The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชื่อ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ชื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by newn4102, 2022-02-24 00:50:49

พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย

ชื่อ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ชื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชกรณียกิจของ
พระมหากษัตริย์ไทย

จัดทำโดย
น.ส.ชลธิชา นาคฉาย
ม.4/6 เลขที่ 39

คำนำ

หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่ อเป็ นส่วนหนึ่ งของวิชา
ประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 เพื่อให้ได้ศึกษา
ความรู้ในเรื่องพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์
ไทย และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับ
การเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน
หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่
หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำ
ขอน้ อมรับไว้ และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ผู้จัดทำ
นางสาวชลธิชา นาคฉาย

สารบัญ

เรื่อง หน้า

คำนำ ก

สารบัญ ข

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 1
-ประวัติโดยย่อ 1
พระราชกรณียกิจ 2
-ประกาศอิสระภาพ 2
-สงครามยุทธหัตถี 3
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 5
-ประวัติโดยย่อ 5
พระราชกรณียกิจ 6
-ปฏิรูปการปกครอง 6
-การเสด็จประพาสต้น ครั้งที่1 8
-การเสด็จประพาสต้น ครั้งที่2 9
-การเสด็จประพาสต้น ครั้งที่3 10
บรรณานุกรม 11

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ประวัติโดยย่อ

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช[2] หรือ
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 มีพระนาม
เดิมว่าพระนเรศ หรือ "พระองค์ดำ" เป็น
พระราชโอรสในสมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราชและพระวิสุทธิกษัตรีย์ เสด็จ

พระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 2098 ที่
พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก มีพระ
เชษฐภคินีคือพระสุพรรณกัลยา มีพระ
อนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์
ขาว) เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 29
กรกฎาคม พ.ศ. 2133 ครองราชสมบัติ
15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25 เมษายน

พ.ศ. 2148 สิริพระชนมพรรษา 49
พรรษา

1

พระราชกรณียกิจที่สำคัญของสมเด็จ

พระนเรศวรมหาราช

การประกาศอิสริภาพของสมเด็จพระนเรศวร

ณ เมืองแครง

เกิดขึ้นเมื่อเดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2127
การประกาศอิสรภาพตัดขัดจากกรุงหงสาวดี โดยได้ตรัสแก่ทหารอยุธยาที่

ตามเสด็จมา และชาวมอญ ณ เมืองแครงว่า “เราหาความผิดมิได้ ซึ่งพระเจ้า
หงสาดีคิดร้ายต่อเราก่อนนั้น อันแผ่นดินพระมหานครศรีอยุธยา กับแผ่นดิน
เมืองหงสาวดี ขาดจากทางพระราชไมตรีกัน เพราะเป็นอกุศลกรรมนิยม
สำหรับที่จะให้สมณพราหมณาประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน” เมื่อตรัสแล้ว
พระหัตถ์ขวาของพระองค์ที่ทรงพระสุวรรณภิงคารอยู่ ได้หลั่งอุทกธาราลง
เหนือพื้นพระสุธาดล และตรัสคำประกาศอิสรภาพออกไปว่า “เทพเจ้าทั้ง
หลาย อันมีมหิทธิฤทธิ์และที่ทิพจักขุทิพโสต ซึ่งสถิตอยู่ทุกทิศานุทิศจงเป็น
ทิพพยานด้วย พระเจ้าหงสาวดีมิได้ตั้งอยู่โดยคลองสุจริตมิตรภาพขัตติยราช
ประเพณีเสียสามัคคีรสธรรม ประพฤติพาลทุจริตคิดจะทำภยันตรายแก่เรา
ตั้งแต่วันนี้ไป กรุพระมหานครศรียุธยากับเมืองหงสาวดีมิได้เป็นสุวรรณปัฐพี
เดียวดุจหนึ่งแต่ก่อน ขาดจากกันแต่วันนี้ไปตราบเท่ากัลปาวสาน” ครั้นเมื่อ
พระองค์ทรงหลั่งพระสุวรรณภิงคารสำเร็จแล้ว ก็ยังได้ตรัสสั่งเหล่าพระยา
เสนามุขมนตรี้ทั้งหลายว่า "เราจะยกทัพกลับลงไปพระนครครั้งนี้ จะพาพระ
มหาเถรคันฉ่อง และญาติโยม กับพระยาเกียรติ พระยารามไป แล้วจะตีกวาด
ครอบครัวรามัญหัวเมืองรายทางไปด้วย”

2

สงครามยุทธหัตถี

ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพ
ทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้
สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียม
ไพร่พล มีกำลังหนึ่งแสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี
ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย

เช้าของวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จ
พระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระ
นเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระสมเด็จพระ
เอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้ง
สองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการ
ต่อสู้มาแล้วหรือเคยผ่านสงครามชน ช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็น
ช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดน
พม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไป
ทัน

พระเจ้านันทบุเรง 3

สมเด็จ พระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงพระคชสาร
อยู่ในร่มไม้กับเหล่าท้าว พระยา จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์
หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วย
พระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสีย
เปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัย
เยาว์ว่า "พระเจ้า พี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถี
ด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่น
ดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"

พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้า
ชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระ
นเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน
จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลาย
พัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระ
มหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง

ส่วน สมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่น
กัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวร
ได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้น ทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระ
องค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพกลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็
ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลา อีก
ยาวนาน

สงครามยุทธหัตถี 4

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า

เจ้าอยู่หัว




ประวัติโดยย่อ

ระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (20 กันยายน พ.ศ.
2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหา
กษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี
เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10
แรม 3 ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน
พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ใน
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ
เป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบ
รมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี
เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2411 [3]
เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 4
ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
ด้วยโรคพระวักกะ

5

พระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ปฏิรูปการปกครอง

ระยะแรก
การปฏิรูปประเทศในระยะแรก รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงแต่งตั้งสภาที่ปรึกษา
ราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ซึ่งศภาทั้งสองนี้มีหน้าที่ใน
การออกกฎหมายและยกเลิกกฎหมาย รวมไปถึงยกเลิกประเพณีโบราณ
ต่าง ๆ ไม่เห็นว่าไม่เหมาะกับสังคมสังคมในสมัยนั้น แต่สภาทั้ง 2 ปฏิบัติ
งานได้ไม่นานก็ต้องยุติหน้าที่ลงเนื่องจากวิกฤติการณ์วังหน้า

6

ระยะหลัง
รัชกาลที่ 5 ได้ทรงตระหนักถึงภยันอันตรายของจากล่าอาณานิคมของ
ประเทศโลกตะวันตก และทรงเห็นว่าการปกครองในแบบเดิมของไทย
นั้นมีความล้าสมัยไม่สอดคล้องกับความเจริญของบ้านเมือง จึงส่งผล
ให้เกิดการปฏิรูปการปกครอง 2435 โดยใน พ.ศ. 2430 ได้มีการเริ่ม
แผนการปฏิรูปการปกครองขึ้นตามแบบแผนของตะวันตก ในส่วน
กลางมีการจัดแบ่งหน่วยงานการปกครองออกเป็น 12 กรม ต่อได้
เปลี่ยนมาใช้คำว่ากระทรวงแทนโดยสถาปนาขึ้นในวันที่ 1 เมษายน
2435 และยังได้มีการประกาศแต่งตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงแต่ละ
กระทรวงขึ้น และยุบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีและเสนาบดีจตุสดมภ์
ทุกตำแหน่งต่อจากนั้นก็ได้มีการยุบกระทรวงเหลือเพียง 10 กระทรวง
คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระกรวงการต่างประเทศ
กระทรวงวัง กระทรวงเมือง(นครบาล) กระทรวงเกษตราธิการ
กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงธรรมการ
กระทรวงโยธาธิการ

7

การเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ 1

ในปี พ.ศ. 2447 (ร.ศ.123)
หรือที่เรียกกันว่า “การเสด็จประพาสต้น” เป็นการเสด็จเพื่อทรง
พักผ่อนพระราชอิริยาบถตามคำแนะนำของหมอหลวง โดยใช้เรือ
พลับพลาพ่วงเรือไฟไป ถ้าจะประทับแรมที่ไหนก็จอดเรือพลับพลา
ประทับแรมที่นั่น ทรงต้องการเสด็จประพาสอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้
ราษฎรรู้จักพระองค์ จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดกระบวนเรือที่เรียก
กันว่า “กระบวนประพาสต้น” คือทรงเรือมาดเก๋งสี่แจวอย่างที่
ข้าราชการใช้กันในขณะนั้น มีเรือประทุน 4 แจวเป็นเรือเครื่องครัว
พ่วงเรือไฟเล็กไปเพียง 2 ลำ
การเสด็จครั้งนี้ มีพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ตาม
เสด็จอีกหลายพระองค์ เช่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่
หัว ร.6 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ฯลฯ

เส้นทางและสถานที่สำคัญในการเสด็จประพาสต้น
การเสด็จประพาสต้น ร.ศ. 123 (พ.ศ. 2447) เป็นการเสด็จทาง
ชลมารคและทางรถไฟเป็นหลัก มีจุดเริ่มต้นจากพระราชวัง
บางปะอินเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 ผ่านจังหวัดปทุมธานี
นนทบุรี กรุงเทพฯ ธนบุรี สมุทรสาคร ราชบุรี สมุทรสงคราม
เพชรบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา กลับสู่
บางปะอิน แล้วเสด็จโดยทางรถไฟกลับสู่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7
สิงหาคม พ.ศ. 2447

8

การเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ 2

เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๙ ระหว่างวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ถึง ๒๙ สิงหาคม
๒๔๔๙ ...โดยเสด็จออกจากสวนดุสิต ลงเรือที่ตำหนักแพวังหน้า

โดยเสด็จผ่านเมืองนครสวรรค์ขาขึ้นในวันที่ ๑๑-๑๘ สิงหาคม
๒๔๔๙ ซึ่งการเสด็จฯ เมืองนครสวรรค์ครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง

เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครสวรรค์มาก และ
สามารถค้นคว้าหาภาพถ่ายมาประกอบเรื่องได้ ด้วยขณะนั้น
พระองค์ทรงโปรดการถ่ายรูป

เจ้าพระยายมราช 9

การเสด็จประพาสต้น ครั้งที่ 3

ร.ศ. ๑๒๘ ( พ.ศ.๒๔๕๑ ) ...เสด็จโดยทางรถไฟจนถึงเมือง
นครสวรรค์ แล้วทรงเรือพระที่นั่งล่องน้ำลงมาเข้าปากน้ำมะขาม
เฒ่า

ประพาสทางลำน้ำเมืองสุพรรณบุรี

รัชกาลที่ ๕ ทรงเสด็จทั่วประเทศถึง ๔๔ จังหวัด รวมทั้งสิ้น ๑๐
เส้นทาง ได้แก่ การเสด็จประพาสต้น ร.ศ.๑๒๓, ประพาสต้น
ร.ศ.๑๒๕ พระบรมราชโองการสำรวจลำน้ำมะขามเฒ่า, ร.ศ.๑๒๗
ประพาสมณฑลอยุธยา, ร.ศ.๙๗ ประพาสชายฝั่งทะเลตะวันออก,
ร.ศ.๙๕, ร.ศ.๑๐๑, ร.ศ.๑๐๒, ร.ศ.๑๐๓ ประพาสไทรโยค, ร.ศ.๙๖,
ร.ศ.๑๐๗ ประพาสแหลมมาลายู, ร.ศ.๑๐๘, ร.ศ.๑๐๙, ร.ศ.๑๒๐
ประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ, ร.ศ.๑๒๐ ประพาสมณฑลปราจีน,
ร.ศ.๑๒๘ และมีวัดที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมากถึง ๑๗๑ แห่ง

10

บรรณานุกรม

https://sites.google.com/site/sedcpraphastn/
สงครามยุทธหัตถี - วิกิพีเดีย (wikipedia.org)
https://www.cdti.ac.th/
(silpa-mag.com)

11


Click to View FlipBook Version