การแข่งขนั สอบวดั ทกั ษะวชิ าการระดบั ชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ขอ้ สอบวชิ าวชิ าวทิ ยาศาสตร์
ภาคีเครือขา่ ยโรงเรยี นทว่ั ประเทศ และสถาบันอซี ลี่ ชิ ประเทศไทย รหสั ชุดข้อสอบ 402004
_____________________________________________________________________________________________________________________________ _______________________________________________________________
25. ขอ้ ใดกล่าวไมถ่ ูกตอ้ งเก่ยี วกับ DNA
1. เปน็ กรดนิวคลอี กิ ชนดิ หนง่ึ 2. มปี ลาย 2 ปลาย คือ 5' กบั 3'
3. โครงสรา้ งเป็นโพลเิ มอร์ (Polymer) 4. วงแหวน Purine ไดแ้ ก่ Guanine และ Thymine
5. นิวคลโี อไทด์ ประกอบดว้ ย น้ำตาลเพนโตส , N – Base และหมู่ฟอสเฟต
26. ขอ้ ใดกลา่ วถกู ตอ้ งเกีย่ วกับเยอื่ หุ้มเซลล์ของออรแ์ กเนลตา่ ง ๆ แบบไม่มเี ยือ่ ห้มุ เซลล์, มีเยือ่ หุ้มเซลล์ 1 ช้ัน และมเี ยื่อหุ้ม
เซลล์ 2 ช้นั ตามลำดับ
1. Centriole, Mitochondria, Golgi body 2. Golgi body, Vacuole, Chloroplast
3. Ribosome, Lysosome, Mitochondria 4. Vacuole, Ribosome, Centriole
5. Mitochondria, Endoplasmic reticulum, Chloroplast
27. Polymerase Chain Reaction (PCR) คอื กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีใชเ้ พิม่ จำนวนตวั อยา่ ง DNA ให้มากขนึ้
โดยอาศัยหลักการของ DNA replication ขอ้ ใดกลา่ วเกยี่ วกับข้ันตอนหรือหลกั การของ PCR ไม่ถูกต้อง
1. การแยก DNA เกลียวคอู่ อกจากกนั ทำได้โดยอาศัยอุณหภมู ทิ สี่ ูงมากประมาณ 95 C̊
2. กระบวนการท่ีสำคัญในการทำ PCR ประกอบด้วย Denaturation คอื การแยกสาย DNA เกลียวคอู่ อกจากกนั ,
Annealing คือ การจบั ของ RNA primer ทบ่ี รเิ วณ complementary base, Extension คอื การต่อสาย
polynucleotide ใหม้ ีความยาวมากขนึ้
3. การทำ PCR ใช้ DNA polymerase ตัวเดียวกนั กบั ที่เกิดภายในเซลล์ของมนุษยท์ ำใหส้ ามารถเพ่ิมจำนวน DNA
ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
4. องค์ประกอบที่สำคัญในการทำ PCR ประกอบด้วย DNA template, nucleotide, DNA polymerase, DNA
primer, buffer และอณุ หภมู ทิ ่ีเหมาะสมสำหรบั แต่ละขัน้ ตอน
5. การเพมิ่ จำนวน DNA ด้วย PCR ยังคงเปน็ การสรา้ งสาย DNA แบบ semiconservative replication ทีม่ ีจำนวน
เพม่ิ ข้ึนเทา่ กับ 2n เมอื่ n คอื จำนวนรอบในการเกดิ ปฏิกริ ิยา และสายใหมจ่ ะถูกสร้างจาก 5' ไป 3'
28. Gene therapy หมายถงึ วธิ ีการรกั ษาโรคหรอื ความผดิ ปกติทางพันธุกรรม โดยการแกไ้ ขยนี น้นั ๆ ใหส้ ามารถทำงาน
ได้อย่างปกติ เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยป้องกันการต่อต้านจากภูมิคุ้มกันของ
ร่างกายผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง ข้อใดเรียงลำดับกระบวนการ
หรือขั้นตอนในการรักษาโรคที่เกดิ จากความผิดปกติของยนี เช่น ธาลัสซเี มยี ดว้ ยกระบวนการ Gene therapy ได้ถกู ต้อง
A. Stem cell ท่ไี ดจ้ ะกลายเปน็ เซลลท์ ่ีมีลำดบั เบสในการสรา้ งเมด็ เลอื ดท่ีถูกต้อง
B. ไวรสั จะขนสง่ DNA ท่ีถกู ต้องเขา้ ไปใน stem cell
C. ร่างกายของผู้ป่วยสามารถสรา้ งโปรตนี ทีถ่ ูกตอ้ ง
D. นกั วทิ ยาศาสตรส์ ังเคราะห์ DNA ซ่ึงมีลำดบั ยนี ทถี่ กู ต้องใสไ่ ว้ใน virus vector
E. ขนส่งเซลล์ทีบ่ รรจลุ ำดบั เบสทถี่ กู ต้องกลบั เข้าไปในร่างกายของผู้ปว่ ย
F. การนำ Stem cell ท่ีจะพฒั นาไปเป็นเม็ดเลือดชนิดตา่ งๆ ออกมาจากร่างกายของผู้ป่วย
1. F > D > B > A > E > C
2. B > F > D > E > A > C
3. D > E > F > B > A > C
4. A > B > C > D > E > F
5. F > E > D > C > B > A
6
การแข่งขนั สอบวดั ทักษะวชิ าการระดบั ชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ข้อสอบวิชาวชิ าวิทยาศาสตร์
ภาคเี ครอื ข่ายโรงเรยี นท่วั ประเทศ และสถาบนั อีซ่ลี ชิ ประเทศไทย รหสั ชุดข้อสอบ 402004
_____________________________________________________________________________________________________________________________ _______________________________________________________________
29. ขอ้ ใดบอกหนา้ ทีก่ ารทำงานของออรแ์ กเนลล์ในสัญลักษณต์ ่อไปนไี้ ด้ถูกต้อง
ขอ้ สญั ลักษณ์ E สญั ลักษณ์ J สญั ลกั ษณ์ I สัญลกั ษณ์ B สัญลกั ษณ์ C
1. สังเคราะหแ์ สง ตดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ งเซลล์ สงั เคราะห์ สังเคราะห์ไขมนั
2. สร้างพลงั งาน สร้างพลงั งาน คดั เลือกสารเข้า-ออกเซลล์ โปรตีน
3. สังเคราะหแ์ สง กกั เก็บสาร
4. สรา้ งพลังงาน สังเคราะห์ ให้ความแขง็ แรง สงั เคราะหไ์ ขมนั ควบคุมการ
แสง ให้ความแขง็ แรง ทำงานของเซลล์
สงั เคราะห์ สังเคราะหโ์ ปรตีน
สร้างพลงั งาน โปรตีน
สังเคราะห์ สงั เคราะห์ไขมนั
แสง
5. สงั เคราะหแ์ สง สร้างพลังงาน คดั เลอื กสารเขา้ -ออกเซลล์ สงั เคราะหไ์ ขมนั สงั เคราะหโ์ ปรตนี
30. ขอ้ ใดบอกลักษณะของการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอนแบบเปน็ วฏั จกั รและไมเ่ ป็นวฏั จกั รของกระบวนการสังเคราะหด์ ้วย
แสงได้ถกู ตอ้ ง
ข้อ Cyclic electron transfer Non-cyclic electron transfer
1. ใช้ทั้ง Photosystem I และ II ใช้เฉพาะ Photosystem I เทา่ นั้น
2. ไม่เกดิ การแตกตวั ของนำ้ ดว้ ยการกระตนุ้ ของแสง (Photolysis) เกดิ การแตกตวั ของน้ำด้วยการกระตุ้นของแสง (Photolysis)
3. ผลติ ภณั ฑ์ทีส่ ามารถสร้างได้ คอื ATP และ NADPH สามารถสรา้ งได้เฉพาะ NADPH เท่านั้น
4. ตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้าย คอื NADP+ ตวั รับอเิ ลก็ ตรอนตัวสุดทา้ ย คอื ferredoxin
5. มีการปลดปลอ่ ย oxygen ออกมาในกระบวนการ ไม่มกี ารปลดปล่อย oxygen ออกมาในกระบวนการ
31. ข้อใดไม่ใช่ใจความสำคัญของการคัดเลือกโดยธรรมชาตทิ ่ถี ูกเสนอโดย Charles Darwin
1. ส่งิ มีชวี ติ ทแี่ ขง็ แกร่งท่สี ุดและฉลาดที่สดุ เทา่ น้ันท่ีจะถูกคดั เลอื กใหอ้ ยตู่ อ่ ไปในธรรมชาติ
2. ประชากรเพ่ิมแบบทวีคูณ (1, 2, 4, 8, 16, 32, 64 …) ในขณะทอี่ าหารเพม่ิ แบบเลขคณิต (1, 2, 3, 4, 5, …)
3. สงิ่ มชี วี ติ ในแตล่ ะรุ่นจะไม่เหมือนกัน 100% จะมคี วามแตกต่างกนั เลก็ นอ้ ย ส่ิงมชี ีวิตตัวใดทเี่ หมาะสมกับ
สภาพแวดล้อมจะถกู คัดเลือกให้คงอย่ตู ่อไป
4. สง่ิ มชี วี ติ ทสี่ ามารถปรบั ตวั เข้ากบั สภาพแวดลอ้ มไดด้ ีทสี่ ุด จะเป็นส่งิ มชี วี ิตทอี่ ยรู่ อดไดม้ ากทสี่ ดุ
5. การคดั เลอื กโดยธรรมชาตเิ ป็นแรงผลกั ดนั ทสี่ ำคญั ในการทำใหเ้ กดิ การววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวติ
32. ข้อใดจบั คคู่ วามสมั พันธ์ไม่ถูกต้องเกี่ยวกบั ระบบต่อมไรท้ อ่
1. LH กระตนุ้ การตกไข่ 2. ADH ดดู กลบั นำ้ ท่ที อ่ หน่วยไต
3. Insulin ควบคุมระดบั น้ำตาลในเลือดที่มากเกนิ ไป 4. Glucagon ควบคมุ ระดับน้ำตาลในเลอื ดหากมีนอ้ ยเกนิ ไป
5. Thyroxin กระตนุ้ ประสาทซมิ พาเทติก
33. ข้อใดอธบิ ายกลไกการหายใจเข้าได้ถูกตอ้ ง
ขอ้ กล้ามเน้ือยึดซโี่ ครงแถบนอก กล้ามเนือ้ กะบงั ลม ปรมิ าตรในชอ่ งอก ความดนั ในชอ่ งอก
1. หดตวั เคล่ือนทีข่ ึ้น หดตัวเคล่ือนทข่ี ้ึน เพ่ิมขึน้ ลดลง
2. คลายตัวเคลอ่ื นทล่ี ง คลายตัวเคลือ่ นที่ขน้ึ ลดลง เพ่มิ ขึ้น
3. หดตวั เคลื่อนทข่ี ึ้น หดตัวเคลือ่ นทล่ี ง เพ่ิมขนึ้ ลดลง
4. คลายตวั เคลอื่ นที่ขึน้ คลายตัวเคลอื่ นทล่ี ง เพิ่มขึน้ เพ่ิมข้นึ
5. หดตัวเคลอื่ นท่ขี ้นึ หดตวั เคลอื่ นทีล่ ง ลดลง เพิ่มขนึ้
34. การท่ีผึง้ งานคอยหาอาหารให้สมาชิกในรัง จัดเป็นพฤติกรรมแบบใด
1. altruistic behavior 2. Kinesis 3. Reflex 4. Imprinting behavior 5. Trial and Error
35. สงิ่ มีชีวติ ท่มี ลี กั ษณะดงั นี้ “วงชวี ติ ประกอบด้วยรปู รา่ ง 2 แบบ คือ polyp และ medusa มีทางเดินอาหารไมส่ มบรู ณ์
คือมีปากแต่ไม่มีทวารหนัก มีระบบประสาทแบบตาข่าย (nerve net) และมีเอกลักษณ์คือการมีเข็มพิษ
(nematocyst)” เป็นลกั ษณะของสิ่งมชี ีวติ ในไฟลัมใด
1. P. Platyhelminthes 2. P. Mollusca 3. P. Annelida 4. P. Cnidaria 5. P. Porifera
7
การแขง่ ขันสอบวดั ทักษะวชิ าการระดบั ชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ขอ้ สอบวิชาวชิ าวิทยาศาสตร์
ภาคีเครอื ข่ายโรงเรียนทัว่ ประเทศ และสถาบันอซี ีล่ ิชประเทศไทย รหสั ชดุ ข้อสอบ 402004
_____________________________________________________________________________________________________________________________ _______________________________________________________________
ส่วนท่ี 2 : ขอ้ สอบวดั ทักษะประยกุ ตส์ ง่ เสริมกระบวนการคิดทางวทิ ยาศาสตร์ (ข้อ 36 - 40)
36. นายเอหนัก 60 กิโลกรัม ปริมาตร 55 ลิตร อยู่ในน้ำที่กำลงั ท่วม นายเอต้องทำเส้ือชูชีพโดยใช้ขวดน้ำมวล 25 กรัม
ปริมาตร 1.2 ลิตร ต้องการให้ลอยพ้นจากน้ำ 25 เปอร์เซ็นต์โดยต้องการให้ขวดน้ำจมพอดี อยากทราบว่านายเอ
จะต้องใชข้ วดน้ำก่ีขวด (โดยไม่คดิ มวลของขวดนำ้ )
37. รถคันหนงึ่ มีกำลังว่ิงดว้ ยความเร่ง มเี ชือกสองเส้นกำลังผกู กบั วตั ถดุ ังรปู โดยเชอื กทางซ้ายมคี วามตงึ เปน็ 5 เทา่ ของ
เชือกทางขวา จงหาว่ารถจะตอ้ งว่ิงดว้ ยความเรว็ เท่าใด
38. ปฏิกิริยาระหว่างไฮโดรเจนเปอรอ์ อกไซด์ กับเมทานอล เกิดดงั สมการต่อไปน้ี
H2O2 + CH3OH → H2CO + 2H2O จงคำนวณหาคา่ พลงั งานของปฏิกริ ยิ า (∆H)
กำหนดคา่ พลังงานพันธะดังตอ่ ไปน้ี (ฝนคำตอบในรูปค่าสัมบรู ณ์)
C–C 347 kJ/mol C–H 413 kJ/mol
C=C 614 kJ/mol O–H 463 kJ/mol
C–O 358 kJ/mol O–O 146 kJ/mol
C=O 799 kJ/mol
39. บรรจุไฮโดรเจน (H2) 1.5 โมล และไอโอดนี (I2) 1.5 โมล ลงในภาชนะปดิ ปรมิ าตร 1 ลิตร ปฏิกริ ยิ าเกดิ ข้ึนดังสมการ
H2 + I2 ⇌ 2HI ปฏิกิริยาเกิดขึ้นภายใต้อุณหภูมิคงท่ี พบว่าที่ภาวะสมดุลมีไฮโดรเจนไอโอไดด์ (HI) เกิดขึ้น 2.4
โมล อยากทราบว่าคา่ คงทสี่ มดลุ ของปฏกิ ิริยาน้เี ปน็ เทา่ ใด (กำหนดมวลอะตอมของ H = 1 และ I = 127)
40. สามภี รรยาคหู่ นง่ึ มผี วิ ปกตแิ ตม่ ยี ีนผิวเผือกแฝงอยทู่ งั้ คู่ หากสามภี รรยาค่นู ีต้ ัดสินใจมลี ูก จงหาความนา่ จะเปน็ ในการ
ใหก้ ำเนิดลูกสาวทม่ี ีอาการผิวเผอื ก (ฝนคำตอบเป็นตวั เลข3ตวั หลงั จุดทศนิยม)
8
การแขง่ ขันสอบวดั ทักษะวชิ าการระดับชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564
(รอบคดั เลือกตัวแทนจงั หวัด)
National Academic Test Program
เฉลยแบบทดสอบ วิชาวิทยาศาสตร์
ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาตอนปลาย
รหสั ชดุ ข้อสอบ 402004
ข้อ เฉลย ข้อ เฉลย ขอ้ เฉลย ขอ้ เฉลย
1. 3 11. 3 21. 3 31. 1
2. 2 12. 5 22. 2 32. 5
3. 2 13. 3 23. 5 33. 3
4. 4 14. 5 24. 5 34. 1
5. 3 15. 3 25. 4 35. 4
6. 3 16. 4 26. 3 36. 9
7. 1 17. 1 27. 3 37. 5
8. 2 18. 4 28. 1 38. 345
9. 4 19. 3 29 5 39. 64
10. 4 20. 4 30 2 40. 125
การแข่งขนั สอบวัดทักษะวชิ าการระดับชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564
(รอบสุดยอดอัจฉริยภาพระดบั ประเทศ)
วชิ าวิทยาศาสตร์ ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
รหสั วชิ า ว402 วิทยาศาสตร์
รหสั ชุดข้อสอบ 402005
ช่ือ.............................................นามสกลุ .............................................รหัสวชิ า...............
ระดบั ชนั้ ................ห้องสอบ........................วนั ท่ีสอบ................สถานที่สอบ...................
คำชแี้ จงการสอบแบบ Take-Home Examination
รายละเอยี ดข้อสอบ ขอ้ สอบฉบบั น้ีมี 10 หนา้ จำนวน 40 ข้อ ระยะเวลา 90 นาที
วธิ ีการตอบ
ให้ใชด้ ินสอ 2B ระบายในวงกลมที่เปน็ คำตอบในกระดาษคำตอบ หรือ
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
(คะแนนเต็ม 60 คะแนน) นำโทรศัพท์มือถือมาสแกน QR Code เพอ่ื กรอกและยืนยนั คำตอบในระบบ
ข้อสอบปรนัย ข้อ 1-35 ข้อละ 1.25 คะแนน
ข้อสอบอตั นัยระบายคำตอบ ขอ้ 36-40 ขอ้ ละ 3.25 คะแนน
ข้อปฏบิ ตั ใิ นการสอบ
1. ให้ผ้เู ขา้ สอบปฏบิ ัตติ ามระเบยี บสำนักงานโครงการสอบวดั ทักษะวชิ าการระดับชาติ (สวช.) ภาคเี ครือขา่ ย
โรงเรยี นท่ัวประเทศ และสถาบนั อซี ่ีลชิ ประเทศไทย วา่ ดว้ ยแนวทางปฏิบัตเิ กี่ยวกับการดำเนินการทดสอบ
พ.ศ. 2560 อย่างเคร่งครัด
2. ให้ผเู้ ขา้ สอบระบายคำตอบลงในกระดาษคำตอบดว้ ยดินสอ 2B อยา่ งถูกตอ้ งและชดั เจน (สำหรบั โรงเรยี น)
3. เมื่อผู้เข้าสอบทำข้อสอบเสรจ็ ใหเ้ ปดิ กลอ้ ง ZOOM ยนื ยันตัวตนไวจ้ นกว่าจะยืนยันกระดาษคำตอบเสร็จ
4. ให้นำโทรศัพท์มอื ถอื มาสแกน QR Code เพ่ือเขา้ สู่ข้ันตอนการยืนยนั คำตอบ
โดยกรอกคำตอบลงสูร่ ะบบ (สำหรับผเู้ ข้าร่วมสอบออนไลน)์
หากผเู้ ข้าสอบฝ่าฝนื ข้อปฏบิ ตั โิ ครงการ สวช. หรอื มกี ารทจุ รติ จะมีการดำเนนิ การ ดงั นี้
1. ไม่ประกาศผลการสอบจากการทดสอบดงั กล่าว
2. แจ้งไปยงั โรงเรียนต้นสงั กดั ของนกั เรียน ผดู้ แู ลของผสู้ อบเพ่ือดำเนินการตกั เตือนและกล่าวโทษ
3. แจ้งไปยังผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาท่ีเปน็ ภาคเี ครือขา่ ย สวช. เพอ่ื พจิ ารณารบั เขา้ ศกึ ษา
เอกสารนเี้ ปน็ ลิขสทิ ธขิ์ องสำนกั งานโครงการสอบวดั ทักษะวชิ าการระดบั ชาติ (สวช.) และสถาบันอีซล่ี ชิ ประเทศไทย
บรษิ ทั อีซล่ี ิช อินเตอร์-เอด็ ดเู คชน่ั (ประเทศไทย) จำกดั
การทำซำ้ หรือดดั แปลงหรอื เผยแพรเ่ อกสารฉบบั นี้จะถกู ดำเนนิ คดตี ามกฎหมาย
การแขง' ขันสอบวดั ทกั ษะวิชาการระดับชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ขอ" สอบวชิ าวิชาวทิ ยาศาสตร/
ภาคเี ครือขา+ ยโรงเรียนทั่วประเทศ และสถาบนั อซี ่ลี ชิ ประเทศไทย รหัสชุดข"อสอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
สว# นที่ 1: ข,อสอบวัดทกั ษะตามเน้อื หาบทเรยี นในหลกั สตู ร (ข,อ1 – 35)
ใช,ตารางตอ# ไปนีต้ อบคำถามข,อ 1-2
ธาตุ A B C D E F G H
รัศมอี ะตอม(pm) 152 112 88 77 77 66 64 112
IE1 (kJ/mol) 526 906 807 1093 1407 1687 1687 2087
กำหนดให, ธาตุ A B C D E F G เปนW ธาตตุ ามตารางธาตุทอี่ ย#ูในคาบเดยี วกนั
1. จากตารางท่ีกำหนดใหขS อS ใดมคี วามเปYนไปไดS
ก. F เปนY ธาตุทีม่ ีเลขอะตอมเท]ากบั 8 เมื่อเกิดสารประกอบกับธาตุ A จะมคี ณุ สมบตั ิท่ีเปนY เบสและมีสูตร A2F
ข. A และ B สามารถเกดิ ปฏิกิริยากบั นำ้ ไดS และ B เกดิ ปฏิกิรยิ าไดSว]องไวมากกวา]
ค. E เปนY ธาตทุ ่สี ามารถเกดิ สารประกอบกับ F ไดหS ลายสูตร เช]น EF, EF2 , E2F5
ง. เรียงลำดบั จดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ด สามารถเรยี งไดS ดังนี้ A > B > C > D > E > F > G
1. ก , ข ,ค 2. ก, ค, ง 3. ก, ค
4. ค, ง 5. ถกู ทกุ ขอS
2. ขอS ใดเขยี นสารประกอบกับออกไซดm(O2-) กับคลอไรดm (Cl-) ท่เี ปนY ไปไดแS ละบอกคุณสมบตั ขิ องสารประกอบไดถS ูกตอ, ง
1. A2O, BO เปYนสารประกอบท่ีเปนY กรด 2. ACl, BCl2 เปYนสารประกอบทีเ่ ปนY เบส
3. BO เปนY สารประกอบที่เปนY ไดทS ั้งกรดและเบส 4. C2O3 เปYนสารประกอบท่ีเปนY ไดทS ้งั กรดและเบส
5. DO2 , DO, DCl4 เปYนสารประกอบท่ีเปนY กรด
3. แกสo ใดต]อไปน้ี มีการเคล่ือนทด่ี วS ยอตั ราเร็วเฉลีย่ สงู สดุ (กำหนดใหมS วลอะตอม C=12, O=16, S=32, H=1)]
1.คารmบอนไดออกไซดm 2. มเี ทน 3. ซัลเฟอรไm ดออกไซดm
4. ไฮโดรเจนซลั ไฟดm 5. เอทิลนี
4. สูตรโมเลกุลของสารเคมีชนดิ หนึง่ คอื Na2CrO4.nH2O มีโครเมยี มเปนY องคmประกอบอยู] 15.2% โดยมวล จงหาว]าค]าของ
n จะเปYนเทา] ใด (กำหนดใหSมวลอะตอม Na=23, O=16, Cr=52, H=1)
1. n = 10 2. n = 5 3. n = 7
4. n = 9 5. n = 8
5. ชนิดของพนั ธะของสารในขอS ใดแตกตา# งจากขSออน่ื
1. ดีเกลอื 2. น้ำแข็งแหSง 3. เพชร
4. อะซโิ ตน 5. เตตระคลอโรมีเทน
6. จากตารางคา] คงที่สมดุลของปฏิกิรยิ า 2A(g) 3B(g) + ∆E
อณุ หภมู ิ ค#าคงทีส่ มดุล
T1 1.2×10 -6
T2 9.8×10-5
T3 4.2×10 -7
T4 5.4×10 -5
จากปฏกิ ริ ยิ าทีก่ ำหนดใหSเปYนปฏิกิรยิ าแบบคายความรSอน ขSอใดเรยี งลำดบั อณุ หภูมไิ ดถS กู ต,อง
1. T4 < T2 < T1 < T3 2. T1 = T2 = T3 = T4 3. T1 > T2 > T3 > T4
4. T1 = T2 > T3 = T4 5. T1 = T2 < T3 = T4
2
การแข'งขันสอบวัดทักษะวชิ าการระดบั ชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ข"อสอบวชิ าวิชาวทิ ยาศาสตร/
ภาคเี ครอื ข+ายโรงเรยี นทว่ั ประเทศ และสถาบนั อซี ี่ลิชประเทศไทย รหสั ชดุ ขอ" สอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
7. จากปฏิกิรยิ าต]อไปนี้ ขSอใดเปนY ปฏิกริ ยิ ารดี อกซm
a. Zn2[Fe(CN)6] + NaOH ® Na2ZnO2 + Na4[Fe(CN)6] + H2O. b. Co(NO3)2 + KCN ® K4[Co(CN)6] + KNO3
c. Ag(NH3)2Cl + HNO3 ® AgCl + NH4NO3 d. K2Cr2O7 + H2SO4 + H2S ® K2SO4 + Cr2(SO4)3 + S + H2O
e. CCl4 + K2CrO4 ® COCl2 + CrO2Cl2 + KCl f. Zn + NaNO3 + NaOH n ® NH3 + Na2ZnO2 + H2O
g. NO2 + H2O ® HNO3 + HNO2 2. d, f, g, h h. Na2SnO2 + KClO3 ® KCl + Na2SnO3
1. b, c, e, f 3. a, e, f, g, h
4. เปYนปฏกิ ริ ิยารดี อกซทm ุกขอS 5. ไมเ] ปYนปฏกิ ิรยิ ารดี อกซmทุกขอS
8. จงหาคา] ของ a b c d จากการดลุ สมการรีดอกซm
aFe2+(aq) + bCr2O72-(aq) + xH+(aq) cFe3+(aq) + dCr3+(aq) + yH2O(l)
1. 3, 1, 3, 2 2. 1, 1, 1, 2 3. 3, 2, 3, 4
4., 1, 6, 2,6 5. 6, 1, 6, 2
9. ขอS ใดอา] นชือ่ สารตามหลัก IUPAC ไดถS ูกตอ, ง
1. 2,4,4-trimethyl-6-heptanol 2. 4,4,6-trimethyl-2-heptanol
3. 4,4,6-trimethylhextan-2-ol 4. 2,4,6-trimethyl-6-heptanol
5. 4,4,6-trimethyl-2-heptanal
10. สารละลาย HNO3 เขSมขนS 0.1 mol/dm3 ปริมาตร 100 cm3 มี pH = 1 หากตอS งการปรบั ใหSมี pH = 7 และนำ
สารละลายกรด HNO3 มา 10 cm3 จะตSองเติม KOH ลงไปก่โี มล
1. 0.002 โมล 2. 0.003 โมล 3. 0.0001 โมล
4. 0.01 โมล 5. 0.001 โมล
11. ในการผลิตไฟฟา• ตSองใชSถา] นหนิ ซ่งึ มี S เปนY องคmประกอบ เมอ่ื ทำปฏิกิรยิ ากบั ออกซิเจนจะไดเS ปนY แกสo ซลั เฟอรmไดออกไซดm (SO2)
ในการทำลายแกoส SO2 โดยออกซิไดซเm ปYน SO3 จากน้นั นำไปละลายน้ำ พบว]าไดSกรดซลั ฟว– ริก H2SO4 ทีม่ เี น้ือกรดหนกั
3.92 กโิ ลกรมั ในการทำครัง้ น้ีตSองใชอS อกซิเจนปริมาตรอย]างต่ำท่ีสุดกล่ี ูกบาศกเm ดซเิ มตร ท่ี STP
1. 348 dm3 2. 448 dm3 3. 548 dm3
4. 634 dm3 5. 734 dm3
12. ขSอใดอธบิ ายเกยี่ วกับระบบการหายใจของมนษุ ยไm ม#ถูกตอ, ง
A. การหายใจระดบั เซลลm หมายถงึ การลำเลยี งแกสo O2 จากอากาศภายนอกเขSาสรู] า] งกายและการลำเลยี งแกสo CO2 จาก
ในรา] งกายออกส]ูส่ิงแวดลอS ม
B. สิ่งมชี วี ติ ไดSรบั พลงั งานในการดำเนินชวี ิตจากกระบวนการหายใจระดับเซลลm
C. โครงสราS งท่ใี ชใS นการแลกเปลย่ี นแกoสของส่ิงมีชีวิตแตล] ะชนดิ จะแตกต]างกนั เช]น นกใชSปอด, แมงมมุ ใชS book lung,
แมงดาใชS book gill, ปลิงทะเลใชS respiratory tree, ดาวทะเลใชS tube feet
D. อวัยวะท่เี ปYนทางผ]านของระบบการแลกเปลี่ยนแกoสหรอื การหายใจภายนอก (External respiration) ของมนุษยมm ีดงั นี้
รูจมูก > หลอดลม > ขว้ั ปอด > ถงุ ลมในปอด
E. หากมนษุ ยหm ายใจออกจนสุดจะไมม] ีอากาศหลงเหลืออย]ูภายในปอดดงั นน้ั เราจึงไมส] ามารถกลั้นหายใจนาน ๆ ไดS
1. A, D และ E 2. A, B และ C 3. B, C และ E
4. B, D และ E 5. A
3
การแขง' ขันสอบวัดทกั ษะวชิ าการระดับชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ขอ" สอบวชิ าวชิ าวทิ ยาศาสตร/
ภาคเี ครอื ข+ายโรงเรยี นทั่วประเทศ และสถาบันอซี ล่ี ิชประเทศไทย รหัสชดุ ขอ" สอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
13. ศกึ ษาการเปล่ยี นแปลงลักษณะและรูปรา] งของเซลลmเมด็ เลือดแดงเม่อื อยู]ในสารละลายที่มคี วามเขมS ขนS ตา] งกนั พบวา] เมอ่ื นำ
เม็ดเลือดแดงใส]ลงในสารละลาย A, B และ C ใหSผลการทดลองดงั ภาพ ขอS ใดสามารถบอกชนดิ ของสารละลายน้ัน ๆ ไดSถูกตอ, ง
ขอA สารละลาย A ช่ือเรยี กของสารละลาย สารละลาย C
สารละลาย B
1. Hypertonic solution Isotonic solution Hypotonic solution
2. Isotonic solution Hypotonic solution Hypertonic solution
3. Hypertonic solution Hypertonic solution Isotonic solution
4. Hypotonic solution Isotonic solution Hypertonic solution
5. Hypotonic solution Hypertonic solution Isotonic solution
14. ภาพทโี่ จทยmกำหนดแสดงลกั ษณะและโครงสราS ง
อย]างงา] ยของเยอ่ื หุมS เซลลm ซ่งึ ประกอบดSวยสารชวี โมเลกลุ
หลายชนิดมารวมตวั กนั แบบ fluid mosaic model
ขSอใดตอ] ไปนจ้ี บั คูต] ัวอกั ษรภาษาองั กฤษกับชอ่ื เรยี กหรอื สาร
ทเี่ ปนY องคmประกอบของเย่ือหSมุ เซลลสm ]วนน้นั ๆ ไดถS กู ต,อง
ขอA A B C D E
1. Carbohydrate Hydrophobic Hydrophilic Protein Nucleic acid
2. Carbohydrate Hydrophilic Hydrophobic Protein Cholesterol
3. Protein Hydrophilic Hydrophobic Carbohydrate Nucleic acid
4. Carbohydrate Hydrophobic Hydrophilic Nucleic acid Protein
5. Lipid Hydrophilic Hydrophobic Protein Cholesterol
15. การแพร]ระบาดของโรค Covid-19 ถอื เปYนเรื่องทีท่ ัว่ โลกใหSความสนใจ เพราะเปนY โรคระบาดใหมท] ีไ่ ม]เคยพบมาก]อนและมี
ผSเู สียชวี ติ เปYนจำนวนมาก หนงึ่ ในวธิ กี ารลดความรุนแรงของโรคนี้คอื คัดกรองผปูS ว• ยดSวยการตรวจหาเชอื้ ไดSอย]างถูกตSอง รวดเรว็
และแมน] ยำ แตอ] ย]างไรก็ตามการตดิ เชื้อในชว] งแรกอาจมีปริมาณเช้ือโรคในร]างกายนSอยมากทำใหยS ากต]อการตรวจพบ
ดังน้นั เทคโนโลยีดเี อ็นเอที่เขาS มามีบทบาทและชว] ยแกปS žญหานีไ้ ดเS ปYนอย]างดี คือ การเพิ่มจำนวน DNA ดวS ยวิธี RT-PCR ซึ่ง
ประกอบดวS ย 2 ขน้ั ตอนใหญ] ๆ และ 3RNขAน้ั ตอนชยเ่อืออ] ปนยฏไซิกคมริ อื 'ิย(าA)(B) DNA
ข้ันที่ 1 เปลยี่ น RNA เปjน DNA ;
ขน้ั ท่ี 2 เพิ่มจำนวน DNA ท่สี นใจใหsมากขนึ้ จาก specific primer;
ข้นั 2.1 ...........(step C)...............
ขน้ั 2.2 ...........(step D)...............
ขั้น 2.3 ...........(step E)...............
ขอS ใดอธบิ ายช่ือเอนไซมแm ละกระบวนการซึ่งแทนดวS ยตวั อกั ษรภาษาองั กฤษไดSถกู ตอ, งท้งั หมด
ขAอ A B C D E
1. Reverse transcriptase Reverse transcription Step of denaturation Step of annealing Step of extension
2. Reverse transcription Reverse transcriptase Step of annealing Step of extension Step of denaturation
3. Reverse transcriptase Reverse transcription Step of extension Step of denaturation Step of annealing
4. Reverse transcriptase Reverse transcription Step of extension Step of annealing Step of denaturation
5. Reverse transcription Reverse transcriptase Step of denaturation Step of extension Step of annealing
4
การแข'งขันสอบวดั ทกั ษะวิชาการระดับชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ข"อสอบวชิ าวชิ าวทิ ยาศาสตร/
ภาคีเครือขา+ ยโรงเรียนทว่ั ประเทศ และสถาบันอซี ี่ลชิ ประเทศไทย รหัสชดุ ขอ" สอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
16. ครอบครวั หนึ่งมีสมาชกิ ทงั้ หมด 4 คน คือ พอ] แม] หนูนา (พสี่ าว) และหนนู ิด (นอS งสาว) วนั หน่งึ ท้ังหมดชวนกนั ไปตรวจร]างกาย
พบว]าแม]เปYนโรคธาลัสซีเมียเช]นเดียวกับหนูนา แต]พ]อและหนูนิดไม]เปYนโรค ต]อมาหนูนิดแต]งงานกับชุมพลที่เปYนพาหะของ
โรคธาลัสซีเมยี จงหาเปอเซนตmความนา] จะเปนY ในการใหกS ำเนิดลกู สาวเปYนโรคธาลัสซเี มยี ของหนนู ดิ และชมุ พล
1. 5.75% 2. 12.5% 3. 22.5%
4. 25.275% 5. 27.25%
17. PCR หรอื polymerase chain reaction เปYนกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรทm ี่ถูกนำมาใชSในการเพม่ิ จำนวน DNA ท่ีเราสนใจใหมS ี
ปริมาณมากขึ้นเพื่อประโยชนmในดSานต]าง ๆ กระบวนการเพิ่มจำนวน DNA ดSวยเทคนิคการทำ PCR นี้เปYนการเลียนแบบ
การเพิ่มจำนวน DNA ภายในเซลลmของสิ่งมีชีวิต แต]สิ่งท่ีแตกต]างกันคือ การเพิ่มจำนวน DNA ดSวยกระบวนการ DNA
replication จะอาศัยการทำงานของเอนไซมmหลายชนิด แต]การทำ PCR จะอาศัยการเพิ่มลด – อุณหภูมิ ขSอใดต]อไปน้ี
สามารถระบุสารหรือขั้นตอนรวมถงึ ชื่อเอนไซมใm นการทำ PCR และ DNA replication ในตารางไดSถกู ต,อง
กระบวนการ PCR ชือ่ เอนไซมU
1. แยกสาร DNA เกลยี วคู+ออกจากกัน AB
2. สรsาง primer ซ่ึงเปjนจดุ เรม่ิ ตนs ของการตอ+ สาย DNA ใหsยาวขึ้น ใชs specific primer สายส้นั ๆ C
3. เอนไซมท• ี่นำ deoxynucleotide มาต+อกันเปjนสายยาว D E
ข"อ A B CD E
1. ใช&อุณหภมู ิปานกลางประมาณ 65 °c Ligase Primase Taq DNA polymerase DNA polymerase
2. ใชอ& ุณหภูมิต่ำประมาณ 35 °c Helicase Single stand binding Ligase Taq DNA polymerase
protein
3. ใช&อณุ หภูมิสงู ประมาณ 95 °c Single stand binding protein Helicase DNA polymerase Taq DNA polymerase
4. ใชอ& ุณหภูมปิ านกลางประมาณ °c Single stand binding protein Primase Telomerase DNA polymerase
5. ใช&อณุ หภูมิสงู ประมาณ 95 °c Helicase Primase Taq DNA polymerase DNA polymerase
ใช,กราฟแสดงความสัมพนั ธรp ะหว#างปรมิ าณนำ้ ตาลในเลอื ดกับช#วงเวลาตา# ง ๆ ใน 1 วันของนารีรัตนpในการตอบคำถามขอ, 18-19
18. การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและภายในเซลลmใหSเหมาะสมเปYนเรื่องที่
มีความสำคัญต]อสิ่งมีชีวิตเปYนอย]างมาก จากกราฟที่กำหนดใหSหากนารีรัตนm
รับประทานอาหารเชSา, กลางวันและเย็นเวลา 8.00, 12.00 และ 17.00 น.
ตามลำดับ ฮอรmโมนชนดิ ใดทำหนาS ทลี่ ดระดับนำ้ ตาลในเลือดหลังรบั ประทาน
อาหารและฮอรโm มนน้ันสามารถลดระดบั น้ำตาลในเลอื ดไดSอย]างไร
1. Antidiuretic hormone ทำหนาS ท่กี ระตSนุ การนำนำ้ ตาลเขSาเซลลmและกระตุนS กระบวนการหายใจระดับเซลลm ทำใหS
ระดบั นำ้ ตาล ในเซลลลm ดลงอยา] งรวดเร็วจึงสามารถลำเลียงกลโู คสเขาS เซลลmไดSอย]างตอ] เนือ่ ง
2. Insulin ทำหนาS ท่ีกระตุนS การนำนำ้ ตาลเขาS เซลลโm ดยเฉพาะเซลลmตับและเซลลกm ลาS มเนอื้ เพอื่ เกบ็ สะสมนำ้ ตาลไวใS นรปู ของ
ไกลโคเจน
3. Insulin ทำหนาS ทเี่ ปล่ยี นรปู น้ำตาลกลูโคสเปYนสารชีวโมเลกลุ ชนิดอื่น น่ันคอื ไขมันทำใหSระดับนำ้ ตาลในเลือดลดลง
อยา] งรวดเรว็ เพราะเปลยี่ นเปนY ไขมันเก็บสะสมแทน
4. Glucagon ทำหนาS ทก่ี ระตSนุ การนำนำ้ ตาลเขSาเซลลmโดยเฉพาะเซลลตm ับและเซลลmกลSามเน้อื เพือ่ เกบ็ สะสมนำ้ ตาลไวSในรูป
ของอะไมโลเพคติน
5. Glucagon ทำหนSาทีเ่ ปล่ียนรูปน้ำตาลกลโู คสเปYนสารชวี โมเลกลุ ชนิดอนื่ นนั่ คอื ไขมันทำใหรS ะดบั น้ำตาลในเลอื ดลดลง
อยา] งรวดเร็วเพราะเปลี่ยนเปนY ไขมนั เก็บสะสมแทน
5
การแข'งขันสอบวดั ทักษะวิชาการระดับชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ข"อสอบวิชาวชิ าวิทยาศาสตร/
ภาคีเครอื ขา+ ยโรงเรียนทัว่ ประเทศ และสถาบนั อซี ี่ลิชประเทศไทย รหสั ชุดขอ" สอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
19. หากนารีรัตนรm บั ประทานอาหารเฉพาะเวลา 8.00 น., 12.00 น. และ 17.00 น. เทา] นน้ั โดยไมไ] ดรS บั ประทานสิง่ ใดอีก แลวS
เพราะสาเหตใุ ดระดบั น้ำตาลในเลอื ดระหว]างม้ืออาหารจงึ เพ่ิมขึน้
1. การเพิม่ ระดบั นำ้ ตาลในระหวา] งมื้ออาหารเปYนผลจากการทำงานของ growth hormone ซึ่งทำหนSาทล่ี ำเลยี งกลูโคสที่
เก็บสะสมไวSภายในเซลลตm า] ง ๆ เช]น เซลลไm ต เซลลmหัวใจ เซลลmสมอง ออกสูก] ระแสเลือดเพอ่ื ปอ• งกันไมใ] หSระดับน้ำตาลลด
ตำ่ ลงจนเกิดความเสียหายต]อรา] งกาย
2. การเพิม่ ระดับนำ้ ตาลในระหว]างมื้ออาหารเปYนผลจากการทำงานของ insulin ซ่ึงทำหนาS ท่สี ลาย glycogen ทเี่ กบ็ สะสม
ไวใS นเซลลกm ลSามเนื้อและเซลลตm ับออกมาเปนY กลูโคสเพื่อใหSพลังงานกับรา] งกาย บทบาทของ insulin นอกจากจะ
สามารถลดระดับนำ้ ตาลในเลอื ดแลSวยังสามารถเพ่ิมนำ้ ตาลในเลือดไดSอกี ดSวย
3. การเพ่มิ ระดบั นำ้ ตาลในระหวา] งมือ้ อาหารเปนY ผลจากการทำงานของ glucocorticoids ซึง่ ทำหนSาท่เี ปลย่ี นสารชวี
โมเลกลุ ชนิดอ่นื ๆ เช]น โปรตีน กรดไขมัน เปนY กลูโคสทำใหรS ะดับน้ำตาลกลโู คสเพิ่มขึ้น
4. การเพมิ่ ระดับนำ้ ตาลในระหว]างม้ืออาหารเปนY ผลจากการทำงานของ mineralocorticoids ซึง่ ทำหนาS ทีส่ ลาย
glycogen ทเ่ี ก็บสะสมไวใS นเซลลmกลSามเนื้อและเซลลตm บั ออกมาเปYนกลโู คสเพอื่ ใหSพลังงานกับรา] งกาย
5. การเพิม่ ระดับนำ้ ตาลในระหวา] งมอ้ื อาหารเปYนผลจากการทำงานของ glucagon ซง่ึ ทำหนาS ท่สี ลาย glycogen ทเี่ กบ็
สะสมไวใS นเซลลmกลาS มเนือ้ และเซลลตm บั ออกมาเปYนกลูโคสเพอ่ื ใหพS ลังงานกับรา] งกาย
20. คณุ ครูสงั่ การบาS นใหเS ดก็ นักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปท£ ่ี 6 จำนวน 3 คนสำรวจและเกบ็ ตวั อยา] งพืชมาคนละ 1 ชนิดพรอS ม
อธบิ ายลกั ษณะและองคmประกอบของพชื นั้น ๆ มาโดยละเอียด ซง่ึ คำอธบิ ายเปนY ดังต]อไปนี้
คนท่ี 1: พืชไม]มที อ] ลำเลียง ไม]มีราก ลำตSนและใบท่ีแทSจริง มีขนาดเลก็ มสี ีเขยี ว มองเห็นคลSายพรมอย]ูตามแหลง] นำ้ ท่ีมีความชืน้
คนที่ 2: พชื มีท]อลำเลยี ง มีเมล็ดแต]ไมม] ดี อก มีราก ใบ ลำตนS ทีแ่ ทจS รงิ โดยใบมีสีเขียวและมลี กั ษณะคลSายพัด
ลำตนS สูงใหญ] เมลด็ มสี เี หลอื ง นิยมนำมารบั ประทาน
คนที่ 3: พืชมที อ] ลำเลยี ง ใบอ]อนมSวนเปนY รูปลานนา¥ิกาจากปลายใบเขาS หาโคนใบ ดาS นหลงั ใบมกี ลุ]มของสปอรm
อดั ตวั กันแน]นเรยี กวา] ซอรัส (sorus)
ขSอใดสามารถบอกชอื่ พชื ทเี่ ดก็ นกั เรยี นท้งั 3 คนเก็บมาเปนY ตวั อยา] งไดถS กู ต,อง
ขAอ นกั เรียนคนท่ี 1 นักเรยี นคนท่ี 2 นกั เรียนคนท่ี 3
1. Liverwort Selaginella Cycad
2. Liverwort Isoetes Gnetum
3. Moss Ginkgo Fern
4. Hornwort Psilotum Merkus pine
5. Moss Equisetum Ginkgo
21. ขอS ใดอธบิ ายเก่ยี วกบั กลไกหลักในการลำเลยี ง O2 และ CO2 ระหวา] งถุงลมและเซลลmของอวัยวะต]าง ๆ ไดถS กู ตอ, ง
1. การลำเลยี ง O2 อาศัยการละลายไปกบั น้ำเลอื ด ส]วนการลำเลียง CO2 จะจบั กับโปรตนี บนผวิ เมด็ เลือดแดงท่ีมชี ื่อวา]
hemoglobin กลายเปYน carboxyhemoglobin
2. ทั้งการลำเลียง O2 และ CO2 จะจบั กบั โปรตีนบนผวิ เมด็ เลือดแดงท่มี ีชอื่ ว]า hepcidin
3. ทง้ั การลำเลยี ง O2 และ CO2 จะจับกบั โปรตนี บนผิวเมด็ เลือดแดงที่มชี ื่อว]า hemoglobin
4. การลำเลียง O2 จะจบั กบั โปรตีนในเมด็ เลอื ดแดงท่ชี ่อื ว]า hemoglobin กลายเปYน oxyhemoglobin สว] นการลำเลียง
CO2 จะละลายกับนำ้ เมด็ เลอื ดแดงและนำ้ ในเลอื ดกลายเปนY กรดคารmบอนิก
5. การลำเลียง O2 จะจับกบั โปรตีนในเมด็ เลือดแดงท่ีมีชอื่ วา] receptor กลายเปนY holoreceptor สว] นการลำเลียง CO2
จะจับกบั receptor บนเมด็ เลือดแดงเชน] กนั แต]เปนY คนละตำแหนง] กลายเปนY Aporeceptor
6
การแขง' ขนั สอบวดั ทักษะวชิ าการระดับชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ข"อสอบวชิ าวิชาวทิ ยาศาสตร/
ภาคเี ครือขา+ ยโรงเรยี นทั่วประเทศ และสถาบันอซี ่ลี ิชประเทศไทย รหสั ชดุ ขอ" สอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
22. ส่ิงมีชวี ิตในอาณาจกั ร (Kingdom) ใดสามารถแบง] ออกเปYน 2 โดเมน (Domain) และขอS ใดสามารถยกตัวอย]างสง่ิ มีชีวิตใน
แต]ละโดเมนไดถS ูกตอ, ง
1. Kingdom Plantae แบ]งเปนY 2 domain คอื non-vascular เช]น Moss, Liverwort, Hornwort และ vascular
domain เชน] ปรง สน กลวS ย มะพราS ว มะมว] ง
2. Kingdom Monera แบง] เปนY 2 domain คอื Archaea bacteria เชน] แบคทเี รยี โบราณ และ Eubacteria เช]น
สาหร]ายสีเขยี วแกมน้ำเงนิ
3. Kingdom Animalia แบง] เปนY 2 domain คอื invertebrate (สัตวไm มม] กี ระดูกสนั หลงั ) และ vertebrate (สัตวมm กี ระดกู สนั หลงั )
4. Kingdom fungi แบ]งเปนY 2 domain คอื mushroom like (กลุ]มคลาS ยเหด็ ) เชน] เห็ดพิษ และ Mold (กลม]ุ คลSายรา) เช]น ราดำ
5. Kingdom Protista แบ]งเปนY 2 domain คือ animal like (โพรติสคลาS ยสัตว)m เชน] ยูกลนี า พารามีเซียม และ algae
like (โพรตสิ คลาS ยสาหร]าย) เชน] อะมบี า
23. กระบวนการ Photorespiration เกิดจากการทำงานของเอนไซมmชนดิ ใด สามารถพบไดSในสภาพอากาศอยา] งไรและ
ส]งผลอย]างไรต]อเซลลm
ขอA เอนไซมUทท่ี ำใหAเกดิ สภาพอากาศท่ีกระตAนุ Photorespiration ผลลพั ธUตอ' เซลลU
Photorespiration
1. Rubisco สภาพอากาศที่รsอนจัดทำใหs Rubisco สามารถจับกับ ไดsผลิตภัณฑ•เปjนสารที่มีคาร•บอน 5 อะตอมทำใหsสูญเสีย
O2 ไดดs ีกว+า CO2 พลังงานในการสังเคราะห•แสงและสรsางน้ำตาลไดนs อs ยลง
2. PEP carboxylase ปริมาณความชื้นในอากาศมากทำใหsปากใบของพืชป‹ด ไดsผลิตภัณฑ•เปjนสารที่มีคาร•บอน 4 อะตอมทำใหsสูญเสีย
จึงมปี ริมาณ CO2 ไม+เพียงพอ พลังงานในการสงั เคราะห•แสงและสราs งนำ้ ตาลไดนs อs ยลง
3. Rubisco ปริมาณความชื้นในอากาศมากทำใหsปากใบของพืชป‹ด หยุดกระบวนการสังเคราะห•ดsวยแสง หากเกิดเหตุการณ•น้ี
จึงมีปรมิ าณ CO2 ไม+เพยี งพอ ต+อเนอ่ื งเปนj เวลานานจะทำใหพs ืชขาดสารอาหารและตายไดs
4. RuBP สภาพอากาศที่รsอนจัดทำใหs RuBP สามารถจับกับ พืชสามารถสรsางสารพลังงานสูง ทั้ง ATP, NADPH และน้ำตาล
CO2 ไดมs ากขึ้น ไดมs ากขึ้นเนอื่ งจากกระบวนการสังเคราะหด• sวยแสงเกิดไดดs ขี ้นึ
5. PEP carboxylase สภาพอากาศที่หนาวจัดทำใหsปริมาณไอน้ำในอากาศ ไดsผลิตภัณฑ•เปjนสารที่มีคาร•บอน 5 อะตอมทำใหsสูญเสีย
ลดลง จึงมีไอนำ้ ไม+เพียงพอต+อการสังเคราะห•แสง พลังงานในการสังเคราะหแ• สงและสราs งน้ำตาลไดนs อs ยลง
24. ภาพที่กำหนดใหSคอื การถ]ายทอดอิเล็กตรอนแบบไม]เปYนวฏั จกั ร (Non-cyclic electron transfer) ขอS ใดจับค]ตู วั รบั อิเล็กตรอน
และชื่อกระบวนการกบั ตัวอักษรภาษาอังกฤษในรปู ภาพไดSถูกตอ, ง
ขAอ A B C D E
1. Plastoquinone Cytochrome Plastocyanin Ferredoxin Hill’s reaction
complex
2. Plastoquinone Cytochrome Ferredoxin Plastocyanin Carboxylation
complex
3. Plastocyanin Plastoquinone Cytochrome Ferredoxin Photolysis
complex
4. Ferredoxin Plastocyanin Cytochrome Plastoquinone Hill’s reaction
complex
5. Cytochrome Plastocyanin Plastoquinone Ferredoxin Photolysis
complex
7
การแขง' ขนั สอบวดั ทักษะวิชาการระดบั ชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ขอ" สอบวชิ าวิชาวทิ ยาศาสตร/
ภาคเี ครือข+ายโรงเรยี นท่ัวประเทศ และสถาบนั อซี ่ีลิชประเทศไทย รหสั ชุดข"อสอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
25. ขSอใดคอื กระบวนการหรอื ขน้ั ตอนในการสรSางเซลลสm ืบพนั ธmุของเพศเมียที่เกิดขน้ึ ภายในรงั ไข]
ขนั้ ตอน A: Megaspore มกี ารแบ+งตัวแบบ mitosis จำนวน 3 คร้งั ไดอs อกมาเปนj 7 cell 8 nucleus
ขัน้ ตอน B: Microspore mother cell ภายใน microsporangium แบ+งตวั แบบ meiosis ไดเs ปjน microspore
ขน้ั ตอน C: Pollen grain แบ+งตัวแบบ mitosis ไดs 2 nucleus คือ tube nucleus and generative nucleus
ขั้นตอน D: Pollen grain ตกลงบนยอดเกสรตัวเมยี น้ำหวานดsานบนกระตุนs ใหเs กดิ การงอกทอ+ ลงไปภายในรงั ไข+
ขน้ั ตอน E: Megaspore mother cell ภายใน ovule แบ+งตัวแบบ meiosis ไดเs ปนj megaspore
ขัน้ ตอน F: Sporophyte แบ+งตวั แบบ mitosis จำนวน 3 ครง้ั ไดอs อกมาเปนj gametophyte ทีม่ ี 7 cell 8 nucleus
1. B C D 2. E F 3. B F
4. A E 5. A C E
26. ตอS งการโยนวัตถุข้นึ ไปยอดตนS ไมSโดยขณะขึ้นไประยะหน่งึ วตั ถมุ ีความเร็ว 30 เมตร/วินาทีและวัตถุเคลอ่ื นที่ขน้ึ ไปยอด
ตSนไมเS ปนY จดุ สงู สุดพอดีอยากทราบว]าความเรว็ เร่มิ ตนS มคี า] เท]าใดขณะเร่มิ โยนวัตถุถSาระยะทางจากจดุ โยนถงึ ยอดตSนไมS 65 เมตร
(กำหนดใหS g=10 m/s2)
1. 8√10 m/s 2, 8√13 m/s 3. 10√10 m/s
4. 10√13 m/s 5. 10√15 m/s
27. วงจรไฟฟา• ตอนเปด– สวติ ชจm งจรไฟฟา• มกี ระแสไฟฟา• ของวงจรมคี ]า 2 แอมแปรm ถSาสับสวิตชmลงอยากทราบว]ากระแสไฟฟา•
ของวงจรจะมีคา] เท]าใด
1. 2.45 A 2. 3.45 A
3. 4.45 A 4. 5.45 A
5. 6.45 A
28. นายดเี จมีมวล 50 กิโลกรัม เดินเลน] บนไมS กระดานไมSสม่ำเสมอ ยาว 10 เมตร หนัก 20 กิโลกรมั มไี มSหมอน A และ B
ห]างกนั 3 เมตรดงั รูป จงหาว]าถาS นายดีเจเร่ิมเดนิ จากจดุ ไมหS มอน A ไปไดSไกลท่สี ุดจากจุด A เทา] ใดคานเริม่ กระดก
1. 0.2 m 2. 1.2 m
3. 3.2 m 4. 4.2 m
5. 5.2 m
29. มเี ชอื กและรอกดังรูปถาS เราดึงปลายเชอื กที่จุด X ดังรูปดSวยความเร็วมขี นาด 20 m/s มีมวลหนกั 15 กโิ ลกรัม
มวลกSอนนีจ้ ะเลือ่ นขนึ้ ดวS ยความเร็วเท]าใด
1. 10 m/s 2. 15 m/s
3. 20 m/s 4. 25 m/s
5. 30 m/s
30. แกวง] เชอื กเบาเสนS หนง่ึ ยาว 100 เซนตเิ มตร ผกู กับมวล 2 กโิ ลกรมั ดังรปู จบั ปลายเชอื กอีกขSางหนึง่ แกวง] ใหมS วลเคลื่อนที่
เปนY วงกลมในระนาบดิ่งดวS ยอัตราเร็วคงตัว 5 เมตรตอ] วนิ าที จุด A ทำมมุ กับแนวดิ่ง 37 องศาดงั รูป
แรงตงึ เชอื ก ณ จดุ A จะมีคา] เทา] ใด ( g = 10 m/s2)
1. 14 N 2. 24 N
3. 34 N 4. 44 N
5. 54 N
31. มแี กสo ไนโตรเจนอุณหภูมิ 7 ºC ความดัน 1 บรรยากาศ จงหาค]ารากทส่ี องของอตั ราเรว็ กำลังสองเฉลย่ี ประมาณก่ีเมตรต]อ
วนิ าที กำหนดใหS มวลโมเลกุลของแกสo ไนโตรเจน 28 กรัม/โมล (กำหนดใหS R =8.31 J/ mol∙ K)
1. 500 2. 10√5 3. 10 √7
4. 400 5. 250
8
การแข'งขนั สอบวดั ทักษะวชิ าการระดับชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ขอ" สอบวิชาวชิ าวทิ ยาศาสตร/
ภาคเี ครอื ขา+ ยโรงเรียนทั่วประเทศ และสถาบันอีซ่ลี ชิ ประเทศไทย รหสั ชดุ ข"อสอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
32. ภวัตวง่ิ เขาS หากระจกบานหนึ่งดวS ยความเร็ว 1 เมตร/วนิ าที และกระจกบานน้ันกเ็ ลื่อนเขSาหาภวตั ดSวยความเรว็
5 เมตร/วินาที จงหาภาพของภวัตเลื่อนดSวยอัตราเร็วเท]าใด
1. 7 m/s 2. 8 m/s 3. 9 m/s
4. 10 m/s 5. 11 m/s
33. ถังน้ำสูง H มนี ำ้ เตม็ ถังเจาะรู ถาS รทู ี่เจาะมรี ะยะความสงู ถงึ ผวิ น้ำ h นำ้ พ]งุ ออกจากรไู ปเปYนะยะ L ดงั รูปจงหาความเร็วปลาย
ในแนวดง่ิ เมอ่ื กระทบพื้น
1. gL 2. . gL
√gH √2gH
3. gL 4. gL
√2g(H-h) √g(H-h)
5. gL
√2gh
34. โจทยpมีความผดิ พลาดเนื่องมาจากผอ,ู อกขอ, สอบ สำนกั งาน สวช.จงึ ยกผลประโยชนใp ห,แกผ# สู, อบ
35. รถยนตm A และ B กำลังจอด ณ สแ่ี ยกไฟแดงแห]งหนง่ึ ในประเทศไทย ไฟแดงส่ีแยกนเ้ี ปYนแยกทีม่ ีการปล]อยไฟเขียว
ฝ«žงตรงขSามพรอS มกันดงั รปู ระยะทางจากรถยนตm A และ B ห]างกนั 25 เมตร เรมิ่ ออกรถพรอS มกนั โดย A ตอS งการไป
ตรง ส]วน B ตSองการเลย้ี วขวาโดยถSารถยนตm B เลีย้ วขวาตอS งขบั รถยนตไm ประยะครง่ึ นึงของระยะห]างจากรถยนตmท้ังสองจงึ
จะสามารถเลยี้ วไดS และเล้ยี วทันทีหลงั จากขบั ไดSระยะคร่งึ นึงน้แี ลSว ถาS รถยนตm A และ B ออกจากหยดุ นง่ิ และมีความเรง] คงตวั
รถยนตm A มีความเรว็ 27 กิโลเมตรตอ] ชว่ั โมง และ B 18 กโิ ลเมตรตอ] ชัว่ โมง อยากทราบว]ารถยนตm A และ B จะชนกนั
หรือไมช] นกัน (กำหนดใหSรถทงั้ สองยาว 2.5 เมตร)
1. ไม]ชนกัน เวลา รถยนตm B 5 วนิ าที เวลา รถยนตm A 4 วินาที
2. ไม]ชนกนั เวลา รถยนตm B ประมาณ2.5 วินาที เวลา รถยนตm A ประมาณ 4.5 วินาที
3. ชนกัน เวลา รถยนตm B 5 วินาที เวลา รถยนตm A 5 วินาที
4. ชนกนั เวลา รถยนตm B ประมาณ 2.5 วนิ าที เวลา รถยนตm A ประมาณ 5 วินาที
5. ชนกนั เวลา รถยนตm B ประมาณ 2.5 วินาที เวลา รถยนตm A ประมาณ 3.8 วินาที
9
การแข'งขันสอบวัดทักษะวิชาการระดบั ชาติ ประจำป9 พ.ศ. 2564 ข"อสอบวิชาวชิ าวิทยาศาสตร/
ภาคีเครือข+ายโรงเรยี นทัว่ ประเทศ และสถาบนั อซี ลี่ ชิ ประเทศไทย รหสั ชดุ ข"อสอบ 402005
____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________
ส#วนที่ 2 : ข,อสอบวดั ทักษะประยกุ ตสp ง# เสรมิ กระบวนการคดิ ทางวิทยาศาสตรp (ขอ, 36 – 40)
36. เมธวนิ ตSองการเตรยี มสารละลายตวั อยา] งโซเดยี มไฮดรอกไซดm 50.0 cm3 และตอS งไทเทรตดSวยกรดไฮโดรคลอรกิ ซงึ่ มี
ความเขSมขSน 0.100 mol/dm3 ปริมาตร 100 cm3 จึงถึงจุดยุติ (ดู pH=7 สารละลายเปYนกลางพอดี) เมธวินตSองการรูSว]า
ในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดm 1 cm3จะมีโซเดียมไฮดรอกไซดmกี่มิลลิกรัม (กำหนด มวลอะตอม Na = 23 , O = 16,
H=1)
37. ในอุตสาหกรรมการผลติ สี จะนำลิโทฟอนเปนY สารสีขาว ถกู นำมาใชSเปนY รปู สีน้ำซึง่ เปนY ของผสมระหวา] ง BaSO4 และ ZnS
สามารถเขียนสมการการเกิดปฏกิ ริ ยิ าไดSดงั น้ี
BaS(aq) + ZnSO4 (aq) ZnS(aq) + BaSO4 (s)
จงหามวลของลิโทฟอนที่ผลิตขึ้นจากปฏิกิริยาของสารละลาย ZnSO4 2.00 mol/dm3 ปริมาตร 250 มิลลิลิตร และ
สารละลาย BaS 2.00 mol/dm3 ปริมาตร 750 มิลลิลิตร (กำหนดใหSเลขมวลอะตอมของ Zn = 65 , S =32 , Ba = 137,
O = 16 )
38. ครอบครัวหนงึ่ มีพ]อ (A) เปYนโรค G-6PD แตง] งานกบั แม] (B) ปกตแิ ละไม]เปนY พาหะ ใหSกำเนิดลกู ชายคนหนึง่ (C) ตอ] มาลูก
ชายคนน้แี ตง] งานกับหญิง (D) ทเี่ ปนY โรค G-6PD และใหกS ำเนิดลูกสาว (E) จงหาความน]าจะเปนY ในการใหกS ำเนดิ ลูกชายท่ี
เปนY โรค G-6PD หากหญงิ คนนี้ (E) แต]งงานกบั ชายปกติ
39. อเิ ล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนในวงโคจรที่ n มคี า] เท]ากับ 4 จะว่ิงรอบนวิ เคลยี สดวS ยความถกี่ ีเ่ ทา] ของวงโคจรท่ี n เท]ากับ 2
40. คล่ืนแมเ] หล็กไฟฟ•ามพี ลงั งาน 6.6×10-17จลู และคล่ืนแม]เหลก็ ไฟฟ•าน้ีมีความยาวคลืน่ เทา] กับ 3×10-8 เมตรอยากทราบว]า
คลน่ื แมเ] หล็กนีจ้ ะมโี ฟตอนกีต่ วั (กำหนดใหS h =6.6×10-34จูลตอ] วินาที)
10
การแขง่ ขนั สอบวัดทกั ษะวชิ าการระดบั ชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564
(รอบสุดยอดอจั ฉริยภาพระดบั ประเทศ)
National Academic Test Program
เฉลยวิชาวิทยาศาสตร์
ระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
รหสั ชุดข้อสอบ 402005
ข้อ เฉลย ขอ้ เฉลย ข้อ เฉลย ข้อ เฉลย
1. 3 11. 2 21. 4 31. 1
2. 3 12. 1 22. 2 32. 5
3. 2 13. 4 23. 1 33. 5
4. 1 14. 2 24. 1 34. F*
5. 1 15. 1 25. 4 35. 1
6. 1 16. 2 26. 4 36. 8
7. 2 17. 5 27. 2 37. 165
8. 5 18. 2 28. 3 38. 25
9. 2 19. 5 29 1 39. 125
10. 5 20. 3 30 3 40. 1
หมายเหตุ:
1. F* หมายถึง ความผิดพลาดของผู้ออกข้อสอบ สำนักงาน สวช.จงึ ยกผลประโยชน์ใหแ้ ก่ผสู้ อบ