The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือการดำเนินการทางวินัยข้าราชการครู

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-04-22 03:32:12

คู่มือการดำเนินการทางวินัยข้าราชการครู

คู่มือการดำเนินการทางวินัยข้าราชการครู

~ 235 ~

 

2. การพิจารณาวนิ ิจฉยั อุทธรณโทษไมร า ยแรง
การพิจารณาวินจิ ฉยั อทุ ธรณโทษไมร า ยแรง มหี ลกั เกณฑใ นการพิจารณา ดังน้ี
2.1 ถาเห็นวา การส่งั ลงโทษถูกตองและเหมาะสมกบั ความผดิ แลว ใหม ีมตยิ กอุทธรณ
2.2 ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา

ผอู ุทธรณไดกระทําผิดวินยั ไมรายแรง แตค วรไดร ับโทษหนักข้ึน ใหมีมติใหเพ่ิมโทษเปนสถานโทษ
หรอื อตั ราโทษทีห่ นักขน้ึ

2.3 ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา
ผูอุทธรณไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง ควรไดรับโทษเบาลง ใหมีมติใหลดโทษเปนสถานโทษ
หรืออตั ราโทษทเี่ บาลง

2.4 ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา
ผูอุทธรณไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง ซึ่งเปนการกระทําผิดวินัยเล็กนอยและมีเหตุอันควร
งดโทษ ใหมมี ตใิ หส ่ังงดโทษโดยทาํ เปนทณั ฑบ นเปน หนังสอื หรอื วา กลาวตักเตือนกไ็ ด

2.5 ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตอง และเห็นวาการกระทําของผูอุทธรณไมเปน
ความผิดวินยั หรือพยานหลักฐานยงั ฟง ไมไดวา ผอู ทุ ธรณก ระทําผิดวนิ ัย ใหมมี ตใิ หย กโทษ

2.6 ถาเห็นวาขอความในคําสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสม ใหมีมติใหแกไข
เปลีย่ นแปลงขอความใหเปนการถกู ตองเหมาะสม

2.7 ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวากรณี
มีมูลท่ีควรกลาวหาวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหมีมติใหผูบังคับบัญชาแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนวินยั อยา งรา ยแรง ตามมาตรา 98 วรรคสอง และดําเนินการตามกฎหมาย
ตอไป

2.8 ในกรณีท่ีเห็นวาเปนความผิดวินัยอยางรายแรงกรณีความผิดท่ีปรากฏชัดแจง
ตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. หรือเห็นวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและไดมีการ
ดําเนินการทางวินัยตามมาตรา 98 วรรคสองแลว ใหมีมติเพ่ิมโทษเปนปลดออกหรือไลออก
จากราชการ

~ 236 ~

 

2.9 ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา
ผูอุทธรณมีกรณีที่สมควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือใหออกจากราชการ กรณี
ไมเลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข ตามรัฐธรรมนูญแหง
ราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา 110 (4) หรือกรณีหยอนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่
ราชการ บกพรองในหนาท่ีราชการ หรือประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาที่ราชการ
ตามมาตรา 111 หรือกรณีมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ตามมาตรา 112
ใหมีมติใหผูบงั คับบัญชาแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน และดาํ เนนิ การตามกฎหมายตอไป

2.10 ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอื่นใด เพื่อใหมีความถูกตองตามกฎหมาย
และมีความเปน ธรรม ใหม มี ติใหด าํ เนินการไดต ามควรแกกรณี

การออกจากราชการของผูอุทธรณไมเปนเหตุที่จะยุติการพิจารณาอุทธรณ
แตจะมีมติใหเพ่ิมโทษ ตาม 2.2 หรือใหแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือใหออก ตาม 2.9
ไมได และถาเปนการออกจากราชการเพราะตาย จะมีมติใหแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย
อยา งรา ยแรง ตาม 2.7 หรอื จะมีมติเพม่ิ โทษเปนปลดออกหรือไลออก ตาม 2.8 ไมไดเ ชน เดียวกนั

ในกรณีที่มีผูถูกลงโทษทางวินัยในความผิดท่ีไดกระทํารวมกัน และเปนความผิด
ในเรื่องเดียวกัน โดยมีพฤติการณแหงการกระทําอยางเดียวกัน เม่ือผูถูกลงโทษคนใดคนหนึ่ง
ใชสิทธิอุทธรณคําสั่งลงโทษดังกลาว และผลการพิจารณาเปนคุณแกผูอุทธรณ แมผูถูกลงโทษ
คนอื่นจะไมไดใชสิทธิอุทธรณหากพฤติการณของผูไมไดใชสิทธิอุทธรณเปนเหตุในลักษณะคดี
อนั เปน เหตุเดยี วกับกรณีของผูอุทธรณแลว ใหมีมติใหผูที่ไมไดใชสิทธิอุทธรณไดรับการพิจารณา
การลงโทษใหมผี ลในทางทเี่ ปนคุณเชนเดยี วกับผอู ุทธรณด วย

3. การพจิ ารณาวินจิ ฉยั อุทธรณโ ทษรา ยแรง
การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณโทษวินัยรายแรง ใหนําหลักเกณฑในการพิจารณา

วนิ จิ ฉัยโทษไมร า ยแรงมาใชโ ดยอนุโลม

~ 237 ~

 

4. การสงั่ การตามมติ
เมื่อ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี
ไดมีมติแลว ผูมีอํานาจตามมาตรา 53 ตองสั่งหรือปฏิบัติใหเปนไปตามน้ัน และผูอุทธรณ
จะอุทธรณตอไปอีกไมได เมื่อผูบังคับบัญชาไดส่ังหรือปฏิบัติตามมติดังกลาวแลว ตองมีหนังสือ
แจงใหผ อู ทุ ธรณท ราบ พรอ มท้ังแจงสิทธิการฟองคดีตอศาลปกครองภายใน 90 วัน ใหผูอุทธรณ
ทราบดวย เวนแตกรณีที่เปนการพิจารณาอุทธรณโทษวินัยไมรายแรง แลวเพ่ิมโทษจาก
ภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน เปนโทษปลดออกหรือไลออก หรือใหออก
ท่ีไมใชโทษ ใหแจงสิทธิการอุทธรณ หรือรองทุกขแลวแตกรณี ตอ ก.ค.ศ.ไดอีกครั้งหนึ่ง
ภายใน 30 วัน นบั แตวันไดร บั แจง ผลการพจิ ารณาอุทธรณ

5. รปู แบบการวินจิ ฉัย
การจัดทํารายงานการประชุมและการจัดทํามติของ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ.
ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือมติ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ใหดําเนินการจัดใหมีเหตุผลไวในคําวินิจฉัยดวย
ตามนยั พระราชบญั ญตั ิวิธปี ฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

6. สิทธิของผูอทุ ธรณกรณยี กอุทธรณหรือเปลีย่ นแปลงโทษ
6.1 ในกรณีที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. มีมติ

ใหยกอุทธรณ หรือเพิ่มโทษ หรือลดโทษ ผูอุทธรณจะอุทธรณตอไปไมได เวนแตกรณีมีมติให
เพ่ิมโทษจากโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน เปนโทษปลดออกหรือไลออก
จากราชการ หรือมีมติใหส่ังใหออกจากราชการ ผูอุทธรณมีสิทธิที่จะอุทธรณหรือรองทุกข
แลวแตก รณี ตอ ก.ค.ศ. ตามมาตรา 122 ไดอกี ครง้ั หนง่ึ

6.2 กรณีการพิจารณาอุทธรณคําส่ังลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการ
เม่อื ก.ค.ศ. มีมติเปนประการใดแลว ผอู ทุ ธรณจะอุทธรณหรือรอ งทกุ ขต อไปอกี ไมได

6.3 เม่ือ ก.ค.ศ. มีมติใหยกโทษ หรือใหลดโทษจากโทษวินัยรายแรงเปนภาคทัณฑ
ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือน และใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการตามเดิม ก็ใหผูมีอํานาจ

~ 238 ~

 

ตามมาตรา 53 ส่ังใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการในตําแหนงและวิทยฐานะเดิม หรือตําแหนง
ในระดับเดียวกันท่ีตองใชคุณสมบัติเฉพาะที่ผูน้ันมีอยู แนวทางปฏิบัติผูบังคับบัญชาตองยกเลิก
คําสั่งเดิม และสั่งใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ ในการส่ังใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ
ตอ งสง่ั เปนปจจุบนั เม่ือสง่ั กลบั เขา รับราชการแลว ในกรณที มี่ โี ทษจึงสั่งลงโทษไปตามมติ

6.4 ในกรณีท่ีส่ังใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ มาตรา 124 บัญญัติวา ใหนํามาตรา 103
มาใชบังคับโดยอนุโลม กลาวคือ กฎหมายรับรองใหผูอุทธรณมีสถานภาพเปนขาราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาตลอดระยะเวลาที่ถูกปลดออกหรือไลออกจากราชการ เสมือนเปน
ผูถูกสั่งพักราชการ และไมมีกรณีท่ีจะตองออกจากราชการดวยเหตุอื่น ผูอุทธรณจึงมีสิทธิ
นับอายุราชการตอเนื่อง และมีสิทธิไดรับเงินเดือนในระหวางถูกปลดออกหรือไลออกจากราชการ 32
ทั้งนี้ มขี อสงั เกตวา ตอ งเปนกรณีถึงท่ีสุดแลว เทานั้น

6.5 ในกรณีท่ีอุทธรณฟงขึ้นในประเด็นขอกฎหมาย เน่ืองจากการลงโทษไมเปนไป
ตามกระบวนการขั้นตอน ท่ีกฎหมายกาํ หนด ทําใหคาํ สง่ั ลงโทษเปนคําส่งั ท่ีไมชอบดวยกฎหมาย
ผูบังคับบัญชา จึงตองยกเลิกคําสั่งและสั่งใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ ( เวนแตเปนกรณี
ถูกพักราชการหรือใหออกจากราชการไวก อน) แลวดาํ เนนิ การทางวนิ ยั แกผ ูอุทธรณใ หม

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ท่ี อ. 315/2549 หนวยงานจะเบิกจายเงินเดือน
ในระหวางท่ีมิไดมาปฏิบัติราชการใหแกขาราชการซ่ึงถูกส่ังปลดออกหรือไลออกจากราชการ
โดยไมชอบดว ยกฎหมายไดก ็ตอเม่ือการดาํ เนินการทางวินัยถึงท่ีสดุ แลว หากภายหลงั จากมีคําสั่ง
เพิกถอนคําสั่งปลดออกหรือไลออกจากราชการแลว ยังมีการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ทางวนิ ัยในขอหาเดิมอกี ไมว า จะเปนความผดิ วินัยอยางรายแรงหรอื ไมก ็ตาม ถอื ไดวา กระบวนการ
ดาํ เนินการทางวนิ ยั ยงั ไมถึงท่ีสุด หนว ยงานจึงยังไมม ีหนาท่ีเบิกจายเงนิ เดือนดังกลา ว

                                                           

32  ระเบยี บกรมบัญชกี ลาง วาดว ยการจา ยเงินเดอื นใหแกขาราชการซง่ึ ออกจากราชการโดยคาํ สง่ั ลงโทษทางวินยั หรอื คําสัง่
ใหอ อกจากราชการแลวไดร ับการพจิ ารณายกเลิก เพิกถอน หรอื เปลี่ยนแปลงคําส่ังเปนอยา งอื่น พ.ศ. 2551

~ 239 ~

 

7. ผลของคาํ วินจิ ฉัยอุทธรณ
ผลของคาํ วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ หรือมติขององคคณะผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณมีผลผูกพัน

หนวยงานและผูบังคับบญั ชาใหต องปฏิบัติใหเ ปนไปตามคําวินจิ ฉัย หรือตามมตนิ ั้น
7.1 ในกรณีสง่ั ยกอุทธรณ มผี ลเทากบั ผูอุทธรณไดรับโทษตามคาํ ส่งั เดิมของผบู งั คับบญั ชา
7.2 ในกรณีสั่งเพ่ิมโทษ คําสั่งเพิ่มโทษมีผลลบลางคําสั่งลงโทษเดิมของผูบังคับบัญชา

และถือวาผอู ุทธรณถ ูกลงโทษตามคาํ สงั่ เพิ่มโทษนัน้
7.3 ในกรณีสั่งลดโทษ คําสั่งลดโทษมีผลลบลางคําสั่งลงโทษเดิมของผูบังคับบัญชา

และถอื วา ผูอทุ ธรณถูกลงโทษตามคาํ สั่งลดโทษนัน้
7.4 ในกรณีส่ังยกโทษ คําส่ังยกโทษมีผลลบลางคําส่ังลงโทษเดิมของผูบังคับบัญชา

และถอื วา ผอู ทุ ธรณไ มเคยถกู ลงโทษในกรณีนั้น

อนง่ึ คาํ สั่งลงโทษเดิมนน้ั ตองเก็บรวมไวในสาํ นวนเพื่อเปน หลกั ฐานดวย

8. อุทธรณทีไ่ มอาจรบั ไวพิจารณาได
อทุ ธรณท ไ่ี มอาจรับไวพิจารณาไดต ามกฎหมาย คือ
8.1 อุทธรณทย่ี นื่ เกนิ 30 วัน
8.2 อทุ ธรณท ่ผี ูอุทธรณไ มลงลายมือช่ือในหนังสอื อุทธรณ
8.3 อทุ ธรณที่เปน การอุทธรณแ ทนผูอ นื่
8.4 อุทธรณท ไ่ี มมสี าระ

 

บทท่ี 8

การรอ งทุกข

การจัดใหมีหลักประกันเพ่ือความเปนธรรมสําหรับขาราชการ เปนหลักการท่ีสําคัญ
ประการหนึ่งในการบริหารงานบุคคล อันเปนการเสริมสรางขวัญกําลังใจและประสิทธิภาพ
ในการปฏิบัติงานของขาราชการ โดยมีจุดมุงหมายที่สําคัญเพื่อคุมครองปองกันมิใหขาราชการ
ถูกกล่ันแกลง หรอื ไดร บั การปฏบิ ตั โิ ดยไมเปนธรรม

ความหมาย
การรองทุกข หมายถึง การที่ขาราชการรองขอความเปนธรรมขอใหแกไขปญหาท่ีเห็นวา

ตนไมไ ดร บั ความเปนธรรมหรือมีความคับของใจเนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา ในเร่ือง
เก่ียวกับการบริหารงานบุคคล ไมวาการกระทําน้ันจะเปนการใชอํานาจตามกฎหมาย หรือ
เปนการใชดลุ พินจิ ของผูบังคับบัญชา ผูอยูใตบ ังคบั บญั ชายอ มมีสิทธริ องทุกขไ ดโ ดยชอบ

ความสําคญั
การรองทุกข เปนวิธีการหนึ่งท่ีเปดโอกาสใหผูอยูใตบังคับบัญชาไดระบายความคับของใจ

ในการปฏิบัติของผูบังคับบัญชาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่ไดปฏิบัติตอตนวา เปนการกระทํา
ที่ไมถูกตอง ทั้งน้ี เพื่อผูบังคับบัญชาจะไดทบทวนการปฏิบัติตอผูอยูใตบังคับบัญชา และแกไข
ในส่ิงที่ไมถูกตอง หรือชี้แจงเหตุผลความถูกตองที่ไดปฏิบัติไปใหผูรองทุกขทราบและเขาใจ
หรือใหผูบังคับบัญชาเหนือขึ้นไปไดพิจารณาใหความเปนธรรมตามสมควร ซึ่งจะกอใหเกิด
ความสัมพันธอันดีระหวางผูบังคับบัญชากับผูอยูใตบังคับบัญชา โดยกระบวนการรองทุกข
กําหนดใหมีการรองทุกขดวยวาจาเพ่ือไดทําความเขาใจกันกอน หากไมเปนที่พอใจจึงใหรองทุกข
เปนหนังสือ นอกจากนั้นการรองทุกขยังเปนชองทางใหมีการตรวจสอบและถวงดุลการใชอํานาจ
ของผูบ งั คบั บญั ชาใหเปนไปโดยถูกตอ งและเปนธรรมดว ย

~ 241 ~

 

ขัน้ ตอนและวธิ กี ารรอ งทกุ ข
1. ผมู สี ทิ ธริ อ งทกุ ข
1.1 เปน ขา ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
1.2 ถูกกระทบสทิ ธิหรอื ไมไดรับความเปนธรรมจากการปฏบิ ัติของผบู งั คับบญั ชา
2. เหตุท่จี ะรองทุกข
2.1 ไมไดรับความเปนธรรม หรือคับของใจจากการกระทําของผูบังคับบัญชา เชน

การชว ยราชการ, การยา ย, การเลือ่ นขน้ั เงนิ เดือน, การบรรจแุ ละแตงตั้ง ฯลฯ
2.2 ถกู ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ยั ตามมาตรา 98
2.3 ถูกส่ังพักราชการ ตามมาตรา 103 กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง

จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญา
เวนแตเ ปนความผิดท่ีไดก ระทาํ โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

2.4 ถูกส่ังใหออกจากราชการไวกอน ตามมาตรา 103 และเปนกรณีเขาเหตุตาม
ขอ 2.3

2.5 ถูกสง่ั ใหอ อกจากราชการ
ขา ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจถูกส่ังใหออกจากราชการไดหลายกรณี

ตามมาตรา 107 แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
เชน

(1) ถกู สง่ั ใหออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติท่ัวไป หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะ
สาํ หรับตาํ แหนงอยกู อนบรรจุ (มาตรา 49)

(2) ถูกส่ังใหออกจากราชการเพราะทดลองปฏิบัติหนาท่ีราชการ หรือเตรียม
ความพรอมและพัฒนาอยางเขม แลวปรากฏวาไมเหมาะสมท่ีจะใหรับราชการตอไป เนื่องจาก
ผลการประเมินการปฏิบัติหนาท่ีราชการ หรือเตรียมความพรอมและพัฒนาอยางเขม ต่ํากวา
เกณฑท ่ี ก.ค.ศ. กาํ หนด (มาตรา 56)

~ 242 ~

 

(3) ถูกส่ังใหอ อกจากราชการไวก อ น เพอื่ รอฟงการสอบสวนพิจารณา (มาตรา 103)
(4) ถูกส่งั ใหอ อกจากราชการเพราะเหตรุ ับราชการนาน (มาตรา 110)
(5) ถูกส่งั ใหอ อกจากราชการเพอื่ รับบาํ เหน็จบาํ นาญเหตุทดแทน (มาตรา 110)
(6) ถกู สง่ั ใหอ อกจากราชการเพราะเหตุเจ็บปวยไมอาจปฏิบตั หิ นา ทรี่ าชการได
(7) ถูกส่ังใหออกจากราชการ เพราะสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค
ของทางราชการ
(8) ถูกส่ังใหออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติท่ัวไปตามมาตรา 30 (1) (4) (5) (7)
(8) หรือ (9)
(9) ถกู สั่งใหอ อกจากราชการเพราะเหตุทางราชการเลกิ หรอื ยุบตําแหนง
(10) ถกู สัง่ ใหอ อกตามมาตรา 30 (3)
(11) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะหยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่
ราชการ หรอื บกพรอ งในหนา ทรี่ าชการ หรอื ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาท่ีราชการ
(มาตรา 111)
(12) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะมีมลทินมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวน
(มาตรา 112)
(13) ถูกส่ังใหออกจากราชการเพราะตองรับโทษจําคุกโดยคําสั่งศาล หรือ
โดยคําพิพากษา ถึงที่สุดใหจําคุก โดยศาลไมรอการลงโทษในความผิดท่ีไดกระทําโดยประมาท
หรือความผิด ลหุโทษ ซ่ึงยังไมถึงกับจะตองถูกลงโทษปลดออกหรือไลออก ซึ่งผูบังคับบัญชา
จะสงั่ ใหผนู ัน้ ออกจากราชการเพอ่ื รบั บาํ เหน็จบํานาญเหตุทดแทนได (มาตรา 113)
(14) ถกู ส่งั ใหออกจากราชการเพ่ือไปรบั ราชการทหาร (มาตรา 114)
(15) ถูกสั่งใหอ อกจากราชการเพราะมีเหตสุ มควรใหออกอยูกอนวันโอนมาบรรจุ
(มาตรา 118)
(16) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ตามมาตรา 109

~ 243 ~

 

3. วิธีการรองทุกข
ถาผูรองทุกขไมประสงคจะปรึกษาหารือ หรือปรึกษาหารือแลวไมเปนท่ีพอใจก็อาจ

ดาํ เนินการตอไปได ดังน้ี
3.1 ทาํ หนังสอื รองทกุ ขลงลายมือช่อื พรอ มท่อี ยขู องผรู องทกุ ข
3.2 หนังสือรองทุกขตองมีสาระสําคัญที่แสดงขอเท็จจริงและเหตุผลใหเห็นวา

ไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจอยางไร และแจงความประสงคของการรองทุกข
พรอ มพยานหลักฐานทม่ี ี

3.3 ย่ืนภายใน 30 วัน นับแตว ันท่ไี ดท ราบหรือควรทราบเหตแุ หง การรอ งทกุ ข
3.4 รอ งทุกขไ ดส ําหรบั ตนเองเทา นัน้ จะรองทกุ ขแทนผอู ่นื หรือใหผูอื่นรองทุกขแทน
ไมได
3.5 การย่ืนหนังสือรองทุกข ผูรองทุกขอาจนําไปยื่นเองหรือสงทางไปรษณียก็ได
โดยถอื วนั ท่ที ่ีไปรษณยี ป ระทบั ตรารบั ท่ีซองเปนวันสงหนงั สอื รอ งทกุ ข
3.6 ผรู อ งทกุ ขจ ะย่นื หรือสง หนังสือรองทุกข พรอมกบั สําเนารับรองถูกตอ งหน่ึงฉบับ
ผานผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขก็ได และใหผูบังคับบัญชานั้นสงหนังสือรองทุกข
พรอมท้ังเอกสารหลักฐานท่ีเก่ียวของ โดยใหมีคําชี้แจงประกอบดวย เพ่ือประกอบการพิจารณา
ของผูมีอาํ นาจพจิ ารณารองทุกข ภายใน 7 วันทําการ นบั แตว ันทไ่ี ดร บั หนงั สือรองทกุ ข

สิทธขิ องผูรอ งทกุ ข
1. สิทธิท่จี ะขอแถลงการณด วยวาจา
ในการรองทุกข ถาผูรองทุกขประสงคจะขอแถลงการณดวยวาจา ใหแจงความ

ประสงคไวในหนังสือรองทุกขดวย หรือจะทําเปนหนังสือตางหากก็ได โดยยื่นหรือสงตรงตอ
อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษา หรือ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี กอ นเริ่มพจิ ารณา
เร่ืองรอ งทุกข

~ 244 ~

 

2. สทิ ธิทจี่ ะรองทกุ ขหรือสงเอกสารเพ่มิ เตมิ
เมื่อไดยื่นหนังสือรองทุกขไวแลว ผูรองทุกขจะยื่นหรือสงหนังสือรองทุกข หรือ

เอกสารเพ่ิมเติมกอนที่ผูมอี ํานาจพจิ ารณาเรื่องรอ งทกุ ขจะเริม่ พจิ ารณาเร่ืองรอ งทกุ ขกไ็ ด

3. สิทธิท่ีจะคัดคา นอนุกรรมการหรือกรรมการผูพจิ ารณารอ งทกุ ข
ผูรองทุกขมีสิทธิคัดคานอนุกรรมการ หรือกรรมการผูพิจารณาเร่ืองรองทุกข ถาผูนั้น

มเี หตุอยา งหน่งึ อยา งใด ดงั ตอ ไปน้ี
(1) เปนผูบงั คบั บญั ชาผูเปนเหตุแหง การรองทกุ ข
(2) มีสว นไดเ สียในเรือ่ งทรี่ อ งทุกข
(3) มีสาเหตุโกรธเคอื งผูร องทกุ ข
(4) เปนคสู มรส บุพการี ผูสืบสันดาน หรือพ่ีนองรวมบิดามารดา หรือรวมบิดาหรือ

มารดากับผูบ งั คับบัญชาผเู ปน เหตแุ หงการรอ งทกุ ข

4. สทิ ธทิ ี่จะขอถอนเร่ืองรองทุกข
ในกรณีที่ผูรองทุกขไมประสงคจะใหมีการพิจารณาเรื่องรองทุกขตอไป จะขอถอน

เร่ืองรองทุกขกอนที่ผูมีอํานาจพิจารณารองทุกขจะพิจารณาเสร็จส้ินก็ได โดยทําเปนหนังสือย่ืน
หรือสงตอผูมีอํานาจพิจารณารองทุกข เมื่อไดถอนเรื่องรองทุกขแลว การพิจารณาเรื่องรองทุกข
นน้ั เปนอันระงับ

5. สิทธิท่ีจะฟอ งคดีตอ ศาลปกครอง
ในกรณที ี่ผรู อ งทุกขไมพอใจคาํ วินจิ ฉัยรองทุกข ผูรองทุกขมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง

ไดตามหลักเกณฑท กี่ ําหนดในกฎหมายวา ดว ยการจดั ต้งั ศาลปกครองและวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง

ผมู ีอาํ นาจพจิ ารณารอ งทุกข
1. ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีสังกัดเขตพื้นท่ีการศึกษา ใหรองทุกขได

ดังนี้

~ 245 ~

 

(1) ในกรณีที่เหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ หรือคําส่ังของ
ผบู งั คับบัญชาซ่ึงสั่งการตามมติของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา หรือกรณีเหตุรองทุกข เกิดจาก
การถกู ส่งั พักราชการตามมาตรา 103 ใหร องทกุ ขตอ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผูพิจารณา

(2) ในกรณที ่เี หตรุ อ งทุกขเกิดจากผูบังคับบัญชาตั้งแตผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษาลงมา ใหรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และให อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนที่การศึกษา
เปน ผูพิจารณา

2. ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มิไดสังกัดเขตพื้นท่ีการศึกษา ใหรองทุกขได
ดังนี้

(1) ในกรณีท่ีเหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวง
หรือคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังการตามมติของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือกรณีเหตุรองทุกข
เกดิ จากการถกู ส่งั พักราชการตามมาตรา 103 ใหร องทุกขต อ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปนผูพจิ ารณา

(2) ในกรณีท่ีเหตุรองทุกขเกิดจากปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการ อธิบดีหรือ
ตําแหนงที่เรียกชื่ออยางอ่ืนที่มีฐานะเทียบเทา อธิบดีการบดีหรือตําแหนงที่เรียกชื่ออยางอื่น
ท่ีมีฐานะเทียบเทาผูอํานวยการสํานัก ผูอํานวยกอง ผูอํานวยการสถานศึกษา หรือตําแหนง
ท่ีเรียกชื่ออยางอ่ืนท่ีมีฐานะเทียบเทา ใหรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง และให อ.ก.ค.ศ.
ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง เปน ผพู ิจารณา

ข้นั ตอนการดาํ เนินการ
1. เมื่อไดรับหนังสือรองทุกขแลว ใหสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา หนวยงานหรือ

สวนราชการที่ทําหนาที่เลขานุการ แลวแตกรณี มีหนังสือแจงพรอมท้ังสงสําเนาหนังสือรองทุกข
ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชาสงเอกสาร
หลักฐานที่เกี่ยวขอ งพรอมคาํ ชีแ้ จงไปเพอื่ ประกอบการพิจารณา ภายใน 7 วันทําการ นับแตวันที่
ไดรับหนังสือ

~ 246 ~

 

2. เจาหนาที่ผูรับผิดชอบการพิจารณาเร่ืองรองทุกข ตองตรวจสอบขอเท็จจริงและ
ขอกฎหมาย รวบรวมเอกสารหลกั ฐานทเ่ี ก่ียวของ สรปุ และทําความเห็นเสนอท่ีประชุมพิจารณา

3. ในกรณีท่ีผูรองทุกขขอแถลงการณดวยวาจา หาก อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ.
ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. เห็นวาการแถลงการณดวยวาจาไมจําเปนแกการพิจารณาวินิจฉัย
เรื่องรองทุกข จะใหง ดการแถลงการณดว ยวาจาเสียก็ได

4. ในกรณที น่ี ัดใหผ ูร อ งทกุ ขม าแถลงการณดวยวาจาตอท่ีประชุม ใหแจงใหผูบังคับบัญชา
ผูเปนเหตุแหงการรองทุกขทราบดวยวา ถาประสงคจะแถลงแกก็ใหมาแถลงหรือมอบหมาย
เปนหนังสือใหเจาหนาท่ีท่ีเกี่ยวของเปนผูแทนมาแถลงตอที่ประชุมครั้งนั้นก็ได ทั้งน้ี ใหแจง
ลวงหนา ตามควรแกกรณี และเพื่อประโยชนในการแถลงแกดังกลาว ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุ
แหง การรองทุกขหรือผูแทนเขา ฟง คําแถลงการณด ว ยวาจาของผูรอ งทกุ ขได

การพิจารณาวนิ จิ ฉัยเรอื่ งรอ งทกุ ข
1. ให อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาวินิจฉัย

เรอ่ื งรอ งทุกขใหแลวเสร็จภายใน 30 วนั นับแตว ันไดรับหนังสือรองทุกข และเอกสารหลักฐาน
คําชี้แจงจากผูบังคับบัญชาแลว แตถามีความจําเปนไมอาจพิจารณาใหแลวเสร็จภายในเวลา
ดังกลาว ใหขยายเวลาพิจารณาไดอีกไมเกิน 30 วัน และใหบันทึกแสดงเหตุผลความจําเปน
ที่ตอ งขยายเวลาไวดวย

2. เมื่อครบกําหนดขยายเวลา 30 วันแลว การพิจารณายังไมแลวเสร็จใหขยายเวลา
พจิ ารณาไดอกี ไมเ กนิ 30 วัน แตทั้งน้ีใหพิจารณากําหนดมาตรการท่ีจะทําใหการพิจารณาแลวเสร็จ
โดยเรว็ และบันทึกไวเปน หลักฐานในรายงานการประชมุ ดว ย

3. การพิจารณาเรื่องรองทุกข ให อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง
หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาถึงเหตุแหงการไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ
เน่ืองจากการกระทําของผูบังคับบัญชา หรือเหตุแหงการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน และ
ในกรณีจําเปนและสมควรอาจขอเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวของเพ่ิมเติม รวมท้ังคําชี้แจง

~ 247 ~

 

จากหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอื่นของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ
หรือขอใหผูแทนหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือ
บุคคลใด ๆ มาใหถ อ ยคําหรอื ช้ีแจงขอ เท็จจรงิ เพ่ือประกอบการพจิ ารณาได

4. เม่ือ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ไดพิจารณา
วินจิ ฉยั เร่อื งรอ งทกุ ขแลว

(1) ถาเห็นวาเหตุท่ีทําใหไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ หรือ
การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยน้ัน ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีปฏิบัติตอ
ผูรอ งทุกขชอบดวยกฎหมายแลว ใหม ีมตยิ กคํารอ งทกุ ข

(2) ถาเห็นวาเหตุท่ีทําใหไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ หรือ
การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีปฏิบัติตอ
ผูรองทุกขโดยไมชอบดวยกฎหมาย ใหมีมติเพิกถอนหรือยกเลิกการปฏิบัติหรือใหขอแนะนํา
ตามท่ีเห็นสมควร เพ่ือใหผูบังคับบัญชาปฏิบัติใหถูกตองตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของ
ทางราชการ

(3) ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอ่ืนใด เพ่ือใหมีความถูกตองตามกฎหมาย
และมีความเปน ธรรม ใหม ีมตใิ หด าํ เนนิ การไดตามควรแกกรณี

(4) ถาเห็นวาการรองทุกขไมเปนไปตามหลักเกณฑ กลาวคือ การรองทุกขตองทําเปน
หนังสือลงลายมือช่ือย่ืนภายในเวลา 30 วัน ยื่นตอผูมีอํานาจพิจารณาตามที่กฎหมายกําหนด
ใหมีมตไิ มร ับคํารองทุกข

กรณีผูรองทุกขไมลงลายมือชื่อในหนังสือรองทุกข อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับ
การอุทธรณแ ละการรองทุกข (ทท่ี ําการแทน ก.ค.ศ.) ในคราวประชุมคร้ังที่ 7/2552 เมื่อวันท่ี 24
เมษายน 2552 เห็นวาเปนคํารองทุกขท่ีไมชอบดวยกฎหมายที่จะรับไวพิจารณาวินิจฉัย จึงมีมติ
ไมร ับคํารองทุกขไวพ จิ ารณา

~ 248 ~

 

(5) มติของ อ.ก.ค.ศ.เขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ใหเปนทีส่ ดุ
หากผูรองทุกขยังไมพอใจอาจใชสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองไดภายใน 90 วัน นับแตวันไดรับ
แจงคําวนิ ิจฉัยรองทุกข

5. การพิจารณามีมติขางตน ใหบันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉัยไวในรายงาน
การประชุมดว ย

6. เม่ือไดมีมติดังกลาวแลว ใหผูบังคับบัญชาส่ังหรือปฏิบัติใหเปนไปตามมตินั้น
ในโอกาสแรกท่ีทําได ในกรณีท่ีมีเหตุผลความจําเปนจะใหมีการรับรองรายงานการประชุม
เสียกอ นกไ็ ด และเมื่อไดสัง่ หรอื ปฏิบตั ติ ามมติดงั กลาวแลว ใหแจงใหผูรองทุกขทราบเปนหนังสือ
โดยเร็ว

การนับระยะเวลา
การนับระยะเวลา 30 วัน สําหรับเวลาเร่ิมตนใหนับวันถัดจากวันแรกแหงเวลาน้ัน

เปนวันเริ่มนับระยะเวลา สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ
ใหน ับวันเรม่ิ เปดทําการใหมเ ปน วันสุดทายแหง ระยะเวลา

บรรณานุกรม

สาํ นกั งาน ก.ค.ศ. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. รวมกฎหมาย กฎ ระเบียบการบรหิ ารงานบุคคล
ดา นกฎหมายของขา ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา : โรงพิมพคุรสุ ภา, 2549

สํานกั งานศาลปกครอง. แนวคําวนิ ิจฉัยคดีปกครองเกีย่ วกบั วินยั ขา ราชการ : กรงุ เทพฯ, 2551
สาํ นกั งานศาลปกครอง. บทวเิ คราะหเ หตุแหง การฟอ งคดปี กครองเกี่ยวกบั วินัยขาราชการ, 2549

มลู นิธวิ จิ ยั และพฒั นากระบวนการยตุ ิธรรมทางปกครอง. สรปุ แนวทางการปฏบิ ัติ
ราชการ จากคําวนิ ิจฉัยของศาลปกครองสงู สุด เรอื่ ง การบรหิ ารงานบคุ คลภาครฐั :
บรษิ ทั บพธิ การพิมพ จาํ กัด, 2551
สํานกั งานศาลปกครอง. สรุปหลักปฏิบตั ริ าชการจากคําวนิ ิจฉยั ของศาลปกครองสงู สุด
พ.ศ. 2548 : บรษิ ัทยูเน่ียนอุลตรา ไวโอเร็ต จาํ กดั , 2550
อนันต จินดารตั น. คาํ อธิบายวินยั ขา ราชการครแู ละการออกจากราชการ : โรงพมิ พการศาสนา,
2542
สถาบันวิจยั และใหคําปรกึ ษาแหงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. รายงานการศึกษาวจิ ยั
เรื่อง การพัฒนามาตรฐานโทษทางวินัยสาํ หรับขา ราชการครแู ละบคุ ลากร
ทางการศึกษา : กรุงเทพฯ, 2551
อนันต จนิ ดารัตน. คูม ือการดําเนนิ การทางวนิ ัยสาํ หรับขา ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา
: โรงพิมพก ารศาสนา, 2541
สาํ นกั งานศาลปกครอง. รายงานการปฏบิ ตั ิงานศาลปกครองและสํานกั งานศาลปกครอง
ประจาํ ป 2547
ประวีณ ณ นคร. พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา ราชการพลเรอื น พ.ศ. 2551 สรุปสาระสําคญั
และคาํ อธบิ ายรายมาตรา : สวัสดกิ ารสํานักงาน ก.พ., 2551

~ 250 ~

 

อาํ พล เจริญชวี ินทร. หลกั กฎหมายจากคาํ ส่ังศาลปกครองสูงสดุ พ.ศ. 2544 : สาํ นักพิมพ
นติ ิธรรม, 2544

เอกศกั ด์ิ คงตระกูล. การบริหารงานบคุ คลขาราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา
: วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปท ่ี 6 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม), 2549

สพุ จน แสงครุธ. ศกึ ษากรณกี ารกระทาํ ผดิ วินยั ของขา ราชการครู สงั กดั สาํ นกั งานคณะกรรมการ

การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ระหวา งป พ.ศ. 2535 – 2538 วิทยานพิ นธก ารศึกษาหาบัณฑติ
: มหาวทิ ยาลยั บูรพา, 2541
กาํ พล วนั ทา. อํานาจในการออกคําส่ังลงโทษทางวนิ ยั ขาราชการครู : วทิ ยานิพนธน ิติศาสตร
มหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร, 2543
สตธิ ร ธนานิธโิ ชต.ิ พฤตกิ รรมนิยม (Behavioralism) และสถาบนั นิยม (Institutionalism)
ในการเมืองเรือ่ งการเลือกตงั้ ของไทย : วารสารสถาบันพระปกเกลา ปท ่ี 5 ฉบบั ท่ี 3
กันยายน – ธนั วาคม 2550
สํานกั งาน ก.ค. รายงานการศึกษาแนวทางการพฒั นาครูตามแนวพระราชดาํ รขิ อง
พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู ัว : 2544
สาํ นกั งาน ก.พ. คมู อื การดําเนนิ การทางวินัย : กลมุ โรงพิมพสํานกั บรหิ ารกลาง สาํ นักงาน ก.พ.,
2549
สาํ นักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศกึ ษาธิการ. คมู ือการบริหารงานบคุ คลของขาราชการครแู ละ
บคุ ลากรทางการศกึ ษา : โรงพมิ พ สกสค. ลาดพรา ว, 2552
สํานกั งาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ. คูมือการดําเนินการทางวนิ ยั สําหรับขา ราชการครู
และบคุ ลากรทางการศึกษา : โรงพิมพอ งคก ารคาของ สกสค. , 2550
ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 : นานมบี ุคสพบั ลเิ คช่นั ส
กรงุ เทพมหานคร, 2546

~ 251 ~

 

ไพโรจน สติ ปรีชา. การบริหารงานบคุ คลในราชการพลเรอื นไทย : บรษิ ัทสาํ นกั พิมพ
ไทยวฒั นาพานิช จํากดั กรงุ เทพฯ, 2523

สํานกั งานศาลปกครอง. สรุปแนวทางปฏิบตั ริ าชการจากคําวินิจฉยั ของศาลปกครองสูงสดุ
เรื่อง การบรหิ ารงานบคุ คลภาครฐั : บรษิ ทั บพี ธิ การพิมพ จาํ กัด, 2551

มนูญ สะมาลา. ปญ หาเก่ียวกับการพิจารณาวินยั ขาราชการ : วิทยานพิ นธนิตศิ าสตรมหาบัณฑิต
บัณฑิตวทิ ยาลัย จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลัย, 2539

สวุ รรณ ชนะสงคราม. การทาํ รายงานการสอบสวน, เอกสารอดั สําเนาประกอบการบรรยาย,
2550

สาํ นกั งานปฏิรปู การศกึ ษา. ขอวเิ คราะหเกยี่ วกบั การจดั ระบบองคกรกลางบริหารงานบคุ คล
ในหนว ยงานทางการศกึ ษา : กลมุ งานกฎหมาย กรงุ เทพฯ, 2545

สํานักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ, รายงานการวจิ ัยการศึกษาสภาพและความคาดหวัง
ในการปฏิบตั งิ านของคณะอนกุ รรมการขาราชการครู, 2552

สถาบันวจิ ัยและใหค าํ ปรึกษาแหง มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร. รายงานการศกึ ษาวิจัย
เร่ือง การพัฒนามาตรฐานโทษทางวินัยสําหรบั ขา ราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศึกษา, 2551

สถาบันวจิ ัยและใหค าํ ปรกึ ษาแหงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. รายงานการศกึ ษาวิจยั
เรื่อง การพัฒนากฎหมายวาดวยการบรหิ ารงานบคุ คลของขา ราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศึกษา, 2552

สาํ นักงานกจิ การสตรีและครอบครวั กระทรวงพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย
www.women family.go.th 2 women2/Gender New. 8 มนี าคม 2553

~ 252 ~

 

 
 
 
































































Click to View FlipBook Version