The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่2 ประวัติและควาสำคัญของพระพุทธศาสนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by parita601, 2022-05-19 02:36:53

บทที่2 ประวัติและควาสำคัญของพระพุทธศาสนา

บทที่2 ประวัติและควาสำคัญของพระพุทธศาสนา

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2

ประวัตแิ ละความสาคญั
ของพระพทุ ธศาสนา

http://www.free-powerpoint-templates-design.com

สาระการเรียนรู้

❖ ลักษณะสงั คมของชมพูทวีป
❖ การพฒั นาศรัทธาและปญั ญาทางพระพุทธศาสนา
❖ ทฤษฎแี ละวธิ กี ารทเี่ ปน็ สากลในพระพทุ ธศาสนา
❖ พระพุทธศาสนามขี อ้ ปฏิบัตทิ ่ีเปน็ ทางสายกลาง

ชมพูทวีปใน
สมัยก่อนพุทธกาล

ลกั ษณะสงั คมชมพทู วปี

คาว่า “ชมพูทวีป” มีความหมายว่า “ทวีปแหง่ ไม้หว้า” เป็นดินแดน
ท่ีพระพุทธศาสนากาเนิดขึ้น เพราะฉะน้ันการศึกษาพระพุทธศาสนา จึงต้อง
เริ่มจากการศึกษาภูมิหลังของพระพุทธศาสนาก่อน ซึ่งก็คือการศึกษาลักษณ
สังคมของชมพูทวีปนนั่ เอง

พื้นฐานทางการปกครอง

ชนชาติเดิมท่ีอาศัยอยู่ในชมพูทวีป คือ ชนชาติดราวิเดียน
แต่ต่อมาได้ถูกชนชาติอารยัน ซ่ึงเป็นนักรบท่ีอพยพมา เข้ามา
รุกราน จนต้องถอยไปทางตอนใต้ ชนชาติอารยัน เป็นชนชาติที่
เจริญด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมมากกวา่ นอกจาก
จะเข้ามาตั้งถ่ินฐานแทนที่แล้วนั้น ยังได้รวมความเชื่อของทั้ง 2 เชื้อ
ชาติเข้าด้วยกัน เป็นการผสานลัทธิการบูชายัญของชนชาติดราวิ
เดยี น เขา้ กบั ความเช่ือในการนับถอื เทพเจา้ ต่างๆของชนชาตอิ ารยัน
ไดอ้ ย่างกลมกลนื

พื้นฐานทางศาสนา

❖ สมัยพระเวท

เป็นสมัยแรกท่ีชนชาติอารยันเข้ามาปกครองชมพูทวีป
ประชากรบางส่วนมีการนับถือลัทธิเทวนิยม หรือการบูชาเทพเจ้า
มีการรวบรวมบทสวดไว้เป็นหมวดหมู่ จัดเป็นคัมภีร์ เรียกว่า
“คมั ภรี ์พระเวท” หรอื ไตรเวท

❖ สมยั พราหมณะ

เปน็ สมัยทีช่ นชาติอารยันไดเ้ คล่อื นมาทางตอนเหนือของ
ชมพูทวีป และครอบครอบภาคเหนือของชมพูทวีปเกือบทั้งหมด
ในสมัยน้ีพราหมณ์ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง เป็นผู้ประกอบ
พธิ กี รรม และเปน็ ส่ือกลางระหว่างมนษุ ยก์ บั พระเจ้า

พืน้ ฐานทางศาสนา

❖ สมยั พราหมณะ
ในสมัยน้ีพระพรหมได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นท่ีมาของคาว่า

“พรหมลิขิต” นั่นเอง ต่อมาจึงมีการนับถือเทพเจ้าเพ่ิมอีก2องค์ คือ พระวิษณุ และ พระศิวะ โดยพวกพราหมณ์ได้
กาหนดหน้าทีข่ องเทพต่างๆ ดงั น้ี

พระศวิ ะหรอื พระอิศวร : ผทู้ าลาย พระพรหม : ผสู้ ร้าง

พระวิษณุหรือพระนารายณ์ : ผรู้ กั ษา
เนอ่ื งจากพราหมณเ์ ปน็ ผผู้ ูกขาดในพธิ ีกรรม ลทั ธนิ ีจ้ งึ นิยมเรียกวา่ “ลัทธพิ ราหมณ์”

พ้นื ฐานทางการศกึ ษาและทางสังคม

ในคัมภรี ์พระเวท ได้สอนว่า พระพรหมสร้างมนุษย์ 4 พวก จากอวัยวะต่างๆของพระองค์เอง คอื

1. วรรณะพราหมณ์ ถกู สร้างมาจากพระโอษฐ์ (ปาก) ถอื เปน็ ชนชน้ั สงู
2. วรรณะกษัตรยิ ห์ รอื นกั ปกครอง ถกู สรา้ งมาจากพระหตั ถ์ (แขน) ถอื เปน็ ชนชั้นสูง
3. วรรณะแพศยห์ รอื กลุ่มนกั ธุรกิจ ถกู สร้างมาจากตะโพก ถอื เปน็ ชนชน้ั สามัญ
4. วรรณะสุดท้ายคอื ศูทรหรอื กลุ่มคนใช้หรือกรรมกรถูกสร้างมาจากพระบาท ถอื เปน็ ชนช้ันตา่

หากมกี ารแตง่ งานขา้ มวรรณะและมีลูก ลูกจะถกู เรยี กวา่ จัณฑาล เปน็ ผูท้ ่ไี มม่ ีวรรณะ ในสังคมชมพทู วีปจะ
ถอื วา่ เปน็ คนเลว

ปัจจุบันแม้ตามนิตินัยหรือทางกฎหมายจะมีการยกเลิกระบบวรรณะน้ีไปแล้ว แต่ประชากรท่ียังยึดถือหลัก
ระบบวรรณะยังมีอยู่ เพราะความเช่ือทย่ี งั ฝงั แนน่

การแบง่ หน้าทีแ่ ละการศกึ ษาตามวรรณะ

วรรณะ หนา้ ที่ การศึกษา
1. พราหมณ์ ฝกึ สอนและทาพธิ ีกรรม ศกึ ษาทางศาสนาและวทิ ยากร
2. กษตั รยิ ์
รกั ษาบา้ นเมือง ศึกษาวชิ ายุทธวธิ ี
3. แพศย์ ทานา คา้ ขาย ศึกษากสกิ รรมและพาณชิ ยกรรม
4. ศูทร ศกึ ษาในงานทท่ี าดว้ ยแรงงาน
รับจ้าง

ชมพูทวปี
ในสมยั พุทธกาล

พื้นฐานทางการปกครอง

“ชมพูทวีป” คือ อาณาเขตที่เป็นประเทศอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสสถาน
ศรีลังกา บังคลาเทศ และเนปาลในปัจจุบัน (ในปัจจุบันเลิกใช้ช่ือชมพูทวีปนี้
แลว้ ) ในสมยั พุทธกาล ชมพูทวีปนอกจากแบ่งเปน็ 2 เขต คือ
➢ เขตภาคกลาง เรียกว่า มัชฉิมชนบทหรือมัธยมประเทศ เป็นที่อยู่ของชน

ชาตอิ รยิ กะ หรอื อารยัน แปลวา่ ผเู้ จริญเป็นดนิ แดนของชนผวิ ขาว
➢ เขตรอบนอก เรียกว่า ประจันตชนบทหรือประจันตประเทศ คือ ประเทศ

ปลายเขตเป็นทอ่ี ยู่ของชนชาตมิ ลิ ักขะ หรืออนารยชน เป็นดินแดนของชน
พ้ืนเมือง หรอื ชนชาตดิ ราวิเดยี น

ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 20 ได้ระบุไว้ว่า มัชฌิมชนบท ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ๆ
16 แคว้น และแคว้นเล็กแคว้นน้อยท่ีเป็นเมืองขึ้นของแคว้นใหญ่อีก 5 แคว้น รวมเป็น 21
แคว้น ดังหนังสือหน้าท่ี27-28 โดยมีแคว้นที่สาคัญ 6 แคว้น คือ แคว้นมคธ แคว้นวังสะ
แคว้นอวันตี แคว้นกาสี แควน้ สกั กะ และแคว้นโกศล

โดยทก่ี ารปกครองของแต่ละแคว้นก็จะต่างกนั ออกไป

➢ ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสทิ ธรฺ าชย์ หรือการปกครองแบบราชาธิปไตย
การปกครองรูปแบบนี้มีพระมหากษัตริย์มีอานาจสูงสุด แคว้นท่ีปกครองใน
ระบอบน้ี เช่น แควน้ มคธ แควน้ โกศล แควน้ อวนั ตี แควน้ วงั สะ

➢ ปกครองในระบอบสามัคคธี รรม การปกครองในระบอบนี้ จะบริหารประเทศ
แบบอาศัยรัฐสภา และมีประมุขสภาดารงตาแหน่งตามระยะเวลาที่กาหนด
การปกครองในระบอบนี้ คลา้ ยกบั การปกครองแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
แควน้ ที่ปกครองในระบอบนี้ เช่น วัชชี แคว้นมัลละ

พื้นฐานทางศาสนา

ศาสนาพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล ได้มีการพัฒนา
ความเช่ือเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด มีการสอนกันอย่าง
แพร่หลายในชาวอารยัน ในยุคน้ีได้ถูกเรียกว่า ฮินดู ลัทธิที่
ชาวฮินดูนับถือ จึงถูกเรียกว่า ศาสนาฮินดู มีคัมภีร์สาคัญใน
การใช้เผยแผ่ศาสนา เรียกว่า “คัมภีร์อุปนิษัท”ส่วนใหญ่เป็น
ความเช่ือเรื่องวิญญาณ มีการนับถือพระพรหมว่าเป็น
ปรมาตมัน (ต้นกาเนิดและเป็นที่รวมของทุกส่ิงทุกอย่าง) เป็น
ปฐมวิญญาณศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในยุคน้ีจึงถูกเรียนว่า
“ยคุ อปุ นษิ ัท”

นอกจากพวกพราหมณ์แล้วยังมีนักบวชจานวนมาก
ไดป้ ประกาศลทั ธิต่างๆ ไดแ้ ก่

ลัทธิ เจ้าลัทธิ ความเช่ือ
❖ ลทั ธิอกิริยทิฎฐิ ปรู ณกัสสป ไม่มบี ญุ บาป กรรม และผลของกรรม
คนเราตอ้ งเวยี นว่ายตายเกดิ 8.4 ล้านชาติจึงจะพน้
❖ ลทั ธอิ เหตุกทฏิ ❖ฐิ ลทั ธิอกิริยทฎิ ฐิ ปูรณกสั สปมเกั ปข็นลเจิโค้าลศทั าธลิ
ทุกข์
❖ ลัทธิอเหตุกทฏิ ฐิ รา่ งกายเกิดจาก4ธาตุรวมกัน เม่อื ตายแล้วดบั สนิ้

❖ ลัทธนิ ัตถิกทฏิ ฐ❖ิ ลทั ธินตั ถกิ ทิฏฐิ อชิตเกสกมั พล ไม่มกี ารเกดิ อกี จึงไมย่ อมรบั กฎแหง่ กรรม
ร่างกายเกดิ จาก7ธาตรุ วมกนั จึงไมย่ อมรบั อนัตตา
❖ ลัทธอิ มราวิกเขปทฏิ ฐิ
หรือความไม่มีตวั ตน
❖ ลัทธอิ มราวิกเข❖❖ปทฏิ ลลฐัททั ิธธัตจิ ตถยุกิ าทมฏิ สฐังิแวลระอุจเฉทปทกิฏุธฐกิ ัจจายนะ
ไมย่ อมรบั หรอื ยนื ยนั ความเหน็ อะไรทง้ั สน้ิ
❖ ลัทธตั ถิกทฏิ ฐแิ ละอจุ เฉท สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร
ทิฏฐิ ปฏบิ ัติอย่างเขม้ งวด เวน้ จากการทาบาป กาจดั
บาปด้วยตบะ ผปู้ ฏบิ ตั ิได้ จะถอื ว่าหมดกิเลส
❖ ลัทธิจตยุ ามสังวร นิครนถ์นาฏบตุ ร ปจั จุบนั เป็น หน่งึ ในคาสอนของศาสนาเชน ท่ียงั คง

มผี ้นู บั ถืออย่ใู นประเทศอนิ เดยี

ลทั ธติ ่างๆทแี่ พร่หลายในชมพทู วีปทงั้ ก่อนและสมยั พุทธกาล สามารถแยกออกเป็น 2 ฝ่าย คือ

❖ ฝ่ายอตั ตกิลมถานโุ ยค ❖ ฝา่ ยกามสขุ ัลลกิ านโุ ยค

เ ป็ น ลั ท ธิ ที่ เ น้ น ก า ร เ ป็ น ลั ท ธิ ท่ี ส อ น ใ ห้
ประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ประพฤติตนหมกหมุ่นมัวเมาอญุ่
บาเพ็ญเพียรโดยการสร้างความ ในกามสุข โดยถือว่ากามสุขเป็น
ลาบากให้ตนเอง เช่น เป็นชี เคร่ือง หลุดพ้น จัดเป็นพวก
เปลือย ทรมาณตนตามแบบโยคี “หยอ่ นเกนิ ไป”
จัดเปน็ พวก “ตงึ เกินไป”

พระพุทธเจ้าจึงพบว่าการปฏิบัติในลักษณะสุดโต่งทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สามารถช่วยให้หลุด
พ้นจากทุกข์ได้ จึงทรบพบว่าการปฏิบัติตามทางสายกลาง หือ มัชณิมาปฏิปทา เท่านั้นท่ีจะแก้ไข
ปญั หาในสงั คมได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดกต็ าม

พ้นื ฐานทางการศึกษาและทางสังคม

ในสมัยน้ีพราหมณ์มีอิทธิพลมาก ถือว่าพวกตนเป็นวรรณะสูงสุดจึงมีการพัฒนาคาสอนต่างๆ
เช่น การกาหนดใหค้ นในวรรณะศทู รไมม่ ีสทิ ธิจะฟังจะกล่าวความในพระเวทที่เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ กาหนด
วา่ พวกจณั ฑาลหรอื พวกวรรณะไม่มสี ทิ ธิได้รับการศึกษา ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับบทลงโทษอยา่ งรุนแรง คือผ่าร่าง
ออกเปน็ 2 ซกี

เม่ือพระพุทธศาสนาถือกาเนิดขึ้นพระพุทธเจ้าได้ปฏิวัติความเชื่อส่วนใหญ่ของคนยุคนั้นคือ ความ
เชื่อถือในความย่งิ ใหญ่ของพระเจ้า (เทวนิยม) พระพุทธศาสนาจัดอยู่ในประเภท (อเทวนิยม) คือไม่นับถือพระ
เจ้า ทั้งยังเปิดโอกาสให้คนทุกชั้นวรรณะสามารถบวชได้ พระพุทธศาสนาจึงถือเป็นศูนย์รวมความเป็นอันหนึ่ง
อันเดยี วกัน ตอ่ มาพระพทุ ธศาสนาจงึ เจรญิ และแผข่ ยายไปทว่ั ชมพูทวปี

Thank You


Click to View FlipBook Version