รายงาน
เรื่อง หน่วยที่ 11 เทคโนโลยีกับการตลาดและจรรยาบรรณนักการตลาด
โดย
1.นางสาวจุฑารัตน์ สามสุวรรณ์ เลขที่ 10
2.นางสาวณัฐมนต์ เกิดมณี เลขที่ 15
3.นางสาวพิมพ์วรีย์ เรืองศรี เลขที่ 30
4.นางสาวเกศินี อุทะปา เลขที่ 50
ระดับชั้นปวส.2/3 แผนกวิชาการบัญชี
เสนอ
อาจารย์วงเดือน พลูสวัสดิ์
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาหลักการตลาด(3200-1003)
วิทยาลัยเทคนิคระยอง อาชีวศึกษาจังหวัดระยอง
ส านักคณะกรรมการการอาชีวะศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
ค าน า
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา หลักการตลาด รหัสวิชา 3200-1003 ซึ่งได้รวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับ
เทคโนโลยีกับการตลาดและจรรยาบรรณนักการตลาด เนื่องจากในปัจจุบัน ขนาดของตลาดใหญ่ขึ้น ผู้ซื้อมี
ทางเลือกเพิ่มขึ้น วิธีการทางการตลาดมีความซับซ้อนขึ้นอีกทั้งธุรกิจยังจ าเป็นต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อม ที่
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง ด้วยเหตุนี้ การใช้สารสนเทศที่ทันต่อเหตุการณ์จึงยิ่งจะทวีความจ า
เป็นมากยิ่งขึ้น
ซึ่งทางผู้จัดท าหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่ได้มาศึกษารายงาน
ฉบับนี้และหากมีข้อผิดพลาดประการใดทางผู้จัดท าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดท า
สารบัญ
เรื่อง หน้า
1.1 เทคโนโลยีกับธุรกิจ 1- 2
1.2 ความจ าเป็นที่ต้องมีการน าเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ 3
1.3 การน าเทคโนโลยีมาใช้ในงานด้านการตลาด 4-8
1.4 สาระส าคัญของการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 9
1.5 ข้อดีและข้อจ ากัดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 9
1.6 ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 10
1.7 จรรยาบรรณของนักการตลาด 10-11
บรรณานุกรม 12
สมาชิกในกลุ่ม 13-16
1
หน่วยที่ 11 เทคโนโลยีกับการตลาดและจรรยาบรรณนักการตลาด
การด าเนินกิจกรรมด้านการขายและการตลาดจะถือเป็นภาระงานที่ส าคัญภายใต้โซ่คุณค่าขององค์การ
ที่สืบเนื่องจากแนวคิดการด าเนินธุรกิจในปัจจุบัน มักเน้นที่ความพอใจของลูกค้าเป็นส าคัญ องค์การจ าเป็นต้อง
ให้ความส าคัญกับการด าเนินงานด้านการตลาด รวมทั้งการสร้างแรงจูงใจให้กับบุคลากรของทุกหน่วยงาน ใน
การสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่ส่งมอบต่อลูกค้าทุกราย อันจะน าไปสู่ระดับความพึงพอใจของลูกค้าที่เพิ่มมาก
ขึ้น
ระบบสารสนเทศทางการตลาด เป็นเครื่องมือหนึ่งของการน าเสนอสารสนเทศเพื่อใช้ส าหรับงานด้าน
การตลาดในส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโปรแกรมทางการตลาดที่ดี จึงจ าเป็นต้องใช้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับ
ความต้องการของลูกค้า คู่แข่งขัน ผู้ขาย ตลอดจนผู้ที่มีบทบาทอื่นทางการตลาดด้วย เนื่องจากในปัจจุบัน ขนาด
ของตลาดใหญ่ขึ้น ผู้ซื้อมีทางเลือกเพิ่มขึ้น วิธีการทางการตลาดมีความซับซ้อนขึ้นอีกทั้งธุรกิจยังจ าเป็นต้อง
เผชิญกับสภาพแวดล้อม ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูง ด้วยเหตุนี้ การใช้สารสนเทศที่ทันต่อ
เหตุการณ์จึงยิ่งจะทวีความจ าเป็นมากยิ่งขึ้น
การตลาด (marketing) เป็นหน้าที่ส าคัญทางธุรกิจ เนื่องจากหน่วยงานด้านการตลาดจะรับผิดชอบใน
การกระจายสินค้าและบริการไปสู่ ลูกค้า ตั้งแต่การศึกษา และวิเคราะห์ความต้องการ การวางแผนและการสร้าง
ความต้องการ ตลอดจนส่งเสริมการขายจนกระทั้งสินค้าถึงมือลูกค้า ปกติการตัดสินใจทางการตลาดจะเกี่ยวข้อง
กับการจัดส่วนประสมทางการตลาด (marketing mix) หรือ ส่วนประกอบที่ท าให้การด าเนินงานทางการตลาด
ประสบความส าเร็จ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (product) ราคา (price) สถานที่
(place) และการโฆษณา (promotion) หรือที่เรียกว่า 4P’s
2
1.1 เทคโนโลยีกับธุรกิจ
1. อย่ามองการใช้เงินด้านเทคโนโลยีเป็นค่าใช้จ่ายแต่ให้มองว่าเป็น “การลงทุน”
การท าธุรกิจหลายประเภท เรามักจะต้องจ่ายค่าโฆษณา ค่าจัดงานโปรโมทสินค้า ค่าจ้างนักบัญชี และ
อื่นๆ อีกมากมาย แต่พอเป็นเรื่องเทคโนโลยี หลายคนมักจะเลือกจ่ายเฉพาะค่าเทคโนโลยีที่“จ าเป็น” ต้องใช้ และ
ไม่มียอมจ่ายค่าเทคโนโลยีที่คิดว่าไม่ได้ใช้ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดอย่างยิ่ง ถ้าคุณต้องการให้ธุรกิจของคุณยืนยาว
ตลอดไป การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตนั้นมีความจ าเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเลือกใช้
เทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณประหยัดทั้งเงินและเวลา ดังนั้นอย่ามองธุรกิจของคุณแค่ในวันนี้แต่ให้มอง
ไปถึงอีก 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้าแล้วเลือกลงทุนด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมส าหรับธุรกิจของคุณ
2. ให้ความส าคัญกับการสื่อสารออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็น Social Media ยี่ห้อไหนก็ตาม การได้แสดงความเห็นกับลูกค้า ตอบสนองในสิ่งที่พวกเขา
เรียกร้อง อัพโหลดวีดีโอที่น่าสนใจฯลฯ การสื่อสารในรูปแบบนี้ไม่ใช่แค่การน าเสนอเนื้อหาดีๆ หรือการสื่อสาร
ทางเดียวแบบที่ผ่านๆ มา แต่การใช้ Social Media ช่วยให้คุณได้พูดคุยกับลูกค้าตัวจริง ให้ลูกค้าของคุณได้พูดคุย
กันเองเกี่ยวกับคุณและผลิตภัณฑ์ของคุณ
แต่การจะใช้ประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ให้คุ้มค่าคุณจะต้องมีหลายปัจจัยรวมกัน ไม่ใช่แค่ปัจจัยเดียว อาทิเว็บไซต์ที่
ใช้งานง่าย เนื้อหาที่ดี มีหน้าบล็อก เว็บบอร์ดให้คนเข้าร่วม มีจดหมายอิเลคทรอนิกส์ที่อ่านง่าย เป็นประโยชน์
ต่อผู้อ่านและส่งหาลูกค้าสม ่าเสมอ ตลอดจนการสื่อสารผ่านเว็บเครือข่ายทางสังคมที่รวดเร็วทันใจครอบคลุมใน
หลายช่องทางที่ได้รับความนิยม
3. น าเทคโนโลยีเคลื่อนที่มาใช้ในธุรกิจ
ถ้างานของคุณจ าเป็นต้องไปไหนมาไหนบ้าง เทคโนโลยีเคลื่อนที่เป็นตัวเลือกที่จ าเป็นกับคุณมิใช่น้อย
เพราะการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะท าให้คุณเข้าถึงอีเมล์ แฟกซ์ ไฟล์งานต่างๆ ในออฟฟิศได้เสมือนอยู่ในออฟฟิศ
โดยที่ไม่ต้องคอยบอกลูกค้าว่ายังไม่ได้รับแฟกซ์หรือข้อความใดๆ เพียงเพราะคุณไม่ได้อยู่ในที่ท างานซึ่งท าให้
คุณปราศจากความคล่องตัวในการท างานหรืออาจจะถึงขั้นสูญเสียลูกค้าก็เป็นได้
4. หาตัวช่วยด้านเทคโนโลยี
ไม่จ าเป็นว่าคุณจะต้องจัดการและดูแลเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ด้วยตัวเอง คุณอาจจะมีความเชี่ยวชาญ
ด้านธุรกิจของคุณมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเครือข่ายเทคโนโลยี การส ารองข้อมูล
ในคอมพิวเตอร์ฯลฯ ทางเดียวที่จะช่วยให้คุณใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุดก็คือการ
ว่างจ้างบริษัทหรือผู้เชี่ยวชาญให้มาดูแลงานส่วนนี้แทนคุณ
3
1.2 ความจ าเป็นที่ต้องมีการน าเทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจ
1. โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์องค์กร
ต่างๆทั้งองค์กรธุรกิจ และ องค์กรที่ไม่ใช่ธุรกิจ ได้ปรับตัวเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกันแล้วเป็นส่วนใหญ่ องค์กร
ใดที่ไม่เชื่อมโยงข้อมูลถึงกัน จะโดดเดี่ยวและด าเนินธุรกิจได้ล าบาก จึงต้องน าเอาเทคโนโลยีเข้าไปเป็นส่วน
หนึ่งขององค์กร ตลอดจนข้อบังคับทางกฎหมายในบางเรื่องอาจมีการบังคับใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ
ควบคุม เช่น การขออนุญาตจดทะเบียนการค้าและการภาษีอากร ในอนาคตทุกองค์กรการค้าอาจต้องถูก
บังคับให้เชื่อมโยงข้อมูลการขายและสินค้าคงคลังเพื่อการจัดเก็บภาษีผ่านเครื่องบันทึกเงินสด
2. องค์กรธุรกิจในอนาคตมีการแข่งขันสูง ทุกองค์กรต้องการเข้าถึงผู้บริโภคของตัวเองด้วยความแตกต่าง
จากคู่แข่งให้มากที่สุด (Customer approach with high differentiated products and services) ด้วยสินค้าและ
บริการที่ราคาถูกด้วยความรวดเร็วและคุณภาพดีเท่าที่ลูกค้าต้องการ และระบุได้ด้วยตนเอง (Customization) ซึ่ง
ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเอื้อประโยชน์ให้แต่ละองค์กรสามารถท าธุรกิจอีเล็กทรอนิกส์ (e-Business) ได้
เช่น การซื้อขายสินค้าและท าธุรกรรมผ่านเว็บไซต์ หรือ การพาณิชย์อีเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
3. องค์กรต้องมีการปรับตัวและออกแบบองค์กรใหม่ เพราะถูกผลกระทบจากแรงกดดันในหลายด้าน
ได้แก่ แรงกดดันจากเทคโนโลยี แรงกดดันจากสังคมและแรงกดดันจากตลาดหรือลูกค้า
4
1.3 การน าเทคโนโลยีมาใช้ในงานด้านการตลาด
1. การปฏิบัติงาน (operations) เป็นข้อมูลที่แสดงถึงยอดขายและการด าเนินงานด้านการตลาด ตลอด
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยข้อมูลการปฏิบัติงานจะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการด าเนินงานที่ช่วย ในการ
ตรวจสอบ ควบคุม และวางแนวทางปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอนาคต
2. การวิจัยตลาด (marketing research) เป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาด
โดยเฉพาะพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือบริการ ของธุรกิจ โดยนักการตลาดจะ
ท าการวิจัยบนสมมติฐานและการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ปกติข้อมูลในการวิจัยตลาดจะได้มาจากการ
รวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ และการใช้แบบสอบถาม การวิจัยตลาดช่วยผู้บริหารใน
การวางแผนและการตัดสินใจทางการตลาด แต่อาจมีข้อจ ากัดของความถูกต้องและความน่าเชื่อถือในการอธิบาย
พฤติกรรมของ กลุ่มเป้าหมาย
3. คู่แข่ง (competitor) ค ากล่าวที่ว่า “รู้เขารู้เรา รอบร้อยครั้งชนะทั้งร้อยครั้ง” แสดงความส าคัญที่ธุรกิจ
ต้องมีความเข้าใจในคู่แข่งขันทั้งด้านจ านวนและ ศักยภาพ โดยข้อมูลจากการด าเนินงาน ของคู่แข่งขันช่วยให้
ธุรกิจสามารถวางแผนการตลาดอย่างเหมาะสม ปกติข้อมูลจากคู่แข่งขันจะมีลักษณะไม่มีโครงสร้าง ไม่เป็น
ทางการ และมีแหล่งที่มีไม่ชัดเจน เช่น การทดลองใช้สินค้าหรือบริการ การสัมภาษณ์ลูกค้าและตัวแทนจ าหน่าย
การติดตามข้อมูลในตลาด และข้อมูลจากสื่อสารมวลชน เป็นต้น
4. กลยุทธ์ขององค์การ (corporate strategy) เป็นข้อมูลส าคัญทางการตลาด เนื่องจากกลยุทธ์จะเป็น
เครื่องก าหนดแนวทางปฏิบัติของธุรกิจ และเป็นฐานในการก าหนดกลยุทธ์ทางการตลาดขององค์การ
5. ข้อมูลภายนอก (external data) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และ
เทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลต่อโอกาสหรืออุปสรรคของธุรกิจ โดยท าให้ความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์
หรือบริการของลูกค้าขยาย หรือหดตัว ตลอดจนสร้างคู่แข่งขันใหม่หรือ เปลี่ยนขั้นตอนและรูปแบบในการ
ด าเนินงาน
5
สารสนเทศด้านการตลาดอาจจะมีความแตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจซึ่ง เราสามารถจ าแนกระบบย่อยของ
ระบบสารสนเทศด้านการตลาดได้ดังต่อไปนี้
1. ระบบสารสนเทศส าหรับการขาย สามารถแบ่งออกเป็นระบบย่อย 3 ระบบดังต่อไปนี้
- ระบบสารสนเทศส าหรับสนับสนุนการขาย
จะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการด าเนินงานของฝ่ายขาย เพื่อให้การขายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง
ข้อมูลที่ระบบต้องการจะเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จะท าการขาย รูปแบบ ราคา และการโฆษณาต่าง ๆ เพื่อดึงดูดความ
สนใจของลูกค้า นอกจากนี้อาจเกี่ยวกับช่องทางและ วิธีการขายสินค้าผ่านตัวแทนจ าหน่ายในเรื่องของ
ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับ ลูกค้า ตลอดจนคู่แข่งของผลิตภัณฑ์ที่จะขายและจ าหน่ายสินค้าคงคลังของ
บริษัท
- ระบบสารสนเทศส าหรับวิเคราะห์การขาย
จะรวบรวมสารสนเทศในเรื่องของก าไรหรือขาดทุนของผลิตภัณฑ์ ความสามารถของพนักงานขายสินค้า
ยอดขายของแต่ละเขตการขาย รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตของสินค้า ซึ่งสามารถหาข้อมูลได้จากรายงานต่าง ๆ
เช่น รายงานการขาย รายงานของต้นทุนสินค้าและวัตถุดิบ เป็นต้น
- ระบบสารสนเทศส าหรับการวิเคราะห์ลูกค้า
จะช่วยในการวิเคราะห์ลูกค้าเพื่อให้ทราบถึงรูปแบบของการซื้อและ ประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เพื่อที่ธุรกิจจะ
สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
2. ระบบสารสนเทศส าหรับการวิจัยตลาด สามารถแบ่งออกเป็นระบบย่อยตามหน้าที่ได้ 2 ระบบ ดังต่อไปนี้
- ระบบสารสนเทศส าหรับการวิจัยลูกค้า การ วิจัยลูกค้าจะต่างกับการวิเคราะห์ลูกค้าตรงที่ว่าการวิจัย
ลูกค้าจะมีขอบเขต ของการใช้สารสนเทศกว้างกว่าการวิเคราะห์ลูกค้า โดยการวิจัยลูกค้าจะต้องการ
ทราบสารสนเทศ ที่เกี่ยวกับลูกค้าในด้านสถานะทางการเงิน การด าเนินธุรกิจ ความพอใจ รสนิยมและ
พฤติกรรมการบริโภค
- ระบบสารสนเทศส าหรับการวิจัยตลาด
การวิจัยตลาดจะให้ความส าคัญกับการหาขนาดของตลาดของแต่ละผลิตภัณฑ์ที่จะน าออก จ าหน่าย ซึ่งอาจ
ครอบคลุมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หลังจากนั้นก็จะก าหนดส่วนแบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์เพื่อท าการวางแผน
ก าหนดเป้าหมาย ก าหนดกลยุทธ์และวางแผนกลยุทธ์ สารสนเทศที่เป็นที่ต้องการของการวิจัยตลาดคือสภาวะ
และแนวโน้มทาง เศรษฐกิจ ยอดขายในอดีตของอุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์ชนิดเดียวกันในตลาด รวมทั้ง
สภาวะการแข่งขันของผลิตภัณฑ์นี้ด้วย
6
3. ระบบสารสนเทศส าหรับการส่งเสริมการขาย เป็น ระบบที่ให้ความส าคัญกับแผนงานทางด้านการ
โฆษณาและส่งเสริมการขาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการขาย เพิ่มยอดขายสินค้า และเพิ่มส่วนแบ่ง
การตลาดให้สูงขึ้น สารสนเทศที่เป็นที่ต้องการคือยอดขายของสินค้าทุกชนิดในบริษัท เพื่อให้รู้ว่าสินค้าใด
ต้องการแผนการส่งเสริมการขาย และสารสนเทศที่เกี่ยวกับผลก าไรหรือขาดทุนของสินค้าแต่ละชนิด เพื่อให้
ความส าคัญกับสินค้าตัวที่ท าก าไร
4. ระบบสารสนเทศส าหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เป็นระบบสารสนเทศที่วิเคราะห์ถึง
ความเป็นไปได้ของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ลักษณะและความต้องการของลูกค้าต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือผลิตภัณฑ์ที่
เป็นที่ต้องการของลูกค้าแต่ยังไม่มีตลาด โดยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการของระบบได้แก่ ยอดขายของผลิตภัณฑ์
ประเภทเดียวกันในอดีต เพื่อให้ทราบถึงขนาดและลักษณะของตลาด และการประมาณการต้นทุน เพื่อตอบ
ค าถามให้ได้ว่าสมควรที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่
5. ระบบสารสนเทศส าหรับพยากรณ์การขาย เป็นระบบที่ใช้ในการวางแผนการขาย แผนการท าก าไร
จากสินค้าหรือบริการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของบริษัท ซึ่งจะส่งผลไปถึงการวางแผนการผลิต การวางก าลังคน
และงบประมาณที่จะใช้เกี่ยวกับการขาย โดยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการคือ ยอดขายในอดีต สถานะของคู่
แข่งขัน สภาวการณ์ของตลาด และแผนการโฆษณา
6. ระบบสารสนเทศส าหรับการวางแผนก าไร เป็น ระบบสารสนเทศที่ให้ความส าคัญกับการวางแผน
ท าก าไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของ ธุรกิจ โดยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการคือสารสนเทศจากการวิจัยตลาด
ยอดขายในอดีต สารสนเทศของคู่แข่งขัน การพยากรณ์การขาย และการโฆษณา
7. ระบบสารสนเทศส าหรับการก าหนดราคา การก าหนดราคาของสินค้านับว่าเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง
ทางการตลาด เพราะต้องค านึงถึงความต้องการของลูกค้า คู่แข่งขัน ก าลังซื้อของลูกค้า โดยปกติแล้วราคาสินค้า
จะตั้งจากราคาต้นทุนรวมกับร้อยละของก าไรที่ต้องการ โดยสารสนเทศที่ต้องการได้แก่ ตัวเลขก าไรของ
ผลิตภัณฑ์ในอดีต เพื่อท าการปรับปรุงราคาให้ได้สัดส่วนของก าไรคงเดิม ในกรณีที่ต้นทุนมีการเปลี่ยนแปลง
8. ระบบสารสนเทศส าหรับการควบคุมค่าใช้จ่าย บุคคลที่เป็นผู้ควบคุมค่าใช้จ่ายสามารถควบคุมได้
โดยดูจากรายงานของผลการท า ก าไร กับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงหรือสาเหตุของการคลาดเคลื่อนของค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการขายรวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น เงินเดือน ค่าโฆษณา ค่าส่วนแบ่งการขาย เป็นต้น
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีส่วนส าคัญต่อการด าเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการขยายโอกาส
และเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้า ซึ่งท าให้นักการตลาดสมัยใหม่ต้องสามารถประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ
เพื่อก่อ ให้เกิดโอกาสและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันแก่องค์การ ซึ่งจะส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพ
ของตน
7
ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการด าเนินงาน
การผลิต (production) เป็นกระบวนการแปรรูปทรัพยากรการผลิต เช่น วัตถุดิบ แรงงาน และ พลังงาน
ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่พร้อมในการจัดจ าหน่ายแก่ลูกค้า โดยผู้ผลิตต้องพยากรณ์ปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
กับความต้องการของลูกค้า โดยไม่ให้มีจ านวนมากหรือน้อยจนเกินไป ตลอดจนควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์
เป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยมีต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม ปัจจุบันการขยายตัวของธุรกิจจากการผลิตเข้าสู่สังคม
บริการ ท าให้มีการประยุกต์หลักการของการจัดการผลิตกับงานด้านบริการ ซึ่งเราจะเรียกการผลิตในหน่วย
บริการว่า “การด าเนินงาน (operations)” โดยที่แหล่งข้อมูลในการผลิตและการด าเนินงานขององค์การมี
ดังต่อไปนี้
1. ข้อมูลการผลิต/การด าเนินงาน (production/operations data) เป็นข้อมูลจากกระบวนการผลิตหรือ
การให้บริการ ซึ่งจะแสดงภาพปัจจุบันของระบบการผลิตของธุรกิจว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียง ใด และมี
ปัญหาอย่างไรในการด าเนินงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนในการแก้ปัญหาและการพัฒนา
ประสิทธิภาพการ ด าเนินงานในอนาคต
2. ข้อมูลสินค้าคงคลัง (inventory data) บันทึกปริมาณวัตถุดิบและสินค้าส าเร็จรูปที่เก็บไว้ในโกดัง
โดยผู้จัดการต้องพยายามจัดให้มีสินค้าคงคลังในปริมาณไม่เกินความจ าเป็นหรือ ขาดแคลนเมื่อเกิดความต้องการ
ขึ้น
3. ข้อมูลจากผู้ขายวัตถุดิบ (supplier data) เป็นข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณ คุณสมบัติ และราคาวัตถุดิบ
ตลอดจนช่วงทางและต้นทุนในการล าเลียงวัตถุดิบ ปัจจุบันการพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
(electronic data interchange) หรือที่เรียกว่า EDI ช่วยให้การประสานงานระหว่างผู้ขายวัตถุดิบ ธุรกิจ และลูกค้า
มีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ข้อมูลแรงงานและบุคลากร (labor force and personnel data) ข้อมูลเกี่ยวกับพนักงานใน
สายการผลิตและปฏิบัติการ เช่น อายุ การศึกษา และประสบการณ์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการจัด
บุคลากรให้สอดคล้องกับงาน ขณะที่ข้อมูลภายนอกเกี่ยวกับตลาดแรงงานจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนและ
จัดหา แรงงานทดแทน และการก าหนดอัตราค่าจ้างอย่างเหมาะสม
5. กลยุทธ์องค์การ (corporate strategy) แผนกลยุทธ์ขององค์การจะเป็นแม่บทและแนวทางในการ
ก าหนดกลยุทธ์การผลิตแลการด าเนินงานให้มีประสิทธิภาพ
8
การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศในการด าเนินงานขององค์การ นอกจากจะส่งผลต่อการพัฒนาผลิตผล
(productivity) ของธุรกิจ โดยเฉพาะการปฏิบัติ ตั้งแต่การตัดสินใจเกี่ยวกับการออกแบบและการพัฒนา
ผลิตภัณฑ์หรือบริการ การปรับปรุงกระบวนการผลิต การควบคุมสินค้าคงคลัง การวางแผนคุณภาพ การเพิ่ม
ผลผลิต และการควบคุมต้นทุนขององค์การให้มีประสิทธิภาพขึ้น ท าให้ระบบอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจ
โดยรวมเติบโตแล้ว ยังส่งผลต่อความคล่องตัวในการปฏิบัติงานและการจัดรูปแบบความสัมพันธ์ทาง สังคมโดย
ทางตรงและทางอ้อม
การวางแผนความต้องการวัสดุ
การบริหารทรัพยากรการผลิต โดยเฉพาะวัตถุดิบ (raw materials) เป็นหัวใจส าคัญของการจัดการด้านการ
ด าเนินงานการผลิต ถ้าธุรกิจมีปริมาณวัตถุดิบมากเกินไปจะท าให้ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสูง แต่ถ้ามีปริมาณ
วัตถุดิบน้อยเกินไปก็จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อแผนและกระบวนการ ผลิต ตลอดจนก่อให้เกิดค่าเสียโอกาสทาง
ธุรกิจ การวางแผนความต้องการวัสดุ (material requirement planning) หรือที่เรียกว่า MRP เป็นระบบ
สารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบการผลิต เพื่อประกอบการวางแผนความต้องการวัสดุเพื่อให้ธุรกิจ
สามารถจัดการวัตถุดิบ อย่างมีประสิทธิภาพ โดย MRP ให้ความส าคัญกับสิ่งต่อไปนี้
1. ไม่เก็บวัตถุดิบเพื่อรอการใช้งานไว้นานเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและความเสี่ยงในการ
สูญหายหรือสูญเสีย
2. รายงานผลการผลิตและความเสียหายที่เกิดขึ้นตามระยะเวลาที่ก าหนด
3. ควบคุมสินค้าคงคลังอย่างเป็นระบบ
4. มีการตรวจสอบ แก้ไข และติดตามผลข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
โดยที่ MRP มีบทบาทต่อระบบการผลิตขององค์การตั้งแต่การจัดหาวัสดุ เพื่อท าการผลิตโดยการ
ก าหนดปริมาณและระยะเวลาในการสั่งที่ประหยัดค่าใช้จ่าย ตลอดจนจัดเตรียมรายละเอียดของการผลิตใน
อนาคตซึ่งเราสามารถสรุปว่า MRP มีข้อดีดังต่อไปนี้
1. ลดการขาดแคลนวัตถุดิบที่จ าเป็นในการผลิต
2. ลดค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาวัตถุดิบและสินค้าคงคลัง
3. ช่วยให้บุคลากรมีเวลาในการปฏิบัติงานอื่นมากขึ้น
4. ประหยัดแรงงาน เวลา และค่าใช้จ่ายในการติดตามวัตถุดิบ
5. ช่วยให้องค์การสามารถปรับตัวอย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
9
1.4 สาระส าคัญของการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้ติดต่อกันได้หลายระดับ ได้แก่ ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ธุรกิจกับลูกค้า
ลูกค้ากับลูกค้า หรือแม้แต่รัฐบาลกับรัฐบาล สาระส าคัญของการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีดังนี้
1. การขาย การโฆษณา แสดงสินค้า เสนอสินค้า สั่งซื้อ ค านวณราคา
2. การช าระเงิน การตกลงวิธีการช าระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ให้ตัดบัญชี ตลอดจน
เงินดิจิทัลรูปแบบใหม่
3. การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง สถานที่ติดต่อ และระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
4. บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท
ธุรกิจน าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มาใช้ติดต่อบุคคลหน่วยงานหรือองค์กรหลายระดับ เช่น ใช้พาณิชย์
อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างธุรกิจกับลูกค้าในการซื้อขายสินค้า การช าระเงินหรือการบริการหลังการขาย เป็นต้น
1.5 ข้อดีและข้อจ ากัดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อดี
1. ประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางไปซื้อสินค้า เพียงแค่เลือกซื้อผ่านเว็บไซต์เท่านั้น
2. ประหยัดเวลาในการติดต่อ แค่ใช้เวลาไม่นานแค่เพียงไม่กี่วินาทีเราก็สามารถติดต่อซื้อ
สินค้าได้
3. การเปิดร้านค้าในอินเตอร์เน็ตเป็นการขยายตลาดสู่ทั่วโลก ไม่จ ากัดเฉพาะแค่ในประเทศ
และยังท าให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในการได้เลือกซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น
4. ผู้ขายสามารถเปิดร้านได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด และผู้บริโภคก็สามารถซื้อ
สินค้าได้ทุกวัน
ข้อเสีย
1. ผู้ซื้ออาจไม่แน่ใจว่าสั่งซื้อแล้วจะได้รับสินค้าจริง หรือได้รับสินค้าที่ไม่เป็นไปตามคาดหวัง
หรือสินค้าช ารุดเสียหายหรือสูญหาย
2. สินค้าอาจเป็นสินค้าที่ไม่ผ่านการทดสอบ หรือสินค้าไม่มีคุณภาพ
3. เสี่ยงต่อการถูกฉ้อโกง หรือถูกโกงราคาหรือถูกหลอกลวงได้ง่าย
4. ข้อมูลสินค้าบางอย่างอาจมีการโอ้อวดคุณภาพสินค้าเกินจริง โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบ
ได้
5. ในระบบกฎหมายของไทย ยังไม่มีการให้ความคุ้มครองอย่างทั่วถึงเพียงพอ ความปลอดภัย
ในข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตจึงยังไม่ปลอดภัยพอ
10
1.6 ประโยชน์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางการค้าที่น่าสนใจมาก เพราะนับวันก็ยิ่งมี
ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งส่งผลให้การค้าทางอินเตอร์เน็ตขยายตัวได้อย่าง รวดเร็ว และการท า
ธุรกิจบนเว็บไซต์นั้นสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้มากมายหลายประการ ได้แก่
1. ท าการค้าได้ตลอด 24 ชั่งโมง และขายสินค้าได้ทั่วโลก นักท่องอินเตอร์เน็ตจากทั่วทุกมุมโลก สามารถ
เข้ามาในเว็บไซต์ของบริษัทได้ตลอดเวลาผู้ขายสามารถน าเสนอสินค้าผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ
2. ข้อมูลทันสมัยอยู่เสมอ และประหยัดค่าใช้จ่าย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นั้นมีประโยชน์ที่ส าคัญมากอีก
ประการหนึ่ง คือสามารถ เสนอข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดให้กับลูกค้าได้ทันที
3. ง่ายต่อการช าระเงิน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถช าระเงินได้อย่างสะดวกสบายโดยวิธีการตัดผ่านบัตร
เครดิตหรือการโอนเงินเข้าบัญชีซึ่งจะเป็นระบบอัตโนมัติ
1.7 จรรยาบรรณนักการตลาด
ทุกวันนี้ภาพลักษณ์ของนักการตลาดในสายตาบุคคลทั่วไปอาจจะไม่ดีนัก เนื่องจากมีนักการตลาด
จ านวนมากที่ใช้ยุทธวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อกระตุ้นและเร่งเร้าให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อโดยที่ไม่ได้ค านึงถึงผลกระทบ
ต่าง ๆ ที่จะตามมาในภายหลัง หรือแม้กระทั่งการกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายที่เกินตัวจนก่อให้เกิดภาระ
หนี้สินจ านวนมาก แม้ว่าหลักการตลาดโดยทั่วไปมุ่งเน้นที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจซื้อ แต่นั้นต้อง
อยู่บนหลักการที่ว่าไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ซื้อด้วยเช่นกัน ดังนั้น สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยจึง
ได้จัดท าจรรยาบรรณนักการตลาดเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติส าหรับบุคคลในวงการธุรกิจและการตลาด เพื่อให้
อาชีพนักการตลาดเป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง ความรู้ความช านาญ ทางด้านการตลาดมิใช่เพื่อ
น าไปเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติแต่จะต้อง
เป็นการสร้างสรรค์และยกระดับมาตรฐานวงการตลาดไทยให้ทัดเทียมกับอารยประเทศ
11
หลักการทั่วไป
1. นักการตลาดไทยต้องมีจิตตระหนักในภาระหน้าที่และบทบาทที่จะช่วยกันเสริมสร้างและเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยและของประเทศไทยในตลาดโลก
2. ด าเนินกิจกรรมทางการตลาดด้วยคุณธรรม และความรับผิดชอบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดย
ระมัดระวังไม่ให้มีผลกระทบในทางลบต่อจารีตประเพณีขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมอันดีงามขอ
ประชาชนคนไทยและชาติไทย
3. รับผิดชอบต่อผลการกระท าของตน และพยายามทุกวิถีทางให้มั่นใจว่าการตัดสินใจหรือการกระท าใดๆ
ของตนเป็นไปเพื่อบ่งชี้ตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้แก่กลุ่มสาธารณะที่เกี่ยวของโดยรวม
4. ปฏิบัติตามกฎหมายและค่านิยมที่ดีทางสังคม
5. ตั้งมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตและความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค ผู้ซื้อผู้ขาย ลูกจ้าง พนักงานและ
สาธารณชนทั่วไป
6. กระท าตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีต่อผู้ร่วมอาชีพและบุคคลอื่น
7. ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณนักการตลาด
8. ละเว้นการใช้อ านาจหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
9. ยินดีเผยแพร่ความรู้ความสามารถในวิชาชีพของตนเพื่อสาธารณประโยชน์
12
บรรณานุกรม
1. https://sites.google.com/site/lakkantalad/crrya-brrn-nakkar-tlad
2. http://marketing3200-1003.blogspot.com/p/11.html
3. หนังสือหลักการตลาด (Principle of Maketing) รหัส 3200-1003
13
สมาชิกในกลุ่ม
1. นางสาวจุฑารัตน์ สามสุวรรณ์ ปวส.2/3 เลขที่ 9 สาขาการบัญชี
14
2. นางสาวณัฐมนต์ เกิดมณี ปวส.2/3 เลขที่ 15 สาขาการบัญชี
15
3. นางสาวพิมพ์วรีย์ เรืองศรี ปวส.2/3 เลขที่ 30 สาขาการบัญชี
16
4. นางสาวเกศินี อุทะปา ปวส.2/3 เลขที่ 50 สาขาการบัญชี