The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sssmce, 2023-06-11 23:53:12

Chem_01 Molecular

Chem_01 Molecular

1 IA 1A 2 IIA 2A 3 IIIB 3B 4 IVB 4B 5 VB 5B 6 VIB 6B 7 VIIB 7B 8 9 VIII 8 Periodic Table o Lanthanide Series Actinide Series 6.941 9.012 1.008 22.990 24.305 39.098 40.078 44.956 47.867 50.942 51.996 54.938 55.845 58.933 85.468 87.62 88.906 91.224 92.906 95.95 98.907 101.07 102.906 132.905 137.328 178.49 180.948 183.84 186.207 190.23 192.217 138.905 140.116 140.908 144.242 144.913 150.36 151. 227.028 232.038 231.036 238.029 237.048 244.064 243. 223.020 226.025 [261] [262] [266] [264] [269] [278] Potassium Calcium Scandium Titanium Vanadium Chromium Manganese Iron Cobalt Rubidium Strontium Yttrium Zirconium Niobium Molybdenum Technetium Ruthenium Rhodium Cesium Barium Hafnium Tantalum Tungsten Rhenium Osmium Iridium Francium Radium Rutherfordium Dubnium Seaborgium Bohrium Hassium Meitnerium Hydrogen Lithium Beryllium Sodium Magnesium Lanthanum Cerium Praseodymium Neodymium Promethium Samarium Europ Actinium Thorium Protactinium Uranium Neptunium Plutonium Amer H Li Be Na Mg K Ca Sc Ti V Cr Mn Fe Co Rb Sr Y Zr Nb Mo Tc Ru Rh Cs Ba Hf Ta W Re Os Ir Fr Ra Rf Db Sg Bh Hs Mt La Ce Pr Nd Pm Sm E Ac Th Pa U Np Pu A 1 3 4 11 12 19 20 21 22 23 24 25 26 27 37 38 39 40 41 42 43 44 45 55 56 57-71 72 73 74 75 76 77 87 88 89-103 57 58 59 60 61 62 63 89 90 91 92 93 94 95 104 105 106 107 108 109 Atomic Number Sym Atomic Nam Alkali Metal Alkaline Earth Transition Metal Basic Metal Semimetal


18 VIIIA 8A 13 IIIA 3A 14 IVA 4A 15 VA 5A 16 VIA 6A 17 VIIA 7A 10 11 IB 1B 12 IIB 2B of the Elements © 2018 Todd Helmenstine sciencenotes.org 4.003 10.811 12.011 14.007 15.999 18.998 20.180 26.982 28.086 30.974 32.066 35.453 39.948 58.693 63.546 65.38 69.723 72.631 74.922 78.972 79.904 83.798 106.42 107.868 112.411 114.818 118.711 121.760 127.6 126.904 131.294 195.085 196.967 200.592 204.383 207.2 208.980 [208.982] 209.987 222.018 .964 157.25 158.925 162.500 164.930 167.259 168.934 173.055 174.967 .061 247.070 247.070 251.080 [254] 257.095 258.1 259.101 [262] [281] [280] [285] [286] [289] [289] [293] [294] [294] Nickel Copper Zinc Gallium Germanium Arsenic Selenium Bromine Krypton Palladium Silver Cadmium Indium Tin Antimony Tellurium Iodine Xenon Platinum Gold Mercury Thallium Lead Bismuth Polonium Astatine Radon Darmstadtium Roentgenium Copernicium Nihonium Flerovium Moscovium Livermorium Tennessine Oganesson Aluminum Boron Silicon Carbon Phosphorus Nitrogen Sulfur Oxygen Chlorine Fluorine Argon Neon Helium pium Gadolinium Terbium Dysprosium Holmium Erbium Thulium Ytterbium Lutetium ricium Curium Berkelium Californium Einsteinium Fermium Mendelevium Nobelium Lawrencium He B C N O F Ne Al Si P S Cl Ar Ni Cu Zn Ga Ge As Se Br Kr Pd Ag Cd In Sn Sb Te I Xe Pt Au Hg Tl Pb Bi Po At Rn Ds Rg Cn Nh Fl Mc Lv Ts Og Eu Gd Tb Dy Ho Er Tm Yb Lu m Cm Bk Cf Es Fm Md No Lr 28 29 30 31 13 5 32 14 6 33 15 7 34 16 8 35 17 9 36 18 10 2 46 47 48 49 50 51 52 53 54 78 79 80 81 82 83 84 85 86 64 65 66 67 68 69 70 71 96 97 98 99 100 101 102 103 110 111 112 113 114 115 116 117 118 mbol c Mass me Nonmetal Halogen Noble Gas Lanthanide Actinide


VSEPR Theory (M A = the central atom, X = an atom Note: There are lone pairs on X or other atoms, but we don't care. We Total Domains Generic Formula Picture Bonded Atoms Lone Pairs Molec Sha 1 AX 1 0 Line 2 AX2 2 0 Line AXE 1 1 Line AX3 3 0 Trigonal AX2E 2 1 Be 3 AXE2 1 2 Line AX4 4 0 Tetrah AX3E 3 1 Trigonal AX2E2 2 2 Be 4 AXE3 1 3 Line


olecular Shapes) bonded to A, E = a lone pair on A are interested in only the electron densities or domains around atom A. cular ape Electron Geometry Example Hybridi -zation Bond Angles ear Linear H2 s 180 ear Linear CO2 ear Linear CNsp 180 l planar Trigonal planar AlBr3 ent Trigonal planar SnCl2 ear Trigonal planar O2 sp2 120 hedral Tetrahedral SiCl4 pyramid Tetrahedral PH3 ent Tetrahedral SeBr2 ear Tetrahedral Cl2 sp3 109.5


Total Domains Generic Formula Picture Bonded Atoms Lone Pairs Molec Sha AX5 5 0 Trigonal b AX4E 4 1 See S AX3E2 3 2 T sh 5 AX2E3 2 3 Line AX6 6 0 Octah AX5E 5 1 Square p 6 AX4E2 4 2 Square Notes 1. There are no stable AXE4, AX3E3, AX2E4 or AXE5 molecules. 2. All bonds are represented in this table as a line whether the bond is single 3. Any atom bonded to the center atom counts as one domain, even if it is b number of domains, do not count bonds. 4. The number of bonded atoms plus lone pairs always adds up to the total n


cular ape Electron Geometry Example Hybridi -zation Bond Angles bipyramid Trigonal bipyramid AsF5 Saw Trigonal bipyramid SeH4 ape Trigonal bipyramid ICl3 ear Trigonal bipyramid BrF2 - sp3 d 90 and 120 hedral Octahedral SeCl6 pyramid Octahedral IF5 planar Octahedral XeF4 sp3 d2 90 e, double, or triple. bonded by a double or triple bond. Count atoms and lone pairs to determine the number of domains.


1 พันธะเคมี พันธะโคเวเลนต์ 1. การเขียน Lewis structure ของโมเลกุลหรือไอออนที่เกิดพันธะโควาเลนท์ 1. นับจ ำนวน valence electron ทั้งหมด (i) ถ้ำเป็นโมเลกุลที่เป็นกลำง (neutral molecule) ก็รวมจ่ำนวน valence electron ของทุกอะตอม (ii) ถ้ำเป็นไอออนบวก เช่น MXn+ เมื่อรวมจ่ำนวน valence electron ของทุกอะตอมแล้ว ต้องหักออกเท่ำกับ n (iii) ถ้ำเป็นไอออนลบ เช่น MXnเมื่อรวมจ่ำนวน valence electron ของทุกอะตอมแล้ว ต้องเพิ่มไปอีกเท่ำกับ n ตัวอย่าง จงค ำนวณหำจ ำนวน valence electron ทั้งหมดในสำรต่อไปนี้ a) ammonia, NH3 b) sulfue dioxide, SO2 c) xenon tetrafluoride, XeF4 d) chlorate ion, ClO3 - e) phosphate ion, PO4 3- f) hydronium ion, H3O +


2 2. เขียน skeleton structure ของโมเลกุล (คือดูว่ำอะตอมใดเกิดพันธะโควำเลนท์กับอะตอมใด) พร้อมกับใส่อิเล็กตรอน 2 ตัว ในแต่ละพันธะ (ใช้จุด 2 จุด หรือขีด 1 ขีดก็ได้) หลักเกณฑ์โดยทั่วไปในกำรเขียน skeleton structure (i) ไฮโดรเจนอะตอมมักเกิดพันธะเพียงพันธะเดียว เช่น (ii) อะตอมกลำง (central atom) มักจะเป็นอะตอมที่มีค่ำ electronegativity ต่ำสุด เช่น SCN- (electronegativity ของ S = 2.58, C = 2.55, N = 3.04) (iii) โมเลกุลหรือไอออนที่ประกอบด้วยอะตอมมำกกว่ำ 1 ชนิด และอะตอมบำงชนิดมีจ ำนวนอะตอมมำกกว่ำ อะตอมชนิดอื่น อะตอมกลำงมักจะเป็นอะตอมที่มีจ่ำนวนน้อยที่สุด เช่น Sulfate ion, SO4 2- 3. เติมอิเล็กตรอนทีละคู่ลงไปในอะตอมที่เกิดพันธะกับอะตอมกลำงจนมีอิเล็กตรอนครบ 8 4. ใส่อิเล็กตรอนที่เหลือลงไปที่อะตอมกลำง 5. ถ้ำอะตอมกลำงยังมีอิเล็กตรอนไม่ครบ 8 ก็ให้ท ำเป็น double bond หรือ triple bond ถ้ำอะตอมเหล่ำนั้นเป็น C, N, O, P หรือ S ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ formaldehyde (H2CO) ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ boron trifluoride, BF3


3 ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure Nitrogen gas, N2 ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ PCl5 ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ sulfur tetrafluoride, SF4 ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ Xenon tetrafluoride, XeF4 ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ Carbon monoxide, CO


4 ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ BrF2 - ตัวอย่ำง เขียน Lewis structure ของ I3 - 2. ปรากฏการณ์resonance บำงโมเลกุล เช่น sulfur dioxide, SO2 อำจเขียน Lewis structure ได้มำกกว่ำ 1 แบบ ปรำกฏกำรณ์ที่ไม่สำมำรถเขียน Lewis structure เพียงสูตรเดียว เพื่อแสดงกำรจัดเรียงของอิเล็กตรอนและอธิบำยสมบัติของ สำรหนึ่ง ๆ ได้เรียกว่ำ ปรำกฏกำรณ์resonance ตัวอย่าง เขียนโครงสร้ำง resonance ของ NO3 - ตัวอย่าง เขียนโครงสร้ำง resonance ของ SO3 ตัวอย่าง เขียนโครงสร้ำง resonance ของ SO2


5 ค าถาม คู่ของ Lewis structure ต่อไปนี้ถือว่ำเป็น resonance กันหรือไม่ a) H-CN: และ H-NC: b) และ 3. ประจุฟอร์มาล (Formal charge) เมื่อเขียน Lewis structure ได้แล้ว เรำสำมำรถค่ำนวณประจุฟอร์มำลของแต่ละอะตอมใน Lewis structure ได้ดังนี้ ประจุฟอร์มาล = V – N – เมื่อ V = จ ำนวน valence electron ในอะตอมอิสระ N = nonbonding electron ของอะตอมใน Lewis structure B = จ ำนวน bonding electron ของอะตอมใน Lewis structure ตัวอย่าง ค ำนวณประจุฟอร์มำล ของแต่ละอะตอมต่อไปนี้ ประจุฟอร์มำลของ S ใน SCN- = ประจุฟอร์มำลของ C ใน SCN- = ประจุฟอร์มำลของ N ใน SCN- = ข้อสังเกต 1. โมเลกุลที่เป็นกลำง ผลรวมของประจุฟอร์มำล = 0


6 2. ในกรณีที่เป็นไออน ผลรวมของประจุฟอร์มำลเท่ำกับประจุของไอออน ประโยชน์ของประจุฟอร์มาล โมเลกุลหรือไออนบำงชนิดอำจมีLewis structure ได้มำกกว่ำ 1 แบบ เช่น thionyl fluoride, SOF2 อำจเขียน Lewis structure ได้เป็น และ โดยที่ Lewis structure ทั้งสองแบบไม่ใช่ resonance กัน วิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยในกำรพิจำรณำว่ำ Lewis structure ใด น่ำจะเป็นไปได้มำกที่สุดคือดูจำกประจุฟอร์มำล ซึ่งมีเกณฑ์ใน กำรพิจำรณำดังนี้ Lewis structure ที่น่ำจะเป็นไปได้มำกที่สุด (the best structure) ควรต้องมี 1. เป็นไปตำมกฎ octet มำกที่สุด 2. อะตอมต่ำง ๆ ควรมีประจุฟอร์มำลต่ำงกันน้อยที่สุด 3. อะตอมที่มีค่ำ electronegativity สูงกว่ำควรจะมีประจุฟอร์มำลเป็นลบ 4. อะตอมชนิดเดียวกันจะไม่มีประจุฟอร์มำลที่มีเครื่องหมำยตรงข้ำม ตัวอย่าง โดยอำศัยค่ำประจุฟอร์มำล จงหำว่ำ Lewis structure ใดน่ำจะเป็นไปได้มำกกว่ำ บอกเหตุผลด้วย ตัวอย่าง โดยอำศัยค่ำประจุฟอร์มำล จงหำว่ำ Lewis structure ใดน่ำจะเป็นไปได้มำกกว่ำ บอกเหตุผลด้วย (i) H2NOH หรือ H2ONH


7 (ii) SCS หรือ CSS (iii) NOCl หรือ ONCl 4. Valence Shell Electron Pair Repulsion Theory (VSEPR Theory) กำรใช้ทฤษฎีนี้ไม่จ่ำเป็นต้องทรำบเรื่องรำวเกี่ยวกับ atomic orbital หรือ molecular orbital เลย แต่ต้องทรำบ Lewis structure ที่ถูกต้องของโมเลกุล ถ้ำเขียนโมเลกุลในลักษณะทั่วไปเป็น AXmEn เมื่อ A = อะตอมกลำง X = อะตอมที่เกิดพันธะกับ A m = จ่ำนวน X อะตอมซึ่งก็คือจ่ำนวนคู่ของ bonding electron E = สัญลักษณ์ที่ใช้แทนคู่อิเล็กตรอนที่ไม่สร้ำงพันธะ (nonbonding electron หรือlone pair electron) n = จ่ำนวน E ซึ่งก็คือจ่ำนวนคู่อิเล็กตรอนที่ไม่สร้ำงพันธะ เรำอำจจะสรุปใจควำมของ VSEPR theory ได้ดังนี้ 1. คู่อิเล็กตรอนใน valence shell ของอะตอม จะจัดตัวให้อยู่ห่ำงกันมำกที่สุด เพื่อให้เกิดกำรผลักกันระหว่ำง อิเล็กตรอนคู่ต่ำง ๆ น้อยที่สุด 2. กำรผลักกันระหว่ำงคู่อิเล็กตรอน จะลดลงตำมล่ำดับดังนี้ lone pair-lone pair > lone pair-bonding pair > bonding pair-bonding pair 3. ส ำหรับ multiple bond ให้ถือว่ำมีอิเล็กตรอนที่ร่วมสร้ำงพันธะกลุ่มเดียว 4. ถ้ำมีอิเล็กตรอนเดี่ยวจะผลักอิเล็กตรอนตัวอื่นน้อยกว่ำอิเล็กตรอนคู่กำรผลักกันของอิเล็กตรอนต่ำง ๆ จะลดลงตำม ล่ำดับดังนี้ lone pair > multiple bond > bonding pair > unpaired electron สรุปก็คือ ทฤษฎีนี้เสมอว่ำ โมเลกุลจะมีรูปร่ำงอย่ำงไรขึ้นกับแรงผลักระหว่ำงคู่อิเล็กตรอนใน valence shell ของอะตอมกลำง


8 ตัวอย่าง ใช้VSEPR theory จงอธิบำยผลกำรทดลองต่อไปนี้ a) b) c) NH3 มุมพันธะ 107º NF3 มุมพันธะ 102º 5. ทฤษฎีที่ใช้อธิบายพันธะโควาเลนท์ ดังได้กล่ำวแล้วว่ำ Lewis ได้เสนอควำมคิดว่ำ พันธะโควำเลนท์เป็นเรื่องของกำรใช้valence electron คู่ร่วมกัน ระหว่ำงสองอะตอมที่เกิดพันธะกัน ต่อมำเมื่อควำมรู้ทำง quantum mechanics แพร่หลำยขึ้นก็พบว่ำทฤษฎีทำง quantum สนับสนุนควำมคิดของ Lewis ทั้งยังท่ำให้เข้ำใจเกี่ยวกับพันธะเคมีได้ดีขึ้น ทฤษฎีที่ส่ำคัญและใช้ในปัจจุบันมีอยู่ 2 ทฤษฎีคือ 1. Valence bond theory (VBT) 2. Molecular orbital theory (MOT)


9 Valence bond theory (VBT) กำรเกิดพันธะโควำเลนท์ตำมทฤษฎีนี้อะตอมที่เกิดพันธะกันจะต้องเข้ำมำอยู่ใกล้กัน จนถึงระยะหนึ่งที่เรียกว่ำ ควำม ยำวพันธะ หลังจำกนั้นจะเกิดกำร overlap (ซ้อนเหลื่อมกัน) ของ valence orbital ที่เหมำะสม การ overlap กันของ atomic orbital ใน Valence bond theory 1. พันธะซิกมา ( -bond) เกิดจำกกำร overlap ของ orbital แบบ head to head คือตำมแนวปลำย กำรเกิดพันธะซิกมำอำจเกิดจำกกำร overlap ของ orbital ต่อไปนี้ 2. พันธะไพ (π – bond) p-orbital ที่ชี้ไปในทำงเดียวกัน อำจ overlap กันแบบ side to side คือตำมแนวข้ำง พันธะที่เกิดเรียกว่ำพันธะไพ กำรเกิด พันธะไพอำจเกิดจำกกำร overlap ของ orbital ต่อไปนี้


10 • DIATOMIC MOLECULES เพื่อให้เข้ำใจหลักของทฤษฎีนี้จะพิจำรณำกำรเกิดพันะในโมเลกุลของคลอรีน (Cl2 ) เป็นตัวอย่ำงดังนี้ ที่ ground state ฟลูออรีนจะมีกำรจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนเป็น 1s 2 2s 2 2p 6 3s 2 3p 5 อีกตัวอย่ำงหนึ่ง ได้แก่ โมเลกุลของออกซิเจน (O2 ) ซึ่งที่ ground state ออกซิเจนอะตอมมีกำรจัดเรียงตัวของ อิเล็กตรอนเป็น 1s 2 2s 2 2p 4 • POLYATOMIC MOLECULES


11


12


13


14 • Double bond และ Triple bond พันธะในโมเลกุลที่กล่ำวมำตั้งแต่ต้น ล้วนเป็นพันธะเดี่ยว (single bond) ทั้งนั้น แต่ยังมีโมเลกุลจ ำนวนมำกที่มีพันธะคู่ (double bond) หรือพันธะสำม (triple bond) ในโมเลกุลด้วย ตัวอย่ำงโมเลกุลที่มีพันธะคู่และพันธะสำมที่ง่ำยที่สุด ได้แก่ethylene (C2H4 ) และ acetylene (C2H2 ) ตำมล ำดับ 1. F2


15 2. C H 4 3. N F 3 4. C O 2


16 5. H2O 6. PCl5 7. SF6


17 8. CO 9. HCN 10. BrF5


18 11. N2 12. Ethylene 13. acetylene


19


20 Molecular orbital theory (MOT) ทฤษฎีนี้เริ่มใช้ในปี ค.ศ. 1932 และเป็นผลงำนของ F. Hund (เอฟ ฮุนด์) R. Mulliken (อำร์ มุลลิเกน) E. Huckel (อี ฮึกเกล) และ J. Lennard-Jones (เจ เลนนำร์ด โจนส์) รำกฐำนและรำยละเอียดของทฤษฎีนี้ขึ้นอยู่กับควำมรู้ทำง quantum mechanics ซึ่งสำมำรถสรุปหลักใหญ่ ๆ ในกำรศึกษำกำรเกิดพันธะใน diatomic molecule คือ 1. การสร้าง Molecular orbital ดังที่ทรำบกันแล้วว่ำแต่ละอะตอมประกอบด้วย นิวเคลียส (อยู่ที่ใจกลำงของอะตอม) และอิเล็กตรอน (อยู่ใน atomic orbital รอบ ๆ นิวเคลียสนั้น) เรำสำมำรถเขียนกำรจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนในอะตอมโดยใส่อิเล็กตรอนทีละตัวเข้ำไปยัง atomic orbital เหล่ำนั้น โดยอำศัยหลักเกณฑ์ 3 ข้อดังนี้ (i) จะใส่อิเล็กตรอนใน orbital ที่มีระดับพลังงำนต่ำสุดที่ยังว่ำงอยู่ก่อน (Aufbau principle) (ii) แต่ละ orbital จะบรรจุอิเล็กตรอนได้ไม่เกิน 2 ตัว และอิเล็กตรอนทั้งสองต้องมี spin ต่ำงกัน (Pauli exclusion) (iii) กำรบรรจุอิเล็กตรอนใน orbital ที่มีระดับพลังงำนเท่ำกัน (degenerate orbital) จะบรรจุในลักษณะที่ท่ำให้มี อิเล็กตรอนเดี่ยวมำกที่สุดเท่ำที่จะมำกได้ (Hund’s rule) 2. การพิจารณาระดับพลังงานของ Molecular orbital โดยควำมจริงแล้ว ค่ำที่ถูกต้องของระดับพลังงำนได้จำกกำรค่ำนวณโดยใช้ quantum mechanics แต่ในที่นี้จะ พิจำรณำคร่ำว ๆ โดยใช้หลักว่ำ bonding molecular orbital จะมีระดับพลังงำนต ่ำกว่ำของ atomic orbital ที่ใช้สร้ำง molecular orbital ส่วน antibonding molecular orbital จะมีระดับพลังงำนสูงกว่ำ เช่น ถ้ำ atomic orbital เป็น 1s ซึ่ง เขียนเป็นแผนภำพได้ ดังนี้


21 • Homonuclear diatomic molecules or ions โมเลกุลหรือไอออนของธำตุในแถวที่ 1 ของตำรำงธำตุ (ได้แก่ H2 + , H2 , He2+, He2 ) 1. H2 โมเลกุลนี้มีอิเล็กตรอน 2 ตัวอยู่ใน s b orbital เขียนกำรจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนที่ ground state ได้เป็น (s b ) 2 เรำสำมำรถค่ำนวณ bond order ได้จำกสูตร bond order = จ ำนวนอิเล็กตรอนใน BMO – จ ำนวนอิเล็กตรอนใน AMO 2 ค่า bond order อาจจะเป็นเลขจ านวนเต็มหรือครึ่งก็ได้ โมเลกุลที่มี bond order สูงจะเสถียรมากกว่าโมเลกุลที่ มี bond order ต ่า ในกรณีของ H2 bond order = _________________________ สมบัติทำงแม่เหล็กของสำรนี้คือ __________________________ 2. H2 - 3. He2


22 • โมเลกุลหรือไอออนของธาตุในแถวที่ 2 ของตารางธาตุ 1. N2 Electronic configurations: (σ1s ) 2 (σ2s ) 2 (σ*2s ) 2 (π2p) 4 (σ2p) 2 bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก =


23 2. O2 Electronic configurations: bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก = 3. F2 Electronic configurations: bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก =


24 • Heteronuclear diatomic molecules ให้ AX เป็นสูตรทั่วไปของโมเลกุลหรือไอออนเหล่ำนี้ เมื่อ X มีค่ำ electronegativity สูงกว่ำ A ทั้ง A และ X มี 2s และ 2p เป็น valence orbital ระดับพลังงำนของ molecular orbital ที่ได้จะเป็นดังนี้ จะเห็นว่ำ 2s และ 2p orbital ของอะตอม X มีระดับพลังงำนต ่ำกว่ำ 2s และ 2p orbital ของอะตอม A ตำมล ำดับ


25 1. CN Electronic configurations: bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก = 2. CNElectronic configurations: bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก = 3. NO Electronic configurations: bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก = 4. NO+ Electronic configurations: bond order = สมบัติทำงแม่เหล็ก=


1 ปริมาณสารสัมพันธ์ โมล โมล = g มวลโมเลกุล = V () 22.4 = V () 22400 = จ านวนโมเลกุล 6.02 x 1023 = จ านวนอะตอม โมลอะตอม x 6.02 x 1023 1) NaOH 200 กรัม เท่ากับ………………………………………………………………โมล 2) MgCl2 .2H2O 196.5 กรัม เท่ากับ………………………………………………………………โมล 3) CH4 67.2 dm3 ที่ STP เท่ากับ………………………………………………………………โมล 4) SO3 5.6 dm3 ที่ STP เท่ากับ………………………………………………………………โมล 5) H2S 11,200 cm3 ที่ STP เท่ากับ………………………………………………………………โมล 6) N2 44,800 cm3 ที่ STP เท่ากับ………………………………………………………………โมล 7) NH3 3.01 x 1023 โมเลกุล เท่ากับ………………………………………………………………โมล 8) C3H6 2.408 x 1024 โมเลกุล เท่ากับ………………………………………………………………โมล 9) แมกนีเซียมซัลเฟต 2.408 x 1024อะตอม เท่ากับ………………………………………………………………โมล 10) อะลูมิเนียมซัลเฟต 3.25 x 1025อะตอม เท่ากับ………………………………………………………………โมล โมล จ านวนอนุภาค 6.02 x 1023 อนุภาค มีมวลเท่ากับมวลโมเลกุล หรือมวลอะตอม (g) แก๊สหรือไอที่มีปริมาตร 22.4 L (dm3 ) ที่ STP (1 atm, 0C)


2 11) แคลเซียมฟอสเฟต 65 โมลอะตอม เท่ากับ………………………………………………………………โมล 12) ไอร์ออน (III) ไนเตรต 26 โมลอะตอม เท่ากับ………………………………………………………………โมล 13) แก๊สออกซิเจน (O2 ) 16 กรัมจะมีปริมาตรกี่ลิตรที่STP 14) ในน ้าบริสุทธิ์ (H2O) 180 กรัมจะมีจ านวนโมเลกุลกี่โมเลกุล 15) แก๊สมีเทน 9.03x1023 โมเลกุลจะมีปริมาตรกี่ลิตรที่STP


3 Ex. สารประกอบ A.nH2O จากการวิเคราะห์พบว่ามีน ้าเป็นองค์ประกอบ 45.3 % สารประกอบ A มีมวลโมเลกุล 152 จงหาค่า n ก. 6 ข. 7 ค. 8 ง. 9 1) จงหามวลร้อยละของธาตุ C ใน CO2 2) จงหามวลร้อยละของธาตุO ใน CuSO4 .5H2O (Cu = 63.5, S = 32) 3) จากข้อที่ผ่านมา จงหามวลร้อยละของน ้า ค านวณมวลเป็นร้อยละจากสูตร เปอร์เซ็นต์ของธาตุ A = มวลของธาตุ มวลขอลสารประกอบ หรืออาจหาจากสมการก็ได้โดยในสารประกอบนั้นมีมวล 100%


4 4) สาร A เป็นสารบริสุทธิ์โดยใน 1 โมเลกุลของสารนี้ประกอบด้วยคาร์บอน 27 อะตอม คิดเป็นร้อยละโดยมวลของคาร์บอน เท่ากับ 80.50 อยากทราบว่าสาร A มีมวลโมเลกุลเท่าไร ก. 348.3 ข. 402.5 ค. 430.3 ง. 490.8 6) ฟอร์มาลดีไฮด์ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) มีสมบัติเป็นแก๊สพิษที่มีกลิ่นฉุน ใช้มากใน อุตสาหกรรมพลาสติกและการดองสัตว์ ถ้าฟอร์มาลดีไฮด์300 กรัม มีคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ 120 กรัม และ 20 กรัม ตามล าดับ จงค านวณร้อยละโดยมวลของธาตุองค์ประกอบแต่ละชนิดในฟอร์มาลดีไฮด์ 7) สารตัวอย่าง 0.500 กรัม ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) เมื่อเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ พบว่า เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) 0.687 กรัม และไอน ้า (H2O) 0.140 กรัม จงค านวณร้อยละโดยมวลของคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจนในสาร


5 การหาสูตรอย่างง่ายสามารถท าได้หลายวิธี 1. หาอัตราส่วนโมลอะตอมตามสูตรข้างต้น (อาจจะหาอัตราส่วนไม่ครบทุกธาตุก็ได้) 2. ถ้ารู้มวลโมเลกุลจะท าให้รู้สูตรโมเลกุลได้ (ระวัง ! มีมวลโมเลกุลซ ้ากันหลายข้อ) 3. หาร้อยละของธาตุในสูตรโมเลกุล 4. หามวลโมเลกูลจากสมการ โดย 4.1 บอกมวลของสารประกอบมาเป็นกรัม 4.2 บอกมวลขององค์ประกอบมาเป็น % โดยมวล (มวลของสารประกอบต้อง 100 % เสมอ) 1) ค านวณสูตรเอมพิริคัลของสารที่ประกอบด้วยร้อยละโดยมวลของธาตุองค์ประกอบ ดังนี้ ข้อ ร้อยละโดยมวลของธาตุองค์ประกอบ โพแทสเซียม (K) คลอรีน (Cl) ออกซิเจน (O) 1.1 43.18 39.15 17.67 1.2 31.90 28.93 39.17 1.3 28.22 25.59 46.19 สูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุล สูตอย่างง่าย = ปริมาณสาร (g) มวลอะตอม : ปริมาณสาร (g) มวลอะตอม : ………… (มวลของสูตรอย่างง่าย)n = มวลโมเลกุล


6 2) เมื่อฟอสฟอรัส (P) 9.29 กรัม เกิดการเผาไหม้จะได้สารประกอบออกไซด์หนัก 21.29 กรัม จงหาสูตรเอมพิริคัลของ สารประกอบออกไซด์ 3) สารประกอบชนิดหนึ่งประกอบด้วยธาตุคาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) เท่านั้น จากการวิเคราะห์พบว่ามี คาร์บอนร้อยละ 48.83 และไฮโดรเจนร้อยละ 8.12 โดยมวล จงหาสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบนี้ 4) เมื่อน าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดหนึ่งมาเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 ) 6.60 กรัม และไอ น ้า (H2O) 4.10 กรัม จงหาสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบนี้


7 5) สารประกอบชนิดหนึ่งประกอบด้วยก ามะถัน (S) และไนโตรเจน (N) เท่านั้น ถ้าสารประกอบนี้ มีก ามะถันเป็นองค์ประกอบ ร้อยละ 69.60 โดยมวล และมีมวลโมเลกุลเท่ากับ 184 จงหาสูตรโมเลกุลของสารประกอบนี้ 6) แก๊สชนิดหนึ่งประกอบด้วยคาร์บอน (C) ร้อยละ 79.89 และไฮโดรเจน (H) ร้อยละ 20.11 โดยมวล และมีความหนาแน่น 1.34 กรัมต่อลิตร ที่ STP จงหาสูตรโมเลกุลของแก๊สนี้ 7) น าสารประกอบชนิดหนึ่งมาแยกสลายจนหมด จะได้คาร์บอน (C) 1.2 กรัม ไฮโดรเจน (H) 0.2 กรัม และออกซิเจน (O) 1.6 กรัม เท่านั้น จงหาสูตรอย่างง่าย และ ถ้าสารมีมวลโมเลกุล 60 จงหาสูตรโมเลกุลของสารนี้


8 8) ออกไซด์ชนิดหนึ่งมีAs 65.2% และ O 34.8% โดยมวลออกไซด์นี้มีมวลโมเลกุลเท่ากับ 230 สูตรของออกไซด์เป็นอย่างไร (As = 75, O = 16) ก. AsO2 ข. As2O3 ค. As2O4 ง. As2O5 9) สาร A ประกอบด้วยธาตุ N, H, O เมื่อสาร A 64 กรัม สลายตัวจะได้แก๊สไนโตรเจน 28 กรัม และไอน ้า 36 กรัม จงหาสูตร อย่างง่ายของสาร A นี้ ก. N2H4O3 ข. NHO3 ค. N2H4 O ง. N3H6O3 10) เมื่อน าสารอินทรีย์ชนิดหนึ่ง 1.08 กรัม มาเผาไหม้สมบูรณ์ได้คาร์บอนไดออกไซด์3.08 กรัม และน ้า 0.72 กรัม สูตรอย่าง ง่ายของสารอินทรีย์เป็นดังข้อใด ก. C6H4O2 ข. C7H8O ค. C8H12 ง. C7H8O2


9 11) สารอินทรีย์ชนิดหนึ่ง น ามา 0.01 mol หนัก 1.8 กรัม เมื่อน ามาเผาเกิด CO2 1.792 dm3 มี STP เกิด H2O 0.36 กรัม จงหาสูตรของสารประกอบนี้ ก. C14H12 ข. C13H24 ก. C8H4O5 ง. C6H12O6 12) สาร A หนัก 18 กรัม เมื่อน ามาผาได้แก๊ส CO2 เมื่อผ่านแก๊สไปในน ้าปูนใสได้ตะกอน 80 กรัม และเมื่อน าสารดูดความชื้นมา ชั่ง น ้าหนักเพิ่มขึ้น 18 กรัม A คือสารใด ก. C5H5O2 ข. C4H10O2 ค. C6H15O4 ง. C8H20O2 13) สารประกอบชนิดหนึ่งเป็นของแข็งสีขาว ประกอบด้วยธาตุ Ca, C, O และ H เมื่อน าไปให้ความร้อนจนเกิดการ สลายตัวพบว่า ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแคลเซียมออกไซด์ร้อยละ 26.9 โดยมวลคาร์บอนไดออกไซด์ร้อยละ 21.1 โดยมวลและที่เหลือเป็นไอน ้า ข้อใดคือสูตรเอมพิริคัลของสารประกอบนี้ ก. CaCO3 .6H2O ข. CaCO3 .5H2O ค. CaCO3 .3H2O ง. CaCO3 .2H2O


10 14) สารชนิดหนึ่งประกอบด้วยโซเดียม โครเมียม และออกซิเจนร้อยละ 17.6, 39.7 และ 42.7 โดยมวล ตามล าดับ สูตรเอมพิริคัลของสารนี้คือข้อใด ก. NaCrO3 ข. NaCrO4 ค. Na2CrO4 ง. Na2Cr2O7 15) สารประกอบอินทรีย์ชนิดหนึ่งประกอบด้วยธาตุ C, H และ O เมื่อเผาสารประกอบอินทรีย์นี้มวล 23.2 g โดยใช้แก๊ส O2 ที่มากเกินพอเกิดแก๊ส CO2 52.8 g และ H2O 21.6 g สูตรเอมพิริคัลของสารประกอบอินทรีย์นี้คืออะไร o ร้อยละโดยมวลต่อมวล (%W/W) ▪ %W/W = มวลตัวถูกละลาย มวลสารละลาย x 100 o ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร (%W/V) ▪ %W/V = มวลตัวถูกละลาย ปริมาตรสารละลาย x 100 o ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร (%V/V) ▪ %V/V = ปริมาตรตัวถูกละลาย ปริมาตรสารละลาย x 100 ความเข้มข้น


11 1) มีNaOH 2 mol น ามาละลายในน ้า 3 mol สารนี้เข้มข้นกี่ % โดยมวล 2) สารละลาย HCl เข้มข้น 2% โดยปริมาตรต่อปริมาตร จ านวน 200 cm3 จะมี HCl ปริมาตรเท่าใด o ส่วนในล้านส่วน (ppm=part per million) ▪ ppm = มวลตัวถูกละลาย มวลของสารละลาย x 106 o ส่วนในพันล้านส่วน (ppb=part per billion) ▪ ppb = มวลตัวถูกละลาย มวลของสารละลาย x 109 • โมลาร์ลิตี้(Molarlity, M) (mol/dm3 ) Molar = mol ตัวถูกละลาย (mol) ปริมาตรสารละลาย (L) • โมแลล (molal, m) (mol/kg) Molal = mol ตัวถูกละลาย (mol) ปริมาตรตัวท าละลาย (kg) • การเปลี่ยนหน่วยความเข้มข้นแบบร้อยละเป็น Molar o Case I : สูตรเปลี่ยนจาก %w/w และ %v/v เป็น Molar C = 10%D Mw o Case II : สูตรเปลี่ยนจาก %w/v เป็น Molar C = 10% Mw เมื่อ C : ความเข้มข้น (M, mol/) D : ความหนาแน่นสารละลาย (g/cm3 ) Mw : มวลโมเลกุลตัวถูกละลาย


12 1) น าน ้าตาลกลูโคส (C6H12O6 ) 90 กรัม มาละลายน ้าจนได้สารละลายอันมีปริมาตร 500 cm3 จงหาว่าสารละลายนี้มีความ เข้มข้น กี่ mol/dm3 2) ในการเตรียมสารละลาย NaOH เข้มข้น 0.1 mol / dm3 จ านวน 5 ลิตร ต้องใช้ NaOH กี่กรัม ( Na=23, O=16 , H=1) 1. 1.0 2. 2.0 3. 10.0 4. 20.0 3) สารละลายกลูโคส (C6H12O6 ) เข้มข้น 30% โดยมวลต่อมวลมีความหนาแน่น 9 g/cm3 จะมีความเข้มข้นกี่โมล/ลิตร 4) NaOH เข้มข้น 20% โดยมวล/ปริมาตรจงหาความเข้มข้นเป็นโมล/ลิตร


13 • การเปลี่ยนหน่วยความเข้มข้น o เจือจางสารละลาย aC1V1 = bC2V2 เมื่อ C1 , C2 คือ ความเข้มข้นของสารละลายตอนแรกและตอนหลัง ตามล าดับ v1 .v2 คือ ปริมาตรของสารละลายตอนแรกและตอนหลัง ตามล าดับ a, b คือ จ านวนอิออนนั้นในสารละลายที่ 1 และ 2 ตามล าดับ o ผสมสารละลาย CรวมVรวม = C1V1 + C2V2 + ….. เมื่อ C1 , C2 , Cรวม คือ ความเข้มข้นของสารละลายที่ 1, 2 และสารละลายรวม ตามล าดับ v1 , v2 , vรวม คือ ปริมาตรของสารละลายที่ 1, 2 และสารละลายรวม ตามล าดับ 1) สารละลายชนิดหนึ่งเข้มข้น 5 mol/dm3 ปริมาตร 1 dm3 เมื่อเติมน ้าลงไปจนปริมาตรสุด ท้ายรวมเป็น 10 dm3 ความ เข้มข้นจะเปลี่ยนเป็นเท่าใด 2) สารละลายชนิดหนึ่งเข้มข้น 2 mol/dm3 ปริมาตร 1 dm3 เมื่อเติมน ้าลงไปอีก 4 dm3 ความเข้มข้นจะเปลี่ยนเป็นเท่าใด 3) สารละลายชนิดหนึ่ง 100 cm3 เข้มข้น 3 mol/dm3 ต้องการเตรียมให้เข้มข้นเป็น 2 mol/dm3 จะต้องเติมน ้าจนมีปริมาตร เท่าใด


14 4) ผสมสาระลายกรด HCl ขวดที่ 1 ซึ่งมีความเข้มข้น 1 mol/dm3 จ านวน 300 cm3 กับ HCl ขวดที่ 2 ซึ่งมีความเข้มข้น 2 mol/ dm3 จ านวน 200 cm3 แล้วเติมน ้าลงไปอีก 500 cm3 ถามว่าสารละลายผสมที่ได้จะมีความเข้มข้นกี่ mol/dm3 5) ถ้าน าสารละลาย NaCl ที่มีความเข้มข้น 3 M จ านวน 200 cm3 มาผสมกับสารละลาย NaCl ที่มีความเข้มข้น 1.5 M จ านวน หนึ่ง สารละลายผสม NaCl ที่ได้มีความเข้มข้น 2.1 M สารละลาย NaCl ที่มีความเข้มข้น 1.5 M ที่ใช้ผสมมีปริมาตรเท่าใด 6) พิจารณาสารละลาย a, b และ c ต่อไปนี้ a : สารละลาย NaCl เข้มข้น 50 ppm b : สารละลาย NaCl เข้มข้นร้อยละ 0.050 โดยมวลต่อปริมาตร C : สารละลาย NaCl เข้มข้น 5.0 x 10-3 M ข้อใดเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารละลายได้ถูกต้อง ก. a > b > c ข. a > c > b ค. b > c > a ง. c > b > a


15 7) ข้อใดผิดเกี่ยวกับสารละลาย CH3COOH เข้มข้น 15 mol/dm3 ปริมาตร 1 dm3 ที่มีความหนาแน่น 1.50 g/cm3 ก. มวลของน ้าเท่ากับ 600 g ข. ร้อยละโดยมวลของ CH3COOH เท่ากับ 60 ค. ความเข้มข้นเท่ากับ 25 m ง. ร้อยละโดยโมลของ CH3COOH เท่ากับ 69 8) ก าหนดให้สารละลาย A เป็นสารละลายที่ได้จากการน า MgCl2⋅ 6H2O มวล 4.06 g มาละลายน ้าจนได้สารละลาย ปริมาตร 250 cm3 ถ้าต้องการเตรียมสารละลาย MgCl2 เข้มข้น 0.0100 mol/dm3 ปริมาตร 500 cm3 โดยการ เจือจางสารละลาย A จะต้องใช้สารละลาย A กี่ลูกบาศก์เซนติเมตร 10) ในน ้ายาซักผ้ามีโซเดียมไฮโปคลอไรต์ (NaClO) ร้อยละ 14.9 โดยมวลต่อปริมาตรถ้าน าน ้ายาซักผ้ามา 2.50 cm3 แล้วเติมน ้า ให้ได้ปริมาตร 10.00 cm3 จะได้สารละลาย NaOCl เข้มข้นกี่โมลาร์ 11) ถ้าเตรียมสารละลายโดยชั่งคอปเปอร์(ll)ซัลเฟตเหนตะไฮเดรต 2.495 g ละลายในน ้ากลั่น แล้วปรับปริมาตร สารละลายให้เป็น 100.00 mL ในขวดก าหนดปริมาตร จากนั้นปิเปตสารสารละลายที่เตรียมได้ 5.00 mLลงในขวด ก าหนดปริมาตรขนาด 250.0 mL แล้วเดิมน ้ากลั่นจนจุดต ่าสุดของส่วน โค้งของสารละลายอยู่ตรงกับขีดบอก ปริมาตร สารละลายสุดท้ายมีความเข้มข้นของ Cu2+ เป็นเท่าใดในหน่วยส่วนในล้านส่วน


16 เป็นค านวณที่ออกสอบมากที่สุด ต้องฝึกโจทย์เยอะๆจึงจะท าได้ดี A + 2B C + 3D g g = mol mol = dm3 dm3 บรรทัดบนโจทย์ก าหนดให้ บรรทัดล่างมาจากความสัมพันธ์ของสมการ การท าโจทย์ 1. อย่าลืมดุลสมการก่อน ถ้าสมการใดดุลยาก ลองดูอะตอมที่ห้อยต่างกันคูณไขว้กัน 2. ถ้าโจทย์ให้มาเป็นความเข้มข้น ท าเป็น mol ก่อน 3. ถ้าโจทย์ให้ผลิตภัณฑ์มา สามารถน าไปหาสารได้ทุกชนิด 4. ถ้าโจทย์ให้สารตั้งต้นมาหลายตัว เอาตัวหมดเทียบ 5. ถ้าโจทย์ให้หาผลิตภัณฑ์รวมกันหลายตัวในหน่วยเดียวกัน สามารถรวมคิดทีเดียวได้เลย ไม่ต้องแยกคิดทีละตัว 1) การผลิตกรดในทริกในอุตสาหกรรมอาศัยปฏิกิริยาเคมีตังสมการ NO2 (g) + H2O(l) → HNO3 (aq)+ NO(g) (สมการยังไม่ดุล) ถ้าต้องการผลิตกรดในทริก 7.56 kg ต้องใช้ในโตรเจนใดออกไซด์กี่กิโลกรัม ก. 3.7 ข. 5.5 ค. 8.3 ง. 16 2) โลหะอะลูมิเนียม 54 g ท าปฏิกิริยาพอดีกับธาตุโบรมีน 480 g ที่อุณหภูมิสูงเกิดเป็นสารประกอบโบรไมด์ เพียงชนิดเดียว จ านวน 1 โมล ข้อใดคือสูตรเคมีของสาร ก. AlBr3 ข. Al2Br6 ค. Al3Br9 ง. Al4Br12 สมการเคมี mol = cv 1,000


17 3) ก าหนดให้น ้ามันดีเซลชนิดหนึ่งประกอบด้วย C15H24 เท่านั้น และมีความหนาแน่น 0.816 g/mL ถ้าน าน ้ามันดีเซล ชนิดนี้ ปริมาตร 2.00 L มาท าปฎิกิริยาเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กี่ลิตรที่ STP ก. 3.29 x 103 ข. 2.69 x 103 ค. 2.20 x 102 ง. 1.79 x 102 4) น าตัวอย่างวัตถุระเบิดชนิดหนึ่ง 0.188 g ซึ่งมี KClO3 เป็นองค์ประกอบ มาละลายแล้วท าปฏิกิริยากับ สารละลาย Fe2+ เข้มข้น 0.12 M ปริมาตร 50.0 mL เกิดปฏิกิริยาดังนี้ ClO3 - (aq) + 6Fe2+(aq) +6H+ (aq) →Cl+ (aq)+6Fe3+(aq)+3H2O(l) เมื่อสิ้นสุดปฏิกิริยาหาปริมาณ Fe2+ ที่เหลือ พบว่า ท าปฏิกิริยาพอดีกับสารละลาย Ce4+ เข้มข้น 0.080 M ปริมาตร 15.0 mL โดยอัตราส่วนโมลของปฏิกิริยาระหว่าง Fe2+ : Ce4+ เป็น 1 : 1 ร้อยละโดยมวลของ KCIO3 ใน ตัวอย่างวัตถุระเบิดนี้เป็นเท่าใด ก. 0.098 ข. 13 ค. 52 ง. 64 5) ก าหนดให้ เอทานอลผลิตได้จากปฏิกิริยา 2 ขั้นตอนดังนี้ CO2 (g)+ H2O(l)- → C6H12O6 (s)+O2 (g) (สมการยังไม่ดุล) C6H12O6 (s) → CO2 (g)+C2H5OH(l) (สมการยังไม่ดุล) ถ้าต้องการเตรียมสารละลายเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 75 โดยปริมาตร จ านวน 200 mL ต้องใช้แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์กี่กรัมเป็นสารตั้งต้น ก าหนดความหนาแน่นของเอทานอลเท่ากับ 0.782 g/mL ก. 5.1 ข. 56 ค. 112 ง. 224


18 7) จากปฏิกิริยาต่อไปนี้ Al4C3 (s) + H2O(l) → AI(OH)3 (s) + CH4 (g) (สมการยังไม่ดุล) ถ้าเกิด CH4 9.6 g จะมี AI(OH)3 เกิดขึ้นกี่โมล ก. 0.25 ข. 0.45 ค. 0.60 ง. 0.80 8) การหาปริมาณแบเรียมไอออนในน ้าท าได้โดยใช้วิธีตกตะกอนเป็น Ba(Lo3 )2 เมื่อน าตัวอย่างน ้า 200.00 mL มาเติม สารตกตะกอน ได้แก่ สารละลาย NalO3 เข้มข้น 0.0100 M ปริมาตร 20.00 mL หลังจากตกตะกอนสมบูรณ์แล้ว พบว่า มี NalO3 เหลืออยู่ 0.000100 M ความเข้มข้นของแบเรียมไอออนในน ้าตัวอย่างนี้เป็นกี่มิลลิโมลาร์ ก. 1.78 ข. 0.890 ค. 0.445 ง. 0.405 9) น ้าส้มสายชูชนิดหนึ่งฉลากระบุว่า มีกรดแอซีติก (CH3COOH) เข้มข้นร้อยละ 5.0 โดยมวลต่อปริมาตร และมี ความหนาแน่น 1.0 g/mL เมื่อนักเรียนทดลองหาปริมาณกรดแอซีติกในน ้าส้มสายชูชนิดนี้พบว่า น ้าส้มสายชู 10.00 mL ท าปฏิริยาพอดีกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) เข้มข้น 0.40 M ปริมาตร 20.50 mL ได้ CH3COON และน ้าเป็นผลิตภัณฑ์พิจารณาข้อความต่อไปนี้ 1) น ้าส้มสายชูมีกรดแอซีติกเข้มข้น 0.82 M 2) น ้าส้มสายชูมีกรดแอซีติกเข้มข้นร้อยละ 4.9 โดยมวลต่อปริมาตร 3) ปริมาณกรดแอดิกที่ได้จากผลการทดลองมากกว่าค่าที่ระบุบนฉลากร้อยละ 2 ข้อใดถูก ก. 1 และ 2 เท่านั้น ข. 1 และ 3 เท่านั้น ค. 2 และ 3 เท่านั้น ง. 1, 2 และ 3


Click to View FlipBook Version