The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาประกอบการเรียนการสอนทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by W.W_style, 2021-04-24 23:02:32

ทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

เนื้อหาประกอบการเรียนการสอนทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย

Keywords: ทฤษฎีและพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัย,เด็กปฐมวัย

เด็กปฐมวัยเรียนรู้ภาษา จากสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวท้ังสิ่งแวดล้อมที่บ้าน
และโรงเรียน เดก็ จะเรียนรู้การฟังและการพดู ก่อน เพราะการฟังและการพดู เป็ น
ของคู่กนั เป็ นพนื้ ฐาน

ทางภาษา กล่าวคือ เมื่อฟังแล้วก็ย่อมต้องพูดสนทนาโต้ตอบได้ การ
เรียนภาษาของเด็กปฐมวัยไม่จาเป็ นต้องอาศัยการสอนอย่างเป็ นทางการ หรือ

ตามหลักไวยกรณ์ แต่จะเป็ นการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวหรือเป็ นการสอนแบบธรรมชาติ

1. ทฤษฎีของนักพฤตกิ รรมศาสตร์ (The Behaviorist View)
2. ทฤษฎสี ภาวะติดตวั โดยกาเนิด (The Nativist View)
3. ทฤษฎขี องนักสังคมศาสตร์ (The Socialist View)
4. ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเพยี เจท์ (Piaget Theory)
5. ทฤษฎขี องนักจิตวทิ ยาภาษาศาสตร์ (Psycholinguistics Theory)

ทฤษฎีนี้มีความเช่ือเก่ียวกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กโดยกล่าวว่าการ
เรียนรู้ภาษาของเด็กเป็ นการเรียนรู้ทเี่ กดิ ขึน้ จากผลการปรับสิ่งแวดล้อมของแต่
ละบุคคลท่ีมีอยู่ในตนเอง ในขณะท่ีเด็กเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แรงเสริมใน
ทางบวกจะถูกนามาใช้เม่ือภาษาของเด็กใกล้เคียง หรือถูกต้องตามภาษาผู้ใหญ่
ซึ่งนักพฤติกรรมศาสตร์มคี วามเชื่อเกย่ี วกบั การเรียนภาษาของเดก็

ทฤษฎีนี้มีความเช่ือเก่ียวกับกฎธรรมชาติ หรือกฎเก่ียวกับส่ิงท่ีเป็ นมา
แต่กาเนิด โดยมีความคิดเห็นเกย่ี วกับการเรียนรู้ภาษาของเด็กแตกต่างจากนัก
พฤตกิ รรมศาสตร์สองประการสาคญั คอื

1. การให้ความสาคัญต่อองค์ประกอบภายในบุคคลเกยี่ วกับการเรียนรู้
ภาษา

2. การแปลความบทบาทขององค์ประกอบทางส่ิงแวดล้อมในการ
เรียนรู้ภาษา

นั ก ทฤษ ฎี สั ง ค ม หรื อ ทฤษ ฎีวั ฒ น ธ ร ร ม จะใ ห้ ค ว า ม ส น ใ จ เกี่ย ว กับ
ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมทางภาษาของผู้ใหญ่ท่ีมีต่อพฒั นาการทางภาษาของ
เด็ก ผลการวิจัยกล่าวว่า วิธีการที่ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ปฏิบัติต่อเด็กมีผลต่อ

พฒั นาการทางภาษา และพฒั นาการทางสตปิ ัญญาของเด็ก วธิ ีการเหล่านี้ ได้แก่
• การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง
• การสนทนาระหว่างรับประทานอาหาร
• การแสดงบทบาทสมมุติ
• การสนทนา เป็ นต้น

เพยี เจท์ (Piaget) เชื่อว่าการเรียนรู้ภาษาเป็ นผลจากความสามารถ
ทางสติปัญญา เด็กเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวของเขา เด็กจะ

เป็ นผู้ปรับสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ภาษาของตน
นอกจากนีเ้ พยี เจท์ (Piaget) ยืนยนั ว่า พฒั นาการทางภาษาของเด็ก

เป็ นไปพร้ อม ๆ กับความสามารถด้านการให้เหตุผล การตัดสิน และด้าน
ตรรกศาสตร์ เด็กต้องการส่ิงแวดล้อมที่จะส่งเสริมให้เด็กสร้างกฎ ระบบเสียง

ระบบคา ระบบประโยค และความหมายของภาษา นอกจากนีเ้ ด็กยังต้องการฝึ ก
ภาษาด้วยวธิ ีการหลาย ๆ วธิ ีและจุดประสงค์หลาย ๆ อย่าง

ทฤษฎนี ีช้ อมสกี้ (Chomskey, 1960 ; อ้างถงึ ใน สุภาวดี ศรีวรรธนะ, 2542
: 36) กล่าวว่า การเรียนรู้ภาษาเป็ นเร่ืองซับซ้อนซ่ึงจะต้องคานึงถงึ โครงสร้างภาษาใน

ตัวเดก็ ด้วย เพราะบางคร้ังเดก็ พูดคาใหม่โดยไม่ได้รับแรงเสริมมาก่อนเลย เขาอธิบาย
การเรียนรู้ภาษาของเด็กว่าเม่ือเด็กได้รับประโยค หรือกลุ่มคาต่าง ๆ เข้ามาเด็กจะ
สร้างไวยกรณ์ขึ้น โดยใช้เครื่องมือการเรียนรู้ภาษาที่ติดตัวมาแต่กาเนิด ซึ่งได้แก่
อวยั วะเกยี่ วกบั การพดู การฟัง นอกจากนี้

เลน็ เบอร์ก (Lenneberg) ยงั เป็ นผู้หน่ึงที่เสนอทฤษฎแี นวนีโ้ ดยมีความเชื่อ
ว่า มนุษย์มีอวัยวะท่ีพร้อมสาหรับการเรียนรู้ภาษา ถ้าสมองส่วนนี้ชารุด หลังจาก
วยั รุ่นตอนต้น (อายุประมาณ12 ปี ) จะทาให้การเรียนรู้ภาษาใหม่ได้ยาก

1. ทฤษฎคี วามพงึ พอใจแห่งตน (The Autism Theory หรือ

Austistic Theory)
2. ทฤษฎีการเลยี นแบบ (The Imitation Theory)
3. ทฤษฎเี สริมแรง (Reinforcement Theory)
4. ทฤษฎกี ารรับรู้ (Motor Theory of Perception)
5. ทฤษฎีความบงั เอญิ จากการเล่นเสียง (Babble Buck)
6. ทฤษฎชี ีววทิ ยา (Biological Theory)
7. ทฤษฎกี ารให้รางวลั ของพ่อแม่ (Mother Reward Theory)

ทฤษฎีนี้ถือว่า การเรียนรู้การพูดของเด็กเกิดจากการเลียนเสียงอัน
เนื่องจากความพึงพอใจที่ได้กระทาเช่นน้ัน โมว์เรอร์ (Mower) เชื่อว่า
ความสามารถในการฟัง และความเพลิดเพลินกับการได้ยินเสียงของผู้อื่นและ
ตนเองเป็ นสิ่งสาคญั ต่อพฒั นาการทางภาษา

เลวิส (Lawis) ได้ศึกษาและเช่ือว่า พัฒนาการทางภาษาน้ันเกดิ จาก
การเลียนแบบ ซึ่งอาจเกิดจากการมองเห็นหรือการได้ยินเสียง การเลียนแบบ
ของเด็กเกดิ จากความพอใจ และความสนใจของตัวเด็กเอง ปกติช่วงความสนใจ
ของเด็กน้ันส้ันมาก เพื่อท่ีจะชดเชยเด็กจึงต้องมีสิ่งเร้าซ้า ๆ กัน การศึกษา
กระบวนการในการเลยี นแบบภาษาพูดของเด็กพบว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึน้ เม่ือพ่อ
แม่เลียนแบบเสียงของเด็กในระยะเล่นเสียงหรือในระยะท่ีเด็กกาลังเรียนรู้การ
ออกเสียง

ทฤษฎนี ีอ้ าศัยจากหลกั ทฤษฎีการเรียนรู้ซ่ึงถือว่าพฤติกรรมท้งั หลายถูก

สร้างขึน้ โดยอาศัยการวางเง่ือนไข ไรน์โกลต์ (Rhiengold) และคณะได้
ศึกษาพบว่าเด็กจะพดู มากขนึ้ เม่อื ได้รางวลั หรือได้รับการเสริมแรง

ลเิ บอร์แมน (Liberman) ต้ังสมมติฐานไว้ว่า การรับรู้ทางการฟัง
ขึ้นอยู่กับการเปล่งเสียง จึงเห็นได้ว่า เด็กมักจ้องหน้าเวลาเราพูดด้วย การทา

เช่นนีอ้ าจเป็ นเพราะเด็กฟัง และพูดซ้ากบั ตัวเอง หรือหัดเปล่งเสียง โดยอาศัย
การอ่านริมฝี ปาก แล้วจึงเรียนรู้คา

ซ่ึงธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็ นผู้คิดโดยอธิบายว่า เม่ือเด็กกาลัง
เล่นเสียงอยู่น้ัน เผอิญมีเสียงบางเสียงไปคล้ายกบั เสียงท่ีมีความหมาย ในภาษา
พูดของพ่อแม่ พ่อแม่จึงให้การเสริมแรงทันที ด้วยวิธีนี้จึงทาให้เด็กเกิด
พฒั นาการทางภาษา

เลน็ เบิร์ก (Lenneberg) เชื่อว่า พฒั นาการทางภาษามีพนื้ ฐานทาง
ชีววทิ ยาเป็ นสาคญั กระบวนการทค่ี นพูดได้ขึน้ อยู่กบั อวยั วะในการ

เปล่งเสียง เด็กจะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้ และพูดได้ตามลาดบั

ดอลลาร์ด (Dollard) และมิลเลอร์ (Miller) เป็ นผู้คดิ ทฤษฎีนี้
โดยยา้ เกย่ี วกบั บทบาทของแม่ในการพฒั นาภาษาของเด็กว่า ภาษาทแี่ ม่ใช้ในการ

เลยี้ งดูเพอ่ื เสนอความต้องการของลูกน้ัน เป็ นอทิ ธิพลทที่ าให้เกดิ ภาษาพูดแก่ลูก

ข้ันแรกเร่ิม (Pre language) เด็กอายุหน่ึงเดือนถึงสิบเดือน จะมี
ความสามารถจาแนกเสียงต่างๆได้ แต่ยังไม่มีความสามารถควบคุมการออก
เสียง เด็กจะทาเสียงอ้อแอ้ หรือเสียงแสดงอารมณ์ต่าง ๆ เด็กจะพัฒนาการออก
เสียงขึน้ เรื่อย ๆ จนใกล้เคียงกับเสียง ในภาษาจริง ๆ มากขึน้ ตามลาดับเรียกว่า
เป็ นคาพูดเทียม (Pseudowore) พ่อแม่ทต่ี ้ังใจฟัง และพูดตอบจะทาให้เด็กเพ่ิม

ความสามารถในการสื่อสารมากยง่ิ ขึน้
ข้ันท่ี 1 (10 – 18 เดือน) เด็กจะควบคุมการออกเสียงคาที่จาได้

สามารถเรียนรู้คาศัพท์ในการสื่อสารถึง 50 คา คาเหล่านีจ้ ะเกย่ี วข้องกบั คน สัตว์
ส่ิงของ หรือเร่ืองราว ในส่ิงแวดล้อม การที่เด็กออกเสียงคาหน่ึงหรือสองคา อาจ
มีความหมายรวมถึงประโยคหรือวลีท้ังหมด การพูดชนิดนี้มีช่ือเรียกว่า
Holphrastic Speech

ข้ันที่ 2 (18 – 24 เดือน) การพูดข้ันนี้จะเป็ นการออกเสียงคาสองคา
และวลสี ้ัน ๆ มีชื่อเรียกว่า Telegraphic Speech คล้าย ๆ กบั โทรเลข คอื มีเฉพาะ

คาสาหรับสื่อความหมาย เด็กเรียนรู้คาศัพท์มากขึน้ ถึง 300 คา รวมท้ังคากิริยา
และคาปฏิเสธ เด็กจะสนุกสนานกับการพูดคนเดียวในขณะท่ีทดลองพูดคาและ
โครงสร้างหลาย ๆ รูปแบบ

ข้ันท่ี 3 (24 – 30 เดือน) เด็กจะเรียนรู้ศัพท์เพิ่มขึน้ ถึง 450 คา วลีจะ
ยาวขนึ้ พูดประโยคความเดยี วส้ัน ๆ มีคาคุณศัพท์รวมอยู่ในประโยค

ข้ันท่ี 4 (30 – 36 เดือน) คาศัพท์จะเพมิ่ มากขึน้ ถงึ 1,000 คา ประโยค
เริ่มซับซ้อนขึน้ เด็กที่อยู่ในส่ิงแวดล้อมทสี่ ่งเสริมพฒั นาการทางภาษา จะแสดง
ให้เห็นถึงความเจริญงอกงามทางด้านจานวนศัพท์และรูปแบบของประโยค
อย่างชัดเจน

ข้ันท่ี 5 (36 – 50 เดือน) เด็กสามารถส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพใน
ครอบครัวและผู้คนรอบข้าง จานวนคาศัพท์ท่ีเด็กรู้มีประมาณ 2,000 คา เด็กใช้
โครงสร้างของประโยคหลายรูปแบบ เด็กจะพฒั นาพนื้ ฐานการส่ือสารด้วยวาจา
อย่างมน่ั คง และเริ่มต้นเรียนรู้ภาษาเขียน

1.วุฒิภาวะ เมื่อเด็กมีความเจริญขึน้ ตามลาดับ ความสามารถในการพูด
การเขียนย่อมตามมา

2.ส่ิงแวดล้อม ถ้าหากพ่อแม่ ผู้ปกครองสนใจ เอาใจใส่ พยายามพร่า
สอนให้เด็ก พดู คุย และหัดอ่านหัดเขียนอยู่ตลอด เดก็ จะมคี วามพร้อมทางภาษา

3.การเข้าใจความหมายภาษาท่ีใช้ พูด ถ้าอยู่ในวงแคบศัพท์ก็พื้น ๆ
ธรรมดาแต่ถ้าหากอยู่ในชุมชนท่ีกว้างใหญ่ เด็กกส็ ามารถเข้าใจคา ประโยค วลที ่ี
มีความหมายต่างๆ ได้ดี

4.การให้มีพฒั นาการท้งั หมด (Develope as a Whole) เราจะต้องให้เด็ก
มีรูปร่างที่ดี หน้าตาสดใส สะอาดกายใจ สมองก็ต้องให้ดี สุขภาพสมบูรณ์ และ
สังคมกต็ ้องดี จึงจะทาให้เดก็ มีความเจริญทางภาษาได้ดี

5.ข้ันตอนและการจัดช้ันเรียน การจัดโรงเรียนแบบไม่มีช้ัน แต่อาศัย
ความสามารถทางภาษาเป็ นแนวก็น่าจะได้ลองจัดให้เป็ นที่แพร่หลายต่อไป
หลัก สู ต รแ ละ ข้ันต อน กา รส อนบ าง บท ก็น่ าจะ สั บ เป ลี่ย นไป ได้ ตา มร ะดั บ
ความสามารถและความพร้อมของนักเรียน

6.การมสี ่วนร่วม (Participation) กจิ กรรมใด ๆ กต็ ามเด็ก ๆ ควรมีส่วน
ร่วมทุกคร้ัง ทุกคน ครูไม่ควรเลือกที่รักมักท่ีชังจะต้องพิจารณาความสามารถ
ของเด็กเป็ นรายบุคคล

นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีอิทธิพล ต่อพัฒนาการทางภาษาของเด็กว่าควร
ประกอบด้วยสิ่งสาคญั 2 ประการคอื

1.สถานภาพทางเศรษฐกจิ และสังคม
2.ขนาดครอบครัว เพศ และอายุ

จิตวิทยาการเรียนรู้หรือจิตวิทยาการเรียนการสอน เป็ นศาสตร์ท่ศี ึกษา
เกย่ี วกบั พฤตกิ รรมของมนุษย์ในส่วนทเี่ กย่ี วข้องกบั การจัดการศึกษาหรือจัดการ
เรียนการสอน ซึ่งเป็ นการนาเอาหลักจิตวิทยามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการ

จัดการเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ โดยมีขอบข่ายทสี่ าคญั 3 ประการคอื
1.ศึกษาถึงธรรมชาติของการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ ตลอดถึง

ธรรมชาติของการคดิ การจา และการลมื

2.ศึกษาถึงเชาวน์ปัญญา ความถนัด ความสนใจ และทัศนคติ ซ่ึงเป็ น
องค์ประกอบสาคญั สาหรับการเรียนรู้

3.ศึกษาถงึ บุคลกิ ภาพ การปรับตัว และวธิ ีการปรับพฤตกิ รรม


Click to View FlipBook Version