The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ ๑ภาษากับวัฒนธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by woraporn.pro, 2020-05-12 02:49:04

บทที่ ๑ภาษากับวัฒนธรรม

บทที่ ๑ภาษากับวัฒนธรรม

บทท่ี ๑
ภาษากบั วฒั นธรรม

โดย วรพร พรหมใจรักษ์

ภาษากบั วฒั นธรรม

•๑.ความหมายของภาษา
•๒. ความสาคัญของภาษา
•๓. ลักษณะท่วั ไปของภาษา

ความหมายของภาษา
•๑.ถ้อยคําท่ีใช้พดู หรือเขยี นเพ่อื สอ่ื ความหมายของคนกลมุ่
ใดกลมุ่ หนงึ่ หรือวงการใดวงการหนงึ่ .
•๒.เสียง ตวั หนงั สอื หรือกิริยาอาการทสี่ ือ่ ความหมายได้.

•ทีม่ า : Google Crome

ความหมายของภาษา

•ภาษา ในความหมายอย่างกว้าง หมายถึง กิริยาอาการที่
แสดงออกมาแล้วสามารถทําความเข้าใจกนั ได้ ไม่วา่ จะ
เป็นระหวา่ งมนษุ ย์กบั มนษุ ย์ มนษุ ย์กบั สตั ว์ หรือสตั ว์กบั
สตั ว์ สว่ นภาษาในความหมายอยา่ งแคบนนั้ หมายถึง
เสียงพดู ทมี่ นษุ ย์ใช้ส่อื สารกนั เทา่ นนั้

•ทม่ี า : วกิ ิพีเดีย

ความหมายของภาษา

•ภาษา คือ "ถ้อยคาํ ทใ่ี ช้พดู หรือเขียนเพื่อสอื่ ความของชน
กลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือเพอ่ื สือ่
ความเฉพาะวงการ เชน่ ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย
ภาษาธรรม; เสียง ตวั หนงั สอื หรือกิริยาอาการทีส่ ื่อความ
ได้ เชน่ ภาษาพดู ภาษาเขียน ภาษาทา่ ทาง ภาษามือ“

•ท่ีมา : พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554

ความหมายของภาษา

• อุดม วิโรตม์สิกขดติ ย์(๒๕๔๗ : ๑-๒) กล่าวว่า ภาษา หมายถงึ การส่ือความหมายท่ตี ้องมี
เสียง ความหมาย ระบบ กฏเกณฑ์ท่ยี อมรับกนั ท่วั ไป หรืออีกนัยหน่ึงกล่าวว่า ภาษาต้องมี
โครงสร้ าง(Structure)

• มยุเรศ รัตนานิคม(๒๕๔๒ : ๓) กล่าวว่า ภาษา หมายถงึ รหสั ชนิดหน่ึงซ่งึ มนุษย์ใช้ส่ือ
ความหมายระหว่างกนั ในการทากจิ กรรมต่าง ๆ โดยผ่านส่ือท่เี ป็ นเสียงสัญลักษณ์ตามท่ไี ด้ตกลง
ยอมรับกันในสังคมของผู้ใช้รหสั เดยี วกันนัน้ เสียงสัญลักษณ์ดงั กล่าวจะต้องมีระบบแบบแผนท่ี
แน่นอนและมีความสัมพนั ธ์กันกับระบบความหมายอนั เป็ นความหมายท่สี ามารถเข้าใจตรงกนั ได้
ในหมู่ชนนัน้ ๆ

• นอกจากนีย้ ังมนี ักวชิ าการทงั้ ในและต่างประเทศได้ให้ความหมายของภาษาในแนวทางเดียวกนั
เช่น โรแนลด์ วอร์ดอฟ(Ronald Wardhaugh . ๑๙๗๒ : ๓), จอห์น์ บี แครอลล์
(John B. Caroll. ๑๙๓๕ : ๑๐), เอซี กิมสัน(A.C. Gimson. ๑๙๗๐ : ๓), พัชรี
โภคาสัมฤทธ์(ิ ๒๕๒๙ : ๑), พณิ ทพิ ย์ ทวยเจริญ (๒๕๒๕ : ๑), วจิ นิ ต์ ภาณุพงศ์(๒๕๒๒ : ๖) เป็ น
ต้น

• ท่มี า : พมิ ล มองจันทร์ ,ภาษาคืออะไร?

สรุปความหมายของภาษา

• กล่าวโดยสรุป ภาษา หมายถงึ การวางเง่อื นไขในการส่ือสารของ
กลุ่มหรือสังคมนัน้ ๆ โดยเข้าใจร่วมกันว่าเง่อื นไขหรือรหสั ท่ี
กาหนดไว้หมายถงึ อะไร ซ่งึ ใช้ส่ือสารความคดิ ความเข้าใจและ
ความรู้สึกของผู้ส่ือไปยังผู้รับโดยอาศัยเง่อื นไขท่กี าหนดไว้(ภาษา)
เป็ นเคร่ืองส่ือความโดยภาษาต้องประกอบด้วยระบบ ความหมาย
และโครงสร้างเพ่อื ให้เข้าใจตรงกัน ผู้อย่ใู นกลุ่มหรือสังคมนัน้ ๆ
จงึ ต้องเรียนรู้ภาษาซ่งึ กันและกัน แต่บางครัง้ ส่ิงท่เี กดิ จาก
สัญชาตญาณกอ็ าจเป็ นภาษาได้เช่น ภาษาสัตว์ ภาษาดนตรี
ภาษานก เป็ นต้น

ความหมายของภาษา

•รากศพั ท์

•คาํ วา่ "ภาษา" ในภาษาไทยนนั้ มาจากภาษาบาลี
ภาสา และ ภาษาสนั สกฤต ภาษา

•คาํ วา่ ภาษาในภาษาองั กฤษ ใช้คําวา่ language
ซง่ึ มาจากรากศพั ท์ภาษาละตินวา่ lingua แปลวา่
ลิน้ (tongue)

ความสาคัญของภาษา

• ภาษาเป็นเคร่ืองมือที่ใช้ในการสอ่ื สารของมนษุ ย์ มนษุ ย์ตดิ ตอ่ กนั ได้ เข้าใจกนั ได้กด็ ้วยอาศยั ภาษาเป็น
เครื่องชว่ ยทดี่ ีทีส่ ดุ

• ภาษาเป็นสิง่ ชว่ ยยดึ ให้มนษุ ย์มีความผกู พนั ตอ่ กนั เน่ืองจากแตล่ ะภาษาตา่ งก็มีระเบียบแบบแผนของตน
ซงึ่ เป็นทต่ี กลงกนั ในแตล่ ะชาตแิ ตล่ ะกลมุ่ ชน การพดู ภาษาเดียวกนั จงึ เป็นสงิ่ ท่ที ําให้คนรู้สกึ วา่ เป็นพวก
เดียวกนั มคี วามผกู พนั ตอ่ กนั ในฐานะทเ่ี ป็นชาติเดียวกนั

• ภาษาเป็นวฒั นธรรมอย่างหนงึ่ ของมนษุ ย์ และเป็ นเคร่ืองแสดงให้เหน็ วฒั นธรรมสว่ นอื่นๆของมนษุ ย์ด้วย
เราจงึ สามารถศกึ ษาวฒั นธรรมตลอดจนเอกลกั ษณ์ของชนชาติต่างๆได้จากศกึ ษาภาษาของชนชาตนิ นั้ ๆ

• ภาษาศาสตร์มีระบบกฎเกณฑ์ ผ้ใู ช้ภาษาต้องรักษากฎเกณฑ์ในภาษาไว้ด้วยอย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์ใน
ภาษานนั้ ไมต่ ายตวั เหมือนกฎวทิ ยาศาสตร์ แตม่ ีการเปลีย่ นแปลงไปตามธรรมชาติของภาษา เพราะเป็นสิ่ง
ทมี่ นษุ ย์ตงั้ ขนึ ้ จงึ เปลยี่ นแปลงไปตามกาลสมยั ตามความเหน็ ชอบของสว่ นรวม

• ภาษาเป็นศลิ ปะ มีความงดงามในกระบวนการใช้ภาษา กระบวนการใช้ภาษานนั้ มีระดบั และลลี า ขนึ ้ อยู่
กบั ปัจจยั ตา่ งๆหลายด้าน เชน่ บคุ คล กาลเทศะ ประเภทของเร่ืองฯลฯ การทีจ่ ะเข้าใจภาษา และใช้ภาษาได้
ดจี ะต้องมีความสนใจศกึ ษาสงั เกตให้เข้าถงึ รสของภาษาด้วยองค์ประกอบของภาษา

• ทมี งานทรูปลกู ปัญญา

ความสาคญั ของภาษา

• ภาษามีความสาํ คญั ตอ่ มนษุ ย์มาก เพราะนอกจากจะเป็นเคร่ืองมือใน
การสอื่ สารแล้ว ยงั เป็นเคร่ืองมือของการเรียนรู้และการพฒั นาความคิด
ของมนษุ ย์และเป็นเครื่องมอื ถา่ ยทอดวฒั นธรรมและการประกอบอาชีพ
ที่สาํ คญั ภาษาช่วยเสริมสร้างความสามคั คขี องคนในชาตอิ กี ด้วยเพราะ
ภาษาเป็นถ้อยคาํ ท่ีใช้ในการสอ่ื สารสร้างความเข้าใจกนั ในสงั คม ภาษา
จงึ มีประโยชน์มากมาย ได้แก่ ภาษาชว่ ยธํารงสงั คม ภาษาแสดงความ
เป็นปัจเจกบคุ คล ภาษาชว่ ยให้มนษุ ย์พฒั นา ภาษาช่วยกําหนดอนาคต
ภาษาช่วยจรรโลงใจ
• ที่มา : นายสมศกั ด์ิ ทองชว่ ย สาขาวิชาภาษาไทย โรงเรียนมหิดลวิทยา
นสุ รณ์

ความสาคัญของภาษา

•๑. ภาษาชว่ ยธํารงสงั คม การอย่รู ่วมกนั ของมนษุ ย์ในสงั คม
หนง่ึ ๆ นนั้ จะมีความสขุ ได้ต้องรู้จกั ใช้

•ภาษาแสดงไมตรีจิตความเอือ้ เฟื อ้ เผื่อแผต่ อ่ กนั การ
ทกั ทายกนั พดู คยุ กนั แสดงกฎเกณฑ์ทางสงั คมที่จะปฏบิ ตั ิ
ร่วมกนั การประพฤติตนให้เหมาะสมแก่ฐานะของตนใน
สงั คมนนั้ ๆ ทาํ ให้สามารถธํารงสงั คมนนั้ อย่ไู ด้ไมป่ ่ันป่ วน
วนุ่ วายจนถึงกบั เสื่อมสลายไปในทสี่ ดุ

ความสาคญั ของภาษา

• ๒. ภาษาแสดงความเป็นปัจเจกบคุ คลคอื แสดงให้เหน็ ถงึ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของ
บคุ คลให้เห็นว่า

• บคุ คลมอี ปุ นิสยั รสนิยม สตปิ ัญญาความคดิ ความอา่ นแตกตา่ งกนั ไป เชน่ คนหนงึ่
อาจพดู วา่ “ฉนั เหน่ือยเหลือเกิน ฉนั ไม่เดนิ ตอ่ ไปอกี แล้ว” อกี คนหนง่ึ อาจพดู วา่
“เหน่ือย ได้ยินไหม เหนื่อยจะตายอยแู่ ล้ว ยงั จะให้เดนิ ตอ่ ไปอีก”อีกคนหนง่ึ อาจพดู
วา่ “เหน่ือยจงั หยดุ พกั กนั กอ่ นเถอะ” สว่ นอกี คนหนง่ึ พดู วา่ “ฉนั วา่ พกั เหนื่อยสกั
ประเดยี๋ ว แล้วคอ่ ยไปตอ่ ดไี หมจ๊ะ” เมือ่ วเิ คราะห์วธิ ีพดู หรือการใช้ภาษาของบคุ คล
เหลา่ นีอ้ าจอนมุ านอปุ นิสยั ของผ้พู ดู วา่ น่าจะเป็นดงั นี ้

• คนแรก ยดึ ตนเป็นที่ตงั้ คนท่ีสองมกั ชอบตําหนิผ้อู น่ื คนท่ีสามมอี ปุ นิสยั ชอบชกั ชวน
หรือเสนอแนะ สว่ นคนสดุ ท้ายมอี ปุ นิสยั ออ่ นโยน รับฟังความคิดเหน็ ของคนอืน่ เป็น
ต้น

ความสาคญั ของภาษา

• ๓. ภาษาชว่ ยพฒั นามนษุ ย์ มนษุ ย์ใช้ภาษาในการถา่ ยทอดความรู้
ความคิด และประสบการณ์

• ให้แก่กนั และกนั ทําให้มนษุ ย์มีความรู้กว้างขวางมากขนึ ้ และเป็น
รากฐานในการคดิ ใหม่ ๆ เพ่ือทําให้ชีวิตความเป็นอยแู่ ละสงั คมมนษุ ย์
พฒั นาขนึ ้

• ๔. ภาษาชว่ ยกําหนดอนาคต การใช้ภาษาสามารถกําหนดอนาคต เช่น
การวางแผน การทําสญั ญาการพพิ ากษาการพยากรณ์การทํา
กําหนดการตา่ ง ๆ สงิ่ ตา่ งเหลา่ นี ้ทําให้เรารู้วา่ อนาคตจะเกิดอะไรขนึ ้
บ้างกบั สงั คมนนั้ ๆ หรือกระทงั่ กบั โลกใบนี ้

ความสาคญั ของภาษา

• ๕. ภาษาชว่ ยจรรโลงใจ ทําให้เกิดความช่ืนบาน มนษุ ย์พอใจท่ีอยากจะได้
ยนิ เสยี งไพเราะ จงึ ได้มีการนําภาษาไปเรียบเรียงเป็นคาํ ประพนั ธ์ที่มี
สมั ผสั อนั ไพเราะกอ่ ให้เกิดความช่ืนบานในจติ ใจ และสามารถเลน่
ความหมายของคําในภาษาควบคไู่ ปกบั การเลน่ เสยี งสมั ผสั ได้จงึ ทําให้
เกิดคําคม คําผวนสาํ นวน ภาษิตและการแปลงคาํ ขวญั เพ่ือให้เกิด
สาํ นวนท่ีนา่ ฟัง ไพเราะและสนกุ สนานไปกบั ภาษาด้วย

ลักษณะท่วั ไปของภาษา

• ๑. วจั นภาษา คือภาษาทีใ่ ช้ถ้อยคําในการส่ือสาร
• ๑ ) ใช้เสยี งส่อื ความหมาย มีทงั้ เสยี งสระและเสียงพยญั ชนะ
• ๒ ) มีการสร้างศพั ท์ขนึ ้ ใหม่ ได้แก่ คําประสม , คาํ ซาํ ้
• ๓ ) มีสาํ นวน มีการใช้คําในความหมายเดียวกนั
• ๔ ) มีคาํ ชนิดตา่ ง ๆ เชน่ คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา และคําขยาย
• ๕ ) สามารถขยายประโยคเพือ่ ให้ยาวออกไปเรื่อย ๆ ได้
• ๖ ) มีการแสดงความคิดตา่ ง ๆ เช่น ประโยคคาํ ถาม ประโยคคาํ ตอบ ประโยค
ปฏิเสธ ประโยคคําสง่ั
• ๗ ) สามารถเปลีย่ นแปลงไปตามกาลเวลา

ลกั ษณะท่วั ไปของภาษา

• ๒. อวจั นภาษาคือ ภาษาทีไ่ มใ่ ช้ถ้อยคําในการส่อื สาร ได้แก่
• ๑)กริยา ทา่ ทาง สีหน้า สายตา เสียง ( ปริภาษา )
๒)สญั ญาณ สญั ลกั ษณ์ ( รวมถงึ อกั ษร )
๓) การสมั ผสั ( ผสั ภาษา / สมั ผสั ภาษา )

• ๔)ลกั ษณะทางกายภาพ ( ภาษาวตั ถุ / กายภาษา )
• ๕)ระยะหา่ ง ( เทศภาษา )
• ๖)เวลา ( กาลภาษา )
• ๗)กลน่ิ รส ภาพ สี ลกั ษณะตวั อกั ษร

ภาษาถ่นิ

•ภาษาถ่นิ หรือ สาเนียง คอื ภาษาเฉพาะของท้องถ่นิ
ใดท้องถ่นิ หน่ึงท่มี ีรูปลักษณะเฉพาะตวั ทงั้ ถ้อยคาและ
สาเนียงเป็ นต้น ... หากพนื้ ท่ขี องผู้ใช้ภาษานัน้ กว้างก็
จะมภี าษาถ่นิ หลากหลาย และมีภาษาถ่นิ ย่อย ๆ ลง
ไปอีก ซ่งึ ภาษาถ่นิ นัน้ มักเป็ นเร่ืองของภาษาพดู หรือ
ภาษาท่าทาง มากกว่า

• ท่มี า : Google Site



ภาษาถ่นิ สุพรรณ

ภาษาต่างประเทศ

• ภาษาบาลี
• ภาษาสนั สกฤต
• ภาษาองั กฤษ

วฒั นธรรม

• วัฒนธรรม
• คานาม 1.ส่งิ ท่ที าความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ.
• 2.วถิ ชี ีวติ ของหมู่คณะท่แี สดงออกทาง
พฤตกิ รรม ภาษา และกจิ กรรมของสังคม.
• “วัฒนธรรม” เป็ นเร่ืองท่เี ก่ียวข้องกับชีวิตของคนเรานับ
แต่เกดิ จนตาย (สานักงานคณะกรรมการวฒั นธรรม
แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม)

ความหมายของวัฒนธรรม

• นายวรี ะ บํารุงรักษ์ ได้เขยี นไว้วา่ “วฒั นธรรม” เป็นคาํ ที่เกิดขนึ ้ ในสมยั จอมพลป.พิบลู สงครามเป็น
นายกรัฐมนตรี ซง่ึ ได้มองเหน็ ความสาํ คญั ของเรื่องนี ้โดยมาจากคําเดิมภาษาองั กฤษคือ
“Culture” ซงึ่ ในตอนแรกพระมหาหรุ่น แหง่ วดั มหาธาตไุ ด้แปลคํานีว้ า่ “ภมู ิธรรม” แตก่ รม
หมื่นนราธิปพงศ์ประพนั ธ์ ทรงเลง็ เห็นวา่ คําว่า ”ภมู ิธรรม” มีความหมายคอ่ นข้างคงที่ พระองค์
ท่านทรงมีความประสงค์ให้คาํ นีม้ ีความหมายในลกั ษณะเคล่อื นไหว เปล่ียนแปลงและพฒั นา
อยา่ งตอ่ เน่ือง จงึ ทรงแปลใหมเ่ ป็น “วฒั นธรรม” และได้มีการนํามาใช้สืบตอ่ มาจนปัจจบุ นั
ซงึ่ ”Culture” นีม้ าจากรากศพั ท์ภาษาละตินวา่ “Cultura” มีความหมายวา่ การ
เพาะปลกู หรือการปลกู ฝัง อธิบายได้วา่ มนษุ ย์เป็นผ้ปู ลกู ฝังอบรมบม่ นิสยั ให้เกิดความเจริญงอก
งาม สว่ นคําวา่ “วฒั นธรรม” เป็นคําสมาสระหวา่ งบาลีสนั สฤต มาจาก คําวา่ “วฒั นะ” ทม่ี ี
ความหมายวา่ เจริญงอกงาม รุ่งเรือง สว่ นคําวา่ “ธรรม” ในทีน่ ีห้ มายถึงกฎ ระเบียบหรือข้อปฏบิ ตั ิ
ซงึ่ เม่ือรวมความแล้ว คําวา่ “วฒั นธรรม”น่าจะหมายถึง ความเป็ นระเบียบ หรือข้อปฏบิ ตั ทิ ่ีทําให้
เจริญรุ่งเรือง แตใ่ นทางปฏิบตั ิแล้ว มีผ้รู ู้ได้ให้ความหมายของคาํ ว่า“วฒั นธรรม” อยา่ งหลากหลาย
ย่ิงไม่วา่ ในตา่ งประเทศหรือในประเทศ เชน่

ความหมายของวัฒนธรรม

• Taylor กลา่ วว่า “วฒั นธรรม”เป็นสว่ นทงั้ หมดท่ซี บั ซ้อน ประกอบด้วยความรู้ ความเชื่อ ศลิ ปะ
ศลี ธรรม กฏหมาย ประเพณี และความสามารถอื่นๆทีม่ นษุ ย์ได้มาในฐานะเป็นสมาชิกของสงั คม

• Encyclopidia of Social Science ได้อธิบายคําว่า “วฒั นธรรม”วา่ เป็ นคาํ ทีใ่ ช้
ในวชิ ามานษุ ยวิทยาสมยั ใหม่ และในด้านสงั คมศาสตร์ หมายถงึ มรดกสงั คม เป็นลกั ษณะเฉพาะ
ในการดาํ รงชีวิตของกลมุ่ คนทม่ี าอยรู่ ่วมกนั และได้มีการเปลี่ยนแปลงให้เจริญตามยคุ สมยั

• พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตพ.ศ.๒๕๔๒ ให้ความหมาย“วฒั นธรรม”ว่า สงิ่ ทท่ี ําความเจริญงอก
งามให้แก่หม่คู ณะ เช่น วฒั นธรรมในการแตง่ กาย หรือวิถีชีวิตของหมคู่ ณะ เชน่ วฒั นธรรมชาวเขา

• จอมพลป. พิบลู สงคราม กลา่ ววา่ “วฒั นธรรมของชาติเป็นเคร่ืองแสดงให้เหน็ ความเจริญงอกงาม
ใหญ่หลวงของชาติ วฒั นธรรมเป็นสง่ิ สาํ คญั มาก วฒั นธรรมไมเ่ ป็นแคเ่ คร่ืองหมายภายนอก ไม่
เป็นแคเ่ พยี งสง่ิ ซง่ึ อวดโลกวา่ เป็นชนชาตเิ จริญเท่านนั้ วฒั นธรรมมีผลลกึ ซงึ ้ เข้าไปถึงชีวิตจติ ใจคน
วฒั นธรรมเป็นเครื่องผดงุ ศลี ธรรม เป็นปัจจยั แหง่ ความเจริญงอกงาม และความแขง็ แรงมน่ั คงของ
ชาติบ้านเมือง”

ความหมายของวฒั นธรรม

• พระยาอนมุ านราชธน ได้กลา่ วว่า “วฒั นธรรม” คอื สง่ิ ท่ีมนษุ ย์เปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือผลติ ขนึ ้
สร้างขนึ ้ เพ่ือความเจริญงอกงามในวถิ ีของสว่ นรวม ถ่ายทอดกนั ไว้ เอาอยา่ งกนั ไว้ รวมทงั้ ผลติ ผล
ของสว่ นรวมทม่ี นษุ ย์ได้เรียนรู้มาจากคนแตก่ ่อนสืบตอ่ เป็นประเพณีกนั มา ตลอดจนความรู้สกึ
ความคดิ เหน็ และกิริยาอาการ หรือการกระทําใดๆของมนษุ ย์ในสว่ นรวมลงรูปเป็นพิมพ์เดยี วกนั
และสําแดงออกมาได้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความเช่ือ ระเบียบประเพณี เป็นต้น

• พระพรหมคณุ าภรณ์ (ประยทุ ธ์ ประยตุ ฺโต)ได้เคยให้ความหมายวา่ “วฒั นธรรม” เป็ นผลรวมของ
การสง่ั สมสร้างสรรค์ภมู ิธรรม ภมู ิปัญญา ท่ีถา่ ยทอดสืบตอ่ กนั มาของสงั คมนนั้ ๆ หรือกลา่ วสนั้ ๆได้
วา่ วฒั นธรรมคือประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถที่สงั คมนนั้ มีอยู่ หรือเนือ้ ตวั ทงั้ หมดของ
สงั คมนนั่ เอง

ลักษณะของวฒั นธรรม

• ๑.วัฒนธรรมเกดิ จากการเรียนรู้
• ๒.วฒั นธรรมเป็ นมรดกของสังคม
• ๓.วัฒนธรรมเป็ นแบบในการดาเนินชีวิต
• ๔. วฒั นธรรมเป็ นส่งิ ท่เี ปล่ียนแปลงได้
• ๖. วัฒนธรรมมีลักษณะเป็ นการแสดงถงึ รูปแบบของ
ความคดิ
• ๗. วัฒนธรรมมิใช่เป็ นของผู้ใดผู้หน่ึงโดยเฉพาะ

ความสาคญั ของวัฒนธรรม

•๑.วฒั นธรรมเป็ นตวั กาหนดของสถาบนั
•๒. วัฒนธรรมเป็ นส่งิ ท่กี าหนดพฤตกิ รรมของมนุษย์
•๓. วฒั นธรรมเป็ นส่งิ ท่คี วบคุมสงั คม

วฒั นธรรมมีก่ปี ระเภท

•วฒั นธรรมทีม่ ีรูปร่าง (Material Culture)
•วฒั นธรรมท่ีไมม่ ีรูปร่าง (Non-material
Culture)

•งามพศิ สตั ย์สงวน

วัฒนธรรมมกี ่ปี ระเภท

• ๑.วฒั นธรรมทางวตั ถุ (Materail – having)
• ๒.วฒั นธรรมทางด้านความคดิ (Ideas – thinking)
• ๓. วฒั นธรรมทางบรรทดั ฐาน (Norms – doing)

• ๑.๑ วิถีประชา (Folkways)
• ๑.๒ จารีต (Mores)
• ๑.๓ กฎหมาย (laws)
• ณรงค์ เสง็ ประชา

ประเภทของวัฒนธรรมไทย

•๑.วตั ถธุ รรม
•๒. เนตธิ รรม
•๓. คตธิ รรม
•๔. สหธรรม

ภาระงาน

• ให้นิสติ ศกึ ษาค้นคว้าภาพท่ีแสดงถงึ วฒั นธรรม ได้ แก่

• ๑.วตั ถธุ รรม
• ๒. เนตธิ รรม
• ๓. คตธิ รรม
• ๔. สหธรรม
• ประเภทละ ๑ ภาพ
• โดย ๑. แสดงภาพ (ตดั หรือพิมพ์ แล้ว แปะในใบงานที่ ๑)
• ๒. อธิบายวา่ ภาพนนั้ เป็นวฒั นธรรมประเภทใด เพราะเหตใุ ด (ดใู บงานท่ี ๑)


Click to View FlipBook Version