The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตาม ว.PA สู่ห้องเรียนดี มีความสุข

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wipaporn, 2024-01-31 03:28:04

เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ

การพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตาม ว.PA สู่ห้องเรียนดี มีความสุข

คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 50 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 4. Apply 2 นำเสนอผลงาน สื่อสาร 5. Self-Regulating ประเมินสร้างคุณค่าสู่สังคม หลักการคิดขั้นสูงเชิงระบบ 5 ขั้นตอน 7.2 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ GPAS 5 Stepsคือ กระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ 5 ขั้นอตน ซึ่งเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการเรียนรู้ แบบ Active Learning โดยเป็นการเรียนรู้ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) ซึ่ง GPAS นั้นนับว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนมี วิธีการเรียน ซึ่งจะช่วยผู้เรียน สามารถนำไปเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงได้ จึงนับว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มพูนทักษะในการเรียนรู้ให้กับ ผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น GPAS 5 Steps นับเป็นขั้นตอนและจุดเน้นในการจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนนั้น สามารถที่ จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติจริงในการแก้ปัญหาสำหรับ สถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่ได้จากกระบวนการเหล่านี้ จะตกผลึกภายในตัวของผู้เรียน และแปรเปลี่ยนเป็น ตัวตนและบุคลิกภาพของผู้เรียน อันจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของผลงานต่าง ๆโดยประกอบด้วยโครงสร้างทักษะ กระบวนการคิด 5 ขั้นตอน ที่มีความสำคัญ อันได้แก่ ขั้นที่ 1 แสวงหาข้อมูลรอบด้านเพื่อตอบโจทย์การเรียนรู้ (Gathering) ผู้เรียนเกิดการสังเกต สงสัยในปัญหาจากการกระตุ้นของครูผู้สอนผ่านกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น การสร้างสถานการณ์ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนตั้งคำถามกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในชุมชน ทำให้ผู้เรียน ต้องการหาคำดอบด้วยตัวเองด้วยการสืบค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลรอบตัว ขั้นที่ 2 คิด วิเคราะห์ สรุปความรู้ เพื่อวางแผนเตรียมปฏิบัติ (Processing) ผู้เรียนนำข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่รวบรวมได้มาร่วมกันวิเคราะห์ ว่าจะสามารถนำไปแก้ปัญหาหรือ สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร จากนั้นจึงจัดจำแนกข้อมูล และนำไปวางแผนการปฏิบัติ เช่น การคิด สร้างนวัตกรรมเพื่อนำไปแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 51 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ขั้นที่ 3 ลงมือทำจริง แก้ปัญหาจริง เพื่อพัฒนาหาแนวทางที่ดีที่สุด (Applying 1) ผู้เรียนนำองค์ความรู้ที่ผ่านการวิเคราะห์และวางแผนแล้วไปปฏิบัติและลงมือทำ โดยจะเกิดการเรียนรู้ จากการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการปฏิบัติจริง การสื่อสาร และการทำงานเป็นทีม เพื่อพัฒนาให้ เกิดผลสำเร็จที่ดียิ่งขึ้นต่อไป ขั้นที่ 4 สื่อสารและนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลาย (Applying 2) ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานและการแก้ปัญหา จนสามารถ สรุปออกมาเป็นหลักการ สื่อสารผ่านการนำเสนอในรูปแบบแผนภาพความคิด นำเสนอเป็นรายงาน การอภิปราย การบรรยาย หรือจัดทำเป็นสื่อต่าง ๆ ขั้นที่ 5 สร้างคุณค่าให้ผลงาน ต่อยอดประโยชน์สู่สังคม (Self-Regulating) ผู้เรียนมีจิตสาธารณะและเห็นคุณค่าในผลงาน สามารถขยายผลหรือต่อยอดองค์ความรู้นั้น เพื่อ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม หรือแก่ไขปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การพัฒนา นวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงกับบริบทของแต่ละชุมชน GPAS นับว่าเป็นกระบวนการสร้างความรู้ที่มีประสิทธิภาพ และนับว่าเป็นกระบวนการสำคัญในการ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และเป็นการบริหารจัดการความรู้แท้ (Knowledge Management) อีกด้วย นอกจากนี้ กระบวนการสร้างความรู้แบบ GPAS 5 Steps ยังมีแนวทางที่สอดคล้องกับ การพัฒนาและการเรียนรู้ของสมอง (Brain-based Learning) ของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพขงแต่ละคน จึงทำให้ กระบวนการนี้ถือเป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 ที่น่าจะช่วยยกระดับการศึกษาไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเด็กและเยาวชนไทย ให้มีอุปนิสัยที่ดีในการเรียนรู้ตามแนวทางของโลกในยุคสมัยใหม่ได้ 7.3 บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน ขั้นที่ 1 แสวงหาข้อมูล รอบด้านเพื่อตอบโจทย์ การเรียนรู้ - ตั้งคำถามกระตุ้นให้ผู้เรียนค้นหาจุด สนใจที่ต้องการเรียนรู้ในหัวเรื่องนั้น ๆ (KWL) - ให้ผู้เรียนกำหนดเป้าหมายและวิธีการ รวบรวมข้อมูลสารสนเทศในสิ่งที่ต้องการ เรียนรู้ที่สอดคล้องกับตัวชี้วัดในหน่วย การเรียนรู้ - เสนอรูปแบบเทคนิควิธีการรวบรวม ข้อมูลและวิธีบันทึกข้อมูลโดยใช้เทคนิค ผังกราฟิกในรูปแบบต่าง ๆ - เสนอความสนใจที่ต้องการเรียนรู้หรือ สนใจเพิ่มเติมจากเนื้อหาที่กำหนด - ออกแบบการเดือนรู้/โครงงานศึกษา ค้นคว้า ค้นคว้าแหล่งเรียนรู้ วิธีเก็บรวบรวม ข้อมูล และเครื่องมือเก็บข้อมูล - อ่าน ฟัง ดู สัมภาษณ์ สังเกต ทดลอง บันทึกผลการรวบรวมข้อมูล - แลกเปลี่ยนข้อมูลกับสมาชิก/กลุ่มอื่น ประเมินตนเองถึงความสมบูรณ์และความ ถูกต้องของข้อมูลที่รวบรวมได้


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 52 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน ขั้นที่ 2 คิด วิเคราะห์ สรุปความรู้ เพื่อ วางแผนเตรียมปฏิบัติ - ให้คำแนะนำ เสนอแนะ เสนอตัวอย่าง ชิ้นงาน ฝึกให้นักเรียนจัดกระทำและ วิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ เช่น การจำแนก เปรียบเทียบ จัดลำดับ โยง สัมพันธ์ สรุปสาระสำคัญ ความคิดรวบ ยอด หลักการที่ได้จากการจัดกระทำ ข้อมูล - สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ประเมิน ระหว่างปฏิบัติ ช่วยเหลือดูแล รายบุคคล/กลุ่ม - ฝึกจัดกระทำและวิเคราะห์ข้อมูลใน ลักษณะต่าง ๆ เช่น การจำแนก เปรียบเทียบ จัดลำดับ โยงสัมพันธ์ข้อมูล - สรุปสาระสำคัญ ความคิดรวบยอด หลักการที่ได้จากการจัดกระทำข้อมูลโดยใช้ ผังกราฟิก ในรูปแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับ ตัวชี้วัดในหน่วยการเรียนรู้ ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน - ถามหาผลการวิเคราะห์ข้อมูลและ ข้อสรุปความรู้จากบทเรียนที่สัมพันธ์กับ ตัวชี้วัดที่กำหนดในหน่วยการเรียนรู้ตาม ภาระงาน/ชิ้นงานที่กำหนด - ตรวจ/ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุง ผลงาน ข้อสรุป ความรู้หรือจัดให้เรียนรู้ ร่วมกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ข้อสรุปที่ ตรงกับความคิดรวบยอดในหน่วยการ เรียนรู้ที่เรียน - อภิปรายและแสดงความคิดเห็น สรุป ความรู้ความเข้าใจบทเรียนด้วยตนเอง - หาวิธีการนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ขั้นที่ 3 ลงมือทำจริง แก้ปัญหาจริง เพื่อ พัฒนาหาแนวทางที่ดี ที่สุด - ตั้งคำถาม/โจทย์ ให้ผู้เรียนเชื่อมโยง การนำความรู้ที่ได้ไปสู่การปฏิบัติจริงใน สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวว่า สามารถนำไปปรับใช้ได้ในกรณีใดบ้าง อย่างไร มีกี่แบบและกี่วิธี - ถามให้วิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือก ที่จะนำไปปฏิบัติ ตัดสินใจว่าทางเลือกใด วิธีใดเหมาะสมที่สุด มีเหตุผลหรือ ข้อสนับสนุนอย่างไร - ให้ผู้เรียนฝึกวางแผน ออกแบบการ ปฏิบัติ ร่างโครงงานทดลอง โครงงาน - ร่วมอภิปรายและแสดงความคิดเห็น เปรียบเทียบแนวทาง วิธีปฏิบัติที่เหมาะสม กว่าและประโยชน์ที่ได้รับ และอธิบาย เหตุผลในการตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติ - ฝึกออกแบบการทำงาน เขียนโครงงาน ทดลอง หรือโครงงานปฏิบัติ โดยใช้ความรู้ จากขั้น processing และการอภิปรายและ แสดงความคิดเห็น การตัดสินใจเลือกวิธี ปฏิบัติที่เหมาะสม - ออกแบบ ผลิตผลงาน/ชิ้นงานตามภาระ งาน การแสดงออกในหน่วยการเรียนรู้


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 53 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ปฏิบัติหรือสิ่งประดิษฐ์ตามแนวทางที่ เลือก - ถามถึงขั้นตอนการนำความรู้ไปใช้ ปฏิบัติจริงว่าทำอะไรบ้าง อย่างไร มีกี่ ขั้นตอน ทำไมจึงเลือกปฏิบัติอย่างนี้ มี ผลดีอย่างไร ปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างไร ตรงตามที่คาดหวังหรือไม่ เพราะเหตุใด - ฝึกให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกและสรุปความรู้จากการปฏิบัติ จริง เป็นหลักการหรือวิธีปฏิบัติในเรื่อง นั้น ๆ รวมทั้งผลกระทบโดยใช้แผนภาพ - ปฏิบัติงานหรือปฏิบัติตนตามทางเลือก และขั้นตอนที่กำหนดหรือวางแผนไว้ - บันทึกการปฏิบัติ หรือการผลิตผลงานตาม เป้าหมาย ประเมินการปฏิบัติของตนเอง แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน ความคิดแบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับ เนื้อหาองค์ความรู้ - สรุปองค์ความรู้จากการปฏิบัติในเรื่องนั้น ๆ รวมทั้งผลกระทบ โดยใช้แผนภาพความคิด แบบต่าง ๆ ขั้นที่ 4 สื่อสารและ นำเสนอในรูปแบบที่ หลากหลาย - เสนอแนะ/ให้ตัวอย่างการออกแบบ การนำเสนอข้อมูล องค์ความรู้ที่ได้ เรียนรู้ เพื่อสื่อสารกับผู้อื่นอย่าง เหมาะสมมีประสิทธิภาพ เช่น เทคนิค วิธีการนำเสนอด้วยการพูด การเขียน การจัดทำแผ่นพับ การนำเสนอประกอบ ภาพ ผังกราฟิก ความคิดรวบยอดหรือ สาระสำคัญของเรื่องหรือการเขียน รายงานการศึกษาค้นคว้า - ให้ผู้เรียนฝึกการสื่อสารและนำเสนอ ตามแนวทางที่เลือกในรูปแบบที่ หลากหลาย - ให้ข้อมูลย้อนกลับ ผลการสื่อสารและ การนำเสนอว่าเป็นอย่างไร ตรงตามที่ คาดหวังหรือไม่ เพราะเหตุใด มีจุดใด ที่น่าพอใจและควรปรับปรุงบ้าง - เสนอแนะแนวทางการปรับปรุงเทคนิค วิธีสื่อสารและการนำเสนอที่ดีกว่าเดิม - ออกแบบการนำเสนอข้อมูลองค์ความรู้ที่ ได้เรียนรู้ เพื่อสื่อสารกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพตามแนวคิดของตนหรือ กลุ่ม - ร่วมอภิปรายและแสดงความคิดเห็น เสนอ แนวทาง วิธี นำเสนอที่เหมาะสมกว่า และอธิบายเหตุผล ในการตัดสินใจ เลือกวิธีปฏิบัติ - ฝึกปฏิบัติการสื่อสารและนำเสนอใน รูปแบบต่าง ๆ ที่เลือก ปฏิบัติ - เรียนรู้เทคนิค วิธีการสื่อสารและนำเสนอ ของผู้อื่นที่ประทับใจและเป็นตัวอย่างที่ดี - ประเมินตนเอง เปรียบเทียบกับมาตรฐาน หรือความคิดเห็นความรู้สึกของผู้อื่น


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 54 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 - กำหนดแนวทางปรับปรุงตนเองให้มี มาตรฐานการสื่อสารและการนำเสนอที่ดี กว่าเดิม ขั้นที่ 5 สร้างคุณค่าให้ ผลงาน ต่อยอด ประโยชน์สู่สังคม - กระตุ้นให้ทบทวนความสมบูรณ์ถูกต้อง ของข้อมูล วิธีวิเคราะห์ข้อมูล และ ข้อสรุปที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลและ องค์ความรู้ที่ได้จากการนำไปปฏิบัติ - แนะนำให้ตรวจสอบค่านิยมของการคิด ในแง่เจตคติที่มีต่อเรื่องนั้นว่าคิดเพื่อ ประโยชน์ของใคร คนส่วนใหญ่ได้ - ตรวจสอบการทำงานของตนเองทุก ขั้นตอน เริ่มจากข้อมูลที่มี วิธีวิเคราะห์ ข้อมูล และข้อสรุปที่ได้จากการวิเคราะห์ ข้อมูลและองค์ความรู้ที่ได้จากการนำไป ปฏิบัติว่ามีความสมบูรณ์สอดคล้อง ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน ประโยชน์หรือเป็นประโยชน์เฉพาะตน น่าจะปรับปรุงการคิดอย่างไรจึงจะขยาย ประโยชน์สู่สาธารณะได้ - กระตุ้น แนะนำให้ตรวจสอบและ ประเมินตนเองว่าข้อมูลและการคิดนั้น ครอบคลุมทั้งระบบรอบด้านลากหลาย หรือไม่ หรือคิดเพียงบางจุดหรือบาง ประเด็นเท่านั้น ไม่คำนึงถึงผลต่อเนื่อง ผลกระทบต่อสิ่งอื่นในอนาคต สัมพันธ์กันหรือไม่ เพียงใด มีส่วนใดบ้างที่ ต้องปรับปรุงแก้ไข - ประเมินผลการปฏิบัติของตนว่ามี ผลกระทบถึงใคร ใครได้ประโยชน์บ้าง จะ ขยายประโยชน์ไปสู่สาธารณะได้อย่างไร - ตรวจสอบและประเมินตนเองว่าการคิด รวมทั้งการปฏิบัตินั้นครอบคลุมทั้งระบบ หรือไม่ มีผลต่อเนื่องจากการกระทำและ เกิดผลกระทบต่อสิ่งอื่นในอนาคตเพียงใด เป็นไปในทางบวกหรือลบและจะปรับปรุง อย่างไร 8. รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creative-based Learning: CBL) 8.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ การเรียนรู้โดยใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creative-based Learning) เป็นเทคนิคการสอนที่ กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดหลายอย่างประกอบกัน เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ และการคิด ประเมินค่า ในการสร้างสิ่งใหม่หรือแก้ปัญหาที่มีอยู่ให้ดีขึ้น โดยการเรียนรู้โดยใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐานเป็น เทคนิคการสอนที่เกิดจากการวิจัยต่อยอดจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning : PBL) เพียงแต่ไม่มีการกำหนดสถานการณ์ปัญหา (Scenario) ไว้ล่วงหน้า ดังนั้นสถานการณ์ปัญหาหรือประเด็นที่ ผู้เรียนจะได้เรียนรู้และฝึกฝนจึงเป็นไปตามความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียน การเรียนรู้โดยใช้การคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creative-based Learning) ช่วยให้ผู้เรียนกระตือรือร้น ในการค้นหาคำตอบอย่างมีเหตุผล กล้าแสดงความคิดเห็น กล้านำเสนอสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น ช่วยให้ผู้เรียน ได้ฝึกการเชื่อมโยงสถานการณ์ไปสู่การค้นพบคำตอบ และรู้จักยอมรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อแนะนำ


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 55 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ของผู้อื่นอย่างมีวิจารณญาณ และนำมาพัฒนาหรือต่อยอดผลงานของตนให้ดียิ่งขึ้น โดยมีบริบทการจัดการ เรียนการสอนตามรูปแบบ ดังนี้ บริบทของ CBL กระบวนการ 8 ข้อ และบรรยากาศ 9 ข้อ ต่อไปนี้ กระบวนการสอน 8 ข้อ ของ CBL 1. สร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นความอยากรู้ Inspiration 2. เปิดโอกาสให้ค้นหา รวบรวมข้อมูล แยกแยะและนำมาสร้างเป็นความรู้ Self-Study 3. ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสหาทางแก้ปัญหา ด้วยตนเอง Individual Problem-Solving 4. ใช้เกมให้มีส่วนในการเรียนรู้ในห้องเรียน Game-Based learning. 5. แบ่งกลุ่มทำโครงงาน Team Project 6. ให้นำเสนอผลงาน ด้วยวิธีการต่าง ๆ Creative Presentation 7. ใช้การวัดผลที่เป็นการวัดผลด้านต่าง ๆ ออกมา ตามเป้าหมายที่ได้ออกแบบไว้ 8. Informal Assessments and Multidimensional Assessment Tools


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 56 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 บรรยากาศ 9 ข้อ คือ - ครูควรเหลือเวลาให้เด็กค้นคว้ามาก ๆ คุยมาก ๆ นำเสนอมาก ๆ ใช้เวลาในการสอนให้น้อยลงและ มักจะเดินสอนตามกลุ่มมากกว่าสอนรวม - หลีกเลี่ยงการอธิบายอย่างละเอียด แต่จะพยายามให้เด็กค้นหาคำตอบเองครูมักจะตอบคำถามด้วย คำถามเพื่อให้เด็กสนใจต่อ ในการสอนแบบเดิม - ผู้เรียนมักกลัวผิด เพราะผู้สอนมักจะมีคำตอบที่ถูกเอาไว้แล้ว ดังนั้นใน CBL - ครูควรหลีกเลี่ยงการตัดสินแบบเด็ดขาด เช่น ถูกต้อง ผิด แต่จะใช้วิธีถามว่าแน่ใจหรือ ทำไมคิดอย่าง นั้นหรือเพื่อน ๆ คิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ - บรรยากาศของ CBL ที่สำคัญมาก ๆ คือ การสนับสนุนให้คิด - ใช้เรื่องที่เด็กสนใจเป็นเนื้อหานำ และการค้นคว้า และเนื้อหาวิชาความรู้ตามตำราเป็นตัวตาม ช่วงเวลาเรียนควรยาวกว่า 90 นาที และอาจเรียนหลายวิชาพร้อม ๆ กัน - ขึ้นกับปัญหาที่ตั้งเกี่ยวโยงกับวิชาใดบ้าง ครูอาจสอนพร้อม ๆ กันทั้ง 2-3 วิชาในห้องเรียนเดียวกัน CBL จะเน้นให้เด็กสนใจพัฒนาการตนเองในด้านต่าง ๆ จึงไม่จำเป็นต้องวัดผลครั้งเดียว - ควรมีการวัดผลและรายงานผลให้เด็กรู้และพัฒนาตนเอง ในแต่ละด้าน CBL จะได้ผลดีจากความ สมัครใจ ความสนใจของเด็ก และความร่วมมือมากกว่าการบังคับให้รู้ ดังนั้นการตัดคะแนนและลงโทษ เป็นสิ่ง ที่ควรหลีกเลี่ยง - ครูจะเป็นผู้รับฟังเรื่องราวที่เด็กคิด นำเสนอ และเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับเด็กครูอาจมีการติติง และ แสดงความคิดเห็นในจังหวะที่เหมาะสม และสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ คือการให้กำลังใจ 8.2 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ตามแนวทางของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยการคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (CBL) ได้จัดรูปแบบ การเรียนการสอนเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 กระตุ้นความสนใจ คือ ผู้สอนกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนโดยใช้สื่อจากสื่อต่าง ๆ ได้แก่ สื่ออินโฟกราฟฟิกที่สร้างขึ้นเป็นภาพเคลื่อนไหว คลิปวิดีโอ เหตุการณ์หรือเกมที่เกี่ยวกับเนื้อหา เพื่อกระตุ้น ความคิดของผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนอยากรู้อยากค้นหาคำตอบ ขั้นตอนที่ 2 ตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มตามความสนใจ คือ ผู้เรียนช่วยกันตั้งปัญหาที่ตนเองสงสัยจาก สื่อที่ผู้สอนนำเสนอ เมื่อผู้เรียนพบปัญหาที่สงสัยแล้วจึงทำการแบ่งกลุ่มตามความสนใจหรือผู้สอนอาจจะตั้ง ปัญหาเองเพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นในสิ่งที่เป็นตามตัวชี้วัด


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 57 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ขั้นตอนที่ 3 ค้นคว้าและคิด คือ ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มช่วยกันค้นคว้าและคิดวิเคราะห์ข้อมูลจาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยผู้สอนจะเดินตามกลุ่มเพื่อให้คำปรึกษาเวลาที่ผู้เรียนมีปัญหา และเกิด ข้อสงสัย ขั้นตอนที่ 4 นำเสนอผลงาน คือ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอชิ้นงานผลการศึกษาค้นคว้าหน้าชั้นเรียน ในรูปแบบ Mind Mapping ตามความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละกลุ่มของแต่ละกลุ่ม ขั้นตอนที่ 5 ประเมินผล คือ ผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ โดยประเมินจากการลงมือปฏิบัติ กิจกรรมการทำงานกลุ่ม ชิ้นงานและใบงาน 8.3 บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง 5 ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน 1. กระตุ้นความสนใจ ครูสร้างความสนใจ สร้างความอยาก รู้อยากเห็น มีการตั้งคําถามกระตุ้นให้ ผู้เรียนคิด โดยใช้สื่อต่าง ๆ เกม กิจกรรมหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ผู้เรียนมีความอยากรู้อยากเรียน ตั้ง คำถาม ตั้งใจเรียนและถามคําถามที่ ตนสงสัย หรือร่วมกับเพื่อน ๆ ในการ ถามประเด็นที่สนใจ 2. ตั้งปัญหาและแบ่งกลุ่มตาม ความสนใจ หากนักเรียนไม่สามารถตั้งปัญหาได้ ครูอาจจะตั้งปัญหาเองให้ผู้เรียนได้ ค้นคว้า ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงาน ร่วมกัน สังเกตและฟังการโต้ตอบกัน ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ผู้เรียนคิดอย่างอิสระแต่อยู่ใน ขอบเขตของกิจกรรม ช่วยกันตั้ง คำถามที่ตนเองสงสัยแล้วแบ่งกลุ่ม ตามความสนใจ 3. ค้นคว้าและคิด ครูให้การส่งเสริมสนับสนุนการ ค้นคว้าข้อมูลของผู้เรียนตามกลุ่มต่าง ๆ และให้คำปรึกษาเมื่อผู้เรียนมี ปัญหาหรือเกิดข้อสงสัย ผู้เรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันค้นคว้าและ คิดวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูล ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 4. นำเสนอผลงาน ครูสนับสนุนการนำเสนอผลงานโดย ไม่ต้องแทรกแซงระหว่างการนำเสนอ แสดงความคิดเห็น หรือซักถามใด ๆผู้ ที่มีหน้าที่หลักในการแสดงความคิดเห็น และซักถามนั้นคือผู้เรียนร่วมชั้น ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอผลงานหรือ ชิ้นงานจากผลการศึกษาค้นคว้าหน้า ชั้นเรียนในรูปแบบ Mind Mapping ตามความคิดสร้างสรรค์ 5. ประเมินผล ครูประเมินผลอย่างหลากหลายมิติ เช่น ความสร้างสรรค์ของผลงาน คุณค่าหรือประโยชน์ต่อสังคมของ ผลงาน กระบวนการทำงานที่มี อิสรภาพทางความคิดและ ผู้เรียนร่วมกันตรวจสอบผลงานของ กลุ่มตนเองโดยเทียบกับกลุ่มอื่น เพื่อให้เห็นจุดเหมือน จุดต่าง และ ประเมินผลการเรียนรู้ โดยประเมิน จากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมการ ทำงานกลุ่ม ใบงานและชิ้นงาน


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 58 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 5 ขั้นตอน บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน คุณลักษณะหรือบุคลิกภาพที่เปิดรับ ความท้าทายและมีความยืดหยุ่น 9. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบแบบไฮสโคป (High Scope) 9.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคป (High Scope) มีพื้นฐานแนวคิดมาจากทฤษฎีของเพียเจต์ (Piage’s Theory) ที่เกี่ยวกับพัฒนาทางสติปัญญาที่เน้นเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย ด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยการให้โอกาส เด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ ซึ่งตรงตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) โดยเด็กสามารถสร้างความรู้ได้เองโดยใช้กระบวนการสร้างสรรค์การเรียนรู้(Constructive Process of Learning) ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้จากการกระทำ และมีการประเมินผลงานอย่างมีแบบแผน ความสำคัญในด้าน พื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียน จะเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (ActiveLearning) เพราะเด็ก จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงทำให้เกิดความคิด ความรู้ความเข้าใจ และรู้จักลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง หลักการที่สำคัญคือการเรียนรู้จากการลงมือทำ ผ่านกิจกรรมและสื่อที่หลากหลายที่มีความเหมาะสม กับพัฒนาการของเด็กเป็นตัวช่วย โดยจะต้องปล่อยให้เด็กเป็นคนเริ่มการเล่นหรือกิจกรรมอย่างอิสระด้วย ตัวเอง ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเด็ก ซึ่งการเรียนรู้แบบลงมือทำจะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดถ้า ส่งเสริมเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ (Active Learning) โดยมี หลักการสำคัญ หรือวงล้อแห่งการเรียนรู้ 5 ข้อ ดังนี้ 1. สื่อ (Materials) ให้เด็กมีโอกาสใช้สื่อที่หลากหลาย เพียงพอและเหมาะกับวัยของเด็ก 2. การสัมผัส (Manipulation) ให้เด็กมีโอกาสสำรวจ และจัดกระทำกับวัตถุโดยตรง 3. การเลือก (Choice) เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจใช้สื่ออุปกรณ์และวิธีการเล่นหรือเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. ภาษาและการคิด (Child Language & Thought) เด็กมีโอกาสใช้ภาษาของตนอธิบายการกระทำ และขยายความคิดของตนเพื่อรับรู้สิ่งใหม่ 5. การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ (Adult Scaffolding) ผู้ใหญ่ช่วยสนับสนุนความคิด ความท้าทายและ กระตุ้นให้เด็กพยายามทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย โดยมีมุมพื้นฐานอย่างน้อย 5 มุม


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 59 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก (Adult-Child Interaction) การเรียนรู้แบบลงมือกระทำนั้นจะประสบความสำเร็จได้เมื่อผู้ใหญ่และเด็กมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไฮสโคปจึงเน้นให้ผู้ใหญ่สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัยให้แก่เด็ก การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กนั้นเป็น การสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก เด็กจะกล้าพูดกล้าแสดงออก และกล้าปรึกษาปัญหา ผู้ใหญ่จะต้องใส่ใจแม้แต่ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และไม่เบื่อหน่ายที่จะตอบคำถามของเด็ก หรือป้อนคำถามให้เด็กเกิดความคิด จินตนาการ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อเด็กนั้นนับได้ว่ามีคุณค่ามากกว่าการยกย่อง ชมเชย การให้รางวัล การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้(Learning Environment) การจัดสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัยมีความสำคัญต่อการพัฒนาและการเรียนรู้ของเด็ก ตาม หลักการของไฮสโคปถือว่าสิ่งแวดล้อมเป็นเสมือนครูคนที่ 3 และเป็นส่วนหนึ่งของวงล้อการเรียนรู้ซึ่งมีสาระ ครอบคลุม 3 เรื่อง ได้แก่ พื้นที่ สื่อ และการจัดเก็บ เป็นต้น กิจวัตรประจำวัน (Daily Routine) การวางแผนกิจวัตรประจำวันของไฮสโคปมีความสม่ำเสมอเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ ซึ่งทำให้เด็กสามารถคาดได้ว่าช่วงเวลาต่อไปเป็นกิจกรรมใดและทำให้เด็กสามารถจัดการควบคุมได้ว่าต้องทำ อะไรในกิจกรรมแต่ละช่วงด้วยตนเองกิจวัตรประจำวันสำหรับเด็กของไฮสโคป รวมถึงกระบวนการวางแผน ปฏิบัติทบทวน (Plan-do-review process) กิจกรรมกลุ่มย่อย กิจกรรมกลุ่มใหญ่ กิจกรรมกลางแจ้ง ตลอด การดำเนินกิจวัตรประจำวันคำนึงถึงช่วงต่อระหว่างกิจกรรม และเน้นโอกาสของการเรียนรู้แบบลงมือกระทำ เด็กและครูได้สร้างความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 60 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 9.2 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ การจัดประสบการณ์มีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ 1. การวางแผน (Plan) เป็นการกำหนดแนวทางในการปฏิบัติว่าจะดำเนินกิจกรรมออกมายังไง ไม่ว่า จะเป็นกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย หรือกิจกรรมที่ตนเองสนใจก็ตาม โดยเด็กจะต้องคุยกับคุณครูหรือเพื่อน ๆ เพื่อวางแผนการทำงานอย่างเหมาะสม ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกสนใจในกิจกรรมนั้น ๆ เพราะตนเองได้เป็นคนวางแผน เอง ซึ่งนั่นเป็นโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นและกล้าตัดสินใจ การทำแบบนี้จะช่วยให้เด็กเชื่อมั่นในตนเอง สามารถควบคุมตัวเองได้ 2. การลงมือทำ (Do) ในขั้นตอนนี้เป็นการให้เด็กลงมือทำตามสิ่งที่วางแผนไว้อย่างอิสระ โดยจะมี เวลากำหนด เน้นให้เด็กช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันทดลองและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีจุดหมาย ซึ่งจะทำให้ เด็ก ๆ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์รู้จักคิดแก้ปัญหาและค้นพบความคิดใหม่ ๆ อีกทั้งยังได้พัฒนาทักษะการพูด และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสูงอีกด้วย 3. การทบทวน (Review) ในช่วงนี้เด็ก ๆ จะได้ทบทวนในสิ่งที่ตนเองได้ลงมือทำไป เป็นการพูดคุย ร่วมกัน ว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกเป็นยังไง ตรงตามที่คิดไหม มีวิธีการดำเนินการแบบไหน มีการเปลี่ยนแปลงแผน หรือไม่ มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กได้เชื่อมโยงสิ่งที่วางแผนไว้กับผลงานที่ทำ และเป็นการเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ลงมือทำด้วยตนเอง 9.3 บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง บทบาทของครู บทบาทของนักเรียน 1. กระตุ้นความสนใจในการจัดกิจกรรม 1. เด็กคือจุดศูนย์กลาง โดยให้เด็กสามารถเลือก กิจกรรมที่ตนเองสนใจ 2. ต้องมีสื่อและอุปกรณ์ที่เหมาะสมกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย โดยมีมุมพื้นฐานอย่างน้อย 5 มุม 2. เด็กได้เลือกวัสดุมาใช้อย่างอิสระ การทำแบบนี้จะ ช่วยให้เด็กรู้จักเชื่อมโยงการกระทำต่าง ๆ ว่าของที่ เลือกมาจะเข้ากันไหม ได้เรียนรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ ของสิ่งของและเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหามากขึ้น 3.จัดให้มีพื้นที่และเวลาที่เพียงพอจัดกิจกรรมในพื้นที่ ที่เหมาะสมต่อกิจกรรมคนเดียวและกิจกรรมกลุ่ม 3. เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่นที่เหมาะสม และมีเวลา เพียงพอต่อการจัดกิจกรรมตลอดทั้งวัน


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 61 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 4. จัดกิจกรรมโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการ เรียนรู้ 4. เด็กสามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้ จะช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับวัตถุได้ลองทดสอบสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง 5. ครูและเด็กมีโอกาสเรียนรู้ร่วมกัน 5. เด็กจะสะท้อนประสบการณ์ความคิด ความเข้าใจ และความรู้สึกผ่านการพูดและการบอกเล่า 6. การสนับสนุนจากครู/ผู้ใหญ่คอยดูแลหรือ สนับสนุน เพราะจะต้องมีการเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ให้พร้อมต่อการเรียนรู้ของเด็ก 6. เด็กทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านมุมเล่นที่หลากหลาย โดยมีมุมพื้นฐานอย่างน้อย 5 มุม 10. รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of Cooperative Learning) 10.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือพัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลักการเรียนรูปแบบ ร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน ( Johnson & Johnson, 1974) ซึ่งได้ชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนควรร่วมมือกันใน การเรียนรู้มากกว่าการแข่งขันกันเพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์ของ การแพ้-ชนะ ต่างจากการร่วมมือ กัน ซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ของการชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ที่ดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ ประกอบด้วย (1) การเรียนรู้ต้องอาศัยหลักการพึ่งพากัน (positive interdependence) โดยถือว่าทุกคน มีความสำคัญเท่าเทียมกันและจะต้องพึ่งพากันเพื่อความสำเร็จร่วมกัน (2) การเรียนรู้ที่ดีต้องอาศัยการหันหน้าเข้าหากัน มีปฏิสัมพันธ์กัน (face to face interaction) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ข้อมูล และการเรียนรู้ต่าง ๆ (3) การเรียนรู้ร่วมกันต้องอาศัยทักษะทางสังคม (social skills) โดยเฉพาะทักษะในการทำงานร่วมกัน (4) การเรียนรู้ร่วมกันควรมีการวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (group processing) ที่ใช้ใน การทำงาน (5) การเรียนรู้ร่วมกันจะต้องมีผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทั้งรายบุคคลและรายกลุ่มที่สามารถตรวจสอบ และวัดประเมินได้ (individual accountability)หากผู้เรียนมีโอกาสได้เรียนรู้แบบร่วมมือกันนอกจากจะช่วย ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางด้านเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นและลึกซึ้งขึ้นแล้ว ยังสามารถช่วยพัฒนาผู้เรียน ทางด้านสังคมและอารมณ์มากขึ้นด้วย รวมทั้งมีโอกาสได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อ การดำรงชีวิตอีกมาก รูปแบบนี้มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ด้วยตนเองและด้วยความร่วมมือและความ ช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะ การทำงานร่วมกับ ผู้อื่น ทักษะการสร้างความสัมพันธ์ รวมทั้งทักษะการแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด การแก้ปัญหาและอื่น ๆ การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ความสำคัญการพัฒนา ทัศนคติและค่านิยมในตัวผู้เรียน ที่จ าเป็นทั้งในและนอกห้องเรียน การจำลองรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมที่พึง ประสงค์ในห้องเรียน การเสนอและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวความคิดที่หลากหลายระหว่างสมาชิกใน


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 62 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 กลุ่ม การพัฒนาพฤติกรรมการแก้ปัญหาการคิดวิเคราะห์ และการคิดอย่างมีเหตุผล รวมทั้งการพัฒนาลักษณะ ของผู้เรียน ให้รู้จักตนเองและเพิ่มคุณค่าของตนเอง จากกิจกรรมดังกล่าวจะมีผลต่อผู้เรียนโดยสรุปใน 3 ประการ 1).ความรู้ความเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียน (Cognitive Knowledge) 2).ทักษะทางสังคมโดยเฉพาะ ทักษะการทำงานร่วมกัน (Social Skills) 3).การรู้จักตนเองและตระหนักในคุณค่าของตนเอง (Self - Esteem) Slavin (1990) กล่าวว่าการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยให้ ผู้เรียนใช้ความสามารถเฉพาะตัว และศักยภาพในตนเองร่วมมือแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จได้ โดยที่ สมาชิกในกลุ่มตระหนักว่า แต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ดังนั้นความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มต้องรับผิดชอบร่วมกัน สมาชิกจะมีการพูดคุยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้เรียนจะได้ความรู้จาก เพื่อนและสิ่งที่เป็นผลพลอยได้จาการใช้วิธีการสอนแบบการร่วมมือกันเรียนรู้อีกประกากรหนึ่งคือ การที่ผู้เรียน รู้สึกถึงคุณค่าของตนเองเพิ่มขึ้นทั้งนี้เพราะว่าผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนจะมี บทบาทสำคัญ ต่อความสำเร็จของกลุ่ม และเมื่อประสบผลสำเร็จในการทำงาน หรือความเข้าใจกับเนื้อหาวิชา แล้วจะเพิ่มความสนใจในการทำกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้ผู้เรียนรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองใน ชั้นเรียน นอกจากนั้นการสอนแบบการร่วมมือกันเรียนรู้ยังก่อให้เกิดบรรยากาศที่ผู้เรียนได้พูดคุยกัน เป็น การช่วยให้ผู้เรียนและเพื่อนเข้าใจปัญหาชัดเจนขึ้น แม้บางครั้งจะไม่สามารถหาคำตอบได้แต่ระดับการติดตาม ปัญหาจะสูงกว่าการที่ผู้สอนเป็นผู้กำหนดให้ผู้เรียนทำคนเดียว และการที่ผู้เรียนสามารถอธิบายให้เพื่อนฟังได้ก็ จะเป็นการยกระดับความเข้าใจให้ชัดเจนแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น สำหรับบทบาทของผู้สอนจะเปลี่ยนไปจากเดิมคือ ต้องไม่ถือว่าตัวเองเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในชั้นเรียนคนเดียว แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อม วิธีดำเนินการที่ เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถค้นหาความรู้ได้จากการร่วมมือกันเรียนรู้ ซึ่งเกิดจากการกระทำของตนเองและ จากเพื่อนผู้เรียนด้วยกัน Joyce and Wiel (1986) ได้กล่าวว่าเทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้เป็นเทคนิคที่ช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้ง ในด้านสติปัญญา และด้านสังคมทั้งนี้เพราะว่ามนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมควรมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างตนเอง กับบุคคลอื่นซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยใช้เทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้ นอกจากนี้ เทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้ยัง ช่วยพัฒนาผู้เรียนทางด้านสติปัญญาให้เกิดการเรียนรู้จนบรรลุถึงขีดความสามารถสูงสุดได้โดยมีเพื่อนในวัย เดียวกัน กลุ่มเดียวกัน เป็นผู้คอยแนะน าหรือช่วยเหลือ ทั้งนี้เนื่องจากผู้เรียนที่อยู่ในวัยเดียวกันย่อมจะมีการใช้ ภาษาสื่อสารที่เข้าใจง่ายกว่าผู้สอนผู้สอน การร่วมมือกันเรียนรู้มีหลักที่ผู้สอนต้องคำนึงถึงอยู่ 3 ประการ 1)มี รางวัลหรือเป้าหมายของกลุ่ม 2) ความหมายของแต่ละบุคคลในกลุ่ม 3)สมาชิกในกลุ่มมีโอกาสในการช่วยให้ กลุ่มประสบผลสำเร็จของกลุ่มเท่าเทียมกัน 10.2 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้เป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็น กลุ่มย่อยแบบคละเพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ผลสำเร็จของกลุ่มเกิดจาก ความสำเร็จของสมาชิกในกลุ่ม ดังนั้นแนวการจัดการเรียนการแบบร่วมมือกันเรียนรู้ จึงเป็นรูปแบบการ จัดการเรียนที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้กระทำกิจกรรมการเรียนการสอน โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยแล้ว


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 63 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 มอบหมายให้กลุ่มทำกิจกรรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เป้าหมายคือความสำเร็จของกลุ่ม จุดเด่นของการเรียน ลักษณะนี้คือ 1) ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะทางด้านสังคม การทำงานกลุ่ม รู้จักฟังความคิดเห็นผู้อื่น และแสดง ความคิดเห็น ซึ่งเป็นคุณลักษณะหนึ่งของบุคคลที่มีกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) เกิดความ กระตือรือร้นในการทำกิจกรรม เนื่องจากมีแรงจูงใจคือความสำเร็จของกลุ่ม ทุกคนมีส่วนร่วมอย่าง กระฉับกระเฉงและให้ก าลังใจซึ่งกันและกัน 3) สร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นเองจากการกระทำกิจกรรม เรียนรู้ ทักษะการทำงานและการแก้ปัญหาต่างๆ 4) เกิดความภาคภูมิใจที่มีส่วนร่วมทำให้กลุ่มประสบผลสำเร็จ ความสำเร็จของกลุ่มเกิดจากตนเองและสมาชิกที่มีส่วนร่วม และความสำเร็จของกลุ่มก็คือความสำเร็จของ สมาชิกทุกคน ในแต่ละกลุ่มมีองค์ประกอบสำคัญคือ 1) หัวหน้า 2) สมาชิก 3) กระบวนการทำงาน และ องค์ประกอบทั้ง 3ดังกล่าว จะทำให้การทำงานเป็นไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพหรือไม่นั้น ยังต้องสร้าง บรรยากาศในการทำงานกลุ่ม คือ บรรยากาศด้านกายภาพ และบรรยากาศด้านจิตใจ บรรยากาศทางกายภาพ คือสถานที่ที่ทำงานเป็นกลุ่มเป็นทีม มีความสะอาด สะดวก สบาย าให้เกิดความสุขในการทำงาน ส่วน บรรยากาศทางจิตใจ คือผู้ร่วมงานมีความคุ้นเคย ไว้วางใจกัน มีมิตรสัมพันธ์กัน ด้วยความเป็นผู้มีระเบียบวินัย ในตนเอง เป็นต้น ในการทำงานเป็นกลุ่มของผู้เรียนมักพบว่า สมาชิกบางคนมีความรับผิดชอบดีมาก แต่บางคน ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย สมาชิกบางคนละเลยไม่ให้ความสนใจและความร่วมมือ ต่อกลุ่ม ส่วนการประเมินผลนั้น พบว่าส่วนมากคะแนนกลุ่มไม่ได้มาจากคะแนนของสมาชิกแต่ละคนร่วมกัน แต่เป็นคะแนนรวมของกลุ่ม ซึ่งสมาชิกทุกๆคนในกลุ่มจะได้คะแนนเท่ากับคะแนนของกลุ่ม แม้จะไม่ทำงานตาม ความรับผิดชอบก็ตาม ดังนั้น นักการศึกษาจึงได้มีความพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยการใช้รูปแบบการเรียน แบบร่วมมือกันเรียนรู้ ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละ รูปแบบจะมีวิธีการดำเนินการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัล แตกต่างกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะแต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้ หลักการเดียวกันคือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการและมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไป ในทิศทางเดียวกันคือ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัย การร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันและ แลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูป จะอยู่ที่เทคนิคใน การศึกษาเนื้อหาสาระและวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัล เป็นประการสำคัญเพื่อความกระชับในการ นำเสนอ ตัวอย่างกระบวนการเรียนการสอนที่สอดคล้องทั้ง 6 รูปแบบ มีดังนี้ 10.2.1 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอว์(Jigsaw) เป็นกิจกรรมที่ครูผู้สอนมอบหมายให้สมาชิกในกลุ่มแต่ละกลุ่มศึกษาเนื้อหาที่กำหนดให้ สมาชิกแต่ละคนจะถูกกำหนดโดยกลุ่ม ให้ศึกษาเนื้อหาคนละตอนที่แตกต่างกัน ผู้เรียนจะทำงานร่วมกับ สมาชิกกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาที่เหมือนกัน หลังจากที่ทุกคนศึกษาเนื้อหานั้นจนเข้าใจแล้ว จึงกลับเข้ากลุ่มเดิมแล้วเล่าเรื่องที่ตนศึกษาให้สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มฟัง โดยเรียงตามลำดับเรื่องราว เสร็จแล้วให้สมาชิกในกลุ่มคนใดคนหนึ่งสรุปเนื้อหาของสมาชิกทุกคนเข้าด้วยกัน ครูผู้สอนอาจเตรียมข้อสอบ เกี่ยวกับบทเรียนนั้นไว้ ทดสอบความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนในช่วงสุดท้ายของการเรียน มีขั้นตอนดังนี้


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 64 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 1) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ ( เก่ง-กลาง-อ่อน ) กลุ่มละ 4 คนและเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มบ้าน ของเรา (home group) 2) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ 1 ส่วน (เปรียบเสมือนได้ ชิ้นส่วนของภาพตัดต่อคนละ 1 ชิ้น) และหาคำตอบในประเด็นปัญหาที่ผู้สอนมอบหมายให้ 3) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอื่นซึ่งได้รับเนื้อหาเดียวกัน ตั้งเป็นกลุ่ม ผู้เชี่ยวชาญ (expert group) ขึ้นมา และร่วมกันทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระนั้นอย่างละเอียด และร่วมกัน อภิปรายหาคำตอบประเด็นที่ผู้สอนมอบหมายให้ 4) สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละกลุ่มช่วยสอนเพื่อนในกลุ่ม ให้เข้าใจสาระ ที่ตนได้ศึกษาร่วมกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเช่นนี้ สมาชิกทุกคนก็จะได้เรียนรู้ภาพรวมของสาระทั้งหมด 5) ผู้เรียนทุกคนทำแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเป็นรายบุคคล และนำคะแนนของทุกคนใน กลุ่มบ้านของเรามารวมกัน (หรือหาค่าเฉลี่ย) เป็นคะแนนกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดได้รับรางวัล 10.2.2 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส.ที.เอ.ดี. (STAD) หรือ Student Teams – Achievement Division พัฒนาโดย Slovin เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่เหมาะกับการสอนเนื้อหา ความรู้ความ เข้าใจ อาจใช้หนังสือเรียน หรือใบความรู้เป็นสื่อการเรียนรู้ของนักเรียน การเรียนตามองค์ประกอบของ STAD มีขั้นตอนดังนี้ 1) การเสนอเนื้อหา ครูสอนเนื้อหาใหม่หรือความคิดรวบยอดใหม่และทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว 2) การทำงานกลุ่ม จัดนักเรียนเป็นกลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละประมาณ 4 คน เรียกว่า Student team ชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มที่จะต้องช่วยกันเรียนร่วมกัน เพราะผลการเรียนของแต่ละ คนจะส่งผลการเรียนของกลุ่ม 3) การทดสอบย่อย หลังจากครูสอนเนื้อหาและนักเรียนได้ทำกิจกรรมกลุ่มแล้ว นักเรียนทุกคนทำ แบบทดสอบย่อยเป็นรายบุคคลเนื้อหาสาระนั้นอาจมีหลายตอน ซึ่งผู้เรียนอาจต้องทำแบบทดสอบในแต่ละ ตอนและเก็บคะแนนของตนไว้ 4) คะแนนการพัฒนาของนักเรียน หลังการทดสอบย่อย นักเรียนจะต้องทำแบบทดสอบครั้งสุดท้าย หาคะแนนพัฒนาของตนเอง โดยเอาคะแนนจากการทดสอบไปเทียบกับคะแนนฐาน ซึ่งคะแนนฐานอาจเป็น คะแนนการสอบย่อยที่ผ่านมา หรือคะแนนผลการเรียนของ เทอมที่แล้ว ในการหาคะแนนการพัฒนาครูอาจกำหนดเกณฑ์ขึ้นมาก็ได้ คะแนนพื้นฐาน: ได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบย่อยหลาย ๆ ครั้งที่ผู้เรียนแต่ละคนทำได้ คะแนนที่ได้: ได้จากการนำคะแนนทดสอบครั้งสุดท้ายลบคะแนนพื้นฐาน คะแนนพัฒนาการ: ถ้าคะแนนที่ได้คือ -11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 0 -1 ถึง -10 คะแนนพัฒนาการ = 10


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 65 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 +1 ถึง 10 คะแนนพัฒนาการ = 20 + 11 ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = 30 5) รับรองผลงานและเผยแพร่ชื่อเสียงของกลุ่ม จะมีการประกาศผลงานของกลุ่มให้ทราบ พร้อมทั้ง ยกย่องชมเชยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ปิดประกาศหน้าห้อง ให้เกียรติบัตร ลงจดหมายข่าว เป็นต้น 10.2.3 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.เอ.ไอ. (TAI) หรือ Team –Assisted Individualization เป็นการเรียนการสอนที่ผสมผสานระหว่างการจัดการเรียนแบบร่วมมือและการเรียนการ สอนแบบรายบุคคลเข้าด้วยกัน เน้นการสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลโดยให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองตาม ความสามารถ ส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทาง สังคม มีขั้นตอนดังนี้ 1) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้าน ของเรา 2) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน 3) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา จับคู่กันทำแบบฝึกหัด ก. ถ้าใครทำแบบฝึกหัดได้ 75% ขึ้นไปให้ไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้ายได้ ข. ถ้ายังทำแบบฝึกหัดได้ไม่ถึง 75% ให้ทำแบบฝึกหัดซ่อมจนกระทั่งเป็นไปตามเกณฑ์ แล้วจึง ไปรับการทดสอบรวบยอดครั้งสุดท้าย 4) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราแต่ละคนนำคะแนนทดสอบรวบยอดมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนสูงสุดกลุ่มนั้นได้รับรางวัล 10.2.4 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.จี.ที. (TGT) มาจาก “Team Game Tournament” เป็นการเรียนแบบร่วมมือกันแข่งขันทำกิจกรรม มีลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่ เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับการจัดการเรียนการสอนในจุดประสงค์ที่มีคำตอบถูกต้อง เพียงคำตอบเดียว องค์ประกอบ 4 ประการ ของ TGT 1) การสอน เป็นการนำเสนอความคิดรวบยอดใหม่หรือบทเรียนใหม่ 2) การจัดทีม เป็นขั้นตอนการจัดกลุ่ม หรือจัดทีมของนักเรียน โดยจัดให้คละกันทั้งเพศ และ ความสามารถและทีมจะต้องช่วยกันและกัน 3) การแข่งขัน การแข่งขันมักจัดในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน ซึ่งจะใช้คำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่ เรียนมาในข้อ 1 และผ่านการเตรียมความพร้อมของทีมมาแล้วการจัดโต๊ะแข่งขันจะมีหลายโต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมี ตัวแทนของกลุ่ม/ทีม แต่ละทีมมาร่วมแข่งขัน ทุกโต๊ะการแข่งขันควรเริ่มดำเนินการเพื่อนำไปเทียบหาค่า คะแนนโบนัส


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 66 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 4) การยอมรับความสำเร็จของทีม ให้นำคะแนนโบนัสของแต่ละคนในทีมมารวมกันเป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีค่าสูงสุด จะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศ โดยอาจเรียกชื่อทีมที่ได้ชนะเลิศ กับ รองลงมา โดยใช้ชื่อเก๋ ๆ ก็ได้ หรืออาจให้นักเรียนตั้งชื่อเอง และควรประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้มีขั้นตอนดังนี้ 1) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน และเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มบ้าน ของเรา 2) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา ได้รับเนื้อหาสาระและศึกษาเนื้อหาสาระร่วมกัน 3) สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายกันเป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่มอื่นโดยจัดกลุ่มแข่งขันตาม ความสามารถ คือคนเก่งในกลุ่ม บ้านของเราแต่ละกลุ่มไปรวมกัน คนอ่อนก็ไปรวมกับคนอ่อนของกลุ่มอื่น กลุ่มใหม่ที่รวมกันนี้เรียกว่ากลุ่ม แข่งขัน กำหนดให้มีสมาชิกกลุ่มละ 4 คน 4) สมาชิกในกลุ่มแข่งขัน เริ่มแข่งขันกันดังนี้ ก. แข่งขันกันตอบคำถาม 10 คำถาม ข. สมาชิกคนแรกจับคำถามขึ้นมา 1 คำถาม และอ่านคำถามให้กลุ่มฟัง ค. ให้สมาชิกที่อยู่ซ้ายมือของผู้อ่านคำถามคนแรกตอบคำถามก่อน ต่อไปจึงให้คนถัดไปตอบ จนครบ ง. ผู้อ่านคำถามเปิดคำตอบ แล้วอ่านเฉลยคำตอบที่ถูกให้กลุ่มฟัง จ. ให้คะแนนคำตอบดังนี้ผู้ตอบถูกเป็นคนแรกได้ 2 คะแนน ผู้ตอบถูกคนต่อไปได้ 1 คะแนน ผู้ตอบผิดได้ 0 คะแนน ฉ. ต่อไปสมาชิกคนที่ 2 จับคำถามที่ 2 และเริ่มเล่นตามขั้นตอน ข-จ ไปเรื่อยๆจนกระทั่ง คำถามหมด ช. ทุกคนรวมคะแนนของตนเอง : ผู้ได้คะแนนอันดับ 2 ได้โบนัส 8 คะแนน ผู้ได้คะแนนอันดับ 3 ได้โบนัส 5 คะแนน ผู้ได้คะแนนอันดับ 4 ได้โบนัส 4 คะแนน 5) เมื่อแข่งขันเสร็จแล้ว สมาชิกกลุ่มกลับไปกลุ่มบ้านของเรา แล้วนำคะแนนที่แต่ละคนได้รวมเป็น คะแนนของกลุ่ม ผู้ได้คะแนนอันดับ 1 ได้โบนัส 10 คะแนน 10.2.5 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล. ที. (L.T) หรือ Learning Together รูปแบบนี้มีการกำหนดสถานการณ์และเงื่อนไขให้นักเรียนทำผลงานเป็นกลุ่ม ให้นักเรียน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแบ่งปันเอกสารการแบ่งงานที่เหมาะสม และการให้รางวัลกลุ่ม มีขั้นตอนดังนี้ 1) จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กลุ่มละ 4 คน 2) กลุ่มย่อยกลุ่มละ 4 คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดให้แต่ละคนมีบทบาทหน้าที่ช่วยกลุ่มใน การเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 67 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 สมาชิกคนที่ 1: อ่านคำสั่ง สมาชิกคนที่ 2: หาคำตอบ สมาชิกคนที่ 3: หาคำตอบ สมาชิกคนที่ 4: ตรวจคำตอบ 3) กลุ่มสรุปคำตอบร่วมกัน และส่งคำตอบนั้นเป็นผลงานกลุ่ม 4) ผลงานกลุ่มได้คะแนนเท่าไร สมาชิกทุกคนในกลุ่มนั้นจะได้คะแนนนั้นเท่ากันทุกคน 10.2.6 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี.ไอ. (G.I.) หรือ Group Investigation G.I. คือ “ Group Investigation ” รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันไป สืบค้นข้อมูลมาใช้ในการเรียนรู้ร่วมกัน ที่เน้นบรรยากาศการทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และ การเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างเหมาะสม กล่าวคือสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจะเลือก หัวข้อย่อยและเลือกวิธีการแสวงหาคำตอบในเรื่องนั้นๆ ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นสมาชิกแต่ละคนจะรายงาน ความก้าวหน้าและผลการทำงานให้กลุ่มตนเองทราบ เป็นรูปแบบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนช่วยกันไปสืบค้นข้อมูล กิจกรรมนี้พัฒนาโดย โชรานและเฮิร์ต (Shoran, S.& Hertz-Lazarowitz, R.,1980) GI เป็น การเรียนแบบร่วมมือที่มีความซับซ้อนและกว้างขวางมาก ปรัชญาของ GI ก็คือต้องการปลูกฝังการร่วมมือกัน อย่างเป็นประชาธิปไตย และมีการกระจายภาระงานและสิทธิในการแสดงความคิดเห็นที่เท่าเทียมกันของ สมาชิกในกลุ่ม GIO ยังกระตุ้นบทบาทที่แตกต่างกัน ทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม การนำการเรียนแบบ GI มาใช้ ผู้สอนจะแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 คน หรือน้อยกว่า นี้ตามความเหมาะสม การจัดกลุ่มตั้งอยู่บนความต้องการของผู้สอนและผู้เรียน แต่ละกลุ่มวางแผนกันเองว่าจะ ศึกษาหัวข้อเรื่องอะไร และใช้วิธีการอะไรในการศึกษาหาความรู้ นอกจากนี้ สมาชิกแต่ละคนหรือสมาชิกแต่ละ คู่ในกลุ่ม อาจเลือกหัวข้อย่อยแล้วตัดสินใจเองถึงวิธีการแสวงหาความรู้ในหัวข้อย่อย ๆ นั้น สมาชิกแต่ละคน หรือสมาชิกแต่ละคู่รายงานความก้าวหน้าและผลการทำงานให้กับกลุ่มของตนเองทราบ กลุ่มจะอธิบายเกี่ยวกับ รายงานของสมาชิกและเตรียมรายงานของกลุ่มให้กับเพื่อนทั้งห้องฟัง ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) ขั้นการเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (Topic selection) ผู้เรียนเลือกหัวข้อเรื่องที่เฉพาะเจาะจงของ ปัญหาที่เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก 2-5 คน จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มคละ ความสามารถ ( เก่ง-กลาง-อ่อน ) ร่วมกันทำงาน 2) ขั้นการวางแผนร่วมมือกันในการทำงาน (Cooperative planning) ผู้สอนและผู้เรียนวางแผน ร่วมกันในวิธีดำเนินงาน ภาระงานที่ทำ และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตามปัญหาที่เลือก 3) ขั้นการดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ (Implementation) ผู้เรียนดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ใน ขั้นที่ 2 กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูล ทั้งภายในและภายนอก โรงเรียน ผู้สอนจะให้คำปรึกษากับทุกกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้าในการทำงานของผู้เรียน


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 68 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 4) ขั้นการวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ (Analysis and synthesis) ผู้เรียนวิเคราะห์และประเมิน ข้อมูลที่ผู้เรียนรวบรวมมาได้ในขั้นที่ 2 และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจ เพื่อนำเสนอต่อชั้น เรียน 5) ขั้นการนำเสนอผลงาน (Presentation of final report) กลุ่มนำเสนอผลงานตามหัวข้อเรื่องที่ เลือก ผู้สอนต้องพยายามให้ผู้เรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน เพื่อเป็นการ ขยายความคิดของตัวผู้เรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่มไม่ได้ศึกษา ผู้สอนจะทำหน้าที่เป็นผู้ ประสานงานในระหว่างการนำเสนอผลงาน 6) ขั้นการประเมินผล (Evaluation) ผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนำเสนอ พร้อม ทั้งแสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินผลเป็นรายบุคคลและเป็น กลุ่ม GI เป็นการเรียนแบบร่วมมือที่มอบหมายความรับผิดชอบอย่างสูงให้กับผู้เรียนในการที่จะบ่งชี้ว่า จะเรียนอะไรและเรียนอย่างไร ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และตีความหมายของสิ่งที่ศึกษา ได้เน้น ความหมายและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกันในการทำงาน 10.2.7 กระบวนการเรียนรู้แบบ Co – op Co – op เป็นรูปแบบที่พัฒนาโดย Shlomo และ Yael Shoran ที่ใช้ในงานเฉพาะอย่าง ลักษณะส าคัญคือ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มย่อยจะได้รับมอบหมายให้ศึกษา เนื้อหา หรือท า กิจกรรมที่ต่างกัน ท าเสร็จแล้วน าผลงานมารวมกันเป็นกลุ่มร่วมกันแก้ไขทบทวนแล้วน ามา เสนอต่อชั้นเรียน 10.2.8 รูปแบบ CIRC หรือ Cooperative Integrated Reading and Composition เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรมคือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่าน เพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเรียน มีขั้นตอนดังนี้ 1) ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน นักเรียนในแต่ละกลุ่มจับคู่ 2 คน หรือ 3 คน ทำกิจกรรมการอ่านแบบเรียนร่วมกัน 2) ครูจัดทีมใหม่โดยให้นักเรียนแต่ละทีมต่างระดับความสามารถอย่างน้อย 2 ระดับ ทีมทำกิจกรรม ร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แต่งความทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบต่าง ๆ และมีการให้คะแนนของแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนน 90% ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น “ซุปเปอร์ทีม” หากได้คะแนนตั้งแต่ 80-89% ก็จะ ได้รับรางวัลรองลงมา 3) ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่ ๆ ทบทวนศัพท์เก่า ต่อจากนั้นครูจะกำหนดและแนะนำเรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่ผู้เรียน จัดเตรียมไว้ให้ เช่น อ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังและช่วยกันแก้จุดบกพร่อง หรือครูอาจจะ ให้นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม วิเคราะห์ตัวละครวิเคราะห์ปัญหาหรือทำนายว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป 4) หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเรื่องที่อ่านโดยครูจะเน้นการฝึกทักษะต่างๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปัญหา การทำนาย


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 69 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 5) นักเรียนรับการทดสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็นทั้งรายบุคคลและทีม 6) นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการจับใจความสำคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล 7) นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการเขียนได้ตามความ สนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเรื่องและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุดตีพิมพ์ผลงานออก 8) นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลือกอ่านหนังสือที่สนใจ และเขียนรายงานเรื่องที่อ่านเป็นรายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้านตามแบบฟอร์มที่ให้ 10.2.9 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction) พัฒนาขึ้นโดย เอลิซาเบธ โคเฮน และคณะ (Elizabeth Cohen) เป็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกับ รูปแบบ จี. ไอ. เพียงแต่จะสืบเสาะหาความรู้ เป็นกลุ่มมากกว่าการทำเป็นรายบุคคล นอกจากนั้นงานที่ให้ยังมี ลักษณะของการประสานสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับทักษะหลายประเภท และเน้นการให้ความสำคัญกับ ผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยการจัดงานให้เหมาะสมกับความสามารถและความถนัดของผู้เรียนแต่ละคน ดังนั้นครู ต้องค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผู้เรียนที่อ่อน โคเฮนเชื่อว่า หากผู้เรียนได้รับรู้ว่าตนมีความถนัดในด้าน ใด จะช่วยให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองในด้านอื่น ๆ ด้วย รูปแบบนี้จะไม่มีกลไกการให้รางวัล เนื่องจากเป็นรูปแบบที่ได้ออกแบบให้งานที่แต่ละบุคคลทำ สามารถสนองตอบความสนใจของผู้เรียนและ สามารถจูงใจผู้เรียนแต่ละคนอยู่แล้ว 10.3 บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง 10.3.1 บทบาทของครูผู้สอนในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 1) แจ้งจุดประสงค์ก่อนการจัดการเรียนรู้ 2) กำหนดขนาดของกลุ่ม (โดยปกติประมาณ 2-.6 คนต่อกลุ่ม)และลักษณะ กลุ่มซึ่งควร เป็นกลุ่มที่คละความสามารถ (มีทั้งผู้ที่เรียนเก่ง เรียนป่านกลาง และเรียนอ่อน) 3) ดูแลการจัดลักษณะการนั่งของสมาชิกกลุ่มให้สะดวกที่จะทำงานร่วมกันและง่ายต่อ การสังเกตและติดตามความก้าวหน้าของกลุ่ม 4) ชี้แจงกรอบกิจกรรมให้นักเรียนแต่ละคนเข้าใจวิชีการและกฎเกณฑ์การทำงาน 5) สร้างบรรยากาศที่เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกำหนดหน้าที่รับผิดขอบ ของสมาชิกกลุ่ม 6) เป็นที่ปรึกษาของทุกกลุ่มย่อยและคอยติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของกลุ่ม และสมาชิกกลุ่ม ยกย่องเมื่อนักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ให้รางวัลคำชมเชยในลักษณะกลุ่ม กำหนดว่า ผู้เรียนควรทำงานร่วมกันแบบกลุ่มนานเพียงใด 7) การพัฒนาความสามารถด้านการวัดและประเมินผล การสร้าง การเลือก การใช้ เครื่องมือประเมิน ความหลากหลาย และเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 70 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 10.3.2 บทบาทของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 1) รับผิดชอบการเรียนร่วมกับเพื่อน 2) รู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง และมีความรับผิดชอบ 3) รู้จักการไว้วางใจให้เกียรติ 4) รับฟังความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกกลุ่ม 5) ความรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนและเพื่อน ๆ ในกลุ่ม 6) กระตือรือร้นและใส่ใจในการเรียน 11. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์(Constructivism) ด้วยกระบวนการ 5S 11.1 ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist theory) หรือสร้างสรรค์นิยมเชื่อว่า ผู้เรียนเรียนรู้โดย การสร้างความรู้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิม และโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เป็น พื้นฐานซึ่ง Underhil (1991 อ้างถึงใน พรหม ผูกดวง, 2542) ได้เสนอว่า การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามแนวคอนสตรัคติวิสซึมนั้น จะต้องท าให้ผู้เรียนเกิดความขัดแย้งทางปัญญา (cognitive conflict) ซึ่งเกิด จาก การที่ให้ผู้เรียนได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงท าให้เกิดการไตร่ตรอง (reflection) และน าไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญา (constructive restructuring) ที่ได้รับการ ตรวจสอบทั้งจากตนเอง และผู้อื่นว่า สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในโครงสร้างนั้น และใช้เป็นเครื่องมือ ส าหรับการสร้างโครงสร้างใหม่ต่อไป ส่วนการไตร่ตรองเพื่อให้เกิดโครงสร้างใหม่ทางปัญญานั้น Konold (1991 อ้างถึงใน พรหม ผูกดวง, 2542) ได้เสนอแนะว่า ผู้สอนควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียน ได้อภิปรายถึงความ เชื่อของตนเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นๆ เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนประเมินและตรวจสอบความเชื่อของตนเอง ซึ่งการ อภิปรายแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันของผู้เรียน จะน าไปสู่การสร้างโครงสร้างใหม่ทางปัญญาเพื่อขจัด ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นแนวการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ คือการจัดการเรียนการสอนโดยให้ ผู้เรียนเผชิญกับปัญหาจริงหรือประสบการณ์จริง เพื่อให้เกิดกระบวนการคิดวิจารณญาณ ไตร่ตรอง กับปัญหา พยายามดึงเอาประสบการณ์เดิมที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ลักษณะเด่นของแนว


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 71 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 การจัดการเรียนรู้ดังกล่าว จะสามารถช่วยพัฒนา 1) ทักษะกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบที่ลึกซึ้ง และ กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 2) เกิดองค์ความรู้ใหม่อย่างมีความหมาย ซึ่งผู้เรียนเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นเอง จากประสบการณ์ที่มีอยู่ผนวกกับประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับ ร่วมกับการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมและ สังคม 3) ผู้เรียนจะเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น เพราะกิจกรรมนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจน 4) เกิดทักษะทางสังคม เนื่องจากมีโอกาสพูดคุยและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่น 5) ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตามแนว การเรียนรู้ (styles of learning) ของตนเอง กระบวนการ 5 S ตามทฤษฎีConstructionism โดย Professor Seymour Papert แห่ง M.I.T. (Massachusetts Institute of Technology) ได้พัฒนามาจากทฤษฎี Constructivism ของ Piaget เป็นการจัดกิจกรรมตามแนวทฤษฎีการจัดกิจกรรมตามแนวทฤษฎี Constructionism • นักเรียนเรียนรู้ และสร้างประสบการณ์ • นักเรียน ฝึกปฏิบัติ แก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง • นักเรียนสรุปองค์ความรู้ และสร้างผลงานด้วย ตนเองโดยใช้สื่อเทคโนโลยี หรือสื่อและวิธีการอื่นๆ สังเคราะห์สรุปเป็นกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน(จ าง่าย ใช้คล่อง) ให้สอดคล้องกับแนวการจัดการเรียนรู้ตาม ทฤษฎี Constructionism ดังนี้ (1) จุดประกายความคิด( Sparkling ) (2) สะกิดให้ค้นคว้า ( Searching ) (3) น าพาสู่การปฏิบัติ( Studying ) (4) จัดองค์ความรู้( Summarizing ) และ(5) น าเสนอควบคู่การประเมิน ( Show and Sharing ) 10.2 กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ 1) Sparkling (จุดประกายความคิด) ใช้ค าถาม เพลง เกม กิจกรรม วิธีการ หรือสื่อ กระตุ้นให้ นักเรียนเกิดความอยากรู้ เห็นแนวทางในการแสวงหาความรู้ น าไปสู่ความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาสาระ


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 72 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 2) Searching (สะกิดให้ค้นคว้า) ใช้กิจกรรมหรือ หัวข้อ เรื่องราว ที่น่าสนใจ ชวนให้ศึกษา ค้นคว้า หาค าตอบด้วยตนเองเพื่อให้นักเรียนน าข้อมูลมาวางแผน และแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบและความ ถนัดของแต่ละบุคคลในกลุ่ม มีกระบวนการท างานอย่างเป็นขั้นตอน รู้จักท างานเป็นกลุ่ม 3) Studying (น าพาสู่การปฏิบัติ) ฝึกให้นักเรียนได้ปฏิบัติ เรียนรู้ด้วยตนเองทั้งเป็นกลุ่มเป็น รายบุคคล จนเกิดทักษะ และเรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยตนเอง 4) Summarizing (จัดองค์ความรู้) มุ่งเน้นให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจจากการเรียนรู้และ ฝึกปฏิบัติ การแก้ปัญหา หรือประยุกต์ใช้ จนสามารถสรุปเป็นองค์ความรู้ของ ตนเองได้อย่างเป็นระบบ 5. Showing and Sharing (น าเสนอควบคู่การประเมิน) - ฝึกนักเรียนให้วางแผนในการน าเสนอความรู้ ผลงานของ ตนเองอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ - ด้วยเทคนิควิธีต่างๆ เช่น การแสดงละคร บทบาทสมมุติ นิทรรศการ เกม การใช้ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ - น าเสนอผลการเรียนรู้ ที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ ความภาคภูมิใจ เชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออก มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกระบวนการท างานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จนเกิดองค์ความรู้ใหม่ ต่อไป - ฝึกนักเรียนให้รู้จักการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในด้านผลงาน ความคิด วิธีการ และ ข้อเสนอแนะ กระบวนการ 5 S ตามทฤษฎีConstructionism


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 73 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 11.3 บทบาทของผู้เกี่ยวข้อง 11.3.1 บทบาทของครู นักเรียน และบรรยากาศในการเรียนการสอนตามแนวคิด Constructivism 1) บทบาทของครู ในการเรียนการสอนตามแนวคดิ Constructivism จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวคิด Constructivism ตามหลักการ และเงื่อนไขที่ก าหนด ครูจึงตองเปลี่ยนบทบาทโดยเปดโอกาสใหผูเรียนไดมีสวนรวมในการเรียนรู้และสราง ความรูดวยตนเอง บรูค และ บรูค (Brooks and Brooks, 1993 อางถึงใน วิโชติ พงษศิริ,2540) ไดอธิบาย ลักษณะที่ส าคัญของครูผูสอนวาควรมีลักษณะ ดังนี้ (1) สงเสริม ใหก าลังใจ ยอมรับ ใหความอิสระและความคิดริเริ่มของผูเรียน เพราะ จะเปนสาเหตุให้ผูเรียนไดคิดเชื่อมโยงสิ่งตาง ๆ ตลอดจนการเกิดค าถามและสามารถหาค าตอบนั้น ไดโดยการคิดวิเคราะห แสดงวานักเรียนเป็นผู้มีความรับผิดชอบในการเรียนรูของตนเอง และ สามารถท าใหเปนผูแกปญหาไดดีจากปญหาที่พบ (2) ใชแหลงเรียนรูหรือวัตดิบที่อยูรอบ ๆ ตัวนักเรียนมาใชให้เป็นประโยชน (3) เมื่อมอบหมายให้นักเรียนท า ครูใชค าพูดที่ท าใหผูเรียนเกิดความคิด และ สติปญญา เพื่อสงเสริมใหผูเรียนสรางความเขาใจเกี่ยวกับเนื้อหาตาง ๆ (4) เปดโอกาสใหผูเรียนเสนอแนะบทเรียน วิธีในการสอน และเนื้อหา (5) ครูจะตองพยายามท าความเขาใจความคิดรอบยอดของนักเรียน กอนที่จะรวม แสดงความคิดเห็นของครูเอง (6) ครูตองกระตุนสงเสริมให้นักเรียนมีสวนรวมในการสนทนารวมระหวางครูกับ นักเรียน และระหวางนักเรียนกับนักเรียน (7) สงเสริมให้ผู้เรียนสืบเสาะโดยใชค าถามปลายเปด ที่กระตุนใหนักเรียนคิด และ สงเสริมใหผูเรียนรูจักตั้งค าถามดวยตนเอง (8) ครูจะตองพยายามใหน ัักเรียนแกไขขอผิดพลาดของตนเอง เปนกระบวนการที่ ท าใหผูเรียนสรางความเขาใจในประเด็นปญหาและความคิดของตนเอง (9) ครูจะตองใหความสนใจประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ น ามาใชใหเป็นประโยชน์ในการแก้ปญหา เพื่อการตรวจสอบและกระตุนใหนักเรียนไดรวม อภิปรายวิธีการแก้ปญหา (10) ครูตองให้เวลากับนักเรียนเพื่อรอค าตอบหลังจากที่ป้อนค าถาม หรือเสนอ สถานการณปัญหา (11) ครูจะตองใหเวลากับนักเรียนเพื่อหาความสัมพันธระหวางความรูเดิมกับ ความรูใหม ครูควรจัดกิจกรรมตามเวลาที่เหมาะสมกับชั้นเรียน เพื่อการเรียนรูที่ท าใหผูเรียนไดสราง


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 74 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ความสัมพันธระหว่างแนวคิดต่าง ๆ ดวยตนเอง (12) บทบาทของครูไมใชเปนผู้ถ่ายทอดความรูเขาสู“รางกายเด็กที่วางเปล่า” แตเปน การชวยนักเรียนสรางและประกอบแบบจ าลองทางความคิดขึ้นมาใหม ซึ่งนักเรียนใชในการอธิบาย วัตถุ ปรากฏการณธรรมชาติ และเหตการณตาง ๆในสิ่งแวดล้อมรอบตัวของนักเรียน (13) ครูจะตองใหความเอาใจใสตอธรรมชาติในความอยากรูอยากเห็นของผูเรียน 2) บทบาทของนักเรียนในการเรียนการสอนตามแนวคิด Constructivism พิมพันธ เดชะคุปต (2545) กลาวถึงบทบาทของผูเรียนตามแนวคดิ Constructivism วามีลักษณะ ดังนี้ (1) นักเรียนสรางความรู(Construct) รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ด้ว ยตนเอง (2) นักเรียนใชทักษะกระบวนการ คือ กระบวนการคิด และกระบวนการสรางความรู ดวยตนเอง (3) นักเรียนมีสวนรวมในการเรียน และมีปฏิสัมพันธกัน (4) นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข (Happy learning) (5) นักเรียนสมารถน าความรูไปใชได้(Application) (6) นักเรียน) ทุกคนตองมีปฏิสัมพันธเกี่ยวโยงกับโลกภายนอกที่ลอมรอบตัวเขา เหลานั้นและมีโอกาสไดคนหาค าตอบตามสมมติฐานเพื่ออธิบายสิ่งตาง ๆ ในสิ่งแวดลอมของเขา (7) การสรางความรูสามารถเกิดขึ้นไดเมื่อนักเรียนแตละคนไดมีสวนเขาไปกระท า ในกระบวนการนั้นแลวเทานั้น (8) การสรรคสรางความรูถือวาผูเรียนเป็นผู้รับผิดชอบการเรียนรูของตนเอง ครูหรือ ผูสอนเปนเพียงผูสนับสนุนหรือผูอ านวยความสะดวกให้นักเรียนไดเกิดการเรียนรูเทานั้น (9) การสรรคสรางความรูเกิดจากผูเรียนสรางสิ่งที่มีความหมายแลกเปลี่ยนกัน โดย อาศัยการมีปฏิสัมพันธซึ่งกันและกัน จาก 11 รูปแบบที่นำเสนอเบื้องต้น เป็นเพียงทางเลือกที่ผู้เขียนเสนอไว้ในครูหรือผู้สนใจนำไปใช้ใน การจัดการเรียนรู้โดยคำนึงถึงบริบท พัฒนาการ ความพร้อม ความถนัด ความสนใจ และความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของผู้เรียน รวมไปถึงลักษณะหรือธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้ สาระวิชา เนื้อหา และ กิจกรรมเฉพาะนั้นๆ ขอยกตัวอย่างเช่น การจัดการเรียนรู้ภาษาโดยใช้เนื้อหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ภาษา (Content – Based Instruction) การจัดการเรียนรู้ที่คำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับภาษา (Whole Language Approach) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นการเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential Learning) กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 Steps) การสอนภาษาอังกฤษตามแนวสื่อสาร (Communicative Language Teaching (CLT) รูปแบบการสอนการนำเสนอสิ่งที่ช่วยจัดมโนมติล่วงหน้า (Advance


คู่มือนวัตกรรมส่งเสริมครูให้มีสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 75 รูปแบบการนิเทศเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 organizer) รูปแบบการสอนการพัฒนาความคิดรวบยอด (Concept Development Model) รูปแบบการ สอนความคิดสร้างสรรค์ (Synectic Model) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามวัฏจักรการเรียนรู้ (4 MAT Cycle Learning Model) รูป แบบการจัดการเรียนรู้แบบ SSCS (SSCS Learning Model) รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Learning Management Emphasizing Critical Thinking Model) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ (Learning Management Emphasizing Analytical Thinking Model) รูปแบบการจัดการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้ 5 ชั้น (5 STEPs Learning Model) การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด (Opened Approach) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะ กระบวนการคิด (Thinking Based Learning) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ผ่านการทำงาน (Work-based Learning) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเป็นฐาน (Activity-based Learning) รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบขั้นบันได(IS) เป็นต้น ซึ่งผู้เขียนฝากให้ครูหรือผู้สนใจศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป


Click to View FlipBook Version