The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรห้องคอม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tonaoao2535, 2021-09-23 01:30:29

หลักสูตรห้องคอม

หลักสูตรห้องคอม

1

หลักสูตร ห้องเรยี นคอมพิวเตอร์

ปรัชญา

ปัจจุบันสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเป็นสื่อที่ช่วยให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยที่ครอบคลุมวิธีการเรียนรู้หลาย
รูปแบบ อาทิเช่น การเรียนรู้บนคอมพิวเตอร์ (Computer Based Learning) การเรียนรู้บนเว็บ (Web-Based
Learning) และห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classrooms) เป็นต้น โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยี
สารสนเทศได้ทกุ ประเภท การศึกษาผ่านสอ่ื เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จงึ เปน็ ส่ือทม่ี ีความสาํ คญั มากสําหรับ การเรียนรู้
ในปัจจุบัน และเติบโตแพร่หลายไปในทั่วโลก เพราะจุดเด่นของการเรียนการสอนผ่านสื่อเทคโนโลยี สารสนเทศ
คือ สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและเนือ้ หาวิชาความรู้ต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งสามารถเพิ่มโอกาสในการ
เรียนร้ขู องผเู้ รยี นนอกหอ้ งเรยี นได้ และระบบการเรยี นรูก้ บั คอมพิวเตอรท์ ดี่ จี ะ สามารถชว่ ยใหผ้ ้เู รียนพฒั นาทักษะไป
ได้รวดเรว็ กว่าการเรยี นในหอ้ งเพยี งอยา่ งเดยี ว

วิสัยทัศน์

หลักสูตรห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ส่งเสริมมุ่งเน้นใหผ้ ู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทีร่ ับบริการที่ศูนย์
การศึกษาพิเศษ ประจำจงั หวัดสมุทรปราการ ได้รับการพฒั นาด้านทกั ษะการใช้ประโยชน์จากคอมพิวเตอร์เบือ้ งต้น

หลกั การ

หลักสูตรห้องเรียนคอมพิวเตอร์ เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ต้องได้รับการ
เตรียมความพรอ้ ม พฒั นาศกั ยภาพ ความสนใจ การลงมอื ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเอง ส่งผลใหผ้ ู้เรียนสามารถพฒั นาทักษะการ
เรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เรียนจะได้นำความรู้หรือทักษะที่ได้รับ ไปต่อยอดพัฒนาทักษะทาง
คอมพิวเตอรด์ ้านอน่ื ๆ ต่อไป

จุดมงุ่ หมาย

1. เพือ่ ให้ผเู้ รยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจในทักษะการฝึกใชค้ อมพิวเตอร์เบ้อื งต้น
2. เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนมีเจตคติทด่ี ีและแสดงพฤติกรรมทแี่ สดงความพึงพอใจต่อการเรียนคอมพวิ เตอร์
3. ผูเ้ รยี นสามารถใช้คอมพวิ เตอร์ผนวกการเรยี นกบั พัฒนาการด้านอ่นื ได้

กลุ่มเป้าหมาย

กลุ่มเป้าหมายตามหลักสูตรปฐมวัยสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ตามประกาศ
กระทรวงศึกษาธกิ าร เรือ่ งกำหนดประเภทหลักเกณฑข์ องคนพกิ ารทางการศกึ ษา พ.ศ. 2562

1. บุคคลท่มี คี วามบกพร่องทางการเห็น ได้แก่ บคุ คลทสี่ ญู เสียการเห็นตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงบอดสนิท
ซ่งึ แบง่ เป็น 2 ประเภท ดังน้ี

2

1.1 คนตาบอด หมายถงึ บุคคลทสี่ ญู เสียการเหน็ มาก จนตอ้ งใชส้ ่อื สัมผัสและส่อื เสยี งหากตรวจวัด
ความชัดของสายตาขา้ งทีด่ ีเมื่อแก้ไขแล้ว อยู่ในระดบั 6 ส่วน 60 (6/60) หรือ 20 ส่วน 200 (20/200) จนถึง
สามารถรับร้เู ร่อื งแสง

1.2 คนเห็นเลอื นราง หมายถงึ บคุ คลท่สี ญู เสียการเห็น แต่ยังสามารถอา่ นอักษรตวั พมิ พข์ ยายใหญ่
ดว้ ยอุปกรณเ์ คร่ืองชว่ ยความพิการ หรือเทคโนโลยีสงิ่ อำนวยความสะดวก หากวดั ความชัดเจนของสายตาข้างดีเมื่อ
แก้ไขแลว้ อย่ใู นระดบั 6 ส่วน 18 (6/18) หรือ 20 สว่ น 70 (20/70)

2. บคุ คลทีม่ ีความบกพร่องทางการไดย้ นิ ได้แก่ บุคคลที่สูญเสียการได้ยินตง้ั แตร่ ะดบั ดูตึงนอ้ ยจนถึงหูหนวก
ซึ่งแบง่ เป็น 2 ประเภท ดังนี้

2.1 คนหูหนวก หมายถึง บคุ คลท่สี ูญเสียการได้ยินมากจนไม่สามารถเข้าใจการพูดผ่านทางการได้
ยนิ ไมว่ ่าจะใส่หรือไม่ใสเ่ ครือ่ งช่วยฟงั ซึง่ โดยท่ัวไปหากตรวจการได้ยินจะมีการสูญเสียการได้ยิน 90 เดซเิ บลขนึ้ ไป

2.2 คนหูตึง หมายถึง บุคคลที่มีการได้ยินเหลืออยู่เพียงพอที่จะได้ยินการพูดผ่านทางการได้ยิน
โดยท่วั ไปจะใส่เคร่อื งช่วยฟัง ซ่งึ หากตรวจตัดการได้ยนิ จะมกี ารสูญเสียการไดย้ นิ นอ้ ยกวา่ 90 เดซเิ บลลงมา ถงึ 26
เดซิเบล

3. บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ได้แก่ บุคคลที่มีความจำกัดอย่างชัดเจนในการปฏบัติตนใน
ปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญร่วมกับความ
จำกัดของทักษะการปรับตัวอีกอย่างน้อย 2 ทักษะ จาก 10 ทักษะ ได้แก่ การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง
การดำรงชีวติ ภายในบ้าน ทกั ษะทางสงั คม/การมีปฏิสัมพนั ธ์กับผู้อนื่ การรู้จักใช้ทรพั ยากรในชมุ ชน การรู้จักดูแล
ควบคุมตนเอง การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวันการทำงาน การใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพอนามัยและ
ความปลอดภยั ทง้ั นไ้ี ดแ้ สดงอาการดังกล่าวก่อนอายุ 18 ปี

4. บุคคลทมี่ ีความบกพรอ่ งทางร่างกายหรือการเคล่อื นไหวหรือสุขภาพ ซงึ่ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ดังนี้
4.1 บคุ คลท่มี ีความบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรือการเคลื่อนไหว ไดแ้ ก่ บคุ คลท่มี อี วยั วะไม่สมส่วน

หรือขาดหายไป กระดูกหรือกล้ามเนื้อผิดปกติ มีอุปสรรคในการเคลื่อนไหว ความบกพร่องดังกล่าวอาจเกิดจาก
โรคทางระบบประสาท โรคของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การไม่สมประกอบมาแต่กำเนิด อุบัติเหตุและ
โรคติดต่อ

4.2 บุคคลที่มีความบกพร่องทางสุขภาพ ได้แก่ บุคคลที่มีความเจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีโรค
ประจำตัวซึง่
จำเป็นตอ้ งได้รับการรกั ษาอย่างต่อเนื่อง และเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา ซ่ึงมผี ลทำให้เกิดความจำเป็นต้องได้รับ
การศกึ ษาพิเศษ
5. บุคคลทมี่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ไดแ้ ก่ บคุ คลที่มีความผิดปกตใิ นการทำงานของสมองบางส่วน
ที่แสดงถึงความบกพร่องในกระบวนการเรยี นรู้ทีอ่ าจเกดิ ขึ้นเฉพาะความสามารถด้านใดดา้ นหนึ่งหรือหลายด้าน
คอื การอ่าน การเขยี น การคดิ คำนวณ ซง่ึ ไม่สามารถเรียนรู้ในด้านที่บกพร่องได้ ทง้ั ทม่ี ีระดบั สติปญั ญาปกติ
6. บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ได้แก่ บุคคลที่มีความบกพร่องในการเปล่งเสียงพูด
เชน่ เสยี งผิดปกติ อตั ราความเร็วและจังหวะการพูดผิดปกติ หรือบุคคลท่มี ีความบกพร่องในเร่อื งความเข้าใจหือ
การใช้ภาษาพูด การเขียนหรือระบบสัญลักษณ์อื่นที่ใช้ในการติดตอ่ สื่อสาร ซึ่งอาจเกี่ยวกบั รูปแบบ เนื้อหาและ
หน้าท่ขี องภาษา
7. บุคคลที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรอื อารมณ์ ได้แก่บุคคลที่มีพฤติกรรมเบีย่ งเบนไปจากปกติ
เป็นอย่างมาก และปญั หาทางพฤติกรรมนน้ั เปน็ ไปอย่างต่อเนอ่ื ง ซงึ่ เปน็ ผลจากความบกพร่องหรือความผิดปกติ
ทางจิตใจหรอื สมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์หรือความคิด เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศรา้ โรคสมองเสื่อม เป็น
ต้น

3

8. บุคคลออทิสติก ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วนซึ่งส่งผลต่อ
ความบกพร่องทางพัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจำกัดดา้ นพฤติกรรม
หรอื มคี วามสนใจจำกัดเฉพาะเรือ่ งใดเรื่องหน่งึ โดยความผดิ ปกตนิ น้ั ค้นพบไดก้ ่อนอายุ 30 เดือน

9. บคุ คลพกิ ารซอ้ น ไดแ้ ก่ บุคคลที่มสี ภาพความบกพรอ่ งหรอื ความพกิ ารมากกว่าหนึง่ ประเภทในบุคคล
เดียวกัน

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์

หลกั สตู รหอ้ งเรียนคอมพิวเตอร์ไดก้ ำหนดคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ดงั นี้
มาตรฐานท่ี 1 ร้จู ักคอมพวิ เตอร์
มาตรฐานท่ี 2 คอมพวิ เตอรเ์ บื้องต้น
มาตรฐานท่ี 3 โปรแกรม Paint

ตังบ่งช้ี
ตัวบ่งชี้เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษที่มีความสัมพันธส์ อดคล้องกับ

มาตรฐานคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
มาตรฐานที่ 1 รจู้ กั คอมพิวเตอร์

ตวั บ่งช้ี 1.1 รูจ้ ักคอมพิวเตอร์
ตวั บ่งชี้ 1.2 การใชง้ านคอมพิวเตอร์
มาตรฐานที่ 2 คอมพวิ เตอรเ์ บือ้ งตน้
ตวั บ่งช้ี 2.1 ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
ตังบง่ ช้ี 2.2 การใช้เมาส์
ตังบ่งช้ี 2.3 การใชแ้ ป้นพมิ พ์
มาตรฐานท่ี 3 โปรแกรม Paint
ตงั บง่ ช้ี 3.1 รจู้ ักโปรแกรม Paint
ตวั บ่งชี้ 3.2 รู้จักเครือ่ งมือในโปรแกรม Paint
ตวั บ่งชี้ 3.3 ลากเสน้ พ้ืนฐานในโปรแกรม Paint
ตัวบง่ ช้ี 3.4 การสรา้ งรูปทรงตา่ งๆในโปรแกรม Paint
ตัวบง่ ช้ี 3.5 การใชส้ ใี นโปรแกรม Paint
ตวั บ่งช้ี 3.6 การวาดรปู ดว้ ยโปรแกรม Paint

สภาพท่ีพึงประสงค์
สภาพทพ่ี ึงประสงค์เปน็ พฤติกรรมหรือความสามารถตามวยั ท่ีคาดหวงั ให้เดก็ เกิด บนพน้ื ฐานพัฒนาการ

ตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแต่ละระดบั อายุ เพ่อื นำไปใช้ในการกำหนดสาระการเรียนรู้ในการจัด
ประสบการณ์ และประเมินพัฒนาการเด็ก โดยมีรายละเอียดของมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้
และสภาพที่พึงประสงค์ ดังนี้

4

มาตรฐานท่ี 1 รู้จักคอมพิวเตอร์

ตวั บ่งชี้ สภาพทีพ่ ่งึ ประสงค์ ประสบการณ์สำคัญ
1.1 รู้จักคอมพวิ เตอร์ 1. ผู้เรียนรู้จกั ว่าคอมพิวเตอร์เปน็
อยา่ งไร 1. เรยี นรจู้ ากบัตรภาพ
1.2 การใช้งานคอมพิวเตอร์ 2. เรยี นรู้จากของจรงิ
1. ผู้เรียนรู้ว่าคอมพิวเตอร์ 3. เรียนรูจ้ ากแบบทดสอบ
สามารถทำอะไรไดบ้ ้าง
2. ผู้เรียนสามารถเปิด – ปิด 1. เรียนรู้จากการฝึกปฏิบัตใิ ช้
คอมพวิ เตอรไ์ ด้อย่างถูกวธิ ี คอมพิวเตอร์ เช่น การเล่น
3. ผู้เรียนรจู้ กั ถงึ อนั ตรายท่ีอาจจะ เกม ดูการ์ตูน ฟังเพลง การ
เกิดขึน้ เมอื่ ใช้งานคอมพิวเตอร์ เปิด – ปดิ คอมพวิ เตอร์
2. ฝึกปฏิบัติสถานการณ์
จำลองให้ผู้เรียนไ ด้ร ู้ว่ า
พฤติกรรมใดที่ไม่ควรทำขณะ
ใช้คอมพิวเตอร์ เชน่ การสัมผสั
บริเวณหลังเคร่ืองคอมพิวเตอร์
การสัมผัสปล๊กั ไฟ การมองใกล้
หน้าจอคอมมากเกินไป เป็น
ต้น

มาตรฐานท่ี 2 คอมพิวเตอรเ์ บือ้ งตน้

ตัวบ่งชี้ สภาพที่พ่งึ ประสงค์ ประสบการณ์สำคญั
2.1 สว่ นประกอบของ 1. เรยี นรู้จากบัตรภาพ
คอมพิวเตอร์ 1. รจู้ กั สว่ นประกอบพืน้ ฐานของ 2. เรียนรู้จากของจรงิ
คอมพิวเตอร์
2. รู้จักหน้าทขี่ องส่วนประกอบ 1. เรยี นรูจ้ ากการฝึกปฏบิ ัติ
พนื้ ฐานของคอมพิวเตอร์
1. เรยี นรูจ้ ากการฝกึ ปฏิบัติ
2.2 การใช้เมาส์ 1. ผเู้ รยี นสามารถลากเมาส์ตามที่
2.3 การใช้แปน้ พมิ พ์ กำหนดได้
2. ผู้เรียน รจู้ ักการคลิกเมาส์

1. ผู้เรียนสามารถใช้แปน้ พมิ พ์
กดปุ่ม ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ได้ถูกต้อง

มาตรฐานที่ 3 โปรแกรม Paint 5

ตวั บง่ ชี้ สภาพทีพ่ ่ึงประสงค์ ประสบการณ์สำคัญ
3.1 รจู้ กั โปรแกรม Paint 1. เรียนรู้จากผู้สอนสาธิตการ
1. ผู้เรียนร้จู กั ลักษณะของ วาดรูปในโปรแกรม Paint ให้
3.2 รู้จักเครื่องมือในโปรแกรม โปรแกรม Paint ดู2. เรียนรู้จากการให้ผู้เรียน
Paint 2. ผ้เู รียนรู้วา่ โปรแกรม Paint ลองใชโ้ ปรแกรม Paint
ทำอะไรไดบ้ า้ ง 1. เรียนรู้จากบัตรภาพและ
3.3 ลากเส้นพื้นฐานใน ของจรงิ
โปรแกรม Paint 1. ผู้เรียนรู้จักเครื่องมือเบื้องต้น 2. ฝึกปฏิบตั ิใชเ้ ครอื่ งมือต่างๆ
ในโปรแกรม Paint เช่น เคร่อื งมือ
การสร้าง เส้นตรง สี่เหลี่ยม 1. ฝึกปฏิบัติการใช้เมาส์
วงกลม สามเหล่ียม การเลอื กสี ลากเสน้ พนื้ ฐานต่างๆ

1. ผูเ้ รยี นสามารถใชเ้ มาส์ลากเสน้ 1. ฝึกปฏิบัติการใช้เมาส์เลือก
พน้ื ฐานตา่ งๆได้ เคร่ืองมือในโปรแกรม Paint
แล้วลากสร้าง รปู ทรง
3.4 การสร้างรูปทรงต่างๆใน 1. ผู้เรยี นสามารถใช้เครอ่ื งมอื ใน 1. ฝึกปฏิบัติการลงสีตามที่
โปรแกรม Paint โปรแกรม Paint สรา้ งรูปทรง กำหนด
วงกลม สเี่ หลีย่ ม สามเหลย่ี มได้ 1. ฝึกปฏิบัติ การวาดรูปตาม
3.5 การใชส้ ใี นโปรแกรม Paint ตวั อยา่ ง
1. ผู้เรยี นสามารถลงสใี น
3.6 การวาดรูปด้วยโปรแกรม โปรแกรม Paint ได้
Paint
1. ผู้เรียนสามารถ วาดรูปตามที่
กำหนดในโปรแกรม Paint ได้

1. การประเมินผลการเรยี นรู้

บันทึกผลการเรียนรู้ จากแบบประเมินระหว่างสอน และหลังการพัฒนาผู้เรียนตามจุดประสงค์โดยมี
เกณฑก์ ารประเมนิ ดงั นี้

ระดับคะแนน เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับคณุ ภาพ
1 ทำไดโ้ ดยมผี อู้ ืน่ พาทำ ปรับปรงุ
2 ทำได้โดยมีการช่วยเหลอื ชี้แนะ จากผอู้ ืน่ พอใช้
3 ทำได้โดยมกี ารช่วยเหลือ ชแ้ี นะ จากผอู้ น่ื บ้างเลก็ นอ้ ย ดี
4 ทำไดด้ ว้ ยตนเอง ดมี าก
5 ทำได้ด้วยตวั เองและเป็นแบบอยา่ งผูอ้ ืน่ ได้ ดเี ย่ยี ม

6

เกณฑ์การผา่ น

ผเู้ รียนสามารถปฏิบตั กิ จิ กรรมตามวัตถุประสงค์ได้ ระดบั 3 4 5 ติดต่อกนั 5 คร้ังขึ้นไป แผนการจดั การ
ศึกษาเฉพาะบุคคลต้องมีการทบทวน ในการประเมินผลการเรียนรตู้ ามจดุ ประสงคท์ ่ีระบุในแผนการจดั การศึกษา
เฉพาะบคุ คล อยา่ งน้อยปีละ 1 คร้ัง เพ่ือการปรับปรุงแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคลของผู้เรียนแต่ละคนให้
เหมาะสม ในการประเมินผลการเรียนรู้นั้น ควรมีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียนให้มากที่สุด เพื่อ
ประกอบการพิจารณาว่าเด็กมีพัฒนาการและศักยภาพที่ดีขึ้น โดยตรวจสอบกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ใน
แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP)

๒. สาระที่ควรเรยี นรู้

สาระที่ควรเรียนรู้ เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดแนวคดิ
หลังจากนำสาระทีค่ วรรู้นัน้ ๆ มาจัดประสบการณใ์ ห้เดก็ เพื่อให้บรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ไม่เน้นการท่องจำ
เนื้อหา ผู้สอนสามารถกำหนดรายละเอียดข้ึนเองให้สอดคลอ้ งกบั วยั ความต้องการ และความสนใจของเด็ก โดยให้
เด็กไดเ้ รยี นรผู้ า่ นประสบการณ์สำคญั ทงั้ นี้ อาจยืดหยนุ่ เนือ้ หาได้ โดยคำนึงถึงประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมในชีวิต
จรงิ ของเด็ก ดงั นี้

๒.๑ เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ช่ือ นามสกุล รูปร่างหน้าตา อวัยวะต่างๆ วิธีระวัง
รักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยที่ดี การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ การระมัดระวังความ
ปลอดภัยของตนเองจากผู้อื่นและภัยใกล้ตวั รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างปลอดภัย การรู้จักประวัติความเป็นมา
ของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและ
ผู้อื่น การรู้จักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การกำกับตนเอง การเล่นและทำสิ่ง
ต่างๆ ด้วยตนเองตามลำพังหรอื กบั ผู้อื่น การตระหนกั รูเ้ กี่ยวกับตนเอง ความภาคภมู ใิ จในตนเอง การสะท้อนการรบั รู้
อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดง
มารยาทที่ดี การมคี ุณธรรมจริยธรรม

๒.๒ เรื่องราวเก่ยี วกบั บุคคลและสถานท่แี วดล้อมเด็ก เดก็ ควรเรียนรเู้ กีย่ วกบั ครอบครัวสถานศึกษา
ชุมชน และบุคคลต่างๆ ท่ีเด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสมั พันธใ์ นชวี ติ ประจำวัน สถานที่สำคัญ วันสำคัญ
อาชีพของคนในชมุ ชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชมุ ชน สญั ลักษณส์ ำคญั ของชาตไิ ทยและการปฏิบัตติ ามวฒั นธรรม
ท้องถ่ินและความเป็นไทย หรือแหล่งเรยี นรูจ้ ากภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ อน่ื ๆ

๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อ ลักษณะ ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและ
ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ำ ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและ
พลงั งานในชวี ิตประจำวันทแ่ี วดลอ้ มเดก็ รวมท้งั การอนุรกั ษส์ ิง่ แวดลอ้ มและการรกั ษาสาธารณสมบัติ

๒.๔ สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรูเ้ กี่ยวกับการใชภ้ าษาเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจำวนั
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการใช้หนังสือและตัวหนังสือ รู้จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปร่าง รูปทรง ปริมาตร
น้ำหนกั จำนวน ส่วนประกอบ การเปลย่ี นแปลงและความสัมพันธ์ของส่งิ ตา่ งๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช้
งาน และการเลือกใช้สิ่งของเครื่องใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการสื่อสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ใน
ชีวิตประจำวนั อยา่ งประหยัด ปลอดภยั และรกั ษาสงิ่ แวดล้อม

7

การจดั ประสบการณ์

การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ แรกเกิดถึง ๖ ปี เป็นการจัดกิจกรรมใน
ลักษณะ การบูรณาการผ่านการเล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลายโดยคำนึงถึงความ
แตกต่างของแต่ละบุคคล ให้เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์
จิตใจ สังคม และสตปิ ัญญา ไม่จดั เปน็ รายวิชา โดยมีหลกั การ และแนวทางการจัดประสบการณ์ ดังนี้

๑. หลักการจดั ประสบการณ์
๑.๑ จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวม อย่าง

สมดุลและต่อเนือ่ ง
๑.๒ เนน้ เด็กเปน็ สำคญั สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลและบริบทของ

สังคมทเ่ี ด็กอาศัยอยู่
๑.๓ จดั ให้เดก็ ได้รับการพฒั นา โดยให้ความสำคญั กับกระบวนการเรยี นรู้และพัฒนาการของเด็ก
๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการจัด

ประสบการณ์ พร้อมท้งั นำผลการประเมินมาพฒั นาเดก็ อยา่ งตอ่ เน่อื ง
๑.๕ ให้พอ่ แม่ ครอบครวั ชมุ ชน และทุกฝ่ายทเ่ี ก่ยี วขอ้ งมีสว่ นร่วมในการพฒั นาเดก็

๒. แนวทางการจัดประสบการณ์
๒.๑ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมอง ที่เหมาะกับ

อายุ วุฒิภาวะและระดับพัฒนาการ เพ่อื ให้เดก็ ทกุ คนไดพ้ ฒั นาเตม็ ตามศกั ยภาพ
๒.๒ จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็กพิการแต่ละประเภท เด็กได้ลงมือ

กระทำ เรียนรู้ผ่านระบบประสาทสัมผัสได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วย
ตนเอง โดยมแี นวการจัดการเรยี นรู้ของเดก็ พกิ ารแตล่ ะประเภท ดงั น้ี

2.2.1 เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการใช้ประสาทสัมผัสที่

เหลอื อยู่ในการทำกจิ กรรม
2.2.2 เด็กที่มีความบกพรอ่ งทางการได้ยนิ ควรจัดการเรยี นรู้ท่ีเนน้ การสื่อสารโดยการใช้ภาษา

มือ ภาษาทา่ ทาง การอา่ นรมิ ฝีปาก การฝึกพดู
2.2.3 เดก็ ทีม่ ีความบกพร่องทางสตปิ ัญญา ควรจัดการเรียนรู้ท่เี น้นการสอนซ้ำๆ สอนจากง่าย

ไปยาก เปน็ ขน้ั ตอน และการวเิ คราะห์งาน
2.2.4 เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ ควรจัดการเรียนรู้ท่ี

เน้นการใชเ้ ทคโนโลยีส่ิงอำนวยความสะดวก
2.2.5 เด็กที่มีความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ ควรจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการจำจากการเห็นและได้

ยิน การเรียงลำดบั การจัดระเบยี บตวั เอง
2.2.6 เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการออกเสียงให้

ชดั เจน การสอื่ สารท่ีผอู้ ่ืนเขา้ ใจได้
2.2.7 เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ควรจัดการเรียนรู้ที่เน้นการควบคุม

พฤตกิ รรมและอารมณ์ของตนเอง การแสดงออกทางพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม
2.2.8 เดก็ ออทิสติก ควรจดั การเรียนรทู้ ี่เนน้ การส่ือสาร การอยรู่ ่วมกันในสงั คม การตอบสนอง

ตอ่ ประสาทสัมผสั ทั้ง 7

8

2.2.9 เดก็ พิการซอ้ น ควรจัดการเรียนร้ทู ่เี น้นตามลกั ษณะความพิการแต่ละประเภท
๒.๓ จัดประสบการณแ์ บบบรู ณาการ โดยบรู ณาการท้งั กจิ กรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้
๒.๔ จัดประสบการณ์ให้เด็กได้ริเริ่มคิด วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำและนำเสนอความคิด โดย
ผู้สอนหรอื ผจู้ ดั ประสบการณ์เปน็ ผู้สนับสนุนอำนวยความสะดวก และเรียนรรู้ ว่ มกับเด็ก
๒.๕ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นกับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการ
เรยี นรใู้ นบรรยากาศทอ่ี บอุ่นมีความสุข และเรียนรู้การทำกิจกรรมแบบรว่ มมอื ในลักษณะต่างๆ กนั
๒.๖ จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ เทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก และแหล่งการ
เรยี นร้ทู ีห่ ลากหลายและอยู่ในวถิ ีชวี ิตของเด็ก สอดคลอ้ งกับบรบิ ท สงั คม และวฒั นธรรมทแ่ี วดล้อมเดก็
๒.๗ จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน ตามแนวทางหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรม และการมีวินัยให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัด
ประสบการณก์ ารเรียนรู้อย่างตอ่ เนอ่ื ง
๒.๘ จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริง โดย
ไม่ได้คาดการณไ์ ว้
๒.๙ จดั ทำสารนทิ ศั น์ด้วยการรวบรวมข้อมลู เกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรูข้ องเด็กเป็นรายบุคคล
นำมาไตรต่ รองและใช้ให้เปน็ ประโยชนต์ ่อการพฒั นาเด็กและการวิจยั ในชน้ั เรยี น
๒.๑๐ จดั ประสบการณ์โดยให้พอ่ แม่ ครอบครัว และชมุ ชนมสี ่วนรว่ มทั้งการวางแผนการสนับสนุนสื่อ
แหลง่ เรียนรู้ การเขา้ ร่วมกิจกรรม และการประเมินพฒั นาการ

๓. การจัดกิจกรรมประจำวัน
กจิ กรรมสำหรบั เดก็ อายแุ รกเกิดถึง ๖ ปี สามารถนำมาจดั เป็นกิจกรรมประจำวนั ได้หลายรปู แบบ เปน็ การ
ช่วยใหผ้ ้สู อนหรอื ผู้จัดประสบการณท์ ราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เม่อื ใด และอย่างไร ทั้งน้ี การจัดกิจกรรม
ประจำวนั สามารถจัดได้หลายรูปแบบ ข้นึ อยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน
ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจดั กจิ กรรมให้ครอบคลุมพฒั นาการทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจำวนั มีหลักการจัด
และขอบข่ายของกจิ กรรมประจำวัน ดงั นี้

๓.๑ หลกั การจดั กิจกรรมประจำวัน
3.1.๑ กำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กในแต่ละ

วนั แตย่ ืดหย่นุ ได้ตามความตอ้ งการและความสนใจของเดก็ เช่น
วัย ๓-๔ ปี มคี วามสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที
วัย ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที
วยั ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที

3.1.๒ กิจกรรมทีต่ ้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่องนานเกิน
กวา่ ๒๐ นาที

3.1.๓ กิจกรรมทเี่ ดก็ มอี ิสระเลือกเลน่ เสรี เพ่อื ช่วยให้เดก็ รู้จกั เลือก ตัดสนิ ใจคิดแก้ปัญหา คิด
สรา้ งสรรค์ เชน่ การเล่นตามมุม การเลน่ กลางแจง้ ฯลฯ ใชเ้ วลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที

3.1.๔ กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กจิ กรรมทใ่ี ชก้ ล้ามเนื้อ
ใหญแ่ ละกลา้ มเนื้อเลก็ กจิ กรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มยอ่ ยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมทเ่ี ดก็ เปน็ ผรู้ ิเริม่ และผู้สอน หรือผู้
จัดประสบการณ์เปน็ ผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้กำลังและไมใ่ ช้กำลัง จัดให้ครบทุกประเภท ทั้งนี้ กิจกรรมที่ต้องออก
กำลงั กายควรจัดสลับกับกิจกรรมท่ีไม่ตอ้ งออกกำลังมากนัก เพ่ือเดก็ จะได้ไม่เหนื่อยเกนิ ไป

๓.๒ ขอบข่ายของกิจกรรมประจำวนั

9

การเลอื กกิจกรรมที่จะนำมาจัดในแต่ละวนั สามารถจดั ไดห้ ลายรปู แบบ ทั้งน้ี ข้ึนอยู่กบั ความเหมาะสม
ในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุม
พฒั นาการทุกด้าน ดงั ตอ่ ไปนี้

๓.๒.๑ การพัฒนากลา้ มเนือ้ ใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยนุ่ ความ
คล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่น
อสิ ระกลางแจ้ง เลน่ เครอื่ งเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอสิ ระ เคล่อื นไหวรา่ งกายตามจังหวะดนตรี

๓.๒.๒ การพัฒนากล้ามเน้อื เลก็ เป็นการพฒั นาความแข็งแรงของกล้ามเน้ือเลก็ กลา้ มเน้ือมือ-
นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมอื และระบบประสาทตามือได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสมั พันธ์
กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับ
ช้อนส้อม และใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ศิลปะ เช่น สเี ทียน กรรไกร พกู่ ัน ดนิ เหนียว ฯลฯ

๓.๒.๓ การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝังให้เด็กมี
ความรู้สึกที่ดีตอ่ ตนเองและผู้อืน่ มีความเชื่อมัน่ กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา
เอื้อเฟ้ือ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบตั ิตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาท่ีนับถือโดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเล่น
ให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนองความต้องการ ได้ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม
อยา่ งตอ่ เน่ือง

๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่าง
เหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวัน มีนิสัยรักการทำงาน
ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติ
กิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทำความสะอาดร่างกาย เล่นและ
ทำงานรว่ มกับผอู้ นื่ ปฏิบตั ิตามกฎกตกิ าข้อตกลงของส่วนรวม เก็บของเข้าทเ่ี มือ่ เลน่ หรือทำงานเสรจ็

๓.๒.๕ การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาความคิด
รวบยอด และคดิ เชิงเหตุผลทางคณติ ศาสตรแ์ ละวทิ ยาศาสตร์ โดยจัดกจิ กรรมให้เดก็ ได้สนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยน
ความคดิ เหน็ เชิญวทิ ยากรมาพดู คุยกับเด็ก ศกึ ษานอกสถานท่ี เล่นเกมการศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
ฝึกออกแบบและสรา้ งขน้ึ งาน และทำกิจกรรมท้ังเปน็ กลุ่มย่อย กล่มุ ใหญ่ และรายบุคคล

๓.๒.๖ การพฒั นาภาษา เปน็ การพฒั นาให้เด็กใชภ้ าษาส่อื สารถา่ ยทอดความรู้สึกนึกคดิ ความรู้
ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคำถามในสิ่ง ที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มี
ความหลากหลายในสภาพแวดลอ้ มท่ีเอื้อตอ่ การเรียนรู้ มงุ่ ปลูกฝงั ใหเ้ ดก็ ไดก้ ล้าแสดงออกในการฟงั พดู อ่าน เขียน
มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักการจัดกจิ กรรม
ทางภาษาท่เี หมาะสมกบั เด็กเป็นสำคญั

๓.๒.๗ การสง่ เสริมจนิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความคิดริเร่ิม
สรา้ งสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สกึ และเห็นความสวยงามของสิง่ ต่างๆ โดยจัดกจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์ ดนตรี
การเคลื่อนไหวและจงั หวะตามจนิ ตนาการ ประดิษฐ์สิง่ ต่างๆ อย่างอิสระ เล่นบทบาทสมมติ เล่นน้ำ เล่นทราย เล่น
บล็อก และเล่นก่อสรา้ ง

เทคโนโลยสี ่ิงอำนวยความสะดวก สือ่ และแหลง่ เรยี นรู้

การจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิการ ต้องใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ และแหล่งเรียนรู้ ที่

สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษ ของแต่ละบุคคล รวมทั้งการใช้แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น มาใช้

ประกอบในการจดั การเรียนรู้ ท่สี ามารถส่งเสรมิ และส่ือสารให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้ โดยศูนยก์ ารศึกษาพิเศษ ควรจัด

ให้มีอยา่ งเพยี งพอ เพือ่ พฒั นาให้เดก็ พกิ ารเกิดการเรียนรูอ้ ยา่ งแทจ้ ริง

10

เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ และแหล่งเรียนรู้นั้น ผู้สอนสามารถจัดทำและพฒั นาข้ึนเอง หรือ
พิจารณาเลอื กใช้จากคู่มอื รายการสิ่งอำนวยความสะดวก สอ่ื บริการ และ ความชว่ ยเหลืออ่นื ใดทางการศึกษามาใช้
ประกอบในการจัดการเรียนรู้ สามารถส่งเสริมและสื่อสาร ให้เด็กพิการเกิดการเรียนรู้ โดยศูนย์การศึกษาพิเศษ
ควรจัดใหม้ อี ย่างเพียงพอ เพ่อื พฒั นาใหเ้ ดก็ พกิ ารเกิดการเรยี นร้อู ยา่ งแทจ้ รงิ ควรดำเนนิ การดังน้ี

๑. จดั ให้มแี หล่งเรียนรู้ ศูนย์ส่ือ นวตั กรรม และเครือข่ายการเรยี นรู้ที่มีประสทิ ธิภาพ ในสถานศึกษา
และชุมชน เพ่ือการศึกษา คน้ ควา้ และการแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศกึ ษา ทอ้ งถิน่ ชุมชน

๒. จัดทำ จัดหาเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กพิการ ส่งเสริมให้ผู้สอน
จดั ทำ จัดหาสือ่ ท่ีหลากหลาย รวมทัง้ ประยุกต์ใชส้ ่ิงที่มอี ยูใ่ นท้องถ่นิ เป็นส่ือการเรยี นรู้

๓. เลือกใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เหมาะสม และหลากหลาย
สอดคลอ้ งกบั วิธีการเรยี นรแู้ ละความแตกต่างของแตล่ ะบุคคล

๔. ประเมินความเหมาะสมคุณภาพของเทคโนโลยีสิง่ อำนวยความสะดวก สือ่ ทเ่ี ลือกใช้ในการจัดการ
เรยี นรู้

๕. ศกึ ษาคน้ คว้า วิจัย เพ่ือพฒั นาเทคโนโลยสี ิ่งอำนวยความสะดวก สื่อการเรยี นรู้ ให้สอดคลอ้ งกบั การ
พฒั นาเดก็ พิการ

๖. จดั ใหม้ ีการกำกับ ติดตาม ประเมนิ คุณภาพ การใช้เทคโนโลยีสง่ิ อำนวยความสะดวก ส่ือ และแหล่ง
เรยี นรอู้ ย่างสมำ่ เสมอ

ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมนิ คณุ ภาพเทคโนโลยีสง่ิ อำนวยความสะดวก สื่อ และแหล่งเรียนรู้
ที่ใช้ในศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ควรคำนึงถงึ หลักการสำคัญ เช่น ความสอดคล้องกับหลักสูตร จุดประสงค์การเรยี นรู้
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจดั ประสบการณ์ เปน็ ต้น

การประเมินพฒั นาการ

การประเมินพัฒนาการเดก็ ท่มี ีความต้องการจำเปน็ พิเศษ อายุแรกเกดิ ถึง ๖ ปี เป็นการประเมินพัฒนาการ
ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยใช้แบบประเมินที่หลากหลาย โดยนักสหวิชาชีพ
รวมท้งั ผปู้ กครองเปน็ ผ้ใู ห้ข้อมลู และรว่ มประเมนิ ทัง้ นโ้ี ดยใช้กรอบมาตรฐาน ตัวบ่งช้ี และสภาพที่พึงประสงค์ รวมท้ัง
เทคโนโลยีสง่ิ อำนวยความสะดวก ตามความตอ้ งการจำเปน็ ก่อนการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อนำมาใช้ในการ
วางแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อพัฒนาและทบทวนแผนให้
สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของแต่ละบุคคล และเมื่อสิ้นสุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อประเมิน
ความสามารถตามวตั ถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ทั้งนีน้ ักสหวิชาชีพและ
ผปู้ กครองต้องรว่ มกันประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตามมาตรฐานและตวั บ่งช้ีที่กำหนดไว้ในหลักสูตรตามช่วง
อายุ

11

1. แนวทางการประเมนิ พฒั นาการ
หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัยสำหรับเด็กท่ีมีความตอ้ งการจำเปน็ พเิ ศษ กำหนดเป้าหมายคุณภาพของเด็กโดย

ยึดพัฒนาการเด็กปฐมวยั ดา้ นร่างกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ญั ญา ดงั น้ี

1.1 การประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย การประเมินน้ำหนักส่วนสูง และเส้นรอบ
ศีรษะตามเกณฑ์ สุขภาพอนามัย สุขนิสัยที่ดี การรู้จักความปลอดภัย การเคลื่อนไหว และการทรงตัว การเล่นและ
การออกกำลังกาย และการใช้กลา้ มเนอ้ื เล็กอยา่ งประสานสัมพันธก์ ัน

1.2 การประเมินพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการ
แสดงออกทางอารมณ์อยา่ งเหมาะสมกับวัยและสถานการณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผูอ้ ื่น มีความเหน็ อกเห็นใจ
ความสนใจ ความสามารถ และมีความสุขในการทำงานศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว ความรับผิดชอบในการ
ทำงาน ความซื่อสัตย์สุจริตและรู้สึกถูกผิด ความเมตตากรุณา มีน้ำใจและช่วยเหลือแบ่งปัน ตลอดจนการประหยดั
อดออมและพอเพยี ง

1.3 การประเมินพัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย การประเมินความมีวินัยในตนเอง การ
ช่วยเหลอื ตนเองในการปฏิบตั ิกจิ วตั รประจำวนั การระวังภยั จากคนแปลกหน้าและสถานการณ์ทเ่ี สี่ยงอนั ตราย การ
ดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การมีสัมมาคาราวะและมารยาทตามวัฒนธรรมไทย รักความเป็นไทย การ
ยอมรับความเหมือนความแตกต่างระหว่างบุคคล การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น การปฏิบัติตนเบื้องต้นในการเป็น
สมาชิกที่ดขี องสังคมในระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ

1.4 การประเมนิ พฒั นาการด้านสตปิ ญั ญา ประกอบด้วย การประเมินความสามารถในการสนทนา
โตต้ อบและเลา่ เร่ืองใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจ ความสามารถในการอา่ น เขยี นภาพ และสัญลกั ษณ์ ความสามารถในการคดิ รวบ
ยอด การคดิ เชงิ เหตุผล การคิดแกป้ ัญหาและตัดสินใจ การทำงานศิลปะ การแสดงท่าทาง/เคลอื่ นไหวตาม
จนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ การมีเจตคติทด่ี ีต่อการเรียนรแู้ ละความสามารถในการแสวงหาความรู้

1.5 พัฒนาทกั ษะจำเป็นเฉพาะความพกิ ารแตล่ ะประเภท
1.5.1 การประเมินทักษะจำเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการเหน็ ประกอบดว้ ย ความสามารถใน

การบูรณาการประสาทสัมผัสทเ่ี หลืออยใู่ นการดำรงชวี ติ ความสามารถในการสรา้ งความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
และการเคล่อื นไหวของคนตาบอด การเตรยี มความพร้อมในการอา่ น และเขยี น อักษรเบรลล์ ความสามารถในการ
อา่ นและเขียนอักษรเบรลล์พยัญชนะไทยทม่ี ีเซลล์เดียวและตวั เลข และความสามารถในการใชล้ กู คดิ

1.5.2 การประเมินทกั ษะจำเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการได้ยนิ ประกอบดว้ ย ความสามารถใช้
และดแู ลเคร่ืองชว่ ยฟัง ความสามารถใช้การได้ยินทีห่ ลงเหลืออยู่ในชวี ิตประจำวนั ความสามารถเปล่งเสียงหรอื พูด
ตามแบบ ความสามารถอ่านรมิ ฝปี าก ความสามารถใช้ภาษาท่าทางและภาษามอื ในการส่อื สาร และความสามารถ
สะกดน้วิ มือ

1.5.3 การประเมินทักษะจำเป็นเฉพาะความบกพร่องทางสติปัญญา ประกอบด้วย ความสามารถ
สื่อสารได้เหมาะสมกับสถานการณ์ ความสามารถดูแลตนเองและความปลอดภัยในชีวติ ประจำวัน การมีปฏิสัมพันธ์
ทางสังคมกบั ผอู้ ่ืนอย่างเหมาะสม การรูจ้ ักใชท้ รพั ยากรในชุมชน

1.5.4 การประเมินทกั ษะจำเป็นเฉพาะความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคล่ือนไหว หรือสุขภาพ
ประกอบด้วย การดูแลสุขอนามัยเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน ความสามารถใช้และดูแลรักษาอุปกรณเ์ ครื่องช่วยใน
การเคลื่อนย้ายตนเอง ความสามารถใช้และดูแลรักษากายอุปกรณ์เสริม กายอุปกรณ์ อุปกรณ์ดัดแปลง
ความสามารถใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องช่วยในการเรียนรู้ และการควบคุมอวัยวะที่ใช้ในการพูด
การเคีย้ ว และการกลนื

12

1.5.5 การประเมนิ ทักษะจำเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการเรยี นรู้ ประกอบด้วย ความสามารถใน
การรับรู้การได้ยิน ความสามารถในการรับรู้การเห็น ความสามารถในการจัดลำดบั ความคิด ความสามารถในการจัด
ระเบยี บตนเอง และความสามารถในการบอกตำแหนง่ /ทศิ ทาง

1.5.6 การประเมินทักษะจำเป็นเฉพาะความบกพร่องทางการพูดและภาษา ประกอบด้วย
ความสามารถควบคุมอวัยวะในการออกเสียง สามารถออกเสียงตามหน่วยเสียงได้ชัดเจน สามารถเปล่งเสียงให้
เหมาะสมกับธรรมชาตขิ องแตล่ ะคน และความสามารถควบคมุ จังหวะการพูด

1.5.7 การประเมินทักษะเป็นเฉพาะความบกพร่องทางพฤติกรรมหรืออารมณ์ ประกอบด้วย
ความสามารถจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ความสามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้อย่างเหมาะสม และ
ความสามารถปรับตัวในการอยรู่ ว่ มกบั สังคม

1.5.8 การประเมินทักษะจำเป็นเฉพาะบุคคลออทิสติก ประกอบด้วย การตอบสนองต่อสิ่งเร้าจาก
ประสาทสัมผัสได้เหมาะสม ความสามารถในการเข้าใจภาษาและแสดงออกทางภาษาได้อย่างเหมาะสม และการ
แสดงพฤตกิ รรมท่ีเหมาะสมตามสถานการณ์

2. ขั้นตอนการประเมิน
การประเมินพัฒนาการเพื่อนำไปใช้ในการวางแผนการจัดการศึกษาตามหลักสูตรปฐมวัยสำหรับเด็กที่มี
ความตอ้ งการจำเป็นพิเศษ ควรมีการประเมินพฒั นาการโดยใชแ้ บบประเมินท่ีหลากหลาย โดยนกั สหวชิ าชีพ รวมทั้ง
ผู้ปกครองเป็นผู้ให้ข้อมูลและร่วมประเมิน ทั้งนี้โดยใช้กรอบมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ รวมท้ัง
เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก ตามความต้องการจำเป็น ทั้งก่อน ระหว่างและสิ้นสุดการจัดประสบการณ์การ
เรยี นรู้ ดังต่อไปนี้

2.1 การประเมินพัฒนาการในแตล่ ะชว่ งอายุ
2.๑.๑ ศึกษาและทำความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย

ด้านอารมณ์ จติ ใจ ด้านสงั คม และดา้ นสติปัญญา พิจารณากิจกรรมในการอบรมเล้ียงดู ลักษณะความพกิ ารของเด็ก
แตล่ ะประเภท การจดั ประสบการณ์ทีส่ ะท้อนพัฒนาการของเดก็

2.๑.๒ วางแผนเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับใช้บันทึกและประเมินพัฒนาการ

โดยใช้แบบประเมนิ ความสามารถพน้ื ฐาน เดก็ ทีม่ คี วามต้องการจำเป็นพิเศษของศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัด

สมทุ รปราการ และแบบประเมนิ หรือแบบทดสอบมาตรฐานของนักสหวิชาชพี แบบบันทกึ พฤติกรรม เหมาะท่ีจะใช้

บนั ทึกพฤติกรรมของเด็ก การบันทึกรายวนั เหมาะกบั การบนั ทึกกิจกรรมหรือประสบการณ์ทเี่ กิดขึน้ ในแต่ละวนั การ

บันทึกการเลอื กของเด็กเหมาะสำหรับบันทกึ ลักษณะเฉพาะและปฏกิ ิริยาทเ่ี ดก็ มีต่อส่งิ ต่างๆรอบตวั เปน็ ตน้ ด้วยเหตุ

นี้จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่หรือผู้ดูแลที่จะเลือกใช้เครื่องมือประเมินพัฒนาการให้เหมาะสม เพื่อจะได้ผลของ

พัฒนาการทีถ่ กู ต้องตามพัฒนาการ

2.๑.๓ ดำเนินการประเมินและบันทึกพัฒนาการหลังจากที่ได้วางแผนและเลือกเครื่องมือที่จะใช้
ประเมินและบันทึกพัฒนาการแล้ว ก่อนจะลงมือประเมินและบันทึกจะต้องอ่านคู่มือหรือคำอธิบายวิธีการใช้
เครอื่ งมือนัน้ ๆอยา่ งละเอียด แล้วจึงดำเนินการตามขัน้ ตอนท่ีปรากฏในคู่มือ และบนั ทึกเป็นลายลักษณอ์ ักษรต่อไป

2.๑.๔ ประเมินและสรุป ในการประเมินและสรุปนั้นพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลจะต้องเก็บ
รวบรวมข้อมูลของสิ่งที่ต้องการประเมิน เชน่ การประเมินพฒั นาการดว้ ยวธิ ีการสังเกต เครื่องมอื ท่ีใชค้ ือ แบบสังเกต
วธิ ีการสนทนา เคร่ืองมือทีใ่ ช้คือแบบบนั ทึกการสนทนา อาจเปน็ การบนั ทึกการสนทนาระหว่างเด็กกับเด็ก หรือเด็ก
กับครู พิจารณาผลงานโดยเปรียบเทียบกับพฒั นาการ การประเมินควรประเมนิ หลายๆคร้งั เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูลว่าเด็กมี
พฒั นาการอย่างไร ทำอะไรได้มากน้อยเพียงใด และสรุปผล

13

2.๑.๕ รายงานผลการประเมิน เมื่อได้ผลจากการประเมินและสรุปพัฒนาการของเด็กแล้ว พ่อแม่
หรือ ผู้ดแู ลจะต้องตดั สินใจวา่ จะรายงานข้อมลู นไี้ ปยงั ผูใ้ ดและเพ่ือจุดประสงค์อะไร และจะต้องใชร้ ปู แบบใด สำหรับ
การอบรมเลี้ยงดูตามวถิ ีชวี ิตประจำวันโดยพอ่ แม่ ผดู้ ูแล มกี ารประเมนิ พัฒนาการเพ่อื เฝ้าระวงั และเป็นข้อมูลในการ
พบแพทย์ และอาจนำไปใช้ในการอบรมเลี้ยงดูและจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ สำหรับผู้ดูแล
เด็กในศูนย์การศึกษาพิเศษ จะต้องรายงานต่อผู้บริหารศูนย์การศึกษาพิเศษ เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมหรือ
ประสบการณ์ที่ศูนย์การศึกษาพิเศษจัดให้เด็กนั้นส่งเสรมิ พัฒนาการของเดก็ ทุกด้านได้ตามจุดประสงค์หรือไม่ เพื่อ
นำไปปรับปรงุ แก้ไขการจดั กจิ กรรมให้เหมาะสมกบั เดก็ ต่อไป

2.1.6 ครูผู้สอนจะต้องรายงานผลของการประเมินพัฒนาการ ตามแบบรายงานผลการพัฒนา
ผเู้ รียนไปยังผู้ปกครองเดก็ และถ้าผ้ดู แู ลเดก็ มีข้อเสนอแนะหรือจะขอความร่วมมือจากผูป้ กครองเก่ยี วกับการส่งเสริม
พฒั นาการเด็กก็อาจเขียนเพ่ิมเติมลงไปในสมดุ รายงานได้ และต้องคำนึงเสมอไมว่ า่ จะใช้แบบรายงานใดขอ้ มูลควรจะ
มคี วามหมาย เกิดประโยชนแ์ ก่เด็กเปน็ สำคญั

2.๑.7 การมีสว่ นร่วมของผูป้ กครองเปน็ สิ่งสำคญั มาก ผูด้ ูแลเด็กต้องตระหนกั ว่าการทำงานร่วมกับ
ผูป้ กครองเกยี่ วกับการพัฒนาเด็กเป็นเรื่องสำคัญ ผดู้ ูแลเด็กควรยกยอ่ งผู้ปกครองท่พี ยายามมีส่วนร่วมในการพัฒนา
เด็ก ผู้ดูแลเดก็ จะต้องตอ้ นรับผู้ปกครองทมี่ าศนู ย์การศึกษาพิเศษ ขอบคณุ สำหรับความช่วยเหลือ เขียนสมุดส่ือสาร
ถึงผู้ปกครองเพื่อรายงานเรื่องเด็ก พูดคุยด้วยตนเอง ทางโทรศัพท์หรือทางแอพพลิเคชั่นทางการสื่อสารอื่นๆ ส่ิง
เหล่านี้จะทำให้ผู้ปกครองรู้สึกถึงความสำคัญของตนเองและตอ้ งการทีจ่ ะมีส่วนร่วมกับผู้ดูแลเด็กในการพัฒนาเดก็
ของตน

2.2 การประเมนิ มาตรฐาน ตวั บง่ ช้ี สภาพท่ีพงึ ประสงค์
ผู้สอนต้องวิเคราะห์มาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ และกำหนดสิ่งที่ประเมินจากการจัด

ประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เพื่อวางแผนการประเมินพัฒนาการ ดังนี้
2.2.1 การวเิ คราะหม์ าตรฐาน ตัวบง่ ช้ี สภาพท่ีพงึ ประสงค์
การนำหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การจัดประสบการณ์ ได้มีการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้รายปีที่

สอดคล้องของมาตรฐาน ตัวบ่งชี้ สภาพที่พึงประสงค์ สาระการเรียนรู้และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ เพื่อกำหนด
หน่วยการเรียนรู้ โดยการนำสภาพท่พี ึงประสงค์ทไ่ี ด้จากการวเิ คราะหม์ ากำหนดเปน็ จุดประสงค์การเรยี นรู้ของหน่วย
การเรียนรู้นั้นๆ และกำหนดกิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม ได้แก่ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมศิลปะ
สร้างสรรค์ กจิ กรรมการเลน่ ตามมมุ กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ กจิ กรรมการเลน่ กลางแจ้ง เกมการศกึ ษา

2.2.2 การกำหนดประเดน็ การประเมิน
เป็นการกำหนดพัฒนาการที่ต้องการประเมิน คือ สภาพที่พึงประสงค์ที่นำมากำหนดเป็น

จุดประสงคก์ ารเรยี นรขู้ องหน่วยการเรียนรซู้ ่ึงครอบคลมุ พฒั นาการทั้ง 4 ดา้ น และทกั ษะที่จำเป็นเฉพาะความพิการ
ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ และเช่ือมโยงไปยงั จดุ ประสงคข์ องแผนการจดั ประสบการณใ์ นแต่ละวนั ดังน้ันประเดน็ การ
ประเมินจงึ ประกอบไปด้วยจดุ ประสงค์ของแผนการจัดประสบการณ์ท่ีสอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ของหน่วย
การเรยี นรนู้ ้นั ๆ

3. วิธกี ารและเคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการประเมนิ พฒั นาการ
เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการประเมินพัฒนาการเด็ก ครผู สู้ อนตอ้ งวางแผนและกำหนดวธิ ีการประเมนิ ให้เหมาะสม

กับกิจกรรม ใช้การสังเกตพฤติกรรม การประเมินผลงาน/ช้ินงาน การพูดคุย หรือสัมภาษณ์เด็ก วิธีการที่ครูผู้สอน
เลือกใชต้ อ้ งมากกวา่ 2 วิธกี าร หรือใชว้ ิธกี ารทห่ี ลากหลาย เช่น

1) การสังเกตและการบนั ทึก
2) การบันทึกการสนทนา

14

3) การสัมภาษณ์
4) สารนทิ ศั นส์ ำหรับเดก็ เพอ่ื การประเมนิ พฒั นาการ
5) การประเมนิ การเจริญเติบโต
6) การประเมนิ ผลงานและชนิ้ งาน
7) ฯลฯ

4. เกณฑก์ ารประเมิน
ในการวดั และประเมนิ ผลมวี ธิ กี ารและเกณฑ์การประเมนิ ดังนี้

๑. วิธีการวัดและประเมินผล ใช้การสังเกตพฤติกรรม และประเมินผลการเรียนรู้ตามจุดประสงค์เชิง

พฤติกรรมของพัฒนาการแต่ละด้านที่กำหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือแผนให้บริการช่วยเหลือ

เฉพาะครอบครวั

๒. เกณฑ์ในการประเมินผล ซง่ึ จะนำไปส่กู ารสรปุ ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ดำเนนิ การประเมินจุดประสงค์

เชิงพฤติกรรมที่กำหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือ แผนให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว

คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน โดยมีเกณฑ์ดังตอ่ ไปนี้

๑) ด้านพฒั นาการ ตัดสนิ คุณภาพผเู้ รียนเป็น ๕ ระดับ คือ ดีเย่ยี ม ดมี าก ดี พอใช้ และปรับปรุง

๒) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ตัดสินเป็น ๕ ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้

และปรับปรงุ

๓) ด้านกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น ให้ตดั สินเปน็ ผา่ นและไมผ่ า่ น

5. การดำเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
เมอื่ ผ้สู อนวางแผนการประเมินพฒั นาการแลว้ ควรทำการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็นรายบคุ คล หรือราย
กลุ่ม ดว้ ยวธิ ีการทหี่ ลากหลาย เชน่ การพดู คุย หรอื สัมภาษณ์เด็ก หรอื การประเมนิ ผลงาน/ชิน้ งาน ของเดก็ อย่างเป็น
ระบบ เพอ่ื รวบรวมข้อมูลพฒั นาการของเดก็ ใหค้ รอบคลุมเดก็ ทุกคนแล้วสรุปลงในแบบบนั ทึกผลการประเมินสภาพที่
พงึ ประสงค์
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ ผู้สอนควรเก็บรวบรวม
ข้อมูลเป็นรายบุคคล โดยสภาพที่พึงประสงค์ 1 ข้อ ควรได้รับการประเมนิ พัฒนาการอย่างน้อย 2 ครั้งต่อ 1 ภาค
เรยี น ระยะแรกควรเป็นการประเมนิ เพื่อความก้าวหนา้ ไม่ควรเป็นการประเมนิ เพอ่ื ตัดสนิ พัฒนาการของเด็ก ดังนั้น
การเก็บรวบรวมข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการตามสภาพที่พึงประสงค์จึงเป็นการสะสมเพื่อยืนยันว่าเด็กเกิด
พฒั นาการตามสภาพท่พี ึงประสงค์น้นั ๆ ชัดเจนและมคี วามน่าเช่ือถอื
6. การสรุปผลการประเมินพัฒนาการเดก็
ศูนย์การศึกษาพิเศษ ควรสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กรายตัวบ่งชี้ รายมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ และในภาพรวมของพัฒนาการรายด้าน ภาคเรียนละ 1 ครั้ง สำหรับแนวทางการสรุปผลการประเมิน
พัฒนาการเด็กตามสภาพที่พึงประสงค์ในแต่ละตัวบ่งชี้ โดยคำนึงถึงปรัชญาการศึกษา และหลักการของหลักสูตร
การศกึ ษาปฐมวยั สำหรบั เดก็ ที่มคี วามต้องการพิเศษ รวมทั้งการนำข้อมูลผลการประเมินไปใช้เพือ่ พัฒนาเด็กต่อไป

7. การรายงานผลการประเมินพฒั นาการและการนำข้อมูลไปใช้
การรายงานผลการประเมินพัฒนาการเป็นการสื่อสารให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องได้ทราบ

ความกา้ วหนา้ ในการเรียนรู้ของเด็ก ซึง่ สถานศกึ ษาตอ้ งสรุปผลการประเมนิ พฒั นาการและจัดทำเอกสารรายงานให้
ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ หรืออย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง การรายงานผลการประเมินพัฒนาการสามารถ

15

รายงานเป็นระดับคณุ ภาพตามพฤตกิ รรมที่แสดงออกถึงพัฒนาการแต่ละด้าน ที่สะท้อนมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ทั้ง 13 ข้อตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพเิ ศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ
ประจำจงั หวดั สมทุ รปราการ

แนวทางการใช้หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยสำหรับเด็กทม่ี คี วามต้องการจำเป็นพเิ ศษ

1. ศึกษาหลักสตู ร
ศึกษามาตรฐาน ตวั บง่ ช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์ ในแตล่ ะช่วงอายุจรงิ หรอื อายพุ ัฒนาการของเด็ก

2. รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกับตวั เด็ก
ประวัตคิ รอบครัว ประวตั ทิ างการแพทย์ ประวัตทิ างการศกึ ษา ประเภทความพิการ

3. ประเมินพฒั นาการเด็ก
3.1 แบบประเมินความสามารถพื้นฐาน เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษของศูนย์การศึกษาพิเศษ

ประจำจังหวดั สมทุ รปราการ ตน้ ปกี ารศึกษาหรือต้ังแต่เริ่มเข้ารบั บริการโดยครแู ละผูป้ กครอง
3.2 ใชแ้ บบประเมินหรอื แบบทดสอบมาตรฐานทห่ี ลากหลาย โดยนกั สหวชิ าชีพ
3.3 รวบรวมข้อมูลทไ่ี ด้จากการประเมนิ มาจดั ทำแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล (IEP)

4. จดั ทำแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP)
4.1 การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) ควรมกี ารแต่งตั้งคณะกรรมการจดั ทำแผนการ

จัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล และตรวจสอบหรือประเมนิ พัฒนาการ
4.2 การจัดทำแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) มอี งคป์ ระกอบดงั นี้
4.2.๑ ข้อมูลทว่ั ไป
4.2.๒ ขอ้ มลู ดา้ นการแพทยห์ รอื ดา้ นสขุ ภาพ
4.2.๓ ขอ้ มูลด้านการศึกษา
4.2.๔ ขอ้ มลู อ่ืนๆ ทจี่ ำเป็น
4.2.๕ การกำหนดแนวทางการศกึ ษาและการวางแผนการจดั การศึกษาพิเศษ
4.2.๖ ความต้องการด้านสิ่งอำนวยความสะดวก เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ
และความช่วยเหลืออน่ื ใดทางการศกึ ษา
4.2.๗ คณะกรรมการจดั ทำแผน

4.2.๘ ความเหน็ ของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผูเ้ รยี น
5. จดั ทำแผนการสอนเฉพาะบคุ คล (IIP)

นำจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (เป้าหมายระยะสั้น) ที่กำหนดในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล มา
ดำเนินการจัดทำแผนการสอนเฉพาะบุคคล โดยการวิเคราะห์งานหรือกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการเรียงลำดับ
กิจกรรมทงี่ ่ายไปสู่กจิ กรรมท่ียากขึน้ หรือกจิ กรรมทีเ่ ปน็ รูปธรรมไปสกู่ ิจกรรมที่เป็นนามธรรม ให้เหมาะสมกับความ
ต้องการจำเปน็ พเิ ศษของผเู้ รียนแตล่ ะบคุ คล

6. จดั ทำแผนการจดั ประสบการณ์
6.1 ศึกษามาตรฐาน ตัวบ่งชี้ และสภาพที่พึงประสงค์ ตามช่วงอายุของเด็ก เพื่อนำมาจัดทำแผนการจัด

ประสบการณ์

16

6.2 จัดทำแผนการจัดประสบการณ์อย่างหลากหลาย ครอบคลุมสภาพที่พึงประสงค์ ซึ่งเปลี่ยนเป็น
จุดประสงค์การเรียนรู้ใหค้ รบทกุ สภาพที่พงึ ประสงค์ในช่วงอายจุ รงิ หรอื อายพุ ัฒนาการ

7. จดั กิจกรรมการเรยี นรู้
7.1 จัดกจิ กรรมตามแผนการจัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมหลกั 6 กจิ กรรม ได้แก่ กจิ กรรมเคล่อื นไหว

และจังหวะ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมการเล่นตามมุม กิจกรรมเสริมประสบการณ์ กิจกรรมการเล่น
กลางแจง้ เกมการศึกษา หรือใชร้ ูปแบบการจัดประสบการณ์ตามท่ีศนู ย์การศกึ ษาพิเศษกำหนดในการพฒั นาเดก็

7.2 ในการจดั กิจกรรมใหค้ ำนงึ ถงึ แผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) ของเด็กแต่ละคน เพอื่ ให้
สอดคลอ้ งกับความต้องการจำเปน็ ตามทีว่ างแผนไว้

7.3 ในบางทักษะท่ีจำเปน็ เฉพาะความพิการหรือบางทักษะท่เี ป็นปัญหาของเด็ก อาจตอ้ งจดั การเรียน
การสอนเปน็ รายบุคคล

8. ประเมนิ พฒั นาการ
8.1 ประเมนิ ตามแผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) ซงึ่ มี 5 ระดบั เป็นระบบตวั เลข คือ 5, 4, 3, 2, 1 และ

เป็น ระดับคุณภาพ คอื ดีเย่ียม, ดีมาก, ด,ี พอใช,้ ควรส่งเสริม อยา่ งนอ้ ยภาคเรียนละ 1 ครัง้
8.๒ ประเมินอายพุ ัฒนาการเมอ่ื สนิ้ ปกี ารศกึ ษา เพอื่ เปรียบเทียบกบั ตน้ ปกี ารศกึ ษา

9. สรปุ และรายงานผล
9.1 สรุปผลการประเมินเปา้ หมายระยะสั้นและระยะยาวในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และ
รายงานผู้บรหิ าร และผปู้ กครอง
9.2 สรุปผลการประเมินพัฒนาการทัง้ 4 ดา้ นและทกั ษะทีจ่ ำเป็นเฉพาะความพกิ าร ตามมาตรฐาน ตวั บ่งช้ี
และสภาพท่ีพงึ ประสงคใ์ นชว่ งอายุของเดก็ ทุกมาตรฐานและรายงานผูบ้ ริหาร และผปู้ กครอง
9.3 สรุปผลการประเมินอายพุ ัฒนาการเด็ก และรายงานผู้บริหาร และผู้ปกครอง

การสรา้ งรอยเชื่อมต่อระหวา่ งการศกึ ษาระดับปฐมวยั กบั ระดับประถมศกึ ษาปีท่ี ๑

การสร้างรอยเชื่อมต่อระหวา่ งการศึกษาระดับปฐมวัยกบั ระดับประถมศึกษาปที ี่ ๑ โรงเรยี นเฉพาะความ
พิการ หรือโรงเรียนจัดการเรียนรวม หรอื ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษในระดบั ท่สี งู ข้นึ มีความสำคญั อยา่ งย่ิง ส่งผลดีต่อการ
เรียนรขู้ องเดก็ ปฐมวัยในการปรบั ตัวรับการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี สามารถพัฒนาการเรยี นรไู้ ดอ้ ย่างราบรน่ื การ
เช่อื มตอ่ ของการศกึ ษาระดับปฐมวัยกับระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ หรือระดบั ทีส่ ูงข้นึ จะประสบผลสำเร็จได้ บุคลากร
ทุกฝา่ ยทเี่ ก่ียวขอ้ งตอ้ งดำเนนิ การดังตอ่ ไปนี้

๑. ผ้บู รหิ ารสถานศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทเป็นผู้นำในการสร้างรอยเชื่อมต่อระหว่างหลักสูตร

การศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ โดยต้องศึกษาหลักสูตรท้ัง
สองระดับ เพื่อทำความเข้าใจและจัดระบบการบริหารงานด้านวิชาการที่จะเอื้อต่อการเชื่อมต่อการศึกษา โดย
ดำเนินการดงั นี้

๑.๑ จัดประชุมผู้สอนระดับปฐมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษา ร่วมกันสร้างความเข้าใจรอย
เชื่อมต่อของหลกั สตู รท้ังสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เพอ่ื ผู้สอนทง้ั สองระดบั จะได้เตรยี มการสอนได้
สอดคลอ้ งกับเดก็ วัยนี้

17

๑.๒ จัดหาเอกสารหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของทั้งสองระดับมาไว้ให้ผู้สอนและบุคลากร
อนื่ ๆ ได้ศกึ ษาทำความเข้าใจ อย่างสะดวกและเพียงพอ

๑.๓ จดั กิจกรรมให้ผสู้ อนทง้ั สองระดบั มีโอกาสแลกเปลย่ี นและเผยแพร่ความรใู้ หม่ๆ รว่ มกนั
๑.๔ จัดหาสื่อ วัสดุอปุ กรณ์ และจัดสภาพแวดล้อมท่ีสง่ เสริมการสรา้ งรอยเช่ือมตอ่
๑.๕ จดั กจิ กรรมให้ความรู้ กิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบตา่ งๆ และจัดทำเอกสารเผยแพร่ให้กับพ่อแม่
ผปู้ กครองอยา่ งสมำ่ เสมอ เพื่อใหพ้ อ่ แม่ ผปู้ กครองเข้าใจการศกึ ษาทงั้ สองระดับและให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือ
เดก็ ให้สามารถปรับตวั เข้ากบั สภาพแวดลอ้ มใหมไ่ ดด้ ี
ในกรณที โี่ รงเรียนไม่มีช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๑ ในสถานศึกษาของตนเอง ผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษาควรประสาน
กับสถานศึกษาที่คาดว่าเด็กจะไปเข้าเรียน เพื่อสร้างความเข้าใจให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ในการช่วยเหลือเด็กสามารถ
ปรบั ตัวเขา้ กับสถานศกึ ษาใหมไ่ ด้

๒. ผสู้ อนระดบั ปฐมวยั
ผ้สู อนระดับปฐมวัยต้องศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน การจดั การเรียนการสอนในช้ัน

ประถมศึกษาปีที่ ๑ และสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองและบุคลากรอื่นๆ รวมทั้งช่วยเหลือเด็กในการ
ปรบั ตวั กอ่ นเล่อื นขน้ึ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ โดยผูส้ อนควรดำเนินการ ดงั นี้

๒.๑ เก็บรวบรวมขอ้ มลู เกีย่ วกบั ตัวเด็กเปน็ รายบุคคลเพอ่ื สง่ ต่อผู้สอนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี ๑ ซ่ึงจะทำ
ใหผ้ ้สู อนระดบั ประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลนนั้ ช่วยเหลอื เดก็ ในการปรบั ตวั เข้ากบั การเรียนรใู้ หมต่ อ่ ไป

๒.๒ พูดคุยกับเด็กถึงประสบการณ์ที่ดีๆ เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓
เพ่ือใหเ้ ด็กเกดิ เจตคตทิ ีด่ ีต่อการเรียนรู้

๒.๓ จดั ใหเ้ ดก็ ได้มีโอกาสทำความรู้จกั กับผู้สอน ตลอดจนการสำรวจสภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศ
ของหอ้ งเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๑

๒.๔ จัดสื่อ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือที่เหมาะสมกับวัยเดก็ ที่ส่งเสรมิ ให้เด็กได้เรียนรูแ้ ละมีประสบการณ์
พ้ืนฐานที่สอดคล้องกับรอยเชอื่ มตอ่ ในการเรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๑

๓. ผ้สู อนระดับประถมศึกษา
ผู้สอนระดบั ประถมศึกษาตอ้ งมีความรู้ ความเข้าใจในพฒั นาการเด็กปฐมวยั และมเี จตคติที่ดีตอ่ การจัด

ประสบการณต์ ามหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย เพื่อนำมาเปน็ ข้อมูลการพัฒนาการจัดการเรียนรรู้ ะดับชนั้ ประถมศึกษา
ปีที่ ๑ ใหต้ อ่ เน่อื งกับการพฒั นาเดก็ ในระดบั ปฐมวัย โดยควรดำเนนิ การ ดังน้ี

๓.๑ จดั กิจกรรมให้เดก็ พอ่ แม่ และผ้ปู กครอง มโี อกาสไดท้ ำความรจู้ กั คุน้ เคยกบั ผสู้ อนและหอ้ งเรียน
ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๑ กอ่ นเปิดภาคเรยี น

๓.๒ จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดบั ปฐมวัย โดยจัดให้มีมุมประสบการณ์ภายใน
ห้อง เพื่อให้เดก็ ไดม้ ีโอกาสทำกิจกรรมได้อย่างอสิ ระ เช่น มุมหนังสือ มุมของเล่น มุมเกมการศึกษา เพื่อช่วยให้เด็ก
ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ ได้ปรบั ตวั และเรยี นรูจ้ ากการปฏบิ ตั ิจริง

๓.๓ จัดกิจกรรมรว่ มกนั กับเด็กในการสร้างข้อตกลงเกีย่ วกับการปฏบิ ัติตน
๓.๔ จัดกจิ กรรมชว่ ยเหลอื สง่ เสริมการเรยี นรใู้ ห้กบั เดก็ ตามความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล
๓.๕ เผยแพรข่ ่าวสารดา้ นการเรียนร้แู ละสร้างความสมั พนั ธ์ที่ดีกับเด็ก พอ่ แม่ ผู้ปกครอง และชมุ ชน
๔. พ่อแม่ ผูป้ กครอง
พ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมการศึกษาของบุตรหลาน และ
เพื่อชว่ ยบตุ รหลานของตนเองในการศกึ ษาตอ่ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ ๑ ควรดำเนินการดงั นี้
๔.๑ ศกึ ษาและทำความเขา้ ใจหลักสตู รของการศกึ ษาท้งั สองระดับ

18

๔.๒ จัดหาหนงั สอื อปุ กรณ์ทีเ่ หมาะสมกับวัยเด็ก
๔.๓ มปี ฏสิ มั พันธ์ทด่ี ีกบั บุตรหลาน ให้ความรัก ความเอาใจใส่ ดูแลบตุ รหลานอยา่ งใกล้ชิด
๔.๔ จัดเวลาในการทำกจิ กรรมรว่ มกบั บุตรหลาน เชน่ เลา่ นิทาน อ่านหนังสอื รว่ มกัน สนทนาพดู คุย
ซักถามปัญหาในการเรียน ให้การเสริมแรงและใหก้ ำลงั ใจ
๔.๕ ร่วมมือกบั ผ้สู อนและสถานศึกษาในการช่วยเตรียมตัวบุตรหลาน เพ่อื ช่วยให้บุตรหลานปรับตัว
ได้ดขี ้ึน

การส่งตอ่

การส่งต่อ เป็นการประสานงานระหว่างศูนย์การศึกษาพิเศษกับหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เด็ก
พิการได้รับบริการที่เหมาะสม เช่น บริการทางการแพทย์ บริการทางสังคม บริการทางศึกษา โดยประสานงาน
ระหวา่ งโรงเรียนจัดการเรยี นรวม โรงเรยี นเฉพาะความพกิ าร หน่วยบรกิ ารของศนู ยก์ ารศกึ ษาพิเศษ ศูนย์พฒั นาเด็ก
เลก็ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั เมอ่ื เด็กพิการมผี ลการพัฒนาศกั ยภาพผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนด
ให้ส่งต่อเขา้ สูร่ ะบบการศึกษาในชัน้ เรยี นทีส่ ูงขนึ้ เมื่อยา้ ยสถานศกึ ษา หรือรับบริการดา้ นอื่นๆให้ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ
นำส่งแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แบบรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เพื่อเป็นข้อมูลในการจัด
การศึกษาหรือบรกิ ารดา้ นอน่ื ๆต่อไป

การกำกับ ติดตาม ประเมนิ และรายงาน

การจัดการศึกษาปฐมวัยมีหลักการสำคัญในการให้สังคม ชุมชน มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและ
กระจายอำนาจการศึกษาลงไปยังทอ้ งถิน่ โดยตรง โดยเฉพาะสถานศกึ ษาหรอื สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ซงึ่ เปน็ ผจู้ ดั การ
ศึกษาในระดบั น้ี ดังนัน้ เพื่อให้ผลผลิตทางการศกึ ษาปฐมวยั มีคณุ ภาพตามมาตรฐาน คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์และ
สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม จำเป็นต้องมีระบบการกำกับ ติดตาม ประเมินและรายงานที่มี
ประสิทธิภาพ เพอ่ื ใหท้ ุกกล่มุ ทุกฝ่ายทมี่ ีส่วนร่วมรบั ผิดชอบในการจดั การศกึ ษา เห็นความกา้ วหนา้ ปัญหา อุปสรรค
ตลอดจนการให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน วางแผน และดำเนินงานการจัดการศึกษาปฐมวัยให้มี
คณุ ภาพอยา่ งแท้จริง

การกำกบั ติดตาม ประเมินและรายงานผลการจัดการศกึ ษาปฐมวัยเป็นสว่ นหน่งึ ของกระบวนการบริหาร
การศึกษา กระบวนการนเิ ทศ และระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่
การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย สร้างความมั่นใจให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยต้องมีการดำเนินการที่เป็น
ระบบเครือข่ายครอบคลุมทั้งหน่วยงานภายในและภายนอก ในรูปแบบของคณะกรรมการ ท่ีมาจากบุคคลทุกระดับ
และทุกอาชีพ การกำกับ ติดตาม และประเมินผลต้องมีการรายงานผลจากทุกระดับให้ทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชน
ทว่ั ไปทราบ เพอ่ื นำขอ้ มูลจากรายงานผลมาจดั ทำแผนพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษาหรอื สถานพฒั นาเด็ก
ปฐมวยั ตอ่ ไป

19

บรรณานกุ รม
ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ ส่วนกลาง กรงุ เทพมหานคร หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั สำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็น
พเิ ศษ ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ 2562
ศนู ย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวดั สมุทรปราการ หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั สำหรับเด็กท่ีมีความต้องการ
จำเปน็ พิเศษ ศูนย์การศกึ ษาพิเศษ 2562

20

ภาคผนวก

- แบบประเมนิ ความสามารถ
- แผนการจัดการเรียนรู้
- แบบประเมินผลการจดั การเรยี นรู้และแบบบันทกึ หลงั สอน

21

แบบประเมนิ ความสามารถ ห้องเรยี นคอมพิวเตอร์

ช่ือ – สกุลผูเ้ รยี น…………………………………………………………………………………………………………………………
ห้อง......................................................................................................................... ....................................

วนั ทป่ี ระเมนิ ................................................................................................................................................

คำช้แี จ้ง ใหผ้ ู้ประเมินทำเครอ่ื งหมาย ลงในช่องผลการประเมนิ ทต่ี รงกบั ความสามารถของผู้เรยี น

เน้อื หา ขอ้ ท่ี กิจกรรม ผลการประเมนิ ผลการประเมิน หมายเหตุ
ก่อนการพฒั นา หลงั การพัฒนา

ทำได้ ทำไมไ่ ด้ ทำได้ ทำไมไ่ ด้

มาตรฐานท่ี 1 รู้จักคอมพวิ เตอร์

1.1 รจู้ กั 1 รู้จกั คอมพวิ เตอร์

คอมพิวเตอร์

1.2 การใช้งาน 1 ฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์

คอมพวิ เตอร์ 2 ดูการ์ตนู หรือ อืน่ ๆ จาก

คอมพวิ เตอร์

3 รู้ถงึ อันตรายทเ่ี กิดขึน้ จาก

เครอ่ื งใช้ไฟฟา้

มาตรฐานท่ี 2 คอมพวิ เตอร์เบือ้ งต้น

2.1 สว่ นประกอบ 1 รู้จัก จอคอมพวิ เตอร์

ของคอมพวิ เตอร์ 2 ร้จู ัก เมาส์คอมพิวเตอร์

3 รู้จกั แป้นพิมพ์

คอมพิวเตอร์

2.2 การใชเ้ มาส์ 1 จบั เมาสใ์ นท่าทถี่ ูกตอ้ ง

2 ลากเมาสไ์ ปในตำแหนง่ ท่ี

กำหนด

3 คลิกเมาส์ 1 ครงั้

4 คลิกเมาสค์ ้างแล้วลาก

2.3 การใช้ 1 กดปุม่ บังคับ ข้ึน ลง ซ้าย

แปน้ พมิ พ์ ขวา

2 กดตัวเลขในแปน้ พมิ พ์

ตามท่ีกำหนด

22

เน้อื หา ข้อท่ี กจิ กรรม ผลการประเมนิ ผลการประเมิน หมายเหตุ
กอ่ นการพฒั นา หลังการพฒั นา

ทำได้ ทำไม่ได้ ทำได้ ทำไม่ได้

มาตรฐานท่ี 3 โปรแกรม Paint

1.1 รจู้ กั 1 รู้จกั คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ ฟงั เพลงจากคอมพวิ เตอร์
ดกู าร์ตนู หรือ อืน่ ๆ จาก
1.2 การใชง้ าน 1 คอมพวิ เตอร์
รถู้ ึงอันตรายทีเ่ กิดข้ึนจาก
คอมพิวเตอร์ 2 เครอื่ งใช้ไฟฟ้า
ลากเมาสไ์ ปในตำแหน่งท่ี
3 กำหนด
คลกิ เมาส์ 1 ครั้ง
2 คลิกเมาส์ค้างแลว้ ลาก

3
4


Click to View FlipBook Version