The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระนางมัลลิกา_20231129_092057_0000

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กนกพล ชมจา, 2023-11-28 21:24:52

พระนางมัลลิกา_20231129_092057_0000

พระนางมัลลิกา_20231129_092057_0000

เรื่อ รื่ ง พระนางมัลลิกา จัดทำ โดย นายอัครวินท์ ลือนิคม เลขที่9 นางสาวญาณิศา บุญโชติ เลขที่19 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 เสนอโดย นางสาวทิพย์วรรณ นามโสวรรณ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา สังคมศึกษา ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2566


สารบัญ เนื้อหา หน้า ประวัติพระนางมัลลิกา 1-9 ชื่อสมาชิก 10


นางมัลลิกา เป็นพระธิดาของกษัตษัริย์องค์หนึ่งในแคว้นกุสินารา ซึ่งภายหลังได้ สมรสกับพันธุลเสนาบดีพันธุลเสนาบดี เป็นโอรสของเจ้ามัลละในเมืองกุสินารา เป็นศิษย์ศึกษาศิลปวิทยาในสำ นักเดียวกันกับปเสนทิกุมารแห่งแคว้นโกศล และ เมื่อศึกษาจบได้กลับไปยังกุสินารานคร และได้แสดงศิลปวิทยาที่ได้ศึกษามาให้เหล่ามัลลกษัตษัริย์ชม แต่ถูกเจ้ามัลละบางพวกแกล้ง ด้วยความน้อยใจ จึงหนีไปพึ่ง พระบรมโพธิสมภารของปเสนทิกุมาร ซึ่งต่อมาได้ครองราชย์เป็นพระเจ้าปเสนทิ โกศล (King Pasendi-Kosala)และได้ทรงสถาปนาพันธุละในตำ แหน่งเสนาบดี พันธุละก็ได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าปเสนทิโกศลด้วยความ ซื่อสัตย์สุจริต สำ หรับพันธุลเสนาบดีผู้นี้ได้สมรสกับเจ้าหญิงมัลลิกา แต่หลังจาก แต่งงานเป็นเวลานานก็ยังไม่มีบุตร จนสามีคิดว่านางเป็นหมัน (ตามความเชื่อ สมัยนั้นนั้ถือว่าสตรีที่ไม่สามารถมีบุตรได้จะทำ ให้สามีเป็นคนอาภัพ ต้องถูกส่งตัว กลับตระกูลเดิม) จึงส่งนางกลับตระกูลของตน


ก่อนเจ้าหญิงมัลลิกากลับ ได้ถวายบังคมลาพระพุทธเจ้าที่พระเชตวัน พระพุทธองค์จึงตรัสถามว่า เธอจะไปไหน พระนางจึงกราบทูลไปว่า จะกลับ ไปยังเมืองมาตุภูมิ เพราะไม่สามารถให้กำ เนิดบุตรแก่สามีได้ จึงถูกส่งตัว กลับ แต่พระพุทธองค์ตรัสอย่าด่วนกลับเลย นางมัลลิกาคิดว่า พระพุทธเจ้า ทรงเป็นผู้รู้ เห็นทีเราคงมีบุตรแน่ๆ พระองค์จึงตรัสถามอย่างนี้ พระนางดีใจ เป็นล้นพ้น และเดินทางกลับบ้านทันที


อยู่มาไม่นานพระนางก็แพ้ท้องอยากลงอาบและดื่มน้ำ ในสระโบกขรณี อัน เป็นสระน้ำ มงคลและเป็นที่หวงแหนของพระเจ้าลิจฉวี เมืองไพศาลี สระนี้ได้ รับการอารักขาเป็นอย่างดี พันธุละอุ้มภริยาขึ้นรถถือธนูคู่ชีพ มุ่งหน้าไปยัง เมืองไพศาลีเมื่อถึงเมืองไพศาลีแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังสระโบกขรณี และใช้แส้ หวายหวดไล่เหล่าทหารที่อารักขาสระน้ำ จนแตกกระจาย ให้ภริยาลงอาบน้ำ ดื่มน้ำ แล้วขึ้นรถห้อตะบึงกลับ พวกเจ้าลิจฉวีเมื่อทราบว่ามีผู้บุกรุกก็ออกติดตาม มหาลิลิจฉวีสหายร่วม สำ นักของพันธุละ ซึ่งบัดนี้ตาบอดทั้งทั้สองข้าง และเป็นอาจารย์ของลิจฉวีราช กุมารทั้งทั้หลาย ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าและล้อรถวิ่งผ่านไป รู้ทันทีว่าเป็นพันธุล เสนาบดีผู้เกรียงไกร จึงร้องห้ามพวกลิจฉวีไม่ให้ตามไป เพราะจะเป็น อันตรายแก่ชีวิตแต่พวกเจ้าลิจฉวีไม่เชื่อฟัง พันธุละบอกภริยาว่า ถ้ารถม้าที่ตามมาปรากฏเป็นแนวเดียวกันเมื่อไรให้บอก และเมื่อนางมัลลิกาเห็นว่ารถได้เรียงแถวเป็นแนวเดียวกันแล้วจึงบอก พันธุ ละจึงโก่งคันศรปล่อยธนูไปด้วยความแรง ลูกธนูออกจากแล่งด้วยความเร็ว เจาะเกราะทะลุหัวใจของมัลลกษัตษัริย์ 500 คน พร้อมกัน ล้มลงสิ้นสิ้ชีวิตหมด สิ้นสิ้


ต่อมานางมัลลิกาก็คลอดบุตรชายแฝด 16 ครั้งรั้ครั้งรั้ละ 2 คนบุตรทั้งทั้หมด เจริญเติบโตเต็มวัยแล้วได้เรียนศิลปวิทยาสำ เร็จกันจนหมดแต่ละคนก็มี บุรุษบริวารนับพันคน อยู่มาวันหนึ่ง พันธุลเสนาบดี ได้ทราบว่าพวกอำ มาตย์ผู้วินิจฉัยคดี วินิจฉัยคดีด้วยความไม่ยุติธรรมเก่เจ้าทุกข์ จึงวินิจฉัยเสียเอง ทำ ให้ ประชาชนมีความยุติธรรม เรื่องรู้ไปถึงพระกรรณของพระเจ้าปเสนทิ โกศล พระองค์จึงทรงมอบหน้าที่วินิจฉัยคดีแก่พันธุละอีกตำ แหน่งหนึ่ง


พวกอำ มาตย์ไม่พอใจ จึงยุยงให้พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งให้พันธุละไปปราบโจร ที่ชายแดน และส่งทหารไปดักฆ่าพันธุละและพร้อมกับบุตรชาย 32 คนจนสิ้นสิ้ ชีวิตหมดสิ้นสิ้ วันที่พันธุละและบุตรทั้งทั้หมดถูกฆ่า นางมัลลิกานิมนต์พระอัครสาวกทั้งทั้สอง พร้อมภิกษุ 500 รูปไปฉันภัตตาหารที่บ้าน เช้าวันนั้นนั้มีคนนำ จดหมายมาแจ้ง ว่าสามีและบุตรของพระนางถูกโจรฆ่าตายหมดสิ้นสิ้นางรับมาอ่านเสร็จแล้วใส่ ชายพกไว้และจัดการงานถวายภัตตาหารต่อ ขณะนั้นนั้นางทาสี(สาวรับใช้)ซึ่ง ยกถาดแก้วใส่เนยใสเข้ามาถวายพระภิกษุก้าวพลาดทำ ถาดนั้นนั้ตกลงแตก พระภิกษะนั้นนั้เห็นว่าถาดแก้วมีราคาสูงมากจึงเกรงว่านางมัลลิกาจะเกิดโทสะ และลงโทษนางทาสีผู้นั้นนั้จึงพูดปลอบใจหวังให้คลายโทสะว่า " ธรรมดาของ ย่อมแตกเสียหายได้ อย่าได้คิดเสียดายเสียใจเลย " นางมัลลิกาจึงนำ จดหมาย ออกจากชายพกและเรียนต่อพระเถระว่า "เมื่อเช้านี้ ดิฉันได้ข่าวว่าสามีและ บุตรชายทั้งทั้32 คน ได้ตายเสียแล้ว ยังไม่คิดอะไร เพียงแค่ถาดเนยใสแตกจะ คิดอะไรเล่า"


สำ นวนที่แตกต่าง : พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤๅษีลิ ษี ลิงดำ )วัดท่า ซุง เล่าไว้อีกนัยว่า พระเถระที่พระภัตตุเทศก์จัดให้ไปรับภัตตาหาร ตามที่นางมัลลิกานิมนต์ในวันนั้นนั้ ไม่มีพระอริยะบุคคลหรือพระ ผู้ทรงฌานที่มีเจโตปริยญาณ(ญาณรู้ใจผู้อื่น)เลย เมื่อนางทาสีทำ มัลลิกาทำ ถาดแก้วแตก..ไม่มีภิกษะรูปใดรู้ว่าใจนางมัลลิกายังคง สงบนิ่งเลย ท่านจึงได้คิดเมตตาพูดปลอบใจเช่นนั้นนั้ และเมื่อนางมัลลิกาตอบโดยยกข่าวเรื่องสามีและบุตรเสียชีวิตที่ เพิ่งมาถึงในเช้านั้นนั้แต่กลับวางใจได้สงบนิ่งนั้นนั้ก็ทำ ให้พระภิกษุ เหล่านั้นนั้ตระหนักได้ว่า นางมัลลิกาผู้นี้บรรลุอริยะบุคคลถึงระดับ พระอนาคามีซึ่งจะสามารถตัดปฏิฆะได้หมดสิ้นสิ้แล้ว * ในสำ นวนที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานเล่านั้นนั้น่าจะสมเหตุผล กว่าสำ นวนที่บอกว่า..นิมนต์อัครสาวกทั้งทั้สองไป เพราะถ้าเป็นพระอัครสาวก หรือพระอริยะผู้ทรงฌาน ย่อมทราบดี ว่า นางมัลลิกามีจิตใจสงบเย็นไม่มีโทสะต่อนางทาสี..ไม่มีความ จำ เป็นต้องพูดปลอยโยนแต่อย่างใดล็กน้อย


นางมัลลิกาเรียกสะใภ้ทั้งทั้32 คน มาให้โอวาทว่า สามีของพวกเธอไม่มีความ ผิด แค่ได้รับผลกรรมที่ทำ ไว้แต่ปางก่อน พวกเธออย่าได้เศร้าโศกไปเลย จาก นั้นนั้บุรุษที่พระเจ้าปเสนทิโกศลส่งคนมาสอดแนม ได้นำ ข้อความที่นางมัลลิกา สอนแก่สะใภ้ไปกราบทูลให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทราบ พระองค์ทรงสลด พระราชหฤทัยที่หลงเชื่อคนผิด ทำ ให้พันธุละเพื่อนผู้ซื่อสัตย์พร้อมบุตรต้องเสีย ชีวิต


พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลงโทษประหารพวกอำ มาตย์ที่ทูลความเท็จและ ทรงไปกล่าวขอโทษกับนางมัลลิกาพร้อมลูกสะใภ้ด้วยพระองค์เอง นางไม่ ได้โกรธอะไรแต่นางได้ขอพระราชาอนุญาตว่าจะกลับไปยังเมืองมาตุภูมิ พร้อมกับลูกสะใภ้ทั้งทั้หมด พระองค์ก็ทรงอนุญาต และรับทีฆการายนะผู้ เป็นหลานชายของพันธุละเป็นอำ มาตย์ หลังจากที่นางมัลลิกาพร้อมกับ สะใภ้ทั้งทั้32 คนได้กลับไปยังเมืองมาตุภูมิแล้ว พวกนางไม่ได้ปรากฏตัว อีกเลย จนกระทั่งทั่หลังจากพระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานที่เมืองกุสิ นารา แคว้นมัลละ พวกมัลลกษัตษัริย์แห่งเมืองกุสินาราได้อัญเชิญพระพุทธ สรีระไปถวายพระเพลิง ณ มกุฏพันธนเจดีย์ โดยนำ ขบวนเคลื่อนที่จากทิศ เหนือไปยังทิศตะวันออกของเมืองกุสินารา ระหว่างทางขบวนเคลื่อนที่ นางมัลลิกาได้ขอให้ขบวนหยุดแล้วนำ มหาลดาปสาธน์ เครื่องประดับของ นางมาถวายแก่พระพุทธสรีระจนพระพุทธสรีระเปล่งแสงประกายอย่างน่า อัศจรรย์ ในบั้นบั้ปลายชีวิต คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ระบุว่านางเสียชีวิตเมื่อใด แต่คงดำ รงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลจึงอันตรธานไป คุณธรรมที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง ๑) พระนางมัลลิกาเป็นผู้มีขันติธรรม คือ มีความ อดทนอย่างสูง ๒) พระนางมัลลิกาเป็นผู้รู้จักใช้ปัญญาเป็นหลักใน การดำ เนินชีวิต ๓) พระนางมัลลิกาเป็นผู้มีน้ำ ใจ รู้จักให้อภัย ไม่ อาฆาตพยาบาทผู้อื่น


นายอัครวินท์ ลือนิคม ม.5/5 เลขที่9 นางสาวญาณิศา บุญโชติ ม.5/5 เลขที่19 จัดทำ โดย


Click to View FlipBook Version