดไว้
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 648
9. ทดสอบคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่ผลิตขึ้น โดยนำสื่อต้นแบบไปทดลองใช้กับกลุ่ม
บุคคลที่เป็นตัวแทนของผู้เรียนที่จะต้องใช้สื่อนั้น ใช้สื่อต้นแบบนี้จัดการเรียนการสอนจริงๆ เพื่อศึกษา
ข้อบกพร่องต่าง ๆ สำหรับนำมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงสื่อให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
10. ปรับปรุงสื่อการเรียนรู้ตามข้อมูลที่ได้ศึกษาไว้
11. นำสื่อที่ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้วไปใช้
การใช้สื่อการเรียนการสอน
สื่อการเรียนการสอนมีคุณค่าต่อการสอนเป็นอย่างมาก เป็นอุปกรณ์ เป็นวิธีการที่ช่วย ให้ครูผู้
สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม สื่อ การเรียนกา
รสอนแต่ละชนิดแต่ละประเภทต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัด หาได้เหมาะสมกับการเรียน การสอนในทุกหัว
ข้อหรือทุกวิชาเสมอไป เพื่อที่จะให้การใช้สื่อการเรียนการสอนได้ผลดี คุ้มค่าต่อ การลงทุน จึงควรยึด
หลักต่อไปนี้ คือ
1. การเลือกสื่อการเรียนการสอน
2. การเตรียมความพร้อม
3. การนำเสนอ
4. การสรุปและประเมินผลการใช้สื่อ
5. การจัดกิจกรรมต่อเนื่อง
ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดของแต่ละหัวข้อดังต่อไปนี้
1. การเลือกสื่อการเรียนการสอน
การเลือกสื่อการเรียนการสอน เพื่อนำมาใช้ให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมาย เนื้อหาวิชา และสถาน
การณ์การเรียนการสอนนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสื่อการเรียนการสอนอะไร ครู จะต้องพิจารณาและ
เข้าใจถึงสิ่งต่อไปนี้
1.1 จุดมุ่งหมายของเนื้อหาวิชาและการสอน
1.2 รูปแบบและระบบของการเรียนการสอน
1.3 ลักษณะของผู้เรียน
1.4 ประเภท คุณสมบัติ และหน้าที่ของสื่อการเรียนการสอนแต่ละชนิด
1. 5 วัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก
1.1 การเลือกสื่อการเรียนการสอนกับจุดมุ่งหมายของเนื้อหาวิชาและการสอ จุดมุ่ง
หมายของการสอนและจุดมุ่งหมายของเนื้อหาวิชา เป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงและ นำมาพิจารณาใน
การเลือกสื่อการเรียนการสอน เพื่อจะได้ทราบว่าในเนื้อหาที่จะสอน ครั้งนี้ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
หรือมีพฤติกรรมขั้นสุดท้ายอย่างไร ระดับจุดมุ่งหมายทางการเรียนการสอนนั้นอาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
คือ
1) ระดับความรู้ หรือวุฒิปัญญา (Cognitive Domain) เป็นการเรียนรู้ด้านวิชา
การที่ใช้ สมองเพื่อก่อให้เกิดปัญญาความรู้ ระดับนี้เป็นการเรียนรู้เนื้อหาวิชาและรายละเอียดต่าง ๆ
หรือ ความรู้ที่เป็นพื้นฐานซึ่งผู้เรียนจะต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งและสามารถที่จะนำไปใช้ได้ ได้แก่
ความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนำไปใช้ (Application) การวิเคราะห์
(Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) และการประเมิน (Evaluation)
2) ระดับของความรู้สึกหรือเจตคติ (Affective Domain) เป็นการเรียนรู้ด้านค
วามรู้สึก ด้านอารมณ์ เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ ระดับนี้เป็นระดับความรู้สึกทางด้านจิต
ใจ เช่น ความเชื่อ ความซาบซึ้ง อารมณ์ การประเมินคุณค่าสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น
3) ระดับการปฏิบัติหรือทักษะ (Psychomotor Domain) เป็นการเรียนรู้ด้าน
ทักษะ ได้แก่ การเคลื่อนไหว การลงมือทำงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการของสมองและจิตโดยเน้น
ความเคลื่อนไหวของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 649
1.2 การเลือกสื่อการเรียนการสอนกับรูปแบบและระบบการเรียนการสอน
รูปแบบและระบบการเรียนการสอนก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกใช้สื่อการสอน
เราอาจจัดการเรียนการสอนเป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มเล็ก หรือเป็นรายบุคคล โดยจัดรูปแบบการเรียน การ
สอนในลักษณะต่าง ๆ กัน เช่น การสอนเป็นคณะ การสอนแบบจุลภาค หรือการสอนแบบ บรรยาย เป็น
ต้น โดยใช้ระบบการสอนต่าง ๆ เช่น ระบบมวลชน ระบบสองทางระบบเปิด และ ระบบปิด เป็นต้น
ดังนั้น ในการจะเลือกใช้สื่อชนิดใด จะต้องพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการเรียนการ
สอน รูปแบบของการเรียนการสอน และระบบการเรียนการสอนไปพร้อมๆ กันด้วย
1.3 การเลือกสื่อการเรียนการสอนกับลักษณะของผู้เรียน
ลักษณะของผู้เรียนที่ควรพิจารณา คือ
1) ลักษณะภายนอกทั่วไป เช่น อายุ เพศ และสุขภาพ
2) ลักษณะทางความรู้สึกหรือเจตคติ เช่น ความเชื่อ ความสนใจ อารมณ์ ความ
โน้มเอียงในการชอบ หรือไม่ชอบ
3) ลักษณะทางการศึกษา เช่น พื้นความรู้ทั่วไป ประสบการณ์เดิม ความถนัดใน
การเรียน วิธีการเรียนที่ชอบ
4) สถานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคม เช่น อาชีพ เชื้อชาติ ศาสนา
ฐานะ และวัฒนธรรม ในการเลือกสื่อการเรียนการสอนนั้น ควรเลือกสำหรับกลุ่มนักเรียนที่เป็นหลัก
เพียง กลุ่มเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นจึงค่อยพิจารณากับกลุ่มผู้เรียนที่มีความสำคัญรองลงมา ที่
อาจจะใช้สื่อการสอนนั้น ๆ ได้ด้วยหรือไม่ หรืออาจจะต้องใช้สื่ออื่นที่เหมาะสมกว่า
1.4 การเลือกสื่อการเรียนการสอนกับประเภท คุณสมบัติและหน้าที่ของสื่อแต่ ละชนิด
สื่อการเรียนการสอนแต่ละประเภทแต่ละชนิด จะมีคุณประโยชน์และข้อจำกัดต่อการ
เรียนการสอนแตกต่างกัน ดังนั้น ครูผู้ใช้จึงต้องมีความเข้าใจในเรื่องสื่อการสอนต่าง ๆ ให้แจ่ม แจ้งว่า
สื่อชนิดใดเหมาะสมกับประสบการณ์หรือการเรียนการสอนแบบใด สื่อนั้น ๆ มีข้อดีและ ข้อจำกัดอย่าง
ไรบ้าง
1. 5 การเลือกสื่อการเรียนการสอนกับวัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวก ที่มีอยู่
ในการเลือกสื่อการเรียนการสอนนั้นจะต้องคำนึงถึง วัสดุ อุปกรณ์และสิ่งอำนวยความ
สะดวกที่มีอยู่ในโรงเรียน หรือในสถานที่นั้นด้วย ตัวอย่างเช่นถ้าหากโรงเรียนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ครูจะ
ไปเลือกใช้สื่อประเภทเครื่องฉาย หรือเครื่องเสียงที่ต้องใช้ไฟฟ้าไม่ได้ จำเป็นจะต้อง พิจารณา เลือกสื่อ
ชนิดอื่นที่เหมาะสมที่สุดมาใช้แทน เช่น อาจจะเป็นภาพชุด ภาพพลิก หรือ สมุดภาพ หรือเครื่องเสียงที่
ใช้แบตเตอรี่แห้ง เป็นต้น
ในการเลือกสื่อการเรียนการสอน นอกจากจะพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วใน 5
ข้อย่อยข้างต้น ในการใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพนั้น ครูผู้สอนควรคำนึงถึงเกณฑ์ทั่วไปในการ เลือกสื่อ
การเรียนการสอน โดยพิจารณาจากคำถามต่อไปนี้
1. สื่อการเรียนการสอนนั้นมีความสัมพันธ์กับจุดประสงค์เฉพาะ หรือเป็นกิจกรรมการ
แก้ปัญหาหรือไม่
2. เนื้อหาที่จะต้องใช้สื่อความหมายด้วยสื่อการเรียนการสอน เป็นประโยชน์และมี
ความสัมพันธ์กันระหว่างผู้เรียน ชุมชน และสังคมหรือไม่
3. สื่อการเรียนการสอนนั้นเหมาะแก่จุดมุ่งหมายของการสอน หรือเป้าหมายของ ผู้
เรียนหรือไม่
4. สื่อการเรียนการสอนได้มีการตรวจสอบระดับความยากง่ายของจุดมุ่งหมายในการ
สอนเกี่ยวกับความเข้าใจ ความสามารถ เจตคติ และค่านิยมหรือไม่
5. สื่อการเรียนการสอนนั้นให้ความสำคัญต่อประสบการณ์ทางการคิด การโต้ตอบการ
อภิปราย และการศึกษาค้นคว้าหรือไม่
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 650
6. เนื้อหาในการสื่อการเรียนการสอน ช่วยแก้ปัญหาและเสริมกิจกรรมของผู้เรียน หรือ
ไม่
7. สื่อการเรียนการสอนนั้นเสนอแนวคิดที่มีความสัมพันธ์กันหรือไม่
8. สื่อการเรียนการสอนนั้นให้เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับขนาด อุณหภูมิ น้ำหนัก ความลึก
ระยะทาง การกระทำ กลิ่นเสียง สี ความมีชีวิตชีวา และอารมณ์หรือไม่
9. สื่อการเรียนการสอนนั้นถูกต้องและทันสมัยหรือไม่
10. สื่อการเรียนการสอนนั้นสามารถปรับให้เข้ากับจุดมุ่งหมายของการสอนที่พึง
ปรารถนาได้หรือไม่
11. สื่อการเรียนการสอนนั้นน่าสนใจ และให้รสนิยมอันดีหรือไม่
12. สื่อการเรียนการสอนนั้น ใช้ในห้องเรียนธรรมดาได้หรือไม่
13. เนื้อหาความรู้ที่ได้จากสื่อการเรียนการสอนนั้นมีมากน้อยเพียงใด
ดังนั้น การที่ครูผู้สอนจะเลือกสื่อการเรียนการสอนอะไร จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ในทุกๆ ด้านดังกล่าว และควรมีความเข้าใจด้วยว่า ไม่มีสื่อการเรียนการสอนชนิดใดดีที่สุด สื่อ การ
เรียนการสอนจะดีขึ้นอยู่กับว่าสื่อที่ใช้นั้น ควรเหมาะสมกับเนื้อหา จุดมุ่งหมายของการสอน รูปแบบ
ของการเรียน ลักษณะของผู้เรียน และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ และสถานการณ์ในขณะนั้น
การเลือกใช้สื่อการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างแท้จริง
ในการสอน เนื้อหาบางอย่าง อาจเลือกสื่อหลายๆ ชนิดโดยนำมาจัดในรูปของสื่อประสม (Multi
Media)
การใช้สื่อประสม หมายถึง วิธีการจัดนำเอาสื่อการเรียนการสอนหลายๆ อย่างซึ่งมี เนื้อ
หาสาระความรู้เกี่ยวข้องกันมาใช้ร่วมกันในการเรียนการสอนครั้งหนึ่งๆ สื่อการเรียนการสอน อย่าง
หนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ ในขณะที่สื่อการเรียนการสอนอีกอย่างหนึ่งอาจใช้เพื่อ ก่อให้เกิดความ
เข้าใจที่ลึกซึ้ง และป้องกันการเข้าใจความหมายที่ผิดๆการเลือกใช้สื่อประสมจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา
เพราะเป็นการเพิ่มพูนความรู้และ ประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น ทำให้บทเรียนมีความเป็นรูป
ธรรมมากขึ้น ทั้งยังเป็นการ สร้างบรรยากาศการเรียนการสอนให้น่าสนใจยิ่งขึ้นอีกด้วย
2. การเตรียมความพร้อม
เมื่อได้ตัดสินใจว่า จะเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนประเภทใดแล้ว ครูผู้สอนจะต้อง เตรียมการ
ต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อให้การเรียนการสอนดำเนินไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ในการเตรียม ความพร้อม
นั้นจะต้องเตรียมในทุกๆ ด้าน กล่าวคือ
2. 1 การเตรียมตัวครูผู้สอน
2. 2 การเตรียมผู้เรียน
2. 3 การเตรียมห้องเรียน
2. 4 การเตรียมสื่อให้พร้อมก่อนนำไปใช้
2. 1 การเตรียมตัวครูผู้สอน
1) พิจารณาจุดมุ่งหมาย และเนื้อหาของบทเรียนที่จะสอน
2) พิจารณาความต้องการ และความสนใจของผู้เรียน
3) พิจารณาถึงสิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาในการสอน พร้อมทั้งแนวทางแก้ไขปัญหา
4) เตรียมแผนการสอน
5) จัดหาหรือทำสื่อการเรียนการสอน
2. 2 การเตรียมผู้เรียน
1) ตรวจสอบคุณลักษณะของผู้เรียนว่า มีพื้นฐานความรู้เดิมเป็นอย่างไร มีความ
สนใจ ความถนัดอย่างไร
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 651
2) อธิบายให้ผู้เรียนทราบล่วงหน้าว่าจะสอนอะไร เมื่อไหร่และแจ้งให้ผู้เรียนเต
รียม บางสิ่งบางอย่างมาด้วยตนเอง เช่น เตรียมกระดาษกราฟ เชือก เศษผ้า หรืออื่น ๆ
3) อธิบายให้ผู้เรียนทราบล่วงหน้าว่า จะต้องมีส่วนร่วมในระหว่างการใช้สื่อการ
เรียนการสอนอย่างไรบ้าง เช่น คอยสังเกตหรือฟังตรงที่สำคัญ การหาคำตอบและคำศัพท์ใหม่ซึ่ง ครู
บอกหรือเขียนไว้ให้ทราบล่วงหน้า
4) อธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจว่า กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติหลังจากการใช้สื่อการเรียน
การ สอนประกอบแล้ว มีอะไรบ้าง
2. 3 การเตรียมห้องเรียน
1) เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะต้องใช้ร่วมกับสื่อการเรียนการสอนที่เลือก
ไว้ เช่น สายไฟ หม้อแปลง แผงติดภาพ โต๊ะสาธิต ฯลฯ
2) ตรวจสภาพของห้องที่จะใช้สื่อการเรียนการสอนล่วงหน้า การจัดที่นั่ง การตั้ง
จอ และเครื่องฉาย ที่จ่ายกระแสไฟฟ้า ระยะทางจากผู้ดูกับจอ การควบคุมแสงสว่างในห้อง ฯลฯ
3) เตรียมเครื่องมือต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น เครื่องฉาย เครื่องบันทึกเสียง โต๊ะตั้ง
เครื่องฉาย จอ ปลั๊กไฟ และหลอดสำรอง ฯลฯ
4) จัดบรรยากาศของห้องให้สะดวกสบาย เช่น การถ่ายเทอากาศ การควบคุม
อุณหภูมิ การควบคุมแสงสว่างและอื่น ๆ
2. 4 การเตรียมสื่อให้พร้อมก่อนนำไปใช้
1) เตรียมสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ควบคู่กับสื่อการเรียนการสอน เพื่อความคล่อง
ตัว ในการใช้ และเสริมสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้เรียน
2) ตระเตรียมและทดลองใช้สื่อการเรียนการสอนเป็นอย่างดี ก่อนใช้ใน
ห้องเรียน หากกระทำได้ควรทดลองใช้ในสถานที่ที่จะใช้สื่อนั้นจริงๆ
3) เตรียมอุปกรณ์ หรือสื่ออื่นที่เหมาะสม เพื่อแจกแก่นักเรียน เช่น คำบรรยาย
ประกอบการสอน และเตรียมจำนวนให้เพียงพอกับผู้เรียน
4) ถ้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วยในการฉายหรือบริการอื่น ๆ ควรจะได้มีการซักซ้อมค
วาม เข้าใจกันเสียก่อน
5) จัดเรียงลำดับการเรียนการสอนที่จะใช้ไว้ลำดับก่อนหลังที่ต้องการและวางไว้
ใน ที่ที่เหมาะสม และอยู่ในสภาพเรียบร้อย
3. การนำเสนอ
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว มาถึงขั้นตอนของการนำเสนอการเรียนการสอนใน ห้องเรียน
คือ การใช้สื่อประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน มีหลักการที่ครูควรระลึกถึง ดังนี้
3. 1 ไม่มีสื่อการเรียนการสอนใด จะทำหน้าที่แทนครูได้โดยสมบูรณ์
3. 2 สื่อจะทำหน้าที่เพียงช่วยครูในการจัดกิจกรรม และประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อ
สนับสนุนให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. 3 การใช้สื่อในการเรียนการสอน จะต้องใช้ให้เหมาะสมกับวิธีสอน จุดมุ่งหมาย จัง
หวะเวลา จิตวิทยาการเรียนรู้ และบุคลิกภาพของครูประกอบกัน
เมื่อครูผู้สอนได้ตระหนักในหลักทั้ง 3 ประการดังกล่าวแล้วข้างต้น และนำไปใช้ควบคู่
กับแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้ ก็จะช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น กล่าว
คือ
1) นำสื่อการเรียนการสอนออกใช้ตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน โดยให้ผู้
เรียนได้ เห็น ได้ยิน หรือมีกิจกรรมร่วมด้วยอย่างทั่วถึงกัน
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 652
2) ใช้เทคนิคของการเสนอสื่อที่ดีและถูกต้อง เช่น ฉายภาพให้อยู่กลางจอ
การปรับ ความชัดของภาพ การปรับระดับเสียง อย่ายืนบังผู้เรียนและอื่น ๆ
3) พยายามพิจารณาหรือสังเกตปฏิกิริยาของผู้เรียนที่มีต่อสื่อการเรียนการสอนนั้น เพื่อ
จะได้นำมาปรับปรุงในการใช้คราวต่อไป
4) ใช้สื่อการเรียนการสอนให้อยู่ภายในเวลาที่กำหนดไว้
ในหลักการข้อนี้ ครูจะต้องมีความสามารถหลายประการ อาทิเช่น
ก. ต้องสามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในโรงเรียนได้
ข. ต้องสามารถรู้ข้อบกพร่อง หรือการทำงานที่ไม่ปกติของเครื่องมือ
ค. ต้องมีความสามารถที่จะบอกได้ว่า ความมืดของห้องขนาดไหน เหมาะสำหรับ
เครื่องฉายประเภทใด
ง. ต้องสามารถจัดวางสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง เช่น จอ ที่นั่ง ลำโพง และเครื่องมือ
เพื่อให้นักเรียนที่มีส่วนร่วมให้มากที่สุด
จ. รู้จักเลือกจังหวะในการเสนอสื่อที่เหมาะสม
ฉ. ต้องสามารถหยิบจับ และแสดงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่เคอะเขินเฉื่อยชา
4. การสรุปและประเมินผลการใช้สื่อ
หลังจากการใช้สื่อการเรียนการสอนเสร็จสิ้นแล้ว ครูผู้สอนควรตั้งคำถามเพื่อสรุปเป็น
ตอนๆ อธิบายในสิ่งที่ผู้เรียนยังสงสัยหรือไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง และอาจทดสอบความเข้าใจถ้า เห็น
สมควร
ครูผู้สอนควรมีการประเมินการใช้สื่อการเรียนการสอน โดยประเมินจากองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
4. 1 ครู
4. 2 นักเรียน
4. 3 สื่อการเรียนการสอน
ทั้งนี้ เพื่อจะได้ทราบว่า การเรียนการสอนได้ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้มากน้อยเพียงใดและ เพื่อ
ปรับปรุงการผลิต และการใช้สื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่วนวิธีการประเมินสื่อการ
เรียนการสอนนั้น อาจทำได้หลายวิธี เช่น
ก. ประเมินโดยการสังเกตเมื่อทำกิจกรรม
ข. ประเมินโดยการอภิปราย
ค. ประเมินโดยการทดสอบ
ง. ประเมินโดยการรายงานสรุป
สำหรับการประเมินผลสื่อการเรียนการสอน นอกจากจะทำโดยการสังเกต การ อภิปราย การ
ทดสอบและการรายงานสรุปแล้ว อาจใช้วิธีตั้งคำถาม เพื่อพิจารณาดูว่า ผู้เรียนได้ บรรลุถึงพฤติกร
รมที่ต้องการหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
5. การจัดกิจกรรมต่อเนื่อง
แม้ภายหลังการเรียนการสอน การสรุป และประเมินผลจะสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้วก็ตาม ทั้งครูผู้
สอนและผู้เรียนควรร่วมกันแสวงหาวิธี เพื่อที่จะให้ผู้เรียน ซึ่งเป็นผลผลิตของหลักสูตรและ เป็นเป้า
หมายสำคัญของการจัดการศึกษานั้น ได้ใช้ความรู้ ความเข้าใจ ที่ได้เรียนไปนั้น ประยุกต์ใช้ในกา
รดำเนินชีวิตประจำวันต่อไป
กิจกรรมต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะให้ผู้เรียนได้กระทำ หลังจากการใช้สื่อการเรียน การส
อนแล้ว กิจกรรมดังกล่าว ได้แก่
5. 1 การอภิปราย
5. 2 การศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
5. 3 การทำรายงาน
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 653
5. 4 การตอบคำถาม
5. 5 การศึกษานอกสถานที่
นอกจากแนวปฏิบัติในการใช้สื่อการเรียนการสอน 15 ประการ ดังกล่าวแล้ว ยังมีข้อ ควร
คำนึงถึงสำหรับการใช้สื่อการเรียนการสอนอีก 8 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ไม่มีสื่อการเรียนการสอนใดที่เหมาะสมกับทุกจุดมุ่งหมายของเนื้อหาวิชา
2. ควรใช้สื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้
3. ผู้ใช้จะต้องคุ้นเคยกับเนื้อหาและสื่อการเรียนการสอน
4. สื่อการเรียนการสอนจะต้องเหมาะสมกับรูปแบบของการสอนและกลุ่มกิจกรรม
5. สื่อการเรียนการสอนจะต้องเหมาะสมกับสมรรถภาพและวิธีการเรียนของผู้เรียน
6. สื่อการเรียนการสอนจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่ที่สื่อนั้นให้ความเป็นรูปธรรม และอยู่ที่ ประ
โยชน์ในการใช้ให้เหมาะสมกับการสอน
7. สภาวะแวดล้อมในการใช้สื่อการเรียนการสอนมีอิทธิพลสำคัญต่อผลที่จะได้รับ ควร
จัดสิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกให้เหมาะกับการใช้สื่อการเรียนการสอนนั้น
8. การใช้สื่อการเรียนการสอนควรมีการทดสอบก่อน และมีคู่มือ อธิบายวิธีใช้อย่าง
เหมาะสม การจัดระบบการใช้สื่อการเรียนการสอนให้ถูกต้อง และเข้าใจกระบวนอย่างดีแล้ว จะ ช่วย
ให้เกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
การผลิตสื่อโรงเรียนโดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
1. นักเรียนจัดทำส่วนมากนักเป็นกิจกรรมการศึกษา เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การ
เรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน เช่น การแสดงละคร การถ่ายรูป ศิลปะ ฯลฯ เป็นต้น
2. ครูจัดทำ เพื่อใช้ในกิจกรรมการศึกษา หรือเพื่อการเรียนการสอนของครูแต่ละคน
โดยเฉพาะ
3. ครูเทคโนโลยีทางการศึกษาในศูนย์บริการในโรงเรียนเป็นผู้จัดทำ
สำหรับในโรงเรียนประถมศึกษา การผลิตสื่อการเรียนการสอน อาจหาได้จากแหล่ง ต่าง ๆ
ดังนี้
1. สื่อที่หาได้จากสิ่งแวดล้อม เช่น หาได้จากส่วนของพืช สัตว์ ธรรมชาติ
2. สื่อที่ดัดแปลงจากวัสดุเหลือใช้ เช่น หุ่น ถุงกระดาษ ภาพจากนิตยสาร ขวดเพาะ
เมล็ดพืช สิ่งประดิษฐ์จากกล่องกระดาษ ส่งประดิษฐ์จากขวดพลาสติก สิ่งประดิษฐ์จากกระดาษ หนังสือ
พิมพ์ ฯลฯ เป็นต้น
3. สื่อที่ผลิตหรือสร้างขึ้น เช่น บัตรคำ และแถบประโยค สมุดภาพ แผ่นป้ายสำลี ป้าย
นิเทศ ฯลฯ เป็นต้น
4. สื่อสำเร็จรูปที่ครูจัดหามา เช่น แผนที่ ลูกโลก ปรอท เครื่องชั่งน้ำหนัก โทรทัศน์ ฯลฯ
เป็นต้น
การเก็บรักษาและบริการสื่อการเรียนการสอน
1. การเก็บรักษา
เมื่อมีการผลิตสื่อ เพื่อใช้ในการเรียนการสอนแล้ว ก็ควรจะมีการเก็บรักษา เพื่อจะได้ ทำให้สื่อ
อยู่ในสภาพที่ดี และใช้ได้นำนๆ การเก็บรักษาสื่อบางประเภท เช่น แผนที่ ภาพพลิก บัตรคำ แถบประ
โยค แผนภูมิ หากเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ มักจะมีวิธีการเก็บรักษาระบุไว้ ดังนั้น การเก็บรักษาควร
ศึกษาจากคู่มือ หลังการใช้สื่อแล้ว ควรเก็บรักษาให้พร้อมที่จะใช้ในครั้ง ต่อไป สื่อบางชนิดต้องเก็บ
ในที่มิดชิด เพื่อป้องกันแปลง หรือหนูกัดได้ และเมื่อสื่อเกิดการชำรุด เสียหายควรรู้จักวิธีซ่อมแซมให้
อยู่ในสภาพดีด้วย
2. การจัดและบริการสื่อการเรียนการสอน
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 654
เมื่อโรงเรียนมีการผลิตสื่อ อาจจัดหาหรือจัดซื้อ ทำให้มีสื่อการเรียนการสอนมากมาย หลาย
ชนิด ผู้บริหารโรงเรียนจึงควรที่จะคิดริเริ่มจัดห้อง หรือศูนย์สื่อการเรียนการสอนใน โรงเรียนขึ้น เพื่อ
บริการแก่ครูผู้สอน หลักการจัดและบริการศูนย์สื่อการเรียนการสอน มีข้อควร พิจารณา ดังนี้
2. 1 จัดสื่อแต่ละประเภทให้เป็นระเบียบ
2. 2 ทำสัญลักษณ์ของสื่อแต่ละประเภท
2. 3 วางระเบียบเรื่องการใช้สื่อ
2. 4 ทำคู่มือการใช้สื่อแต่ละประเภท
2. 5 ทำบัตรรายการสื่อทุกชิ้น
2. 6 สื่อประเภทอุปกรณ์การบริการประจำที่
2. 7 จัดตารางบริการสื่อประเภทอุปกรณ์ เพื่อความสะดวกในการเลือกเวลาของ ผู้รับ
บริการ
2. 8 ตรวจสอบ ดูแล ซ่อมแซมสื่อให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเสมอ
เป้าหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
1. การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ มิได้หมาย
ถึงแต่เพียงตำรา ครู และอุปกรณ์การสอน ที่โรงเรียนมีอยู่เท่านั้น แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการศึกษา
ต้องการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ค
รอบคลุมถึงเรื่องต่าง ๆ เช่น
1.1 คน คนเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งได้แก่ ครู และวิทยากรอื่น ซึ่งอยู่
นอกโรงเรียน เช่น เกษตรกร ตำรวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น
1.2 วัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ โสตทัศนวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทร
ทัศน์ เครื่องวิดีโอเทป ของจริงของจำลองสิ่งพิมพ์ รวมไปถึงการใช้สื่อมวลชนต่าง ๆ
1.3 เทคนิค-วิธีการ แต่เดิมนั้นการเรียนการสอนส่วนมาก ใช้วิธีให้ครูเป็นคนบอก
เนื้อหา แก่ผู้เรียนปัจจุบันนั้น เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้มากที่สุด ครูเป็นเพียง
ผู้วางแผนแนะแนวทางเท่านั้น
1.4 สถานที่ อันได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม
ที่ทำการรัฐบาล ภูเขา แม่น้ำ ทะเล หรือสถานที่ใด ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เรียนได้
2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล ถึงแม้นักเรียนจะล้นชั้น และกระจัดกระจาย ยากแก่การ
จัดการศึกษาตามความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ นักการศึกษาและนักจิตวิทยาได้พยายามคิด หาวิธี
นำเอาระบบการเรียนแบบตัวต่อตัวมาใช้ แต่แทนที่จะใช้ครูสอนนักเรียนทีละคน เขาก็คิด ‘แบบเรียน
โปรแกรม’ ซึ่งทำหน้าที่สอน ซึ่งเหมือนกับครูมาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเอง จากแบบเรียนด้วย
ตนเองในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือสื่อประสมหลายๆ อย่าง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทำได้
ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน
3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบ ในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธี
การที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อถือได้ว่าจะสามารถแก้ปัญหา หรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจา
กกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของระบบ อย่างมีเหตุผล หาทาง
ให้ส่วนต่าง ๆ ของระบบทำงาน ประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ
4. พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา วัสดุและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการศึกษา
หรือการเรียนการสอนปัจจุบันจะต้องมีการพัฒนา ให้มีศักยภาพ หรือขีดความสามารถในการทำงาน
ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 655
ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างมาก ต่อวิธีการศึกษา ได้แก่แนวความคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่
เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมการศึกษาที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้4 ประการ คือ
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) การจัดการศึกษาของไทยได้ให้ความ
สำคัญในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเอาไว้อย่างชัดเจนซึ่งจะเห็นได้จากแผนการศึกษาของชาติ
ให้มุ่งจัดการศึกษาตามความถนัดความสนใจ และความสามารถ ของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ตัวอย่างที่
เห็นได้ชัดเจนได้แก่ การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์บ้าง ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์บ้าง
นวัตกรรมที่เกิดขึ้นเพื่อสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ เช่น
- การเรียนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School)
- แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)
- เครื่องสอน (Teaching Machine)
- การสอนเป็นคณะ (Team-teaching)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- เครื่องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)
2. ความพร้อม (Readiness) เดิมทีเดียวเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้ก็ต้องมีความพร้อมซึ่ง
เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันการวิจัยทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้ ชี้ให้เห็นว่าความ
พร้อมในการเรียนเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้ ถ้าหากสามารถจัดบทเรียน ให้พอเหมาะกับระดับความสามา
รถของเด็กแต่ละคน วิชาที่เคยเชื่อกันว่ายาก และไม่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กก็สามารถนำมาให้ศึกษา
ได้ นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน การจัดโรงเรียนในโรงเรียน
นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
- ศูนย์การเรียน (Learning Center)
- การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)
- การปรับปรุงการสอนสามชั้น (Instructional Development in 3 Phases)
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมาการจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางสอนมักจะจัดโดย
อาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชา ทุกวันนอกจากนั้นก็ยังจัด
เวลาเรียนเอาไว้แน่นอนเป็นภาคเรียน เป็นปี ในปัจจุบันได้มีความคิดในการจัดเป็นหน่วยเวลาสอนให้
สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชาซึ่งจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง
การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในโรงเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น
- การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น ((Flexible Scheduling
- มหาวิทยาลัยเปิด ((Open University
- แบบเรียนสำเร็จรูป ((Programmed Text Book
- การเรียนทางไปรษณีย์
4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้
มีสิ่งต่าง ๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพ
เพียงพอจึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทั้งในด้านปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้เรียน
และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น
- มหาวิทยาลัยเปิด
- การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์
- การเรียนทางไปรษณีย์ แบบเรียนสำเร็จรูป
- ชุดการเรียน
นวัตกรรมทางการศึกษา ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน
E-learning ความหมาย e-Learning เป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีการศึกษาแบบใหม่ ที่ยังไม่
มีชื่อภาษาไทยที่แน่ชัด และมีผู้นิยามความหมายไว้หลายประการ ผศ.ดร.ถนอมพร เลาหจรัสแสง
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 656
ให้คำนิยาม E-Learning หรือ Electronic Learning ว่า หมายถึง "การเรียนผ่านทางสื่ออิเลคทรอ
นิกส์ซึ่งใช้การ นำเสนอเนื้อหาทางคอมพิวเตอร์ในรูปของสื่อมัลติมีเดียได้แก่ ข้อความอิเลคทรอนิกส์
ภาพนิ่ง ภาพกราฟิก วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว ภาพสามมิติฯลฯ"เช่นเดียวกับ
โดยผู้สอนจะนำเสนอข้อมูลความรู้ให้ผู้เรียนได้ทำการศึกษาผ่านบริการ World Wide Web
หรือเวปไซด์ โดยอาจให้มีปฏิสัมพันธ์ (สนทนา โต้ตอบ ส่งข่าวสาร) ระหว่างกัน จะที่มีการ เรียนรู้ใน
สามรูปแบบคือ ผู้สอนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียนอีกคนหนึ่ง หรือผู้เรียนหนึ่งคนกับกลุ่มของผู้เรียน
ปฏิสัมพันธ์นี้สามารถ กระทำ ผ่านเครื่องมือ2 ลักษณะ คือ
1) แบบ Real-time ได้แก่การสนทนาในลักษณะของการพิมพ์ข้อความแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน
หรือ ส่งในลักษณะของเสียง จากบริการของ Chat room
2) แบบ Non real-time ได้แก่การส่งข้อความถึงกันผ่านทางบริการ อิเลคทรอนิคส์เมล์ Web
Board News-group เป็นต้น
ความหมายของ e-Learning ที่มีปรากฏอยู่ในส่วนคำถามที่ถูกถามบ่อย (Frequently Asked
Question : FAQ) ในเวป http://www.elearningshowcase.com/ ให้นิยามว่า e-Learning มีความ
หมาย เดียวกับ Technology-based Learning นั้นคือการศึกษาที่อาศัยเทคโนโลยีมาเป็นส่วน
ประกอบที่ สำคัญ ความหมายของ e-Learning ครอบคลุมกว้างรวมไปถึงระบบโปรแกรม และขบวน
การที่ ดำเนินการ ตลอดจนถึงการศึกษาที่ใช้ ้คอมพิวเตอร์เป็นหลักการศึกษาที่อาศัยWebเป็นเครื่อง
มือหลักการศึกษาจากห้องเรียนเสมือนจริง และการศึกษาที่ใช้ การทำงานร่วมกันของอุปกรณ์อิเลค
ทรอนิคส์ ระบบดิจิตอล ความหมายเหล่านี้มาจากลักษณะของการส่งเนื้อหาของบทเรียนผ่านทาง อุป
กรณ์อิเลคทรอนิคส์ ซึ่งรวมทั้งจากในระบบอินเตอร์เน็ต ระบบเครือข่ายภายใน (Intranets) การ ถ่าย
ทอดผ่านสัญญาณทีวี และการใช้ซีดีรอม
อย่างไรก็ตาม e-Learning จะมีความหมายในขอบเขต ที่แคบกว่าการศึกษาแบบทางไกล
(Long distance learning) ซึ่งจะรวมการเรียนโดยอาศัยการส่ง ข้อความหรือเอกสารระหว่างกันและ
ชั้นเรียนจะเกิดขึ้นในขณะที่มีการเขียนข้อความส่งถึงกัน การนิยามความหมายแก่ e-learning
Technology-based learning และ Web-based Learning ยังมี ความแตกต่างกัน ตามแต่องค์กร
บุคคลและกลุ่มบุคคลแต่ละแห่งจะให้ความหมาย และคาดกันว่าคำ ว่าe-Learning ที่มีการใช้มาตั้งแต่
ปี คศ. 1998 ในที่สุดก็จะเปลี่ยนไปเป็น e-Learning เหมือนอย่าง กับที่มีเปลี่ยนแปลงคำเรียกของ e-
Business
เมื่อกล่าวถึงการเรียนแบบ Online Learning หรือ Web-based Learning ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง
ของ Technology-based Learning ที่มีการเรียนการสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต อินทราเนต และ
เอ็ซทราเนต (Extranet) พบว่าจะมีระดับ การจัดการที่แตกต่างกันออกไป Online Learning ปกติจะ
ประกอบด้วยบทเรียนที่มีข้อความและรูปภาพ แบบฝึกหัดแบบทดสอบ และบันทึกการเรียน อาทิ
คะแนนผลการทดสอบ(test score) และบันทึกความก้าวหน้าของการเรียน(bookmarks) แต่ถ้าเป็น
Online Learning ที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง โปรแกรมของการเรียนจะประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว แบบ
จำลอง สื่อที่เป็นเสียง ภาพจากวิดีโอ กลุ่มสนทนาทั้งในระดับเดียวกันหรือในระดับผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์
ที่ปรึกษาแบบออนไลน์ (Online Mentoring) จุดเชื่อมโยงไปยังเอกสารอ้างอิงที่มีอยู่ ในบริการของเวป
และการสื่อสารกับระบบที่บันทึกผลการเรียน เป็นต้น
การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-learning การศึกษาเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
อินเทอร์เน็ต(Internet) หรืออินทราเน็ต(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผู้เรียนจะได้เรียนตาม
ความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพเสียง
วิดีโอและมัลติมีเดียอื่น ๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และ เพื่อนร่วม
ชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับ การเรียน
ในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย(e-mail, web-board, chat) จึงเป็น
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 657
การเรียนสำหรับทุกคน, เรียนได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learn for all : anyone, anywhere and
anytime)
ห้องเรียนเสมือนจริง ความหมาย การ เรียนการสอนที่จำลองแบบเสมือนจริง เป็นนวัตกรรม
ทางการศึกษาที่สถาบันการศึกษา ต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและจะขยายตัวมากขึ้นใน
ศตวรรษที่ 21 การเรียนการสอนในระบบนี้อาศัยสื่ออิเล็กทรอนิกส์โทรคมนาคม และเครือข่ายคอมพิว
เตอร์เป็นหลัก ที่เรียกว่า Virtual Classroom หรือ Virtual Campus บ้าง นับว่าเป็นการพัฒนาการ
บริการทางการศึกษาทางไกลชนิดที่เรียกว่าเคาะประตูบ้านกันจริงๆ เป็นรูปแบบใหม่ของสถาบันการ
ศึกษาในโลกยุคไร้พรมแดนมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของคำว่า Virtual Classroom
ไว้ดังนี้
ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึง การเรียนการสอนที่กระทำผ่านระบบเครือ
ข่ายคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้าไว้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือ
ข่าย (File Server) และคอมพิวเตอร์ผู้ให้บริการเว็บ (Web server) เป็นการเรียนการสอนที่จะมีการ
นัดเวลาหรือไม่นัดเวลาก็ได้ และนัดสถานที่ นัดตัวบุคคล เพื่อให้เกิด การเรียนการสอน มีการกำหนด
ตารางเวลาหรือตารางสอน เข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กันหรือไม่พร้อมกัน มีการใช้สื่อ
การสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือตอบ โต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้
สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้าย chat room) ส่วนผู้สอน สามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนา
การประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของหลักสูตรได้ ทั้งนี้ ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ เวลา (Any
Where & Any Time) ของผู้เรียนในชั้นและผู้สอน
การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในวงการคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำ
วันของชาวโลกคือ เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ซึ่งเกิดจากการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ใน
โลกเข้าด้วยกัน ภายใต้กฎเกณฑ์การต่อเชื่อม (Protocol) อย่างเดียวกันที่เรียกว่า TCP/IP
อินเทอร์เน็ตเป็นปรากฏการณ์ของคำว่า "โลกาภิวัฒน์" (Globalization) ที่เป็นรูปธรรม โลกทั้งโลก
สามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้ ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใด ในทางการศึกษา อินเทอร์เน็ตเป็นการเปิด
กว้างของ การให้โอกาสในการศึกษาหาความรู้อย่างไม่เคยมีมาก่อน และเป็นการเปิดโอกาสที่ให้เกิด
ความเท่า เทียมสำหรับทุกคน ที่สามารถจะเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ลองนึกถึงความจริงที่ว่าเด็ก
ไทยที่ อยู่บนดอยในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็สามารถหาความรู้จากอินเทอร์เน็ตได้เท่าเทียมกันกับเด็กอ
เมริกัน ที่นิวยอร์ก และเท่ากับเด็กญี่ปุ่นที่โตเกียว อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งสะสมความรู้หรือที่บางคนเรียก
ว่า "ขุมทรัพย์ความรู้"เพราะในบรรดาคอมพิวเตอร์ที่ต่อ เชื่อมอยู่กับอินเทอร์เน็ตนั้น ต่างก็มีข้อมูลสะ
สมไว้มากมาย และวิธีให้บริการบนอินเทอร์เน็ตก็ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้อย่างง่าย
ดาย ถ้าเจ้าของข้อมูลยอมเปิดให้เป็นข้อมูลสาธารณะ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
จำนวนมากเป็นข้อมูลที่ไม่มีการกลั่นกรอง ไม่มีการ รับรองความถูกต้อง ผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลจะต้องใช้
วิจารณญาณในการเลือกแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และนำมาใช้เฉพาะข้อมูลที่เป็นประโยชน์เท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่าการศึกษาในยุคอินเทอร์เน็ตนั้นคือ การเรียนรู้ที่จะแยกแยะและกลั่นกรองข้อมูล เพื่อ
นำข้อมูลมาเรียบเรียงและจัดระบบขึ้นเป็นความรู้ ขณะนี้มีงานวิจัยซึ่งพยายามสร้างกระบวนการอัต
โนมัติ (โดยใช้คอมพิวเตอร์) ของการค้นหาข้อมูล (จากเครือข่ายอินเทอร์เน็ต) และนำมาเรียบเรียงขึ้น
เป็นความรู้ตามกฎเกณฑ์ที่ผู้ใช้สามารถระบุได้ ศาสตร์ใหม่แขนงนี้มีชื่อเรียกว่า วิศวกรรมความรู้
(Knowledge Engineering) ซึ่งมีการบริการ World Wide Web (WWW.) เป็นวิธีการให้บริการข้อมูล
แบบหนึ่งบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นวิธี การที่พัฒนำขึ้นมาเพื่อความสะดวกต่อผู้ใช้ โดยอาศัย
สมรรถนะที่สูงขึ้นมากของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้
WWW. ใช้กฎเกณฑ์การรับส่งข้อมูลแบบ Hypertext Transfer Protocol (http) ซึ่งมีจุดเด่นที่
สำคัญอยู่ 2 ประการคือ
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 658
1. สามารถทำการเชื่อมโยงและเรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาปรากฏได้ โดยวิธีการที่เรียกว่า
Hyperlink
2. สามารถจัดการข้อมูลได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวเสียง
และวีดิทัศน์ เป็นต้น
เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนเทคโนโลยี (Technology) มีความหมายมา
จากคำ 2 คำ คือ
1. เทคนิค (Technique) ซึ่งหมายถึง วิธีการที่มีการพัฒนาและสามารถนำไปใช้ได้
2. ลอจิก (Logic) ซึ่งหมายถึงวิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลำดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอนเพื่อที่
จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในเรื่องความเร็ว (Speed) ความน่าเชื่อถือ (Reliable) และความถูกต้อง ซึ่ง
คุณสมบัติที่กล่าวถึงนี้มีอยู่อย่างครบถ้วนในเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำว่า
เทคโนโลยี ไม่ได้หมายถึงแต่เพียงคอมพิวเตอร์เท่านั้นเพราะเทคโนโลยีที่เราพบเห็นยังมีอีกหลาย
อย่าง เช่น เทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และ โทรคมนาคมเทคโนโลยีเครือข่าย เทคโนโลยีสำหรับการ
ผลิต การจัดการในงานธุรกิจและงานอุตสาหกรรม เป็นต้นการสื่อสาร (Communication) แต่เดิมมัก
ได้ยินแต่คำว่า IT หรือ Information Technology เท่านั้น ต่อมาได้นำตัว C หรือ Communication
เข้ามาร่วมด้วย เนื่องจากเทคโนโลยีการสื่อสารได้พัฒนาอย่างมาก และสามารถที่จะนำสื่อสารในเทค
โนโลยีได้
การสื่อสารครอบคลุมประเด็นในเรื่ององค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่
1. ผู้ส่งสาร
2. ช่องทางการสื่อสาร
3. ผู้รับสาร
ระบบการสื่อสาร 2 ประเภท คือ ประเภทมีสายและประเภทไม่มีสายหรือไร้สาย เทคโนโลยีกา
รสื่อสาร ได้แก่ อินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะบริการเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) หรือ (web)
ปัจจุบันเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในทุกวงการ เช่น นำมาใช้ในวงการแพทย์ เรียกว่า เทคโนโลยี
ทางการแพทย์ (Medical Technology) นำมาใช้ทาง การเกษตร เรียกว่า เทคโนโลยีทางการเกษตร
(Agricultural Technology)นำมาใช้ทางการอุตสาหกรรม เรียกว่า เทคโนโลยีทางอุตสาหกรรม
(Industrial Technology)นำมาใช้ทางการสื่อสาร เรียกว่า เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication
Technology) และนำมาใช้ในวงการอื่น ๆ อีกมากมาย รวมทั้งนำมาใช้ในวงการศึกษา ที่เรียกว่า
เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology)
เทคโนโลยีการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยีในการสื่อสารยุคใหม่ 4 กลุ่ม ได้แก่
1. เทคโนโลยีการแพร่ภาพและเสียง (Broadcast and Motion Picture Technology)
2. เทคโนโลยีการพิมพ์ (Print and Publishing Technology)
3. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ (Computer Technology)
4. เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication Technology)
บทบาทของเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบัน เช่น คอมพิวเตอร์ ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร โค
รงข่าย โทรศัพท์ อุปกรณ์ ภาพและเสียง มีผลกระทบต่อ "สื่อแบบดั้งเดิม" (Traditional Media) ซึ่งได้
แก่หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ทำให้ เกิดสิ่งที่เรียกว่า "การปฏิวัติแห่ง
ระบบตัวเลข" (Digital Revolution) ทำให้ข้อมูลข่าวสารไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณ์ใด เช่น ข้อความเสียง
ภาพเคลื่อนไหวรูปภาพ หรืองานกราฟิก ได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นภาษาอีกชนิดหนึ่งเป็นรูปแบบ
เดียวกันทั้งหมด คือสามารถอ่านและส่งผ่านได้อย่างรวดเร็วด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วยังสามารถ
นำเสนอในลักษณะใดก็ได้ตามความต้องการใช้งานของผู้ใช้งาน ความเปลี่ยนแปลงนี้ถูกเรียกขานว่า
"การทำให้เป็นระบบตัวเลข" หรือ"ดิจิไทเซชั่น" (Digitization) ด้วยระบบที่มีการทำให้เป็นระบบตัวเลข
เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิด "สื่อใหม่" (New Media) ขึ้น เป็นสื่อที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกับ
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 659
ระบบตัวเลข เครื่องคอมพิวเตอร์ และระบบการสะท้อนกลับ หรือ "อินเตอร์ แอคทีฟ" (Interactive)
เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) คือเทคโนโลยีดิจิตัล (Digital Technology)
ประเภทหนึ่งซึ่งได้พัฒนาตัวเพื่อเอื้อต่อการจัดการ “การสื่อสาร(Communication)” หรือ “การขนส่ง
ข่าวสาร (Transfer of Information)” เทคโนโลยีการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นทางด้านภาพ (Image) เสียง
(Voice) หรือทางด้านข้อมูล (Data) ได้รับการพัฒนาจนมนุษย์สามารถเชื่อมโยงติดต่อกันได้อย่าง
สะดวกรวดเร็วและเป็นเครือข่ายที่ติดต่อสื่อสารกันได้ทั่วโลก เป็นยุคของสารสนเทศ (Information
Age)และเป็นสังคมสาร- สนเทศ (Information Society) ที่นับวันจะมีอัตราการเติบโตขึ้นทุกที่ทั้งใน
ด้านขนาดและปริมาณข่าวสารที่ไหลเวียนอยู่ในสังคม ความหมายของเทคโนโลยีการสื่อสาร เมื่อเอ่ย
ถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงสิ่งที่เกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใหม่ๆ ที่ทันสมัย
มีราคาแพง มีระบบการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนซึ่งเมื่อนำมาใช้แล้วสามารถช่วยให้การทำงานมีประ
สิทธิภาพดีขึ้น และประสิทธิ ผลสูงขึ้น รวมทั้งประหยัดเวลาและแรงงานอีกด้วย
อย่างไร ก็ตาม “เทคโนโลยี” เป็นคำที่มาจากภาษาลาติน และภาษากรีก คือ ภาษาลาติน
Texere : การสาน (to weare) : การสร้าง (to construct) ภาษากรีก Technologia : การกระทำอย่า
งมีระบบ (Systematic Treatment)เทคโนโลยีมิได้มีความหมายเฉพาะการใช้เครื่องจักรกลอย่างเดียว
เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการปฏิบัติหรือดำเนินการใด ๆ ที่ใช้ความรู้ วิธีการ หรือเทคนิคทางวิทยา
ศาสตร์เพื่อช่วยให้การดำเนินการต่าง ๆ บรรลุผล
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีว่า หมายถึง
วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะ ในการนำเอาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและ
อุตสาหกรรม ลักษณะของเทคโนโลยีสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ (process) เป็นการใช้อย่างเป็นระบบของวิธีการ
ทำงวิทยาศาสตร์หรือความรู้ต่าง ๆที่ได้ รวบรวมไว้ เพื่อนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติ โดยเชื่อว่าเป็นกระ
บวนการที่เชื่อถือได้และนำไปสู่การแก้ปัญหาต่าง ๆ
2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (product) หมายถึง วัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นผลมาจา
กการใช้กระบวนการทำงเทคโนโลยี
3. เทคโนโลยีในลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต (process and product) เช่น ระบบ
คอมพิวเตอร์ซึ่งมีการทำงานเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวเครื่องกับโปรแกรม
เทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการศึกษาประกอบด้วย
1. เทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนช่วยในเรื่องการเรียนรู้ ปัจจุบันมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่ช่วยสนับสนุ
นการเรียนรู้หลายอย่าง มีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) มีระบบมัลติมีเดีย (Multimedia) ระบบวิ
ดีโอออนดีมานด์ (Video on Demand) วิดีโอเทเลคอนเฟอเรนซ์ (Video Teleconference) และอิน
เตอร์เน็ต (Internet) เป็นต้น ระบบเหล่านี้เป็นระบบสนับสนุนการรับรู้ข่าวสารและการค้นหาข้อมูลข่าว
สารเพื่อการเรียนรู้
2. เทคโนโลยีที่เข้ามาสนับสนุนการจัดการศึกษาในการจัดการศึกษาสมัยใหม่จำเป็นต้อง
อาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผนการดำเนินการการติดตามและประเมินผลคอมพิวเตอร์และระบบ
สื่อสาร ซึ่งโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในเรื่องนี้
3. เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การสื่อสารระหว่างบุคคลเกือบทุกวงการ ทั้งด้าน การศึกษา
จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน เป็นต้นซึ่งจะช่วยเพิ่ม
ประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอน และการดำเนินงานในหลายด้านโดยอาศัยเทคโนโลยีกา
รสื่อสาร และการดำเนินงานในหลายด้านและอาศัยเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การใช้
โทรศัพท์ โทรสาร เทเลคอนเฟอเรนส์ และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้นการพัฒนาการเรียนการส
อนโดยอาศัยสื่อและเทคโนโลยี การพัฒนาการเรียนการสอนเป็นการพัฒนาในรูปแบบของการปรับรื้อ
ระบบการเรียนการสอนใหม่ โดยคำนึงถึงการพัฒนาที่เกี่ยวกับการเจริญงอกงามในตัวผู้เรียน เน้น
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936
ความรู้ความสามารถ การบริหารงานในหน้าที่ 660
ทักษะการเลือกสารสนเทศ การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ขณะเดียวกันต้องทำการฝึก
ทักษะกระบวนการจัดกระทำกับข้อมูลข่าวสารให้กับผู้เรียน พร้อมกับการตอบสนองกับข้อมูลข่าวสา
รอย่างชาญฉลาด ครู และนักเรียนต้องช่วยกันสร้างสรรค์สารสนเทศ เพื่อให้เกิดคุณค่าต่อการเรียน
การสอน ครูต้องพัฒนาการสอนโดยเพิ่มทักษะการสืบค้นสารสนเทศให้กับนักเรียน และประเมินผลจา
กการนำมาใช้มากกว่าการจดจำเนื้อหา หมายถึงอาศัยสื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ในการ
เสนอแนวคิดและเนื้อหาเพื่อก่อให้เกิดกระบวนการเข้าใจมากกว่าการจดจำรูปแบบกระบวนการเรียน
การสอน
กระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดในการปฏิรูปต้องแตกต่างไปจากการเรียนการสอนแบ
บดั่งเดิม กล่าวคือ
1. จัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความคิด
โดยฝึกการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผลการใฝ่หาความรู้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อนำไปใช้
ในการพัฒนาตนเอง และแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม
2. จัดระบบเครือข่ายการเรียนรู้ให้เป็นแหล่งความรู้สำหรับการค้นคว้าหาความรู้ทุก ๆ ด้านที่ผู้
เรียนต้องการ เช่น สื่อมวลชนทุกแขนง เครื่องคอมพิวเตอร์ ทรัพยากรท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน และ
หน่วยงานต่าง ๆ ให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเอง และพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่าง
กว้าง-ขวาง
3. จัดกิจกรรมทั้งในและนอกหลักสูตรโดยให้ผู้เรียนทำกิจกรรมที่ต้องเรียนในห้องเรียนให้เสร็จ
สิ้นและให้แบ่งเวลาทำกิจกรรมนอกหลักสูตรเพื่อเสริมประสบการณ์ทางสังคม
4. ปรับกระบวนการเรียนการสอน และเทคนิคการสอนของครูให้สอดคล้องกับเป้าหมายของ
การจัดการศึกษา เน้นให้ครูเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกและชี้แนะให้ผู้เรียนทำการศึกษาค้นคว้า
คิดและตัดสินใจด้วยตนเอง ขณะเดียวกันครูต้องเป็นต้นแบบด้านคุณธรรม และจริยธรรมด้วย ซึ่งต้อง
ปลูกฝังทั้งในชั่วโมงเรียนและกิจกรรมการฝึกปฏิบัติการจัดการศึกษายุคของการใช้เทคโนโลยีสารสน
เทศได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนรู้ใหม่ และเปลี่ยนแปลงความต้องการในการศึกษาในอนาคต สื่อ
และเทคโนโลยีสารสนเทศแบบใหม่เข้ามาแทนที่สื่อแบบเก่า แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้จะเป็นสิ่งที่ช่วย
สนับสนุนการเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาแบบใหม่ ซึ่งก่อให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น
ปรับปรุงโครงสร้างทั้งระบบใหม่โดยเฉพาะการบริหารการบริการการพัฒนาการเรียนการสอนและการ
จัดการศึกษา ซึ่งจากเดิมสถาบันการศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบมาเป็นสังคมและชุมชนร่วมกันรับผิดชอบ
ต่อการจัดการศึกษามากยิ่งขึ้นแหล่งที่มา
ทิชเชอร์ ติวเตอร์ 097-180-7936