SINO PHUKET
PORTUGUESE
ACKNOWLEDGE
MENTS โครงงานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจาก
อาจารย์ และอาจารย์ที่ปรึกษา ที่ได้ให้คำแนะนำ
แนวคิดตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ จน
โครงงานนี้เสร็จสมบรูณ์ ผู้ศึกษาจึงขอกราบ
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
ขอขอบคุณครอบครัวที่คอยเป็นแรงสนับสนุน
ให้แก่ข้าพเจ้าในทุกๆด้านในยามที่ข้าพเจ้า
ต้องการกำลังใจและความช่วยเหลือ
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคน ที่ช่วยให้กำลังใจ ความ
ช่วยเหลือ และคำปรึกษาเกี่ยวกับโครงงานนี้
เสมอมา
และสุดท้ายนี้ ขอขอบคุณตัวข้าพเจ้าที่อดทน
และพยายามจนทำให้โครงงานชิ้นนี้สำเร็จ
ลุล่วงไปด้วยดี
CONTENTS
01 Introduction
ความเป็นมาและความสำคัญปัญหา
02 Literature Rev
iew
Sino Portuguese
baba-yaya
Batik
03 muse
Taste of life
Taste of housing
Taste of activity
Target Group
แบบสอบถาม
04 Methodology
Ballon Ideas
Mood Board
Inspiration
Technique and Details
Sketch
05 Conclusions / Recommendation
06 References
01
INTRODUCTION
การออกแบบเสื้อผ้าสตรีที่ได้รับแรงบันดาล
ใจจากสถาปัตยกรรม
ชิโน-โปรตุกีส (Sino-Portuguese)
ในย่านเมืองเก่าแก่ของจังหวัดภูเก็ต การนำ
ลวดลายศิลปะ การตกแต่งและวัฒนธรรม
ของชาวพื้นเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความ
หลากหลายของวัฒนธรรมในท้องถิ่นผ่าน
โครงสร้างอาคารที่มีความเฉพาะตัวและ
สวยงามมาประยุกต์ใช้ให้เกิดลายผ้าใหม่โดย
ดึงเอาเทคนิค
การทำผ้าบาติก (Batik)จากภูมิปัญญาท้อง
ถิ่นนำมาใช้ในการสร้างลวดลายบนผืนผ้าให้
มีความแปลกใหม่และแฝงด้วยความเป็น
เอกลักษณ์
1.1 ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา
ชิโน-โปรตุก สถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันทรงคุณค่าเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่มี
เอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของบริบททางสังคมในอดีตของเมือง
ภูเก็ตได้เป็นอย่างดี ชิโน-โปรตุกีส
ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแหลมมลายูในยุคสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตกเมื่อ
ประมาณปีพุทธศักราช 2054 โดยชาวโปรตุเกส ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองได้ปรากฏมี
ชาวจีนเดินทางเข้ามาพำนักอาศัยตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแถบนี้แล้วในก่อนหน้านี้ เพื่อ
ทำการค้าขายกับชาวมาเลย์ซึ่งเป็นชาวพื้นเมือง ต่อมาด้วยความใกล้ชิดผูกพันกันจึง
ทำให้ชาวจีนและชาวมาเลย์แต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน เกิดเป็นสายสัมพันธ์ใหม่ซึ่ง
ขนานนามว่าชาวบาบ๋า ย่าหยา
ครั้นต่อมาเมื่อโปรตุเกสเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการ
ค้าขายบริเวณเมืองท่ามะละกา ก็ได้นำศิลปวัฒนธรรม
ตลอดจนวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วยเช่นกัน
ในช่วงเวลาที่โปรตุเกสอาศัยอยู่นั้นได้ดำเนินการสร้าง
เคหสถานที่พักอาศัยไว้ ด้วยการออกแบบ
สถาปัตยกรรมตามความรู้และประสบการณ์ของตน จึง
ทำให้ผลงานสถาปัตยกรรมนั้นมีรูปแบบแนวตะวันตก
และในขณะเดียวกันนั้นเองได้ให้ช่างชาวจีนนำแบบ
แปลนของเคหสถานที่ได้ไปดำเนินการก่อสร้างแต่ด้วย
ความรู้และประสบการณ์ ประกอบกับความเชื่อที่สืบเนื่องมาจากบริบททางสังคมจีนของช่าง
ชาวจีน จึงทำให้ผลงานการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนผิดเพี้ยนไปจากในแบบแปลนที่โปรตุเกส
ได้วางไว้ โดยช่างชาวจีนได้ตกแต่งลวดลายสัญลักษณ์รวมถึงลักษณะรูปแบบบางส่วนของตัว
อาคารตามคติความเชื่อของจีน เกิดการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสและจีน
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นท่ามกลางสังคมของกลุ่มชน ๓ เชื้อชาติ อันได้แก่ โปรตุเกส จีน และ
มาเลย์ ในดินแดนแหลมมลายูตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
สถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส (Chino-Portuguese
Architecture) ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแหลมมลายูใน
ยุคสมัยแห่งจักรวรรดินิยมของตะวันตก เมื่อประมาณ
ปี พ.ศ.2054 ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและ
ทำการค้าบริเวณเมืองท่ามะละกาและได้นำเอาศิลป
วัฒนธรรม ตลอดจนวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่
ด้วย จากการที่เมืองท่ามะละกาอยู่ระหว่างปีนังและ
สิงคโปร์ชาวจีนในประเทศเหล่านี้ได้นำแบบแปลนของ
บ้านเรือนนั้นไปดำเนินการก่อสร้าง ด้วยความรู้และ
ประสบการณ์เกี่ยวกับชาวจีน ทำให้ผลงานการ
ก่อสร้างอาคารบ้านเรือนเพี้ยนไปจากแบบแปลนที่ชาว
โปรตุเกสได้วางไว้โดยช่างชาวจีนได้ตกแต่งลวดลาย
สัญลักษณ์รวมถีงลักษณะรูปแบบบางส่วนของตัว
อาคารตามคติความเชื่อของจีน
เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นท่ามกลางสังคมของ
กลุ่มชน 3 เชื้อชาติ อันได้แก่ โปรตุเกส จีน และมา
เลย์ ในดินแดนแหลมมลายูตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ชิโนโปรตุกีสเดินทางจากปีนังสู่ภูเก็ตโดย
สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสเดินทางเข้าสู่ภูเก็ต เมื่อ
ยุคสมัยของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอ
ซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลสำเร็จ
ราชการมณฑลภูเก็ต ในช่วงปี พ.ศ. 2444 – 2456
ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากในช่วงนั้นภูเก็ต
ได้มีการติดต่อสัมพันธ์ทางการค้าขายกับปีนัง
อย่างเฟื่ องฟู ทำให้วัฒนธรรม วิทยาการใหม่ๆ
ตลอดจนรูปแบบการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน
แบบชิโนโปรตุกีสได้แพร่หลายเข้าสู่เมืองภูเก็ต ซึ่ง
ส่วนใหญ่อาคารชิโนโปรตุกีสจะถูกสร้างขึ้นโดยนัก
ธุรกิจชาวจีนที่มีความร่ำรวยจากการทำธุรกิจ
เมืองแร่ดีบุก
อาคารเหล่านี้ตั้งอยู่ในย่านกลางเมืองภูเก็ต
เมื่อปี พ.ศ. 2537 ทางเทศบาลนครภูเก็ต รวมทั้ง
หน่วยงานจากภาครัฐและองค์กรเอกชน
องค์กรท้องถิ่นในเมืองภูเก็ต ได้ร่วมกันพัฒนาและ
อนุรักษ์ย่านเมืองเก่าขึ้นมา มีการกำหนดให้พื้นที่
ประมาณ 210 ไร่ ซึ่งครอบคลุมถนนรัษฎา ถนน
พังงา ถนนเยาวราช ถนนกระบี่ ถนนดีบุก ถนน
ถลาง ถนนเทพกระษัตรี
ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบนี้จะเป็นรูปแบบที่
ผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมยุโรบโดย
ชาวโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายในแหลมมลายู และ
ได้นำเอาเทคนิควิทยาการในรูปแบบของตนมา
เผยแพร่ และได้ให้ช่างชาวจีนที่อยู่ในพื้นที่นำผัง
ดังกล่าวไปสร้างต่อ ลักษณะสถาปัตยกรรมจึง
ผิดเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิมโดยมีปรุงแต่ง
สถาปัตยกรรมให้เข้ากับความเชื่อและรสนิยม
และปรับตัวอาคารให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศอีก
ด้วย
ภายในมีลานโล่งมีการเจาะช่องแสงจากด้านบน
เพื่อการระบายอากาศพร้อมบ่อน้ำบาดาล
สำหรับให้ไอน้ำระเหยขึ้นมาทำให้อากาศภายใน
เย็นสบาย ซึ่งเรียกว่า “ฉิ่มแจ้” คือการเจาะช่อง
อากาศกลางตัวบ้านนั่นเอง
ด้านหน้าอาคารเป็นทางเดินมีส่วนของชั้นสอง
คลุมอยู่ตลอดแนวเชื่อมทุกอาคารให้เป็นทางเดิน
ที่ต่อเนื่องกันเรียกว่า “อาเขต”
นับเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับสภาพภูมิ
อากาศอีกทั้งยัง แสดง ให้เห็นถึงความเอื้ออาทร
ของเจ้าของบ้านกับผู้สัญจร
สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส เป็นอาคาร 2 ชั้นกึ่ง
ร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย ชั้นล่างแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็น
5 ส่วน ด้านหน้าสุดเป็นร้านค้าหรือสำนักงาน ถัด
เข้าไปเป็นห้องรับแขก ห้องพักผ่อน ห้องอาหาร
และห้องครัว
ที่ชั้นสองด้านหน้าอาคารเน้นการ
เจาะช่องหน้าต่างเป็น ซุ้มโค้งคูหาละสามช่อง
ขนาบข้างด้วยเสาแบบกรีก และโรมัน บนพื้น
ผนังตกแต่งด้วยลายปูนปั้ นทั้งแบบจีน และ
ตะวันตก ผสมกันอย่างลงตัว สามารถเดินชมได้
ทั่วทั้งถนนถลาง ดีบุก พังงา กระบี่และเยาวราช
นอกจากนี้ย่าน โคมเขียว โคมแดงในอดีตที่ซอย
รมณีย์ก็มีตึกสีสันสวยแปลกตากว่าถนนไหนๆ
โปรตุเกส ได้รับอิทธิพลการทำกระเบื้อง
เขียนลายมาจากชาวมัวร์ ซึ่งเดินทางจาก
ทวีปแอฟริกาเหนือมายังดินแดนบนคาบสมุทรไอ
บีเรียปี ค.ศ.711 และครอบครองอยู่นานกว่า 500 ปี
ก่อนถูกชาวคริสต์ขับไล่ออกไปในเวลาต่อมา
จะซูเลซู (Azulejo) คือ กระเบื้องเขียนลายที่
สำหรับประดับตกแต่งอาคารทั้งภายในและ
ภายนอกไม่ต่างกับผืนผ้าใบที่ศิลปินพร้อมวาดรูป
ลงไปบนขอบประตู ขอบหน้าต่าง ผนังริมบันได
ทางเดิน พื้นตามความต้องการ เนื่องจากอะซูเล
ฮูมีด้วยกันหลายสี ได้แก่ สีเหลือง
สีเขียว สีแดง แต่สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
คือ สีขาวและสีน้ำเงิน กล่าวกันว่าแฟชั่น
ในยุคคริสตศตวรรษที่ 15-18 อันเป็นยุคทอง
ของโปรตุเกส ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายและการเดินทาง
ในยุคแห่งการค้นพบนี้เองที่ชาวโปรตุเกสได้พบกับ
เครื่องถ้วยกระเบื้องจีนในสมัยราชวงศ์หมิงที่เขียนลาย
เงินบนกระเบื้องสีขาว ศิลปะส่งผลต่ออิทธิพล
การสร้างแรงบันดาลใจซึ่งกันและกันเสมอ
จากยุคสมัยของการค้นพบดินแดนซีกโลกทางตะวันตก
ก็นำสิ่งที่พบเห็นมาสร้างสรรค์ผลในรูปแบบของตนเอง
จนเกิดการผสมผสานที่มีความแตกต่างและหลากหลายไปจากเดิมตาม
ช่วงเวลาในอดีตที่มีเพียงลวดลายเรขาคณิต ดอกไม้ ใบไม้ก็มีการเพิ่มเติม
ลวดลายของบุคคลและสัตว์เพิ่มขึ้น ต่อมาเป็นภาพเล่าเรื่องทางศาสนา
ประวัติศาสตร์ จนกลาย
เป็นเอกลักษณ์ของ โปรตุเกสที่ โดดเด่นและได้รับความนิยมมาอย่างต่อ
เนื่องหลายศตวรรษปิ่ นอนงค์ ปานชื่น,จนกระทั่งลวดลายของกระเบื้อง
โปรตุเกส
ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเป็นสิ่งที่โดดเด่นสำหรับสถาปัตยกรรมชิโน โปรตุกีส
BABA - YAYA
BABA - YAYA
เปอรานากันสายเลือดลูกผสมระหว่างมลายูและจีน
ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบมลายูและพื้นที่ชายฝั่ ง
ทะเลของเกาะชวาและเกาะสุมาตราในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ในช่วงศตวรรษที่ 19
เปอรานากันอพยพเข้ามาในเขตท่าเรือของปีนังและสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ในช่วงขยาย
อาณานิคมของอังกฤษ ชาวเปอรานากันประสบความสาเร็จใน ฐานะพ่อค้าจน
กลายมาเป็นนักทำการค้ามืออาชีพในเวลาต่อมา ชุมชนชาวเปอรานากันถูกขนาน
นามว่า ช่องแคบ จีน (Straits Chinese) หรือบาบ๋า ย่าหยา คำที่ใช้เรียกสายเลือด
ลูกผสมระหว่างมลายูและจีนที่ถือกำเนิดและ อาศัยในแถบคาบสมุทรมลายู-
อินโดนีเซีย อันได้แก่ เมืองมะละกา เมืองปีนังประเทศมาเลเซีย ประเทศสิงคโปร์
และหมู่เกาะชวาอินโดนีเซีย คาว่า บาบ๋า เป็นคำที่มาเลย์ยืมมาจากภาษาเปอร์เซีย
แปลว่า การให้เกียรติ บรรพบุรุษ และถูกนำมาใช้เรียกชาวจีนเลือดผสมที่เป็นเพศ
ชายและคำว่า ย่าหยา นำมาใช้เรียกชาวจีนเลือดผสม ที่เป็นเพศหญิง ซึ่งเป็นคำที่
ชาวชวายืมมาจากภาษาอิตาลี แปลว่า หญิงต่างชาติที่แต่งงานแล้ว หรืออาจจะมา
จาก ภาษาโปตุเกสที่แปลว่าคุณผู้หญิง บทความนี้นำเสนอประวัติความเป็นมา วิถี
ชีวิตและความผสมผสาน ความเป็น พหุวัฒนธรรมของเปอรานากันสายเลือด
ลูกผสมระหว่างมลายูและจีน
BABA - YAYA
เนื่องจากชาวเปอรานากันเป็นผู้ที่สืบเชื้อสาย
มาจากพ่อค้าชาวจีนในระยะแรกที่แต่งงาน
กับชาวมลายูส่วนมากเป็นพ่อค้าที่มีฐานะ
ร่ำรวย ดำรงชีวิตอยู่อย่างดีและมีวัฒนธรรม
ทางรสนิยมที่ค่อนข้างสุรุ่ยสุร่าย
สำหรับคฤหาสน์หลังใหญ่จะเต็มไปด้วย
เครื่องเรือนที่มีการฝั่ งมุกแกะสลักอย่าง
งดงาม จนกระทั่งราวกลางพุทธศตวรรษที่
25 ผู้ชายบาบ๋าที่จะสวมชุดแบบจีนได้
เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าแบบตะวันตก ผู้หญิง
ย่าหยาที่สวมชุดมลายูมีสีสันเรียกว่า "บาจูดู
รง" (baju kurong) ก็เปลี่ยนมาสวมกระโปรง
และเสื้อชั้นในของบาติกสำหรับชุดปกติ
วปัฒระนจธำรวัรนมการแต่งกายอันสวยงามที่ผสม
ผสานรูปแบบของชาวจีน
และชาวมลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม
ผู้หญิงจะสวมเสื้อฉลุลายดอกไม้
รอบคอเอวและปลายแขนอย่างงดงาม
นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ผู้ชายยังคงแต่งกาย
คล้ายเสื้อแบบจีนดั้งเดิม
ชาวเปอรานากันสมาชิกชุมชนชาวเปอรานากันเป็นผู้ผลิตเอง
ผู้หญิงโสดชาวเปอรานากันมักทุ่มเทเวลาให้กับการร้อยลูกปัดและ เย็บปัก
ถักร้อยสามารถผลิตงานฝีมือที่มีความละเอียดอ่อนและ วิจิตรตระการตา
หลายอย่าง
อันเป็นการผสมผสานศิลปะของชาว ยุโรปและชาวจีนได้อย่างเป็น
เอกลักษณ์ ล้วนมีลวดลายหรือ สัญลักษณ์ที่เป็นมงคล แสดงถึงความมั่งคั่ง
ความอุดมสมบูรณ์ ความสุข และการมีอายุยืน เช่น ลายหงส์ ลายค้างคาว
ลายนกกระเรียน และลายดอกโบตั๋น
BATIK
ผ้าบาติก หรือเรียกอีกอย่างว่า ผ้าปาเต๊ะ เป็นคำที่ใช้เรียกผ้าชนิดหนึ่งที่มีวิธี
การทำโดยใช้เทียนปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสี และใช้วิธีการแต้ม ระบาย
หรือย้อมในส่วนที่ต้องการให้ติดสีเท่านั้น ผ้าบาติกบางชิ้นอาจจะผ่านขั้น
ตอนการปิดเทียน แต้มสี ระบายสีและย้อมสีนับเป็นสิบๆ ครั้ง ส่วนผ้าบาติก
อย่างง่ายอาจทำโดยการเขียนเทียนหรือพิมพ์เทียนแล้วจึงนำไปย้อมสีที่
ต้องการ เมื่อย้อนกลับไปคำว่าบาติก {Batik} หรือปาเต๊ะ เดิมเป็นคำใน
ภาษาชวาที่ใช้เรียกผ้าที่มีลวดลายที่เป็นจุด คำ ว่า “ ติก” มีความหมายว่า
เล็กน้อย หรือจุดเล็กๆมีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ตริติก หรือ ตาริติก
ดังนั้นคำว่า บาติก จึงมีความหมายว่าเป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นจุดๆ
โดยวิธีการทำผ้าบาติกดั้งเดิมในสมัยก่อนนั้นใช้วิธีการเขียนด้วยเทียนเป็น
หลัก ดังนั้นผ้าบาติกจึงเป็นลักษณะผ้าที่มีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดในส่วน
ที่ไม่ต้องการให้ติดสี แม้ว่าวิธีการทำผ้าบาติกในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปไกล
มากด้วยเทคโนโลยี และองค์ความรู้แล้วก็ตาม ทว่าลักษณะเฉพาะประการ
หนึ่งของผ้าบาติกที่ยังคงอยู่ก็คือ จะต้องมีวิธีการผลิตโดยใช้เทียนปิดส่วนที่
ไม่ต้องการให้ติดสีหรือปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีซ้ำอีกเป็นมาตรฐาน นับ
เป็นกรรมวิธีที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านอย่างแท้จริง
อีกทั้งลายของผ้าบาติก
โดยส่วนมากแล้วจะเป็นลวดลาย
และสีสันที่อิงจากธรรมชาติ
กระนั้นก็ตาม แหล่งกำเนิดของผ้าบาติกมา
จากไหนยังไม่เป็นที่ยืนยันแน่ชัดแต่นัก
วิชาการชาวยุโรปหลายคนยังเชื่อว่ากำเนิดขึ้น
ในประเทศอินเดียแล้วจึงแพร่หลายเข้าไปใน
อินโดนีเซีย
ทว่าอีกหลายคนบอกว่ามาจากอียิปต์หรือ
เปอร์เซียและแม้ว่าจะมีการค้นพบผ้าบาติกที่
มีอายุเก่าแก่ในประเทศอื่นๆ ทั้งอียิปต์ อินเดีย
และญี่ปุ่นแต่บางคนก็ยังเชื่อว่าผ้าบาติกเป็น
ของดั้งเดิมของอินโดนีเซีย โดยยืนยันจากราก
ศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกวิธีการและขั้นตอนการ
ทำผ้าบาติกว่าเป็นศัพท์ภาษาอินโดนีเซียอีก
ทั้งจากการศึกษาค้นคว้าของนัก
ประวัติศาสตร์ชาวดัตช์ยังสรุปไว้ว่า การทำ
โสร่งบาติก หรือโสร่งปาเต๊ะ เป็นวัฒนธรรม
ดั้งเดิมของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน
ติดต่อกับอินเดีย ดังนั้นจุดเริ่มต้นของ
วัฒนธรรมนี้น่าจะมีเค้าลางมาจากอินโดนีเซีย
เป็นสำคัญ ก่อนที่จะถูกเผยแพร่ไปยังชาติ
อื่นๆ รวมไปถึงพื้นที่บริเวณภาคใต้ของ
ประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ผ้าบาติกคือสายสัมพันธ์ระหว่างไทย และชวาอย่างแท้จริง ในรัชสมัย
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังเคยได้เสด็จเยือนชวา
อย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ. 2413 ซึ่งนับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินไป
ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศเป็นครั้งแรก
จากนั้นยังได้เสด็จชวาอีกครั้งในปีพ.ศ. 2439 และ 2444 โดยแต่ละครั้ง
พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการเขียนผ้าบาติกอัน
เป็นหัตถศิลป์ที่เลื่องชื่อของชวาเสมอและทรงซื้อผ้าบาติกกลับมาเป็น
จำนวนมาก รวมทั้งมีผู้ทูลเกล้าฯ ถวายด้วย ทำให้ทรงมีผ้าบาติกเท่าที่ค้น
พบได้กว่า 300 ผืน ผ้าเหล่านี้มีความโดดเด่นในแง่ของความงดงาม และ
องค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์กระทั่งในปัจจุบันเรายังได้เห็นเหล่า
ดีไซเนอร์ชาวไทยในอุตสาหกรรมแฟชั่นหลายคนได้นำผ้าไทย อย่างผ้าบา
ติกมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าที่มีความร่วมสมัยอีกด้วยและยิ่งไปกว่านั้น ผ้าบา
ติกยังกลายเป็นโอกาสในการสร้างอาชีพให้กับชุมชนหลายชุมชนในพื้นที่
ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ
ให้ชุมชนมีรายได้จากงานหัตถศิลป์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากคุณได้ ไป
เที่ยวภาคใต้แล้วล่ะก็ นอกเหนือจากหาดทรายเม็ดละเอียด และน้ำทะเลสี
สวยใส ก็ยังมีวัฒนธรรมผ้าบาติกอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นดั่งเสน่ห์ของภาคใต้ ให้
คุณได้ไปค้นหา และน่าสนใจไม่แพ้กัน
MUSE
VINTAGE
NATURAL
FEMININE
TASTE OF LIFE
TASTE OF HOUSING
TASTE OF HOUSING
TARGET GROUP
หญิงสาวที่ชื่นชอบศิลปะและสนใจใน
เรื่องของสถาปัตยกรรมรวมถึงความ
วินเทจและวัฒนธรรมท้องถิ่น
เพศ หญิง
อายุ 18-25ปี
แบบสอบถาม
แบบสอบถาม
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะเป็นเพศ หญิง
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะมีช่วงอายุ 18 -25 ปี
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะเป็นนักศึกษา
แบบสอบถาม
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะไม่เคยท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะนึกถึงทะเลเป็นสิ่งแรก
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะชื่นชอบทะเลในจังหวัดภูเก็ต
แบบสอบถาม
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะเคยเห็นหรือเคย
ได้ยินเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากจะเคยเห็นหรือ
เคยได้ยินเกี่ยวกับศิลปะที่เรียกว่าบาติ
แบบสอบถาม
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากเวลาเลือกซื้อเสื้อผ้าจะนึกถึง
ในเรื่องของความคุ้มค่าของสินค้าเป็นอันดับแรก
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากเวลาเลือกซื้อไอเทมเสื้อเป็นอันดับแรก
จากกลุ่มผู้สำรวจโดยส่วนมากเวลาเลือกซื้อเสื้อผ้าสไตล์ที่ส่วมใส่ได้หลากหลายโอกาส
INSPIRATION
DESIGN BRIEF
สถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส คือสถาปัตยกรรมที่ผสมผสาน
กันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก คือ โปรตุเกส จีน และมลายู
สามารถพบเห็นได้ในมะละกา ปีนัง สิงคโปร์ มาเก๊า
รวมถึงไทย เช่น ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต
WHAT TO SAY
จุดประสงค์หลักในการออกแบบคือต้องการออกแบบเสื้อผ้า
ready to wear ที่สามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน มีกลิ่นอาย
ของความวินเทจผสมผสานกับความเป็นชิโนโปรตุกีส
CONCEPT
การออกแบบเสื้อผ้าสำหรับสตรีที่ได้รับแรง
บันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส
ในเรื่องของโครงสร้ารวมถึงการตกแต่งและ
วัฒนธรรมของชาวพื้นเมือง
SKETCH