มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์
มัทรี
จัดทำโดย
นาย.ภควัต วงศ์เดช ม.5/4 เลขที่.11
ผู้แต่ง : เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เกิด:ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
หน้าที่การงาน:ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รับราชการเป็นหล
วงสรวิชิตแล้วไปเป็นนายด่านเมืองอุทัยธานีในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์เลื่อนเป็นพระยาพิพัฒน์โกษาและเจ้าพระยาพระคลังเสนาบดี
จตุสดมภ์กรมท่า
งานประพันธ์:ในสมัยกรุงธนบุรีมี อิเหนาคำฉันท์ ลิลิตเพชรมงกุฎ บทมโหรี
เรื่องกากี
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มี สามก๊ก ราชาธิวาช ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง
ลิลิตศรีวิชัยชาดก ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี
ถึงแก่อสัญกรรม พ.ศ. 2348 ในสมัยรัชกาลที่ 1
ลักษณะคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีลักษณะคำประพันธ์เป็นแบบร่ายยยาว
โดยหนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ ส่วนใหญ่จะนิยมแต่ง ๕ วรรคขึ้นไป แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ๖-๑๐
คำ และใช้คำสร้อย เช่น นั้นแล แล้วแล ดังนี้ ฯลฯ ซึ่งคำสร้อยนี้จะมีก็ได้หรือไม่มีก็ได้
ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว จะมีการบังคับเฉพาะคำสุดท้ายของวรรคก่อนหน้าจะสัมผัสกับคำที่ ๑
ถึงคำที่ ๕ ของวรรคถัดไป เช่น
“...จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยจะมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งไป. เสียแล้วหรือ
กระไรไม่รู้เลยพระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว...”
จุดเด่นของร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก คือ การมีคาถาบาลีขึ้นต้น เช่น
“...อิมาตา โปกฺขรณี รมฺมา เจ้าเคยมาประพาสสรงสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอกพระ
อาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่งตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยเปี่ยมขอบเป็นไร…”
การอ่านคำบาลีและร่ายยาว
การอ่านคำบาลี
อ่านเรียงพยางค์ไปทีละตัว
คำไหนที่ ‘ไม่มีสระ’ ให้อ่านเป็น ‘สระอะ’
นิคหิต( ํ) อ่านเป็นตัวสะกด ง แต่ถ้าไม่มีสระจะอ่านออกเสียง อัง เช่น ยํ โก
ลาหลํ อ่านว่า ยัง-โก-ลา-หะ-ลัง
พินทุ (.) ซึ่งอยู่ใต้พยัญชนะ หากพยัญชนะตัวหน้ามีสระ จะนับเป็นตัวสะกด
เช่น ราชปุตฺตี อ่านว่า รา-ชะ-ปุด-ตีแต่หากพยัญชนะตัวหน้าไม่มีสระจะใช้เป็น
ไม้หันอากาศ เช่น นีเจ โวลมฺพเก อ่านว่า นี-เจ-โว-ลัม-พะ-เก
การอ่านร่าย
จะมีการขึ้นเสียงสูงต่ำ และใส่ลีลาตามจังหวะเนื้อความ เช่น อ่านเร็วขึ้น เมื่อ
เนื้อหาสื่อถึงอารมณ์โกรธ เป็นต้น (ถ้าเพื่อน ๆ อยากจะฟังวิธีการอ่านร่ายยาว
เพิ่มเติม ก็สามารถโหลดแอปพลิเคชัน StartDee มาเรียนเรื่องนี้กันต่อได้
เลย)
ความเป็นมาของมหาเวสสันดรชาดก
ความหมายของคำว่า ‘ชาดก’
ชาดกเกิดจากการสร้างคำแบบบาลีสันสกฤต โดยคำว่า ชาดก มาจาก ชาตะ แปล
ว่า เกิด และ ก (อ่านว่า กะ)แปลว่า ผู้, หมวด ดังนั้น ชาดก จึงหมายถึง ผู้ที่เกิดมา
แล้ว อย่างคำว่า ทศชาติชาดก ที่แปลว่า ผู้ที่เกิดมาแล้วสิบชาติ หรือพระพุทธเจ้า
นั่นเอง
จุดประสงค์ในการแต่ง
เพื่อที่จะนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาสอนประชาชน
ที่มาของ ‘มหาเวสสันดรชาดก’
มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติมาหลายชาติ ทั้งคนทั้งสัตว์เดรัจฉาน โดยแต่ละชาติ
พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีแตกต่างกันออกไป ซึ่งมหาเวสสันดรชาดกเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติมา
เป็นพระพุทธเจ้าในชมพูทวีป(ชาติสุดท้ายก่อนพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน) และมีการ
บำเพ็ญบารมีด้วยการให้ทาน โดยบริจาคลูกและบริจาคเมียเป็นทาน (บุตรทารทาน) สำหรับที่มาที่ไป
ของมหาเวสสันดรชาดก เริ่มต้นขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองกบิลพัสดุ์ พร้อมกับพระอรหันต์
สองรูป เพื่อจะไปเทศนาโปรดพระบิดาและพระญาติ แต่พระญาติเกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าจึงแสดงปาฏิหารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้ฝุ่นใต้พระบาทาปลิวมาติดหัวพระ
ญาติ และมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่เบื้องล่าง ฝนโบกขรพรรษเป็นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกกับ
ทับทิม ถ้าต้องการเปียกฝนนั้น ฝนก็จะเปียกเนื้อตัวตามปกติ แต่ถ้าไม่ต้องการเปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็
จะระเหยหายไปทันที (ถ้ามีฝนแบบนี้ที่บ้านเรา คงหายห่วงเรื่องภัยแล้ง น้ำท่วมแน่เลย แต่น่าเสียดาย
ที่ฝนโบกขรพรรษเป็นฝนที่เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น)
เมื่อเกิดฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพระพุทธเจ้าไปจึงถามว่าฝนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
พระองค์จึงบอกว่า ฝนนี้เคยเกิดมาแล้วในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร
พระพุทธเจ้าเลยถือโอกาสนี้เล่าว่าพระองค์สามารถระลึกชาติได้ โดย 10 ชาติสุดท้ายหรือทศชาติ
ได้แก่ เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดกสุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันท
ชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก และเวสสันดรชาดก ซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีในรูปแบบ
ที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับชาติสุดท้าย คือ เวสสันดรชาดก ประกอบด้วย 13 กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์จะมีผู้ประพันธ์แตก
ต่างกันออกไป โดยจุดประสงค์หลักในการแต่งคือใช้สำหรับเทศนาให้กับพุทธศาสนิกชนหรือบุคคลที่
สนใจ ส่วนกัณฑ์ที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ประพันธ์ มี 2 กัณฑ์ ได้แก่ กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์
มัทรีซึ่งอยู่ในบทเรียนวิชาภาษาไทย ม.5 ของเพื่อน ๆ นั่นเอง
ตัวละครในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
พระเวสสันดร พระเวสสันดรเป็นตัวละครหลักของร่ายยาวมหาเวสสันดร
ชาดก เป็นพระโอรสของ พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีแห่งเมืองสีพี
พระเวสสันดรมักจะบริจาคทานด้วยวิธีต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก เช่น ยกเครื่อง
ประดับเงินทองแก้วเพชรของตนให้ผู้อื่น ต่อมาเมื่ออภิเษกกับพระนางมัทรี
และมีลูกชื่อพระกัณหา และพระชาลี พระองค์ได้ตั้งโรงทานจำนวนมาก และ
บริจาคช้างปัจจัยนาเคนทร์ซึ่งเป็นช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองให้กับทูตของเมืองอื่น
ที่มาขอช้างเชือกนี้ ทำให้ชาวเมืองไม่พอใจจึงเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสัญชัย
เนรเทศพระเวสสันดรออกจากเมือง พระเวสสันดร พระนางมัทรีและลูก ๆ
จึงต้องออกจากเมืองไปอยู่ในป่า ซึ่งพระเวสสันดรได้บำเพ็ญเพียรภาวนา
ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในอาศรม ส่วนพระนางมัทรีได้ดูแลปรนนิบัติลูกและ
สามีที่อาศัยอยู่ในอาศรมแห่งนี้
พระนางมัทรี พระนางมัทรีเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์มัทราช อภิเษกสมรส
กับพระเวสสันดร มีพระโอรสชื่อพระชาลี และมีพระธิดาชื่อพระกัณฑ์หา
ด้วยความภักดีต่อพระสวามีนางจึงพาลูก ๆ ตามเสด็จพระเวสสันดรออกมาอยู่
ในป่าด้วย ทั้งยังทำหน้าที่ดูและปรนนิบัติรับใช้สามีและดูแลลูกทั้งสองตาม
หน้าที่ของตน
พระชาลี พระชาลีเป็นพระราชโอรสของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี ซึ่ง
คำว่า ชาลี หมายถึง ตาข่าย มาจากตอนที่พระชาลีประสูติ เหล่าพระประยูร
ญาติได้นำตาข่ายทองมารองรับพระชาลี
พระกัณหา พระกัณหาเป็นพระราชธิดาของพระเวสสันดรกับพระนางมัทรี
และเป็นพระกนิษฐา (น้องสาว) ของพระชาลี
ชูชก ชูชกเกิดในตระกูลพราหมณ์แต่กลับเที่ยวขอทานผู้อื่นเพื่อเลี้ยงชีพ และ
มีนิสัยที่เรียกว่า บุรุษโทษ ๑๘ ประการ เช่น ความตระหนี่ ความโลภ ความ
ฉลาดในกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมต่าง ๆ เป็นต้น
เนื้อเรื่องย่อ
(เฉพาะตอนที่นำมาเป็นบทเรียน : กัณฑ์มัทรี) ประกอบด้วยพระคาถา 90 พระคาถา
เพลงพิณพาทย์ประจำกัณฑ์ คือ “ทยอยโอด”
กล่าวถึงพระนางมัทรีได้เสด็จออกจากพระอาศรมเพื่อไปแสวงหาผลไม้
เผือกมันมาเป็นอาหาร ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว แต่ในพระทัยของพระนางใน
วันนี้มีความหวาดหวั่นถึงสองกุมาร คือ พระชาลีและพระกัณหายิ่งนัก (เพราะเมื่อคืน
นี้พระนางทรงฝันร้าย แต่พอทูลให้พระเวสสันดรทรงแก้ความฝันให้พระเวสสันดร
กลับทรงบอกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่จริงๆ แล้วมี เพราะชูชกเดินทางมาขอสองกุมาร
จากพระเวสสันดรได้สำเร็จ) เดินทางไปพลางพระนางก็ร้องไห้คร่ำครวญตลอดเวลา
ผลหมากรากไม้ที่เคยพบเห็นอยู่มากมาย ในวันนี้กลับหายไปหมดสิ้น ทำให้พระนางต้อง
เดินทางไปไกลกว่าทุกวัน และขณะที่กำลังเดินทางจะกลับอาศรม ก็มีเทวดาแปลงกาย
มาเป็นสัตว์ร้าย อาทิ ราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลืองขวางทางไว้ จำทำให้พระนา
งมัทรีกลับถึงพระอาศรมเป็นเวลาค่ำมากกว่าทุกวัน และพอมาถึงพระอาศรมพระนางก็
เรียกหาลูกทั้งสองก็ไม่มีเสียงตอบตามหาก็ไม่พบ พระนางมัทรีจึงมาทูลถามพระ
เวสสันดร ตอนแรกพระเวสสันดรก็ทรงทำเฉย แต่พอพระนางมัทรีเซ้าซี้ถามอีก พระ
เวสสันดรก็ทรงแสร้งทำเป็นโมโหหึงหวงต่อว่าต่อขานพระนางที่กลับมาถึงพระอาศรม
จนมืดค่ำ ทั้งยังทรงกล่าวบริภาษพระนางมัทรีต่าง ๆ นานาน พระนางมัทรีได้กล่าว
ขออภัยโทษพระเวสสันดรก็ทรงทำเฉยอีก พระนางมัทรีจึงออกติดตามหาสองกุมาร
ตลอดทั้งคืน พร้อมทั้งรำพึงรำพันไปตลอดเวลาด้วยความเศร้าโศกเสียพระทัยและ
ความอิดโรย ทำให้พระนางมัทรีมาสลบลงตรงหน้าพระอาศรมพระเวสสันดรจึงทรง
แก้ไขจนพระนางฟื้นขึ้นมา แล้วก็ทรงเล่าความจริง (ที่ได้ทรงมอบสองกุมารให้ไปเป็น
ข้ารับใช้ของชูชก) ให้พระนางมัทรีฟัง พระนางมัทรีจึงอนุโมทนาต่อบุตรทานในครั้ง
นี้ด้วยความปีติยินดียิ่ง บรรดาทวยเทพยดาก็พลอยยินดีปรีดาไปกับบุตรทานในครั้งนี้
ด้วย จึงพร้อมกับสาธุการสรรเสริญพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่งดาวดึงส์สวรรค์ ก็
มาโปรดดอกไม้ทิพย์เป็นการบูชาพระนางมัทรีด้วย
ค่านิยมที่ปรากฏในเรื่อง
มหาเวสสันดรชาดก เป็นค่านิยมเชิงโลกุตระ คือ ค่านิยมที่
เหนือโลกเหนือสามัญชน เป็นค่านิยมของอริยบุคคลที่ปรารถนา
ในพุทธภูมิ คือ พระเวสสันดรซึ่งทรงเห็นว่าการบำเพ็ญ
ทานบารมีหรือบำเพ็ญคุณงามความดีเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งที่มี
ค่าสำหรับพระองค์เพราะเป็นสิ่งที่จะนำพระองค์ไปสู่ความรู้
แจ้งเห็นจริง (พระโพธิญาณ) อันจะทำให้พระองค์ทรงชี้ทาง
นิพพานช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ได้
แนวคิดสำคัญ
1. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก พระนางมัทรีมีความรักในสอง
กุมารยิ่งนักพระนางทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังสติปัญญาที่มีเพื่อค้นหาสองกุมารจน
หมดสิ้นเรี่ยวแรง และสิ้นเสียงที่ร่ำร้องเรียกหา พระนางมัทรีดั้นด้นตามหาสองกุมาร
ในป่าโดยมิได้พรั่นกลัวต่อภยันตรายเลยถึง 3 รอบ จนกระทั่งหมดกำลังและสิ้นสติ
ไปในที่สุด (ดูได้จากคำประพันธ์ในหน้า 35 และหน้า 39 ย่อหน้าแรก ในหนังสือ
วรรณคดีวิจักษ์ ชั้น ม.5)
2. ผู้ที่จะปรารถนาสิ่งต่าง ๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและเสีย
สละอันยิ่งใหญ่ด้วยเฉกเช่นพระเวสสันดรที่ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ จึงต้องทรง
บำเพ็ญบุตรทานที่ถือว่าเป็นทานที่สูงส่ง พระองค์ต้องทรงตัดความอาลัยรักที่มีต่อ
พระลูกรักทั้งสอง ทั้งยังต้องทรงตัดความรักความสงสารที่มีต่อพระมเหสีมัทรีด้วย
ทั้ง ๆ ที่ในพระทัยนั้นต้องเจ็บปวดยิ่งนักเพราะไหนจะทรงห่วงใยพระลูกรัก และยัง
ต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นตัดพ้อต่อว่าพระนางมัทรีด้วยการกล่าวบริภาษที่รุนแรง และ
ยังต้องทรงทนทำเฉยเมยไม่แยแสกับการตัดพ้อต่อว่าคร่ำครวญของพระนางมัทรีด้วย
3. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข เฉก
เช่น พระนางมัทรีมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรยิ่งนัก ไม่ว่าพระเวสสันดรจะ
ทรงกล่าวบริภาษพระนางอย่างรุนแรงก็ตาม อาทิ หาว่าพระนางคบชู้สู่ชาย แม้จะ
สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่พระนางยิ่งนัก แต่พระนางมัทรีก็มิได้ทรงถือโกรธทั้งยัง
กล่าวชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริงอีกด้วย
4. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี เห็นได้จากพระ
เวสสันดรที่ทรงมีปฏิภาณไหวพริบเป็นเยี่ยมในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเมื่อ
ทรงเห็นว่าพระนางมัทรีกำลังมีแต่ความทุกข์เศร้าโศกที่ตามหาสองกุมารไม่พบ
พระองค์จึงทรงเบี่ยงเบนความคิดและอารมณ์ทุกข์โศกของพระนางด้วยการทำทีเป็น
ตัดพ้อต่อว่าด่าทอที่พระนางมัทรีกลับมาถึงพระอาศรมค่ำ ๆ มืด ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคย
เป็นมาก่อน ซึ่งก็ทำให้พระนางมัทรีบรรเทาความทุกข์โศกลง เพราะความน้อยเนื้อ
ต่ำใจที่ถูกต่อว่าทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด ทั้งยังต้องคิดถ้อยคำกราบทูลถึงเหตุผลที่แท้
จริงให้พระสวามีทรงทราบอีกด้วยและครั้นพระเวสสันดรทรงเห็นพระนางสร่างโศก
แล้วจึงทรงเล่าความจริงให้ฟัง
5. การบริจาคบุตรทานบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใครจะกระทำได้ง่าย ๆ เฉก
เช่นพระเวสสันดรที่ทรงกระทำด้วยการให้บุตรทั้งสองแก่ชูชกทั้ง ๆ ที่ทรงรู้ว่าชูชก
จะนำไปเป็นข้ารับใช้ พระองค์ก็ยังมีพระทัยอันแน่วแน่ที่จะทรงกระทำ เพื่อให้
บรรจุซึ่งพระโพธิญาณที่ได้ทรงหวังไว้
ถอดคำประพันธ์ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี
คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอด
เวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผล
ไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไปร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับ
กลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของพระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็
ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือ
เหลือง และเสือโคร่ง ขวางทางไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะ
ถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสาม
เปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความบริสุทธิ์
ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้น
ไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา
เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออกมาหาแม่กัน
พร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่
ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ก็ของ
เล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระเวสสันดรว่าลูกหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อย
ให้คลาดสายตา หากมีสัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า
ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะนาง
ออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะ
ดับสิ้น
พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจ
ราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อพระ
เวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนางได้ จึงตรัสว่า ในป่า
หิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนายพรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็
คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหาก
ไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร
เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง เพราะ
สัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่
ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาด
กลัวจนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้
จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับ
มายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบ
ทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า
ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่งศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไร
ไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา ถามว่าลูก
อยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึงถวาย
บังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคง
นั่งนิ่งอยู่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือ
ก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อกลับมาจาก
ป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความ
ทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไป
ทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับมาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้ม
ลงกับพื้น
พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคยได้แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและตระหนก
ตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดรจึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อ
ฟื้นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่ พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระ
ชาลีให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้ความจริง
แล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้
สะท้อนให้เห็นถึง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ประพันธ์ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ร่ายยาวเรื่อง
มหาเวสสันดรชาดก จึงสะท้อนสังคมและค่านิยมในยุคสมัยนั้น ซึ่งบางเรื่องอาจเป็นเรื่องคลาสสิกที่เกิด
ขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น
ความรักของแม่ที่มีต่อลูก เห็นได้จากความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อมีลางร้าย หรือความเศร้าโศกเสียใจเมื่อ
พระนางมัทรีไม่เจอลูกอยู่ในอาศรม สะท้อนให้เห็นว่าลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ที่ไม่ว่ายุคสมัย
ไหน ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพ่อแม่ยังเป็นเรื่องคลาสสิกที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ความเชื่อเรื่องการทำนายฝัน หรือโชคลาง แม้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะพัฒนาอย่างก้าว
กระโดด แต่ความเชื่อเรื่องดวงชะตา การทำนายฝัน หรือโชคลางยังคงอยู่ในสังคมไทยมาจนถึง
ปัจจุบัน แม้จะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งอาจมาจากความเชื่อหรือสิ่งที่มองไม่เห็นยังสามารถยึด
เหนี่ยวจิตใจและสร้างความสบายใจให้กับผู้คนได้ โดยเฉพาะเรื่องอนาคตหรือเรื่องที่เราไม่สามารถ
คาดเดาได้ล่วงหน้า
ขณะที่บางเรื่องอาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วในสังคมปัจจุบัน เช่น
มุมมองเรื่องลูกและภรรยานับเป็นสมบัติของสามี หรือสามีมีอำนาจเหนือกว่าภรรยา ทำให้สามี
สามารถยกลูกและภรรยาให้กับผู้อื่นในฐานะทรัพย์สินอย่างหนึ่งของตนได้ เพราะในอดีตยังมีเรื่อง
การขายทาส หรือค่านิยมชายเป็นใหญ่ ขณะที่สภาพสังคมปัจจุบันเริ่มมองว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่า
เทียมกันมากขึ้น และไม่มีทาสแบบในสมัยก่อน พ่อแม่จึงไม่สามารยกลูกของตนเองให้ผู้อื่นได้ และ
สามีไม่ได้มีอำนาจเหนือภรรยาหรือมีบทบาทเป็นช้างเท้าหน้าแบบในอดีต
หน้าที่ของภรรยาที่ต้องคอยปรนนิบัติสามี จากเดิมที่เชื่อว่า ‘ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า’ หรือเป็น
‘หัวหน้าครอบครัว’ และเชื่อว่าภรรยาที่ดี ต้องเป็นคนที่ทำงานบ้านไม่ขาดตกบกพร่อง ดูแลรับใช้สามี
อย่างดี และเชื่อฟังสามีในทุก ๆ เรื่อง ปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะสังคม
ปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมมากขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทำให้บางครั้งผู้ชายก็
สามารถอ่อนแอ ทำอาหาร ดูแลลูก ๆ ช่วยภรรยาได้ ขณะที่ภรรยาก็สามารถทำงานเลี้ยงครอบครัว
ไม่จำเป็นต้องทำงานบ้านได้เสมอไป ขึ้นอยู่กับความสมัครใจและการตกลงกันระหว่างสามีภรรยามา
อย่างไรก็ตามค่านิยมเรื่องหน้าที่ของสามีและภรรยาแบบในอดีตอาจยังปรากฏให้เห็นบ้างในบาง
ครอบครัว หรือสังคมไทยในปัจจุบัน เพราะเป็นเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต