๒๔
คนไทยเชอื้ สายญวนในจังหวดั นครสวรรค์
ชาวไทยเชื้อสายญวน หรือบางคนอาจเรียกว่า “แกว” หรือชาวเวียดนาม
เป็นหน่ึงในกลุ่มชาติพันธ์ุหน่ึงในประเทศไทย ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายญวน
แบ่งเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ ญวนเก่า และญวนใหม่ โดยที่กลุ่มญวนเก่าได้อพยพ
เข้ามายังสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปตั้งบ้านเรือนอยู่
บริเวณวัดส้มเกลี้ยงเหนือบ้านเขมร เพราะนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก
เชน่ เดยี วกบั ชาวเขมรทเ่ี ขา้ มาอยตู่ ง้ั แตส่ มยั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก
มหาราช และชาวโปรตุเกสท่ีเข้ามาอยู่ตั้งแต่สมัยสมเด็จ พระนารายณ์มหาราช
โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินส่วนพระองค์ซื้อที่ดิน
สวนแปลงใหญ่ใกล้เคียงกันพระราชทานใหเ้ ป็นทีอ่ ยอู่ าศยั ซึ่งชาวญวนเกา่ ปัจจบุ นั
ไดผ้ สมกลมกลนื ไปกบั คนไทยหมดแลว้ และบางสว่ นกแ็ ตง่ งานอยอู่ าศยั กบั ชาวเขมร
และชาวโปรตุเกสบริเวณวัดคอนเซ็ปชัญ ส่วนญวนใหม่ คือ คนท่ีอพยพเข้ามา
ในไทยเมอื่ ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ (เร่ิมการประกาศราชบัญญตั ิตรวจคนเข้าเมือง) และในปี
พ.ศ. ๒๔๘๙ (ปีที่คอมมวิ นิสต์เขา้ มาอิทธพิ ลในประเทศเวียดนาม) ซ่ึงชาวญวนใหม่
เหล่านี้ได้ทยอยเข้ามาในไทยจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๙ สาเหตุสำ�คัญท่ีชาวญวนอพยพ
เข้าสู่ดินแดนสยาม คือ เพื่อล้ีภัยทางการเมืองและลี้ภัยทางศาสนา เนื่องจากสยาม
เป็นเพ่ือนบ้านที่มีเสถียรภาพ อุดมสมบูรณ์ และพวกเขาสามารถอาศัยอยู่อย่าง
สงบสขุ ได้
๒๕
ภาพที่ ๑ คนไทยเชอื้ สายเวียดนาม
ทม่ี า : “คณะคนไทยเช้ือสายเวียดนามเยี่ยมสถานเอกอัครราชทตู ณ กรงุ ฮานอย.” โดย สถานเอกอคั รราชทตู ณ กรุงฮานอย,
(๒๕๕๙, ตุลาคม ๑๒),
เข้าถึงไดจ้ าก http://thaiembassy.org/hanoi/th/news/1757/71027-%20คณะคนไทยเชอ้ื สายเวยี ดนามเยยี่ มสถานเอกอัคราชฑูต%20
ณ%20กรุงฮานอย.
ปัจจุบัน ชาวญวนเก่าในประเทศไทยถูกกลืนจนไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว
ยังคงเหลือแต่ชาวญวนเก่าที่นับถือศาสนาคริสต์ในกรุงเทพฯ (สามเสน) และ
จันทบุรีเท่าน้ัน ที่ยังรักษาภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมไว้ได้ ซ่ึงต่างจาก
ญวนเกา่ ทเ่ี ปน็ พทุ ธทเ่ี ขา้ กบั คนไทยไดด้ ี เนอ่ื งจากมศี าสนาเดยี วกนั แมช้ าวญวนเกา่
ที่นับถือศาสนาคริสต์ในไทยจะไม่ติดต่อกับชาวญวนในประเทศเวียดนามเลยนาน
นับศตวรรษ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็อยู่กันตามเชื้อชาติโดยแยกต่างหากจากคนไทย
ทำ�ให้พวกเขายังสามารถรักษาภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ได้ ทั้งน้ี
พวกเขามีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของเขา จึงเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีทำ�ให้พวกเขา
ไมก่ ระตอื รอื รน้ ทจ่ี ะเปน็ คนไทย หรอื ปรบั ตวั เขา้ กบั สงั คมไทยอยา่ งรวดเรว็ รวมไปถงึ
การต้ังถ่ินฐานแออัดกันรอบ ๆ โบสถ์ และการแต่งงานกับคนที่นับถือศาสนาและ
เชอื้ ชาติเดยี วกนั
ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ชาวเวียดนามสูงอายุท่ีอาศัยอยู่ในสามเสน กรุงเทพฯ
และจันทบุรี ยังคงการใช้ภาษาเวียดนามอยู่ แต่เป็นสำ�เนียงเวียดนามใต้ ซ่ึงเป็น
ภาษาเวียดนามเก่าท่ีประเทศเวียดนามไม่ได้ใช้แล้วจึงทำ�ให้ไม่สามารถติดต่อกับ
ชาวเวียดนามได้ง่าย รวมไปถึงคำ�ศัพท์และสำ�นวนหลายคำ�ได้รับอิทธิพลมาจาก
ภาษาไทย พวกเขามีคำ�สวดท่ีใช้ทุกวันและหนังสือสอนศาสนาเป็นภาษาเวียดนาม
ด้วยอักษรโกว๊กหงือ (Quốc Ngữ) เป็นภาษา เวียดนาม ในไทยปัจจุบันมีคำ�ไทย
ปะปนอยู่มาก ทงั้ สำ�เนียงก็ยงั เปน็ แบบไทย
๒๖
การสนทนาระหว่างคนญวนจากประเทศเวียดนามกับคนญวนในไทยจึงต้อง
อาศัยล่ามช่วยอธิบาย ดังนั้นราวหนึ่งหรือสองช่วงคนหรืออีก ๕๐ ปีเป็นอย่างมาก
คนญวนในไทยจะถูกผสมกลมกลืนทางภาษาได้ส�ำ เร็จ โดยกลุ่มท่ีสามารถใช้ภาษา
เวียดนามได้น้ัน ในปัจจุบันล้วนเป็นผู้สูงอายุท้ังสิ้น ขณะที่เด็กรุ่นใหม่บางคนฟังได้
พอเขา้ ใจแต่ไมส่ ามารถพดู ได้ จากผลการวิจยั ของ Bui Quang Tung ได้กล่าวถึง
คนที่ยังพูดภาษาเวียดนามได้เป็นผู้มีอายุไม่ต่ํากว่า ๓๐ ปีท้ังสิ้น ที่อายุน้อยกว่านี้
พอเข้าใจแต่พูดไม่ได้ที่พูดได้บ้างก็ไม่ดีนัก ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายกลืนชาติของ
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม ท่ีนำ�นโยบายชาตินิยมมาใช้และมีผลกระทบต่อชาว
ญวนในไทย (สารานุกรมเสรี, ๒๕๖๓)
ประวัติศาสตร์การอพยพของชาวเวียดนาม
บันทึกจากหอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ได้กล่าวว่า
ชาวเวียดนามใช้เวลายาวนานในการเดินทางเข้าประเทศไทยและกระจายกัน
อาศัยอยู่เกือบท่ัวประเทศไทย คือ นับตั้งแต่ก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์
มหาราชในสมัยอยุธยา จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในสมัยรัตนโกสินทร์จำ�นวนชาวเวียดนามได้เพิ่มข้ึนจนกลายเป็นชนกลุ่มน้อย
ทส่ี �ำ คญั กลมุ่ หนง่ึ ของประเทศกอ่ นสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรน์ น้ั ไมอ่ าจทราบรายละเอยี ด
เร่ืองการเข้ามาในไทยของชาวเวียดนามได้มากนักแม้ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เอง
กค็ น้ ควา้ ไดแ้ ตเ่ ฉพาะหลกั ฐานเกย่ี วกบั ชาวเวยี ดนามทเ่ี ขา้ มาเปน็ กลมุ่ ใหญ่ ๆ เทา่ นน้ั
การจำ�แนกประเภทชาวเวียดนามด้วยการพิจารณากลุ่มชาวเวียดนามท่ีสำ�คัญ
ซ่ึงพำ�นักตามแหล่งต่าง ๆ ได้แก่ ในกรุงเทพฯ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี อยุธยา
กาญจนบุรี นครสวรรค์ อุดรธานี หนองคาย สกลนคร และนครพนมและพิจารณา
จากสาเหตุที่ทำ�ให้ชาวเวียดนามเดินทางเข้ามาในประเทศไทยประกอบกับลักษณะ
การเดนิ ทางมาได้เท่าน้นั
๒๗
สาเหตุท่ีชาวเวยี ดนามเขา้ มาในประเทศไทย
การท่ีชาวเวียดนามต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
มีสาเหตุสำ�คัญ ๒ ประการ คือ ส่วนใหญ่อพยพเพื่อลี้ภัยทางการเมืองและ
การเบียดเบียนศาสนาอีกทั้งถูกกวาดต้อนเข้ามาในฐานะเชลยศึกสงครามท้ังสอง
ประการแตกต่างกนั
ประการแรกชาวเวียดนามมาด้วยความสมัครใจแบบหนีร้อนมาพึ่งเย็น
แต่ประการหลังน้ันโดยทั่วไปถูกบังคับให้เข้ามาชาวเวียดนามสมัครใจเข้ามา
ในประเทศไทยเน่ืองจากไทยเป็นประเทศเพื่อนบ้านท่ีมีเสถียรภาพ อุดมสมบูรณ์
และเป็นท่ีอาศัยอยู่ได้อย่างสงบสุข โดยสำ�หรับพวกเวียดนามลี้ภัยน้ันไม่มีทางเลือก
อน่ื ใดทจ่ี ะดไี ปกวา่ เดนิ ทางมาทศิ ตะวนั ตกเพอ่ื เขา้ สดู่ นิ แดนไทย เพราะทางตะวนั ออก
ของเวียดนามเป็นทะเลจีนใต้ ซ่ึงการอพยพเข้ามาก็เพ่ือล้ีภัยทางการเมืองและ
ศาสนาถึงแม้ว่าเราไม่อาจกำ�หนดได้อย่างแน่ชัดว่าชาวเวียดนามเข้ามาอาศัย
อยู่ในไทยตั้งแต่เม่ือใดแต่ปรากฏหลักฐานว่าในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
(พ.ศ. ๒๑๙๙ - ๒๒๓๑) กษตั รยิ อ์ งคท์ ่ี ๒๗ แหง่ กรงุ ศรอี ยธุ ยามหี มบู่ า้ นชาวเวยี ดนาม
ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านชาวต่างชาติอ่ืน ๆ ในอาณาเขตกรุงศรีอยุธยาแล้ว
โดยส่วนมากพวกเวียดนามที่อาศัยในกรุงศรีอยุธยานั้นเป็นชาวโคชินจีน หมู่บ้าน
ชาวเวียดนามเป็นที่รู้จักกันในนามว่า “ค่ายชาวโคชินไชน่า” ทั้งนี้เป็นไปได้ว่า
ชาวโคชนิ จีนสามารถเดินทางมากรงุ ศรอี ยธุ ยาไดโ้ ดยทางทะเล
ซึ่งสะดวกกว่าพวกเวียดนามจากอันนัม หรือตังเก๋ียที่ต้องเดินทางบก ต้ังแต่
สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา ได้มีชาวเวียดนามพากันเดินทาง
มาจากอนั นมั ตงั เกีย๋ และโคชินจนี ทง้ั ทางบกและทางเรอื มาอาศยั ยังอยุธยา และ
จันทบุรี มีส่วนน้อยท่ีเดินทางไปยังพิษณุโลก มะริด ตะนาวศรี การเดินทางไปยัง
มะริดและตะนาวศรีนั้นบาทหลวงชาวฝร่ังเศสเป็นผู้นำ�เข้าไปเพ่ือฝึกสอนศาสนา
และพร้อมกันน้นั ก็ได้ลภ้ี ัยทางศาสนาดว้ ย
๒๘
สาเหตุที่ชาวเวียดนามต้องลี้ภัยเข้ามาในสมัยนี้ เป็นเพราะในเวียดนามเกิด
การสู้รบชิงอำ�นาจระหว่างตระกูลตรินห์ ซึ่งปกครองอยู่ในตังเก๋ียและตอนเหนือ
ของอันนัม กับตระกูลเหงียนที่ปกครองอันนัมตอนใต้และโคชินจีน ในเวลาต่อมา
การสู้รบกินเวลากว่าครึ่งของคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๗ (ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๑๖๓ - ๒๒๑๗)
นอกจากนั้นพวกเวียดนามยังต้องล้ีภัยศาสนาด้วย เพราะทั้งสองตระกูลมีนโยบาย
กดขี่ข่มเหงพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนา หมายถึง บาทหลวงนักสอนศาสนาชาว
ตะวันตก และพวกเวียดนามท่ีนับถือคริสต์ศาสนา สำ�หรับประเทศไทยในขณะนั้น
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีพระบรมราโชบายส่งเสริมการค้าขายและ
การเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศ ทรงให้เสรีภาพทางการค้าและทรงมี
ขันติธรรมทางศาสนา เป็นเหตุสำ�คัญประการหนึ่งท่ีทำ�ให้ชาวต่างประเทศเข้ามา
แลพกั อาศัยเปน็ อันมาก ดังท่ี ซีโมน เดอ ลา ลูแบร์ (Simone De la Loubere)
ราชทูตฝรั่งเศสในคณะทูตชุดท่ี ๒ ของพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ ที่เดินทางเข้ามายัง
กรุงศรอี ยธุ ยาเม่อื พ.ศ. ๒๒๓๐ กล่าวไว้ในจดหมายเหตขุ องเขาวา่
“ชาวต่างประเทศมีจำ�นวนมาก อพยพมาจากบ้านเมืองต่าง ๆ โผเข้า
กรุงสยามแต่กาลก่อน เพราะข้อท่ีมีความชอบธรรมมีอิสระ ค้าขายได้ตามชอบใจ
มีผู้บอกเล่าว่า มหานครสยามมีมนุษย์ต่างชาติมาพ่ึงพระบรม - โพธิสมภาร
ตงั้ ท�ำ มาหากินเลี้ยงชีพอยู่ถงึ ๔๐ ภาษา”
ชาวต่างชาติที่ต้ังภูมิลำ�เนาในกรุงศรีอยุธยาได้รับ “ความชอบธรรมที่จะ
เลี้ยงชีพอยู่ตามยถาสุขได้ตามธรรมเนียมของตนสุดแท้แต่จะศรัทธาสักการบูชา
ศาสนาไหนไดโ้ ดยสมคั ร” นอกจากนน้ั ยงั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯแกผ่ ทู้ เ่ี ขา้ มาพง่ึ
พระบรมโพธิสมภาร พระราชทานที่ดินให้ได้อาศัยอยู่เป็นหมวดหมู่ตามพรรคพวก
ของชาติตนที่ดินพระราชทานอยู่รอบนอกเขตพระนครห่างจากชุมชนที่อาศัยของ
ชาวสยาม
๒๙
หมบู่ ้านชาวต่างชาติ ได้แก่ ชาวโปรตุเกส จีน มลายู ญีป่ ุ่น ฮอลันดา และ
เวียดนาม เป็นต้น หมู่บ้านชาวต่างชาติมักเรียกกันในหมู่คนไทยว่า “บ้าน”
แต่ชาวต่างชาติเองเรียกว่า “ค่าย” การที่ชาวเวียดนามอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยานี้
อาจกลา่ วไดว้ ่าเปน็ เพราะพระมหากษัตรยิ ์ไทยทรงคณุ ธรรมดงั กล่าว ชาวเวียดนาม
จึงพากันเข้ามาเพ่ือหวังผลกำ�ไรทางการค้าด้วย อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาเมื่อได้
เกิดการจลาจลสู้รบเพื่อชิงราชบัลลังก์ใน พ.ศ. ๒๒๓๑ ก็ทำ�ให้ชาวเวียดนาม
จำ�นวนหนึ่งอพยพออกจากกรุงศรีอยุธยาไป ต่อมา ตลอดสมัยราชวงศ์บ้าน
พลูหลวง (พ.ศ. ๒๒๓๑ - ๒๓๑๐) ไทยได้หันไปดำ�เนินนโยบายไม่คบค้ากับชาว
ตะวันตกเช่นแต่ก่อน นับต้ังแต่สมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ. ๒๒๔๑ - ๒๒๕๑)
เปน็ ต้นมา พระองคท์ รงชงิ ชงั ชาวตะวนั ตกโดยเฉพาะชาวฝร่งั เศสและพวกท่ีนบั ถอื
คริสต์ศาสนาอย่างรุนแรง จนถึงกับมีการทารุณกรรมเพราะระแวงว่าจะเป็นผู้นำ�
อันตรายมาคุกคามเอกราชของประเทศ แม้ว่าในปลายรัชกาลพระองค์จะทรง
ลดหย่อนความรุนแรงและทรงเมตตาให้ชาวเวียดนามได้อยู่อาศัยในท่ีเดิม และ
ปฏิบัติกิจทางศาสนาได้ตามใจชอบก็ตาม ความสงบสุขท่ีเคยมีก็ถูกกำ�จัดให้น้อยลง
กวา่ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ท้ังนี้ เนื่องจากชาวเวียดนามมีความสัมพันธ์กับบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเป็น
ชาติท่ีไทยระแวงว่าจะทำ�ให้เกิดอันตรายได้ จำ�นวนชาวเวียดนามที่ยังคงสมัครใจ
อยู่ในกรุงศรีอยุธยาจึงเหลือน้อยมากและท่ีเหลือก็เป็นพวกท่ีศรัทธาในศาสนาอย่าง
จรงิ จังเทา่ นน้ั ดังนนั้ จึงอาจกล่าวได้ว่า ชาวเวียดนามในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นพวก
ท่ีล้ีภัยทางการเมืองและศาสนามากกว่าจะเข้ามาเพราะเห็นแก่ความอุดมสมบูรณ์
ของเมอื งไทย
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ต้ังแต่ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกจนถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีชาวเวียดนามอพยพ
เขา้ มาอาศยั อยใู่ นไทยเปน็ จ�ำ นวนมากและหลายกลมุ่ สว่ นใหญอ่ าศยั อยใู่ นกรงุ เทพฯ
จนั ทบรุ ี และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ พวกเวยี ดนามในกรงุ เทพฯ
ไดอ้ าศยั อยใู่ นทต่ี า่ ง ๆ กนั เปน็ กลมุ่ ๆ ทส่ี �ำ คญั คอื บา้ นญวนพาหรุ ดั (ต�ำ บลบา้ นหมอ้
ถนนพาหรุ ัด)
๓๐
บ้านญวน ตำ�บลบางโพ และบ้านญวน ตำ�บลสามเสนเวียดนาม พวกแรก
ที่เข้ามาเป็นพวกท่ีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและ
ได้รับพระราชทานที่นอกฝ่ังพระนครทางด้านตะวันออก คือ แถวถนนพาหุรัด
ในปัจจุบันให้เป็นท่ีอยู่อาศัย เรียกว่า บ้านญวนพาหุรัด เวียดนามพวกนี้ ได้แก่
องเชียงชุน พระอนุชากษัตริย์เมืองเว้ และบริวารซึ่งล้ีภัยทางการเมืองจากพวก
กบฏไตเซนิ ใน พ.ศ. ๒๓๒๑ (บา้ งกว็ า่ พ.ศ. ๒๓๑๙) มาจากเมืองบันทายมาศหรอื
ฮาเตียน หลักฐานระบุว่า ภายหลังองเชียงชุนต้องพระราชอาญาประหารชีวิต
พร้อมกับบริวารเพราะคิดหนีกลับเวียดนาม (บ้างก็ว่าเป็นเพราะสมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบรุ ี ทรงมีพระสติฟัน่ เฟือนเข้าพระทยั วา่ องเชียงชนุ ขโมยเพชรกลนื ไว้ในท้อง
ในพงศาวดารญวน กล่าวว่า องเชียงชุนถูกประหารเน่ืองจากมีโจรสลัดเวียดนาม
ปล้นเรือสินค้าไทยทำ�ให้ทรงพิโรธ ประกอบกับท่ีพวกเขมรฟ้องร้องว่าองเชียงชุน
เป็นไส้ศึกเวียดนาม) จำ�นวนชาวเวียดนามท่ีถูกประหารชีวิตกับองเชียงชุนระบุ
ไว้วา่ มี ๕๔ คน ท่เี หลือไม่ปรากฏจ�ำ นวนนน้ั สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ที รงเนรเทศ
ออกไปอยู่นอกเขตพระนครหมด ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวเวียดนามเหล่าน้ีกลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ
เช่นเดมิ พร้อมท้งั ทรงอดุ หนนุ พระราชทานเงินทอง เสอ้ื ผา้ เสบยี งอาหาร และให้
ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เดิม คือ ที่หนองระโหน ตำ�บลบ้านหม้อ ถนนพาหุรัดในปัจจุบัน
และทีต่ ำ�บลบางโพ
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๓๕๒)
องเชียงสือ หรือ เหงียนฟุกอ๊ัญ เจ้าเมืองไซ่ง่อน นัดดาขององเชียงชุนเข้ามา
พึ่งพระบรมโพธิสมภารพร้อมข้าบริวารและทหารเวียดนาม โดยล้ีภัยกบฏไตเซิน
มาเชน่ กัน พำ�นกั อยทู่ เี่ กาะกระบอื ใน พ.ศ. ๒๓๒๔ พระยาชลบุรลี าดตระเวนพบเขา้
จึงได้นำ�มาเข้าเฝ้าใน พ.ศ. ๒๓๒๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ทรงกรุณาต่อองเชียงสืออย่างจริงจังโปรดเกล้าฯ ให้พำ�นักอยู่กับบริวารที่ใต้บ้าน
ต้นสำ�โรง ตำ�บลคอกกระบือ (คอกควาย) ริมฝ่ังตะวันออกของแม่นํ้าเจ้าพระยา
(ปากคลองผดุงกรุงเกษม) ทรงชุบเลี้ยงเทียบเท่าเจ้าเขมร คือ พระราชทานเบี้ย
๓๑
หัวหวัดเงินปี ปีละ ๕ ตำ�ลึง เคร่ืองยศอันมี พานหมาก คนโท กลดคันส้ัน บริวาร
ญาติวงศ์ที่ติดตามมาก็ได้รับพระราชทานเบ้ียหัวหวัดเช่นกัน และชุบเลี้ยงพวก
เวียดนามข้าราชการให้ข้ึนกรมต่าง ๆ นอกจากน้ัน ทรงมีพระบรมราชโองการ
มายังเจ้าเมืองกรมการเมืองสมุทรปราการให้ปล่อยพวกเวียดนามท่ีเป็นพรรคพวก
องเชียงสือเข้าออกทำ�มาหากินในท้องทะเลได้โดยสะดวกในคราวท่ีล้ีภัยมาครั้งแรก
บริวารที่ติดตามมายังกรุงเทพฯ มีประมาณ ๒๐ คน ต่อมาพวกเวียดนามที่
สนับสนุนพระองค์ได้พากันทยอยเดินทางจากเวียดนามเข้ามาในไทย ส่วนมากพัก
อยู่แค่จันทบุรีเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงส่งกองทัพไปช่วย
องเชียงสือสู้รบปราบปรามกบฏไตเซินในเวียดนามสองคร้ัง (พ.ศ. ๒๓๒๖ และ
พ.ศ. ๒๓๒๗) (ในหลักฐานเวียดนามว่าช่วยคร้ังเดียว) ปรากฏว่าพ่ายแพ้มา
ท้ังสองครั้งน้ัน มีทหารเวียดนามในกองทัพขององเชียงสือได้ติดตามองเชียงสือ
กลบั มายงั กรุงเทพฯ อกี ในคร้งั นีเ้ ป็นขนุ นางและนายทหาร ๒๘ คน เป็นทหารและ
กะลาสีชั้นนายพลราว ๒๐๐ คน มากบั เรือสำ�เภา ๕ ลำ�
นอกจากน้ันพวกเวียดนามท่ีสวามิภักด์ิต่อตระกูลเหงียนก็ได้แตกกระสาน
ซ่านเซน็ หลบซ่อนพวกไตเซิน และพาครอบครวั ล้ีภยั เขา้ มาในเขตสยาม โดยเฉพาะ
พวกเวียดนามแคว้นโคชินจีนอาจประมาณจำ�นวนได้ราวพันคนเม่ือจำ�นวนเพ่ิม
มากขึ้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้าฯให้องเชียงสือ
ย้ายไปพำ�นัก ณ ตำ�บลโคกหลวง ชาวเวียดนามจำ�นวน ๑,๐๐๐ คนน้ีดูเหมือน
ว่าจะมากเกินไปและไม่น่าเป็นไปได้ แต่พงศาวดารญวนระบุว่า หลังจากท่ีเข้ามา
ในกรุงเทพฯ อีกคร้ัง บรรดานายทหารที่ซ่องสุมผู้คนอยู่นอกอาณาเขตสยาม
มีศูนย์กลางอยู่ท่ีบริเวณเมืองบันทายมาศ ได้เข้ามาติดต่อกับองเชียงสืออยู่เนือง ๆ
ระหวา่ งน้ีทหารเวยี ดนามอกี ประมาณ ๖๐๐ คนเศษ ซง่ึ นำ�โดยลาวังกุน ทหารเอก
ขององเชียงสือได้พากันลงเรือเข้ามากรุงเทพฯ องเชียงสือไม่ได้พำ�นักอยู่ในไทย
อยา่ งเปลา่ ประโยชน์ ไดต้ อบแทนพระมหากรณุ าธคิ ณุ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้
- จุฬาโลก โดยถวายขนษิ ฐภคนิ เี ปน็ ข้าบาทบรจิ ารกิ า และอาสาน�ำ กองก�ำ ลังทหาร
เวียดนามเข้าร่วมทำ�สงครามกับพม่าใน พ.ศ. ๒๓๒๙ โดยทำ�หน้าที่เป็นทัพหน้าจน
๓๒
ได้รับชัยชนะ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าจำ�นวนชาวเวียดนามขององเชียงสือน่าจะมีถึง
พันคนได้ ใน พ.ศ. ๒๓๓๐ องเชียงสือช่วยปราบปรามกบฏแขกมลายู โดยใช้ให้
ทหารเวียดนามต่อเรือรบนับสิบลำ�สำ�หรับคอยท่ากบฏที่เกาะช้าง และให้ลาวังกุน
น�ำ กำ�ลังชว่ ยสมเดจ็ กรมพระราชวงั - บวรสถานมงคลมหาสรุ สงิ หนาถ ปราบปราม
จนสำ�เร็จอีก อย่างไรก็ดีใน พ.ศ. ๒๓๓๐ องเชียงสือลอบหนีจากกรุงเทพฯ
ไปโดยเรือ ๔ ลํา พวกที่ติดตามไปมีแต่ญาติวงศ์และบริวารที่ใกล้ชิดซ่ือสัตย์
ประมาณ ๑๕๐ คน ภายหลงั แม้จะมคี นเวยี ดนามตดิ ตามองเชยี งสอื ออกไปชว่ ยรบ
ในเวียดนามอีก หากแต่จำ�นวนคนเวียดนามบริวารองเชียงสือคงเหลืออยู่ในสยาม
อีกเป็นจำ�นวนมาก มีคนเวียดนามจำ�นวนมากไม่เต็มใจท่ีจะกลับเวียดนามเพื่อไป
สู้รบ เลือกท่ีจะอยู่ในสยามต่อไป อาจเป็นเพราะพวกเวียดนามเร่ิมชินกับชีวิต
ท่ีสงบสุขในกรุงเทพฯ การกลับไปเวียดนามเป็นการเส่ียงชีวิต เพราะความหวังที่
จะเอาชนะน้นั ดูเลือ่ นลอยเตม็ ท่ี
นอกจากน้ันพวกเวียดนามเหล่าน้ีเป็นทหารมาตัวเปล่าและได้แต่งงาน
มีครอบครัวตั้งเป็นหลักแหล่งกับคนไทยในกรุงเทพฯแล้วพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงย้ายพวกเวียดนามเหล่านี้จากคอกกระบือมารวม
อยู่ทตี่ ำ�บลบางโพ เน่ืองจากสมเด็จกรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สิงหนาถทรงขดั เคอื ง
พระทัยพวกเวียดนามเป็นอย่างมากท่ีองเชียงสือลอบหนีไป หลังจากท่ีองเชียงสือ
จากไปไมน่ านนกั เหงยี นวนิ ทด์ กึ (Nguyen Huynh Duc) แมท่ พั ญวนผเู้ คยคมุ ทพั
ทางใต้ขององเชียงสือได้พ่ายแพ้พวกไตเซินใน พ.ศ. ๒๓๒๖ ลี้ภัยเข้ามาในสยาม
โดยผ่านทางลาวพร้อมกับนำ�กำ�ลังคนราว ๕,๐๐๐ คน เข้ามาถึงกรุงเทพฯ ด้วย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงชักชวนให้เหงียนวินท์ดึก ทำ�ราชการ
อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่เมื่อเขายืนยันที่จะตามออกไปช่วยองเชียงสือจึงทรงพระกรุณา
จัดหาเรือเสาเรือใบให้ไป แต่เหงียนวินท์ดึกจำ�ต้องทิ้งพวกเวียดนามท่ีแสดงความ
จ�ำ นงจะอยู่ตอ่ ไปในกรุงเทพฯ
๓๓
ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงชักชวนให้เหงียนวินท์ดึก
ทำ�ราชการอยู่ท่ีกรุงเทพฯ แต่เมื่อเขายืนยันที่จะตามออกไปช่วยองเชียงสือจึงทรง
พระกรุณาจัดหาเรือเสาเรือใบให้ไป แต่เหงียนวินท์ดึกจำ�ต้องทิ้งพวกเวียดนาม
ท่ีแสดงความจำ�นงจะอยู่ต่อไปในกรุงเทพฯ ไว้ เป็นท่ีเชื่อว่าราว ๒ ใน ๓ หรือ
จำ�นวน ๑,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ คน ตกลงใจเลอื กอยู่ในกรงุ เทพฯ พวกเวยี ดนามเหล่าน้ี
ต้ังบ้านเรือนอยู่ร่วมกับพวกญวนบางโพ ส่วนพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนาอยู่ที่
สามเสน พวกเวียดนามที่ตกค้างในกรุงเทพฯ รับราชการทหารในกองทัพสยาม
โดยรับยศเทียบเท่ายศฝ่ายเวียดนามทงดุงเกียน (Thong Dung Gian) และ
โฮเดืองดัก (Ho Duong Dac) นายทหารเวียดนามได้รับเลือกเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน
และผบู้ งั คบั กองทหารขนึ้ ตรงต่อสมุหพระกลาโหม
ทม่ี า : “Nguyễn Huỳnh Đức.” By Bách khoa toàn thư mở Wikipedia, (n.d.), Retrieved from https:// vi.wikipedia.org/wiki/
Nguyễn_Huỳnh_Đức
๓๔
เรื่องการลี้ภัยของคนเวียดนาม และกระตือรือร้นเตรียมรับเหตุการณ์ที่จะมี
การล้ีภัยข้ึนอย่างจริงจัง โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยินดีรับ
เอาชาวเวยี ดนามเอาไวใ้ นประเทศ โดยมีพระบรมราช - โองการว่า
“...พวกญวนเข้ารีตท่ีเมืองเว้ เมืองโจดก และไซ่ง่อน มีมากตลอดขึ้นมาถึง
เมืองโจด ลำ�นํ้า (เข้าใจว่าเป็นเมืองล่านำ�หรือแง่อาน - ผู้เขียน) เมืองตังเกี๋ย
เมืองกวางเบือง ต่อเขตแดนแขวงเมืองพวร แลหัวเมืองลาวฟากโขงตะวันออก
ถ้าญวนเข้ารีตทนฝีมือญวนไม่ได้คงพาครอบครัวหลบหนีมาทางเมืองมหาไชย
เมอื งพวน เมืองพวนกบั เมืองหลวงพระบาง หนองคาย นครพนมเขตแดนติดต่อกนั
ให้เจ้าเมืองหลวงพระบาง พระพนมนคราปุริก พระประทุมเทวาภิบาล ท้าวเพ้ีย
มีปัญญา คุมไพร่ออกลาดตระเวนพบปะญวนเข้ารีตแตกหนีมาก็ให้พูดจาชักชวน
เข้ามาไว้ในเมืองหลวงพระบาง เมืองหนองคาย เมืองนครพนมให้ได้จงมาก...”
พวกเวียดนามล้ีภัยทางศาสนาส่วนมากอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม
เดินทางโดยทางเรือเลียบมาทางชายฝ่ังเขมรมายังบริเวณชายฝ่ังตะวันออกเฉียง
เหนือใตข้ องสยามและไดก้ ระจายกันอย่เู ป็นกลมุ่ ตามเมืองสำ�คัญ เช่น จนั ทบรุ ี ขลงุ
ตราด ระยอง ชลบรุ ี สมุทรสงคราม ส่วนพวกท่เี ขา้ มาตามล�ำ นํ้าเจา้ พระยาได้ข้นึ บก
ท่กี รงุ เทพฯ อยธุ ยา และนครสวรรค์ (ปากนํ้าโพ) จำ�นวนผลู้ ภี้ ยั คราวนี้มีประมาณ
๕,๐๐๐ คน ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ - เจา้ อยหู่ วั พวกเวยี ดนามทล่ี ภ้ี ยั
ทางการและพวกที่ล้ีภัยศาสนาเดินทางเข้ามาโดยผ่านทางอาณาจักรลาว และมา
อยู่ในบริเวณริมฝ่ังแม่นํ้าโขง พวกเวียดนามท่ีมาจากเมืองในเขตอันนัมตอนเหนือ
เชน่ เมืองทนั หัว (Thanh Hua) แง่อาน (Nghe An) และฮาตนิ ฮ์ (Ha Tinh)
มักมาอาศัยบนฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่นํ้าโขงพวกเวียดนามหลาย
ร้อยคนได้อาศัยอยู่ที่เมืองท่าอุเทน ไชยบุรี หนองคาย นครพนม พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการให้ผู้ปกครองหัวเมืองลาว
จัดลาดตระเวนเกลี้ยกล่อมพวกเวียดนามล้ีภัยที่เดินทางเข้ามาทางเขตลาวให้เข้ามา
อยใู่ นเขตสยามใหไ้ ด้มากเช่นกัน
๓๕
อย่างไรก็ตามพวกเวียดนามท่เี กล้ยี กล่อมมาน้นั เป็นพวกเวียดนามท่หี นีความ
อดอยากมาทั้งสิ้น เนื่องจากเกิดภัยแล้งในเวียดนามเป็นเวลานาน การเกลี้ยกล่อม
ดำ�เนินมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๐๕ ปรากฏว่าได้คนเวียดนามเป็นจำ�นวน ๑๓๓ คน
โปรดเกล้าฯ ให้ทำ�มาหากินอยู่ในเขตเมืองนครพนมและสกลนคร ชาวเวียดนาม
ที่ต้องลี้ภัยทางศาสนามายังสยามน้ัน เนื่องจากการท่ีพระจักรพรรดิมินห์มางทรง
นำ�นโยบายการกดข่ีข่มเหงพวกที่นับถือคริสต์ศาสนากลับมาใช้อีก ทรงออกพระ
ราชกฤษฎีกาจนถึงขั้นประหารพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนาโดยท่ัวไปใน พ.ศ. ๒๓๗๗
อย่างไรก็ดีในสมัยพระจักรพรรดิมินห์มาง การข่มเหงพวกท่ีนับถือคริสต์ศาสนา
ไมเ่ ดด็ ขาดรนุ แรงเทา่ กบั ในรชั กาลตอ่ มา คอื สมยั พระจกั รพรรดติ อื ดก๊ึ (พ.ศ. ๒๓๙๑
- ๒๔๒๖) พระจักรพรรดิตือดึ๊กทรงใช้นโยบายนี้ตอบโต้การแทรกแซงทางการเมือง
การปกครองเวียดนามของพวกบาทหลวงและนักสอนศาสนาชาวตะวันตก โดยให้
ทำ�ลายชีวิตและหมู่บ้านพวกเวียดนามที่นับถือคริสต์ศาสนา ชาวเวียดนามเข้ารีต
นับถือคริสต์ศาสนาหลายพันคนถูกประหารชีวิต เมื่อฝรั่งเศสใช้กำ�ลังบุกเมือง
ท่าตูราน (ดานัง) เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๐๑ และรุกรานจนได้เข้าครอบครอง
แคว้นโคชินจีนนั้น พระจักรพรรดิทรงเข้าพระทัยว่าพวกเวียดนามท่ีนับถือ
คริสต์ศาสนาสนับสนุนพวกฝร่ังเศส จึงทรงกดข่ีกระทำ�การทารุณกรรมพวก
เวียดนามเหล่านี้รุนแรงข้ึน
“...ญวนได้ต้ังค่าย คอยจับญวนเข้ารีตฝร่ัง ที่ด่านมีไม้กางเขนเป็นรูปพระ
ของฝรั่ง ถ้าผู้ใดมาถึงด่านไม่ข้ามไม้กางเขน ญวนจับว่าเข้ารีต ถ้าผู้ใดข้ามไป
นายด่านปล่อยตัวไป ญวนจับได้ญวนเข้ารีตฝรั่งแล้วให้เฆี่ยนถ้ามีพวกญวนเข้ารีต
ตั้งแต่เมืองป่าศักตลอดจนมาจนถึงเมืองโจดก พากันสดุ้งต่ืนหลบหนี...เดี๋ยวนี้ญวน
คิดก�ำ จดั ญวนเข้ารตี บนั ดาอยใู่ นเขตแดนเมืองญวนทกุ บ้านเมอื ง...”
อย่างไรก็ดีภายหลังจากท่ีฝร่ังเศสเร่ิมบุกเวียดนามโดยยึดเมืองตูรานและ
เวียดนามสู้รบกับฝร่ังเศสและพ่ายแพ้จนต้องตกอยู่ในฐานะรัฐในอารักขาของ
ฝรง่ั เศสใน พ.ศ. ๒๔๒๗ ท�ำ ใหม้ เี วยี ดนามหลบหนลี ภ้ี ยั สงคราม เขา้ มาอาศยั ในสยาม
๓๖
เป็นจำ�นวนมาก โดยเฉพาะเวียดนามที่หลบหนีการปกครองของฝร่ังเศสและ
พวกชาตินิยมต่อต้านฝร่ังเศส ซึ่งได้กลายเป็นปัญหาสำ�หรับสยามในสมัยพระบาท
สมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั
การถกู กวาดต้อนเข้ามาในฐานะเชลยศึกสงคราม
ประเพณกี ารจบั ขา้ ศกึ เปน็ เชลยกลบั บา้ นเมอื งนน้ั แทท้ จ่ี รงิ แลว้ เปน็ จดุ มงุ่ หมาย
อันสำ�คัญย่ิงของการทำ�สงครามของสยามและประเทศใกล้เคียง “การกวาดต้อน
ผู้คนพลเมืองท่ีตีได้ไปเป็นเชลยของฝ่ายชนะเป็นประเพณีมีมาแต่ดึกดำ�บรรพ์”
เพราะไม่เป็นแต่เพียงการลดทอนกำ�ลังของฝ่ายข้าศึกในการทำ�สงครามครั้งต่อไป
แต่ยังเป็นการทดแทนพลเมืองที่สูญเสียไปในระหว่างการรบด้วยและเพื่อเป็น
รางวลั แก่ นายทพั นายกอง ให้รบั เอาเชลยนน้ั ไปเปน็ ทาส นอกจากน้นั ในสมยั น้ัน
ยังถือว่ากำ�ลังคนเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจท่ีสำ�คัญของประเทศด้วย การทำ�สงคราม
ระหว่างสยามและเวียดนามก็เช่นกัน คราวใดที่สยามชนะก็จะกวาดต้อนเชลย
เวียดนามมาไว้ในเขตสยาม การกวาดต้อนชาวเวียดนามปรากฏในสมัยสมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรีว่า เมื่อทรงนำ�กองทัพโจมตีเมืองบันทายมาศใน พ.ศ. ๒๓๑๔
ทรงฆ่าฟันเวียดนามในบันทายมาศเสียเกือบส้ินเว้นแต่พวกไม่เป็นภัย คือ พวก
เขา้ รีต (นบั ถอื คริสต์ศาสนา) ท่แี ก่ชราถูกกวาดตอ้ นเข้ามามีจ�ำ นวน ๔๖ คน และ
ให้อยู่รวมกับพวกถือคริสต์ศาสนาในธนบุรี ซึ่งลี้ภัยจากกรุงศรีอยุธยาต้ังแต่ครั้ง
เสียกรุงแกพ่ มา่ ครงั้ ที่ ๒ อย่างไรกด็ ีไม่จำ�เปน็ เสมอไปท่ฝี ่ายชนะจะเปน็ ผกู้ วาดต้อน
ผู้คนฝ่ายแพ้ไปเป็นเชลย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สยามทำ�
สงครามกับเวียดนามยืดเยื้อถึง ๑๕ ปี ซ่ึงตรงกับรัชกาลพระจักรพรรดิมินห์มาง
จักรพรรดิอเทียวตรี และพระจักรพรรดิตือด๊ึก แห่งเวียดนาม หลักฐานสยาม
ได้บนั ทึกเกี่ยวกับการไดช้ าวเวียดนามจากสงครามครงั้ นี้มาไว้ในสยาม ในลักษณะ
ต่าง ๆ กัน เมื่อแรกเริ่มการสู้รบใน พ.ศ. ๒๓๗๖ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา
(สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพใหญ่คุมทัพพร้อมกับทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง
๓๗
ไปโจมตีไซ่ง่อน ระหว่างทางจนถึงเมืองโจดกได้มีการกวาดต้อนจับครัวเวียดนาม
ไว้ได้มากเป็นภาระยุ่งยากในการเดินทัพต่อไป ครั้นจะส่งกลับไปกรุงเทพฯ
ก็ไม่สะดวก เน่ืองจากไม่มีเรืออื่นนอกจากเรือรบหากจะพักไว้ท่ีโจดกก็ไม่ไว้ใจ
เน่ืองด้วยชาวเวียดนามเหล่านี้เป็นราษฎรมีจำ�นวนชายฉกรรจ์ราว ๘๐ คนเศษ
เจ้าพระยาบดินทร์เดชาจึงตัดสินใจประหารชีวิตหมด ส่วนครอบครัวของชาย
ฉกรรจ์เหล่านี้ให้ส่งไปพักไว้ท่ีเมืองบันทายมาศ นอกจากจะใช้การบังคับกวาดต้อน
ในคราวศึกสงครามแล้ว การเกลี้ยกล่อมแล้วกวาดต้อนเข้าเขตสยามก็เป็นอีกวิธี
หน่ึงท่ีทำ�ให้ได้ชาวเวียดนามเป็นจำ�นวนมาก โดยเฉพาะชาวเวียดนามที่เข้ารีต
เม่ือกองทัพสยามมาถึงคลององเจือง ใน พ.ศ. ๒๓๗๗ ได้ใช้บาทหลวงมีชื่อว่า เป๋
ซ่ึงมาพร้อมกับพระยาวิเศษสงคราม (หัวหน้าหมู่บ้านเขมรเช้ือสายโปรตุเกสที่
ตำ�บลสามเสน) เป็นผู้เกลี้ยกล่อมได้พวกเวียดนามเข้ารีตที่ตั้งบ้านเรือนอยู่คลอง
องเจืองมาได้ทัง้ หมดประมาณ ๓๐๐ คนเศษ ต่อมากไ็ ดช้ าวเวยี ดนามเข้ารีตในเมือง
โจดก มาเพ่ิมเติมพวกเวียดนามเข้ารีตเหล่าน้ีเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้า - เจ้าอยู่หัวพระราชทานที่เหนือบ้านเขมรเข้ารีตริมวัดส้มเกลี้ยง
เพื่อให้เป็นท่ีอาศัยและให้สักเข้าหมวดพวกเวียดนามว่า “ญวนสวามิภักดิ์”
ในปีเดียวกัน ขณะท่ีทัพบกและทัพเรือสยามต้องถอยมาอยู่ท่ีเมืองพระตะบอง
และจันทบุรี ทัพที่สามซึ่งเป็นทัพหัวเมืองลาวตะวันออกได้มาเกือบถึงไซ่ง่อนและ
ต้องถอยกลับเช่นกัน ระหว่างทางได้กวาดต้อนผู้คนกลับไปด้วยเป็นจำ�นวนมาก
ทางดา้ นเมอื งพวนและเชยี งขวางไดร้ ายงานวา่ ฆา่ ทหารเวยี ดนามไดร้ าว ๓๐๐ คนเศษ
และจับเปน็ ได้ ๔๑ คน
ใน พ.ศ. ๒๓๘๓ ขณะทเ่ี จ้าพระยาบดินทรเ์ ดชาคุมทัพอยทู่ ีเ่ มอื งพระตะบอง
พวกทหารเวียดนามในค่ายขององเดียญกุญแม่ทัพเวียดนามที่เมืองกำ�พงธมหนี
ไข้ป่วง (โรคระบาด มีอาการท้องร่วงและอาเจียน) ออกมาหาพวกเขมร ๑๓๔ คน
ต่อมาหนีจากค่ายเมอื งพนมเปญอีกราว ๒๐๐ คน
๓๘
เมื่อส่งเข้ามายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้สักข้อมือเป็นกองอาสารบญวนและพระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าน้อยยาเธอ
กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ไว้ใช้สอย พวกญวนนี้อาศัยท่ีตำ�บลบางโพ ระหว่าง พ.ศ.
๒๓๗๖ - ๒๓๘๔ พวกเขมรท่ีนิยมฝ่ายไทยรบเวียดนามโดยใช้วิธีรบแบบกองโจร
สามารถจับพวกเวียดนามมาได้เป็นจำ�นวนมากกว่า ๒,๐๐๐ คน เนื่องจากมีการ
จ่ายรางวัล คือ จับได้มากกว่า ๑ ตำ�ลึง ถ้าน้อยได้ ๑ บาท เวียดนามเหล่าน้ี
โปรดเกล้าฯ ให้ส่งไปไว้ยังเมืองกาญจนบุรีและหัวเมืองทางเหนือ เช่น พิษณุโลก
และตาก แต่ถ้าเป็นเวียดนามเข้ารีตโปรดเกล้าฯ ให้ส่งไปไว้ท่ีสามเสนนอกจาก
การเข้ามาด้วยเหตุเพื่อล้ีภัยและถูกกวาดต้อนเป็นเชลยแล้วยังมีอีกกรณีหน่ึง คือ
เวียดนามเมืองพุทไธมาศ ซ่ึงขึ้นตรงต่อไทยในฐานะประเทศราชในสมัยสมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรี และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระยาราชา
เศรษฐเี จ้าเมอื งซ่งึ เปน็ ชาวเวยี ดนาม เม่ือเข้ามาในเมืองหลวงไดพ้ าบรวิ ารเวยี ดนาม
และจีนเขา้ มาดว้ ย ในสมยั สมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบุรี พระยาราชาเศรษฐแี ละบริวาร
อาศยั อยทู่ ่ตี รอกพระยาไกร (สามเพง็ ในปัจจบุ ัน) จนกระท่งั เม่อื พระยาราชาเศรษฐี
ถึงแก่อสัญกรรมจึงถูกไล่ที่เพื่อทำ�ตลาด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
พระราชทานที่ใหม่ให้พวกเวียดนามอาศัยอยู่ใต้วัดสามเพ็ง (วัดประทุมคงคาราม)
อย่างไรกด็ ี ชาวเวียดนามบริวารเจา้ เมืองพุทไธมาศน้เี ข้าใจว่าคงมีจ�ำ นวนไม่มากนกั
อน่ึงนอกจากเวียดนามล้ีภัยและถูกกวาดต้อนเข้ามาในสมัยสงครามระหว่าง
สยามกับเวียดนามแล้วยังมีเวียดนามที่เข้ามาในสยามในฐานะคนในบังคับฝรั่งเศส
อีกด้วย หลังจากท่ีสยามทำ�สัญญา ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) กับฝรั่งเศสยังผลให้
คนในบังคับฝร่ังเศสชาติเอเชีย ได้แก่ ชาวเวียดนาม เป็นต้น ได้รับความคุ้มครอง
ทางการศาลให้อยู่ในอำ�นาจปกครองของกงสุลฝรั่งเศสในสยามในระยะน้ี
พวกเวียดนามได้พากันเดินทางเข้ามาหาผลประโยชน์และติดตามชาวฝร่ังเศส
เข้ามาเป็นลูกจ้างจำ�นวนมาก
๓๙
เวียดนามเหล่าน้ีมักรวมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ คือ ท่ีตำ�บลบางรักและใน
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื คือ อบุ ลราชธานี เมอ่ื ฝร่งั เศสยดึ จันทบรุ ีเพื่อเป็นประกัน
ให้สยามทำ�ตามข้อตกลงในสัญญาที่สยามได้ยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายของแม่นํ้าโขง
ให้แก่ฝร่ังเศส ฝร่ังเศสได้นำ�กองทหารเวียดนามมาประจำ�อยู่เป็นจำ�นวนมาก
แต่คนเวียดนามเหล่านี้ได้มาอาศัยอยู่เป็นการช่ัวคราว เมื่อฝรั่งเศสถอนทหารออก
จากจันทบุรีเข้าใจว่าคงจะกลับออกไปเกือบทั้งหมดด้วยจำ�นวนชาวเวียดนาม
ในสยาม หลักฐานที่ระบุเหตุและจำ�นวนชาวเวียดนามที่เข้ามาแต่ละคราวไม่อาจ
ช่วยให้สรุปได้ว่าจำ�นวนเวียดนามที่อาศัยอยู่มีท้ังหมดเท่าใด เป็นท่ีเช่ือแน่ว่า
ชาวเวียดนามเหล่านั้นนอกจากท่ีเข้ามากับองเชียงสือแล้วก็มีจำ�นวนน้อยนักท่ีจะ
กลับออกไปอีก เน่ืองจากสยามเป็นชาติท่ีมีขันติธรรมทางศาสนาและให้เสรีภาพ
ในการเป็นอยู่พอสมควร ประกอบกับชาวเวียดนามมีหนทางทำ�มาหากินตั้งหลัก
แหล่งอย่างเป็นสุขแล้ว อีกท้ังการคมนาคมติดต่อในสมัยนั้นก็เป็นไปด้วย
ความยากล�ำ บาก ดว้ ยเหตทุ ก่ี ารเดนิ ทางทรุ กนั ดารนเ้ี อง พวกเวยี ดนามตอ้ งเสยี ชวี ติ
ไปมากระหว่างทางท่ีถูกกวาดต้อนเข้ามาเป็นเชลย อย่างในสมัยพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกครั้งท่ีจับพวกเวียดนามตังเกี๋ยท่ีลี้ภัยพวกไตเซินใน
พ.ศ. ๒๓๓๓ ไดม้ าจากลาวราว ๔๐๐ คน แตก่ ต็ ายไปราว ๓๐๐ คน
ดังน้ัน จำ�นวนชาวเวียดนามที่ระบุในบัญชีที่นำ�ส่งเข้ามา เช่น ในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า - เจ้าอยู่หัวกับที่ได้ส่งเข้ามาจริง ๆ ย่อมน่าจะ
ไม่ตรงกันได้ นอกจากนั้นยังไม่อาจหาหลักฐานเก่ียวกับจำ�นวนท่ีแน่นอนของ
ชาวเวียดนามที่เข้ามาด้วยสาเหตุลี้ภัยและที่อาศัยในแต่ละแห่งได้ พวกเหล่าน้ี
เมื่อได้เข้ามาในสยามแล้ว พากันย้ายไปยังจังหวัดต่าง ๆ จึงเป็นการยากที่จะ
ประมาณจำ�นวนท้ังหมดได้ ถึงกระน้ันได้มีการประมาณอย่างคร่าว ๆ ว่ามีชาว
เวียดนามอาศัยอยู่ในสมัยน้ันราว ๖,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ คน หลักฐานร่วมสมัย เช่น
บันทึกของปัลเลอกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix เป็นบาทหลวงคณะมิสซัง
ต่างประเทศแห่งกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ที่ได้เข้ามาอยู่ในสยามตรงกับสมัย
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั และอยนู่ านถึง ๒๔ ป)ี
๔๐
ได้กล่าวถึงชาวเวียดนามเฉพาะในกรุงเทพฯ ว่ามีถึงราว ๑๒,๐๐๐ คน
จากจำ�นวนพลเมืองในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ๔๐๔,๐๐๐ คน (ไม่นับรวมกับพวกที่
นบั ถอื ครสิ ตศ์ าสนาชาตติ า่ ง ๆ มรี าว ๔,๐๐๐ คน และเปน็ ชาวเวยี ดนาม ๑,๔๐๐ คน)
เซอร์จอห์น เบาว์ริง เป็นอีกผู้หน่ึงที่บันทึกจำ�นวนเวียดนามไว้ แต่กล่าวเฉพาะ
พวกเวียดนามเชลยศึกว่ามีถึง ๑๐,๐๐๐ คน สำ�หรับเวียดนามในกรุงเทพฯ นั้น
เขาอ้างจากบันทึกของปัลเลอกัวซ์เปรียบเทียบกับหนังสือ “ข้อสังเกตเก่ียวกับ
หมเู่ กาะอนิ เดยี ” (Notices of Indian Archipelago) ของมวั ร์ (Moor) ทก่ี ลา่ ววา่
เวียดนามในกรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๓๗๑ มีประมาณ ๑,๐๐๐ คน และประชาชนใน
กรงุ เทพฯ ทงั้ หมดมี ๓๗๖,๕๐๐ คน ซง่ึ เบาว์ริง เชื่อปลั เลอกวั ซม์ ากกวา่ เพราะวา่
มัวร์ประมาณไว้น้อยเกินไปมาก นอกจากนั้นที่แน่นอน คือ พ.ศ. ๒๓๗๗ เวียดนาม
ในกรุงเทพฯ มมี ากกว่า ๒,๐๐๐ คน อย่างไรก็ดีจำ�นวน ๑๒,๐๐๐ คน ที่ปัลเลอกัวซ์
วา่ ไดด้ มู ากเกนิ ไปเช่นเดียวกันกับทข่ี องมัวร์ทีน่ อ้ ยไป
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ
ให้สำ�รวจประชากรโดยทำ�บัญชีสำ�มะโนครัวอย่างละเอียด แต่ทำ�สำ�เร็จได้เพียง
๑๒ มณฑล จำ�นวนคนท้ังหมด ๓,๓๐๘,๐๓๒ คน เป็นเวียดนาม ๔,๗๕๗ คน
(ในจำ�นวนน้ีเป็นเวียดนามในมณฑลปราจีนบุรีถึง ๑,๑๒๔ คน ส่วนที่เหลือ
เข้าใจว่าเป็นของมณฑลจันทบุรีเป็นส่วนมาก) สำ�หรับมณฑลท่ีเหลือที่ยังไม่ได้
สำ�รวจน้ันมีกรุงเทพฯ และอุดรฯ ซ่ึงเป็นแหล่งที่อาศัยของชาวเวียดนาม ใน พ.ศ.
๒๔๕๒ การส�ำ รวจมณฑลกรุงเทพฯ ท้ังหมด ๕๒๒,๐๕๔ คน และในบญั ชแี ยกชาติ
ส่วนอารามเป็นเวียดนาม ๗๔ คน จาก ๑๘,๖๒๕ คน สำ�หรับมณฑลอุดรฯ
ใน พ.ศ. ๒๔๕๒ สำ�รวจได้เวียดนาม ๙๖๓ คน ซ่ึงเป็นระยะล้ีภัยฝรั่งเศสเฉพาะ
ในจังหวัดนครพนมมีเวียดนามเพ่ิมข้ึนในเวลาต่อมาถึง ๒๐๐ คนเศษ และเมื่อ
สำ�รวจใน พ.ศ. ๒๔๕๖ ปรากฏจำ�นวนเวียดนามในมณฑลอุดรฯ ถึง ๑,๕๖๗ คน
๔๑
เม่ือประมาณจำ�นวนชาวเวียดนามท่ีได้จากการสำ�รวจกระท่ังถึง พ.ศ. ๒๔๕๖
อยา่ งครา่ ว ๆ แลว้ อาจกลา่ วไดว้ า่ มชี าวเวยี ดนามอาศยั อยทู่ ง้ั หมดกวา่ ๑๐,๐๐๐ คน
เป็นท่ีน่าเสียดายท่ีไม่อาจประมาณจำ�นวนชาวเวียดนามท่ีเข้ามาในสยาม
กอ่ นสมยั สงครามโลกคร้งั ท่ี ๑ (ญวนเกา่ ) ให้แนน่ อนได้มากกวา่ นี้ ซ่งึ โดยทวั่ ไปน้นั
เข้าใจกันว่าอาจทำ�ไม่ได้เลยทีเดียว เน่ืองจากหลักฐานและบันทึกการสำ�รวจท่ีมีอยู่
ไม่สมบูรณ์และถูกต้องเพียงพอ แต่การประมาณจำ�นวนเช้ือชาติ “ญวนเก่า”
ในปัจจุบันท่ียังคงความเป็นเวียดนามอยู่นั้นพอจะกระทำ�ได้ แม้ว่าจะต้องประสบ
กับอุปสรรคมากมาย คือ ผู้ค้นคว้ายังคงไม่อาจพ่ึงข้อมูลจากรัฐบาลได้เช่นเดิม
ประการท่ีสำ�คัญ คือ สภาวะการเมืองปัจจุบันทำ�ให้การสำ�รวจไม่ได้รับผลสำ�เร็จ
เท่าที่ควร ผู้ที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับจำ�นวน “ญวนเก่า” ในปัจจุบันได้ดี คือ
ปเี ตอร์ เอ พลู (Peter A. Poole) นกั สงั คมวิทยาชาวอเมริกา ซึ่งได้คน้ ควา้ และ
เขียนหนังสือเกยี่ วกับชาวเวียดนามในประเทศไทยหลายเลม่
เขาได้กล่าวถึงความยุ่งยากในการสำ�รวจว่าเกิดจากชาวเวียดนาม พยายาม
ปกปิดเช้ือชาติของตนอย่างจริงจัง แต่ในท่ีสุดราว พ.ศ. ๒๕๑๐ เขาสามารถหา
ตัวเลขแสดงจำ�นวนชาวเวียดนามที่อาศัยในแหล่งสำ�คัญได้จากการสัมภาษณ์
บาทหลวงนกิ ายโรมนั คาทอลกิ และเวยี ดนามครสิ ตจ์ ากหมบู่ า้ นเวยี ดนาม ๑๕๙ แหง่
ประมาณจากจำ�นวนเวียดนามคริสต์ท่ีพูดและอ่านภาษาเวียดนามและไม่ได้
แตง่ งานกบั คนเชอื้ ชาตไิ ทยและจนี (หอจดหมายเหต,ุ ๒๕๕๘)
๔๒
ภาพที่ ๓ พระสงั ฆราช ปลั เลอกวั กบั เดก็ ไทยชอื่ แกว้ และเด็กญวนชือ่ ชม
ถ่ายท่ีปารสี เมอื่ พ.ศ. ๒๓๙๗
ทม่ี า: “ฌ็อง-บาติสต์ ปาลกวั .” โดย สารนกุ รมเสร,ี (๒๕๖๓, พฤษภาคม ๑๙), วกิ ิพเี ดีย เข้าถงึ ไดจ้ าก th.wikipedia. org/wiki/
ฌอ็ ง-บาตสิ ต์ ปาลกัว.
กฎระเบียบทางสังคม
ญวนมีระบบครอบครัวเครือญาติที่แน่นแฟ้นมีความเคารพผู้อาวุโส และ
บรรพบุรุษ สมาชิกในครอบครัวมีความรักและผูกพันกัน มีความภาคภูมิใจในชีวิต
ครอบครัวและกลุ่มชาติพันธ์ุของตนสูง สมาชิกในครอบครัวมีบทบาทหน้าที่
ที่เท่าเทียมกัน และผู้สูงอายุจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของครอบครัว รวมทั้งยังมีการ
รวมกลมุ่ ทางสงั คมเฉพาะทเ่ี ปน็ ญวนดว้ ยกนั เชน่ กลมุ่ ธรุ กจิ การคา้ ทง้ั น้ี ผล อฐั นาค
(๒๕๔๓) ยังได้กล่าวถึงประเพณีการแต่งงานของญวน มีการประกอบพิธีตาม
ขั้นตอนเริ่มจากขั้นดูฐานะทางครอบครัวแต่ละฝ่าย โดยฝ่ายเจ้าสาวจะไปดูตัวและ
ฐานะของเจ้าบ่าวเป็นอันดับแรก ต่อมาฝ่ายเจ้าบ่าวจึงจะไปดูตัวและฐานะของ
เจ้าสาว หลังจากตกลงค่าสินสอดแล้วจะนำ�สินสอดมาใส่รวมกันในปี๊บ ในพิธี
แต่งงานจะมีการด่ืมนำ้�ชาและไหว้บรรพบุรุษ โดยฝ่ายเจ้าสาวจะจัดทํา “ขนมฮำ�”
เพอ่ื นำ�ไปไหว้บรรพบรุ ุษทัง้ สองฝ่าย (ผล อัฐนาค, ๒๕๔๓)
๔๓
ความเชอ่ื
ญวนมคี วามเช่ือในเรือ่ งภตู ผีวิญญาณหรอื สง่ิ เหนอื ธรรมชาติ มีการประกอบ
พิธีกรรมตามความเช่ือ คือ “หมอจ๋ิน” เป็นพิธีกรรมเก่ียวกับการปัดรังควานของ
ผีภัยให้ออกจากร่างกายของผู้ป่วยและเป็นการส่งเสริมส่ิงดีงามให้แก่ผู้คนทั่วไป
นอกจากน้ียังมีความเช่ือในเร่ืองโชคลางหรือสิ่งศักด์ิสิทธ์ิเช่นเดียวกับคนไทยใน
ท้องถิ่น แต่แตกต่างกันในส่วนของการประกอบพิธีกรรม ด้านศาสนามีท้ังที่นับถือ
ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ในส่วนของพิธีศพน้ัน จะถูกจัดข้ึนตามข้ันตอน
โดยพิธีสวดศพจะมีการจ้างตระกูลที่รับจ้างร้องไห้ มาร้องไห้ต่อหน้าศพเพื่อแสดง
การไว้อาลัยญาติพี่น้องจะสวมชุดสีขาวมาร่วมขบวนแห่ศพและมีตัวแทนญาติ
ของผู้ตายทำ�การเดินถอยหลังและใช้มือผลักรถบรรทุกศพเพื่อส่งวิญญาณ ในกรณี
ทีเ่ ป็นญวนนบั ถอื ศาสนาพุทธจะเผาศพ สว่ นญวนท่นี บั ถือศาสนาคริสต์จะฝังศพ
การศึกษา
ในระยะแรกที่ญวนอพยพเข้ามาในปะเทศไทยจะถูกจำ�กัดในเร่ืองการศึกษา
มีเพียงบางคนเท่านั้นท่ีมีโอกาสเข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
ตอนตน้ สว่ นใหญจ่ ะเป็นกลมุ่ คนญวนรุน่ แรก การเรียนรศู้ ึกษาดังกล่าวเพื่อน�ำ ไปใช้
ในการดำ�เนินชีวิตร่วมกับสังคมท้องถ่ินและสังคมไทยทั้งเพื่อการค้าขายด้วย
นอกจากนี้ยังมีการเรียนการสอนภาษาญวนให้แก่บุตรหลานโดยกระทำ�อย่างลับ ๆ
ไม่มีสถานศึกษาที่แน่นอน ปัจจุบันได้รับการศึกษาโดยรัฐบาลเปิดโอกาสให้เรียน
ภายใตก้ ารปรบั ปรงุ แนวทางปฏบิ ตั ใิ นการศกึ ษาใหม่ ตามมตทิ ป่ี ระชมุ คณะกรรมการ
ควบคุมญวนอพยพของสภาความม่ันคงแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๓๙ เมื่อวันที่ ๒๔
พฤษภาคม ๒๕๓๙
๔๔
การแพทย์
เม่ือคนญวนคนใดมีอาการไข้จะมีหมอยากลางบ้านมาทำ�การรักษาโดยใช้
สมนุ ไพรและใชภ้ มู ปิ ัญญาจากการสังเกตอาการของผปู้ ่วย เชน่ การตรวจจับชพี จร
จะรวู้ า่ มอี าการปว่ ยเกย่ี วกบั โรคอะไรขณะเดยี วกนั จะใชย้ าปฏชิ วี นะควบคกู่ นั ไปดว้ ย
แต่เน้นรักษาด้วยสมุนไพรเป็นหลักกรณีท่เี กินความสามารถของหมอกลางบ้านแล้ว
คนป่วยจะถูกนำ�ตัวส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลของรัฐต่อไป ปัจจุบันการรักษา
พยาบาลของคนไทยเชื้อสายญวนที่เจ็บป่วยเล็กน้อยจะรักษาท่ีคลินิกแพทย์
แผนปัจจุบัน หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจะได้รับบริการและสวัสดิการ
เหมอื นคนไทยทว่ั ไป
การแตง่ กาย
การแต่งกายแบบด้ังเดิมคล้ายของชาวจีน จะนุ่งกางเกงขายาวโดยใช้ผ้า
บาง ๆ ทงั้ หญงิ และชาย เสอ้ื คลุมผา่ ข้างยาวคลุมถงึ เขา่ และมผี า้ ม้วนพันรอบศรี ษะ
ท้ังหญิงและชาย ในระยะแรกที่อพยพเข้ามา เด็กผู้หญิงญวนจะสวมใส่กางเกง
ขาก๊วย เสื้อแขนส้ันหรือยาวตัดเย็บด้วยผ้าต่วนหรือผ้าแพรบางมีสีฟ้า สีดํา หรือ
ไม่มีสีและลวดลาย ขึ้นอยู่กับการดำ�เนินกิจกรรม เช่น ทำ�งานเก่ียวกับการเกษตร
จะสวมใส่กางเกงเส้ือผ้าสีดำ�หรือสีน้ําเงินซึ่งย้อมสี สวมหมวกญวนที่เรียกว่า
“กุ๊บ” ส่วนการแต่งกายเม่ือมีพิธีกรรมต่าง ๆ น้ันจะนิยมสวมใส่ชุดพื้นเมืองของ
ชาวเวียดนามท่ีเรียกว่า “โอได๋” หรือ “เอ๋าด่าย” สำ�หรับผู้ชายในวัยเด็กจะสวม
ใส่กางเกงขาสั้น เส้ือยืดคอกลม หรือเส้ือเช้ิตติดกระดุมสีดํา สีขาว หรือสีอื่น ๆ
ตามฐานะและความพอใจ วยั หน่มุ จะแต่งกายเหมอื นชาวไทยทั่วไป วัยชราจะสวม
ใสก่ างเกงขาส้นั เสื้อยืดคอกลม เส้ือกล้าม แต่ในงานพธิ กี รรมตา่ ง ๆ จะสวมใสเ่ ส้ือ
ขาวแขนยาว กางเกงสีดำ�หรือสีน้ําเงิน ยกเว้นพิธีศพจะสวมใส่กางเกงขาก๊วยและ
เสอ้ื แขนยาวหรอื แขนสน้ั สขี าว ในพธิ แี ตง่ งานเจา้ สาวจะสวมชดุ สแี ดง สวมหมวกกบุ๊
เจ้าบ่าวจะสวมเส้ือสขี าว กางเกงสดี ำ�
๔๕
สว่ นคแู่ ต่งงานท่ีอพยพมาจากเวียดนามใต้เจ้าสาวจะสวมชดุ สเี หลอื ง สวม
หมวกกุ๊บ เจา้ บ่าวจะสวมเส้ือสขี าวกางเกงสดี ำ�
ภาพท่ี ๔ การแตง่ กายของชาวไทยเชอื้ สายญวน
ทมี่ า: “ชาวไทยเชอ้ื สายญวน รว่ มงานมหกรรม 10 ชาตพิ ันธ์.ุ ” โดย Gumpon, (2562), ทอล์คนิวส์ เข้าถงึ ไดจ้ าก talknewsonline.
com/120261/.
อาหาร
อาหารญวนท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาหารจีน อาหารท่ีเป็นเอกลักษณ์ของ
ญวน คอื หมูยอ แหนมเนือง ฯลฯ บางพวกอาจนิยมรับประทานเนือ้ สุนขั เช่นเดยี ว
กับชาวจีน ชาวเวียดนามมีวัฒนธรรมการกินคล้ายกับชาวจีน คือ บริโภคอาหาร
จำ�พวกเส้นซึ่งนิยมใช้ตะเกียบ อาหารส่วนมากมีรสชาติจืด ปัจจุบันคนญวนหรือ
คนไทยเชื้อสายเวียดนามนิยมบริโภคอาหารเหมือนกับคนไทยท่ัวไป แต่จะเน้น
อาหารจำ�พวกผักเป็นพิเศษ ผักจะเป็นส่วนประกอบของอาหารทุกมื้อ ในยุคแรก
ที่ญวนอพยพเข้ามา บ้านทุกบ้านจะมีหิ้งบูชาและภาพของโฮจิมินห์และมีการสวด
บูชาโฮจิมินห์ทุกวัน ต่อมาเมื่อทราบว่ากรรมการองค์กรชาวเวียดนามบางคน
ยักยอกเงินไป ชาวญวนอพยพจึงเลิกความเชื่อถือดังกล่าว ปัจจุบันจะไม่พบเห็น
หิง้ บชู าหรอื ภาพถ่ายโฮจมิ นิ หอ์ ีกแลว้ (ผล อฐั นาค, ๒๕๔๓)
๔๖
การสมั ภาษณ์คณุ พอ่ พรชัย สิงหส์ ังข์ ผ้ชู ว่ ยเจ้าอาวาส อาสนวิหาร ในเรือ่ ง
การตั้งถ่ินฐานของญวนท่ีนับถือคริสต์ศาสนานิกายคาทอลิก ได้พูดเร่ืองของคนไทย
เชื้อสายญวน (ที่เป็นคาทอลิก) จากบันทึกหลักฐานในจดหมายวัดนักบุญอันนา
นครสวรรค์ (ปี ค.ศ. ๑๙๐๗ - ๑๙๔๕) กล่อง ๔๐ แฟ้มที่ ๕ ห้องเอกสารอัคร
สังฆมณฑลกรุงเทพฯ (๒๕๕๘) ได้มีการเก็บจดหมายที่เก่ียวข้องกับคนไทยเช้ือสาย
ญวนท่ีนับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งมีจดหมายเป็นหลักฐานอยู่
หลายฉบับ เร่ืองการขออนุญาตสร้างโบสถ์ สร้างโรงเรียน และได้บันทึกถึงกลุ่ม
คริสตชนที่อาศัยอยู่ตามริมแม่นํ้าอันเนื่องมาจากประวัติการอพยพซึ่งได้ย้าย
ถ่ินฐานมาทางเรือล่องแม่นํ้ามาจากกรุงเทพฯ “ไล่มาจากพระนครศรีอยุธยา
บา้ นแป้ง สิงหบ์ รุ ี พรหมบุรี บ้านวา่ ว นครนายก เกาะใหญ่ สองพ่นี อ้ ง มาถงึ ต�ำ บล
โพตก อำ�เภอปากน้ําโพ” (หอจดหมายเหตุ, ๒๕๕๘) ซ่ึงมีเขียนไว้ในจดหมาย
ท้ังหมด ชาวญวนในจังหวัดนครสวรรค์อาศัยอยู่ท่ีเกาะซึ่งอยู่บริเวณเลยปากแม่น้ํา
เจ้าพระยามาเล็กน้อยจนเรียกกันติดปากว่า “เกาะญวน” เป็นท่ีอยู่อาศัยของ
ชาวญวนน่ันเอง ชาวญวนเหล่าน้ีอพยพมาจากสามเสน กรุงเทพฯ โดยเม่ือปี
ค.ศ. ๑๙๑๐ (พ.ศ. ๒๔๕๓) โบสถ์ของชาวคาทอลิกจะต้ังอยู่ตามริมแม่น้ํา เช่น
แมน่ ้ําเจ้าพระยา แม่นํ้าสะแกกรัง เปน็ ต้น ทีบ่ นเกาะญวนแหง่ นจ้ี ะมีโรงเรยี นครสิ ต์
คอื โรงเรยี นนกั บุญอันนา ตามเอกสารไดบ้ ันทกึ ไวใ้ นปี ค.ศ. ๑๙๒๐ (พ.ศ. ๒๔๖๓)
หรือเม่ือ ๑๐๐ ปีมาแล้ว ในจดหมายของบาทหลวงชาวต่างชาติได้เขียนอย่าง
ปรากฏชัดว่า “เกาะญวน” เป็นภาษาโรมันด้วยลายมือซึ่งยากแก่การอ่าน และ
มโี รงเรยี นคาทอลกิ อีกแห่งหนง่ึ คอื โรงเรยี นโชติรวี (หรือลาซาลโชติรวีในปจั จุบนั )
ได้สร้างขึ้นภายหลัง (ประมาณ ๕๐ ปี) โรงเรียนนักบุญอันนามีการเขียน
แบบแปลนอย่างคร่าว ๆ บอกถึงตำ�แหน่งที่ต้ังของโรงเรียน ตำ�แหน่งของโบสถ์
และตำ�แหน่งของบ้านบาทหลวงท่ีเป็นทั้งบาทหลวงและครูใหญ่ กลุ่มชาวญวน
ที่มีอยู่มากอีกกลุ่มก็คือ กลุ่มบางพระหลวง ซ่ึงจะเดินทางด้วยเรือมาทำ�กิจกรรม
เข้าโบสถใ์ นวันอาทติ ย์ และยังมีกลมุ่ หัวดง กลมุ่ หาดเสลา
๔๗
ภาพท่ี ๕ หนังสือจากกระทรวงศกึ ษาธิการเรอื่ งการต้งั โรงเรยี น
และแปลนของโบสถบ์ นเกาะญวน
ท่ีมา: ถา่ ยภาพจากหนังสือจดหมายวดั นักบุญอันนา นครสวรรค์
จากหลักฐานในจดหมายท่ีได้บันทึกถึงการต้ังถ่ินฐานของชาวญวน ในปี
ค.ศ. ๑๘๘๔ (พ.ศ. ๒๔๓๗) การสร้างวัดหลังแรกและมีคนญวนเร่ิมมาตั้งถิ่นฐาน
ในปี ค.ศ. ๑๙๐๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) ในการสรา้ งโรงเรียนนักบุญอนั นา มีจดุ ประสงค์
ก็คือ การสอนศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก การสอนวิชาสามัญ ภาษาไทย
การเขียนและการอ่าน โรงเรียนได้ถูกสร้างขึ้นบนเกาะญวน ตำ�บลโพตก อำ�เภอ
ปากนํ้าโพ จังหวัดนครสวรรค์ มณฑลนครสวรรค์ และในเวลาต่อมาโรงเรียน
ได้ถูกปิดไป เน่ืองมาจากพื้นท่ีของเกาะญวนในสมัยก่อนน้ันเป็นพื้นท่ีตํ่าและมีนํ้า
ทว่ มอยเู่ กอื บทกุ ปี นา้ํ ทท่ี ว่ มไดซ้ ดั ตลง่ิ พงั ลงเรอ่ื ย ๆ ท�ำ ใหไ้ มป่ ลอดภยั ซง่ึ บาทหลวง
อันเดรท่ีเป็นครูใหญ่ในสมัยน้ันเห็นว่าโบสถ์และโรงเรียนอาจเสียหายได้จากการ
กัดเซาะตลิ่งและนํ้าท่วม เลยได้ทำ�การย้ายโรงเรียนมาอยู่บนฝ่ัง ต่อมาก็ได้ทำ�การ
ย้ายมาอยู่ในท่ีปัจจุบัน ซึ่งโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนคาทอลิกก็มีโรงเรียนเซนต์โยเซฟ
นครสวรรค์ โรงเรียนวันทามารีย์เก่าแต่เดิมน้ันเป็นโรงเรียนของวัดคาทอลิกก็มอบ
ให้บาทหลวงเป็นผู้ดูแลและทำ�โรงเรียนต่อไป และโรงเรียนท่ีเป็นคาทอลิกอีกแห่ง
ก็คือ ลาซาลโชติรวี มีคณะผู้บริหารจากคณะภารดาลาซาล ในช่วงแรกจะสอน
๔๘
คนจนี และลกู หลานชาวไทยเชอ้ื สายจนี กอ่ น โรงเรยี นฆาราวาส โรงเรยี นมารยี ว์ ทิ ยา
ส่วนใหญ่คาทอลิกจะใหค้ วามสำ�คัญกับโรงเรียน เนน้ ในด้านภาษาอังกฤษ และเนน้
คณุ ธรรมจริยธรรม
ภาพที่ ๖ งานฉลองวัดนักบุญอันนา นครสวรรค์ ท่ีตั้งอย่บู นเกาะญวน
ทมี่ า : ถา่ ยภาพจากหนงั สอื จดหมายวัดนกั บุญอันนา นครสวรรค์
คุณพ่อพรชัยได้กล่าวถึงกลุ่มคนไทยเช้ือสายญวนว่า ความเป็นอัตลักษณ์
ของคนญวนน้ันไม่มีอีกแล้ว การแสดงถึงเอกลักษณ์ของชนชาติได้ถูกกลืนไป
หมดแล้ว วิถีชีวิต วัฒนธรรมต่าง ๆ ของญวนไม่มีเหลือให้เห็นในสมัยนี้อีกแล้ว
ส่ิงที่เหลืออยู่ในบางครอบครัวแต่ไม่ปรากฏเด่นชัดก็คือ การเคารพบรรพบุรุษ
อย่างเช่นวันตรุษจะมีการมาเยี่ยมครอบครัว ถ้าพ่อแม่ล่วงลับไปแล้วจะไปที่ศาล
ประกอบพิธีกรรม ในสมัยก่อนน้ันหากใครจะแต่งงานกับคาทอลิกจะต้องมีพิธีล้าง
บาปก่อน สมัยน้ีกฎระเบียบเหล่านี้ได้ถูกยกเว้นไปแล้วต่างคนต่างถือศาสนาของ
ตัวเองได้ คนท่ีเป็นคนคาทอลิกหรือคนญวนบางทีก็แต่งงานแล้วหายออกไปเลย
กลายเป็นคนไทยโดยทั่วไปไม่นับถือคาทอลิกอีก การเข้าโบสถ์ในทุกวันอาทิตย์
เป็นกฎของพระผู้เป็นเจ้าเป็นวิถีชีวิตของผู้คน ชาติพันธุ์ เป็นพิธีกรรมทางศาสนา
วิถขี องชาวญวนที่เป็นคาทอลกิ จงึ สญู สิน้ ไป
๔๙
วัฒนธรรมต่าง ๆ ได้ถูกผสมกันไปมาข้ามชาติพันธุ์ท้ังคนไทย คนจีน หรือ
คนญวน พธิ กี รรมตา่ ง ๆ ทเ่ี คยท�ำ เชน่ ในชว่ งเดอื นมกราคมจะเปน็ ชว่ งการรวมญาติ
ที่สุสานบรรพบุรุษ พิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา เช่น พิธีล้างบาป จะเป็นพิธีของ
เด็กที่เกิดได้ ๒ - ๓ เดือน ชาวญวนที่เป็นคาทอลิกจะนำ�เด็กมารับศีลล้างบาป
เวลาคนเสยี ชวี ติ กจ็ ะท�ำ พิธีและน�ำ ไปฝงั ไวใ้ นสุสาน เป็นต้น
ภาพท่ี ๗ น้ําท่วมบรเิ วณวดั บนเกาะญวน
ท่มี า : ถา่ ยภาพจากหนังสอื จดหมายวัดนักบญุ อันนา นครสวรรค์
๕๐
ภาพท่ี ๘ คุณพ่อพรชัย สงิ หส์ งั ข์ ผใู้ ห้ขอ้ มูล
การสัมภาษณ์คุณวัชรินทร์ เป็นชาวบ้านท่ีอาศัยอยู่บนเกาะญวนมาตลอด
ระยะเวลา ๖๓ ปี ซ่งึ คุณวชั รนิ ทร์ไดพ้ ูดถึงคนไทยเชือ้ สายญวนวา่ คนไทยเชอ้ื สาย
ญวนบนเกาะญวนนไี้ มม่ เี หลือแล้ว ส่ิงตา่ ง ๆ ทางด้านประเพณี วัฒนธรรมต่าง ๆ
ของชาวญวนไดถ้ กู กลนื ทางวฒั นธรรมของชาวไทยไปหมดแลว้ สง่ิ ทย่ี งั คงหลงเหลอื
อยู่ในความทรงจำ�ก็คือ ชาวญวนในอดีตส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่บนแพริมแม่น้ํา และ
สถานที่ตั้งของโบสถ์เก่าซ่ึงคนเก่าแก่ได้บอกเอาไว้ก็คือ โบสถ์แห่งแรกนั้นต้ังอยู่
บริเวณด้านหลังของเกาะญวน (บริเวณฝ่ังโรงสูบนํ้า) และส่ิงที่ได้เห็นเมื่อตอนเป็น
เด็กก็คือ อาหารญวนท่ีเรียกว่า “ขนมต้มญวน” ซ่ึงคนท่ีทำ�ก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว
๕๑
ภาพท่ี ๙ คุณวชั รนิ ทร์ ผ้ใู ห้ข้อมูล
ที่มา: “ขนมต้มยวน” วัฒนธรรมพน้ื บ้าน “พยหุ ะครี ี.” โดย สถานขี ่าวTNN ข่อง16, (2563, มีนาคม 30)
เขา้ ถงึ ไดจ้ าก https://www.tnnthailand.com/content/33988.
๕๒
ขอ้ มลู จาก “จดหมายวดั นกั บญุ อนั นา นครสวรรค”์ ปี ค.ศ. ๑๙๐๗ - ๑๙๔๕
(พ.ศ. ๒๔๕๐ - ๒๔๘๘) กลอ่ ง ๔๐ แฟม้ ๕ หอ้ งเอกสารอคั รสงั ฆมณฑลกรงุ เทพฯ
(๒๕๕๘) ไดจ้ ดั ท�ำ หนงั สอื สารสาหน์ โดยผเู้ ขยี นค�ำ น�ำ คอื ณ คร สวรรค์ (นามแผง)
ไดเ้ ขยี นไวใ้ นค�ำ น�ำ เอาไวด้ งั น้ี ค�ำ น�ำ ..ภาพเกา่ เลา่ เรอ่ื งราว
คิดอยู่นานว่าจะหาภาพใดมาเป็นภาพปกหนังสือที่ทำ�ข้ึนมาอย่างไม่เป็น
ทางการเล่มนี้ ซึ่งก็เป็นเพียงหนังสือท่ีรวบรวม เอกสาร ภาพ ข่าว และเร่ืองราว
ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนกับชุมชนความเชื่อแห่งหนึ่งที่เป็นหลักของสังฆมณฑลนครสวรรค์
ในปจั จบุ นั ชมุ ชนชาวญวณ (เวยี ดนาม) อาจเปน็ ชมุ ชนเลก็ ๆ เมอ่ื เทยี บกบั ชาวจนี
ท่ีมีอิทธิพลต่อจังหวัดนครสวรรค์มากมาย ท้ังเรื่องการค้าขายท่ีนำ�รายได้เข้าสู่
จังหวัดนครสวรรค์ ดินแดนปากนํ้าโพ ตั้งแต่สมัยโบราณ ชุมชนชาวญวณ
แห่งดินแดนปากน้ําโพ แม้จะเป็นเพียงหยิบมือเดียวของจังหวัดนครสวรรค์
แตก่ ็สร้างสรรคง์ านด้านตา่ ง ๆ ทั้งด้านการปกครอง ศาสนา การคา้ ฯลฯ
เร่อื งราวของชุมชนคนญวณฯ แหง่ ดินแดนปากน้ําโพ เร่มิ ต้นท่เี กาะแหง่ หน่งึ
กลางแม่น้ําเจ้าพระยา คนญวณสำ�คัญขนาดไหน ลองคิดดู ถึงขนาดมีคนตั้งชื่อ
เกาะตามกลุ่มชนที่อาศัยว่า “เกาะญวณ” แล้วเรื่องราวแห่งความเชื่อก็เริ่มขึ้น
จากเกาะญวณ ผู้คน วัด โรงเรียน เคยมีความคิดตั้งโรงเรียนสำ�หรับเตรียมผู้ท่ีจะ
เป็นครูคำ�สอนแม้ว่าเรื่องราวบนเกาะญวณ เราจะรับรู้ได้เพียงนิดหน่อย แต่จาก
ภาพเก่า ๆ เอกสารตา่ ง ๆ ทพี่ อเรยี บเรยี ง เปน็ เรอ่ื งราวความทรงจ�ำ ไม่นอ้ ย
๕๓
จากเกาะสู่แผ่นดิน เร่ืองราวความเชื่อที่สืบทอดไม่สูญหาย ความรักของ
พระเจา้ ยงั คงอยแู่ ละนเ่ี ปน็ บทเรยี นบทส�ำ คญั ทล่ี กู หลานไมเ่ พยี งแตพ่ ลกิ หนา้ กระดาษ
แหง่ ภาพเกา่ เทา่ นน้ั แตค่ วรจดจ�ำ ความหลงั และน�ำ มาสอนชวี ติ ความเชอ่ื เพอ่ื รกั ษา
ให้ย่งั ยนื ตลอดไป
“ปล. เอกสารชดุ นย้ี งั ไมใ่ ชก่ ารคน้ ควา้ จนถงึ ทส่ี ดุ ซง่ึ ผจู้ ดั ท�ำ ก�ำ ลงั ด�ำ เนนิ การอยู่
ทเ่ี ลอื กภาพนม้ี าท�ำ ปก เพราะสอ่ื ความเปน็ กลมุ่ ชนครสิ ตชนแหง่ ความรว่ มมอื ในงาน
ฉลองชุมชนความเชื่อ สมัยคุณพ่อเทโอฟาน หลง มีเฟื่องศาสตร์ เป็นเจ้าอาวาส
มีพระสงฆ์ นักบวชชาย คณะภารดาลาซาล นักบวชหญิง คณะเซนต์ ปอล เดอ
ชาร์ต และพนี่ อ้ งจากทีต่ า่ ง ๆ”
จาก ณ คร สวรรค์ รวบรวม เรยี บเรยี ง เล่าเรอื่ ง
(หมายเหต:ุ การสะกดในค�ำ น�ำ นใ้ี ชก้ ารสะกดวา่ “ญวณ” ไมเ่ หมอื น ญวน ในปจั จบุ นั )