ขอ้ สอบ Take Home
วิชาการจัดการความรเู้ พอ่ื การพฒั นาสงั คม
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
จดั ทำโดย
นางสาว ทองรงุ่ บุญรอด
6240308114
เสนอ
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กนกพร ฉิมพลี
คำอธิบาย
การประเมินผลการทดสอบฉบับนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะ การค้นคว้าข้อมูล การ
วิเคราะห์เชิงวิชาการและการยกตวั อย่างประกอบภายใต้การเรียบเรียงข้อมูลที่กระชับ และเข้าใจ
งา่ ย เพอื่ ใหเ้ กิดนกั ศกึ ษาสามารถนำทักษะดงั กล่าวไปประยกุ ตใ์ ช้ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ
1. จงอธิบายกระบวนการเกิดความรู้พร้อมยกตัวอย่างประกอบเพื่อสังเคราะห์กระบวนการเกิด
ความรู้ของตนเอง อยา่ งละเอียด
ตอบ กระบวนการเกิดความรู้ เกดิ จาก ข้อมูล (Data) คอื ข้อเท็จจรงิ หรือความจริงต่างๆท่ีไมผ่ ่านการปรุงแต่งหรือ
เปลี่ยนแปลงใดๆ พัฒนาไปเป็นสารสนเทศ (Infoemation) คือ ข้อมูล (Data) ที่ผ่านการคิดวิเคราะห์ ซึ่งมาใช้
ประกอบการตัดสินใจโดยมีความเชื่อ ประสบการณ์ ความรู้ ทัศนคติของบุคคลนั้นๆ เป็นองค์ประกอบในการ
ตัดสินใจ ซึ่งข้อมูลนั้นต้องสามารถจับต้องได้ และวัดได้ จากนั้นจะพัฒนาเป็นไปความรู้ ( Knowledge) คือ
สารสนเทศทผ่ี ่านกระบวนการคดิ วิเคราะห์ เปรยี บเทยี บ กับองค์ประกอบตา่ งๆทบ่ี คุ คลนนั้ มีจนเกิดเป็นความเข้าใจ
และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตดั สินใจ ซึ่งเมื่อทำซ้ำๆอาจเกิดเป็นปัญญา (Wisdom) คือ ความรู้ที่ฝ่ังลึกใน
ตวั บคุ คลและก่อใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อไป
ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้การเขียนโครงการต่างๆ คือ การได้รับข้อมูลมาจากการสอนเขียนโครงการของ
อาจารย์ และเมื่อได้รับคำสั่งให้เขียนโครงการต่างๆก็จะนำข้อมูลที่ได้รับจากการสอนของอาจารย์มาพัฒนาเป็น
สารสนเทศคือ การนำข้อมูลที่เคยได้รับมาคิดวิเคราะห์ร่วมกับวัตถุประสงค์ของการจัดทำโครงการโดยผ่าน
องคป์ ระกอบต่างๆเผื่อประกอบการตัดสนิ ใจในการเขียนโครงการ แลว้ จึงพัฒนาไปเป็นความรซู้ ึ่งก็คือตัวโครงการท่ี
เขียนออกมาซึ่งผ่านกระบบวนการคิดวิเคราะห์มาแล้ว และเมื่อทำซ้ำๆจะเกิดเป็นปัญญาที่ติดตัวนักศึกษาไป แล้ว
สามารถนำไปใช้เขยี นโครงการอ่ืนๆต่อไปได้
2. กระบวนการสร้างความรู้ หรือ SECI Model มีลักษณะเป็นอย่างไร และท่านมีแนวทางการ
สร้างความรจู้ าก Model ดงั กล่าวได้อย่างไรบ้าง
ตอบ โมเดลเซกิ (SECI Model) ของโนนากะ กับ ทาเคอุชิ (Nonaka และ Takeuchi, 1995) ได้ให้ความหมาย
ของการจัดการความร้วู า่ เปน็ กระบวนการสร้างความรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง เผยแพร่ ความร้ทู ั่วทง้ั องค์การ และนำไป
เป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์บริหารเทคโนโลยีและระบบ ใหม่ๆ ความรู้ทั้งสองประเภทสามารถเปลี่ยน
สถานะได้ตลอดเวลาขน้ึ อยู่กบั สถานการณซ์ ่ึงจะทำให้ เกิดความร้ใู หม่ และได้สร้างแผนภาพแสดงความสัมพันธ์การ
หลอมรวมความรู้ในองค์กรระหว่าง ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge)
ใน 4 กระบวนการ เพื่อยกระดับความรู้ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น วัฎจักรเริ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
(Socialization) การสกัดความรู้ ออกจากตวั คน (Externalization) การรวบรวมความรู้ (Combination) และการ
ผนึกฝังความรู้ (Internalization) และวนกลับมาเริ่มต้นทำซ้ำท่ีกระบวนการแรก เพื่อพัฒนาการจัดการความรู้ให้
เป็นงานประจำท่ยี ง่ั ยนื
1. การแลกเปล่ยี นเรียนรู้ (Socialization) S : Tacit to Tacit กระบวนการท่ี 1 อธบิ ายความสัมพันธ์ทาง
สังคมในการสง่ ต่อระหวา่ งความรู้ฝังลึก (Tacit knowledge) ดว้ ยกนั เปน็ การแบง่ ปันประสบการณ์แบบเผชิญหน้า
ระหว่างผรู้ ู้ เชน่ การประชุม การระดมสมอง ทีม่ าจากความรู้ การเรยี นรู้ และประสบการณข์ องแตล่ ะบคุ คล เฉพาะ
เร่อื ง เฉพาะ พื้นที่ แลว้ น ามาแบง่ ปัน แลกเปล่ยี นเรียนรใู้ นสภาพแวดลอ้ มเดียวกนั ท่ีมิใช่เปน็ เพียงการอา่ น หนงั สอื
คู่มอื หรือตำรา
2. การสกัดความรู้ออกจากตัวคน (Externalization) E : Tacit to Explicit กระบวนการที่ 2 อธิบาย
ความสัมพันธ์กับภายนอกในการส่งต่อระหว่างความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) กับความรู้ชัดแจ้ง (Explicit
knowledge) อาจเป็นการนำเสนอในเวทีวิชาการ หรือ บทความตีพิมพ์ เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ท่ีถูกฝังอยู่ใน
ความรู้ฝังลึกให้สื่อสารออกไปภายนอก อาจเป็นแนวคิด แผนภาพ แผนภูมิ เอกสารที่สนับสนุนให้เกิดการสื่อสาร
ระหว่างผู้เรียนรู้ด้วยกันที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งความรู้ฝังลึกจะถูกพัฒนาให้ตกผลึกและถูกกลั่นกรอง แล้วนำไปสู่การ
แบง่ ปนั เปลี่ยนเป็นฐานความรู้ใหม่ที่ถูกนำไปใช้สร้างผลติ ภณั ฑ์ใหมใ่ นกระบวนการใหม่
3. การรวบรวมความรู้ (Combination) C : Explicit to Explicit กระบวนการที่ 3 อธิบายความสัมพันธ์
การรวมกันของความรู้ชัดแจ้ง (Explicit knowledge) ที่ผ่านการจัดระบบ และบูรณาการความรู้ทีต่ ่างรูปแบบเขา้
ด้วยกัน เช่น นำความรู้ไป สร้างต้นแบบใหม่ ไปสร้างสรรค์งานใหม่ ได้ความรู้ใหม่ โดยความรู้ชัดแจ้งได้จากการ
รวบรวมความรู้ ภายในหรือภายนอกองค์กร แล้วนำมารวมกัน ปรับปรุง หรือผ่านกระบวนการที่ทำให้เกิดความรู้
ใหม่ แลว้ ความรใู้ หมจ่ ะถกู เผยแพรแ่ กส่ มาชิกในองค์กร
4. การผนึกฝังความรู้ (Internalization) I : Explicit to Tacit กระบวนการที่ 4 อธิบายความสัมพันธ์
ภายในที่มีการส่งต่อความรู้ชดั แจ้ง (Explicit knowledge) สู่ความรู้ฝังลกึ (Tacit knowledge) แล้วมีการนำไปใช้
ในระดับบคุ คล ครอบคลุมการ เรียนรแู้ ละลงมอื ทำ ซงึ่ ความรู้ชัดแจ้งถูกเปล่ียนเปน็ ความรฝู้ ังลึกในระดับบุคคลแล้ว
กลายเป็นทรัพยส์ นิ ขององคก์ ร
แนวทางการสร้างความรู้จาก Model คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์จากผู้คนท่ีมคี วามรู้
ประสบการณ์ในด้านนั้นๆในมากพอที่จะสามารถนำมาวิเคราะห์หาแนวความความรู้ท่ี ตัวเองต้องการ
และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ตอ่ ไปได้
3. จงวิเคราะห์กระบวนการจัดการความรู้ โดยอธิบายว่าแตกต่างระหว่างกระบวนการจัดการ
ความรู้ทป่ี ระยุกต์ใชใ้ นภาคองคก์ ร และกระบวนการจดั การความรูใ้ นชุมชน อย่างละเอยี ด
ตอบ กระบวนการจัดการความร้ใู นชมุ ชนถกู สรา้ งหรอื คดิ ขนึ้ โดยคนในชุมชนหรอื กลมุ่ คนในชมุ ชนเพ่ือ
แก้ไขปญั หาบางอยา่ งในชุมชน ในกระบวนการนัน้ อาจจะใชค้ วามรู้และประสบการณ์จากชมุ ชนอ่ืน ซ่ึง
ความรูแ้ ละประสบการณท์ ี่ไดน้ ั้นจะมีผสู้ ืบทอดความรู้เป็นคนในชุมชน แต่กระบวนการจัดการความรู้ท่ี
ประยุกต์ใช้ในภาคองค์กรนั้นมีการแสวงหาและสร้างความรู้ใหม่และการสร้างความรู้ใหม่ๆอยู่
ตลอดเวลาเพอื่ นำความรไู้ ปในใชใ้ นการพัฒนาองคก์ รของตน และนำไปสู่การเผยแพร่ต่อสาธารณะเพื่อ
เปน็ ประโยชน์ตอ่ ไป
4. ในฐานะที่ท่านเป็นนักพัฒนานักสังคม จงอธิบายแนวทางการจัดการความรู้เพื่อการพัฒนา
บัณฑิตสาขาวิชาการพัฒนาสังคม ในอนาคต ว่าควรมีรูปแบบ/แนวทางเป็นอย่างไรที่จะส่งผลให้
บณั ฑิตสาขาวชิ าการพฒั นาสงั คม เป็นบณั ฑิตทมี่ คี ุณภาพ
ตอบ 1.ควรมองงหาปัญหาหรอื อปุ สรรคท่ีมใี นสาขาวชิ าก่อนโดยการระดมความคิดของนกั ศกึ ษาและ
คณะอาจารย์ เพื่อหาปญั หาและสาเหตุตา่ งๆที่เป็นอุปสรรคของการพัฒนา
2. การสร้างและหาความรู้เพ่ือทจี่ ะแก้ไขปญั หาต่างๆท่ีเป็นอุปสรรคตอ่ การพฒั นาสาขาวิชา ใน
บางปญั หาอาจจะต้องใช้ความร้แู ละประสบการณ์ของบุคคลท่ีมีความรู้และประสบการณ์ท่ีหน้าเช่ือถือ
เพื่อประกอบการคิดวิเคราะห์หาแนวทางแก้ไข หรือการหาความรู้วิธีการใหม่ๆจากองคก์ รอื่นเพ่ือนมา
ปรบั ใช้ในหารแกไ้ ขปญั หา
3. เมื่อได้วิธีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาแล้วต้องนำความรู้วิธีการที่ได้มาคิด
วเิ คราะห์ร่วมกนั เพ่ือจัดลำดับข้นั ตอนในการแก้ไขปญั หาอุปสรรคในพัฒนา
4. การนำวิธีการมาตกผลึกทำความเข้าใจถึงปัญหาอุปสรรคและวิธีการแก้ไขปัญหารวมกัน
เพอ่ื ให้เกิดความเขา้ ใจร่วมกนั
5. การนำความรูท้ ี่ได้มาปฏบิ ัติเพอื่ ให้เกิดผล
6. การนำความรู้และประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหามาแลกเปลี่ยนเรยี นรูเ้ พ่ือให้เรียนรู้ถงึ ขอ้
พกพร่องของการแก้ไข และเพอ่ื หาแนวทางแก้ไขอ่นื ๆต่อไป
7. การนำความรู้ประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในสาขาวิชาไปเผยแพร่และนำไป
ประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวันของนกั ศึกษาไดใ้ นภายภาคหน้า
บรรณนาณกุ รม
Nonaka, I. and Takeuchi, H.. (1995). The knowledge creating company: how
Japanese companies create the dynamics of innovation, New York: Oxford
University Press.