การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) Academic achievement study Buddhism subject matter About Buddhist duties and Buddhist etiquette of Mathayom 1 students using a problem-based learning management model. 1 สงกรานต์ มูลสาร1* ผู้ช่วยศาสตราจารย์สอนประจันทร์ เสียงเย็น2 และผู้ช่วยศาสตราจารย์ดอกเตอร์ ไกรฤกษ์ ศิลาคม3 2 Songkran mulsan1* , Sornprachan Siangyen2 and Krairoek Silakhom3 1 สาขาพุทธศาสนศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2 กลุ่มหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 1 Department Buddhist, Faculty of Education, Udon Thani Rajabhat University. 2 Curriculum And Instruction, Faculty of Education Udon Thani Rajabhat University. บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและหลังเรียน สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาท ชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบปกติกับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 ที ่มีต ่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem– based Learning : PBL) วิชาพระพุทธศาสนา เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ต าบล หมากแข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี ที่ เรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา (ส21106) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 87 คน จากห้องเรียน จ านวน 2 ห้อง ซึ่งได้มาโดย การสุ ่มแบบกลุ ่ม (Cluster Random Sampling) เครื ่องมือที ่ใช้ในการวิจัย คือ เอกสาร
ประกอบการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบ ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จ านวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อย ละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples ttest) ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบปกติกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน (Problem–based Learning : PBL) แตกต่างกัน สรุปได้ว่าจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ปกตินักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการท าแบบทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.69 น้อยกว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการท าแบบทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 17.15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 85.78 มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 1.09 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต ่อการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem– based Learning : PBL) เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวม มีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ค ำส ำคัญ: หน้าที่ชาวพุทธ, มารยาทชาวพุทธ, การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
บทน ำ การศึกษานับว ่ามีความส าคัญมากต ่อการพัฒนาบุคลากร ตลอดจนเป็นพื้นฐานของการ พัฒนาส่วนอื่น ๆ ด้วย เพราะไม่ว่าจะท าการพัฒนาส่วนใดต้องเริ่มมาจากการพัฒนาคนเสียก่อน ดังนั้น การพัฒนาคนสามารถท าได้หลายรูปแบบ อย่างที่ส าคัญที่สุดของการพัฒนาคน คือ การให้การศึกษา การพัฒนาประเทศจ าเป็นต้องพัฒนาควบคู ่ไปกับการพัฒนาคน ค านึงถึงการศึกษาเป็นส าคัญ โดยเฉพาะอย ่างยิ ่งในยุคของเทคโนโลยีสารสนเทศที ่ก้าวล ้าน าโลกไปมาก สภาพปัญหาการจัด การศึกษาในปัจจุบัน การเข้ารับการศึกษาไม่ทั่วถึงและไม่เป็นธรรม จึงเกิดความเหลื่อมล ้าในโอกาส การเข้ารับการศึกษา และคุณภาพการศึกษาที่ได้รับ เป็นอีกหนึ ่งเหตุผลที ่จ าเป็นต้องมีการปฏิรูป การศึกษาขึ้น รวมถึงการจัดการเรียนการสอนไม ่ได้เน้นความสามารถของผู้เรียนเท ่าที ่ควร ไม ่ได้ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมและภูมิปัญญาไทยอย่างเพียงพอ ทั้งนี้เพราะหลักสูตรการเรียนการสอน และการประเมินผลผู้เรียน เน้นวิชาและครูเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้ให้ความส าคัญแก่ผู้เรียน การเรียนการ สอนไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เน้นการท่องจ า แต่ไม่เน้นการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ ท าให้เด็กนักเรียนสมัยใหม่คิดวิเคราะห์สังเคราะห์ไม่เป็นเท่าที่ควร การศึกษาที่จัดอยู่ใน ปัจจุบันเป็นการศึกษาแบบแยกส่วนและไม่สอดคล้องกับการด ารงชีวิตในสังคม สภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รายวิชาพระพุทธศาสนา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผู้วิจัยรับผิดชอบอยู่ พบว่า จากข้อมูลการเรียนสาระพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสาระวิชาพระพุทธศาสนา มีระดับผลการเรียนค่อนข้างต่่า ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมีเนื้อหา เป็นจ่านวนมาก ส่งผลให้เมื่อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องนี้นักเรียนได้คะแนนผลการเรียนรู้ ที่คาดหวังต่่า และจากการประเมินมาตรฐานผู้เรียนบางส่วนมีความรู้ความเข้าใจค่อนข้างน้อยเกี่ยวกับ ทักษะที่จ่าเป็นตามหลักสูตร มีการจัดการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม อย่างมีประสิทธิภาพและเน้นผู้เรียนเป็นส่าคัญค่อนข้างน้อย อีกทั้งยังมีปัญหาภายนอก คือ นักเรียนส่วนหนึ่งยังไม่ได้รับการดูแลและเอาใจใส่อย่างเพียงพอ ท่าให้ความรับผิดชอบส่วนใหญ่จึง ตกอยู่ที่สถานศึกษาที่ต้องดูแลช่วยเหลือเอาใจใส่ ซึ่งเป็นพันธะที่สถานศึกษาต้องพัฒนาผู้เรียนให้ได้ แต่การที่จะติดตามและดูแลนักเรียนให้ทั่วถึงทุกคนนั้น ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีข้อจ่ากัด จึงขาดด่าเนินการอย่างต่อเนื่อง การให้ความช่วยเหลือไม่ครอบคลุม จึงมีการช่วยเหลือโดยการส่งเสริม ให้มีความสามารถในการจัดประสบการณ์ที่เน้นผู้เรียนเป็นส่าคัญขึ้น ผู้วิจัยจึงได้ค้นหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าว พบว่า แนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เ ป็ น ฐ า น (Problem–based Learning : PBL) เ ป็ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ ห ม า ะ ส ม เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้จากปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวและพบเจอ ในชีวิตประจ่าวัน เพราะผู้เรียนจะรับทราบและเข้าถึงผู้เรียนได้ง่าย สร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้น โดยใช้กระบวนการท่างานแบบกลุ่ม ท่าให้เกิดการระดมสมอง มีทักษะในการท่างานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการวางแผนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเกิดความคิดรวบยอด ทั้งนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน
ได้รู้จักการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้าหาความรู้รวมถึงสามารถค้นคว้า หาความรู้ได้ด้วยตนเอง และการจัดการเรียนการสอนตามแนวคอนสตรัคติวิซึม มีความเหมาะสมกับ การสอนสังคมศึกษาในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องเป็นการสอนให้เกิดการพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นวิชาที่ต้องฝึกให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพราะข้อมูลข่าวสารทางสังคมศึกษามีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถจดจ่าได้หมด การจัดการเรียนการสอนจึงต้องเป็นการสอนให้ นักเรียนรู้วิธีที่จะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และน่าข้อมูลสารสนเทศนั้นมาใช้อย่างมีความหมาย เพื่อการคิดวิจารณญาณ การตัดสินใจ การส่ารวจตรวจสอบ การสืบค้น การสร้างความรู้ด้วยตนเอง น่าทางตนเองและผู้อื่น ผู้เรียนจึงต้องน่าข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่ได้รับเชื่อมโยงกับความรู้ และประสบการณ์เดิมที่มีอยู่โดยผ่านการคิดจารณญาณอย่างรอบคอบของผู้เรียน เพื่อน่าไปใช้ ในการด่าเนินชีวิตต่อไป การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ผู้วิจัยสนใจที่จะท่าการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) มาเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอน กลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และสอดคล้องตามเป้าหมายของการศึกษาในยุค ปัจจุบัน โดยท่าการวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาว พุทธ รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เพื่อน่าผลการศึกษาไปเป็นแนวทางในการ พัฒนาการจัดการเรียนรู้ ในรายวิชาพระพุทธศาสนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและหลังเรียน สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาว พุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบปกติกับ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนการ สอนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ
แนวคิด ทฤษฎี กรอบแนวคิด ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 14 ห้อง รวมทั้งหมดจ านวน 680 คน โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น (independent variable) ได้แก่ 2.1.1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) 2.1.2 การจัดการเรียนรู้แบบปกติ 2.2 ตัวแปรตาม (dependent variable) ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) 2.2.2 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem– based Learning : PBL) วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ วิธีด ำเนินกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ประเด็นการศึกษาของผู้วิจัยส่วนใหญ่มีขอบเขตอยู่ที่การศึกษาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ก าหนดหัวข้อการด าเนินการวิจัยตามล าดับ ดังนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 14 ห้อง รวมทั้งหมดจ านวน 680 คน โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมืองอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 87 คน จากห้องเรียน จ านวน 2 ห้อง โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมืองอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ รายวิชา พระพุทธศาสนา (ส21106) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล จ านวน 6 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ รายวิชาพระพุทธศาสนา (ส21106) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล เป็น แบบทดสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ 3. แบบทดสอบภาคปฏิบัติ เรื ่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ รายวิชา พระพุทธศาสนา (ส21103) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 1 มีลักษณะเป็นการก าหนดให้นักเรียน แก้ปัญหาสถานการณ์ที่ก าหนดไว้จ านวน 3 ข้อ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ รายวิชาพระพุทธศาสนา (ส21103) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบ่งเป็น 5 ระดับ จ านวน 20 ข้อ การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมก่อนการทดลอง 1.1 เตรียมกลุ่มตัวอย่าง โดยการจัดท าบัญชีรายชื่อนักเรียน จัดท าตารางก าหนด วันเวลาในการทดลอง พร้อมทั้งท าเรื่องขออนุญาตทางโรงเรียน 1.2 จัดเตรียมสถานที่และเครื่องมือในการทดลอง 1.3 ผู้วิจัยแนะน ากลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการเรียนด้วยใช้กิจกรรมการ เสริมแรงเชิงบวก โดยใช้เวลาในการแนะน านักเรียนประมาณ 30 นาที 2. ขั้นด าเนินการทดลอง 2.1 ให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pretest) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นและได้วิเคราะห์คุณภาพแล้ว 2.2 ท าการทดลอง โดยให้กลุ่มตัวอย่างเรียนจากการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ
2.3 ให้กลุ่มตัวอย่างท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Posttest) ซึ ่งกระท าทันทีเมื ่อสิ้นสุดการเรียน โดยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเป็น แบบทดสอบข้อเดียวกันกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน แต่มีการสลับข้อ 2.4 ให้กลุ ่มตัวอย ่างตอบความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที ่มีต ่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ รายวิชาพระพุทธศาสนา (ส21103) นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. น่าคะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียนมาวิเคราะห์ เพื่อหาประสิทธิภาพ ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้มาตรฐาน E1/E2 ตามเกณฑ์ 75/75 2. น่าคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) 3. น่าผลการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาท่าการวิเคราะห์โดย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ด้วยเกณฑ์ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2559 : 103) คะแนน 1.00 - 1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด คะแนน 1.51 - 2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย คะแนน 2.51 - 3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง คะแนน 3.51 - 4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก คะแนน 4.51 - 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ 1.1 หาค่าความตรงรายข้อของแบบทดสอบ/และแบบสอบถามโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ เรียกว่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC : Index of Item Objective Congruence) เป็นความสอดคล้อง
ระหว่างข้อค าถามกับจุดประสงค์ โดยอาศัยความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 153) 1.2 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบ แบบปรนัยเป็นรายข้อ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 154-156) 1.3 วิเคราะห์หาค่าความยาก (P) และค่าอ านาจจ าแนก (D) ของแบบทดสอบ ภาคปฏิบัติเป็นรายข้อ โดยวิธีการของวิทนีย์และซาเบอร์ส (Whitney and Sabers) (ไพศาล วร ค า. 2559 : 299-308) 1.4 การหาค่าอ านาจจ าแนกรายข้อของแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ด้วยวิธีการหาค ่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item Total Correlation) โดยคะแนนรวมนั้นได้หักคะแนนของข้อนั้น ๆ ออกแล้ว (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 71) 1.5 หาค ่าความเชื ่อมั ่นของแบบทดสอบแบบปรนัยทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR-20 โดยวิธีการของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder-Richardson Method) (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 88 - 89) 1.6 การหาค ่าความเชื ่อมั ่นของแบบทดสอบภาคปฏิบัติและแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค ่า 5 ระดับ โดยวิธีการใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา ( -Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) (ทรงศักดิ์ ภูสีอ่อน. 2556 : 90) 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ร้อยละ 2.2 ค่าเฉลี่ย 2.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S) มี 3. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน ตามเกณฑ์ 80/80 วิเคราะห์โดยใช้สูตร E1/E2 4. สถิติที่ใช้ในการการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) กับหลังเรียน (Post-test) ของกลุ ่มตัวอย ่าง โดยใช้ t-test แบบกลุ ่มไม ่อิสระ (Dependent Samples t-test)
ผลกำรวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและมารยาทชาว พุทธ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปผลได้ดังนี้ 1.1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนก่อนและหลังเรียน สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้คะแนนเฉลี่ยจากการท า แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบย่อยในแต่ละเรื่องเท่ากับ 56.44 คิดเป็นร้อยละ 94.07 และ ท าคะแนนเฉลี่ยจากการท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เท่ากับ 17.15 คิดเป็น ร้อยละ 85.78 ค่าเฉลี่ยหลังเรียนสุงกว่าก่อนเรียน 1.2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ สาระวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ และมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบปกติกับการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ได้น าคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากการท าแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาว พุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบปกติกับการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สามารถสรุปได้ว่า จากการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบปกตินักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการท าแบบทดสอบหลังเรียนมี คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.69 น้อยกว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการท า แบบทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 85.78 มีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ 1.09 1.3)ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนการสอน โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) วิชาพระพุทธศาสนา เรื ่อง หน้าที ่ชาว พุทธและมารยาทชาวพุทธความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ และมารยาทชาวพุทธ โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 5.00) เมื่อพิจารณาเป็น รายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด สามารถเรียงล าดับความ พึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละด้านจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต ่าได้ดังนี้ ด้านเนื้อหา ( =
5.00) ด้านปฏิบัติงาน ( = 5.00) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( = 5.00และด้านการวัดและ ประเมินผล ( = 5.00) ตามล าดับ สรุปและอภิปรำยผล จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาท ชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 2.1) การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน (Problem–based Learning : PBL) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.07/85.78 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนด 80/80 และผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป เป็นไปตามสมติฐาน ทางการวิจัยข้อที่ 1 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ และมารยาทชาวพุทธ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ผู้วิจัยได้สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ขึ้นตามขั้นตอนรูปแบบของวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) อย ่างจริงจัง มีระบบและน าไปให้ ผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน ตรวจสอบและประเมินก่อนที่จะน าไปทดลองจริง แล้วน าไปปรับปรุงแก้ไข ตามค าแนะน าของผู้เชี่ยวชาญ ก่อนน าไปทดลองกับกลุ่มเป้าหมายในการศึกษา ซึ่งจากเหตุผลที่กล่าว มาท าให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ซึ่งสอดคล้องกับผลงานวิจัย ศุภ วารีวงศ์พรหม (2563 : บทคัดย่อ)ประสิทธิภาพของของรูปแบบการจัดการเรียนรู้สาระเศรษฐศาสตร์ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 มีค่าเท่ากับ 84.18/82.21สอดคล้องตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 80/80 และเป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ฤดีรัตน์แป้งหอม (2559 : บทคัดย่อ) การ ศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื ่อง ปรากฏการณ์ทางภูมิศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก าหนด ไว้คือ 80/80 พบว่า ผลการวิจัย พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่องปรากฏการณ์ ทางภูมิศาสตร์ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน (E1/E2) เท่ากับ 83.20/81.27 จิณห์จุฑา ศิริเวชบุรี(2564 : บทคัดย่อ) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนโดยประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะการ
แก้ปัญหา กลุ ่มสาระการเรียนรู๎สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรมการเรียน โดยประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐานมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้คือ 82.33/ 82.89 และธีรภัทร์นิตยกุลเศรษฐ์ (2563 : บทคัดย่อ) การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน เรื่อง ประเด็นส าคัญทาง ประวัติศาสตร์ไทย กล ุ ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้ปัญหา เป็นฐาน เรื่อง ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.56/81.78 2.2) ผู้วิจัยได้น าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการท าแบบทดสอบก่อนเรียนและหลัง เรียนวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ระหว่างการ จัดการเรียนรู้แบบปกติกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาท ชาวพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สามารถสรุปได้ว่า จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบปกตินักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการ ท าแบบทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.94 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 84.69 น้อยกว่าการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจากการท าแบบทดสอบหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 85.78 มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 1.09 ข้อที่ 2 อาจเนื่องมาจากที่ได้มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา พระพุทธศาสนา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นกระบวนการจัดการ เ ร ี ย น ร ู ้ จ า ก ป ั ญ ห า ที่ เ ก ิ ด ข ึ ้ น ซ ึ ่ ง ต ้ อ ง เ ป ็ น ป ั ญ ห า ท ี ่ ใ ก ล ้ ต ั ว แ ล ะ พ บ เ จ อ ในชีวิตประจ าวัน เพราะผู้เรียนจะรับทราบและเข้าถึงผู้เรียนได้ง ่าย สร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้น โดยใช้กระบวนการท างานแบบกลุ ่ม ท าให้เกิดการระดมสมอง มีทักษะในการท างานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการวางแผนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเกิดความคิดรวบยอด ทั้งนี้ยังช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียน ได้รู้จักการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้าหาความรู้รวมถึงสามารถค้นคว้า หาความรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้เรียนไม ่เบื ่อหน ่ายในระหว ่างการจัดการเรียนรู้ ส ่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาวพุทธโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหา
เป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) มีค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าแบบ ปกติ มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 1.09 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัย จิณห์จุฑา ศิริเวชบุรีและคณะ (2562 : บทคัดย่อ) ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนโดยประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อพัฒนาทักษะ การแก้ปัญหา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ธีร ภัทร์นิตยกุลเศรษฐ์ (2563 : บทคัดย่อ)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทย ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน เรื ่อง ประเด็นส าคัญทางประวัติศาสตร์ไทยชั้น มัธยมศึกษาปีที่6 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จิณห์จุฑา ศิริเวช บุรี(2564 : บทคัดย่อ) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนหลังเรียน ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า คะแนนการเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียน โดยประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้ปัญหาเป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ฤดีรัตน์แป้งหอม (2559 : บทคัดย่อ) การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาสังคมศึกษา ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน หลังเรียนมีค่าสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และปาริฉัตร ศรี พล, ผศ.ดร.พรรณราย เทียมทัน (2563 : บทคัดย ่อ) การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและ หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา เศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานกับ เกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม ผลการวิจัยพบว่า 1.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มีค่าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก ่อน เรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 16.92 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 3.23 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.24 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.48 2.) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดย มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.24 คิดเป็นร้อยละ 80.80ของคะแนนเต็ม
2.3) ความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) เรื ่อง หน้าที ่ชาวพุทธและ มารยาทชาวพุทธ โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 5.00) เมื่อพิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า ทุกด้านมีความพึงพอใจในการเรียนรู้อยู่ในระดับมากที่สุด สามารถเรียงล าดับความพึง พอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนในแต่ละด้านจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต ่าได้ดังนี้ ด้านเนื้อหา ( = 5.00) ด้านปฏิบัติงาน ( = 5.00) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน ( = 5.00และด้านการวัดและ ประเมินผล( = 5.00) ตามล าดับ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1) การจัดกลุ ่มในการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ควรเปลี ่ยนกลุ ่มนักเรียนเพื ่อให้นักเรียนได้สร้างความสัมพันธ์ ความคุ้นเคยกับเพื ่อนคนอื ่น ๆ ในห้อง ซึ ่งจะส่งผลให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเพื ่อนมากขึ้น และสามารถพัฒนาความสามารถ ในการท างานกลุ่มของนักเรียนให้ดีขึ้นด้วย 2) การจัดกลุ่มผู้เรียนส าหรับการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ผู้วิจัยจะต้องตรวจสอบข้อมูลของกลุ ่มตัวอย ่างให้ละเอียด เพื ่อให้ได้กลุ ่มตัวอย ่าง ที่คละความสามารถจริง ๆ คือ ได้คนเก่ง คนปานกลาง และคนอ่อน ที่มีความสามารถแตกต่างกัน ชัดเจน 3) ความพร้อมของห้องเ รียน สื ่อการเรียนก ารสอนและแหล ่งเรียนรู้มี ผล ต่อความสนใจของผู้เรียน ดังนั้นครูจึงต้องมีการวางแผนและจัดเตรียมให้พร้อมก่อนที่จะด าเนินการ จัดการเรียนการสอนจริง 4) สังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มีความสามารถในการเรียนต ่า อาจจะไม่เข้าใจหรือเกิดการ เรียนรู้ช้า หรือต้องการความช่วยเหลือ ครูควรใช้เทคนิคเสริมแรงกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ หรืออธิบายให้เข้าใจชัดเจนอีกครั้ง 5) กล่าวค าชมเชยและให้ข้อมูลย้อนกลับทุกครั้งในท ุกกิจกรรมที ่นักเรียนท า เพื่อให้นักเรียนมีก าลังใจและทราบแนวทางในการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป 1) ควรมีการศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการ จั ดก า ร เ รี ยน รู้โ ด ยใ ช้ปัญห าเ ป็น ฐ าน (Problem–based Learning : PBL) กับส า ร ะ อื่ น รายวิชาอื่น และระดับชั้นอื่นๆ 2) ควรน าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ไปบูรณาการกับรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อื่น ๆ 3) ควรศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่สอนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) กับรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบอื่นด้วย
เอกสำรอ้ำงอิง ธนพันธ์ คอนโคตร. (2550). การพัฒนาชุดการเรียนรู้เรื่องหน้าที่ชาวพุทธและมารยาทชาว พุทธส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอน สังคมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและวิธีสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ธงสวรรค์ วรสิงห์. (2551). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนเรื่องพุทธศาสนพิธี ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โดยวิธีสอนแบบกระบวนการกลุ่มและวิธีสอนแบบปกติ. ปริญญาศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาต่อเนื่อง ภาควิชาการศึกษานอก โรงเรียน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ประสิทธิ์ จารุปญฺโญ. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนาโดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ของ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบางระจันวิทยา อ าเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี. ปริญญาการศึกษาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนสังคมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย. จุฬาลักษณ์ การอรุณ. (2561). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา โดยใช้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4/1. โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม อ าเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 25 ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. พรรณกมล สังคง. (2561). ผลการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนวตามเทคนิคการเสริมแรงเพื่อพัฒนามารยาท ทางสังคมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 4 - 6 โรงเรียนบ้านวังตะเคียน จังหวัด ก าแพงเพชร. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต แขนงวิชาการแนะแนวและการปรึกษาเชิง จิตวิทยา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (2554). การอบรมคุณธรรมตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา. กรุงเทพ ฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. นายโสภณ พรมจิตต์. (2564).ส านักศิลปะและวัฒนธรรม.พิมพ์ครั้งที่ 1. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. บ้านจอมยุทธ.[ออนไลน์]. ได้จาก https://www.baanjomyut.com [สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565] มานพ พุ่มจิตร. [ออนไลน์]. ได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/456174 [สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565]