The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบงานที่ ๓ หลักการทฤษฏี อิทธิบาท ๔ พระทวีโ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 6310502004, 2022-09-14 00:23:05

ใบงานที่ ๓ หลักการทฤษฏี อิทธิบาท ๔ พระทวีโ

ใบงานที่ ๓ หลักการทฤษฏี อิทธิบาท ๔ พระทวีโ

Keywords: ใบงานที่3

หลักการทฤษฏี อทิ ธิบาท ๔ บรหิ ารงานสาเรจ็ สมประสงค์ได้อย่างไร? อธิบาย

พร้อมยกตวั อยา่ งนทิ านชาดกมา ๑ ตวั อย่าง

อิทธิบาท หรือ อิทธิบาท 4 เป็นศัพท์ในพระพุทธศาสนา หมายถึง ฐานหรือหนทางสู่ความสาเรจ็ หรือ
คุณเครื่องให้ถึงความสาเร็จ คุณเครื่องสาเร็จสมประสงค์ ทางแห่งความสาเร็จ คุณธรรมที่นาไปสู่ความสาเร็จ
แห่งผลทมี่ งุ่ หมาย มี ๔ ประการ คือ

ฉันทะ (ความพอใจ) คือ ความต้องการที่จะทา ใฝ่ใจรักจะทาสิ่งน้ันอยู่เสมอ และปรารถนาจะทาให้
ได้ผลดียง่ิ ๆขึ้นไปดกู รภิกษุท้งั หลาย เราไดม้ กี ารความคดิ อย่างนว้ี ่า ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ ยอ่ มเจริญ อิทธิบาท อัน
ประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ ว่าฉันรึยังของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป
ไมห่ ดห่ใู นภายใน ไมฟ่ ุง้ ซา่ นไปในภายนอก และเธอมคี วามสาคญั ในเบอ้ื ง หลังและเบ้อื งหนา้ อยวู่ า่ เบ้ืองหนา้ ฉัน
ใด เบือ้ งหลังก็ฉนั น้นั เบอ้ื งหลงั ฉันใด เบอ้ื งหน้ากฉ็ ัน นนั้ เบอื้ งล่างฉันใด เบ้อื งบนก็ฉันนั้น เบือ้ งบนฉนั ใด เบ้อื ง
ล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันน้ัน กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันน้ัน เธอมีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ
อบรม จิตใจใหส้ ว่างอยู่

วิริยะ (ความเพียร) คอื ขยันหม่ันประกอบสิง่ น้นั ด้วยความพยายาม เขม้ แข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย
ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร ดังน้ีว่า วิถานะยะของเราจักไม่ย่อหย่อน
เกนิ ไป ไม่ต้องประคองเกนิ ไป ... ไม่มีอะไรหมุ้ ห่อ อบรมจติ ให้ สว่างอยู่

จิตตะ (ความคิด) คือ ตั้งจิตรับรู้ในส่ิงท่ีทา และทาส่ิงน้ันด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้
ฟุ้งซ่านเล่ือนลอยไปภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยจิตตสมาธิและปณิธานสังขาร ดังน้ีว่า จิตของเรา
จักไมย่ อ่ หยอ่ นเกนิ ไป ไมต่ อ้ งประคองเกินไปไม่มีอะไรหมุ้ ห่อ อบรมจิตใหส้ วา่ งอยู่

วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง) คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และ
ตรวจสอบข้อย่ิงหยอ่ นในสิง่ ที่ทานน้ั มกี ารวางแผน วดั ผล คดิ ค้นวิธแี กไ้ ขปรบั ปรุง เป็นต้น
ภิกษุย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดังนี้ ว่า วิมังสาของเราจักไม่ย่อหย่อน
เกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไป ภายนอก และเธอมีความสาคัญในเบ้ืองหลังและ
เบอ้ื งหน้าอยู่ว่า เบอื้ งหน้าฉนั ใด เบือ้ งหลงั กฉ็ ัน นน้ั เบ้ืองหลงั ฉนั ใด เบือ้ งหนา้ ก็ฉันน้ัน เบ้ืองลา่ งฉันใด เบ้อื งบน
ก็ฉันนน้ั เบอ้ื งบนฉันใด เบอ้ื งลา่ งก็ฉันน้ัน กลางวันฉนั ใด กลางคนื ก็ฉันนั้น กลางคนื ฉนั ใด กลางวันก็ฉันนัน้ เธอ
มี ใจเปิดเผย ไม่มอี ะไรหมุ้ ห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่

ประโยชน์ของอทิ ธิบาท ๔

หลักธรรม คืออิทธิบาทนี้เป็นสูตรสาเร็จท่ีพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่าเป็นบาทฐานของความสาเร็จ
และเป็นประโยชนส์ าหรับบุคคลท่นี ้อมนาไปประพฤติปฏิบัติอยา่ งจริงจัง ไมว่ า่ จะเป็นการทางาน การศึกษาเล่า
เรียน การปฏิบัติธรรม เป็นต้น ซ่ึงประโยชน์ของหลักอิทธิบาท ๔ ประการน้ีจะได้อธิบายให้เป็นข้อ ๆ ให้พอได้
ใจความ ดังนี้

๑.ประโยชน์ของฉันทะ คือเป็นข้าศึกต่อความเบ่ือหน่าย ทาให้ไม่เบ่ือหน่ายไม่ท้อแท้มี กาลังต่อสู้
ป้องกันสร้างสรรค์สิ่งท่ีตนรัก ทาให้งานหนักกลายเป็นงานเบา ท่ียากก็กลายเป็นง่าย ถ้า ขาดฉันทะ ทาให้ขาด
กาลังใจ เบ่อื งาน ทอดทงิ้ งาน กลายเปน็ คนจับจด ไม่กา้ วหนา้

๒.ประโยชน์ของวิริยะ คือกาจัดความเกียจคร้าน ทาให้งานต่อเนื่อง ถ้าขาดวิริยะจะเป็น คนอ่อนแอ
หนีที่ยากไปหาแต่ท่งี ่าย ทาอะไรไม่สาเร็จ ขาดความกา้ วหนา้ มแี ต่งานค้าง กลายเปน็ คน หย่อนสมรรถภาพ

๓.ประโยชน์ของจิตตะ คือทาให้ทราบความเป็นไปของงานอยู่เสมอ เมื่อมีปัญหาสามารถ แก้ไข
เหตุการณไ์ ด้ทนั ทว่ งทถี ้าขาดจติ ตะงานอาจเสียหายได้โดยไม่รตู้ วั หรอื รู้ตัวเมื่อสายเกนิ แก้เสยี แลว้

๔.ประโยชน์ของวิมังสา คือช่วยทาให้งานไม่ผิดพลาด และทาให้มองเห็นลู่ทางที่จะ ทางานได้ผลดีถ้า
ขาดวิมังสาจะทางานผิดๆถูกๆ เปลืองทุนเปลืองแรงเวลาและทาให้โง่เขลา ในสุตตันตปิฎกได้กล่าวถึง “อิทธิ
บาทว่า เป็นคุณเคร่ืองให้ถึงความสาเร็จของอิทธิบาท ๔ ดังกล่าว ทาให้เห็นได้ว่า ฉันทะกับวิริยะ เป็นหลัก
ปฏิบัติที่ช่วยให้บุคคลมีความสามารถในการ เผชิญปัญหาและอุปสรรคในการทางานได้เป็นอย่างดีโดยมีจิตตะ
และวิมังสา เป็นหลักปฏิบัติท่ีช่วยให้ การเอาชนะปัญหาและอุปสรรคในการทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิง่ ขึน้ ซ่ึงในท่สี ุดแล้วกจ็ ะช่วย เสรมิ ให้บุคคลมีความสามารถในการเผชิญปัญหาและอปุ สรรคมากขึ้น

จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่า อิทธิบาท ๔ หมายถึง ข้อปฏิบัติท่ีให้บรรลุถึงความสาเร็จหรือทาง แห่ง
ความสาเร็จ มีอยู่มี๔ อย่างคือ ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในส่ิงน้ัน ๒. วิริยะ ความเพียรพยายามทาในส่งิ นน้ั
๓. จิตตะ ความเอาใจฝักใฝ่ในสง่ิ นั้น ๔. วิมังสา การพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลในสิ่งน้ัน แปลให้จาง่ายตามล
าดับว่า มีใจรัก พากเพียรทา เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน อิทธิบาทท้ังสี่ข้อนี้เป็นทฤษฎีท่ีสมบูรณ์
พระพุทธเจ้า ทรงวางแนวป้องกันอันตรายไว้ให้ด้วยแล้ว ข้อสาคัญผู้ปฏิบัติจงพยายามปฏิบัติให้ครบ และให้
เหมาะ จะได้ผลดีแน่ อิทธิบาท ๔ ประการน้ีท่านกาหนดเป็นหัวใจของผู้ต้องการความสาเร็จท่ีต้องมีความ
เข้าใจ ตั้งใจ เต็มใจ และสนใจในสิ่งที่ทาน้ัน ๆ โดยใช้คาย่อว่า “ฉ ว จิว” และสรุปเป็นคาคล้องจอง เพ่ือให้จา
ง่ายว่า “มีใจรัก พากเพียรทา เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน” ในอิทธิบาท ๔ ประการนี้ ฉันทะ นับว่าสาคัญ
ที่สุดเพราะเมื่อฉันทะเกิดขึ้นแล้ว อิทธิบาทอีก ๓ ข้อย่อมเกิดตาม ดังน้ัน ฉันทะจึง นับเป็นพื้นฐานนาไปสู่
ความสาเรจ็ ท่สี าคญั

อทิ ธบิ าท 4 ธรรมะทใี่ ช้ในการทางาน สู่ความสาเรจ็

ในโลกของการทางาน คนรุ่นใหม่ไฟแรงท้ังหลายต่างก็เฝ้าหาทฤษฎีแห่งความสาเร็จมากมาย มาใช้
แก้ปัญหาและหาหนทางเจริญก้าวหน้า แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะทาได้ และเจอประตูสู่ความสาเร็จ งั้นลองมาดู
ธรรมะท่ีใช้ในการทางาน เพ่ือให้คุณประสบความสาเรจ็ ในการทางาน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ นั่นคือ
อิทธบิ าท ๔ ธรรมแหง่ ความสาเร็จ

ฉนั ทะ : ความรักงาน-พอใจกับงานที่ทาอยู่อันดับแรกต้องสารวจตนเองว่า มคี วามชอบหรือศรทั ธางาน
ด้านใด แล้วมุ่งไปในเส้นทางน้ัน อาจเร่ิมต้นง่าย ๆ ด้วยการต้ังคาถามกับตัวเอง ฉันทางานเพ่ืออะไร ฉันมี
ความสุขหรือไม่หากงานที่ทาอยู่ไม่ใชง่ านท่ีรักเสียทีเดียว เผื่อเราจะได้มีเวลาค้นหาและปรับเปล่ียนตัวเอง หรือ
ปรับศรัทธาของตัวเองให้เข้ากับงานที่ทาอยู่อย่างไรก็ตาม เชื่อเถอะว่างานแต่ละอย่างนั้น ไม่มีทางท่ีใครจะช่ืน
ชอบไปทั้งหมดทุกกระบวนการ ดังนั้น ถ้าคุณพอใจท่ีจะทา และมีความสุขกับงาน เชื่อว่างานท่ีคุณทาอยู่ต้อง
ออกมาดแี น่ ๆ

วิริยะ : ขยันหมั่นเพียรกับงานท่ีมีงานทุกอย่างจะสาเร็จได้ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะ
จึงเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งท่ีจะนาคุณไปสู่ความสาเร็จได้ ย่ิงคุณขยันเท่าไรผลตอบแทนท่ีคุณจะได้รับมันก็มี
มากเท่าน้ัน ที่สาคัญความวิริยะจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรักในงานจากฉันทะนั่นเอง และความวิริยะไม่ใช่การ
ทางานแบบเอาเปน็ เอาตาย แต่เป็นการหมั่นฝกึ ฝนตนเองต่างหาก ทง้ั น้ี มีข้อน่าสงั เกตสาหรับคนทางานร่วมกัน
คือ จะต้องขยันด้วยกันทั้งหัวหน้าและลูกน้อง ยิ่งผู้เป็นหัวหน้าย่ิงสาคัญมาก ถ้าเป็นคนเกียจคร้าน คิดกินแรง
อย่างเดียว ลูกน้องก็มักขยันไปได้ไม่ก่ีน้า เดี๋ยวก็รามือกันหมด แต่ถ้าหัวหน้าเอาการเอางาน ก็จะสามารถดึง
ลกู น้องให้ขยันขันแขง็ ขึ้นด้วย

จิตตะ : เอาใจใส่รับผิดชอบกับงานท่ีทาจิตใจที่จดจ่อกับงานล้วนเกิดผลดีต่องานท่ีทา จิตตะเป็น
ธรรมะท่ีแสดงถึงสติ ความรอบคอบและความรับผิดชอบที่จะตามมา ซ่ึงในสังคมการทางานปัจจุบันน้ี มุ่งเน้น
แย่งชิงตาแหน่งกัน และขัดขาจนลืมคิดไปว่า งานที่ตนเองต้องรับผิดชอบนั้นคือส่ิงใดกันแน่ จิตตะจึงมี
ความสาคัญในการทางานโดยไม่วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง ดังนั้น เมื่อคุณมีท้ังฉันทะและวริ ยิ ะแล้ว จิตตะ
จะเป็นเสมือนร้ัวของเส้นทางที่ไม่ให้ไขว้เขวออกนอกทางสู่ความสาเร็จได้ อย่างไรก็ดี ปกติคนที่โตเป็นผู้ใหญ่รู้
ผิดชอบ มักจะใส่ใจกับงานอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติจะทาให้หยุดคิดยาก แต่เสียอยู่อย่างเดียวคือ ชอบคิดเจ้าก้ี
เจ้าการแต่เร่ืองงานของคนอ่ืน คอยติ คอยสอดแทรก คอยวิพากษ์วิจารณ์ ในขณะท่ีธุระของตัวกลับไม่คิดไม่ดู
ซึ่งไม่ส่งผลให้งานของเราดีขึ้น พระพุทธเจ้า จึงทรงสอนให้เป็นนักตรวจตรางาน คือให้มีจิตตะ แล้วก็ทรงให้
โอวาทสาทบั ไวด้ ว้ ยว่า "ควรตรวจตรางานของตัวเอง ทง้ั ทที่ าแลว้ และยังไมไ่ ด้ทา"

วิมังสา : การพินิจพิเคราะห์และใช้ปัญญาตรวจสอบงานสุดยอดของวธิ ีทางานให้สาเร็จอยู่ในอิทธิบาท
ข้อสุดท้ายนี้ วิมังสา แปลวา่ การพนิ จิ พิเคราะห์ หมายความว่า ทางานดว้ ยปัญญา ด้วยสมองคดิ ไม่ใช่สักแต่ว่า
ทา คนเราแม้จะรักงานแค่ไหน บากบั่นเพียงใด หรือเอาใจจดจ่ออยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าขาดการใช้ปัญญา
พจิ ารณางานด้วยแล้ว ผลทีส่ ดุ งานกค็ ่ังค้างและผิดพลาดจนได้เราอาจลองทบทวนตวั เองน่ิง ๆ ว่าวนั น้ที ั้งวันเรา
ทาอะไรบ้าง สรุปกบั ตัวเองว่าทาเพ่ืออะไร เราจะไดม้ ีกาลงั ใจต่อในวันต่อ ๆ ไป และไม่ทาผิดซ้าซากอีกเช่นเดิม
พร้อมกันนั้นเราจะสามารถเห็นหนทางได้ว่า เส้นทางไหนที่จะนาเราสู่ความสาเร็จได้จริง ๆจะเห็นได้ว่า หลัก
ธรรมะท่ีใช้ในการทางาน เป็นเรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว หากเรานา อิทธิบาท 4 มาปรับใช้ในการทางาน รักงานท่ีทา
ขยันทางาน รบั ผดิ ชอบงาน และรู้จกั ไตร่ตรองให้ถี่ถว้ น ทางแห่งความสาเรจ็ คงไม่เกินเอื้อม...เชื่อเถอะ คุณก็ทา
ได้ ทกุ อยา่ งอยู่ที่ "ใจ"

ประยุกตใ์ ช้หลกั อทิ ธบิ าท ๔ ในการบริหารงานของผู้นาชุมชน

ภาวะผู้นาเป็นสงิ่ ท่ีจะขาดไม่ได้สาหรับผู้นาทุกคน คือ ผู้นาเป็นบุคคลที่สาคัญในองค์กรหนึ่งๆ ไม่ว่าจะ
เป็นองคก์ รของภาครัฐหรอื เอกชน โดยผ้นู าเปน็ ผู้ทาให้กลไกในระบบการบรหิ ารงานขององค์กรใดๆ ดาเนินไปสู่
จุดหมายที่ดีงาม ท้ังนี้เน่ืองจากผู้นาเป็นผู้มีบทบาทในการกาหนดนโยบาย การบริหาร การจัดการ รวมถึงการ
ริเริ่ม การวางแผน การบริการ กากับการ และดาเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อให้การดาเนินงาน
สัมฤทธิผลตามเป้าหมายขององค์กร ผู้นาจึงเป็นผู้มีอิทธิพลท่ีสามารถส่งผลกระทบต่อความเป็นไปขององค์กร
ในทุกๆด้าน ผู้นาจึงมีความสาคัญในทุกองค์กร เพราะความอยู่รอดขององค์กรดังกล่าวย่อมข้ึนอยู่กับการ
ตัดสนิ ใจท่ดี ีมีความรอบคอบและทนั ตอ่ สถานการณ์ของคนทีเ่ ปน็ ผู้นานั่นเอง

ดังน้ัน หลักการปฏิบัติของผู้นาจึงจาเป็นท่ีจะต้องศึกษาทาความเข้าใจอย่างระเอียด เพ่ือการนามา
พัฒนาหรือยกระดับคุณสมบัติความเป็นผู้นาในตนเองให้มีความสมบูรณ์น่ันเอง ซึ่งในทางพุทธศาสนาก็ได้ให้
ความสาคัญกับการเป็นผู้นาที่ดีโดยผู้นาท่ีดีจะต้องประพฤติปฏิบัติด้วยความเป็นธรรมและต้ังมั่นอยู่ในศีลใน
ธรรม มีความซ่ือสัตย์สุจริตและอื่นๆ อันจะนามาซ่ึงการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสงบสุขของ สมาชิกในองค์การ
หรือชมุ ชน ซึ่งคณุ สมบัติของผู้นาท่ดี ีตามแนวพุทธนั้นจะตอ้ งประกอบด้วยหลักธรรม ดังตอ่ ไปนี้

การประยุกตใ์ ช้หลกั อิทธิบาท ๔ ของผ้นู าชมุ ชน ดา้ นการพัฒนาชวี ิต

การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ตามความหมายท่ัวไป

การพฒั นา มักจะถกู ตคี วามใหห้ มายถึงการท าให้ทนั สมัย (Modernization) การเจริญเติบโตทางวัตถุ
(Material Growth/Progress) การใช้เทคโนโลยีใหม่ (New Technology) สิ่งเหล่านี้คือการพัฒนาประเทศสู่
ความทนั สมยั ความเจรญิ ความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วน้สี ง่ ผลกระทบต่อสงั คม จากความเรยี บง่ายกลายเป็น
ความฟุ้งเฟ้อแบบสงั คมบริโภคนิยม (Consumerism)กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาสังคมตามมามากมาย

การพฒั นาตามหลักฉันทะ

เมือ่ บคุ คลคดิ จะทางานสิ่งใด ตอ้ งปลูกฉนั ทะขึ้น คอื ทาความพอใจรกั ใคร่ในงานนน้ั กอ่ นท่ีทา่ นใช้ การที่
จะทาเช่นนั้นได้ต้องพิจารณาโดยแยบคายให้เห็นผลได้ผลเสีย คือถ้าทางานนั้นจะเกิดผลดีอย่างไรและถ้าไม่ทา
จะเกิดผลเสียหายอย่างไร เม่ือบุคคลเห็นผลได้ผลเสียแล้วฉันทะย่อมจะเกิดข้ึน๓และในลักษณะเดียวกัน ถ้า
บุคคลจะให้คนอื่นทางานส่ิงหนึ่งส่ิงใด บุคคลก็ควรจะต้องชี้ให้เห็นผลได้และผลเสียให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจ เพื่อช่วย
ปลูกฉนั ทะขนึ้ ในใจของบคุ คลน้นั ๆ

การพัฒนาตามหลกั วริ ยิ ะ

ในทางปฏิบัติการปลูกฝังความเพียรในการท างานบุคคลจะต้องพิจารณาถึงเหตุผลวิริยะโดยตรงก็คือ
กาจัดความเกียจคร้านเสียได้ถ้าพิจารณาให้ยาวความไปบุคคลจะเห็นว่างานต่าง ๆ ท่ีจะสาเร็จได้ผลดีผู้ทา
จะตอ้ งทาใหถ้ ูกตอ้ งตามหลักวชิ าถูกตามจงั หวะและเหตุการณแ์ วดล้อมของแตล่ ะงาน

การพฒั นาตามหลักจติ ตะ

เมื่อท่านจะทางานสงิ่ ใด จงพยายามศึกษารายละเอียดของงานน้ันใหเ้ ข้าใจ อาจใชส้ านวนอีกอยา่ งหนึ่ง
วา่ “ความตอ้ งการของงาน” คอื ให้รูง้ านท่ีเราจะทาน้ันมนั ต้องการอะไรบา้ ง ยกตัวอย่าง เชน่ จะปลกู ต้นไม้เราก็
ต้องรคู้ วามตอ้ งการของานปลูกตน้ ไมน้ ้นั ว่า ตอ้ งรดน้าเวลาไหน ให้ปยุ๋ ก่ีวนั ครงั้ อากาศอย่างไร อะไรเปน็ ศัตรูพืช
ต้องการร่วมแสงแดด อากาศ เป็นอย่างไร เมื่อได้ศึกษาความต้องการของานดีแล้วก็ตรวจตราให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์ในวงการขนาดใหญ่ เขาถึงกับจ้างผู้ตรวจงานไว้และผู้ตรวจงานก็วางแผนการตรวจทาตารางการ
ปฏิบัตงิ านไวพ้ รอ้ ม เพือ่ กันเผลอ แม้ทางปฏิบัตธิ รรมพระพุทธเจ้าก็ทรงวางแผนไว้กนั เผลอ

การพฒั นาตามหลกั วมิ งั สา

เมื่อจะทางานส่ิงใดต้องศึกษาวธิ ีทาให้แม่นยาและวิจัยหาวธิ ีทาทด่ี ีกว่า ถา้ เป็นงานใหญ่หรือตนไม่แน่ใจ
ก็จัดให้มีการประชุมระดมปญั ญาของหมู่คณะเข้าช่วย หรอื ปรกึ ษาหารอื ท่านผรู้ อบรู้ประกอบดว้ ย

นทิ านชาดก เตือนใจ เร่อื ง “คนตดั ตน้ ไม้”

มีชายหนุ่มคนหนึ่งมีอาชีพตัดต้นไม้ เขาเป็นคนขยันขันแข็งไม่มีใครเทียบ วันหน่ึงเขาไปสมัครทางาน
ตัดตน้ ไม้ในเมอื ง เจ้านายรบั เขาเขา้ ทางานและบอกว่าถ้าตัดต้นไมม้ ากกจ็ ะไดเ้ งนิ เดือนมาก ตัดตน้ ไม้ได้น้อยก็ได้
เงินเดือนน้อย ชายตัดไม้ดีใจ วันแรกท่ีเขาตัดไม้ เขาตัดต้นไม้ได้ถึง 10 ต้น วันต่อๆ มาเพิ่มขึ้นเป็น 12 ต้น 15
ต้น จนกระทัง่ 20 ต้น เจ้านายชน่ื ชม เพือ่ นฝงู ท่งึ เขา แต่คงไม่เทา่ กับความภาคภูมิใจของตัวเอง เขาบอกตัวเอง
ว่า เขาจะต้องทางานให้ดีท่ีสุด ต้องแข่งกับตัวเอง โดยต้องตัดต้นไม้ได้มากข้ึนทุกวัน… ชายตัดไม้ตื่นเช้ามากขนึ้
ทางานจนดึกทุกวันเพอื่ เพม่ิ ผลผลิต แต่เขาพบวา่ เขาไมเ่ คยตัดไมไ้ ด้เกิน 20 ต้น อีกเลยไมว่ า่ จะพยายามแค่ไหน
เพียงไรชายตัดไม้ทดท้อมาก เขาเข้าไปหาเจ้านายและบอกว่า เขาไม่อยากทางานตัดไม้อีกแล้วทาไมล่ะ…
เจ้านายถาม

ผมไมม่ คี วามสามารถ ดสู ิ…ผมทุม่ เทเวลา กาลงั กาย กาลังใจทัง้ หมดให้กับการตัดไม้ แตผ่ มกลบั ตัดไม้ได้น้อยลง
กว่าเดิม ผมไม่ควรตดั ไม้อกี ตอ่ ไป
เจ้านายยิ้ม…ตบไหล่เขาเบาๆ เธอไม่ได้ทางานได้น้อยลงนะ แต่เธอลืมไปอย่างหนึ่งในการตัดไม้……ไปลับขวาน
เสยี บา้ ง….มนั ทอ่ื แล้ว
นิทานเร่ืองนส้ี อนให้รวู้ ่า
๑.การทางานนอกจากจะรกั งาน (ฉันทะ) มีความเพยี ร (วริ ยิ ะ) ความตัง้ ใจเอาใจจดจ่ออยู่กับงาน (จิตตะ) ยังไม่
พอ ต้องใช้ สตปิ ญั ญาทบทวน ใครค่ รวญหาสาเหตขุ ้อบกพร่องของงานเพื่อทาให้ดยี ่ิงขนึ้ (วิมังสา)
๒.การทางานโดยไม่หยุดพัก ทาให้เราพลาดโอกาสในการมองเห็นความสุขของเนื้องาน การมุ่งแต่เป้าหมายไม่
สนใจระหว่างทางกท็ าใหเ้ ราไมซ่ าบซง้ึ กับความสุขท่ไี ด้ทางาน
๓.การเสียเวลาลับคมขวานก็เหมือนกับการศกึ ษาหาความรู้ โดยเขา้ หอ้ งรับการฝึกอบรม จริงอยู่ว่ามันเสียเวลา
แตส่ ิ่งที่ได้จากการศึกษาอบรมอาจจะช่วยทาให้เราทางานไดด้ ีข้นึ ความขยันอย่างดียวไมไ่ ดช้ ่วยอะไร

พระทวโี ชค สิริวิชโย ครุศาสตรก์ ารสอนนภาษาไทย ๖๓๑๐๕๐๒๐๐๔ ช้ันปที ่ี ๓


Click to View FlipBook Version