หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2
ประวัตแิ ละความสาคญั
ของพระพทุ ธศาสนา
สาระการเรียนรู้
❖ ลักษณะสงั คมของชมพูทวีป
❖ การพัฒนาศรัทธาและปญั ญาทางพระพุทธศาสนา
❖ ทฤษฎแี ละวธิ กี ารท่เี ปน็ สากลในพระพทุ ธศาสนา
❖ พระพุทธศาสนามขี อ้ ปฏิบัตทิ ่ีเป็นทางสายกลาง
ลกั ษณะสงั คมชมพูทวปี
ลักษณะสงั คมชมพูทวปี
คาว่า “ชมพูทวีป” มีความหมายว่า “ทวีปแห่งไม้หว้า” เป็นดินแดน
ที่พระพุทธศาสนากาเนิดข้ึน เพราะฉะน้ันการศึกษาพระพุทธศาสนา จึงต้อง
เร่ิมจากการศึกษาภูมิหลังของพระพุทธศาสนาก่อน ซึ่งก็คือการศึกษาลักษณะ
สงั คมของชมพูทวปี นั่นเอง
ชมพูทวีปใน
สมัยก่อนพุทธกาล
พื้นฐานทางการปกครอง
ชนชาติเดิมท่ีอาศัยอยู่ในชมพูทวีป คือ ชนชาติดราวิเดียน
แต่ต่อมาได้ถูกชนชาติอารยัน ซ่ึงเป็นนักรบท่ีอพยพมา เข้ามา
รุกราน จนต้องถอยไปทางตอนใต้ ชนชาติอารยัน เป็นชนชาติที่
เจริญดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมมากกวา่ นอกจาก
จะเข้ามาตั้งถ่ินฐานแทนที่แล้วนั้น ยังได้รวมความเชื่อของทั้ง 2 เชื้อ
ชาติเข้าด้วยกัน เป็นการผสานลัทธิการบูชายัญของชนชาติดราวิ
เดยี น เข้ากบั ความเช่ือในการนับถอื เทพเจา้ ต่างๆของชนชาตอิ ารยัน
ไดอ้ ย่างกลมกลนื
พื้นฐานทางศาสนา
❖ สมัยพระเวท
เป็นสมัยแรกท่ีชนชาติอารยันเข้ามาปกครองชมพูทวีป
ประชากรบางส่วนมีการนับถือลัทธิเทวนิยม หรือการบูชาเทพเจ้า
มีการรวบรวมบทสวดไว้เป็นหมวดหมู่ จัดเป็นคัมภีร์ เรียกว่า
“คมั ภรี ์พระเวท” หรอื ไตรเวท
❖ สมยั พราหมณะ
เปน็ สมัยทีช่ นชาติอารยันไดเ้ คล่อื นมาทางตอนเหนือของ
ชมพูทวีป และครอบครอบภาคเหนือของชมพูทวีปเกือบทั้งหมด
ในสมัยน้ีพราหมณ์ได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง เป็นผู้ประกอบ
พธิ กี รรม และเปน็ ส่ือกลางระหว่างมนษุ ยก์ บั พระเจ้า
พืน้ ฐานทางศาสนา
❖ สมยั พราหมณะ
ในสมัยน้ีพระพรหมได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นท่ีมาของคาว่า
“พรหมลิขิต” นั่นเอง ต่อมาจึงมีการนับถือเทพเจ้าเพ่ิมอีก2องค์ คือ พระวิษณุ และ พระศิวะ โดยพวกพราหมณ์ได้
กาหนดหน้าทีข่ องเทพต่างๆ ดงั น้ี
พระศวิ ะหรอื พระอิศวร : ผทู้ าลาย พระพรหม : ผสู้ ร้าง
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ : ผรู้ กั ษา
เนอ่ื งจากพราหมณเ์ ปน็ ผผู้ ูกขาดในพธิ ีกรรม ลทั ธนิ ีจ้ งึ นิยมเรียกวา่ “ลัทธพิ ราหมณ์”
พ้นื ฐานทางการศกึ ษาและทางสงั คม
ในคัมภรี พ์ ระเวท ได้สอนวา่ พระพรหมสร้างมนุษย์ 4 พวก จากอวยั วะต่างๆของพระองค์เอง คือ
1. วรรณะพราหมณ์ ถูกสรา้ งมาจากพระโอษฐ์ (ปาก) ถอื เป็นชนชน้ั สงู
2. วรรณะกษตั รยิ ห์ รือนักปกครอง ถกู สรา้ งมาจากพระหตั ถ์ (แขน) ถอื เปน็ ชนช้ันสงู
3. วรรณะแพศยห์ รอื กลมุ่ นกั ธุรกจิ ถกู สรา้ งมาจากตะโพก ถอื เปน็ ชนช้ันสามญั
4. วรรณะสุดท้ายคือ ศูทรหรอื กลมุ่ คนใช้ กรรมกรถกู สร้างมาจากพระบาท ถือเป็นชนชน้ั ตา่
หากมกี ารแตง่ งานข้ามวรรณะและมลี กู ลูกจะถูกเรียกว่าจัณฑาล เปน็ ผ้ทู ี่ไม่มีวรรณะ ในสังคมชมพทู วปี จะ
ถือว่าเป็นคนเลว
ปจั จุบนั แมต้ ามนิตินัยหรือทางกฎหมายจะมีการยกเลิกระบบวรรณะน้ีไปแล้ว แต่ประชากรท่ียงั ยึดถือระบบ
วรรณะยังมีอยู่ เพราะความเชือ่ ทยี่ ังฝังแนน่
การแบง่ หน้าทีแ่ ละการศกึ ษาตามวรรณะ
วรรณะ หนา้ ที่ การศึกษา
1. พราหมณ์ ฝกึ สอนและทาพธิ ีกรรม ศกึ ษาทางศาสนาและวทิ ยากร
2. กษตั รยิ ์
รกั ษาบา้ นเมือง ศึกษาวชิ ายุทธวธิ ี
3. แพศย์ ทานา คา้ ขาย ศึกษากสกิ รรมและพาณชิ ยกรรม
4. ศูทร ศกึ ษาในงานทท่ี าดว้ ยแรงงาน
รับจ้าง
ชมพูทวปี
ในสมยั พุทธกาล
พื้นฐานทางการปกครอง
“ชมพูทวีป” คือ อาณาเขตที่เป็นประเทศอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสสถาน
ศรีลังกา บังคลาเทศ และเนปาลในปัจจุบัน (ในปัจจุบันเลิกใช้ชื่อชมพูทวีปนี้
แลว้ ) ในสมยั พุทธกาล ชมพูทวีปนอกจากแบง่ เป็น 2 เขต คอื
➢ เขตภาคกลาง เรียกว่า มัชฉิมชนบทหรือมัธยมประเทศ เป็นท่ีอยู่ของชน
ชาตอิ รยิ กะ หรอื อารยัน แปลว่า ผู้เจรญิ เปน็ ดินแดนของชนผิวขาว
➢ เขตรอบนอก เรียกว่า ประจันตชนบทหรือประจันตประเทศ คือ ประเทศ
ปลายเขตเป็นทอ่ี ยู่ของชนชาตมิ ิลกั ขะ หรืออนารยชน เป็นดินแดนของชน
พ้ืนเมือง หรอื ชนชาตดิ ราวิเดียน
ในพระไตรปิฎก เล่มท่ี 20 ได้ระบุไว้ว่า มัชฌิมชนบท ประกอบด้วยแคว้นใหญ่ๆ
16 แคว้น และแคว้นเล็กแคว้นน้อยท่ีเป็นเมืองขึ้นของแคว้นใหญ่อีก 5 แคว้น รวมเป็น 21
แคว้น ดังหนังสือหน้าที่27-28 โดยมีแคว้นที่สาคัญ 6 แคว้น คือ แคว้นมคธ แคว้นวังสะ
แคว้นอวนั ตี แคว้นกาสี แควน้ สกั กะ และแคว้นโกศล
โดยทกี่ ารปกครองของแต่ละแคว้นก็จะต่างกันออกไป
➢ ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรอื การปกครองแบบราชาธิปไตย
การปกครองรูปแบบนี้มีพระมหากษัตริย์มีอานาจสูงสุด แคว้นท่ีปกครองใน
ระบอบนี้ เช่น แคว้นมคธ แคว้นโกศล แควน้ อวนั ตี แควน้ วงั สะ
➢ ปกครองในระบอบสามัคคธี รรม การปกครองในระบอบน้ี จะบริหารประเทศ
แบบอาศัยรัฐสภา และมีประมุขสภาดารงตาแหน่งตามระยะเวลาที่กาหนด
การปกครองในระบอบน้ี คลา้ ยกบั การปกครองแบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน
แควน้ ทปี่ กครองในระบอบนี้ เชน่ แควน้ วัชชี แคว้นมัลละ
พื้นฐานทางศาสนา
ศาสนาพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล ได้มีการพัฒนา
ความเช่ือเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิด มีการสอนกันอย่าง
แพร่หลายในชาวอารยัน ในยุคนี้ได้ถูกเรียกว่า ฮินดู ลัทธิที่
ชาวฮินดูนับถือ จึงถูกเรียกว่า ศาสนาฮินดู มีคัมภีร์สาคัญใน
การใช้เผยแผ่ศาสนา เรียกว่า “คัมภีร์อุปนิษัท”ส่วนใหญ่เป็น
ความเช่ือเรื่องวิญญาณ มีการนับถือพระพรหมว่าเป็น
ปรมาตมัน (ต้นกาเนิดและเป็นท่ีรวมของทุกส่ิงทุกอย่าง) เป็น
ปฐมวิญญาณศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในยุคน้ีจึงถูกเรียนว่า
“ยคุ อปุ นิษทั ”
นอกจากพวกพราหมณ์แล้วยงั มีนักบวชจานวนมาก
ได้ประกาศลทั ธติ า่ งๆ ได้แก่
ลัทธิ เจ้าลัทธิ ความเช่ือ
❖ ลทั ธิอกิริยทิฎฐิ ปรู ณกัสสป ไม่มบี ญุ บาป กรรม และผลของกรรม
คนเราตอ้ งเวยี นว่ายตายเกดิ 8.4 ล้านชาติจึงจะพน้
❖ ลทั ธอิ เหตุกทฏิ ❖ฐิ ลทั ธิอกิริยทฎิ ฐิ ปูรณกสั สปมเกั ปข็นลเจิโค้าลศทั าธลิ
ทุกข์
❖ ลัทธอิ เหตุกทฏิ ฐิ รา่ งกายเกิดจาก4ธาตุรวมกัน เม่อื ตายแล้วดับสิน้
❖ ลัทธนิ ัตถิกทฏิ ฐ❖ิ ลทั ธินตั ถกิ ทิฏฐิ อชิตเกสกมั พล ไม่มกี ารเกดิ อกี จึงไมย่ อมรบั กฎแหง่ กรรม
ร่างกายเกดิ จาก7ธาตรุ วมกนั จึงไมย่ อมรบั อนตั ตา
❖ ลัทธอิ มราวิกเขปทฏิ ฐิ
หรือความไม่มีตวั ตน
❖ ลัทธอิ มราวิกเข❖❖ปทฏิ ลลฐทัทั ิธธจติั ตถยุกิ าทมฏิ สฐังิแวลระอุจเฉทปทกิฏุธฐกิ ัจจายนะ
ไมย่ อมรบั หรอื ยนื ยนั ความเหน็ อะไรทง้ั สน้ิ
❖ ลัทธัตถิกทฏิ ฐแิ ละอจุ เฉท สญั ชยั เวลฏั ฐบุตร
ทฏิ ฐิ ปฏบิ ัติอย่างเขม้ งวด เวน้ จากการทาบาป กาจดั
บาปด้วยตบะ ผปู้ ฏบิ ตั ิได้ จะถอื ว่าหมดกิเลส
❖ ลัทธิจตยุ ามสังวร นิครนถ์นาฏบตุ ร ปจั จุบนั เป็น หน่งึ ในคาสอนของศาสนาเชน ท่ียงั คง
มผี ้นู บั ถืออย่ใู นประเทศอนิ เดยี
ลทั ธิต่างๆทแี่ พร่หลายในชมพทู วีปทงั้ ก่อนและสมยั พุทธกาล สามารถแยกออกเปน็ 2 ฝ่าย คือ
❖ ฝ่ายอัตตกิลมถานโุ ยค ❖ ฝา่ ยกามสุขัลลิกานโุ ยค
เ ป็ น ลั ท ธิ ที่ เ น้ น ก า ร เ ป็ น ลั ท ธิ ที่ ส อ น ใ ห้
ประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ประพฤติตนหมกหมุ่นมัวเมาอญุ่
บาเพ็ญเพียรโดยการสร้างความ ในกามสุข โดยถือว่ากามสุขเป็น
ลาบากให้ตนเอง เช่น เป็นชี เค ร่ือง หลุดพ้น จั ดเป็นพวก
เปลือย ทรมาณตนตามแบบโยคี “หยอ่ นเกนิ ไป”
จัดเปน็ พวก “ตงึ เกินไป”
พระพุทธเจ้าจึงพบว่าการปฏิบัติในลักษณะสุดโต่งทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สามารถช่วยให้หลุด
พ้นจากทุกข์ได้ จึงทรบพบว่าการปฏิบัติตามทางสายกลาง หือ มัชณิมาปฏิปทา เท่านั้นท่ีจะแก้ไข
ปญั หาในสงั คมได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดกต็ าม
พ้นื ฐานทางการศึกษาและทางสงั คม
ในสมัยน้ีพราหมณ์มีอิทธิพลมาก ถือว่าพวกตนเป็นวรรณะสูงสุดจึงมีการพัฒนาคาสอนต่างๆ
เช่น การกาหนดใหค้ นในวรรณะศทู รไม่มีสทิ ธจิ ะฟงั จะกล่าวความในพระเวทท่ีเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์ิ กาหนด
วา่ พวกจณั ฑาลหรอื พวกวรรณะไม่มสี ทิ ธิได้รับการศึกษา ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับบทลงโทษอยา่ งรุนแรง คือผ่าร่าง
ออกเปน็ 2 ซกี
เม่ือพระพุทธศาสนาถือกาเนิดขึ้นพระพุทธเจ้าได้ปฏิวัติความเชื่อส่วนใหญ่ของคนยุคนั้นคือ ความ
เชื่อถือในความย่งิ ใหญ่ของพระเจ้า (เทวนิยม) พระพุทธศาสนาจัดอย่ใู นประเภท (อเทวนิยม) คือไม่นับถือพระ
เจ้า ทั้งยังเปิดโอกาสให้คนทุกชั้นวรรณะสามารถบวชได้ พระพุทธศาสนาจึงถือเป็นศูนย์รวมความเป็นอันหนึ่ง
อันเดยี วกัน ตอ่ มาพระพทุ ธศาสนาจึงเจรญิ และแผข่ ยายไปทั่วชมพทู วีป
การพฒั นาศรัทธาและปญั ญา
ทางพระพทุ ธศาสนา
การพัฒนาศรทั ธา
“ศรัทธา” แปลว่า ความเช่ือ ความเช่ือที่ประกอบไปด้วย
เหตุผล หรือเช่ือในส่ิงท่ีควรเช่ือ ความเช่ือน้ันมักจะมาคู่กับ ปสาทะ
แปลว่า ความเล่ือมใส ซึ่งชาวพุทธจะนิยมพูดกันว่า ศรัทธาปสาทะ
ซ่ึงหมายถึง การท่ีมีความเช่ือ ความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา
นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามพระพุทธศาสนานอกจะให้ความสาคัญกับ
ความศรัทธาแล้วน้ัน เวลากล่าวถึงศรัทธาก็มักจะกล่าวถึงปัญญา
ควบคู่ด้วยเสมอ สรุปส้ันๆก็คือ เร่ิมต้นด้วยศรัทธา และจบท่ีปัญญา
พูดงา่ ยๆก็คือ การเชือ่ อย่างมเี หตุมีผล
ในพระสูตรชื่อ “เกสปุตติสูตร” หรือที่เรียกกันว่า “กาลามสูตร” ได้อธิบายว่าควร
เชื่ออย่างไรและไม่ควรเช่ือเพราะอะไรบ้าง กล่าวคือให้ดารงตนเป็นผู้เป็นผู้มีปัญญา มีความ
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ควรเช่ือส่ิงใด เพียงเพราะเหตุผลส่วนตัว โดยมี 10 ประเด็นหลัก
คือ 1) อย่าปลงใจเชื่อเพียงเพราะ...ได้ฟังตามกนั มา
2) อย่าปลงใจเชอ่ื เพียงเพราะ...ถือปฏิบตั ิกนั สบื มา
3) อย่าปลงใจเชื่อเพยี งเพราะ...การเล่าลอื กันตอ่ ๆมา
4) อย่าปลงใจเช่อื เพยี งเพราะ...การอ้างองิ ตารา
5) อย่าปลงใจเชื่อเพยี งเพราะ...ยดึ ตามหลักตรรกะ
6) อยา่ ปลงใจเชื่อเพียงเพราะ...การอนมุ านเอง
7) อย่าปลงใจเชอ่ื เพียงเพราะ...อาศัยการตรกึ ตรอง
8) อย่าปลงใจเช่อื เพยี งเพราะ...สอดคล้องกบั ทฤษฎีตน
9) อยา่ ปลงใจเชื่อเพียงเพราะ...มลี ักษณะท่ีน่าเชือ่ ถือ
10) อย่าปลงใจเชอ่ื เพยี งเพราะ...ผู้นนั้ เปน็ ครูอาจารยข์ องเรา
พระสูตรน้ีเตือนสติว่า ก่อนจะเชื่ออะไร เชื่อสิ่งใด
เช่ือใคร จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยสติปัญญาแล้วจึง
เชอ่ื ความเชื่อนั้นจึงจะไม่ก่อให้เกิดโทษ ไม่นาไปสู่ความเสื่อม
สามารถนาความสุขและคุณประโยชน์แก่ตนเองและคนอื่น
หลักศรัทธาในทางพระพทุ ธศาสนาน้ันมี 4 อย่างคือ
หลกั ศรัทธา
❖ กัมมสัทธา
คือ ความเช่ือในเร่ืองกรรม กฎแห่งกรรม เช่ือว่ากรรมมี
อยู่จริง คือ เชื่อว่าเม่ือทาอะไรโดยมีเจตนา คือจงใจทายอ่ มถือเป็น
กรรม เป็นความดีหรือความชั่วที่เกิดข้ึนในตน เป็นผลของกรรม
สืบเน่อื งต่อไป ไมม่ ีการกระทาใดวา่ งเปล่าไมม่ ผี ลของกรรม
❖ วปิ ากสทั ธา
คือ ความเช่ือเร่ืองวิบากคือผลของกรรม เช่ือว่าผลของ
กรรมมีจริง คือเช่ือว่ากรรมท่ีทาแล้วต้องมีผล และผลจะต้องมา
จากสาเหตุ ผลดเี กิดจากกรรมดี ผลชัว่ เกดิ จากกรรมช่วั
หลกั ศรทั ธา
❖ กัมมสั สกตาสัทธา
คือ เช่ือว่าคนแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนตามลักษณะท่ี
ได้กระทาไป ทุกคนเป็นเจ้าของและจะต้องรับผิดชอบผลกรรมท่ี
เกดิ จากการกระทาของตนเอง
❖ ตถาคตโพธิสทั ธา
คือ ความเชื่อม่ันในพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ได้ตรัสรู้สัจ
ธรรมจริง(ความจริงแท้) และทรงเป็นผู้ชี้ทางพ้นทุกข์ให้กับมนุษย์
ทุกคน
การพฒั นาปัญญา
“ปัญญา” แปลว่า “รู้ทั่ว” คือรอบรู้ในสิ่งต่างๆ อย่างแจ่ม
แจ้งและชัดเจนทุกแง่ทุกมุมตามที่เป็นจริง การรอบรู้หรือการรู้ส่ิง
ต่างๆ ตามท่ีเป็นจริง เป็นเป้าหมายของพระพุทธศสานา ส่งผลให้
เราตัดสินใจไดถ้ กู ต้อง ปญั ญาน้ันเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ส่องไปใน
ทม่ี ืด
ปัญญาเป็นส่ิงที่เราสามารถปลูกฝังหรือสร้างให้มีในตนได้
โดย 3 วิธี คอื
ปัญญาเป็นส่งิ ท่เี ราสามารถปลูกฝงั หรือสร้างให้มใี นตนไดโ้ ดย 3 วิธี คอื
❖ สตุ มยปญั ญา ❖ ภาวนามยปัญญา ❖ จินตามยปัญญา
ปัญญาท่ีเกิดจากการฟัง การอ่าน ปัญญาที่เกิดจากการคิด พินิจ
การค้นคว้าจากตารา ผู้ท่ีได้ฟังมามาก อ่าน พิจารณาโดยถูกไตรตองโดยถูกวิธี เป็น
มาก ย่อมมีความรู้มาก ปัญญาประเภทนี้ หนทางก่อให้เกิดความรู้แจ่มแจ้งได้ ปัญญา
ถือว่าเป็นระดับข้ันข้อมูลในการดาเนินชีวิต ประเภทน้ีเกิดจากการนาเอาความรู้ที่ได้
ในสังคม ผู้ที่มีข้อมูลมากกว่าย่อมได้เปรียบ จากสุตมยปัญญา มาไตร่ตรองโดยจิต
สุตมยปญั ญา จัดเปน็ ปรโตโฆสะ คอื ความรู้ วิธีการน้ีเรียกว่าโยโสมนสิการ คือการ
จากภายนอก (ตา หู จมกู ลิ้น กาย) ไตร่ตรองพิจารณาอย่างรอบคอบ เกิดจาก
ปจั จยั ภายในคอื ใจ
ปัญญาที่เปน็ ผลจาการนาเอาปญั ญาทั้ง 2 ระดับข้างต้น มาวิเคราะห์และสังเคราะห์ โดยปฏิบัติตาม
หลักไตรสิกขา กล่าวคือ เปน็ ปัญญาท่ีเกดิ ขน้ึ จากขัน้ ตอนของการปฏบิ ัติ หรือผลของการลงมอื ปฏบิ ตั จิ ริง
ลกั ษณะแห่งปัญญา
ลั ก ษ ณ ะ แ ห่ ง ค ว า ม รู้ ห รื อ ปั ญ ญ า ใ น ท า ง
พระพุทธศาสนา แบ่งได้ 3 ประเภท ดงั น้ี
1. รู้จักเหตุแห่งความเสื่อม (อปายโกศล) คือ รู้จัก
มองจากผล คือความเส่ือมแลว้ สาวไปหาวา่ เหตุเกิดขึ้นจากอะไร
เช่น ความเส่ือมทรัพย์เกิดจากการเล่นการพนัน หรือการดื่ม
สรุ าจนขาดสติ
ลกั ษณะแหง่ ปญั ญา
2. รู้จักเหตุแห่งความเจริญ (อายโกศล) คือรู้จัก
มองจากผลแล้วสาวไปหาสาเหตุของความเจริญ เช่น มี
สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีทรัพย์สินเงินทอง มีสาเหตุเกิด
จากอะไร
3. รู้จักหนทางหลีกเลี่ยงจากความเสื่อมและสรรค์
สร้างความเจรญิ (อุปายโกศล) เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นจากการรู้วิธี
ซ่ึงลักษณะน้ีเป็นเน้ือแท้ของปัญญาที่แท้ คือมิใช่เพียงแค่ จา
และเข้าใจ เทา่ นน้ั แต่ตอ้ งสามารถปฏบิ ัติได้อกี ด้วย
ทฤษฎแี ละวิธกี ารท่ีเป็นสากลใน
พระพุทธศาสนา
ทฤษฎแี ละวธิ ีการทีเ่ ป็นสากลในพระพทุ ธศาสนา
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหน่ึงท่ีถูกจัดให้เป็นศาสนาสากล เพราะ
เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือจานวนมากกระจายกันอยู่ท่ัวโลก และสืบเนื่องกันมา
ยาวนาน เปน็ ศาสนาทน่ี กั ปราชญท์ ัว่ โลกใหก้ ารยอมรบั ว่า ไม่มีเชื้อแหง่ สงคราม
แฝงอยู่ และยึดมั่นในแนวทางแห่งสันติ โดยมีหลักท่ีเป็นสัจธรรมสากลอันเป็น
หลกั แห่งเหตุและผล ซึ่งมชี อื่ ว่า “อรยิ สจั 4”
อรยิ สัจ 4
อริยสัจ 4 คอื ความจริงที่นามาใช้ประโยชน์แก่ชีวิตได้ เป็นหลักธรรมที่สามารถนามาใช้เป็นวิธีการสาหรับ
แกไ้ ขปญั หาของมนุษย์ ซ่งึ ประกอบด้วย
1. ทุกข์ คือ ปัญหาต่างๆ ของมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอริยสัจ 4 เพื่อนเป็นการสอนที่เร่ิมจาก
ปัญหา คือ การสอนให้รู้จกั ทกุ ขแ์ ละยอมรบั ความจริงเก่ยี วกบั ทุกข์ท่ีเปน็ อยู่
2. สมทุ ยั คือ เหตุแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปญั หา ซง่ึ หากทราบแลว้ ก็จะตอ้ งหาทางกาจัดเสยี
3. นโิ รธ คือ ความดบั ทกุ ข์ หรือภาวะทห่ี มดปัญหา รู้ว่าสาเหตุแหง่ ปัญหานั้นเป็นสิ่งที่กาจัดหรือทาให้
หมดสิ้นไป
4. มรรค คือ รู้ทางดบั ทกุ ข์ หรือวธิ ปี ฏิบตั ิเพือ่ กาจัดสาเหตุแหง่ ปญั หา
ทกุ ข์ เหมือนของหนกั สมทุ ัย เหมือนการแบกของ นิโรธ เหมือนอุบายวิธใี นการ มรรค เหมือนการวางของหนกั
หนักไว้ วางของหนกั ลง ลงได้
พระพุทธศาสนามีข้อปฏิบัติ
ท่ีเป็นทางสายกลาง
พระพุทธศาสนามขี อ้ ปฏบิ ตั ิที่เป็นทางสายกลาง
ข้อปฏิบัติที่เป็นทางสายกลางในพระพุทธศาสนา เรียกว่า มัชณิมาปฏิปทา หลักธรรมที่พระพุทธเจ้า
ทรงตรัสไวใ้ นปฐมเทศนาทแี่ สดงแด่ปัญจวคั คยี ห์ า้ มอี งค์ประกอบทงั้ หมดอยู่ 8 ขอ้
1. สัมมาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบ รู้ เข้าใจถกู ตอ้ ง เห็นตามทีเ่ ป็นจริง เช่น เหน็ วา่ ทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ไดช้ ั่ว
2. สมั มาสังกัปปะ ดาริชอบ คดิ สุจรติ ต้งั ใจทาส่งิ ทดี่ ีงาม เชน่ ไมค่ ิดเบยี ดเบยี นผอู้ ื่นให้ผอู้ ื่นเดอื ดรอ้ น
3. สัมมาวาจา วาจาชอบ กล่าวคาสจุ ริต พูดถอ้ ยคาทไ่ี ม่มีโทษ เช่น ไม่พูดสอ่ เสียด ไม่พูดใหเ้ กดิ ความแตกแยก
4. สมั มากัมมนั ตะ กระทาชอบ ทาการที่สจุ รติ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อ่นื เชน่ การจูงผูส้ ูงอายุขา้ มถนน
5. สมั มาอาชวี ะ อาชพี ชอบ ประกอบอาชพี ทีส่ จุ ริต เช่น รูจ้ ักทางานทส่ี จุ ริต แมจ้ ะมีรายไดน้ อ้ ยกด็ กี วา่ ทาผิดกฎหมาย
6. สมั มาวายามะ พยายามชอบ เพยี งละช่ัว มคี วามเพียรพยายาม เช่น เอาชนะใจตนเอง รจู้ กั หกั ห้ามใจต่อส่ิงยว่ั ยุ
7. สัมมาสติ ระลกึ ชอบ รูต้ ัวอยเู่ สมอ เชน่ ฝึกตนให้มีสติ ระมดั ระวังกายวาจาไมใ่ หไ้ ปกระทบผอู้ ่นื
8. สมั มาสมาธิ ตัง้ จิตมัน่ ชอบ มีจติ ท่ีแน่วแน่ เชน่ การต้ังเปา้ หมายกับการเรยี น แล้วให้ใหไ้ ด้
Thank You