The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 64040200123, 2023-12-10 00:57:18

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลบทที่ 4 เรื่องการพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะและต่อมไร้ท่อ

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล เ ด็ ก ที่ มี ปั ญ ห า ร ะ บ บ ปั ส ส า ว ะ แ ล ะ ร ะ บ บ ต่ อ ม ไ ร้ ท่ อ


1 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล บทที่ 4 เรื่อง การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะและต่อมไร้ท่อ จัดท ำโดย นำงสำวกรธิดำ นำงสำวรพีพร นำงสำวนันธิตำ นำงสำวอะลิสำ นำงสำวช่อผกำ กำระเกตุ สำยสิม ทบวัน ลำวันดี ตั้งจรูญศรี รหัสนักศึกษำ 63040200107 รหัสนักศึกษำ 64040200120 รหัสนักศึกษำ 64040200121 รหัสนักศึกษำ 64040200122 รหัสนักศึกษำ 64040200123 นักศึกษำคณะพยำบำลศำสตร์ ชั้นปีที่ 3 อำจำรย์ที่ปรึกษำ ผู้ช่วยศำสตรำจำรย์ดร. เพียงเพ็ญ บุษมงคล รำยงำนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชำกำรพยำบำลเด็กและวัยรุ่น 2 (NS29324) ภำคเรียนที่ 2 ปีกำรศึกษำ 2566 คณะพยำบำลศำสตร์ มหำวิทยำลัยรำชภัฏอุดรธำนี


ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่น 2 (NS29324) จัดท าขึ้นเพื่อเป็นการ รวบรวมข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลในการดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแบบองค์รวม เรื่องการ พยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะและต่อมไร้ท่อ ผู้จัดท าหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจศึกษาไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา หากมี ข้อแนะน าหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดท าขอน้อมรับและขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดท ำ


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ.................................................................................................................................................. ก สารบัญ.............................................................................................................................................. ข ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรคไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Glomerulonephritis)............... 1 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค/เรื่อง Nephrotic Syndrome.................................................. 6 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection).................. 18 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Juvenile Diabetes Mellitus................................................. 25 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Diabetes Insipidus................................................................. 30 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Hypothyroidism..................................................................... 33 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Congenital Hypothyroidism................................................ 38 เอกสารอ้างอิง.................................................................................................................................... 47


1 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรคไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute Glomerulonephritis) คำจำกัดความ (Definition) ไตอักเสบเฉียบพลัน (acute glomerulonephritis: AGN) หมายถึงโรคไตที่มีผลมาจากกลไก ทางอิมมูนที่มีผลต่อสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรค (antigen) ทำให้มีการอักเสบและแบ่งตัวของโกลเมอรูลัส ในไตอย่างผิดปกติ (Ball, Bindler, & Cowen, 2014; Bowden & Greenberg, 2014; Kyle & Carman,2013) ข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อนเนื่องจากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย และเซลล์ของร่างกายขาดออกซิเจน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 มีภาวะน้ำเกินและไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากหน้าที่ในการขับน้ำ ออกของไตลดลง ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน hypertensive encephalopathy เนื่องจากมีความดันโลหิตสูง ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 เสี่ยงต่อภาวะไตวายเนื่องจากมีการอักเสบของโกลเมอรูลัสมากขึ้น ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 มีภาวะวิตกกังวลเนื่องจากการรักษาถูกจำกัดกิจกรรม วัตถุประสงค์ (Objective)เพื่อให้ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้อน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 เพื่อไม่เกิดภาวะหัวใจวาย และเซลล์ของร่างกายขาดออกซิเจน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 เพื่อรักษาสมดุลของสารน้ำในร่างกาย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 เพื่อป้องกันตรายจากภาวะ hypertensive encephalopathy ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 เพื่อป้องกันการเกิดภาวะไตวายหรือเสียหน้าที่ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัว การประเมินผล (Assessment) 1. ไม่มีอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ 2. อัตราการเต้นของชีพจรปกติ และระยะสม่ำเสมอ 3. ไม่มีอาการเหนื่อยหอบนอนราบไม่ได้ 4. ไม่อาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว หรือคลื่นไส้อาเจียน 5. ผล Lab ปกติ : BUN creatinine Na K ปกติ 6. ผู้ปกครองสามารถดูแลบุตรได้ถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน


2 การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning) 1. ผู้ป่วยปลอดภัยไม่เกิดอันตรายจากการเกิดภาวะแทรกซ้อน 2. ผู้ป่วยและญาติคลายความวิตกกังวล 3. ผู้ป่วยไม่เกิดภาวะหรือความพิการ การบันทึก (Documentation) บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอาการ สัญญาณชีพ การทำหัตถการ การให้สารน้ำและยา ลักษณะและปริมาณของ ปัสสาวะและอาการผิดปกติต่างๆลงในบันทึกการพยาบาล ขั้นตอนการปฏิบัติ (Implementation) กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อนเนื่องจากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 1) ดูแลด้วยเทคนิคปลอดเชื้อในการทำหัตถการต่างๆ 2.ให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยเด็กและครอบครัวเกี่ยวกับการดูแล สุขอนามัยส่วนบุคคลและการป้องกันการติดเชื้อจากแหล่งชุมชน รวมทั้งดูแลความสะอาดของผู้ป่วยและผู้ดูแล 3) ประเมินอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อของผู้ป่วย (ระบุอาการแสดงการติดเชื้อในระบบต่างๆ) 4) ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง: CBC, hemoculture, UA, urine culture 5) ดูแลการได้ยาปฏิชีวนะตามแนวการรักษาของแพทย์ ให้ระบุ ชื่อยา ขนาดของยา และเวลาที่ให้ พร้อมทั้งสังเกตอาการ ข้างเคียงของยา (ระบุให้ชัดเจน) และให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองทราบ ถึงเหตุผลของการให้ยาและทราบถึงอาการข้างเคียงของยา 1) เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติด เชื้อ 2) เพื่อส่งเสริมอนามัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยและ ผู้ดูแล 3) เพื่อประเมินอาการของการติดเชื้อ 4) เพื่อสังเกตความผิดปกติของผลทาง ห้องปฏิบัติการ 5) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของ แพทย์ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวาย และเซลล์ของร่างกายขาดออกซิเจน 1) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยา digitalis ตามแผนการรักษา บันทึก สัญญาณชีพก่อนและหลังได้รับยาพร้อมกับสังเกตอาการ อาการ แสดงและระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดจากการได้รับยาดูแลให้ ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาทั้งชนิด วิธีการ และขนาด ความเข้มข้น 2) ให้ออกซิเจนที่มีความชื้นด้วย mask หรือ cannula ในขนาด ความเข้มขัน 3 ลิตร/นาที และตรวจดูการไหลของออกซิเจน สังเกตอาการของการได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เช่น อาการ 1) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของ แพทย์ และเพื่อเฝ้าระวังอันตรายที่เกิดจากการ ได้รับยา 2) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับออกซเจนอย่างเพียงพอตาม แผนการรักษาของแพทย์และไม่เกิดภาวะพร่อง ออกซิเจน 3) เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน 4) เพื่อให้ผู้ป่วยได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ


3 เขียวตามปลายมือ ปลายเท้า รอบริมฝีปาก ใบหน้า หายใจหอบ มากขึ้น กระสับกระส่าย 3) ให้นอนศีรษะสูงประมาณ 30-45 องศา เพื่อให้มีเนื้อที่ปอด ขยายได้มากขึ้น และกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงทำงานได้สะดวก 4) จัดสภาพแวดล้อมให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 มีภาวะน้ำเกินและไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากหน้าที่ในการขับน้ำออกของไต ลดลง 1) ประเมินภาวะบวมของผู้ป่วยโดยเฉพาะบริเวณรอบๆตา และ อาการบวมตามร่างกายทุกวัน และให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและ ผู้ดูแลถึงการประเมินภาวะบวมในแต่ละวัน 2) คำนวณปริมาณสารน้ำที่ผู้ป่วยควรได้รับต่อวันและวาง แผนการได้รับสารน้ำโดยระบุปริมาณในแต่ละเวรร่วมกับผู้ป่วย และครอบครัว อธิบายเหตุผล 3) ชั่งน้ำหนักทุกวันในเวลาเดิมด้วยเครื่องชั่งเดิม และจดบันทึก ปริมาณสารน้ำเข้า และออกจากร่างกายอย่างน้อยเวรละครั้ง อธิบายเหตุผลของการบันทึกและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและ ผู้ดูแลถึงเหตุผลของการประเมินน้ำหนักรายวันจำกัดอาหารเค็ม ตามแนวการรักษา และให้ความรู้ถึงประเภทอาหารหรือขนมที่มี เกลือมาก เช่น อาหารที่ปรุงรสด้วยผงชูรส ขนมกรุบกรอบ ขนม ถุงต่างๆและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและผู้ดูแลถึงเหตุผลของการ จำกัดอาหารดังกล่าว 4) ลดหรืองดอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยหอม ส้ม ลูกเกด องุ่น 5) ติดตามผล e'lyte และรายงานแพทย์หากมีความผิดปกติ ดูแลการได้รับยาขับปัสสาวะ (ถ้ามี) ตามแนวการรักษาของแพทย์ และอธิบายเหตุผลของการให้ยารวมทั้งสังเกตอาการข้างเคียง และปริมาณปัสสาวะหลังรับยา 1) เพื่อประเมินภาวะบวมและสังเกตความผิดปกติ ที่เกิดขึ้น 2) เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากภาวะน้ำเกิน และเพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจถึงหลักการ พยาบาล 3) เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำเกินและสังเกต อาการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ 4) เพื่อป้องกันการคั่งของโพแทสเซียมในหลอด เลือด และภาวะแทรกซ้อนจากการคั่งของโพแท สเซี่ยม 5) เพื่อติดตามอาการและอาการแสดงของผู้ป่วย และเพื่อสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน hypertensive encephalopathy เนื่องจากมีความ ดันโลหิตสูง 1) วัดความดันโลหิตอย่างน้อยทุก 4 ชม. และแจ้งให้ผู้ป่วยหรือ ผู้ดูแลทราบผล และอธิบายเหตุผลของการวัดความดันโลหิตให้ ผู้ป่วยและญาติทราบ 2) ให้นอนพักที่เตียง ถ้ามีความดันโลหิตสูงมากกว่าค่าปกติ 1) เพื่อติดตามอาการและอาการแสดงและสังเกต อาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น 2) เพื่อรักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในค่าปกติ 3) เพื่อสังเกตุอาการและอาการแสดงที่ผิดปกติ


4 ตามวัย และบันทึกความดันโลหิตทุก ½-1 ชม. เพื่อประเมิน ความรุนแรงของความดันโลหิตสูง 3) สังเกตอาการปวดศีรษะ อาเจียน ซึม ความคิดสับสน แน่น ท้อง ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน และชักซึ่งเป็นอาการทางสมองที่ เนื่องมาจากความดันโลหิตสูง (hypertensive encephalopathy) 4) ดูแลให้ได้รับยาขับปัสสาวะ หรือยาลดความดันโลหิตตามแนว การรักษา (ระบุชื่อยา ขนาด หนทางเวลาที่ให้ และอาการ ข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวังให้ชัดเจน) 5) กรณีที่ความดันโลหิตสูง และเกรงว่าจะมีการชัก ควรเตรียม ชุดให้สารละลายเพื่อเปิดเส้นเลือด 4) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา 5) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพยาบาลอย่างทันท่วงที ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 เสี่ยงต่อภาวะไตวายเนื่องจากมีการอักเสบของโกลเมอรูลัสมากขึ้น 1) สังเกตและบันทึกการปัสสาวะ หากพบว่ามีอาการปวด ปัสสาวะขุ่น หรือมีเลือดปนให้รายงานแพทย์ 2) ติดตามและประเมินผลการทำหน้าที่ของไต: BUN,creatinine, UA, Urine C/S 3) ประเมินและบันทึกสมดุลของปริมาณสารน้ำเข้าและออกทุก 4 ชั่วโมง 4) ติดตามผลการตรวจพิเศษต่างๆ (ถ้ามี) เช่น Plain KUB, IVP 5) ดูแลให้ Absolute bed rest และติดตามระดับความดันเลือด ทุก 4 ชั่วโมง 6) ประเมินอาการบวมโดยการจำกัดเกลือในอาหารที่บริโภคแต่ ละวัน แนะนำให้ผู้ปกครองดูแลมิให้เด็กรับประทานอาหารปรุง รสเค็ม 7) ดูแลโดยการจำกัดโปรตีนในรายที่มีปัสสาวะน้อยเป็นระยะ เวลานานและในรายที่มี BUN มากกว่า 75- 100 มก. โดยดูแลให้โปรตีนเพียง 0.5 ก./กก/วัน 8) ดูแลโดยการให้ยาขับปัสสาวะร่วมกับยาลดความดันโลหิต ให้ ระบุชื่อยา ขนาดของยา หนทางการให้ แล เวลาที่ให้ พร้อมทั้งสังเกตอาการข้างเคียงของยา (ระบุให้ชัดเจน) และให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองทราบถึง เหตุผลของการให้ยาและทราบถึงอาการข้างเคียงของยา 1) เพื่อสังเกตความผิดปกติอาการและอาการแสดง ของการติดเชื้อ 2) เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน 3) เพื่อติดตามความสมดุลของสารน้ำ 4) เพื่อสังเกตความผิดปกติของผลทาง ห้องปฏิบัติการ 5) เพื่อรักษาระดับความดันให้อยู่ในค่าปดติ 6) เพื่อป้องกันนการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะ บวม 7) เพื่อป้องกันภาวะเลือดเป็นกรดจากการสูญเสีย โปรตีนทางปัสสาวะมากและไตทำงานลดลง 8) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของ แพทย์ และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจาก การได้รับยา ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 มีภาวะวิตกกังวลเนื่องจากการรักษาถูกจำกัดกิจกรรม


5 1) ให้ความรู้แก่ผู้ปกครองว่า ผู้ป่วยจะฟื้นตัวได้เร็ว ยุบบวมและ ความดันโลหิตลงสู่ภาวะปกติ ขับปัสสาวะออกดี ประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยจะหายเป็นปกติโดยไม่เป็นโรคซ้ำอีกเนื่องจาก ร่างกายสร้างภูมิต้านทานถาวร แต่อาจตรวจพบเม็ดเลือดแดงใน ปัสสาวะเล็กน้อยนาน 6 เดือน ถึง 1 ปี ผู้ป่วยจึงต้องมารับการ ตรวจเป็นระยะๆจนกว่าจะไม่พบโปรตีนและเม็ดเลือดแดงใน ปัสสาวะ 2) แนะนำให้ผู้ป่วยงดกิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายอย่างหนัก หรือกระทบกระแทก เช่นกีฬากลางแจ้ง เป็นเวลา 1 ปี 3) เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองสอบถามข้อสงสัยต่างๆ 1) เพื่อลดความวิตกกังวลแก่ผุ้ปกครอง 2) เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากความ ดันโลหิตสูง 3) เพื่อให้ผู้ปกครองคลายความวิตกกังวลและไขข้อ สงสัย


6 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค/เรื่อง Nephrotic Syndrome คำจำกัดความ (Definition) Nephrotic Syndrome คือ กลุ่มอาการโรคไต เป็นโรคที่ประกอบด้วยการมีโปรตีนในปัสสาวะ (proteinuria) มากกว่า50 มิลลิกรัม/กิโลกรัมวัน หรือ 3.5 กรัมวัน หรือ 40 มิลลิกรัม/ตารางเมตร/ชั่วโมง มีอัลบูมินในเลือดลดต่ำ (hypoalbuminemia) เหลือน้อยกว่า 2.5 กรัม/เดซิลิตร มีระดับโคเลสเตอรอลใน เลือดเพิ่มขึ้น (hypercholesterolemia) มากกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และมีอาการบวม (edema) (สุข ชาติ เกิดผล, ใน สุขชาติ เกิดผล และคณะ, บรรณาธิการ, 2552) ในบางรายอาจมีความดันเลือดสูงและใน ปัสสาวะมีเลือดด้วย พบบ่อยในเด็กอายุ 2-6 ปี ถ้าอายุมากกว่า 8 ปี จะพบได้ค่อนข้างน้อย อุบัติการณ์ใน เด็กชาย : เด็กหญิง เป็น 1:2 (สุขชาติ เกิดผล, ใน สุขชาติ เกิดผล และคณะ, บรรณาธิการ, 2552) ข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานลดลงจากการมีโปรตีน ในเลือดต่ำ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกินในร่างกาย เนื่องจากมีอัลบูมินในเลือดต่ำ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 แบบแผนโภชนาการเปลี่ยนแปลงมีการเจริญเติบโตช้า เนื่องจากการสูญเสีย โปรตีนทางปัสสาวะ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อผิวหนังถูกทำลายจากการมีภาวะบวม และมีการเคลื่อนไหว ของร่างกายน้อยจากการดำเนินของโรค ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อความทนในการทำกิจกรรมลดลง เนื่องจากการดำเนินของโรค ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องขณะ ได้รับยากดปฏิกิริยาทางอิมมูนทางหลอดเลือดดำ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวล หรือไม่ให้ความร่วมมือในการ รักษาพยาบาล ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 8 เสียงต่อความรู้สึกในภาพลักษณ์เปลี่ยนแปลง เนื่องจากการดำเนินของโรค และผลของยา


7 วัตถุประสงค์ (Objective) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 เพื่อให้ผู้ป่วยมีภาวะสมดุลของน้ำในร่างกาย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 เพื่อให้ผู้ป่วยมีแบบแผนโภชนาการ และมีการเจริญเติบโตที่สมวัย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 เพื่อให้ผิวหนังของผู้ป่วยไม่มีบาดแผลหรือรอยแตก ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน และปฏิบัติตัวได้ถูกต้องขณะ ได้รับยากดปฏิกิริยาทางภูมิด้านทาน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวลลดลง/หมดไป และให้ความร่วมมือ ในการรักษาพยาบาล ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 8 เพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ การประเมินผล (Assessment) 1. ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพปกติ (ไม่มีไข้, ชีพจรปกติ) 2. ค่าเม็ดเลือดขาวในเลือดไม่น้อยกว่า 4,000 เซลล์/ลูกบาศก็มิลลิเมตร 3. ไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อในร่างกาย 4. ไม่มีอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย 5. น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น/ลดลงจนมีน้ำหนักเป็นปกติ 6. มีความสมดุลของสารน้ำที่เข้าและปัสสาวะที่ออก 7. ปัสสาวะสีเหลืองใส ไม่มีฟอง และตรวจไม่พบโปรตีนในปัสสาวะ 8. ไม่มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ 9. โปรตีนในเลือดเพิ่มขึ้น หรืออยู่ในเกณฑ์ปกติ 10. โคเลสเตอรอลลดต่ำลงอยู่ในเกณฑ์ปกติ 11. ผิวหนังของผู้ป่วยไม่มีบาดแผล หรือรอยแตก ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย 12. ทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ 13. ร่วมทำกิจกรรมและเล่นกับผู้ป่วยคนอื่น 14. อาการอ่อนเพลียลดลง 15. ไม่มีอาการของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด 16. ค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะมีค่าอยู่ระหว่าง 1.010-1.020 17. มีสัญญาณชีพโดยเฉพาะค่าชีพจรและความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติตามอายุ 18. ไม่มีการรั่วของยาออกนอกหลอดเลือดดำ


8 19. ผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล 20. ค่าอิเล็คโทรลัยท์ในเลือดปกติ (K + , CI- ) 21. ผู้ป่วยและญาติมีสีหน้ายิ้มแย้ม 22. ผู้ป่วยและญาติพูดคุย ซักถาม ข้อข้องใจต่างๆ กับพยาบาล 23. ผู้ป่วยและญาติให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล 24. ผู้ป่วยมีสีหน้ายิ้มแย้ม พูดคุยกับพยาบาลและผู้ป่วยเด็กคนอื่น 25. ผู้ป่วยลงจากเดียง และทำกิจกรรมต่างๆ กับผู้ป่วยเด็กอื่นๆ 36. ผู้ป่วยไม่พูดถึงภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning) 1. ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อ 2. ผู้ป่วยมีภาวะสมดุลของน้ำในร่างกาย 3. ผู้ป่วยมีแบบแผนโภชนาการ และมีการเจริญเติบโตที่สมวัย 4. ผู้ป่วยมีผิวหนังที่ไม่มีบาดแผล หรือรอยแตก ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย 5. ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ 6. ผู้ป่วยไม่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน 7. ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวลลดลง/หมดไป และให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล 8. ผู้ป่วยยอมรับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ การบันทึก (Documentation) - บันทึกและประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อ - บันทึกและประเมินปริมานน้ำที่ผู้ป่วยได้รับ และปัสสาวะที่ออกในแต่ละวัน รวมทั้งสังเกตสีและลักษณะ ของปัสสาวะ เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลง - บันทึกและประเมินผิวหนังของผู้ป่วย - บันทึกและประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย


9 ขั้นตอนการปฏิบัติ (Implementation) กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานลดลงจากการมีโปรตีนในเลือดต่ำ 1) ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายและปากฟัน โดยปฏิบัติ ดังนี้ - ดูแลให้อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น - ล้างมือก่อน-หลังรับประทานอาหาร - บ้วนปาก/แปรงฟัน ด้วยน้ำยาบัวนปาก/น้ำเปล่า ทุกครั้งหลัง รับประทานอาหาร - แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-ก่อนนอน - ดูแลให้ผู้ป่วยทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังขับถ่าย ปัสสาวะ/อุจจาระ รวมทั้งซับให้แห้ง เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น 2) ให้การพยาบาลผู้ป่วยโดยใช้หลัก aseptic technique ล้างมือ ก่อนและหลังให้การพยาบาลผู้ป่วยทุกครั้ง 3) บันทึกและประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง 4) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และไม่ขัดกับ การรักษา รับประทานอาหารที่สะอาด สุกใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงการ รับประทานผักดิบ ของสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบเลือด แหนม อาหาร ประเภทย่ำต่างๆ เป็นต้น 5) จัดสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยให้สะอาด ไม่จัดให้ผู้ป่วยอยู่ใกล้ชิดด กับผู้ป่วยอื่นที่มีการคิดเชื้อ และแนะนำไม่ให้ญาติที่เป็นหวัด ไอ จาม มาเยี่ยมผู้ป่วย 6) สอนผู้ป่วยให้รู้วิธีหลีกเสี่ยงผู้ป่วยบุคคลอื่น ที่มีการติดเชื้ออยู่ รู้ วิธีการใช้หน้ากากอนามัย รวมทั้งของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า การรับประทนอาหารโดยใช้ช้อนกลาง เป็นเล่นกับผู้ที่ เป็นไข้ ไอ จาม หรือเป็นหวัด 1) เพื่อลดการสะสมของ เชื้อโรค 2) เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปให้ผู้ป่วยและป้องกัน ไม่ให้เกิด cross infection 3) เพื่อประเมินการติดเชื้อ 4) เพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย 5) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 6) เพื่อป้องกันการนำเชื้อเข้าสู่ร่างกาย


10 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) 7) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง และจัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อากาศถ่ายเทได้ดี 8) สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ไอ เจ็บ คอ มีเสมหะ หายใจเร็ว รวมทั้งอาการแสดงของการมีเยื่อบุช่อง ท้องอักเสบ เช่น อาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย ผิวหนังบริเวณหน้าท้องแดงและร้อน ถ้าสัมผัสผู้ป่วยจะแสดง อาการเจ็บปวด ถ้ามีอาการดังกล่าวรายงานให้แพทย์ทราบ 9) ติดตามผล WBC ในเลือด เพื่อวางแผนในการให้การพยาบาล ต่อไป 7) เพื่อผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ 8) เพื่อสังเกตภาะวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ 9) เพื่อติดตามผล WBC ในเลือด และวางแผนใน การให้การพยาบาล ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ผู้ป่วยมีภาวะน้ำเกินในร่างกาย เนื่องจากมีอัลบูมินในเลือดต่ำ 1) ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารจืด (Na restict diet) ไม่ปรุง แต่งรสด้วยน้ำปลา เกลือ ผงชูรส ซ็อส ซีอิ้ว มงในอาหาร ขนมที่ใส่ ผงฟู และขนมกรุบกรอบ เพราะอาหารเหล่านี้มีโซเดียมสูง 2) ดูแลให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีโปรตีนเพียงพอ ซึ่งเป็น โปรตีนจากเนื้อสัตว์ และไข่ที่มีโปรตีนชนิดจำเป็นครบ 3) อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงความสำคัญในการจำกัด อาหารที่มีเกลือพร้อมทั้งยกตัวอย่างอาหารที่ผู้ป่วยสามารถ รับประทานได้และไม่ได้ 4) อธิบายหรือสอนถึงการรับประทานยาสเดียรอยด์ที่ถูกต้อง พร้อมทั้งอธิบายให้ทราบถึงภาวะแทรกซ้อนของยาโดยละเอียด โดยให้รับประทานยาหลังอาหารทันทีและดื่มน้ำตามมากๆ และ จะต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยาเอง 1) เพื่อลดโซเดียมสูง 2) เพื่อเพิ่มโปรตีนในเลือด 3) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีดวามเข้าใจและให้ ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลดียิ่งขึ้น 4) เพื่อให้ผู้ป่วยมีความรู้ในการรับประทานยาที่ ถูกต้อง


11 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) 5) ในกรณีที่ผู้ป่วยบวมมากจนเคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวกและ มีน้ำในเยื่อบุช่องท้อง อาจให้พลาสมา หรืออัลบูมินทางหลอดเลือด ดำ ขนาด 1 กรัม/กิโลกรัม ในเวลา 1 ชั่วโมง แล้วตามด้วยการให้ ยาขับปัสสาวะ ก่อนและหลังให้อัลบูมินต้องวัดความดันโลหิต เพราะอัลบูมินจะไปเพิ่มปริมาณน้ำในหลอดเลือด จนทำให้เกิด ความดันโลหิตสูงได้ รวมทั้งติดตามการถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วยหลัง ให้ยาขับปัสสาวะ และถ้าผู้ป่วยไม่ถ่ายปัสสาวะควรรายงานแพทย์ 6) ประเมินอาการบวมและการมีน้ำเกินในร่างกายโดย 6.1) สังเกตอาการบวมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น เปลือก ตา ใบหน้า แขน ขา 6.2) บันทึกจำนวนน้ำที่ผู้ป่วยได้รับและปัสสาวะที่ออกในแต่ละ วัน รวมทั้งสังเกตสีและลักษณะ ของปัสสาวะเพื่อติดตามอาการ เปลี่ยนแปลง 6.3) ชั่งน้ำหนักตัวผู้ป่วยและบันทึกในแต่ละวันด้วยเครื่องชั่งอัน เดิมทุกวัน 6.4) วัดรอบท้องทุกวันในรายที่มีน้ำในเยื่อบุช่องท้อง 7) ติดตามผลโปรตีนในเลือดและในปัสสาวะเป็นระยะ 1 8) ในรายที่ผู้ป่วยบวมมากและมีน้ำในช่องท้องควรดูแลดังนี้ 8.1) จัดท่านอนศีรษะสูงเพื่อให้ปอดขยายตัวได้ดีขึ้น และพลิก ตะแดงตัวให้ผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่ผิวหนัง 8.2) ดูแลความสะอาดผิวหนังของผู้ป่วยและทาครีมให้ ผิวหนัง จะได้ไม่แห้งแดก 8.3) ตัดเล็บให้สั้น สะอาด และแนะนำไม่ให้แกะเกาผิวหนัง เพราะอาจทำให้เกิดแผลถลอก และ 5) เพื่อประเมินการขับเอาน้ำส่วนที่เกินใน ร่างกายออก 6) เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลงและวางแผนใน การให้การช่วยเหลือกับผู้ป่วย 7) เพื่อประเมินปริมาณโปรตีนที่ออกมาใน 8) เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลงและวางแผนใน การให้การช่วยเหลือกับผู้ป่วย


12 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) เกิดการติดเชื้อตามมาได้ 8.4) ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่างๆ 8.5) จำกัดกิจกรรมผู้ป่วยในรายที่มีลูกอัณฑะ หรืออวัยวะ สืบพันธุ์บวม และทำความสะอาดให้ทุกครั้งหลังขับถ่ายให้สะอาด และแห้งอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น ซึ่งจะทำให้เกิด การติด เชื้อราได้ 8.6) สังเกดอาการหายใจหอบ หายใจลำบาก จากการมีน้ำใน ช่องท้องปัสสาวะ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 แบบแผนโภชนาการเปลี่ยนแปลงมีการเจริญเติบโตช้า เนื่องจากการสูญเสียโปรตีนทาง ปัสสาวะ 1) จัดอาหารที่มีความสมดุลในหมวดหมู่และเหมาะสมกับวัย เด็ก กลุ่มอาการโรคไต จะมีอัตราการเผาผลาญอาหารสูงกว่าธรรมดาถึง 10 เท่า ฉะนั้นพลังงานจะต้องเพียงพอ แต่อาหารที่เด็กได้รับต้อง จำกัดอาหารไขมันให้น้อยกว่าร้อยละ 35 ของพลังงาน โดยเฉพาะ โคเลสเตอรอลควรให้น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม/วัน เพราะผลจาก การที่มีโปรตีนในเลือดต่ำ ส่งผลให้ตับสร้างไขมันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโคเลสเตอรอล จึงควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ที่ติดมัน เช่น หนังไก่ หรืออาหารประเภททอด ไข่แดง 2) เพิ่มอาหารที่มีแคลเซียมสูง การที่ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง มีการดูดซึมน้อยลง และเกิดจากการได้รับสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ทำให้กระดูกชะงักการเจริญเติบโต จึงควรจัดอาหารที่มีแคลเซียม สูงให้ ไม่ต่ำกว่าวันละ 800 มิลลิกรัม นอกจากนี้ควรส่งเสริมให้ อาหารที่มีวิตามินดี ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง เพราะสารเหล่านี้ ในเลือดอาจมีระดับต่ำจนเด็กเกิดอาการกระตุก (tetany) ได้ 3) ประเมินผลการเจริญเติบโต ด้วยการชั่งน้ำหนักทุกวัน และ ตรวจดูระดับโปรตีนในเลือดเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสม 1) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประทานอาหารที่มีความ สมดุลในหมวดหมู่ และเหมาะสมกับวัย 2) เพื่อให้ผู้ป่วยรับแคลเซียมเพิ่มมากขี้น 3) เพื่อติดตามและประเมินน้ำหนัก และตรวจดู ระดับโปรตีนในเลือด


13 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อผิวหนังถูกทำลายจากการมีภาวะบวม และมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย น้อยจากการดำเนินของโรค 1) ดูแลผิวหนังให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะบริเวณที่อับ ชื้น เช่น ขาหนึบ และอวัยวะสืบพันธุ์ 2) ถ้าผู้ป่วยมีอาการบวมที่หนังตาและมีขี้ตา เช็ดบริเวณหนังตาที่ บวมด้วยสำลีชุบน้ำเกลือนอร์มอล และช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำ กิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยลงจากเตียงโดยลำพัง เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้จากการมองเห็นภาพได้ไม่ชัด 3) เปลี่ยนท่านอนให้ผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง 4) บริเวณแขน ขาที่บวม ใช้หมอนหรือผ้านุ่ม ๆ รองไว้ 5) หลีกเสี่ยงการติดพลาสเตอร์ในบริเวณที่มีอาการบวม เนื่องจาก จะทำให้ผิวหนังฉีกขาดได้ง่าย เป็นแผลถลอกและเกิดการติดเชื้อได้ 6) สังเกตผิวหนังบริเวณที่บวมว่ามีรอยแตกหรือมีแผลบ้างหรือไม่ ถ้าพบรายงานให้แพทย์ทราบ 7) ดูแลตัดเล็บของผู้ป่วยให้สั้น สะอาดและไม่มีคม 8) ดูแลทาโลชั่นครีมสำหรับเด็ก ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมให้ ผู้ป่วย 1) เพื่อดูแลผิวหนังให้แห้งและสะอาด 2) เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้จากการ มองเห็นภาพได้ไม่ชัด 3) เพื่อป้องการเกิดแผลกดทับ 4) เพื่อกันการกดทับและช่วยให้เลือดไหลกลับได้ สะดวก 5) เพื่อป้องกันผิวหนังเป็นแผลถลอก 6) เพื่อให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง 7) เพื่อป้องกันการเกิดบาดแผลบริเวณผิวหนัง 8) เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก


14 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อความทนในการทำกิจกรรมลดลง เนื่องจากการดำเนินของโรค 1) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนโดย 1.1) ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น อาบน้ำ การขับถ่าย การรับประทานอาหาร 1.2) จัดสิ่งแวดล้อมและของใช้ให้หยิบจับได้สะดวก 1.3) จัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดและเงียบสงบ 2) ประเมินความสามารถและส่งเสริมให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองใน การทำกิจวัตรประจำวันเท่าที่สามารถทำได้ 3) สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงและประเมินอาการอ่อนเพลีย 4) จัดกิจกรรมการเล่นในสิ่งที่ผู้ป่วยสนใจ และให้เหมาะสมตาม สภาพของผู้ป่วย เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือนิทาน/ธรรมะ วาดภาพ ระบายสี ดูโทรทัตน์ เป็นตัน 5) อยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วย 6) แนะนำญาติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อผู้ป่วยที่เหมาสม สนับสนุน ผู้ป่วยที่สามรถช่วยเหลือตนเองได้ให้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วย ตนเอง เช่น การแต่งตัว การรับประทานอาหาร การทำกิจกรรมที่ ชอบ 1) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ 2) เพื่อฝึกให้ผู้ป่วยทำได้เองเมื่ออาการดีขึ้นและ รู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถ 3) เพื่อวางแผนในการดูแลผู้ป่วยต่อไป 4) เพื่อผู้ป่วยจะได้มีกิจกรรมที่ชอบจะได้ไม่มีเวลา ว่างและคิดกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของ ตนเอง 5) เพื่อสังเกตอาการต่างๆ และให้ความช่วยเหลือ เมื่อผู้ป่วยต้องการ 6) เพื่อให้ผู้ป่วยสามรถช่วยเหลือตนเองได้ในการ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน


15 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องขณะได้รับยากด ปฏิกิริยาทางอิมมูนทางหลอดเลือดดำ 1) ดูแลให้ผู้ป่วยนอนพักบนเตียง และอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยช่วยเหลือ ในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การขับถ่าย การรับประทาน อาหาร 2) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา และดูแลให้ยา premedication เช่น kytilzofran ทางหลอดเลือด ดำ ก่อนให้ยา Cyclophosphamide (CTX) 3) ประเมินสัญญาณชีพ ขณะให้ยาทุก 15 นาที 4) สังเกตและตรวจสอบบริเวณที่ให้ยาอยู่เสมอว่ามีการรั่วของยา การอักเสบ บวม แดง หรือไม่ 5) กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมาก ๆ (มากกว่า 1,500 ซีซี/วัน) และให้ ถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่ปวดถ่ายเพราะการกลั้นปัสสาวะจะทำให้ยา CTX ตกค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนาน ซึ่งยาจะยังคงมีฤทธิ์ทำจะ ทำลายเซลล์ของกระเพาปัสสาวะได้นานขึ้น ทำให้เกิด ภาวะ hemorrhagic cystitis 6) สังเกตสีของปัสสาวะว่ามีเลือดปนหรือไม่ มีอาการปวดเวลาถ่าย ปัสสาวะไหม หรือถ้ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ ให้บอกกับพยาบาล หรือแพทย์ที่ดูแลทันที 7) เก็บปัสสาวะให้แพทย์ตรวจดามแผนการรักษาและติดตามค่า ความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะมากกว่า 1.015 ใน 24 ชั่วโมง 1) เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวบริเวณที่ให้ยาทาง หลอดเลือดดำ และให้ได้รับขนาดของยาตาม อัตราหยดที่กำหนด รวมทั้งไม่ให้เกิดการรั่วซึม ของยาออกนอกหลอดเลือด 2) เพื่อลดอาการข้างเคียงของยากปฏิกิริยาทาง ภูมิต้านทาน 3) เพื่อประเมินอาการเปลี่ยนแปลง ถ้าพบความ ผิดปกติควรรายงานแพทย์ทราบทันที 4) เพื่อประเมินบริเวณที่ให้ยามีการรั่วของยา การอักเสบ บวม แดง หรือไม่ 5) เพื่อการได้รับน้ำจะเป็นการช่วยให้ยาถูกขับ ออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น กระเพาะปัสสาวะก็จะ ไม่ถูกทำลายายเซลล์อยู่ 6) เพื่อประเมินสีของปัสสาวะว่ามีเลือดปนหรือไม่ มีอาการปวดเวลาถ่ายปัสสาวะไหม 7) เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่


16 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) 8) ขณะให้ยา CTX สังเกตอาการคลื่นไส้ อาเจียน (ถ้ามี) และบันที่ กลักษณะ จำนวนครั้งและปริมาตร 9) ติดตามค่า WBC ในเลือดของผู้ป่วย เพราะยามีผลต่อการกด การสร้างเม็ดเลือด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย 8) เพื่อสังเกตอาการข้างเคียงของยา 9) เพื่อติดตามค่า WBC ในเลือด ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 ผู้ป่วยและญาติมีความวิตกกังวล หรือไม่ให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล 1) อธิบายให้ผู้ป่วย และญาติเข้าใจถึงภาวะโรคที่เป็น การรักษา ต้องใช้เวลานาน และต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ ผู้ป่วยและญาติมีความเข้าใจ และให้ความร่วมมือในการรักษา 2) อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวให้ เหมาะสม เช่น การจำกัดอาหารบางชนิดเป็นต้น 3) อธิบายผลดี ผลเสียที่จะเกิดกับผู้ป่วยเมื่อไม่ให้ความร่วมมือ อาจทำให้มีอาการของโรครุนแรงขึ้น 4) อยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยและให้กำลังใจ รวมทั้งหาของเล่นที่ผู้ป่วย ชอบมาให้เล่น 5) รับฟังปัญหาและตอบข้อชักถามของญาติด้วยความเต็มใจ 1) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติให้ความร่วมมือในการ รักษา 2) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง เหมาะสม และช่วยควบคุมไม่ให้มีอาการของโรค กลับเป็นซ้ำ 3) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติไว้วางใจและให้ความ ร่วมมือ 4) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติมีสัมพันธภาพที่ดีกับ พยาบาล 5) เพื่อทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้วางใจ และคลาย ความวิตกกังวล ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 8 เสี่ยงต่อความรู้สึกในภาพลักษณ์เปลี่ยนแปลง เนื่องจากการดำเนินของโรคและผลของ ยา 1) ประเมินความรู้สึกของผู้ป่วยต่อภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลง 1) เพื่อเป็นข้อมูลในการให้การพยาบาล


17 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) 2) เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกและสังเกตพฤติกรรม ของผู้ป่วยที่แสดงออก เช่น ไม่พูดคุยไม่ลงมาทำกิจกรรมร่วมกับ ผู้ป่วยอื่นๆ ส่องกระจกบ่อยๆ 3) ยอมรับในสิ่งที่ผู้ป่วยแสดงออก และรับฟังในสิ่งที่ผู้ป่วยพูดโดย ไม่ขัดจังหวะ 4) อธิบายผลของการดำเนินโรค และผลข้างเคียงของยา ซึ่งถ้า ผู้ป่วยหาย หรือควบคุมโรคจนหยุดยาได้อาการข้างเคียงของยาจะ ค่อยๆ ลดลงจนหมด 5) ส่งเสริมและแนะนำกลุ่มเพื่อนโรคเดียวกัน 6) สังเกตว่าผู้ป่วยสนใจกิจกรรมชนิดใด และกระตุ้นให้ทำกิจกรรม ที่ทำได้ดี เช่น งานประดิษฐ์ต่างๆ งานฝีมือ ช่วยทำงานในหอผู้ป่วย ช่วยดูแลผู้ป่วยอื่นที่มีอายุน้อยกว่า เป็นต้น 7) ให้กำลังใจและอยู่เป็นเพื่อนผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ 2) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึก และสังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วยที่แสดงออก 3) เพื่อให้ผู้ป่วยไว้วางใจ และให้ความร่วมมือ 4) เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงการดำเนินโรค และ ผลข้างเคียงของยา 5) เพื่อให้ผู้ป่วยมีสังคม และปรับตัวได้ไม่คิดว่า ตนเองถูกทอดทิ้ง 6) เพื่อให้ผู้ป่วยมีความภาคภูมิใจในตนเอง 7) เพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับพยาบาล และให้ความ ร่วมมือ


18 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection) คำจำกัดความ ติดเชื้อทางเดินสสาวะ (urinary tract infection:UTI) หมายถึงการติดเชื้ออย่างน้อยหนึ่งโครงสร้างใน ทางเดินปัสสาวะและเป็นผลให้เกิดการอักเสบขึ้นในทางเดินปัสสาวะ (CDC, 2015) โดยจำแนกเป็นการติดเชื้อ ของระบบปัสสาวะส่วนบน (upper UTI) เช่น กรวยไตอักเสบ (pyelonephritis) และการติดเชื้อของระบบ ปัสสาวะส่วนล่าง (lower UTI) ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (cystitis) และท่อปัสสาวะอักเสบ (urethritis) (Potts, & Mandleco, 2012) ข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่1 เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือมีโอกาสแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่ส่วนอื่น ของร่างกายเนื่องจากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีไข้สูงเนื่องจากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะชักเนื่องจากมีไข้ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 มีการอักเสบของกรวยไตเนื่องจากมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 มีภาวะไม่สมดุลของน้ำและอิเลคโทรลัยท์เนื่องจากไตเสียหน้าที่เฉียบพลัน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 ไม่สุขสบายจากภาวะไข้/ปวดท้อง/ปวดบริเวณหัวหน่าว ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่7 มีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยง/พร่องความรู้ ในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง วัตถุประสงค์(Objective) 1. เพื่อป้องกันการติดเชื้อในร่างกายเพิ่มขึ้น 2. เพื่อป้องกันการติดเชื้อในร่างกายเพิ่มขึ้น 3. ไม่เกิดอาการชักจากภาวะมีไข้ 4. การอักเสบที่กรวยไตลดลง 5. ไม่มีอาการและอาการแสดงของการเกิดภาวะเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ 6. เพื่อให้เด็กสุขสบายขึ้น คลายความเจ็บปวด 7. ไม่มีการติดเชื้อซ้ำ ญาติมีความรู้ในการปฏิบัติตัวถูกต้อง


19 การประเมินผล (Assessment) 1. ไม่มีไข้ ค่า Temperature = 36.5 – 37.4 c 2. ไม่มีอาการแสดงของภาวะชัก เช่น หนาวสั่น แขนขาเกร็ง กระตุก ตาลอย 3. ปัสสาวะออกปกติคืออยู่ในเกณฑ์ 1-4 cc/kg/hr 4. ไม่พบสิ่งคัดหลั่งหรือลักษณะปัสสาวะที่ผิดปกติ เช่น ปัสสาวะขุ่น มีเลือดปน 5. เด็กมีอาการปวดเวลาปัสสาวะลดลง 6. ผู้ดูแลปฏิบัติการดูแลหลังขับถ่ายได้อย่างถูกต้อง 7. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการปกติ UA ,Uc 8. ไม่มีอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ ได้แก่ มีไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น มีชีพจรเต้นเร็ว 9. Pain score ลดลงจากเดิม ไม่มีสีหน้าแสดงความปวด 10. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะ สามารถบอกวิธีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องได้ การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning ) 1. ไม่มีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 2. ไม่มีภาวะไข้ 3. ไม่เกิดภาวะชัก 4. ไม่มีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 5. ไม่มีอาการและอาการแสดงของการเกิดภาวะเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ 6. ไม่มีอาการปวด สุขสบายมากขึ้น 7. ไม่ติดเชื้อซ้ำ ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง การบันทึก(Documentation) บันทึกสัญญาณชีพ, Intake/output, ลักษณะปัสสาวะ,อาการแสดงภาวะติดเชื้อ,ผลตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ,การให้สารน้ำและยา


20 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการติดเชื้อซ้ำซ้อนหรือมีโอกาสแพร่กระจายของเชื้อโรคสู่ส่วนอื่นของร่างกาย เนื่องจากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 1) สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อในระบบอื่นๆได้แก่ตุ่ม หนองท้องเดิน อาเจียน ชัก ซึมลง ในเด็กเล็กมีตัวอ่อนปวกเปียก ร้อง ปลอบไม่หยุด ให้รายงาน 2) สังเกตลักษณะปัสสาวะได้แก่สี ความขุ่น กลิ่นและปริมาณ หากพบ ความผิดปกติให้แจ้งตามลำดับ 3) ดูแลการได้รับยาฆ่าเชื้อตามแผนการรักษา (ระบุชื่อยา ขนาด หนทาง เวลาที่ให้และอาการข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวังให้ชัดเจน) และ อธิบายให้ผู้ปกครองตระหนักถึงความสำคัญของการได้รับยาอย่าง ต่อเนื่อง 4) ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ UA ,UC 5) ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วย และแนะนำผู้ดูแลให้เข้าใจและ ร่วมมือในการปฏิบัติ 6) ให้ข้อมูลความคืบหน้าในอาการและการรักษาแก่ผู้ปกครอง เช่นยา ที่ได้รับอาการที่เปลี่ยนแปลง เพื่อให้ผู้ปกครองได้รับทราบข้อมูลอย่าง ต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของทีมสุขภาพ (information sharing) ตามแนวคิดของการดูแลโดยยึดครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (familycentered care) 1) เพื่อประเมินและติดตามอาการติดเชื้อ 2) เพื่อประเมินความผิดปกติของปัสสาวะ 3) เพื่อรักษาภาวะติดเชื้อ 4) เพื่อประเมินความก้าวหน้าของอาการผู้ป่วย 5) เพื่อป้องกันเชื้อโรค 6) เพื่อแจ้งแนวแนวทางการรักษา ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 มีไข้สูงเนื่องจากมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 1) ประเมิน V/S ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกาย (BT) 2) หาก BT >/= 37.5 C ดูแลเช็ดตัวลดไข้หรือดูแลให้ดื่มน้ำมากๆ หาก BT >/= 38.3 C ดูแลให้ได้รับยาลดไข้ตามแนวการรักษาของ แพทย์ (ระบุชื่อยา ขนาดของยา เวลาที่ให้และหนทางที่ให้ ให้ ชัดเจน) 3) ดูแลความสะอาดของสุขวิทยาส่วนบุคคลและ P-care อย่างน้อย เวรละครั้ง 4) ประเมินและบันทึกสมดุลของปริมาณสารน้ำเข้าและออก อย่าง น้อยเวรละครั้ง 1) เพื่อประเมินภาวะไข้ 2) เพื่อรักษาภาวะไข้ ลดอุณหภูมิกาย 3) เพื่อให้สุขวิทยาสะอาด 4) เพื่อประเมินและบันทึกสารน้ำเข้า-ออกร่าย กาย


21 5) แนะนำผู้ปกครองและเด็ก ในการสังเกตลักษณะผิดปกติของการ ขับถ่ายปัสสาวะได้แก่ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะปนเลือดหรือมีหนอง หากพบให้รายงาน 6) ดูแลการได้ยาปฏิชีวนะตามแนวการรักษาของแพทย์ ให้ระบุชื่อยา ชนาดของยา ทนทงการให้และเวลาที่ให้ พร้อมทั้งสังเกตอาการ ข้างเคียงของยา (ระบุให้ชัดเจน) และให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองทราบถึง เหตุผลของการให้ยาและทราบถึงอาการข้างเคียงของยา 5) เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถประเมินภาวะ ผิดปกติได้ 6) เพื่อรักษาภาวะติดเชื้อ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะชักเนื่องจากมีไข้ 1) ประเมินระดับความรู้สึกตัว สังเกตอาการนำและอาการแสดงของ อาการซักเนื่องจากมีไข้ ได้แก่ อาการหนาวสั่น แขนขาเกร็ง กระตุก ตาลอย 2) ประเมินสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกาย เพื่อ ติดตามอาการและอาการแสดงของภาวะซักเนื่องจากมีไข้ 3) เช็ดตัวลดไข้เพื่อเพิ่มการระบายความร้อน (tepid sponge) ควร เช็ดตัวลดไข้ในแต่ละครั้ง นานประมาณ 10-20 นาที หรือตามความ เหมาะสม โดยวัดอณหภูมิร่างกายภายหลังการเช็ดตัว 30 นาที 4) ดูแลให้ได้รับยา Paracetamol syrup (50/0.6) 1 มิลลิลิตร รับประทานทางปาก แก้ปวด ลดไข้ เมื่อมีอาการ ทุก 4-6 ชั่วโมง ตามแผนการรักษาของแพทย์ เฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา ได้แก่ ง่วง ซึม เวียนศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด ตัวเหลือง ตาเหลือง 5) ดูแลให้ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษาของแพทย์ 6) ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการพักผ่อนนอนหลับ เงียบ อาการ ถ่ายเทได้สะดวก 7) ดูแลให้ได้รับนมหรือน้ำอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากไม่มีข้อจำกัด เพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกาย 8) ประเมินและบันทึกความสมดุลของสารน้ำที่ร่างกายได้รับกับ ปริมาณสารน้ำที่ขับออก หากพบความผิดปกติ ให้รายงานแพทย์ เพื่อให้การรักษา 9) เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมเพื่อป้องกันอันตรายจากการซัก 1) เพื่อประเมินอาการแสดงของภาวะชัก 2) เพื่อติดตามและประเมินภาวะชัก 3) เพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกาย 4) เพื่อรักษาภาวะไข้ ลดอุณหภูมิกาย 5) เพื่อให้ได้รับสารน้ำเพียงพอ 6) เพื่อส่งเสริมการพักผ่อน 7) เพื่อลดอุณหภูมิภายในร่างกาย 8) เพื่อประเมินความผิดปกติ 9) เพื่อป้องกันเวลาชัก


22 ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 มีการอักเสบของกรวยไตเนื่องจากมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน 1) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำวันละ 1,500 - 2,000 มิลลิลิตรเพื่อทำให้ ปัสสาวะเจือจางลงและเป็นการขับเชื้อออกร่างกาย 2) บันทึกปริมาณ และสังเกตลักษณะสี กลิ่นปัสสาวะ เพื่อ ติดตามอาการเปลี่ยนแปลง 3) ติดตามผลการตรวจค่าการวิเคราะห์ปัสสาวะ การเพาะ เชื้อจากปัสสาวะ เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลง 4) วัดและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อติดตาม อาการเปลี่ยนแปลงของการติดเชื้อ 5) ดูแลให้ได้รับปฏิชีวนะ(ระบุชื่อยาและปริมาณ ทางการให้) ตามแผนการรักษา และสังเกตอาการข้างเคียง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย 6) ให้คำแนะนำในการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ที่ถูกวิธี เพื่อ ป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายสู่ท่อปัสสาวะ 1) เพื่อทำให้ปัสสาวะเจือจางลงและเป็นการขับ เชื้อออกร่างกาย 2) เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลง 3) เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลง 4) เพื่อติดตามอาการเปลี่ยนแปลงของการติดเชื้อ 5.เพื่อรักษาภาวะติดเชื้อ 6) เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายสู่ท่อ ปัสสาวะ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 ภาวะมีไม่สมดุลของน้ำและอิเลคโทรลัยท์เนื่องจากไตเสียหน้าที่เฉียบพลัน 1) ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะขาดน้ำ และเสียสมดุลอิ เล็กโทรไลต์ เพื่อประเมินประเมินระดับความรุนแรงของภาวะขาดน้ำ และระดับความรุนแรงของภาวะเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ เช่น ริมฝีปาก แห้ง อ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรงความตึงตัวของผิวหนังลดลง 2) หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียน จัดท่านอนตะแคง 3) ชั่งน้ำหนักวันละครั้ง 4) สังเกตและบันทึกปริมาณสารน้ำเข้าและออกจากร่างกาย ทุก 8 ชั่วโมงรวมทั้งสังเกตและบันทึกลักษณะ เพื่อประเมินภาวะขาดน้ำและ แก้ไขได้ทันท่วงที 5) บันทึกสัญญาณชีพ เพื่อประเมินอาการที่เกิดจากความไม่สมดุล ของอิเล็กโทรไลต์และภาวะขาดน้ำ 6) ดูแลให้ได้รับอาหารตามแผนการรักษา ได้แก่ มื้อเช้ารับประทาน อาหารเหลว มื้อเที่ยงรับประทานอาหารอ่อน 7) ดูแลให้ได้รับสารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการ รักษา คือ 5% D/N/3 1000 IV 60 m/./hr. เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ในร่างกายและทดแทนน้ำส่วนที่ร่างกายสูญเสียไปจากการอาเจียน และทางอื่น 1) เพื่อประเมินประเมินระดับความรุนแรงของ ภาวะขาดน้ำ และระดับความรุนแรงของภาวะ เสียสมดุลอิเล็กโทรไลต 2) เพื่อป้องกันอาการสำลัก 3) เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและ การขาดสารอาหาร 4) เพื่อประเมินภาวะขาดน้ำและแก้ไขได้ ทันท่วงที 5) เพื่อประเมินอาการที่เกิดจากความไม่สมดุล ของอิเล็กโทรไลต์และภาวะขาดน้ำ 6) เพื่อฝึกการทำงานของลำไส้ 7) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำในร่างกาย


23 8. ติดตามการตรวจทางห้องปฏิบัติการของอิเล็กโทรไลต์ ได้แก่ Na, K, Cl และ CO2 8) เพื่อประเมินความเสี่ยงของผู้ปวัยถึงภาวะขาด สมดุลอิเล็กโทรไลต์ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 ไม่สุขสบายจากภาวะไข้/ปวดท้อง/ปวดบริเวณหัวหน่าว 1) สังเกตและประเมินอาการปวดทุก 4 ชั่วโมง ด้วย Numerical Rating Scales หากพบว่ามีอาการปวดให้รายงานแพทย์ 2) หาก Pain score < 4 ดูแลให้ได้รับการเบี่ยงเบนด้วยกิจกรรมการ เล่น : วาดภาพระบายสี เกมส์ต่อภาพเกมส์ทายคำ หาก Pain score 2-4 ดูแลให้รับยาแก้ปวดตามแนวการรักษา (ระบุ ชื่อยา ขนาดของยา เวลาที่ให้และหนทางที่ให้ให้ชัดเจน) 3) ประเมิน Pain score หลังได้รับยา และจดบันทึก 4) อนุญาตผู้ปกครองให้นำของเล่นหรือสิ่งที่เด็กชอบมาช่วยเบียงเบน ในยามที่เด็กปวด เช่นตุ๊กตาตัวโปรด หมอนหรือผ้าห่มที่เต็กติด 5) สอนให้ผู้ปกครองจดบันทึกและประเมินความปวดของเด็ก ให้มี รายละเอียดทั้งเวลา ตำแหน่งที่ปวด พฤติกรรมที่แสดงออกขณะปวด เพื่อให้ได้ข้อมูลระยะเวลา ความถี่และอาการที่แสดงออกขณะที่ปวด รวมทั้งให้ยา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้พยาบาลควรจัดระบบบันทึกและสอนให้ ผู้ปกครองบันทึกเองได้ 6) ประเมินการพักผ่อนของเด็กว่าเพียงพอหรือไม่ เช่น เต็กมีท่าทางสด ชื่นหรืออ่อนเพลีย 7) ประเมิน V/S ทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิกายหาก BT 37.5 ˚C ให้เช็ดตัวลดไช้หรือดูแลให้ดื่มน้ำมากๆ หาก BT 38.3 ˚C ดูแลให้ ได้รับยาลดไข้ตามแนวการรักษาของแพทย์ (ระบุชื่อยา ขนาดของยา เวลาที่ให้และหนทางที่ให้ให้ชัดเจน) 1) เพื่อประเมินความปวด 2) เพื่อลดความปวด 3) เพื่อประเมินความปวดหลังให้การพยาบาล 4)เพื่อเบี่ยงเบนความปวด 5)เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถประเมินและบันทึก ความปวดได้ 6) เพื่อส่งเสริมการพักผ่อนให้เพียงพอ 7) เพื่อประเมินและรักษาภาวะไข้ ลดอุณหภูมิ กาย


24 ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 มีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยง/พร่องความรู้ในการปฏิบัติตัว ที่ถูกต้อง 1) ให้ดื่มน้ำมากๆ วันละ 1,500 - 2,000 มิลลิลิตร โดยสามารถ ปรับเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ หรือน้ำหวานได้ เพื่อช่วยให้ร่างกายขับเชื้อ โรคที่อยู่ในทางเดินปัสสาวะออกได้ดีขึ้น 2) สอนวิธีการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ที่ถูกต้อง คือในเด็กหญิง ให้ล้างจากข้างหน้าไปข้างหลังไม่ย้อนไปมา เพื่อป้องกันการนำเชื้อจาก ทวารหนักเข้าสู่ท่อปัสสาวะ และในเด็กชายให้รูดบริเวณหนังหุ้มปลายองคชาติให้เปิดออก แล้วทำ ความสะอาดทุกวัน 3) รับประทานยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควร หยุดยาเอง แม้ว่าจะไม่มีอาการแล้วก็ตาม เพราะหากหยุดยาเองอาจ ทำให้กลับเป็นซ้ำได้ 4) ไม่ควรกลั้นปัสสาวะให้ถ่ายทุกครั้งที่รู้สึกปวดหรืออย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง และแนะนำให้ถ่ายปัสสาวะจนหมดโดยให้ปัสสาวะช้ำหลังจาก ปัสสาวะครั้งแรก 2-3 นาที เพื่อไม่ให้มีปัสสาวะค้างในกระเพาะ ปัสสาวะ 5) หากมีอาการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปวดขณะถ่ายปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์ทันที เพื่อติดตามผลการรักษา 6) ระมัดระวังไม่ให้เด็กมีอาการท้องผูกโดยดื่มน้ำ และรับประทานผัก ผลไม้อย่างเพียงพอ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการกลั้นอุจจาระ ฝึกให้ ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาเพราะหากท้องผูกจะเป็นเหตุส่งเสริมให้ติดเชื้อ ทางเดินปัสสาวะ 1) เพื่อช่วยให้ร่างกายขับเชื้อโรคที่อยู่ในทางเดิน ปัสสาวะ 2) เพื่อป้องกันการนำเชื้อจากทวารหนักเข้าสู่ ทางเดินปัสสาวะ 3) เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ 4) เพื่อไม่ให้มีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ 5) เพื่อติดตามผลการรักษา 6) เพื่อป้องกันภาวะท้องผูก


25 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Juvenile Diabetes Mellitus คำกำจัดความ (Definition) เบาหวาน คือ โรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถสร้าง insulin ได้เพียงพอหรือร่างกายไม่สามารถ ใช้insulin ได้ทำให้ร่างกายไม่สามารถดึงเอาน้ำตาลจากในเลือดเข้าสู่ cell ได้ก่อให้มีน้ำตาลสูงค้างอยู่ใน เลือด และไม่สามารถนำน้ำตาลนั้นไปใช้เป็นพลังงานได้เกิดเป็นเบาหวาน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง หมายถึง ภาวะที่น้ำตาลในเลือดสูงเกิน 120 mg/dl พบมากในทารกเกิดก่อน กำหนด ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าอายุครรภ์ ทารกที่มีการติดเชื้อ หรือทารกที่มีภาวะขาดออกซิเจน เป็นต้น ข้อวินิจฉัยทางการการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการได้รับอันตราจากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกเสี่ยงจากอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 บิดามารดาวิตกกังวลต่ออาการเจ็บป่วยของบุตร วัตถุประสงค์ (Objective) เพื่อให้ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการได้รับอันตราจากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เพื่อให้ทารกไม่ได้รับอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกเสี่ยงจากอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติและปลอดภัยจากภาวะ hypoglycemia ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 บิดามารดาวิตกกังวลต่ออาการเจ็บป่วยของบุตร เพื่อคลายความวิตกกังวลของบิดามารดา การประเมินผล (Assessment) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการได้รับอันตราจากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 1) Fasting blood sugar (FBS) ไม่ควรเกิน 120 mg/dl 2) Vital sign - Body temperature 36.5-37.4 ˚C - O2 saturation มากกว่าหรือเท่ากับ 90% - RR 40-60 ครั้ง/นาที - Heart rate 100-160 mmHg 3) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ดังนี้ ทารกมักจะเริ่มปรากฏอาการใน 24 ชั่วโมงแรก และก่อนอายุ 3 วัน มีน้ำตาลในปัสสาวะและ ปัสสาวะออกมาก ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้หวาน มีความผิดปกติทางระบบประสาทร่วมด้วย


26 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกเสี่ยงจากอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 1) DTX 50-130 mg/dl 2) Vital sign - Body temperature 36.5-37.4 ˚C - O2 saturation มากกว่าหรือเท่ากับ 90% - RR 40-60 ครั้ง/นาที - Heart rate 100-160 mmHg 3) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ดังนี้ - อาการสั่น (tremor) ซีด หยุดหายใจ ร้องเสียงแหลม เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ตากรอกไปมา ชัก กระตุกเฉพาะที่หรือไม่รู้สึกตัว เหงื่ออก ตัวเย็น ซึม ไม่ดูดนม สะดุ้งผวา ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 บิดามารดาวิตกกังวลต่ออาการเจ็บป่วยของบุตร 1) บิดามารดาบอกว่าคลายความวิตกกังวล มีสีหน้าสดชื่น 2) มาเยี่ยมบุตรสม่ำเสมอและช่วยดูแลผู้ป่วย การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการได้รับอันตราจากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกเสี่ยงจากอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 บิดามารดาวิตกกังวลต่ออาการเจ็บป่วยของบุตร บิดามารดาคลายความวิตกกังวล และมีความผูกพันกับบุตร การบันทึก (Documentation) อาการ อาการแสดง ระดับน้ำตาลในเลือด ปริมาณสารน้ำเข้าออก และสัญญาณชีพ


27 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการได้รับอันตราจากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 1) ดูแลให้ทารกได้รับสารน้ำสารอาหารทางหลอด เลือดดำอย่างถูกต้องทั้งชนิด ขนาด จำนวน และ เวลาตามแผนการรักษา 2) บันทึกปริมาณสารน้ำ สารอาหาร และปริมาณ ปัสสาวะทุกวัน 3) ชั่งน้ำหนักอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง 4) ประเมินภาวะขาดน้ำ เช่น ความตึงตัวของผิวหนัง ผิวหนังแห้ง ตาโหล และประเมินความผิดปกติของ สมอง เช่น อาการซึม หายใจเร็ว เขียว เป็นต้น 5) ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ และสัญญาณชีพ 1) เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง 2) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ 3) เพื่อประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ ขาดน้ำ 4) เพื่อติดตามผล ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 ทารกเสี่ยงจากอันตรายจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ 1) ดูแลให้ทารกได้รับสารน้ำและอาหารอย่าง เหมาะสมเพียงพอตามสภาวะของทารก 1.1) ในกรณีที่ทารกแข็งแรงปกติ ไม่แสดงอาการ ของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ตื่นตัว และดูดกลืนได้ ดี ควรเริ่มให้นมแม่โดยเร็วภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลัง เกิด และให้ต่อเนื่องกันตามความต้องการของทารก ทุก 2-3 ชั่วโมง ร่วมกับการควบคุมอุณหภูมิกายของ ทารกให้อยู่ในระดับปกติ ในกรณีที่ทารกตัวโตมาก หรือมีน้ำหนักตัวมากเมื่อเทียบกับอายุครรภ์ น้ำนม แม่ยังน้อย อาจไม่เพียงพอจำเป็นต้องให้นมเพิ่ม โดย ใช้วิธีป้อนด้วยถ้วยหรือช้อนตามภายหลังจากให้ ทารกดูดนมแม่แล้ว 1.2) ทารกที่มีภาวะเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือด ต่ำ โดยเฉพาะทารกเกิดก่อนกำหนด SGA LGA perinatal asphyxia ทารกป่วย หรือแม่เป็น เบาหวาน พบบ่อยว่ามักจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือด 1) เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ


28 ต่ำได้ภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิด ให้การพยาบาล ดังนี้ - ทารกแสดงอาการหิว ดูดนมได้ดี ให้ดูดนมแม่ โดยเร็วภายใน 1 ชั่วโมงแรกหลังเกิด และดูดต่อไป ทุก 2-3 ชั่วโมง - ทารกไม่แสดงอาการหิว และดูนมแม่ได้น้อย ต้อใช้วิธีบีบน้ำนม แม่ป้อนให้ทารกด้วยถ้วยหรือทาง สายให้อาหารทางปาก และถ้าไม่สามารถให้นมแม่ หรือบีบน้ำนมแม่ได้เต็มที่ จำเป็นต้อวให้นมอื่นที่ เหมาะสมเพิ่มจากนมแม่ โดยใช้การป้อนด้วยถ้วย หรือทางปาก และควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ภายหลังให้นม 1 ชั่วโมง และควรตรวจก่อนในมื้อ ต่อไปด้วย ถ้ายังต่ำอยู่อาจจำเป็นต้องพิจารณาให้ กลูโคสทางหลอดเลือดดำ และคงให้นมแม่อยู่ต่อไป 1.3) ทารกมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแม้จะไม่ แสดงอาการ ถ้าดูดได้ดี และสามารถให้นมแม่ได้ 1.4) หากมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำและมีอาการ แสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ หยุดหายใจ เขียว สั่นหรือชัก จะต้องตรวจระดับน้ำตาลอย่าง เร่งด่วน และให้กลูโคสทางหลอดเลือดดำ (dextrose 10% in water) 2) ควบคุมอุณหภูมิห้องและดูแลให้ความอบอุ่นแก่ ทารก 3) ติดตามผลการตรวจหาระดับน้ำตาลเป็นระยะ 4) ดูแลให้ทารกได้รับยาตามแผนการรักษาอย่าง ถูกต้อง 2) เพื่อป้องกันภาวะที่จะทำให้มีการใช้น้ำตาลใน ร่างกายเพิ่มขึ้น 3) เพื่อให้ทราบการเปลี่ยนแปลงและช่วยเหลือได้ ทันท่วงที


29 5) สังเกต บันทึก และรายงานการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ และอาการอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับภาวะ น้ำตาลในเลือดต่ำ 6) ดูแลให้ทารกได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ลดการใช้ พลังงานของร่างกาย ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 บิดามารดาวิตกกังวลต่ออาการเจ็บป่วยของบุตร 1) สร้างสัมพันธภาพ เปิดโอกาสให้รับฟังข้อสงสัย รับฟังปัญหา แสดงความเข้าใจและเห็นใจ 2) ให้ข้อมูลเกี่ยวข้องที่บิดามารดาทราบ 3) ให้ความเชื่อมั่นในการดูแลบุตร 4) ส่งเสริมสนับสนุนให้เยี่ยมบุตรตามความต้องการ เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการดูแลบุตร การดูแล กิจวัตรประจำวัน 5) จัดบรรยากาศให้รู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย และเป็น กันเอง ลดข้อห้ามต่างๆที่ไม่จำเป็น 1) เพื่อสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ดูแลและบิดา มารดา 2) เพื่อลดความวิตกกังวล 3) เพื่อให้บิดามารดามั่นใจและส่งเสริมบทบาทของ พ่อแม่ 4) เพื่อลดความวิตกกังวล


30 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Diabetes Insipidus คำกำจัดความ (Definition) โรคเบาจืด เป็นความผิดปกติของต่อมใต้สมองส่วนหลัง (posterior pituitary) เป็นผลทำให้มีการหลั่ง antidiuretic hormone หรือ vasopressin ลดลง หรือมีภาวะดื้อต่อ vasopressin ส่งผลให้มีการสร้าง ปัสสาวะจำนวนมาก (polyuria) ทำให้เกิดภาวะ diuresis ที่ไม่สามารถควบคุมได้ของโรคเบาจืดในเด็ก แบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) โรคเบาจืดชนิดที่เกิดจากความผิดปกติในสมอง (Central DI [CDI]) พบมากถึงร้อยละ 90 ของเด็กป่วย โรคเบาจืด พบได้ทุกเพศทุกวัย ขึ้นอยู่กับสาเหตุการเกิดโรค ไม่พบสาเหตุที่เกิดทางความผิดปกติทางพันธุกรรม 2) โรคเบาจืดชนิดที่เกิดจากความผิดปกติในไต (Nephrogenic DI [NDI]) พบน้อยกว่า CDI แบ่งเป็นชนิด X-linked NDI (XLNDI) พบถึงร้อยละ 90 ของโรคเบาจืดชนิด NDI หรือพบ 4-8 ราย ต่อการทารกเพศชาย 1 ล้านคน และชนิด autosomal recessive NDI พบร้อยละ 10 ของเด็กโรคเบาจืดชนิด NDI ข้อวินิจฉัยทางการการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการภาวะ hypovolemic shock เนื่องจากมีภาวะ polyuria ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการภาวะ hyponatremia จากภาวะแทรกซ้อนจาการได้รับยา กลุ่ม DDAVP วัตถุประสงค์ (Objective) เพื่อให้ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการภาวะ hypovolemic shock เนื่องจากมีภาวะ polyuria เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ hypovolemic shock ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการภาวะ hyponatremia จากภาวะแทรกซ้อนจาการได้รับยา กลุ่ม DDAVP เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ hyponatremia การประเมินผล (Assessment) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการภาวะ hypovolemic shock เนื่องจากมีภาวะ polyuria 1) Vital sign - Body temperature 36.5-37.4 ˚C - O2 saturation มากกว่าหรือเท่ากับ 90% - RR 40-60 ครั้ง/นาที - Heart rate 100-160 mmHg 2) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะช็อค ดังนี้ อาเจียน ท้องเสีย ปัสสาวะออกมาก หิวน้ำ


31 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการภาวะ hyponatremia จากภาวะแทรกซ้อนจาการได้รับยา กลุ่ม DDAVP 1) ระดับโซเดียมในเลือดมากกว่า 135 mmol/L 2) Vital sign - Body temperature 36.5-37.4 ˚C - O2 saturation มากกว่าหรือเท่ากับ 90% - RR 40-60 ครั้ง/นาที - Heart rate 100-160 mmHg 3) ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ดังนี้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ถ้า อาการรุนแรงมากขึ้นจะพบ ความรู้สึกตัวลดลง ชัก การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการภาวะ hypovolemic shock เนื่องจากมีภาวะ polyuria เด็กป่วยไม่เกิดภาวะ hypovolemic shock ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการภาวะ hyponatremia จากภาวะแทรกซ้อนจาการได้รับยา กลุ่ม DDAVP เด็กป่วยไม่เกิดภาวะ hyponatremia การบันทึก (Documentation) อาการ อาการแสดง ระดับโซเดียมในเลือด ปริมาณสารน้ำเข้าออก และสัญญาณชีพ


32 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 เสี่ยงต่อการภาวะ hypovolemic shock เนื่องจากมีภาวะ polyuria 1) ประเมินสัญญาชีพ อาการและอาการแสดงของ ภาวะ hypovolemic shock 2) ดูแลให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอตามแผนการ รักษาของแพทย์ 3) ดูแลให้ได้รับยากลุ่ม DDAVP ยากลุ่ม thiazide หรือยากลุ่มอื่นๆ ตามแผนการรักาของแพทย์ พร้อม สังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเปิดจากการได้รับยา เช่น electrolyte imbalance และชั่งน้ำหนักทุก วัน เพื่อติดตามปริมาณสารน้ำที่อยู่ในร่างกาย 4) ติดตาม intake/output 5) ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ SOSM, UOSM และ serum sodium 1) เพื่อประเมินภาวะ Hypovolemic shock 2) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ 3) เพื่อให้ได้รับยาตามแผนการรักษาของแผน 4) เพื่อประเมินภาวะช็อคและติดตามผล ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 เสี่ยงต่อการภาวะ hyponatremia จากภาวะแทรกซ้อนจาการได้รับยา กลุ่ม DDAVP 1) ประเมินสัญญาณชีพ อาการและอาการแสดงของ ภาวะ hyponatremia 2) ดูแลให้ได้รับ hypotonic solution อย่าง เพียงพอตามแผนการรักษาของแพทย์ 3) ดูแลให้ได้รับยากลุ่ม DDAVP ยากลุ่ม thiazide หรือยากลุ่มอื่นๆ ตามแผนการรักาของแพทย์ พร้อม สังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเปิดจากการได้รับยา เช่น electrolyte imbalance และชั่งน้ำหนักทุก วัน เพื่อติดตามปริมาณสารน้ำที่อยู่ในร่างกาย 4) ติดตาม intake/output 5) ติดตามผลทางห้องปฏิบัติการ SOSM, UOSM และ serum sodium 1) เพื่อประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ hyponatremia 2) เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ 3) เพื่อดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ 4) เพื่อประเมินภาวะช็อคและติดตามผล


33 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Hypothyroidism คำจำกัดความ (Definition) ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์(Hypothyroidism) คือ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนได้ไม่ เพียงพอ ทำให้ร่างกายทุกส่วนรวมทั้งสมองทำงานเชื่องช้า พัฒนาการช้ากว่าวัย บางรายมีอาการตั้งแต่ทารก โดยทารกจะมีอาการตัวเหลืองนาน ผิวแห้ง กระหม่อมปิดช้า สะดือหลุดช้า ท้องผูก ฟันขึ้นช้า บางรายแสดง อาการตอนโตด้วย บางรายมีคอโตร่วมด้วย (โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์,2563) โรคแต่กำเนิด ทารกบางรายอาจไม่มีต่อมไทรอยด์หรือต่อมไทรอยด์ทำงานบกพร่องทำให้สร้าง ฮอร์โมนไทรอยด์ได้น้อยมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเรียกว่า “โรคพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด” (Congenital hypothyroidism) (โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์,2563) ข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 มีโอกาสเกิดการสูญเสียหน้าที่ของผิวหนัง ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ได้รับสารอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย เนื่องจากไม่สามารถ รับประทานอาหารหรือย่อยและดูดซึมอาหารได้ไม่ดี ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 ท้องผูกเกี่ยวเนื่องจากลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการขาด ไทรอยด์ฮอร์โมน ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวเนื่องจากได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนเกินขนาด ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 บิดามารดาอาจขาดความรู้เกี่ยวกับความผิดปกติที่ลูกเป็นและแผนการ รักษาของแพทย์ วัตถุประสงค์ (Objective) 1. เพื่อป้องกันการสูญเสียหน้าที่ของผิวหนัง 2. เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 3. เพื่อป้องกันอาการท้องผูกจากลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อยลง 4. เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนเกินขนาด 5. เพื่อลดความวิตกกังวลของบิดามารดาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย การประเมินผล (Assessment) 1. ลักษณะของผิวหนังปกติ ไม่แห้ง ไม่เป็นแผล อ่อนนุ่มขึ้น 2. ได้รับสารอาหารครบตามแผนการรักษา / น้ำหนักเพิ่มขึ้นวันละ 20 – 30 กรัม 3. ถ่ายอุจจาระปกติ ลักษณะนิ่ม ทุกวัน 4. ได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนในขนาดที่เหมาะสมซึ่งจะมีอาการแสดงดังนี้ สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ, ถ่ายอุจจาระนิ่มทุกวัน, ตื่นตัวสนใจสิ่งแวดล้อมดีขึ้น, สีผิวเป็นสีชมพู ผิวนุ่มนวลขึ้น ไม่ซีดหรือผิว ลาย (mottling), น้ำหนักเพิ่ม 20-30 กรัมต่อวัน และลักษณะใบหน้าดูดีขึ้น (ตาไม่ห่าง มีการจ้อง มองสบตา ลิ้นไม่จุกปาก)


34 5. สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหรือการดูแลลูกเมื่อได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนได้ถูกต้อง / ให้ความร่วมมือในแผนการรักษา / ผู้ป่วยไม่ปรากฏอาการ และอาการแสดงของภาวะไทรอยด์ ฮอร์โมนต่ำ การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning) 1. ผู้ป่วยมีลักษณะของผิวหนังปกติ ไม่แห้ง ไม่เป็นแผล อ่อนนุ่มขึ้น 2. ผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบตามแผนการรักษา / น้ำหนักเพิ่มขึ้นวันละ 20–30 กรัม 3. ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระปกติ ลักษณะนิ่ม ทุกวัน 4. ผู้ป่วยได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนในขนาดที่เหมาะสมซึ่งจะมีอาการแสดงดังนี้ สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ ปกติ, ถ่ายอุจจาระนิ่มทุกวัน, ตื่นตัวสนใจสิ่งแวดล้อมดีขึ้น, สีผิวเป็นสีชมพู ผิวนุ่มนวลขึ้น ไม่ซีด หรือผิวลาย (mottling), น้ำหนักเพิ่ม 20-30 กรัมต่อวัน และลักษณะใบหน้าดูดีขึ้น (ตาไม่ห่าง มี การจ้องมองสบตา ลิ้นไม่จุกปาก) 5. ผู้ป่วยสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวหรือการดูแลลูกเมื่อได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนได้ ถูกต้อง / ให้ความร่วมมือในแผนการรักษา / ผู้ป่วยไม่ปรากฏอาการ และอาการแสดงของภาวะ ไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ การบันทึก (Documentation) บันทึกการให้ข้อมูล การทำหัตถการ อาการ สัญญาณชีพ การดูแลเพื่อบรรเทาอาการผิดปกติและ ภาวะแทรกซ้อน ลงในบันทึกทางการพยาบาล


35 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 มีโอกาสเกิดการสูญเสียหน้าที่ของผิวหนัง 1) อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น 2) การอาบน้ำไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่ทุกครั้ง ล้างสบู่ออกให้หมดทุกครั้งที่ใช้สบู่ 3) ถ้าผิวแห้งมากหลังทำความสะอาด อาจจะทาผิวด้วยเบบี้ออยล์, โลชั่น หรือ น้ำมันมะกอก 4) ทำความสะอาดทันทีหลังขับถ่าย และคอยดูแลผิวให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ 5) ตรวจดูผิวหนังทุกวันว่ามี ผด ผื่นคัน หรือรอยขีดข่วน หรือไม่ 6) ตัดเล็บให้สั้น สวมถุงมือให้ 1) เพื่อรักษาความสะอาด ปรับอุณหภูมิของ ร่างกาย 2) เพื่อล้างความสกปรกและเชื้อโรคบริเวณ ผิวหนัง 3) เพื่อการบำรุงผิว 4) เพื่อรักษาความสะอาดของผิวหนัง 5) เพื่อสังเกตอาการผิดปกติ 6) เพื่อป้องกันการแตก รักษาประสิทธิภาพของ เล็บ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ได้รับสารอาหารน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย เนื่องจากไม่สามารถรับประทานอาหารหรือย่อย และดูดซึมอาหารได้ไม่ดี 1) ดูดเสมหะให้ทางเดินหายใจโล่ง ก่อนให้อาหารทุกมื้อ 2) จัดท่าให้นอนศีรษะสูง หรืออุ้มผู้ป่วยขณะให้อาหารทุกครั้ง 3) ทดลองให้ผู้ป่วยดูดนมเองก่อนทุกมื้อ ถ้าดูดได้น้อย สำลักบ่อย ควรให้นมทาง สายยางให้อาหารต่อให้ครบ 4) ขณะดูดนมหรือให้อาหารทางสายยาง ควรให้อย่างช้าๆ 5) หลังให้อาหารหรือนม จัดท่าให้ผู้ป่วยนอนตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง และ ไม่เปลี่ยนท่าผู้ป่วยบ่อยๆหรือทันทีหลังให้อาหารหรือนม 6) ชั่งน้ำหนักทุกวัน เวลาเช้า 1) เพื่อสะดวกต่อการย่อยอาหาร และป้องกัน ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจ 2) เพื่อป้องกันการอาเจียนหลังจากรับประทาน อาหาร 3) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารครบตาม แผนการรักษา 4) เพื่อป้องกันการสำลัก 5) เพื่อป้องกันการย้อนของอาหารกลับขึ้นมาที่ หลอดอาหาร และลดความอึดอัด 6) เพื่อประเมินน้ำหนักของผู้ป่วย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 ท้องผูกเกี่ยวเนื่องจากลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการขาดไทรอยด์ฮอร์โมน 1) ดูแลให้ได้รับนมและน้ำอย่างเพียงพอ ตามแผนการรักษา 2) ให้ได้รับอาหารจำพวกผักและผลไม้ ตามความเหมาะสม 3) จัดให้เล่น หรือมีกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวร่างกาย 1) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับนมและน้ำเพียงพอ 2) เพื่อกระตุ้นกระบวนการทางเดินอาหาร 3) เพื่อช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน


36 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 ท้องผูกเกี่ยวเนื่องจากลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งเป็นผลจากการขาดไทรอยด์ฮอร์โมน 4) ดูแลให้ได้รับไทรอยด์ฮอร์โมน ตามแผนการรักษา 5) สังเกตและบันทึกลักษณะสี ปริมาณ และจำนวนครั้งที่ขับถ่ายอุจจาระ 4) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับไทรอยด์ฮอร์โมน 5. เพื่อประเมินอาการท้องผูก ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวเนื่องจากได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนเกินขนาด 1) ฟังเสียงหัวใจ หรือนับชีพจรผู้ป่วยก่อนให้ไทรอยด์ฮอร์โมนทุกชนิด ทุกครั้ง ถ้า มากกว่า 60 ครั้ง/นาที (ในเด็กเล็ก) หรือมากกว่า 140 ครั้ง/นาที (ในเด็กโต) ให้ งดยามื้อนั้นพร้อมรายงานให้แพทย์ 2) สังเกตและบันทึกลักษณะและจำนวนครั้ง เมื่อถ่ายอุจจาระ ถ้าขนาดยา พอเหมาะควรจะถ่ายอุจจาระลักษณะนิ่มเป็นปกติ 3) สังเกตและบันทึกอาการ ซึ่งแสดงว่าทารกได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนเกินขนาด ได้แก่ หงุดหงิดอยู่ไม่เป็นสุข ตื่นเต้นตกใจง่าย เหงื่อออก ท้องเสีย มือสั่น หกล้ม บ่อย อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น pulse pressure กว้าง สำหรับอาการซึ่งแสดงว่าได้รับยาขนาดพอเหมาะ ได้แก่ active มากขึ้น ตื่นตัว สนใจสิ่งแวดล้อมดีขึ้น สีผิว และอุณหภูมิกายดีขึ้น น้ำหนักและการเปลี่ยนแปลง ลักษณะใบหน้าจะดูดีขึ้น 1) เพื่อประเมินสัญญาณชีพและป้องกันอันตราย จากการได้รับยา 2) เพื่อประเมินผลการรักษา และปริมาณยาที่ พอเหมาะ 3) เพื่อสังเกตและบันทึกอาการ ป้องกันผู้ป่วย ได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนเกินขนาด ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 บิดามารดาอาจขาดความรู้เกี่ยวกับความผิดปกติที่ลูกเป็นและแผนการรักษาของแพทย์ 1) ประเมินความรู้ เกี่ยวกับความผิดปกติของผู้ป่วยอาการและอาการแสดงว่า ได้รับการรักษาทดแทนด้วยไทรอยด์ฮอร์โมนเพียงพอ 2) ให้ความรู้กับบิดามารดา เกี่ยวกับสาเหตุของการขาดไทรอยด์ฮอร์โมน และ ความจำเป็นที่ต้องได้รับ thyroxine เพิ่มขึ้นเป็นระยะๆ 3) ให้คำแนะนำแก่บิดามารดาและผู้ป่วย เกี่ยวกับวิธีการให้ไทรอยด์ฮอร์โมน ทดแทน ดังนี้ - ต้องกินยาต่อเนื่องทุกวัน - บดยาผสมกับอาหารหรือน้ำผลไม้ - ให้ยาหลังอาหารเช้าทุกวัน - ให้บิดามารดาและผู้ป่วย รายงานอาการเปลี่ยนแปลงหลังได้รับยา เช่น อาการหงุดหงิดอยู่ไม่สุข หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น หกล้มบ่อยขึ้น ท้องเสีย อาการซึ่ง แสดงว่าได้รับยาขนาดพอเหมาะ ได้แก่ การนอนหลับ การขับถ่าย ความอยาก อาหาร และ activity ต่างๆจะดีขึ้น 4) บอกให้บิดามารดาทราบถึงความจำเป็นต้องตรวจทดสอบทางห้องปฏิบัติการ เป็นระยะๆ 1) เพื่อวางแผนการให้ความรู้กับบิดามารดา 2) เพื่อให้บิดามารดาทราบถึงสภาพการสุขภาพ ของผู้ป่วย 3) เพื่อรักษาสุขภาพและลดอาการที่เกิดขึ้นจาก ขาดไทรอยด์หรือภาวะไทรอยด์ไม่สมดุลใน ร่างกาย 4) เพื่อให้ได้รับความร่วมมือในแผนการรักษา


37 5) แนะนำอาหารที่ควรจัดให้ผู้ป่วย ได้แก่ อาหารที่มีโปรตีนสูง แป้งหรือข้าว เพียงพอ เพิ่มอาหารที่มี วิตามิน ดี และ แคลเซียม เช่น นมสดวันละ 3-4 แก้ว 6) แนะนำเรื่องการรักษา ความสะอาดในช่องปากและฟัน (oral hygiene)และการงด ขนมหวาน 7) แนะนำและให้กำลังใจแก่บิดามารดา ในการกระตุ้น และส่งเสริมพัฒนาการ ด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพราะผู้ป่วยจะมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ 8) บอกบิดามารดา ถึงความสำคัญของการมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตาม ผลการรักษาและปรับขนาดของยาให้เหมาะสม เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยเจริญพันธุ์ 5) เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและสมดุลสุขภาพ 6) เพื่อรักษาสุขภาพช่องปากและฟันในสภาวะที่ ดี 7) เพื่อสร้างกำลังใจและพลังบวกให้แก่บิดา มารดาในการดูแลผู้ป่วย 8) เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ปรากฏอาการ และอาการ แสดงของภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ


38 ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลของโรค Congenital Hypothyroidism คำจำกัดความ (Definition) ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด หรือ Congenital Hypothyroidism เป็นโรคที่พบได้บ่อย ประมาณ 1:3,000 – 1:4,000 ราย ซึ่งภาวะนี้เป็นสาเหตุของปัญญาอ่อนที่สามารถป้องกันได้ถ้าให้การวินิจฉัย และเริ่มการรักษาเร็ว เนื่องจากไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นต่อพัฒนาการของสมองโดยเฉพาะในช่วง 3 ขวบปีแรก เพราะฉะนั้นถ้าร่างกายขาดฮอร์โมนตัวนี้ก็จะทำให้สมองพัฒนาได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งจะส่งผลต่อ สติปัญญา และพัฒนาการของลูกน้อยได้ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจคัดกรองตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้การรักษาได้ อย่างทันท่วงที อาการมักจะยังไม่แสดงอาการเมื่อแรกเกิดเนื่องจากได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนจากแม่ผ่านมาทางรก (หทัยทิพย์ ชัยประภา,2557) ข้อวินิจฉัยการพยาบาล (Nursing Diagnosis) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 ผู้ป่วยมีภาวะพร่อง/ขายไทรอยด์ฮอร์โมน เนื่องจากการสร้างไทรอยด์ ฮอร์โมนได้น้อยหรือไม่มีต่อมไทรอยด์ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากภาวะอุณหภูมิกายต่ำ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 ผู้ป่วยมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการช้ากว่าวัย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 ผู้ป่วยมีภาวะท้องผูก เนื่องจากการขาดไทรอยด์ฮอร์โมนทำให้ลำไส้ เคลื่อนไหวน้อย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานน้อย ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 ผู้ป่วย/บิดามารดาขาดความรู้ในการดูแลตนเอง/บุตร และปฏิบัติตาม แผนการรักษา วัตถุประสงค์ (Objective) 1. ผู้ป่วยไม่มีภาวะพร่อง/ขาดไทรอยด์ฮอร์โมน 2. ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากภาวะอุณหภูมิกายต่ำ 3. ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 4. ผู้ป่วยมีการเจริญเติบโต และพัฒนาการดีขึ้นหรือใกล้เคียงเด็กปกติ 5. ผู้ป่วยไม่มีภาวะท้องผูก 6. ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อ 7. ผู้ป่วย/บิดามารดามีความรู้ในการดูแลตนเอง/บุตร และสามารถปฏิบัติตามแผนการรักษาได้ การประเมินผล (Assessment) 1. ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน เช่น ง่วงซึม ร้องเสียงแหบ ท้องผูก ตัวเย็น แขนขาเป็นลายๆ ผิวหนังแห้ง ผมหยาบแห้ง ลิ้นโตคับปาก ตัวอ่อนปวกเปียก หน้าตาไม่ น่ารัก เป็นต้น ข้อที่ 1


39 2. ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพปกติ(อุณหภูมิร่างกายไม่น้อยกว่า 37 องศาเซลเซียส, มีค่า pulse pressure ปกติ) ข้อที่ 1 3. ระดับ T4 และ TSH ปกติข้อที่ 1 4. ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระปกติวันละครั้ง ข้อที่ 1 5. ผู้ป่วยไม่มีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น ซึม ชักและหมดสติข้อที่ 2 6. อุณหภูมิร่างกายของผู้ป่วยไม่น้อยกว่า 37 องศาเซลเซียส ข้อที่ 2 7. น้ำหนักของผู้ป่วยไม่ลดลงจากเดิมในเด็กโต หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10 กรัม/วัน ในทารก ข้อที่ 3 8. รับประทานอาหารได้มื้อละ 1 ถ้วย/จาน ข้อที่ 3 9. ได้รับอาหารมื้อหลักครบ 3 มื้อ หรือนมตามแผนการรักษา ข้อที่ 3 10. กล้ามเนื้อแขน ขา ของผู้ป่วยมีแรงตึงตัวดีข้อที่ 3 11. ผู้ป่วยมีน้ำหนักและส่วนสูงใกล้เคียงเด็กปกติ/เท่าเด็กปกติข้อที่ 4 12. ผู้ป่วยสามารถมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ด้านภาษา และด้านสังคมดีขึ้น หรือใกล้เคียงเด็กปกติตามวัย เช่น คอแข็ง กำมือได้ จับขวดนมได้เอง ยิ้มเมื่อทักทาย พูดได้เมื่อ ต้องการทำอะไร เป็นต้น ข้อที่ 4 13. ผู้ป่วยถ่ายอุจาระปกติทุกวันและมีลักษณะปกติข้อที่ 5 14. ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อในร่างกาย ข้อที่ 6 15. ค่าเม็ดเลือดขาวในเลือดไม่น้อยกว่า 4,000 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร ข้อที่ 6 16. ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพปกติ (อุณหภูมิร่างกาย) ข้อที่ 6 17. ผู้ป่วยและบิดามารดาบอกวิธีการปฏิบัติในเรื่อง การรับประทานยา การสังเกตอาการข้างเคียงของ ยา อาหาร การดูแลความสะอาดร่างกาย และการมาตรวจตามนัด ได้ถูกต้อง ข้อที่ 7 18. ผู้ป่วยและบิดามารดา ให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล ข้อที่ 7 การวางแผนการพยาบาลและผลลัพธ์ (Outcome Identification and Planning) 1. ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน เช่น ง่วงซึม ร้องเสียงแหบ ท้องผูก ตัวเย็น แขนขาเป็นลายๆ ผิวหนังแห้ง ผมหยาบแห้ง ลิ้นโตคับปาก ตัวอ่อนปวกเปียก หน้าตาไม่น่ารัก เป็นต้น 2. ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพปกติ (อุณหภูมิร่างกายไม่น้อยกว่า 37 องศาเซลเซียส, มีค่า pulse pressure ปกติ) 3. ระดับ T4 และ TSH ปกติ 4. ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระปกติวันละครั้ง 5. ผู้ป่วยไม่มีอาการเหงื่อออก ตัวเย็น ซึม ชักและหมดสติ 6. ผู้ป่วยมีอุณหภูมิร่างกายไม่น้อยกว่า 37 องศาเซลเซียส 7. น้ำหนักของผู้ป่วยไม่ลดลงจากเดิมในเด็กโต หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10 กรัม/วัน ในทารก


40 8. ผู้ป่วยรับประทานอาหารได้มื้อละ 1 ถ้วย/จาน 9. ผู้ป่วยได้รับอาหารมื้อหลักครบ 3 มื้อ หรือนมตามแผนการรักษา 10. กล้ามเนื้อแขน ขา ของผู้ป่วยมีแรงตึงตัวดี 11. ผู้ป่วยมีน้ำหนักและส่วนสูงใกล้เคียงเด็กปกติ/เท่าเด็กปกติ 12. ผู้ป่วยสามารถมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ด้านภาษา และด้านสังคมดีขึ้น หรือใกล้เคียงเด็กปกติตามวัย เช่น คอแข็ง กำมือได้ จับขวดนมได้เอง ยิ้มเมื่อทักทาย พูดได้เมื่อ ต้องการทำอะไร เป็นต้น 13. ผู้ป่วยถ่ายอุจาระปกติทุกวันและมีลักษณะปกติ 14. ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดงของการติดเชื้อในร่างกาย 15. ผู้ป่วยมีค่าเม็ดเลือดขาวในเลือดไม่น้อยกว่า 4,000 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร 16. ผู้ป่วยมีสัญญาณชีพปกติ (อุณหภูมิร่างกาย) 17. ผู้ป่วยและบิดามารดาบอกวิธีการปฏิบัติในเรื่อง การรับประทานยา การสังเกตอาการข้างเคียงของ ยา อาหาร การดูแลความสะอาดร่างกาย และการมาตรวจตามนัด ได้ถูกต้อง 18. ผู้ป่วยและบิดามารดา ให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาล การบันทึก (Documentation) บันทึกการให้ข้อมูล การทำหัตถการ อาการ สัญญาณชีพ การดูแลเพื่อบรรเทาอาการผิดปกติ และ ภาวะแทรกซ้อน ลงในบันทึกทางการพยาบาล


41 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 1 ผู้ป่วยมีภาวะพร่อง/ขายไทรอยด์ฮอร์โมน เนื่องจากการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนได้น้อยหรือไม่มีต่อม ไทรอยด์ 1) ดูแลให้ได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนตามแผนการรักษาวันละครั้งโดย 1.1) ตรวจนับอัตราการเต้นของหัวใจ ก่อนให้ยาทุกครั้ง ถ้าอัตราการเต้นของ หัวใจ > 160 ครั้ง/นาที ในทารก หรือ > 140 ครั้ง/นาที ในเด็กโต ให้รายงานให้ แพทย์ทราบเพื่องดยามื้อนั้น 1.2) สังเกตและบันทึกอาการที่อาจเกิดจากผลข้างเคียงของการได้รับยาเกิน ขนาด เช่น ตื่นเต้น ตกใจง่าย เหงื่อออก ท้องเสีย มือสั่น อัตราการเต้นของหัวใจ และความดันโลหิตเพิ่มขึ้น pulse pressure กว้าง 2) อธิบายให้ญาติทราบความจำเป็นที่ต้องได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนตลอดชีวิต และ เตรียมพร้อมในการดูแลเกี่ยวกับขนาดของไทรอยด์ฮอร์โมนที่อาจต้องมีการปรับ ขนาดยาตามการเจริญเติบโตของผู้ป่วยเป็นระยะๆตามแผนการรักษา 3) ตรวจนับและบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจขณะหลับวันละครั้ง ถ้าหากอัตรา การเต้นของหัวใจเกิน 160 ครั้ง/นาที ในทารก หรือ 140 ครั้ง/นาทีในเด็กโต แพทย์จะพิจารณาลดขนาดของไทรอยด์ฮอร์โมนที่ให้รับประทาน 4) กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีกิจกรรมเป็นระยะๆ เช่น ปลุกให้กินนม รับประทานอาหาร ตามมื้ออาหาร หลังรับประทานอาหารจัดให้มีกิจกรรมการเล่นตามวัย ทำ passive หรือ active exercise ให้ผู้ป่วย เป็นต้น 5) ติดตามการเจริญเติบโตของร่างกายโดยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงเป็นระยะๆ ตามแผนการรักษา 6) สังเกตและบันทึกลักษณะจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระ เพื่อติดตามดูขนาด ไทรอยด์ที่ให้ว่าพอเหมาะหรือไม่ถ้าขนาดยาพอเหมาะ ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระปกติ วันละครั้ง และมีลักษณะของอุจจาระปกติไม่แข็งหรือเป็นเม็ดกระสุน 7) บันทึกและประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินภาวะอุณหภูมิกายต่ำ และ pulse pressure 8) ติดตามผล T4 และ TSH ในเลือดเพื่อประเมินการได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนว่า เพียงพอหรือไม่ 1) เพื่อให้ได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนตามแผนการ รักษา และป้องกันอันตรายจากการได้รับ ไทรอยด์ฮอร์โมน 2) เพื่อให้ญาติสามารถดูแลผู้ป่วยได้ถูกต้องตาม แผนการรักษา 3) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนใน ปริมาณที่เหมาะสม 4) เพื่อช่วยกระตุ้นในกระบวนการเผาผลาญ พลังงาน 5) เพื่อประเมินการเจริญเติบโตของผู้ป่วย 6) เพื่อติดตามดูขนาดไทรอยด์ที่ให้ว่าพอเหมาะ หรือไม่ 7) เพื่อประเมินภาวะอุณหภูมิกายต่ำ และ pulse pressure 8) เพื่อประเมินการได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนที่ เพียงพอ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากภาวะอุณหภูมิกายต่ำ 1) ดูแลร่างกายผู้ป่วยให้ได้รับความอบอุ่นอยู่เสมอ เนื่องจากผู้ป่วยมีอุณหภูมิกาย ต่ำ ถ้าไม่ระมัดระวังจะนำไปสู่การมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งจะทำให้เกิด อันตรายต่อสมอง โดยสมองอาจขาดออกซิเจนเพิ่มขึ้น 1) เพื่อป้องกันอันตรายจากภาวะอุณหภูมิกาย ต่ำ


42 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 2 ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากภาวะอุณหภูมิกายต่ำ 1.1) ขณะอาบน้ำ/เช็ดตัวให้ผู้ป่วย ต้องไม่ให้มีลมโกรก และเมื่ออาบน้ำ/เช็ดตัว เสร็จ ต้องเช็ดตัวให้แห้งและใส่เสื้อผ้าให้ทันที เพื่อไม่ให้สูญเสียความร้อนออกจาก ร่างกาย 1.2) ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่น บริเวณเตียงผู้ป่วย ไม่อยู่ชิดหน้าต่าง หรือเปิด พัดลมจี้ไว้ที่ตัวผู้ป่วยตลอดเวลา 1.3) ใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับอากาศ/ฤดูกาลในขณะนั้นๆ 2) สังเกตและประเมินอาการผิดปกติ เช่น เหงื่อออก ตัวเย็น ซึม ชัก และหมดสติ 3) บันทึกและประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง (อุณหภูมิร่างกาย) 4) ดูแลให้ได้รับนม/อาหารตามเวลาทุกมื้อ เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานสำรองและ สามารถเปลี่ยน เป็นพลังงานความร้อนได้เมื่อจำเป็น 2) เพื่อประเมินอาการผิดปกติ 3) เพื่อประเมินอุณภูมิของร่างกาย 4) เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานสำรองและสามารถ เปลี่ยน เป็นพลังงานความร้อนได้เมื่อจำเป็น ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 3 ผู้ป่วยได้รับสารอาหารเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย 1) ดูแลให้ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และให้ สารอาหารครบ 5 หมู่ ดังนี้ 1.1) ในเด็กเล็กจัดท่านอนศีรษะสูง หรืออุ้มผู้ป่วยขณะให้อาหาร เพื่อป้องกัน การสำลักจากการกลืนลำบากเนื่องจากมีลิ้นโต และให้อาหารอย่างช้าๆ 1.2) หลังให้นมในเด็กเล็ก ควรไล่ลมให้และกระตุ้นให้เด็กดูดเป็นระยะๆ ถ้า เด็กหลับ เมื่อถึงเวลาให้นมให้ปลุกเด็กขึ้นมาเพื่อให้ได้อาหารตามเวลา 1.3) เมื่อให้นมเสร็จแล้ว ควรจัดให้ผู้ป่วยนอนตะแคงขวาและไม่เปลี่ยนท่า ผู้ป่วยทันทีหลังให้นม 1.4) ให้คำแนะนำมารดา/ญาติ ถึงวิธีการให้อาหารโดยตักอาหารป้อนคำละ น้อยๆ แล้วค้างช้อนไว้สักครู่รอจนผู้ป่วยกลืนจึงจะป้อนคำใหม่ รวมทั้งแนะนำให้ มารดาจัดอาหารที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่ และให้เหมาะสมตามวัยของผู้ป่วย และเป็น อาหารที่ผู้ป่วยชอบด้วย 1.5) ระหว่างมื้ออาหารหลัก ดูแลให้นม/ผลไม้ตามฤดูกาล 2) ดูแลให้อาหารที่มีแคลเซียม และวิตามิน ดี สูง เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตของ กระดูกเป็นปกติ 3) บันทึกจำนวนอาหารที่ผู้ป่วยได้รับในแต่ละมื้อ 4) ชั่งน้ำหนักตัวของผู้ป่วยทุกวัน เพื่อประเมินการได้รับสารอาหารว่าเพียงพอ หรือไม่ 1) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย 2) เพื่อช่วยให้การเจริญเติบโตของกระดูกเป็น ปกติ 3) เพื่อประเมินปริมาณอาหารที่ผู้ป่วยได้รับ 4) เพื่อประเมินการได้รับสารอาหารว่าเพียงพอ หรือไม่


43 กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 4 ผู้ป่วยมีการเจริญเติบโต และพัฒนาการดีขึ้นหรือใกล้เคียงเด็กปกติ 1) ดูแลส่งปรึกษาหน่วยกระตุ้นพัฒนาการ และให้ญาติได้ฝึกกระตุ้นพัฒนาการ อย่างต่อเนื่อง 2) ประเมินพัฒนาการของผู้ป่วยในด้านต่างๆ และสอบถามพัฒนาการจากญาติว่า ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมใดได้บ้าง เพื่อวางแผนในการจัดกิจกรรมกระตุ้น พัฒนาการของผู้ป่วย 3) กระตุ้นพัฒนาการผู้ป่วย และดูแลให้ญาติปฏิบัติต่อผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและ สม่ำเสมอ เช่น 3.1) การฝึกผู้ป่วยให้ชันคอเพื่อให้คอแข็ง สามารถฝึกได้ดังนี้ จับผู้ป่วยนอนคว่ำ แล้วใช้ของเล่นที่มีเสียงและเคลื่อนไหวได้อยู่ในระดับสายตาผู้ป่วย แล้วเรียกให้ ผู้ป่วยดู จากนั้นยกของเล่นให้สูงขึ้นช้าๆ ผู้ป่วยจะยกศีรษะขึ้นเพื่อมองตามของเล่น 3.2) การฝึกผู้ป่วยให้พลิกคว่ำ โดยจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงาย พยาบาล/ญาติ อยู่ด้านข้างแล้วเรียกชื่อผู้ป่วยให้หันมามอง จากนั้นพยาบาล/ญาติ ถือของเล่นไว้ใน ระดับสายตาผู้ป่วย ห่างประมาณ 6-8 นิ้ว เคลื่อนของเล่นไปด้านข้างช้าๆ พร้อม เรียกชื่อผู้ป่วย และเขย่าของเล่นให้ผู้ป่วยหันตาม และให้ใช้มือแตะสะโพกหรือดึง ชายเสื้อผู้ป่วยเบาๆ ให้พลิกตะแคงตัว 4) คอยแนะนำช่วยเหลือให้กำลังใจมารดา/ญาติในการกระตุ้นและส่งเสริม พัฒนาการด้านต่างๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อผู้ป่วยจะได้มีพัฒนาการดีขึ้น 5) ติดตามชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูงเป็นระยะๆ เพื่อประเมินการเจริญเติบโต 6) ดูแลจัดการเล่นให้ผู้ป่วยตามความสามารถ เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการ 1) เพื่อกระตุ้นพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง 2) เพื่อวางแผนในการจัดกิจกรรมกระตุ้น พัฒนาการของผู้ป่วย 3) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการกระตุ้นพัฒนาการที่ เหมาะสม 4) เพื่อผู้ป่วยจะได้มีพัฒนาการดีขึ้น 5) เพื่อประเมินการเจริญเติบโต 6) เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการ ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 5 ผู้ป่วยมีภาวะท้องผูก เนื่องจากการขาดไทรอยด์ฮอร์โมนทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวน้อย 1) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับนม/อาหาร และน้ำให้เพียงพอตามแผนการรักษา 2) แนะนำให้ญาติจัดหาอาหารที่ผู้ป่วยชอบและมีเส้นใย นำมาให้ผู้ป่วยรับประทาน เช่น ส้ม กล้วย แอปเปิล เป็นต้น 3) หลังรับประทานอาหารแล้ว 1-2 ชั่วโมง กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีกิจกรรม เพื่อให้มีการ เคลื่อนไหวของลำไส้ 4) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนตามแผนการรักษา 5) จัดกิจกรรมการเล่นที่ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย 6) ติดตามการขับถ่ายอุจจาระเพราะผู้ป่วยจะมีอาการท้องผูก ถ้าผู้ป่วยไม่ถ่าย อุจจาระภายใน 2 วัน ควรรายงานแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือ 1) เพื่อให้ผุ้ป่วยได้รับนม/อาหารและน้ำ เพียงพอ 2) เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ 3) เพื่อให้มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ 4) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา 5) เพื่อกระตุ้นการเคลื่อนไหวของร่างกาย 6) เพื่อประเมินอาการท้องผูก


44 7) บันทึกลักษณะของอุจาระ และจำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระว่าเป็นปกติ หรือไม่ 7) เพื่อประเมินปริมาณยาที่เหมาะสม ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 6 ผู้ป่วยไม่เกิดการติดเชื้อ 1) ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายและปากฟัน เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค โดย ปฏิบัติดังนี้ 1.1) ดูแลให้อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น 1.2) ล้างมือก่อน-หลังรับประทานอาหาร 1.3) บ้วนปาก/แปรงฟัน ด้วยน้ำยาบ้วนปาก/น้ำเปล่า ทุกครั้งหลังรับประทาน อาหาร 1.4) แปรงพันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-ก่อนนอน 1.5) ดูแลให้ผู้ป่วยทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังขับถ่ายปัสสาวะ/ อุจจาระ รวมทั้งซับให้แห้ง เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้น 2) ให้การพยาบาลผู้ป่วยโดยใช้หลัก aseptic technique ล้างมือก่อนและหลังให้ การพยาบาลผู้ป่วยทุกครั้ง เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปให้ผู้ป่วยและป้องกันไม่ให้เกิด cross infection 3) บันทึกและประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการติดเชื้อ 4) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ และไม่ขัดกับการรักษา รับประทานอาหารที่สะอาด สุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานผักดิบ ของสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบเลือด แหนม อาหารประเภทยำต่างๆ เป็นต้น 5) จัดสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วยให้สะอาด ไม่จัดให้ผู้ป่วยอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยอื่นที่มีการ ติดเชื้อ และแนะนำไม่ให้ญาติที่เป็นหวัด ไอ จาม มาเยี่ยมผู้ป่วย 6) สอนผู้ป่วยให้รู้วิธีหลีกเลี่ยงผู้ป่วย/บุคคลอื่น ที่มีการติดเชื้ออยู่ รู้วิธีการใช้ หน้ากากอนามัย รวมทั้งไม่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า การ รับประทานอาหารโดยใช้ช้อนกลาง เป็นต้น และไม่ไปเล่นกับผู้ที่เป็นไข้ไอ จาม หรือเป็นหวัด 7) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง และจัด สิ่งแวดล้อมให้เงียบสงบ อากาศถ่ายเทได้ดี 8) สังเกตอาการและอาการแสดงของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ หายใจเร็ว รวมทั้งอาการแสดงของการมีเยื่อบุช่องท้องอักเสบ เช่น อาการปวดท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย ผิวหนังบริเวณหน้าท้องแดงและร้อน ถ้าสัมผัสผู้ป่วยจะ แสดงอาการเจ็บปวด ถ้ามีอาการดังกล่าวรายงานให้แพทย์ทราบ 9) ติดตามผล WBC ในเลือด เพื่อวางแผนในการให้การพยาบาลต่อไป 1) เพื่อรักษาความสะอาด ลดการสะสมของเชื้อ โรค 2) เพื่อป้องกันการนำเชื้อไปให้ผู้ป่วยและ ป้องกันไม่ให้เกิด cross infection 3) เพื่อประเมินการติดเชื้อ 4) เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ 5) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 6) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 7) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ และรักษาความ สะอาด 8) เพื่อประเมินอาการและอาการแสดงของติด เชื้อ 9) เพื่อวางแผนในการให้การพยาบาลต่อไป


45 10) ผู้ป่วยที่มีฟันผุ ควรติดตามส่งผู้ป่วยไปพบทันตแพทย์ และสอนให้ผู้ป่วยแปรง ฟันอย่างถูกวิธี เมื่อรักษาฟันผุหมดแล้ว แนะนำให้มารดา/ญาติ พาผู้ป่วยมาตรวจ ฟันกับทันตแพทย์ทุก 6 เดือน 11) ให้ความรู้และบอกถึงความสำคัญแก่ผู้ป่วยและญาติถึงความสำคัญของการติด เชื้อ ซึ่งจะมีผลทำให้โรคกลับเป็นซ้ำได้ สอน/แนะนำถึงวิธีการดูแลตนเอง เพื่อ ป้องกันการติดเชื้อ และรู้จักสังเกตอาการต่างๆของการติดเชื้อ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ ท้องเสีย ปวดท้อง เป็นต้น ถ้าพบอการแสดงของการติดเชื้อให้บอกพยาบาลและ แพทย์ทันที 10) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ 11) เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถป้องกันการ ติดเชื้อได้ด้วยตนเอง ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 ผู้ป่วย/บิดามารดาขาดความรู้ในการดูแลตนเอง/บุตร และปฏิบัติตามแผนการรักษา 1) ประเมินความรู้ของผู้ป่วยและบิดามารดาเกี่ยวกับโรค ขั้นตอนการรักษา และ การดูแลสุขภาพ เพื่อทราบข้อมูลของผู้ป่วยและบิดามารดา 2. อธิบาย และแนะนำวิธีการปฏิบัติตัวในเรื่องต่อไปนี้ 2.1 วิธีรับประทานยาไทรอยด์ฮอร์โมนทดแทน โดยต้องรับประทานยาทุกวันให้ ต่อเนื่อง รับประทานยาหลังอาหารเช้าวันละหนึ่งครั้ง รวมทั้งสังเกตอาการ เปลี่ยนแปลงหลังได้รับยา เช่น หัวใจเต้นเร็ว มือสั่น ท้องเสีย เป็นต้น 2.2 การรักษาความสะอาดของร่างกายและปากฟัน การบ้วนปากทุกครั้งหลัง รับประทานอาหาร สาธิตการแปรงฟันที่ถูกวิธีให้ผู้ป่วยและบิดามารดาดูรวมทั้งให้ ผู้ป่วย/บิดามารดาสาธิตย้อนกลับให้ดูอีกครั้ง 2.3 แนะนำอาหารที่ควรจัดให้ผู้ป่วยรับประทานให้ครบ 5 หมู่ มีเส้นใยอาหาร เพียงพอ และให้ได้รับผัก ผลไม้ทุกวัน ตลอดจนให้ได้รับอาหารที่มีแคลเซียม และ วิตามิน ดี สูงด้วย รวมทั้งดูแลให้อาหาร/นมครบทุกมื้อ 1. เพื่อทราบข้อมูลของผู้ป่วยและบิดามารดา 2. เพื่อให้ผู้ป่วยและบิดามารดาสามารถปฏิบัติ ตามแผนการรักษาได้ถูกต้อง กิจกรรม (Action) เหตุผล (Rationale) ข้อวินิจฉัยการพยาบาลข้อที่ 7 ผู้ป่วย/บิดามารดาขาดความรู้ในการดูแลตนเอง/บุตร และปฏิบัติตามแผนการรักษา 2.4 การดูแลผิวหนังผู้ป่วยให้ชุ่มชื้น สบู่ที่ใช้ควรเป็นสบู่เด็ก เมื่ออาบน้ำต้องล้างสบู่ ออกให้หมดทุกครั้งแล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที ถ้าผิวแห้งมากอาจทาผิวหนังด้วยเบบี้ ออยล์/โลชั่นทาผิวสำหรับเด็กทุกครั้งหลังอาบน้ำ 2.5 ติดตามการถ่ายอุจจาระของผู้ป่วยถ้าได้รับไทรอยด์ฮอร์โมนเพียงพอ ผู้ป่วยจะ ถ่ายอุจจาระทุกวัน 2.6 แนะนำและให้กำลังใจบิดามารดาในการกระตุ้นพัฒนาการผู้ป่วยให้ทำทุกวัน อย่างสม่ำเสมอและอย่างต่อเนื่อง บิดามารดาต้องมีความอดทนในการฝึกผู้ป่วย และในที่สุดผู้ป่วยก็จะค่อยๆมีพัฒนาการดีขึ้นตามลำดับ


46 3. การมาตรวจตามแพทย์นัด เพื่อติดตามผลการรักษาและปรับขนาดยาให้ เหมาะสม ตลอดจนความสำคัญของการติดตามผลระดับ T4 และ TSH ของผู้ป่วย เป็นระยะๆ 4. ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ท้องเสีย เป็นต้น สามารถพาผู้ป่วยมาพบ แพทย์ได้โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่แพทย์นัดตรวจ 3. เพื่อติดตามผลการรักษาและปรับขนาดยาให้ เหมาะสม 4. เพื่อป้องกันอันตรายจากอาการผิดปกติ


Click to View FlipBook Version