The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน ภาษาไทย ป.3 ปีการศึกษา 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kokkaikorea, 2022-03-16 02:49:12

วิจัยในชั้นเรียน ภาษาไทย ป.3 ปีการศึกษา 2564

วิจัยในชั้นเรียน ภาษาไทย ป.3 ปีการศึกษา 2564

การพฒั นาทักษะการเขยี นคาพื้นฐานภาษาไทย
ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 3 โดยใช้
แบบฝึ กทกั ษะการเขยี นคาพนื้ ฐานภาษาไทย

โดย
นางสุภาพร กาญจนสุนทร
นางสาววันทนา เกือ้ หนุน
นางพรประภา สิริมรุ ธา

กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ปี การศึกษา 2564
โรงเรียนธิดาแม่พระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี



บทคัดย่อ

การวิจยั เร่ือง การพฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย ของนกั เรียนช้ันประถมศึกปี ท่ี 3
โดยใช้ แบบฝึ กทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงค์เพื่อพฒั นาทักษะการเขียนคา
พ้ืนฐานของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 โดยใชแ้ บบฝึกหัดชุดพฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้นื ฐานภาษาไทย
และเพือ่ ใหน้ กั เรียนมคี วามสนใจและต้งั ใจเรียนดีข้นึ และปลูกฝังใหน้ กั เรียนมีนิสยั รักการอา่ นและการเขยี น

การวิจยั คร้ังน้ีมีกลุ่มตวั อยา่ ง คือ เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ภาคเรียนที่ 1-2 ปี การศึกษา
2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ เป็นจานวน 10 ห้องเรียน มีนักเรียนจานวน 10 คนซ่ึงไดม้ าจากการเลือก
ตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive Sampling ) ใช้เวลาในการทดลอง 4 คาบเรียน คาบเรียนละ 30 นาที
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั คือแบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานวิชาภาษาไทย การวิเคราะห์ขอ้ มูลใชส้ ถิติ
ค่าเฉลย่ี และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน

ผลของการวจิ ยั พบว่า ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลจากตารางท่ี 4.5 พบวา่ คะแนนเฉล่ยี ของผลการทดลอง
ระหว่างเรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ย ( ̅) เท่ากบั 14.60 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากบั 3.18 และคะแนน
เฉลี่ยของผลการทดลองหลงั เรียนไดค้ ะแนนเฉล่ยี ( ̅) เท่ากบั 17.90 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากบั
1 48 และผลสัมฤทธ์ิทางการพฒั นาแบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนักเรียนช้นั
ประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ในระหว่างเรียนและหลงั เรียนของนักเรียนท่ีเรียนดว้ ยแบบฝึก
จากตารางที่ 7 พบวา่ มปี ระสิทธิภาพ เทา่ กบั 74.00/91.80 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑม์ าตรฐานที่ต้งั ไว้ คือ 80/80



กติ ตกิ รรมประกาศ

งานวิจยั เร่ือง การพฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3
โดยใช้ แบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย จะบรรลุผลสาเร็จไม่ไดห้ ากไม่ไดร้ ับการอนุเคราะห์
จากหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และครูผูส้ อนวิชาภาษาไทยในระดบั ประถมศึกษาทุกท่านเป็น
อยา่ งยิ่ง ที่ช่วยใหค้ าแนะนา แกป้ ัญหา ให้คาปรึกษาในการวิจยั ดว้ ยดี

สาหรบั คณุ งามความดี และประโยชนอ์ นั ใดทเี่ กิดจากการวจิ ยั คร้งั น้ี คณะผวู้ จิ ยั ขออทุ ิศใหก้ บั
คุณครู และอาจารยท์ ุกทา่ นทป่ี ระสิทธ์ิประสาทความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ท่ดี ีใหก้ บั คณะผวู้ จิ ยั

คณะผวู้ จิ ยั

ค หน้า

สารบญั ก

บทท่ี ข

บทคดั ยอ่ .............................................................................................................................. ค
กิตตกิ รรมประกาศ...............................................................................................................
สารบญั ................................................................................................................................ 1
บทที่ 1 บทนา....................................................................................................................
ความสาคญั ของปัญหา................................................................................ 1
วตั ถุประสงคข์ องการวิจยั .............................................................................
สมมตุ ิฐานการวิจยั ........................................................................................ 2
ขอบเขตของการวจิ ยั .....................................................................................
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ......................................................................................... 2
ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ ับ..........................................................................
บทท่ี 2 เอกสารทเี่ ก่ียวขอ้ งกบั การเขียน............................................................................... 2
ความหมายของการเขยี น.............................................................................
จดุ มุ่งหมายของการเขียน.............................................................................. 3
เอกสารทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การเขียนสะกดคา................................................................
ความหมายของการเขยี นสะกดคา................................................................. 3
ความสาคญั ของการเขียนสะกดคา.................................................................
ปัญหาของการเขยี นสะกดคา.......................................................................... 5
เทคนิคการสอนเขียนสะกดคา...................................................................... 6
จิตวิทยาท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การเขียนสะกดคา..................................................... 7
เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั แบบฝึก................................................................................... 8
ความหมายและความสาคญั ของแบบฝึก....................................................... 9
รูปแบบของแบบฝึ ก........................................................................................ 10
ลกั ษณะของแบบฝึกทีด่ ี.................................................................................. 11
หลกั การสร้างและข้นั ตอนการสร้างแบบฝึก................................................. 11
ทฤษฎีและหลกั จิตวิทยาในการสร้างแบบฝึก................................................ 12
งานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง...................................................................................................... 12
งานวิจยั ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การเขียนสะกดคา......................................................... 13
19
20
20
20
21
21



สารบัญ ( ต่อ )
บทท่ี หน้า

บทท่ี 3 วิธีดาเนินการวิจยั ................................................................................................ 22
ประชากรกลุ่มตวั อยา่ ง............................................................................ 22
เครื่องมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจยั .......................................................................... 22
การสร้างและหาคณุ ภาพเคร่ืองมอื มาใชใ้ นการวิจยั .................................. 23
ระยะเวลาในการดาเนินการศึกษาวิจยั ...................................................... 23
การดาเนินการทดลอง............................................................................. 24
การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถติ ทิ ่ใี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ............................ 25
การวิเคราะหข์ อ้ มูลเพ่อื ตอบคาถามการวจิ ยั .............................................. 26

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ......................................................................................... 27
สัญลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู ........................................................ 27
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู .............................................................................. 28
การนาเสนอผลการวเิ คราะหต์ อนที่ 1 ..................................................... 28
การนาเสนอผลการวิเคราะหต์ อนที่ 2 ......................................................30

บทที่ 5 สรุป อภปิ รายและขอ้ เสนอแนะ........................................................................... 33
สรุปผลการวจิ ยั ........................................................................................ 33
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง.............................................................. 33
เคร่ืองที่ใช้ในการวจิ ยั ....................................................................... 34
การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ............................ 34
การดาเนินการวิจยั ............................................................................ 35
การอภปิ รายผล..............................................................................................35
ขอ้ เสนอแนะ............................................................................................... 35
บรรณานุกรม.............................................................................................. 36

ภาคผนวก.................................................................................................................................. 37

ภาคผนวก ก แผนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน

ภาคผนวก ข แบบฝึกทกั ษะการเขยี นคาพ้ืนฐาน

ภาคผนวก ค แบบฝึกทกั ษะทนี่ กั เรียนไดป้ ฏบิ ตั ิ

1

บทท่ี 1
บทนา

ความสาคัญของปัญหา
ภาษาจดั ไดว้ ่าเป็นสมบตั ทิ างวฒั นธรรมและก่อให้เกิดเอกภาพ และเสริมสร้างบคุ ลิกภาพให้เกิด

ความเป็นไทยให้มากยิง่ ข้ึนเป็นเคร่ืองมือในการส่ือสาร เพื่อสร้างความเขา้ ใจและสร้างความสัมพนั ธ์ทีด่ ี
ดงั น้นั นกั เรียนควรมีทกั ษะใหค้ รบ ท้งั ฟัง พูด อา่ นและเขียน

ฉวลี กั ษณ์ บณุ ยะกาญจน์ (2526, หนา้ 5) มคี วามเห็นว่า การอา่ นเปรียบเสมอื นกุญแจไขความรู้ ซ่ึง
ถา้ ไดน้ าความรู้มาใชใ้ ห้เป็นประโยชนใ์ นการแกป้ ัญหาใหก้ บั สังคม สงั คมกพ็ ฒั นาเพมิ่ มากข้ึน เพราะถา้
สงั คมใดมีพลเมอื งท่ีมปี ระสิทธิภาพในการอ่านมาก สงั คมน้นั ก็จะมคี วามเจริญมากยิง่ ข้ึนซ่ึงสอดคลอ้ งกบั
สุกญั ญา สีสืบสาน (2531:58) ให้ความหมายของการอ่านว่า เป็นการพฒั นาความรู้ สติปัญญา และจิตใจของ
บุคคลทเี่ ป็นองคป์ ระกอบของสังคม สาหรบั นกั เรียนความสาเร็จในการเรียนของเด็กส่วนใหญ่ข้ึนอยกู่ บั
ความสามารถของการอา่ น ท้งั น้ีเพราะการอ่านเป็นพ้นื ฐานในการเรียนวิชาอื่นๆ

สุขมุ เฉลยทรัพย์ (2530: 27) ไดก้ ล่าววา่ "การอ่านคือกระบวนการคน้ หา ความหมายหรือความ
เขา้ ใจจากตวั อกั ษรและ สญั ลกั ษณอ์ นื่ ๆ ทใี่ ชแ้ ทนความคดิ เพื่อเพม่ิ ประสบการณ์ของผอู้ า่ น ซ่ึงการอ่านให้
เขา้ ใจ ข้นึ อยกู่ บั ประสบการณ์เดิมของผอู้ ่านดว้ ย การอา่ นไมใ่ ช่การมองผ่านประโยค หรือยอ่ หนา้ แต่ละยอ่
หนา้ เทา่ น้นั แตเ่ ป็นการรวบรวม การตีความและการประเมินความเห็นเหล่าน้นั กระบวนการทกี่ ่อให้เกิด
ความเขา้ ใจ เป็นการผสมผสานระหวา่ ง ทกั ษะหลายชนิดเพือ่ ให้เป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค.์ .." มีความคิดเห็น
เดียวกนั มทั นา นาคะบตุ ร (2542, หนา้ 3) กลา่ วว่า การอ่าน หมายถึง การตคี วาม หรือแปลความหมายจาก
ตวั หนงั สือ (สญั ลกั ษณ์) ท่ีมีผเู้ ขยี นไวใ้ หเ้ กิดการรับรู้ เกิดความเขา้ ใจสารและสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้

พจนาถ วงษพ์ านิช (2547, หนา้ 9) กล่าววา่ การอ่าน หมายถงึ กระบวนการแปลความหมายจาก
ตวั อกั ษร สญั ลกั ษณ์ กลุ่มคา หรือวลี และประโยคออกมาเป็นความคดิ อยา่ งมเี หตผุ ล โดยอาศยั ความสามารถ
ในการแปล การตีความ การจบั ใจความสาคญั และการสรุปความ เพ่อื ให้เกิดความเขา้ ใจอยา่ งมจี ดุ มุ่งหมายจาก
นิยามของท่านผรู้ ู้ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ สามารถสรุปไดว้ า่ การอา่ นหมายถงึ การแปลสัญลกั ษณอ์ อกมาจาก
ตวั อกั ษรจนเกิดการรบั รู้ เกิดความเขา้ ใจในสารน้ัน และพร้อมทจ่ี ะสามารถถา่ ยโยงความคดิ ไปยงั ผูอ้ ื่นตอ่ ไป
ได้ โดยอาศยั ความสามารถในการแปล การตคี วาม การจบั ใจความสาคญั และการสรุปความ

จากการสอนทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐาน ในระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 พบว่ามีนกั เรียน

2

จานวน 10 คน เม่อื ครูใหน้ กั เรียนอ่านบทเรียน หรือ หนงั สือนอกเวลา แลว้ กาหนดคาให้นกั เรียนอ่านและ
เขยี นตามคาบอก จากคาทคี่ รูกาหนดข้นึ นกั เรียนจะไม่สามารถอา่ นและเขียนคาไดถ้ กู ตอ้ ง ครูผูส้ อนจึงเกิด
ความคดิ วา่ การให้นกั เรียนคน้ หาคาพ้ืนฐานภาษาไทยจากหนงั สือเรียน และแบบฝึกใหน้ กั เรียนไดเ้ ขยี น
สะกดคาบอ่ ยๆ จะช่วยให้นกั เรียนอ่านและเขียนสะกดคาไดถ้ กู ตอ้ งมากย่งิ ข้ึน

การวิจยั คร้งั น้ีเป็นการสร้างแบบฝึกเสริมทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐาน สาหรับให้นกั เรียนศึกษาหา
ความรู้ และเพือ่ ให้นกั เรียนเกิดความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ เกิดความซาบซ้ึงในคุณคา่ ของภาษา อกี ท้งั ยงั เป็น
การช่วยเสริมสร้างทกั ษะและนิสยั รกั การอา่ นและการเขียนให้แก่นกั เรียน ผวู้ ิจยั จึงใชร้ ูปภาพประกอบและ
แบบฝึกหัดท่หี ลากหลายเพ่อื ช่วยพฒั นาทกั ษะการเขยี น

วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
1.เพอื่ พฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 โดยใช้แบบฝึกหัดชุด

พฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย
2.เพอ่ื ให้นกั เรียนมีความสนใจและต้งั ใจเรียนดีข้นึ และปลกู ฝังใหน้ กั เรียนมีนิสยั รักการอา่ นและการ

เขยี น

สมมติฐานการวจิ ัย
สมมติฐานการวจิ ยั นกั เรียนระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 มีกลมุ่ ตวั อยา่ ง 10 คน ท่ไี ดร้ ับการฝึกจาก

แบบฝึกหัดชุดพฒั นาทกั ษะการเขยี นคาพ้ืนฐานภาษาไทย จะมีความสามารถในดา้ นทกั ษะการเขยี นคา
พ้ืนฐานภาษาไทยดีข้นึ ( แผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เร่ือง การเขียนตามคาบอก การเขยี นเรื่อง )

ขอบเขตการวิจยั
ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง
ประชากรประชากรท่ใี ชใ้ นการวิจยั เป็นนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อาเภอเมือง
จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี การศึกษา 2564
กล่มุ ตัวอย่าง นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ อาเภอเมอื ง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ภาค
เรียนท่ี 1- 2 ปี การศกึ ษา 2564 โดยใชค้ ะแนนทดสอบผลการเรียนรู้ จากนกั เรียนท่คี ะแนนทดสอบการอ่าน
และการเขียนคาภาษาไทย รายวิชาภาษาไทย ต่ากว่าร้อยละ 50 จานวน 10 คน

3

ตัวแปรทใ่ี ช้ในการวิจยั
ตวั แปรทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ในคร้ังน้ีประกอบดว้ ย
ตัวแปรอิสระ คือ แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขยี นคาพ้ืนฐาน หมายถึง สื่อการเรียนการ

สอนชนิดหน่ึงทช่ี ่วยให้ผเู้ รียนไดฝ้ ึกทกั ษะตา่ งๆ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ สามารถเขา้ ใจในเน้ือหาเรื่องน้นั ๆ ไดอ้ ยา่ ง
ถ่องแท้ ท้งั น้ีแบบฝึกจะตอ้ งมรี ูปแบบทีท่ นั สมยั เพอ่ื ดึงดดู ความสนใจของผูเ้ รียน

ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้แบบฝึ กทักษะวิชาภาษาไทย เร่ืองการเขียนคา
พ้ืนฐาน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการเรียนการสอนโดยการใช้แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทย เรื่องการ
เขียนคาพ้นื ฐาน ท่ีจะทาใหน้ กั เรียนเกิดการเปลีย่ นแปลงทางดา้ นพฤติกรรม และสามารถวดั ไดโ้ ดยการแสดง
ออกมาท้งั 3 ดา้ น คอื ดา้ นพทุ ธิพิสยั ดา้ นจิตพิสยั และดา้ นทกั ษะพิสัย

เนือ้ หาทใี่ ช้ในการวิจัย
เป็นเน้ือหาในรายวิชาภาษาไทย ท.13101 และ ท.13102 ช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 ตามโครงสร้าง

หลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ( แผนการจดั การเรียนรู้เรื่องการสะกดคา การเขียนตาม
คาบอก การเขียนเร่ือง )

ระยะเวลาที่ใช้ในการวจิ ัย
ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการวิจยั ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564

นยิ ามศัพท์เฉพาะ
ผลสัมฤทธ์กิ ารเรยี น หมายถงึ คะแนนของนกั เรียนที่ไดจ้ ากการทาแบบทดสอบหลงั จากเรียนจบบทเรียน
เอกสารประกอบการเรยี น หมายถึง เอกสารท่ีให้ความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั เน้ือหาทค่ี รูสอน
นักเรียน หมายถึง นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อาเภอเมอื ง จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
ประจาปี การศกึ ษา 2564
ครู หมายถึง ครูผูส้ อนกลุม่ สาระภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ อาเภอเมือง
จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ประจาปี การศึกษา 2564
แบบฝึ กหัด หมายถงึ แบบฝึกหัดการเขียนคาพ้นื ฐานภาษาไทยทผ่ี วู้ ิจยั สร้างข้ึน
ทักษะการเขยี น หมายถงึ การถา่ ยทอดความรู้ ความรู้สึกนึกคิด เร่ืองราว ตลอดจนประสบการณต์ า่ ง ๆ
ไปสู่ผอู้ ืน่ โดยใชต้ วั อกั ษรเป็นเคร่ืองมือในการถา่ ยทอด

4

ทักษะการอ่าน หมายถงึ ความสามารถในการแปลความหมายของตวั อกั ษรออกมาเป็นถอ้ ยคาและความคดิ
แลว้ นาความคิดน้นั ไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์

ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ
1. นกั เรียนเขียนคาพ้นื ฐานในภาษาไทยไดถ้ ูกตอ้ งมากข้ึน
2. นกั เรียนมคี วามสนใจและต้งั ใจเรียนดีข้ึนและปลูกฝังให้นกั เรียนมีนิสัยรกั การอา่ นและการเขยี น

5

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง

การวจิ ยั เรื่อง การพฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกปี ท่ี 3 โดย
ใช้ แบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้นื ฐานภาษาไทย ผูว้ ิจยั ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ จากเอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง
ดงั ต่อไปน้ี

1.เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การเขียน
1.1 ความหมายของการเขยี น
1.2จุดมงุ่ หมายของการเขยี น

2.เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเขียนสะกดคา
2.1ความหมายของการเขียนสะกดคา
2.2ความสาคญั ของการเขียนสะกดคา
2.3ปัญหาของการเขยี นสะกดคา
2.4เทคนิคการสอนเขียนสะกดคา
2.5จิตวิทยาทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การเขยี นสะกดคา

3.เอกสารทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั แบบฝึก
3.1 ความหมายและความสาคญั ของแบบฝึก
3.2 รูปแบบของแบบฝึก
3.3ลกั ษณะของแบบฝึกที่ดี
3.4หลกั การสร้างและข้นั ตอนการสร้างแบบฝึก
3.5ทฤษฎีและหลกั จิตวทิ ยาในการสร้างแบบฝึก

4.งานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง
4.1 งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การอา่ นและการเขียนสะกดคา

การเขียน

การสอนเขยี นในระดบั ช้นั ประถมศกึ ษาช้นั ปี ที่ 3 มจี ดุ มุง่ หมายเพ่ือให้มที กั ษะในการเขียน เขยี นได้
ถูกตอ้ งสวยงาม ส่ือความหมายได้ สามารถคิดลาดบั เหตกุ ารณเ์ กี่ยวกบั เรื่องท่ีเขียน มนี ิสยั ที่ดีในการเขียน รกั
การเขียนและนาการเขยี นไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั มนี กั วิชาการหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของการ
เขยี น ความสาคญั ของการเขียน และจุดมุ่งหมายของการเขยี นไวด้ งั น้ี

6

1 ความหมายของการเขยี น

ทกั ษะการเขียนเป็นทกั ษะที่มคี วามสลบั ซบั ซ้อนกว่าการใช้ทกั ษะอ่ืนๆ ซ่ึงมีนกั วิชาการไดก้ ล่าวถงึ
ความหมายของการเขียน ไวด้ งั น้ี

นภดล จนั ทร์เพญ็ (2535 : 91) กล่าวว่า การเขียน คือ การแสดงออกในการติดต่อสื่อสารอย่างหน่ึง
ของมนุษย์ โดยอาศยั ภาษาตวั อกั ษรเป็นส่ือเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดความตอ้ งการ และความในใจของ
เราให้ผูอ้ ่ืนทราบ การเขียนมีลกั ษณะเป็นการส่ือสารถาวรสามารถคงอยู่ไดน้ าน สามารถตรวจสอบไดเ้ ป็น
หลักฐานอ้างอิงนานนับพันปี ถ้ามีการรักษาให้คงอยู่ในสภาพเดิมไว้ได้ การเขียนเป็ นการส่ือสารจาก
ความหมายอย่างหน่ึงของมนุษย์ เป็ นการแสดงออกทางภาษา หรือเป็ นลายลกั ษณ์อักษรท่ีอาศัยความรู้
ความสามารถในดา้ นความคิด ความรู้สึก จินตนาการ และประสบการณข์ องผเู้ ขยี นประกอบกนั สมควรที่จะ
ไดร้ บั การฝึกฝนอยเู่ สมอไม่วา่ เป็นงานเขยี นรูปแบบใดก็ตาม

วรรณี โสมประยูร(2549 : 139) ไดก้ ล่าวถึงความหมายของการเขียนไวว้ ่า การเขียน หมายถึง การ
ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคดิ และความตอ้ งการของบุคคลออกมาเป็นสัญลกั ษณ์หรือตวั อกั ษรเพอื่ สื่อความหมาย
ใหผ้ อู้ นื่ เขา้ ใจได้

ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2545 : 54)ไดใ้ หค้ วามหมายของการเขียนไวว้ ่า การเขียน เป็นทกั ษะที่ตอ้ งใช้
เวลาฝึกนานกว่าทกั ษะอ่ืนๆ เร่ิมต้งั แต่การคดั ลายมอื การเขยี นตวั หนังสือใหถ้ ูกแบบ การสะกดคาให้ถูกตอ้ ง
การถ่ายทอดความคิดออกเป็นตวั หนงั สือให้ผูอ้ ่ืนอ่านเขา้ ใจ ตลอดจนการเขียนถอ้ ยคาสานวนให้สละสลวย
ไดป้ ระโยชนต์ รงตามจุดประสงค์

จากความหมายของการเขียนข้างตน้ พอสรุปได้ว่า การเขียน หมายถึง การถ่ายทอด สิ่งอันเป็ น
ความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกมาเป็นสัญลกั ษณ์ ประทบั ตราไวบ้ นวตั ถุหรือสิ่งต่างๆ อาจจะตอ้ งการสื่อกบั
บุคคลอน่ื หรือไมส่ ่ือกไ็ ดข้ ้นึ อยกู่ บั จุดประสงคข์ องผูเ้ ขยี น

2 จุดม่งุ หมายของการเขยี น

การเขียนน้ันมีความสาคญั อยา่ งยิ่งในการส่ือสาร แต่ในการเขียนน้นั ก็ตอ้ งมีจุดมุ่งมุ่งหมายในการ
เขยี น ดงั ที่วรรณีโสมประยรู (2549 : 103) ไดอ้ ธิบาย จุดมุง่ หมายการสอนภาษาไทย ดงั น้ี

เขา้ ใจงา่ ย 1. เพื่อคดั ลายมือหรือเขียนให้ถูกตอ้ งตามลกั ษณะตัวอักษรให้เป็ นระเบียบชัดเจนหรือ

2. เพ่อื เป็นการฝึกทกั ษะการเขียนใหพ้ ฒั นางอกงามข้นึ ตามควรแกว่ ยั
3. เพื่อใหก้ ารเขียนสะกดคาถกู ตอ้ งตามอกั ขรวธิ ี เขยี นวรรคตอนถูกตอ้ ง
4. เพ่ือใหร้ ู้จกั ภาษาเขียนทด่ี ี มีคุณภาพเหมาะสมกบั บุคคลและโอกาส

7

5. เพ่ือให้สามารถรวบรวมและลาดบั ความคิด แลว้ จดบนั ทึก สรุปและย่อใจความเร่ืองที่
อ่านหรือฟังได้

6. เพอ่ื ให้สามารถสังเกตจดจาและเลอื กเฟ้นถอ้ ยคาหรือสานวนโวหารใหถ้ ูกตอ้ ง
7. เพอ่ื ใหม้ ีทกั ษะการเขียนประเภทต่างๆ
8. เพอ่ื เป็นการใชเ้ วลาว่างใหเ้ กิดประโยชน์
9. เพื่อให้เห็นความสาคัญและคุณค่าของการเขียนว่ามีประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ
การศกึ ษาหาความรู้และอนื่ ๆ
จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่าจุดประสงคใ์ นการเขียนน้นั ตอ้ งมีการใช้ภาษาให้ถูกตอ้ งตามกาละ
เทศ รู้จกั การใชภ้ าษาเขยี นทด่ี ี การรวบรวม และลาดบั ความคดิ สามารถสรุปหรือยอ่ ใจความสาคญั ของเรื่องท่ี
อ่านหรือฟังไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง

การเขียนสะกดคา

การเขียนสะกดคาภาษาไทยเป็นส่ิงสาคญั ท่ีควรคานึงถึงมากที่สุดในเร่ืองของความถกู ตอ้ งเพราะการ
เรียนภาษาไทยให้ประสบความสาเร็จจะต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้
ความหมายของการเขยี นสะกดคาความสาคญั ของการเขียนสะกดคาปัญหาของการเขียนสะกดคาเทคนิคการ
สอนเขียนสะกดคา และจิตวทิ ยาท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การเขยี นสะกดคาไวด้ งั น้ี

1 ความหมายของการเขียนสะกดคา

การเขียนสะกดคาภาษาไทยเป็นส่ิงสาคญั ทคี่ วรคานึงถงึ มากทส่ี ุดในเรื่องของความถกู ตอ้ งเพราะการ
เรียนภาษาไทยให้ประสบความสาเร็จจะตอ้ งมีความเขา้ ใจดงั น้ันเพื่อให้เขา้ ใจพ้ืนฐานการเขียนสะกดคา
ภาษาไทยอยา่ งมีระบบเกิดการเรียนรู้ในการเขียนภาษาไทยใหถ้ ูกตอ้ งและมคี วามหมายสมบรู ณม์ นี กั วชิ าการ
ไดใ้ ห้ความหมายของการเขยี นสะกดคา ดงั น้ี

สุรีพร แยม้ ฉาย (2536: 3)ไดก้ ล่าวถึง การเขียนสะกดคาท่ีถูกต้องว่าเป็ นปัจจัยสาคัญท่ีจะช่วยให้
ผเู้ ขยี นส่ือความหมายไดด้ ี ถูกตอ้ งและรวดเร็ว อกี ท้งั ยงั ช่วยสร้างเจตคติที่ดีแก่ผูอ้ า่ นอกี ท้งั ยงั ช่วยให้เกิดความ
มนั่ ใจในตนเอง และก่อใหเ้ กิดศรัทธาแกผ่ ูท้ ่ีไดอ้ า่ นอกี ดว้ ย

ปิ ลนั ธนาศุภดล(2543 :11) ไดใ้ ห้ความหมายของการเขยี นสะกดคาภาษาไทยว่า เป็นทกั ษะอยา่ งหน่ึง
ของมนุษย์ที่อาศัยทักษะการฟังการพูดการอ่านเป็ นพ้ืนฐานแล้วจึงสามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด
ประสบการณต์ า่ งๆและความตอ้ งการของตนออกมาเป็นสัญลกั ษณ์หรือตวั อกั ษรเพอื่ สื่อความหมายให้ผูอ้ ่าน
เขา้ ใจ

8

วรี ศกั ด์ิ ปัตตาลาโพธ์ิ(2540 : 12)ไดใ้ ห้ความหมายของการสะกดคาไวว้ า่ การสะกดคาคอื การจดั เรียง
พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ให้เป็ นคาที่มีความหมายและถูกต้องตามหลักพจนานุกรมฉบับ
ราชบณั ฑิตยสถาน และสามารถนาคาดงั กล่าวไปใชส้ ื่อสารในชีวิตประจาวนั ได้

ชุติกาญจน์ เทศยรัตน์(2545 : 33) ไดใ้ ห้ความหมายของการเขียนสะกดคาไวว้ ่า การเขียนสะกดคา
หมายถึง การถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความตอ้ งการของบุคคลออกมาเป็นสัญลกั ษณ์ หรือตวั อกั ษรเพื่อ
สื่อความหมายให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ รวมท้ังความสามารถในการเขียนคา โดยเรียงลาดับ พยญั ชนะ สระ
วรรณยกุ ต์ ตวั การนั ต์ ในภาษาไทยไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง และสามารถนาหลกั การไปใชป้ ระโยชน์ไดด้ ว้ ย

บณั ฑิตา แจง้ จบ (2545 : 8) กล่าวถึงการเขียนสะกดคาไวว้ ่า การเขียนสะกดคาเป็นการนาพยญั ชนะ
ตน้ มาประสมกบั สระและวรรณยกุ ต์ บางคามตี วั สะกดทีต่ รงตามมาตรา คือมพี ยญั ชนะใชส้ ะกดตวั เดียว บาง
คามตี วั สะกดที่ไม่ตรงตามมาตรา คอื มีพยญั ชนะใชส้ ะกดหลายตวั หรือบางคามีท้งั ตวั สะกดและตวั การนั ต์

นิมิต เพชรจานงค์ (2547 : 20)ได้ให้ความหมายของการเขียนสะกดคาไว้ว่าการเขียนสะกดคา
หมายถงึ การนาพยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์ พยญั ชนะตวั สะกด และเคร่ืองหมายต่างๆ มาผสมกนั ตามหลกั ของ
อกั ขรวธิ ีทางภาษา จนไดพ้ ยางคห์ รือคาท้งั ที่มีความหมายและไมม่ คี วามหมายแลว้ นาไปใชต้ ามจดุ ประสงค์

จากความหมายขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่าความหมายของการเขียนสะกดคาภาษาไทยหมายถึงการจดั เรียง
พยญั ชนะสระ วรรณยกุ ตต์ วั สะกดและตวั การันตม์ าประสมกนั ให้มีความหมายท่ีถูกตอ้ งแลว้ นาไปใช้ตาม
จดุ ประสงค์

2.ความสาคญั ของการเขยี นสะกดคา

การเขียนสะกดคาเป็นพ้ืนฐานท่จี าเป็นของการเขียนอยา่ งหน่ึงเพราะนกั เรียนจะตอ้ งรู้จกั สะกดคาได้
ถกู ตอ้ งกอ่ นจึงจะสามารถพฒั นาเป็นการเขียนประโยคและเร่ืองราวไดก้ ารที่เด็กเขียนสะกดคาผดิ บอ่ ยจะไม่
สามารถแสดงให้ผูอ้ ่ืนเขา้ ใจความรู้สึกนึกคิดของตนเองไดด้ งั น้นั การเขียนสะกดคาให้ถูกตอ้ งนบั ว่าเป็ นส่ิง
สาคญั ในการเขียนภาษาไทยเป็นอยา่ งยิ่งนอกจากน้ียงั มีนักวิชาการอกี หลายท่านไดใ้ ห้ความสาคญั ของการ
เขียนสะกดคาดงั น้ี

สราวดีเพง็ ศรีโคตร (2539: 14)กล่าววา่ การเขียนสะกดคาผิดยงั ส่งผลทาให้ผอู้ ่านประเมนิ ผูเ้ ขียนใน
ระดบั ที่ต่าลงดงั น้นั การเขียนสะกดคาไดถ้ ูกตอ้ งส่ือสารให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจในความหมายที่แทจ้ ริงไดถ้ ือว่าเป็น
ส่วนหน่ึงที่สร้างการยอมรับนับถือเกิดความเชื่อมนั่ และศรัทธาจากผูอ้ ่านรวมท้งั สร้างความประทบั ใจที่ดี
ระหว่างผูอ้ ่านและผูเ้ ขียนได้ในทางกลบั กนั หากผูเ้ ขียนสะกดคาผิดก็จะเสียความยอมรับนบั ถือจากผูอ้ ่าน
ต้งั แต่เริ่มตน้ ดงั น้ันผูท้ ี่เรียนในระดบั ช้ันท่ีสูงๆก็เช่นกนั กค็ วรให้ความสาคญั กบั การเขียนสะกดคาภาษาไทย
ใหถ้ ูกตอ้ งมากกวา่ ผทู้ ี่เรียนในระดบั ที่ต่ากวา่

9

วรรณีโสมประยรู (2539 : 156) กล่าวว่าการเขียนสะกดคาเป็นพ้ืนฐานท่ีจาเป็ นทางการเขียนอย่าง
หน่ึงเพราะเด็กตอ้ งรู้จกั สะกดคาไดถ้ ูกตอ้ งก่อนจึงสามารถเขียนประโยคและเรื่องราวไดถ้ า้ เด็กเขียนสะกด
คาผิดเสมอจะไม่สามารถแสดงให้ผูอ้ ่ืนเขา้ ใจความคิดของตนเองดงั น้นั การเขียนสะกดคาไดถ้ ูกตอ้ งนับว่า
เป็ นส่ิงสาคญั ในการเขยี นเป็ นอย่างย่ิงเด็กควรเขียนสะกดคาให้ถูกตอ้ งเสียแต่เม่ือเร่ิมเขยี นคาเพื่อช่วยให้เดก็
รู้จกั คาต่างๆท่ีจาเป็นในชีวิตประจาวนั ช่วยให้เด็กใช้คาต่างๆไดถ้ ูกตอ้ งกวา้ งขวางครูจึงตอ้ งฝึกฝนนักเรียน
อยา่ งสม่าเสมอทกุ ระดบั ช้นั

จากความสาคญั ของการเขียนสะกดคาสรุปไดว้ ่าความสาคญั ของการเขียนสะกดคาคือการเขียน
สะกดคาให้ถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์หรือตามหลกั ภาษาไทยและการเขียนสะกดคายงั ถือเป็ นสิ่งจาเป็ นใน
การเรียนภาษาไทยเพราะการเขียนเป็ นทกั ษะที่สาคญั นักเรียนสามารถนาประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการเขียน
สะกดคาไปใชต้ อ่ ยอดในการเขียนไดก้ บั ทุกๆสาระการเรียนรู้และสามารถนาไปใชส้ ื่อสารในชีวิตประจาวนั
ได้

3.ปัญหาของการเขียนสะกดคา

การเขียนสะกดคาเป็ นปัญหาที่สาคัญของนักเรียนและครูสอนภาษาไทยเป็ นอย่างมากและจาก
การศกึ ษาพบวา่ สาเหตขุ องการเขยี นสะกดคาผดิ ก็ไดม้ นี กั วิชาการไดก้ ล่าวไวห้ ลายท่าน ดงั น้ี

กรรณิการ์ พวงเกษม (2532: 2) ได้กล่าวถึงปัญหาและขอ้ บกพร่องจากการเขียนสะกดคาผิดว่ามี
รูปแบบในการเขียนสะกดคาผิด ดงั น้ี

1. เขียนผิดที่พยญั ชนะ
2.การตดั และเติมสระ สระเปล่ียนรูป การเขียนสระผิด การเขียนสรุปเสียงส้ันยาวสลบั กนั
เขียนคาทป่ี ระวิสรรชนีย์ สระประสมเขยี นผดิ
3. ใชว้ รรณยกุ ตไ์ มถ่ ูกตอ้ ง
4. ใชส้ ะกดผดิ ที่ ใชต้ วั การนั ตผ์ ิด เขยี นคาท่ีมาจากภาษาอ่ืนผิดเขยี นผดิ โดยแทนเสียงให้ส้ัน
ลงหรือยืดเสียงใหย้ าวออก เขยี นคาทีใ่ ช้ ร ล ว ควบกล้าผิดทส่ี ระ ไอ โอ และอยั เขียนคาทีใ่ ชน้ าอกั ษรผดิ

สุชาดาชาทอง (2534: 76 - 77)ไดว้ จิ ยั เก่ียวกบั ลกั ษณะขอ้ ผิดพลาดในการเรียนภาษาไทยของนกั เรียน
ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 พบวา่ ลกั ษณะขอ้ ผดิ พลาดในการใชค้ าที่ใชเ้ ก่ียวกบั การใชต้ วั สะกดการันตผ์ ดิ มีดงั น้ี

1. การใชพ้ ยญั ชนะตน้ ผิด
2.การใชส้ ระผิด
3. การใชพ้ ยญั ชนะตวั สะกดการันตผ์ ดิ
4. การใชว้ รรณยกุ ตผ์ ิด

10

5. การใชพ้ ยญั ชนะตน้ และพยญั ชนะสะกดผดิ
สุธิวงคพ์ งศไ์ พบูรณ์ (2534 : 290)ไดก้ ลา่ วไวว้ ่าการเขียนสะกดคาภาษาไทยผิดนบั ว่าเป็นปัญหาใหญ่
ท่ีควรสนใจเป็นพิเศษเพราะการเขียนหนงั สือผิดเป็นเคร่ืองบ่งบอกว่าผูน้ ้นั ไม่สนใจในการใช้ภาษาไทยทกุ
คนอาจจะเขียนหนงั สือผิดบา้ งไมม่ ากกน็ อ้ ยแต่ทกุ คนควรจะไดร้ ะมดั ระวงั ให้ผดิ นอ้ ยที่สุดเทา่ ท่จี ะทาไดก้ าร
สะกดการันตน์ ้นั ยดึ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานเป็นหลกั ดงั น้นั การเขียนผดิ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ
ดงั น้ี

1. เขียนผดิ เพราะไม่ทราบความหมายของคาเพราะคาในภาษาไทยเรามีเสียงตรงกนั มากแต่
สะกดการันต์ต่างกนั และมีความหมายต่างกนั เม่ือเป็ นเช่นน้ีอาจจะทาให้ผิดในเร่ืองสะกดการันตไ์ ดง้ ่าย ถา้
หากจาแต่เสียงโดยไมพ่ ิจารณาถงึ ความหมายเฉพาะของคา

2.เขียนหนังสือผิดเพราะใช้แนวเทียบผิดคาบางคาเมื่อจะเขียนเราไม่ม่ันใจเรามกั จะนึก
เทียบเคยี งกบั คาอื่นๆ ซ่ึงเคยรู้มาแลว้ เป็นอยา่ งดีวิธีการเช่นน้ีเป็นเหตุท่ที าให้เขียนหนงั สือผิดเพราะคาบางคา
มคี วามหมายหรือรูปศพั ทต์ ลอดจนหลกั ภาษาต่างกนั จะใชก้ ฎอนั เดียวกนั ไม่ไดจ้ ึงควรพิจารณาจดจาเป็นคาๆ
ไป

3. เขยี นหนงั สือผิดเพราะออกเสียงผดิ คาบางคาบางคนออกเสียงไมต่ รงหรือออกเสียงไม่ชัด
เล ยติดนิ สัยเม่ือ เขี ยน จึ งผิดด้วยแต่ค า บา งค า ส่ วน ม า ก อ อ ก เสี ยงอ ย่า งหน่ึ งซ่ ึ งไ ม่ตรงกับรู ปที่ เขี ย น ต า ม
พจนานุกรม

4. เขยี นหนงั สือผิดเพราะไม่รู้หลกั ภาษาหลกั ภาษานบั เป็นสิ่งสาคญั ยิง่ ในการเรียนภาษาการ
ทีจ่ ะเรียนโดยไมต่ อ้ งรู้หลกั น้นั ยอ่ มเป็นไปไมไ่ ดแ้ ต่เน่ืองจากหลกั ภาษาไทยมขี อ้ ยกเวน้ มากมายจึงควรจะได้
ตระหนกั ในขอ้ น้ีโดยเฉพาะในการเขียน

ประทีปแสงเปี่ ยมสุข (2538 : 54) ไดก้ ล่าวถึงปัญหาของการเขียนว่า ปัญหาของการเขียนสะกด
ส่วนมากเป็นเร่ืองเกี่ยวกบั การสะกดการันตน์ ักเรียนประถมศึกษาส่วนมากยงั เขียนสะกดการันต์ผิดพลาด
สาเหตเุ พราะเดก็ ไม่ไดร้ บั การฝึกการเขยี นสะกดอยา่ งถกู วิธีและเพยี งพอฉะน้นั ครูควรจดั กิจกรรมในการสอน
เขียนสะกดคาให้นักเรียนเกิดความรู้และสนุกสนาน เพื่อช่วยให้นักเรียนท่ีจะเรียนและมีทศั นคติที่ดีต่อวิชา
ภาษาไทยโดยการจดั ทาแบบฝึกสะกดคายากที่น่าสนใจและยว่ั ยใุ หน้ กั เรียนอยากเรียน

อจั ฉราชีวพนั ธ์ (2538 : 75)ไดพ้ ูดถงึ ขอ้ บกพร่องของการเขียนสะกดการันตผ์ ดิ ดงั น้ี
1. เขียนผิดเพราะใชแ้ นวเทียบผิดเช่นสังเกตเขียนเป็นสังเกต เพราะเทียบกบั สาเหตุ
2. ใชว้ รรณยกุ ต์ เพราะไม่เขา้ ใจหลกั การผนั วรรณยกุ ตข์ องอกั ษรสูง อกั ษรต่าเช่นตวั โนต้ มกั

เขียนผิดเป็นตวั โน๊ต
3. เขยี นอกั ษรไมถ่ กู ตอ้ งเช่นหวั บอดรูปแบบอกั ษรไมถ่ ูกตอ้ งท้งั สระพยญั ชนะวรรณยกุ ต์

11

4. สับสนเร่ืองการใชร้ ลและคาควบกล้าเช่น

4.1 พดู ไม่ชดั สัง่ ให้เขยี นตามเสียงของตนเช่นกอกกิ้ง จากกลอก

4.2 สับสนในเรื่องรลควบกล้าเช่น แปลเปลีย่ น (แปรเปลย่ี น)

4.3สับสนในการใชพ้ ยญั ชนะตน้ รและ ลเช่น เขา้ โลง (เขา้ โรง)

5. วางรูปสระหรือวรรณยกุ ตผ์ ิดตาแหน่งเช่นออน่ ชอย้ (อ่อนชอ้ ย )

6. ใชต้ วั การันตผ์ ดิ เช่นอานิสงส์ (อานิสงฆ)์

7. เขียนต่อตวั เพราะความเลินเล่อ เช่นฝรั่งเศส(ฝรงั่ เศส) วรรณี โสม

ประยรู (2544: 157) ไดศ้ ึกษาลกั ษณะคายาก ซ่ึงเป็นคาทน่ี กั เรียนส่วนมากเขียนผิดน้นั สาเหตทุ เี่ ขยี นผิดสรุป

ไดด้ งั น้ี

1. นกั เรียนมปี ระสบการณเ์ ก่ียวกบั คาผิด โดยเห็นแบบอยา่ งท่ีสะกดผิด

2. นกั เรียนไม่รู้หลกั ภาษา เช่น ไมร่ ู้จกั ประวิสรรชนีย์ เป็นตน้

3. นกั เรียนไม่ทราบความหมาย เพราะคาไทยมคี าพอ้ งเสียง

4. นกั เรียนฟังไม่ชดั เพราะคาไทยมีคาควบกล้า เช่น คราว คลอง ครอง กลอง กรอง

5. นกั เรียนไม่สามารถถ่ายทอดคาตามเสียงคาท่ีมาจากภาษาองั กฤษซ่ึงเขียนแตกต่างจาก

เสียงได้ เช่น ชอลก์ ด๊อกเตอร์แท็กซี่

6. นกั เรียนใชค้ าท่ีมี ร ล ไม่ถูก เช่น ราว –ลาว ,ราด – ลาด

จากปัญหาท่ีกล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่า ปัญหาที่สาคัญของการเขียนสะกดคาผิด ข้ึนอยู่กับ

ครูผูส้ อน ตวั นกั เรียนเองและวิธีการสอนของครู ดงั น้นั ผูท้ ่ีเกี่ยวขอ้ งจึงควรตระหนกั ถึงปัญหาเหล่าน้ีเป็ น

สาคญั และหาวิธีการเพอ่ื แกไ้ ขและพฒั นาตอ่ ไป

2.4 เทคนคิ การสอนเขยี นสะกดคา

เน่ืองจากการเขียนสะกดคามีความสาคญั ต่อการใชภ้ าษาในการติดต่อสื่อสารความหมายและเป็ น
รากฐานของการเรียนวิชาต่างๆแตป่ รากฏวา่ มีปัญหาซ่ึงเป็นสาเหตุให้เด็กเขียนสะกดผิดมีหลายดา้ นวิธีหน่ึงท่ี
จะแกป้ ัญหาดงั กลา่ วเหล่าน้นั คือ ความเอาใจใส่สนใจของครูผูส้ อนท่ีจะตอ้ งคน้ หาวิธีต่างๆที่ดีที่สุดมาสอน
เพ่อื แกไ้ ขให้เดก็ เขียนสะกดคาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งไวด้ งั น้ี

1.เขียนคาตา่ งๆตามหนงั สือทห่ี ลกั สูตรกาหนดใหเ้ รียนได้
2. เขียนคาบางคาท่จี าเป็นและควรเขียน
3. สามารถเขยี นไดถ้ กู แบบและสวยงามเรียบร้อยพอสมควร
4. สามารถเขียนไดค้ ล่องแคล่วชานาญไม่ผดิ พลาด หรือชา้ เกินไป
5. แสดงการเขยี นออกไดต้ ามกาลเทศะ ที่เหมาะสมเสมอ
ท้งั น้ีเพราะภาษาเกิดจากการเลียนแบบและการทาซ้าถา้ เด็กไดอ้ ่านบอ่ ยๆเขียนบ่อยๆโดยไดร้ ับความ
เอาใจใส่จากครูแลว้ เดก็ คนน้นั จะตอ้ งอ่านออกเขยี นไดอ้ ยา่ งไมม่ ปี ัญหาโดยเฉพาะครูสนใจในหลกั การใหม่ๆ

12

ทางการศึกษาดว้ ยแลว้ การสอนกจ็ ะสะดวกข้ึน การเรียนก็จะมผี ลสมั ฤทธ์ิข้นึ เป็นทวีคูณการเขียนสะกดคาซ่ึง
เป็นส่วนหน่ึงของการเขยี นน้นั ตอ้ งอาศยั เทคนิคและวธิ ีสอนเช่นเดียวกบั การสอนทกั ษะทวั่ ๆไปคือเนน้ ที่การ
ฝึ กฝนเพราะหัวใจของการสอนวิชาทักษะอยู่ที่การฝึ กฝนและไดร้ ับการช้ีให้เห็นถึงขอ้ บกพร่องและแนว
ทางแกไ้ ข

จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปเทคนิคการสอนเขยี นสะกดคาไดว้ ่าเทคนิควิธีสอนทีเ่ สนอแนะไวจ้ ะช่วย
ใหก้ ารเรียนสะกดคาของนกั เรียนสนุกสนานมากข้ึนถา้ ไดน้ ามาใช้ในหอ้ งเรียน การรู้ความหมายของคาจะมี
ผลทาใหเ้ ด็กสะกดคาไดถ้ กู ตอ้ งมากข้นึ ครูผูส้ อนจึงควรนาไปปฏบิ ตั ิเพอ่ื แกป้ ัญหาการเขียนสะกดคาผิดและ
เพิ่มประสิทธิภาพการเขยี นของเด็ก

5จิตวทิ ยาท่เี กยี่ วข้องกบั การเขยี นสะกดคา

ในการสร้างแบบฝึ กการเขียนสะกดคายากเพ่ือใช้ฝึ กทักษะในการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
จาเป็นตอ้ งนาเอาทฤษฎีหรือหลกั จิตวิทยาเขา้ มาเก่ียวขอ้ งเพ่อื เสริมความเหมาะสมให้แบบฝึกการเขียนสะกด
คามีความเหมาะสมถูกตอ้ งและสมบูรณเ์ หมาะสมกบั การทจ่ี ะนาไปใชก้ บั นกั เรียนตามวยั ความสามารถและ
ความสนใจของนกั เรียนซ่ึงจะส่งผลทาให้แบบฝึกหัดน้ันมีประสิทธิภาพเกิดความน่าเช่ือถือมากยิ่งข้นึ ดงั ท่ีมี
นกั วชิ าการไดก้ ลา่ วไวห้ ลายท่านดงั น้ี

สุจริตเพียรชอบและสายใจอนิ ทรมั พรรย(์ 2535 : 52) ไดก้ ลา่ วไวด้ งั น้ี

1. กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดด์(Thorndike)ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั อเนกกุลกรีแสง (2526 : 134-135)ท่ีได้
กลา่ วถงึ กฎของธอร์นไดดใ์ นการจดั การเรียนการการสอนดงั น้ี

1.1กฎแห่งการฝึกฝน (Lawof Exercise)คือการให้ผูเ้ รียนทาแบบฝึกหัดมากๆจะทาให้เกิด
ความคลอ่ งและชานาญการสร้างแบบฝึกจึงช่วยทาใหผ้ ูเ้ รียนทาแบบฝึกหัดท่ีเสริมจากแบบฝึกหดั ในบทเรียน
และมีหลายรูปแบบ

1.2 กฎแห่งความพร้อม(Law of Readiness)คอื การให้ผเู้ รียนมีความพร้อมในการเรียนจะทา
ใหเ้ กิดความพอใจในการเรียน

1.3 กฎแห่งผล (Law of Effect)คอื แบบฝึกตอ้ งมเี น้ือเร่ืองเป็นท่ีสนใจของผูเ้ รียนมีความยาก
ง่ายให้เหมาะสมกบั วยั และสติปัญญามีสิ่งกระตุน้ ให้ผูเ้ รียนพอใจในการเรียนการประเมินควรกระทาอย่าง
รวดเร็วหลงั จากท่ีนกั เรียนทาเสร็จแลว้

2. ความแตกต่างระหว่างบุคคลครูควรคานึงถึงนักเรียนแต่ละคนมีความรู้ความถนดั ความสามารถ
และความสนใจท่แี ตกต่างกนั ดงั น้นั จึงควรพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมไมย่ ากและ

13

ไม่งา่ ยเกินไปควรมคี ละกนั หลายแบบ

3. การจูงใจผเู้ รียนสามารถทาไดโ้ ดยการจดั แบบฝึกจากงา่ ยไปหายากเพอ่ื ดึงดดู

ความสนใจของผเู้ รียนเป็นการกระตุน้ ให้ติดตามต่อไปและแบบฝึกควรส้ันๆจะช่วยให้ผเู้ รียนไม่เบื่อหน่าย

4. การนาส่ิงท่ีมีความหมายต่อชีวิตและการเรียนรู้มาให้นักเรียนไดท้ ดลองทาภาษาที่ใชพ้ ูดใช้เขียน
ในชีวิตประจาวนั ทาให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนและทาแบบฝึกในสิ่งทใ่ี กลต้ วั จะทาให้จาไดแ้ ม่นยานกั เรียนยงั สามารถ
นาหลกั และความรู้ที่ไดร้ บั ไปใชป้ ระโยชนอ์ กี ดว้ ย

เบอร์นาร์ด(พนมวนั วรดลย.์ 2542 : 41 ; อา้ งอิงจากBernard.1976 : 62) ไดเ้ สนอแนะหลกั การนากฎ
แห่งการฝึกหัดไปใชใ้ นการเรียนการสอนดงั น้ี

1. ครูจะตอ้ งหาโอกาสหรือพยายามเปิ ดโอกาสที่จะให้นกั เรียนไดใ้ ช้ความรู้ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมใน
หอ้ งเรียนหรือนอกห้องเรียนกต็ าม

2. การทดสอบที่ดีการทาแบบฝึกหดั ท่ีดีนับเป็นกิจกรรมท่ีจะทาใหผ้ ูเ้ รียนไดใ้ ชค้ วามรู้ความสามารถ
ท้งั สิ้นจึงน่าจะหมน่ั ทดสอบหรือถามคาถามต่างๆใหม้ าก

3. ให้นกั เรียนไดพ้ บปัญหาหรือหาสถานการณ์ใหมๆ่ หรือกิจกรรมใหม่ๆอยูเ่ สมอเพอ่ื เปิ ดโอกาสให้
เขาไดใ้ ชค้ วามรู้ความสามารถอยา่ งเต็มที่

4.การใหเ้ ดก็ กระทาซ้าๆจาเป็นตอ้ งใหเ้ ด็กเขา้ ใจหรือรู้ความมุ่งหมายไปดว้ ย

และพยายามเนน้ ให้เด็กเรียนรู้การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้น้นั ในปัญหาตา่ งๆ

จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปได้ว่าจิตวิทยาที่เก่ียวข้องกับการเขียนสะกดคามีความสาคัญในการ
นามาใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอนและการสร้างแบบฝึกหดั ของครู ท้งั น้ีเพราะถา้ ครูผูส้ อนได้
ศึกษาและเข้าใจหลักทฤษฎีทางจิตวิทยาต่างๆที่เก่ียวข้องกบั การเขียนสะกดคา ย่อมจะสามารถนามา
ประยกุ ต์ใช้หรือใช้เป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกหัดให้มีคณุ ภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุดในการเรียน
การสอนรวมท้งั จะทาให้สามารถสร้างแบบฝึกหัดทม่ี ีความสอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั วยั ความสนใจระดบั
คุณวุฒิความตอ้ งการของผูเ้ รียนไดเ้ ป็นอย่างดี ส่งผลให้การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์
ตามแผนการสอนท่ีกาหนดไวไ้ ด้

แบบฝึ ก

แบบฝึ กเป็ นกิจกรรมพฒั นาทกั ษะการเรียนรู้ท่ีให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม มีความ
หลากหลาย มีปริมาณเพียงพอที่สามารถตรวจสอบและพฒั นาทกั ษะกระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้

14

รวมท้ังทาให้ผูเ้ รียนสามารถตรวจสอบความเขา้ ใจในบทเรียนได้ดว้ ยตนเอง มีนักวิชาการหลายท่านให้
ความหมายของแบบฝึก ความสาคญั ของแบบฝึกหลกั การและแนวคิดเก่ียวกบั การสร้างแบบฝึกประโยชน์
ของแบบฝึกรูปแบบของการสร้างแบบฝึกดงั น้ี

1 ความหมายของแบบฝึ ก
การจะเรียนภาษาไทยไดด้ ีน้นั ส่ิงทมี่ ีความสาคญั มากท่ีสุดคือ การฝึ กฝนจนเกิดความชานาญและให้
ผูเ้ รียนสามารถใช้ทกั ษะทางภาษาไดค้ ล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพ ดงั ท่ีนักวิชาการหลายท่านไดน้ ิยาม
ความหมายของแบบฝึกไวด้ งั น้ี
วนิดา ราชรักษ์ (2548 : 35) ให้ความหมายของแบบฝึกไวว้ ่า แบบฝึก หมายถึงงานหรือกิจกรรมท่ี
ครูผสู้ อนมอบหมายให้ผเู้ รียนกระทาเพื่อฝึกทกั ษะและความชานาญจนสามารถนาความรู้ไปใช้แกป้ ัญหาใน
ชีวิตประจาวนั และประสบความสาเร็จในการเรียนแบบฝึ กจึงเป็ นสื่อท่ีมีประโยชน์ในการเรียนการสอน
เพราะช่วยให้ผูเ้ รียนไดแ้ กไ้ ขขอ้ บกพร่องทางการเรียนดว้ ยการฝึกฝนจากแบบฝึ กที่ครูสร้างข้ึน ในการสร้าง
แบบฝึ กต้องคานึงถึงหลกั การสร้างจิตวิทยาที่เก่ียว ลกั ษณะของแบบฝึ กที่ดีประโยชน์ของแบบฝึ กและ
หลกั การนาแบบฝึกไปใชด้ ว้ ย
ทศั น์วลั ย์ เนียมบุปผา (2551 : 15 อา้ งถึง อจั รฉราชีวพนั ธ์.2532 : 102) ให้ความหมายของแบบฝึกว่า
แบบฝึ ก หมายถึง ส่ิงท่ีสร้างข้ึนเพื่อเสริมความเขา้ ใจและเพ่ิมเติมเน้ือหาบางส่วนที่ช่วยให้นกั เรียนไดป้ ฏบิ ตั ิ
และนาเอาความรู้ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งแม่นยา ถูกตอ้ ง และคล่องแคลว่
สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2551:32) ให้ความหมาย แบบฝึกหรือแบบฝึกหดั คือ ส่ือการเรียนการสอน
ชนิดหน่ึง ที่ใชฝ้ ึกทกั ษะให้กบั ผูเ้ รียนหลงั จากเรียนจบเน้ือหาในช่วงหน่ึงๆ เพื่อฝึ กฝนให้เกิดความรู้ความ
เขา้ ใจ รวมท้งั เกิดความชานาญในเร่ืองน้นั ๆ อยา่ งกวา้ งขวางมากข้ึน
จากนิยามขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า แบบฝึ ก หมายถึง ส่ือการสอนที่สร้างข้ึนเพื่อช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดความรู้
ความเขา้ ใจ ช่วยเสริมสร้างทกั ษะดว้ ยการฝึกฝนในเรื่องน้ันๆ ให้เกิดความชานาญและสามารถนาไปใชไ้ ด้
ถูกตอ้ ง
2 ความสาคัญของแบบฝึ ก
แบบฝึกเป็น อุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างหน่ึงที่สร้างข้ึนเพ่ือฝึกทกั ษะหลงั จากเรียนเน้ือหาไป
แลว้ แบบฝึกจึงถอื เป็นตวั ช่วยทด่ี ีทส่ี ุดท่ีทาให้ผเู้ รียนไดพ้ ฒั นาและทบทวนความรู้ทไ่ี ดเ้ รียนมา ดงั น้นั แบบฝึก
จึงมีความสาคญั สาหรับครูผูส้ อน มีนกั วิชาการหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของความสาคัญของแบบฝึกไว้
ดงั น้ี

สุพตั รา หลา้ ปาวงศ์ (2549 : 29) กล่าวว่า การสร้างแบบฝึ กท่ีผูว้ ิจยั แต่ละรายสร้างข้ึนน้นั มีผลทาให้
นกั เรียนมีพฒั นาการดา้ นทกั ษะทางภาษาท่ีฝึกแต่ละเร่ืองดีข้นึ อนั เป็นขอ้ ยืนยนั ที่สามารถสรุปไดว้ า่ แบบฝึ ก
มีความสาคญั ตอ่ การเรียนการสอนภาษาไทยอยา่ งแทจ้ ริง

15

นิภา แกว้ ประทีป (2546 : 16)กล่าวไวว้ ่า แบบฝึกมีความจาเป็นและมีความสาคญั ต่อการเรียนการ
สอนเป็นอยา่ งยิ่ง ซ่ึงครูจะตอ้ งให้นกั เรียนไดม้ ีการฝึกหลงั จากที่ไดเ้ รียนเน้ือหาในแบบเรียนไปแลว้ เพื่อให้มี
ความรู้กวา้ งขวางย่ิงข้นึ ท้งั น้ีแบบฝึกหัดที่ครูใช้ควรเป็นแบบฝึ กท่ีครูสร้างข้นึ เองเพราะครูเป็นผูท้ อ่ี ยู่ใกลช้ ิด
กบั นักเรียนย่อมจะรับรู้ปัญหาในการเรียนของนกั เรียน ซ่ึงเราถือว่าแบบฝึ กน้นั เป็ นอุปกรณ์ในการเรียนการ
สอนอยา่ งหน่ึงทค่ี รูผลิตข้ึนมาใชเ้ พื่อพฒั นาการเรียนของนกั เรียนให้ดีย่ิงข้นึ

พฒั นพงษ์ บรรณการ (2552 : 31) ได้กล่าวถึงความสาคญั ของแบบฝึ กสอดคลอ้ งกนั ว่า แบบฝึ กมี
ความสาคญั ต่อการสอนวิชาทกั ษะ เพราะเป็นเคร่ืองมือท่ีผูเ้ รียนสนใจ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้จากการกระทา
จริง ทาใหร้ ู้และจดจาไดด้ ี สามารถนาไปใชไ้ ด้ และยงั เป็นเคร่ืองมอื วดั ผลประเมนิ ผลการเรียนอีกดว้ ย

จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า แบบฝึกเป็นสิ่งท่ีมีความจาเป็นสาหรับการจดั การเรียนการสอนเป็น
อย่างยิ่งเพื่อช่วยในการพฒั นาในด้านการเรียนการสอนให้ดีข้ึน โดยการนาแบบฝึ กมาให้ผูเ้ รียนไดล้ งมือ
ปฏิบตั ิเพอื่ ให้ทราบวา่ ผูเ้ รียนมคี วามเขา้ ใจในเน้ือหามากนอ้ ยเพียงใดเพ่อื นามาปรบั ปรุงและแกไ้ ขต่อไป

3 หลักการและแนวคดิ เกี่ยวกบั การสร้างแบบฝึ ก
หลกั การสร้างแบบฝึก นอกจะคานึงถึงวยั ความสามารถของผูเ้ รียน สานวนภาษาท่ีใช้ เพ่ือหาของ
แบบฝึ ก เวลาท่ีเหมาะสม และกิจกรรมที่น่าสนใจแล้ว ยงั มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ
หลกั การและแนวคดิ เก่ียวกบั การสร้างแบบฝึกไวด้ งั น้ี
สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2547: 45-46) กล่าวถึง ข้นั ตอนการสร้างแบบฝึก ไวว้ ่ามีความคลา้ ยคลึง
การสร้างนวตั กรรมทางการศกึ ษาประเภทอ่ืนๆ คือ
1. วเิ คราะห์ปัญหาและสาเหตจุ ากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน เช่น

- ปัญหาทเี่ กิดข้นึ ในขณะทาการสอน
- ปัญหาการผ่านจุดประสงคข์ องนกั เรียน
- ผลจากการสังเกตพฤติกรรมที่พงึ ประสงค์
- ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
2. ศึกษารายละเอยี ดในหลกั สูตร เพ่ือวิเคราะหเ์ น้ือหา จดุ ประสงคแ์ ตล่ ะกิจกรรม
3. พิจารณาแนวทางแกป้ ัญหาท่ีเกิดข้ึนจากขอ้ 1 โดยการสร้างแบบฝึก และเลอื กเน้ือหาในส่วนที่จะ
สร้างแบบฝึกน้นั วา่ จะทาเรื่องใดบา้ ง กาหนดโครงเร่ืองไว้
4. ศกึ ษารูปแบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตวั อยา่ ง
5. ออกแบบชุดแต่ละชุดใหม้ ีรูปแบบท่ีหลากหลาย น่าสนใจ
6. ลงมือสร้างแบบฝึกแต่ละชุดพร้อมท้งั ขอ้ ทดสอบก่อนและหลงั เรียน ให้สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาและ
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
7. ส่งให้ผเู้ ช่ียวชาญตรวจ
8. นาไปทดลองใช้ แลว้ บนั ทกึ ผลเพอื่ นามาปรับปรุงแกไ้ ขส่วนทีบ่ กพร่อง
9. ปรบั ปรุงจนมปี ระสิทธิภาพตามเกณฑท์ ี่ต้งั ไว้

16

10. นาไปใชจ้ ริงและเผยแพร่ต่อไป
สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553: 97-98) กล่าวไวว้ า่ ชุดการฝึก/ชุดฝึกทกั ษะการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมอื สาคญั
อย่างหน่ึงในการจดั การเรียนการสอนของครูผูส้ อน จึงตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ชุดการฝึก/ชุดฝึ ก
ทกั ษะการเรียนรู้เป็นอยา่ งดี ซ่ึงมีหลกั สาคญั เป็นแนวทางในการจดั ทาชุดฝึกทกั ษะดงั น้ี
1. จดั เน้ือหาสาระในการฝึกตรงตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
2. เน้ือหาสาระและกิจกรรมการฝึกเหมาะสมกบั วยั และความสามารถของผูเ้ รียน
3. การวางรูปแบบของแบบฝึกมีความสัมพนั ธ์กบั โครงเรื่องและเน้ือหาสาระของเรื่อง
4. แบบฝึกตอ้ งมีคาช้ีแจงง่ายๆ ส้ันๆ เพ่ือให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจ เรียนจากง่ายไปยาก มีแบบฝึ กที่น่าสนใจ
และทา้ ทายใหผ้ เู้ รียนให้แสดงความสามารถ
5.มีความถูกตอ้ ง ครูผสู้ อนจะตอ้ งพิจารณาตรวจสอบใหด้ ีอยา่ ให้มีขอ้ ผดิ พลาด
6.กาหนดเวลาท่ใี ชแ้ บบฝึกแต่ละตอนใหเ้ หมาะสม
ศุภมาส ด่านพานิช(2541 :93-94) กล่าวถึงหลกั การสร้างแบบฝึกและลกั ษณะของแบบฝึกที่ดีไวว้ ่า
การเขยี นแบบฝึกตอ้ งแน่ใจภาษาทใ่ี ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั นกั เรียนและควรสร้างโดยใชจ้ ิตวิทยาดงั น้ี
1. ใชแ้ บบฝึกหลายๆ ชนิดเพอื่ ใหน้ กั เรียนเกิดความสนใจ
2. แบบฝึกที่จดั ทาข้นึ ตอ้ งใหน้ กั เรียนสามารถแยกออกมาพิจารณาไดว้ ่าแตล่ ะแบบแต่ละขอ้ ตอ้ งการ
ทาอะไร
3. ให้นกั เรียนไดฝ้ ึกการตอบแบบฝึกหัดแต่ละชนิด แต่ละรูปแบบวา่ มีการตอบอยา่ งไร
4. ให้นกั เรียนไดม้ ีโอกาสตอบสนองสิ่งเร้าดงั กล่าวดว้ ยการแสดงความสามารถและความเขา้ ใจใน
แบบฝึ ก
5. นกั เรียนไดน้ าสิ่งที่เรียนรู้จากบทเรียนมาตอบในแบบฝึกใหต้ รงเป้าที่สุด
จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า หลกั การสร้างแบบฝึ กจะตอ้ งคานึงเช่ือมโยงกบั เน้ือหาสาระของ
เรื่องน้นั ๆ แบบฝึกตอ้ งหลากหลายพร้อมท้งั ชกั จงู เป็นท่ีน่าสนใจของผเู้ รียน พร้อมท้งั มีความเหมาะสม สมวยั
กบั ผูเ้ รียน เหมาะสมกบั เวลา มีการตรวจสอบขอ้ ผิดพลาด และมีขอ้ ช้ีแจงส้นั ๆ ทาให้ผูอ้ ่านอา่ นแลว้ สามารถ
เขา้ ใจไดท้ นั ที
4 ประโยชน์ของแบบฝึ ก
แบบฝึก เป็นสิ่งที่จาเป็นต่อการฝึ กทกั ษะทางภาษาของนกั เรียน และการฝึกแต่ละทกั ษะน้นั ควรมี
หลายๆ รูปแบบเพื่อท่ีนกั เรียนจะไดไ้ ม่เบือ่ แบบฝึกนอกจะเป็นส่ือที่สาคญั ตอ่ การเรียนของนกั เรียนแลว้ ยงั มี
ประโยชนส์ าหรับครูผสู้ อนอีกดว้ ย มีนกั วิชาการหลายทา่ นไดก้ ล่าวถงึ ของประโยชนข์ องแบบฝึก ไวด้ งั น้ี
อดุลยภ์ ปู ล้ืม (2539 : 24-25)ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชนข์ องแบบฝึกไวด้ งั น้ี

1. ช่วยใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ขา้ ใจบทเรียนไดด้ ีข้นึ
2. ช่วยให้ผูเ้ รียนจดจาเน้ือหาของบทเรียนและคาศพั ทต์ ่างๆไดค้ งทน
3. ช่วยใหเ้ กิดความสนุกสนาน

17

4. ทาให้นกั เรียนทราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง
5. สามารถนาแบบฝึกมาทบทวนเน้ือหาเดิมดว้ ยตนเองได้
6. ทาให้ผสู้ อนทราบความบกพร่องของนกั เรียน
7. ทาให้ประหยดั เวลา
8. ทาให้นกั เรียนสามารถนาภาษาไทยไปใชใ้ นการส่ือสารไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
รัตนา เสมอใจ (2544 : 17) ไดส้ รุปประโยชนข์ องแบบฝึกไวว้ ่า แบบฝึกท่ีดีและมีประสิทธิภาพช่วย
ทาให้นกั เรียนประสบผลสาเร็จในการฝึกทกั ษะไดเ้ ป็นอยา่ งดี แบบฝึกที่ดีเปรียบเสมอื นผูช้ ่วยทด่ี ีของครู ทา
ให้ครูลดภาระการสอนลงไดท้ าให้ผูเ้ รียนสามารถพฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งเต็มที่ และเพ่ิมความมน่ั ใจในการ
เรียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี

สุคนธ์สินธพานนท์ (2553: 96-97) ได้กล่าวประโยชน์ไวว้ ่าแบบฝึ ก/แบบฝึ กเป็ นส่ือการเรียนรู้ท่ี
มุ่งมน่ั ในเรื่องของการแกป้ ัญหาและพฒั นากิจกรรมการจดั การเรียนรู้ นอกจากน้ีมีนกั วิชาการไดใ้ ห้นิยาม
แบบฝึก/แบบฝึกมีประโยชนอ์ ีกหลายประการ

1. ช่วยให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยตนเองตามอตั ภาพ เด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกนั การให้
ผูเ้ รียนไดจ้ ดั ทาชุดการฝึกเหมาะสมกบั ความสามารถของแต่ละคนใชเ้ วลาท่ีแตกต่างกนั ออกไปตามลกั ษณะ
การเรียนรู้ของแต่ละคนจะทาให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ ทาให้ผูเ้ รียนเกิด
กาลงั ใจในการเรียนรู้ นอกจากน้นั ยงั เป็นการซ่อมเสริมผูเ้ รียนที่เรียนไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมิน

2. ชุดการฝึกช่วยเสริมให้ผูเ้ รียนเกิดทกั ษะท่ีคงทน ชุดการฝึกสามารถให้ผูเ้ รียนไดฝ้ ึกทนั ทีหลงั จาก
จบบทเรียนน้นั ๆ หรือให้การฝึกซ้าหลายๆ คร้งั เพ่ือความแม่นยาในเร่ืองท่ตี อ้ งการฝึก หรือเนน้ ย้าใหน้ กั เรียน
ทาชุดการฝึกเพมิ่ เติมเฉพาะในเร่ืองทผี่ ดิ

3. ชุดการฝึ กสามารถเป็ นเคร่ืองมือในการวดั ผลหลงั จากที่ผูเ้ รียนเรียนจบในบทเรียนแต่ละคร้ัง
ผเู้ รียนก็สามารถตรวจสอบความรู้ความสามารถของตนเองไดแ้ ละเมื่อไมเ่ ขา้ ใจและทาผดิ ในเรื่องๆใด ผเู้ รียน
ก็สามารถซ่อมเสริมตนเองได้ จดั ไดว้ ่าเป็นเครื่องมอื ทมี่ คี ุณคา่ ท้งั ของครูผสู้ อนและผูเ้ รียน ผเู้ รียนไมม่ ปี มดอ้ ย
ท่ีตนทาผดิ และสามารถแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดของตน

4. เป็ นเครื่องมือที่ช่วยเสริมบทเรียนหรือหนังสือเรียนหรือคาสอนของครูผูส้ อน ชุดการฝึ กท่ี
ครูผูส้ อนจัดทาข้ึนเพื่อฝึ กทักษะการเรียนนอกเหนือจากความรู้ในหนงั สือเรียนหรือบทเรียน เช่น ชุดฝึ ก
ทกั ษะการคิดในรูปแบบต่างๆ เป็นการเสริมสร้างคุณลกั ษณะของผูเ้ รียนให้เป็นผูท้ ี่รู้จกั คิดเป็นนาไปสู่การ
แกป้ ัญหาต่างๆ ในการดาเนินชีวิตตอ่ ไป

5. ชุดการฝึกรายบุคคลผูเ้ รียนสามารถนาไปฝึ กเม่ือไรก็ได้ ไม่จากดั เวลาและสถานที่ นอกจากน้ียงั
ช่วยให้ผูเ้ รียนทาแบบฝึกได้ตามความตอ้ งการของตน โดยมีครูผูส้ อนคอยกระตุน้ หรือเร้าใจให้ผูเ้ รียนเกิด
ความกระตือรือร้นท่จี ะเรียนรู้ดว้ ยตนเอง

18

6. ลดภาระการสอนของครูผสู้ อน ไมต่ อ้ งฝึกทบทวนความรู้ใหแ้ ก่ผเู้ รียนตลอดเวลาไม่ตอ้ งตรวจงาน
ดว้ ยตนเองทุกคร้งั นอกจากกรณีทช่ี ุดการฝึกน้นั เป็นการฝึกทกั ษะการคดิ ทีไ่ มม่ เี ฉลยตายตวั หรือมแี นวเฉลยท่ี
หลากหลาย

7. เป็นการฝึกรับผิดชอบของผูเ้ รียน การให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้โดยการทาชุดการฝึกตามลาพงั โดยมี
ภาระงานให้ทาตามท่ีมอบหมาย จัดได้ว่าเป็ นการเสริมสร้างประสบการณ์การทางานให้ผูเ้ รียนได้นาไป
ประยกุ ตป์ ฏบิ ตั ใิ นการดาเนินชีวิต

8. ผูเ้ รียนมีเจตนาที่ดีต่อการเรียนรู้ การที่ผูเ้ รียนไดท้ าชุดฝึกทกั ษะการเรียนรู้ที่มีรูปแบบหลากหลาย
จะทาให้ผเู้ รียนสนุกและเพลดิ เพลิน เป็นการทา้ ทายให้ลงมอื ทากิจกรรมตา่ งๆ ตามชุดการฝึก

จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า แบบฝึกเป็นสื่อในการจดั การเรียนการสอนท่ีช่วยทกั ษะการเรียนรู้
ในเน้ือหาเรื่องน้นั ๆ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากยง่ิ ข้ึน ดงั น้นั แบบฝึกทม่ี ีความหลากหลาย ดึงดูด ชกั จงู ทาให้
ผูเ้ รียนมีความสนใจทาใหก้ ารเรียนในรายวิชาน้นั ๆ ประสบผลสาเร็จเป็นอยา่ งสูง

5 ลักษณะของแบบฝึ กทดี่ ี

การสร้างแบบฝึกสาหรับเดก็ มอี งค์ประกอบหลายประการ การเขียนแบบฝึกตอ้ งแน่ใจในภาษาท่ีใช้
ใหเ้ หมาะสมกบั การเรียน ดงั ที่วรรณแกว้ แพรก (2526 : 33-38)ไดก้ ล่าวว่าแบบฝึกทดี่ ีควรมีลกั ษณะดงั น้ี

1. เน้ือหาที่จะนามาตอ้ งเป็ นเน้ือหาที่มอี ยใู่ นบทเรียนหรือสอดคลอ้ งสัมพนั ธ์กบั แบบเรียนท้งั ท่ีเป็น
คา ประโยค ขอ้ ความและเน้ือเร่ือง และมเี น้ือหาตรงตามหลกั สูตรกาหนด

2.มีหลายแบบหลายลกั ษณะเพ่ือไมใ่ ห้เบ่อื และเป็นการทา้ ทายให้อยากทา

3. ตอ้ งช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั คา2ประการ คือ รู้คาเพิ่มข้ึนเขา้ ใจความหมาย
ของคาดีข้ึนและสามารถในการใชค้ าสูงข้ึนตามลาดบั ของช้นั เรียน

4. ตอ้ งส่งเสริมใหน้ กั เรียนใชค้ วามคดิ โดยอาศยั ความรู้และความเขา้ ใจเดิมเป็นพ้นื ฐาน

5. ตอ้ งไมม่ ลี กั ษณะอยา่ งขอ้ สอบทวั่ ๆไปทีม่ ุ่งวดั ความรู้ ความเขา้ ใจอยา่ งเดียวแต่ตอ้ งมลี กั ษณะที่จะ
เร้าความสนใจ ยวั่ ยุ จงู ใจใหน้ กั เรียนไดค้ ิด ไดพ้ ิจารณา และไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ จนเกิดความรู้ความเขา้ ใจทกั ษะ
และความสามารถในการใชค้ าสูงข้นึ ไดด้ ว้ ย

จากลกั ษณะของแบบฝึกท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ า่ แบบฝึกจะตอ้ งมีเน้ือหาที่จะนามาเป็นเน้ือหา
ที่มีอยู่ในบทเรียน และมีเน้ือหาตรงตามหลกั สูตรกาหนดมีหลายแบบหลายลกั ษณะเพื่อไม่ให้เบ่ือและเป็ น
การทา้ ทายให้อยากทา อีกท้งั ตอ้ งช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ความเขา้ ใจอีกดว้ ย และตอ้ งไม่มีลกั ษณะอยา่ ง
ขอ้ สอบทว่ั ๆไปที่มงุ่ วดั ความรู้ ความเขา้ ใจอย่างเดียวท้งั น้ีในการไปสร้างแบบฝึ กน้นั เราควรจะตอ้ งนาไปใช้
สอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั เน้ือหาตลอดจนนักเรียนที่จะนาไปฝึ กดว้ ย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อนกั เรียน
และการใชภ้ าษาใหม้ ากท่สี ุด

19

6รูปแบบของแบบฝึ ก

แดคคาเนย(์ Daccanay. 1963 :306อา้ งในศรีประภาปาลสุทธ์ิ.2523) ไดก้ ล่าวถึง รูปแบบของแบบฝึก
ว่ามรี ูปแบบดงั น้ี

1. แบบให้เขยี นตามแบบ(coppy exercise)
2.แบบใหน้ กั เรียนเลอื กคาทกี่ าหนดมาใหเ้ ติมลงในช่องวา่ งให้เหมาะสม
3. แบบจบั คโู่ ดยจบั คู่ขอ้ ความ2 ขอ้ ความ ใหเ้ รียงเป็นเร่ืองเดียวกนั
4.แบบสร้าง คือให้ประโยคแล้วนาคาในวงเล็บท้ายประโยคมาใส่ลงในตาแหน่งท่ีถูกต้องใน
ประโยคเดิม
5.แบบใหส้ ร้างเป็นประโยคจากคาทกี่ าหนดให้
กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 40) ไดก้ าหนดรูปแบบของแบบฝึกการเขียนสะกดคาไวห้ ลายรูปแบบ
ดงั น้ี
1. แบบเลือกคาจากการประมวลคามากาหนดกิจกรรมในแบบฝึก
2.แบบเลอื กคาทีน่ กั เรียนพบและใชใ้ นชีวิตประจาวนั นามากาหนดกิจกรรมใชใ้ นการฝึกทาแบบฝึ ก
3. แบบฝึกให้อ่านคาง่ายกอ่ น
4.แบบใชภ้ าพช่วยใหร้ ู้ความหมายของคา
5. แบบนาความหมายของคาจากพจนานุกรมมาปรับเป็ นภาษาง่ายๆเหมาะสมกับนักเรียนใน
ระดบั ช้นั น้นั ๆ
6.แบบการใชค้ าคลอ้ งจองฝึกการอา่ นและบอกความหมายของคา
7. แบบใชค้ าปริศนาคาทายปริศนาอกั ษรไขว้
8. แบบฝึกตอ่ คา / เติมคาเพ่อื ให้ไดค้ าใหม่
9. แบบให้อา่ นคาเขยี นคาดว้ ยตนเองประกอบดว้ ยอ่านคาใตภ้ าพอ่านจากคาโยงคาอา่ นจากการเลือก
คาอ่านจากการเติมคาอ่านจากการต่อคาอ่านจากคาคลอ้ งจองอ่านจากบทร้อยกรองรู้ความหมายของคาดว้ ย
ตนเองจากภาพการจบั คู่กากบั ความหมายปริศนาอกั ษรไขวแ้ ละปริศนาคาทาย
10. แบบมเี ฉลยดว้ ยขอ้ ความ / ภาพ
11. แบบเนน้ รูปแบบงา่ ยๆไปหายากเพอ่ื เร้าความสนใจมีความหลากหลาย
ไม่ใชว้ ิธีการเดิมในเรื่องเดียวกนั
จากขอ้ ความขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่ารูปแบบของแบบฝึ กน้นั มหี ลายรูปแบบในการนารูปแบบของแบบ
ฝึกแต่ละรูปแบบไปใชก้ บั นกั เรียนครูจะตอ้ งเลือกรูปแบบให้เหมาะสมกบั ความรู้ความสามารถของผูเ้ รียนมี
ความหลากหลายในแต่ละแผนการจดั การเรียนรู้ท้งั น้ีเพ่อื ให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
งานวิจยั ท่เี กีย่ วข้อง

1งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้องกบั การเขียนสะกดคา

20

ยุพิน อินทะยะ (2525 : 59) ได้ศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาความสามารถทางการเขียนสะกดคา
ภาษาไทยของนกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรียนสังกดั กรมสามญั ศึกษาจงั หวดั เชียงใหม่กลุ่มตวั อย่าง
เป็ นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 1 โรงเรียนสังกดั กรมสามญั ศึกษาจังหวดั เชียงใหม่จานวน 342 คนเป็ น
นกั เรียนชาย 141 คนและนกั เรียนหญงิ 201 คนผลการวจิ ยั

ปรากฏว่า

1. ความสามารถทางการเขียนสะกดคาภาษาไทยของนกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ งอยใู่ นระดบั ค่อนขา้ งต่า

2. การเขียนสะกดคาผิดของนักเรียนมีสาเหตุตามลาดับดงั น้ีคือการไม่ทราบความหมายของคา
ไดร้ ับประสบการณ์มาผิดๆไม่แม่นยาในหลกั ภาษาและไม่คุน้ เคยกบั การใช้พจนานุกรมออกเสียงพูดหรือ
อา่ นผดิ ใชแ้ นวเทยี บผดิ โดยอาศยั การเดา

3. นกั เรียนชายและนกั เรียนหญิงมคี วามสามารถในการเขียนสะกดคาภาษาไทยแตกตา่ งกนั อยา่ งมี
นยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 คือนกั เรียนหญิงมคี วามสามารถมากกวา่ นกั เรียนชาย

4. นักเรียนท่ีศึกษาอยู่ในโรงเรียนที่มีขนาดต่างกนั มีความสามารถทางดา้ นการเขียนสะกดคา
ภาษาไทยแตกต่างกนั อย่างมีนยั สาคญั ที่ระดบั .05 กล่าวคือนักเรียนที่ศึกษาอยูใ่ นโรงเรียนขนาดกลางและ
ขนาดใหญ่มีความสามารถสูงกวา่ นกั เรียนทีศ่ กึ ษาอยใู่ นโรงเรียนขนาดเลก็

5. ไม่มีปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างเพศและขนาดของโรงเรียนต่อความสามารถทางการเขียนสะกดคา
ภาษาไทยอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05

สุภาพดวงเพ็ชร (2533: 72) ได้เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสะกดคาของนักเรียนช้นั
มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ท่ีไดร้ บั การสอนโดยการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคากบั การใชแ้ บบฝึกตามคู่มือครู
กลุ่มตัวอย่างเป็ นนักเรี ยนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ปี การศึกษา 2533โรงเรี ยนวัดน้อยนพคุณเขตดุสิต
กรุงเทพมหานครผลการศกึ ษาพบว่า

1. ความสามารถในการเขียนสะกดคาภาษาไทยของนักเรียนท่ีไดร้ ับการสอนโดยการใช้แบบฝึก
ทกั ษะการเขียนสะกดคากบั นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสอนโดยการใชแ้ บบฝึกหัดตามคู่มือครูแตกต่างกนั อย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .01

21

2. พฒั นาการของความสามารถในการเขียนสะกดคาภาษาไทยของนกั เรียนทไ่ี ดร้ ับการสอนโดยใช้
แบบฝึกทกั ษะการเขยี นสะกดคากอ่ นและหลงั การทดลองแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01

3. พฒั นาการของความสามารถในการเขียนสะกดคาภาษาไทยของนักเรียนท่ีไดร้ ับการสอนโดย
การใชแ้ บบฝึกหัดตามคู่มอื ครูก่อนและหลงั การทดลองแตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01

4. ความคงทนในการเขียนสะกดคาภาษาไทยของนกั เรียนที่ไดร้ ับการสอนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะการ
เขยี นสะกดคากบั นกั เรียนทไ่ี ดร้ บั การสอนโดยการใชแ้ บบฝึกหดั ตามคู่มือครูแตกต่างกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทาง
สถิตทิ รี่ ะดบั .01

พิมลแจม่ แจง้ (2542 : บทคดั ยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาการสร้างชุดฝึกซ่อมเสริมการเขยี นสะกด

คาสาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 มีจดุ มงุ่ หมายเพ่ือพฒั นาและหาประสิทธิภาพของชุดฝึก

ซ่อมเสริมการเขียนสะกดคาสาหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 2 ตามเกณฑ์ 80 / 80 กล่มุ ตวั อยา่ ง

เป็ นนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 2 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2541 โรงเรียนวดั ดิสหงสาราม เขตราชเทวี
กรุงเทพมหานครจานวน 20 คนซ่ึงไดม้ าจากการเลือกแบบเจาะจง ดาเนินการสอนโดยใชช้ ุดฝึกซ่อมเสริม
การเขียนสะกดคาท่ีผูว้ ิจยั สร้างข้ึนใชเ้ วลาในการทดลอง 13 คร้ังเคร่ืองมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูลขอ้ มูล
ไดแ้ ก่ชุดฝึกซ่อมเสริมการเขียนสะกดคาประกอบดว้ ยชุดย่อยจานวน5 ชุดแผนการสอนซ่อมเสริมประกอบ
ชุดฝึกซ่อมเสริมการเขยี นสะกดคาแบบฝึกซ่อมเสริมการเขียนสะกดคาแบบทดสอบทา้ ยชุดฝึกซ่อมเสริมการ
เขียนสะกดคาและแบบทดสอบวดั ความสามารถในการเขียนสะกดคาผลการวิจยั พบว่าชุดฝึกซ่อมเสริมการ
เขียนสะกดคาสาหรับนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 2 มปี ระสิทธิภาพ 89.22 / 82.01

จากการศึกษางานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั การเขยี นสะกดคา สรุปไดว้ า่ การเรียนการสอนโดยใชแ้ บบฝึก
เพ่ือพฒั นาทักษะในด้านการเขียนสะกดคาให้กับนักเรียนท่ีจะให้ได้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนที่สูงน้ัน
องค์ประกอบท่ีสาคัญจะเกี่ยวข้องกับครูผูส้ อน นักเรียน และสื่อการเรียนการสอนซ่ึงท้ังหมดจะต้อง
สอดคลอ้ งกนั ท้งั น้ีแบบฝึกการเขยี นสะกดคาเป็นกิจกรรมหรือสื่อการเรียนการสอนอยา่ งหน่ึงทส่ี ร้างข้ึนมา
เพอ่ื นาไปพฒั นาและแกไ้ ขปัญหาการอา่ นและการเขียนสะกดคาของนกั เรียนใหม้ ีประสิทธิภาพย่ิงข้นึ

22

บทท3่ี

วธิ ดี าเนินการศึกษาค้นคว้า

การวิจยั เร่ือง การพฒั นาทกั ษะการเขยี นคาพ้นื ฐานภาษาไทย ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ปี ที่ 3 โดย
ใช้ แบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้นื ฐานภาษาไทย การวิจยั คร้งั น้ีเป็นการศกึ ษาในลกั ษณะของการศกึ ษาแบบ
เชิงทดลอง (Experimental Research) ซ่ึงมีวตั ถุประสงค์เพื่อพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองการเขียนคา
พ้ืนฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาช้นั ปี ที่ 3 และเพ่ือพฒั นาแบบฝึกทกั ษะการเขียนในวิชาภาษาไทย
เรื่องการเขียนคาพ้ืนฐานของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ที่มีประสิทธิภาพตาม
เกณฑ์ 80/80

รูปแบบการวิจยั

การวิจยั ในคร้ังน้ีเป็ น แบบกลุ่มเดียวสอบก่อนและหลงั (one-group pretest posttest design)(ล้วน
สายยศ และองั คณา สายยศ.2538 :248-249) สามารถเขียนสัญลกั ษณ์แทนแบบแผนการวจิ ยั ได้ ดงั น้ี

1 2

เมือ่ หมายถึงกลุ่มทดลอง นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3
หมายถึงการทดลองการใชแ้ บบฝึกเรื่องการอา่ นและการเขียนสะกดคา
1 หมายถงึ การทดสอบวดั ผลเรื่องการอา่ นและการเขียนสะกดคา ก่อนการทดลอง
2 หมายถงึ การทดสอบวดั ผลเรื่องการอ่านและการเขียนสะกดคา หลงั การทดลอง

ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง

ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา
2564 จานวน 10 หอ้ งเรียน จานวน 492 คน

กลมุ่ ตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา
2564 จานวน 10 คน ไดม้ าโดยการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

23

เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย
1. แบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้นื ฐานภาษาไทย ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3
2.แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิเรื่องการเขียนสะกดคา ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 3 ชนิด

เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้
การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ

1.แบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3โรงเรียนธิดาแม่
พระ มขี ้นั ตอนการสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพดงั น้ี

1.1ศึกษาหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
เก่ียวกบั มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้นั สาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั รายปี ของช้นั ประถมศึกษาที่
3 และค่มู อื ครูภาษาไทย และแบบเรียนภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3

1.2ศึกษาเอกสาร ตารา และงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกับการเขียนคาพ้ืนฐานรวมท้ังวิเคราะห์
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกการเขยี นคาพ้ืนฐาน

1.3ผู้วิจัยคัดเลือกคาที่นักเรียนมักเขียนสะกดคาผิด จากหนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐาน
ภาษาไทย ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3 เพื่อนามาสร้างแบบฝึกทกั ษะการเขยี นคาพ้นื ฐาน

1.4พิมพแ์ บบฝึกฉบบั ทดลอง

1.5 นาแบบฝึกไปทดลอง (try-out) ไปทดลองใชก้ บั นกั เรียนกลมุ่ ตวั อยา่ ง

จากน้นั นาผลการทดลองมาวิเคราะห์คุณภาพแบบฝึกวชิ าภาษาไทยเรื่องการเขยี นคาพ้นื ฐาน เพ่ือหา
ประสิทธิภาพใหไ้ ดต้ ามเกณฑ์ 80/80 กลา่ วคือ ระดบั ประสิทธิภาพของใบงานที่ช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้
คิดไดจ้ ากคะแนนปฏิบตั ิระหว่างเรียนรวมกนั และคะแนนสอบหลงั การใช้แบบฝึกทักษะเร่ืองการเขียนคา
พ้ืนฐาน โดยกาหนดค่าประสิทธิภาพเป็ น E1 ( คะแนนเฉลย่ี คิดเป็นร้อยละจากทาแบบทดสอบระหว่างเรียน
ดว้ ยใบงาน ) E2 ( คะแนนเฉล่ยี คิดเป็นร้อยละจากการทาแบบทดสอบหลงั เรียนจนจบบทเรียนท้งั หมด ) ดงั น้ี

2.แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 มี
ข้นั ตอนการสร้างและการตรวจสอบคณุ ภาพ ดงั น้ี

24

2.1 ศึกษาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย การวดั ประเมินผลการเรียนรู้ และศกึ ษาหนงั สือเรียนภาษาไทยทเ่ี ป็นเน้ือหาเกี่ยวกบั เรื่อง การเขียน
คาพ้นื ฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3

2.2วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรี ยนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด ให้
สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคใ์ นเรื่องทต่ี อ้ งการสร้างแบบทดสอบ

2.3 สร้างแบบทดสอบแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 20 ข้อโดยให้
ครอบคลมุ เน้ือหา และวตั ถุประสงคท์ กี่ าหนดไว้

2.4พิมพแ์ บบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนฉบบั ทดลอง

2.5 นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
จากน้นั นาผลการทดลองมาวิเคราะห์คุณภาพของขอ้ สอบ โดยหาค่าความยาก (P) ซ่ึงเกณฑ์ในการพิจารณา
คา่ ความยากของขอ้ สอบมคี ่าต้งั แต่ .20 ถึง .80 หาค่าอาอาจจาแนก (r) เกณฑใ์ นการพิจารณาค่าอานาจจาแนก
มีคา่ ต้งั แต่ .20 ข้ึนไป

2.6 จดั พิมพแ์ บบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนทผี่ ่านการตรวจสอบคณุ ภาพเป็นฉบบั
สมบูรณ์เพอ่ื ใชจ้ ริง

การเก็บรวบรวมข้อมูล

งานวิจยั น้ีเริ่มทดลองกบั นกั เรียนกลุ่มตวั อย่าง นนั่ คือ นกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 จานวน 10
คน ในภาคเรียนท่ี 1-2 ปี การศึกษา 2564 ผูว้ ิจยั เก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเอง สถานที่เก็บรวบรวมขอ้ มูล
โรงเรียนธิดาแม่พระ ซ่ึงแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนกั เรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 เป็นแบบทดสอบประเภทปรนยั แบบเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้ ตอ่ 1 ชุด และ
จดั ทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท้งั หมด 20 ชุด โดยมีการจดั การสอบออกเป็น 2 ช่วง คือการ
ทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน

การวิเคราะห์ข้อมลู
การวิจยั ในคร้ังน้ีผวู้ จิ ยั แบ่งการวิจยั ออกเป็น3ประเภท ไดแ้ ก่
1.วิเคราะห์ขอ้ มูลพ้นื ฐานของกลุ่มตวั อยา่ งโดยใช้ค่าสถิตพิ ้นื ฐานไดแ้ ก่ คา่ เฉล่ีย ( ̅)ร้อยละ

(%) และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.)

25

สูตรการคานวณหาค่าเฉลย่ี ( ̅)

( ̅) = ∑



สูตรการคานวณหาคา่ ร้อยละ (%)

ร้อยละ = ตวั เลขทต่ี อ้ งการเปรียบเทียบจานวนท้งั หมด × 100
จานวนท้งั หมด

สูตรการคานวณหาค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.)

S.D. = √∑( −̅ ̅ ̅)2

−1

2. วิเคราะหเ์ พื่อตอบวตั ถปุ ระสงค์ เพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องการเขียนคา
พ้นื ฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเร่ือง
การเขยี นคาพ้นื ฐาน โดยใชส้ ถิตใิ นการวิเคราะห์เพ่อื เปรียบเทียบคา่ เฉลย่ี กอ่ นเรียนและหลงั เรียน ไดแ้ ก่
คา่ สถิติทดสอบที (t-test) แบบ Dependent

สูตรการคานวณสถติ ทิ ดสอบที (t-test)

t = ̅ − เมอ่ื df = n-1





การวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแบบฝึ กวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนักเรียนช้ัน

ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 จากสูตร E1/E2ดงั น้ี

สูตรท่ี 1

เมือ่ E1 =  x1 100
NA

สูตรท่ี 2

เมอ่ื E2 =  x2  100
NB

26

สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การนาเสนอการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการแปลความหมายเพ่อื ความเขา้ ใจ ขอนาเสนอสัญลกั ษณ์ท่ีใช้
ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี

E1 หมายถงึ ประสิทธิภาพกระบวนการ
X1 หมายถึง ผลรวมของคะแนนท่ีไดจ้ ากการวดั ระหวา่ งเรียน
N หมายถงึ จานวนนกั เรียนท้งั หมด
A หมายถงึ คะแนนเต็มของแบบวดั ระหว่างเรียน
E2 หมายถงึ ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์
X2 หมายถึง ผลรวมของคะแนนที่ไดจ้ ากการวดั หลงั เรียน
B หมายถึง คะนนเต็มของแบบวดั หลงั เรียน

27

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู

การวิจยั เรื่อง การพฒั นาทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย ของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ปี ท่ี 3 โดย
ใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้ืนฐานภาษาไทย เสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลดงั น้ี
สัญลกั ษณ์ทใ่ี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู

การวิเคราะห์ขอ้ มูลและแปลความหมายผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลดงั น้ี เพ่ือให้เกิดความเขา้ ใจ ตรงกนั
ผูร้ ายงานไดใ้ ชส้ ญั ลกั ษณใ์ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูลดงั น้ี

N แทน จานวนนกั เรียนในกลมุ่ ตวั อยา่ ง
̅ แทน คะแนนเฉลี่ย
S.D. แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
t แทน คา่ สถติ ทิ ใ่ี ช้ t-test for Dependent Samples
D แทน ความแตกต่างของแต่ละคู่
D แทน ผลรวมท้งั หมดของผลต่างของคะแนนกอ่ นและหลงั การทดลอง
D2 แทน ผลรวมของกาลงั สองของผลตา่ งของคะแนนกอ่ นและหลงั การ

ทดลอง
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3 ก่อนใชแ้ บบทดสอบและหลงั ใช้

แบบทดสอบเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพ้ืนฐานไดแ้ ก่
ค่าเฉลยี่ ( ̅) ร้อยละ (%) และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.)

การวเิ คราะห์คะแนนการสอบของนกั เรียน

28

ตารางที่ 4.1 การแสดงผลคะแนนการสอบกอ่ นเรียนและหลงั สอบของนกั เรียน

คะแนนสอบกอ่ น คะแนนสอบหลงั คะแนนพฒั นาการ
( 2- 1)
ที่ เรียน ( 1) (20) % เรียน ( 2) (20) % %
15.00
1 16 80.00 19 95.00 3

2 14 70.00 18 90.00 4 20.00

3 15 75.00 18 90.00 3 15.00

4 15 75.00 18 90.00 3 15.00

5 12 60.00 17 85.00 5 25.00

6 12 60.00 16 80.00 4 20.00

7 14 70.00 17 85.00 3 15.00

8 16 80.00 18 90.00 2 10.00

9 15 75.00 19 95.00 4 20.00

10 16 80.00 19 95.00 3 15.00

รวม ∑ 1 1̅ = ∑ 2 ̅2 = ∑( 2 − 1) 2- 1
14.60 17.90 = 3.30

จากตารางท่ี 4.1 การแสดงผลคะแนนการสอบของนกั เรียน ผลปรากฏว่าค่าเฉลี่ยคะแนน สอบหลงั
เรียนของนกั เรียนมีค่า 17.90% ซ่ึงสูงกว่าคา่ เฉลีย่ คะแนนสอบกอ่ นเรียนของนกั เรียนอยทู่ ่ี 3.30 %

การวิเคราะห์สถติ ิพ้ืนฐานของตัวอย่างวจิ ัย

29

ตารางที่ 4.2 จานวนนกั เรียนทีท่ าแบบทดสอบ 10 คน คิดเป็นร้อยละ 100

เพศ จานวนคน คิดเป็ นร้อยละ

ชาย 7 52

หญงิ 3 48

รวม 10 100

จากตารางท่ี 4.2 จานวนนกั เรียนทท่ี าแบบทดสอบ 10 คน คดิ เป็นร้อยละ 100 ผลปรากฏวา่
มีเพศชายทที่ าแบบทดสอบจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ52และเพศหญงิ จานวน 3 คน คดิ เป็น ร้อยละ 48

การวิเคราะห์หาค่าเฉลย่ี ( ̅)และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.)
ตารางที่ 4.3 ค่าเฉลี่ย ( ̅)และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนใช้
แบบทดสอบและหลงั ใชแ้ บบทดสอบเรื่องการอา่ นและการเขยี นคาพ้ืนฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี
ที่ 3 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ

คะแนน N ( ̅) S.D.
ก่อนสอบ 20 14.60 3.18
หลงั สอบ 20 17.90 1.48

การวิจยั เชิงทดลองเพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเรื่องการเขียนคาพ้นื ฐาน ผูว้ ิจยั
ไดส้ ุ่มตวั อยา่ งนกั เรียนมาจานวน 10 คน ที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐานต่า แลว้
ทดลองใช้แบบฝึกทกั ษะการเขียนคาพ้นื ฐานน้ี หลงั การทดลองไดท้ ดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิเร่ืองการเขียนคา
พ้ืนฐาน ของนักเรียนกลุม่ น้ีผลปรากฏว่าคะแนนสอบหลงั เรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ย 17.90 และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน 1.48 ซ่ึงคะแนนสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ยสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียนอยู่ที่ 3.18
คะแนน

30

การวิเคราะห์เพื่อตอบวัตถุประสงค์

การทดลองโดยใช้แบบฝึ กทักษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนักเรียนช้ัน

ประถมศึกษาปี ที่ 3 จะทาให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาไทยเร่ืองการอ่านและการเขียนคาพ้นื ฐาน

สูงกว่าเกณฑท์ ีก่ าหนด คือ 15 คะแนนหรือไม่ ระดบั นยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05

ตารางที่ 4.4 ผลรวมท้งั หมดของผลต่างของคะแนนก่อนและหลงั การทดลอง

คนที่ กอ่ นเรียน(20) หลงั เรียน(20) D D2

1 16 19 3 9

2 14 18 4 16

3 15 18 3 9

4 15 18 3 9

5 12 17 5 25

6 12 16 4 16

7 14 17 3 9

8 16 18 2 4

9 15 19 4 16

10 16 19 3 9

รวม 146 179 D = 84 D2 = 333

ข้นั ท่ี 1 ต้งั สมมุติฐาน H0 : ≤ 10
สมมตุ ฐิ านทางสถติ ิ H1 : ≥ 10

ข้นั ท่ี 2 กาหนดระดบั นยั สาคญั
= .05

31

ข้นั ท่ี 3 เลือกสถิติทใ่ี ช้ในการทดสอบสมมุติฐาน

t= ̅ − เมอ่ื df = n-1





ข้นั ที่ 4 กาหนดขอบเขตวิกฤต
จากการกาหนด = .05
และเป็นการต้งั สมมุติฐานทางเดียวdf = 25 -1 = 24
เปิ ดตารางที่ = .05 ไดค้ ่าวกิ ฤต t = (tตาราง= 1.7109)

ข้นั ที่ 5 คานวณค่าสถติ ิตามสูตร

t= ̅ − เมอ่ื df = 25 -1 = 24





t = 18.36−10

0.85

√25

t = 4.32

ข้นั ที่ 6 สรุปตัดสินใจ
เมือ่ tคานวณ> tตาราง จะปฏเิ สธ H0และ ยอมรบั H1

เม่ือ tคานวณ< tตาราง จะยอมรบั H0

เน่ืองจาก tคานวณ= 4.32มากกว่า tตาราง=1.7109 ดังน้ัน จึงปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1นั่นคือ หลังการใช้
แบบทดสอบการเขียนคาพ้ืนฐาน ทาให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาไทยเร่ืองการเขียนคาพ้นื ฐานสูงกว่า
เกณฑท์ ี่กาหนดไว้ คอื 10 คะแนน อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05

2. การหาประสิทธิภาพของแบบฝึ กทกั ษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ของนักเรียนช้นั
ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 มรี ายละเอียดดงั ต่อไปน้ี

ตารางที่ 4.5 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู หาค่าประสิทธิภาพของการทดลองของนกั เรียนกล่มุ ตวั อยา่ ง หา
ค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเรื่อง
การเขียนคาพ้นื ฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 (รายละเอียด ภาคผนวก ง ตารางท่ี 7)

32

การทดลอง จานวน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบน ค่า
(นกั เรียน)
ระหว่างเรียน มาตรฐาน ประสิทธิภาพ
(กระบวนการ) 10
14.60 3.18 74.00
หลงั เรียน 10
(ผลลพั ธ)์ 17.90 1.48 91.80

ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลจากตารางท่ี 4.5 พบว่า แบบฝึ กทกั ษะวิชาภาษาไทยเรื่องการเขียนคาพ้ืนฐาน
ของนักเรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 จานวน 2 แบบฝึก มีคะแนนเฉลี่ยของผลการทดลองระหว่างเรียน
ไดค้ ะแนนเฉลย่ี ( ̅) เทา่ กบั 14.60 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 3.18 และคะแนนเฉล่ยี ของผล
การทดลองหลงั เรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ย ( ̅) เทา่ กบั 17.90 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 1.48 และค่า
ประสิทธิภาพของแบบฝึ กวิชาภาษาไทย เร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ที่สร้างข้ึนมีประสิทธิภาพ เท่ากับ
74.00/91.80 ดงั น้ันจึงแสดงให้เห็นว่าแบบฝึ กทกั ษะวิชาภาษาไทยเรื่องการเขียนคาพ้ืนฐานท่ีสร้างข้ึน มี
ประสิทธิภาพสูงกวา่ เกณฑม์ าตรฐานตามท่ีกาหนดไว้

33

บทที่ 5
สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจยั ในคร้ังน้ีเป็นการวจิ ยั เชิงทดลอง (Experimental Research) โดยมวี ตั ถุประสงค์ เพือ่
พฒั นาแบบฝึกทกั ษะและผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ าภาษาไทยเรื่องการเขยี นคาพ้นื ฐาน อกี ท้งั เพอื่ ให้
นกั เรียนมคี วามสนใจและต้งั ใจเรียนดีข้นึ และปลูกฝังให้นกั เรียนมนี ิสัยรักการอา่ นและการเขียน ของ
นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 3 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขียนคา
พ้ืนฐาน

1. ประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง
ประชากรทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั คร้งั น้ี คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 มี 10 ห้อง ภาคเรียนท่ี 1-2 ปี

การศกึ ษา 2564 โรงเรียนธิดาแมพ่ ระ
ประชากรกลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวิจัยคร้ังน้ี คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 3 จานวน 10 คน ภาค

เรียนท่ี 1- 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ

2. ตวั แปร
ตวั แปรท่ใี ชใ้ นการวิจยั ในคร้งั น้ีประกอบดว้ ย
ตวั แปรอิสระ คือ แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขยี นคาพ้ืนฐาน หมายถึง ส่ือการเรียนการ

สอนชนิดหน่ึงทีช่ ่วยใหผ้ ูเ้ รียนไดฝ้ ึกทกั ษะตา่ งๆ ให้เกิดการเรียนรู้ สามารถเขา้ ใจในเน้ือหาเรื่องน้นั ๆ ไดอ้ ยา่ ง
ถ่องแท้ ท้งั น้ีแบบฝึกจะตอ้ งมีรูปแบบทท่ี นั สมยั เพ่ือดึงดูดความสนใจของผูเ้ รียน

ตวั แปรตาม คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้แบบฝึ กทกั ษะวิชาภาษาไทย เรื่องการเขียนคา
พ้ืนฐาน หมายถึง ผลท่ีเกิดจากกระบวนการเรียนการสอนโดยการใช้แบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทย เร่ืองการ
เขียนคาพ้นื ฐาน ทจ่ี ะทาใหน้ กั เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงทางดา้ นพฤตกิ รรม และสามารถวดั ไดโ้ ดยการแสดง
ออกมาท้งั 3 ดา้ น คอื ดา้ นพทุ ธิพิสัย ดา้ นจิตพิสยั และดา้ นทกั ษะพสิ ยั

3.เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ในคร้ังน้ีประกอบดว้ ยแบบฝึกทกั ษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน

ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3 ซ่ึงเป็ นแบบฝึ กทักษะวิชาภาษาไทยเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน รวม
ท้งั หมดจานวน 3 แบบฝึ ก และแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องการเขียนคาพ้ืนฐาน ของ
นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปี ท่ี 3 ซ่ึงเป็นแบบทดสอบแบบปรนยั 4 ตวั เลือก จานวน 20 ขอ้

34

4.สถติ ิทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู
สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู มดี งั น้ี ค่าเฉล่ยี ( ̅) ร้อยละ (%)และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน(S.D.)

สูตรการคานวณหาค่าเฉล่ยี ( ̅)

̅ = ∑



สูตรการคานวณหาคา่ ร้อยละ (%)

ร้อยละ =ตวั เลขทจาต่ี นอ้ วงนกทาร้งั เหปมรียดบเทยี บ× 100

สูตรการคานวณหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.)

(S.D.) = √∑( − ̅)2

−1

สรุปผลการวิจัย
1.สรุปผลการวจิ ยั จากบทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลจากตารางที่ 4.3 พบว่า คะแนนเฉล่ยี ของผลการ

สอบกอ่ นเรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ย ( ̅) เทา่ กบั 14.60 ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากบั 03.18 และคะแนน
เฉลีย่ ของผลการสอบหลงั เรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ย ( ̅) เท่ากบั 17.90 ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากบั 1.48

2.สรุปผลการวิจยั จากบทที่ 4 ผลการวเิ คราะหเ์ ปรียบเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรียนหลัง
การใช้แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองการเขียนคาพ้ืนฐาน ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
ภาษาไทยเร่ืองการเขยี นคาพ้ืนฐาน สูงกว่าเกณฑท์ กี่ าหนดไว้

3. ผลสมั ฤทธ์ิทางการพฒั นาแบบฝึกทกั ษะวชิ าภาษาไทย เรื่องการเขียนคาพ้นื ฐาน ของนกั เรียนช้ัน
ประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนธิดาแม่พระ ในระหว่างเรียนและหลงั เรียนของนักเรียนที่เรียนดว้ ยแบบฝึก
จากตารางท่ี 7 พบว่ามปี ระสิทธิภาพ เทา่ กบั ร้อยละ 100 nซ่ึงสูงกว่าเกณฑม์ าตรฐานทต่ี ้งั ไว้ คอื 80/80

ข้อเสนอแนะ
การวิจยั คร้ังน้ีผูว้ ิจยั มีขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้และขอ้ เสนอแนะสาหรับการทาวิจยั

คร้ังตอ่ ไป ดงั น้ี
1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้

35

1.1 ก่อนการจดั การเรียนรู้ครูผูส้ อนควรศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั และสาระการ
เรียนรู้ รวมถงึ ระดบั ช้นั ของผูเ้ รียนกอ่ น เพือ่ ใหก้ าหนดจดุ ประสงคใ์ นการจดั การเรียนรู้ไดต้ รงกบั ผูเ้ รียนและ
บรรลุเป้าหมายอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

1.2 ครูผูส้ อนควรศึกษาเน้ือหาที่นามาสร้างแบบฝึ กให้เขา้ ใจ และควรกาหนดให้เหมาะสม
กบั เพศ วยั แลระดบั ความสามารถของผเู้ รียน เพื่อใหก้ ระตนุ้ ผเู้ รียนเกิดความกระตือรือร้นมากย่งิ ข้นึ

1.3 ครูผูส้ อนควรศึกษาเน้ือหาท่ีเป็ นเน้ือเรื่องเก่ียวกบั การเขียนคาพ้ืนฐาน ให้เขา้ ใจ และ
กระบวนการสร้างแบบฝึกท่ดี ี รวมถึงการหาประสิทธิภาพของแบบฝึก เพอื่ นาไปเป็นแนวทางในการจดั สร้าง
แบบฝึกให้มคี วามหลากหลายและช่วยกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียนสนใจ เขา้ ใจเน้ือหาไดด้ ียิ่งข้ึน

2.ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ยั คร้ังต่อไป
2.1 ควรมีการสร้างแบบฝึ ก ในระดับช้ันต่างๆ หรือในกลุ่มสาระอ่ืนท่ีเห็นว่ามีความ

เหมาะสม และแสวงหาความรู้ แนวคิดใหมๆ่ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ ห้สอดคลอ้ งกบั การพฒั นาเทคโนโลยี
2.2 ควรมกี ารทดลองใชแ้ บบฝึก ภายหลงั จากเสร็จสิ้นกระบวนการเรียนการสอนแลว้ วดั ผล

สมั ฤทธ์ิทางการเรียนโดยให้นกั เรียนเขยี นตอบและประเมินผลตามสภาพจริง
2.3 ควรมีการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชแ้ บบฝึกกบั วธิ ีสอนหลายๆ วธิ ี

36

บรรณานุกรม

กมล เวียสุวรรณ และนิตยา เวียสุวรรณ. แนวคดิ การพฒั นาส่ือการเรียนการสอน. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 2.
กรุงเทพฯ : คอมแพคทพ์ ริ้นท,์ 2540.

กรมวิชาการ. หลกั สูตรประถมศึกษา พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2533).
พมิ พค์ ร้ังที่ 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพก์ ารศาสนา, 2546.

กระทรวงศกึ ษาธิการ. หลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2544. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพอ์ งคก์ ารรบั ส่งสินคา้ พสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.), 2545.

บนั ลือ พฤกษะวนั . ยทุ ธศาสตร์การสอนตามแนวหลกั สูตรใหม่. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช,2534.
บญุ ชม ศรีสะอาด. การพฒั นาหลกั สูตรและการวจิ ยั เก่ียวกบั หลกั สูตร. กรุงเทพฯ : ชมรมเดก็ ,2546.

. การวจิ ยั เบ้อื งตน้ . กรุงเทพฯ : สุวรี ิยาสาส์น, 2545.
เบญจลกั ษณ์ สุขโภคกิจ. มือท่ีสามของครู. กรุงเทพฯ : รุ่งเรืองศลิ ป์ การพิมพ,์ 2538.
สันทดั ภบิ าลสุข และพิมพใ์ จ ภิบาลสุข. การใชส้ ่ือการสอน. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรุงเทพฯ :พรี ะพธั นา, 2523.
สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ. การผลติ ชุดการสอน และชุดการสอนเรื่อง “มาตราตวั สะกด.”กรุงเทพฯ :

โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพร้าว, 2535.
สุรชยั สิกขาบณั ฑติ และเสาวนีย์ สิกขาบณั ฑติ . ศพั ทเ์ ทคโนโลยีทางการศึกษา. กรุงเทพฯ :ดวงกมล, 2538.

37

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก แผนการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
ภาคผนวก ข แบบฝึกทกั ษะการเขยี นคาพ้ืนฐาน
ภาคผนวก ค แบบฝึกทกั ษะที่นกั เรียนไดป้ ฏิบต้ ิ

กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย รายวิชา ท ๑๓๑๐๑

ช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี ๓ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ เร่ือง แม่ก กา รู้ว่าไม่มีตวั สะกด จานวน ๑๔ ช่ัวโมง

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๓ เร่ือง การเขียนสะกดคา จานวน ๗ ชั่วโมง

สัปดาห์ที่ .........................วนั ที่.......................... เดือน ................................... พ.ศ. ..................

มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั

มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษา และพลงั
ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ

ตัวชีว้ ัด
มฐ. ท ๔.๑ ป.๓/๑ เขียนสะกดคาและบอกความหมายของคา

สาระสาคญั
คาในมาตรา ก กา เป็นคาที่ไม่มีตวั สะกด ซ่ึงมีท้งั คาท่ีประสมดว้ ยสระเสียงส้ัน หรือสระเสียงยาว

การเขยี นสะกดคาและรู้ความหมายของคาอยา่ งถูกตอ้ ง สามารถนาไปใชส้ ่ือสารในชีวติ ประจาวนั ได้

จดุ ประสงค์ปลายทาง
๑. นกั เรียนสามารถเขา้ ใจลกั ษณะของคาในมาตรา ก กา ได้ (K)
๒. นกั เรียนสามารถเขยี นคาในมาตรา ก กา ตามทกี่ าหนดได้ (P)
๓. นกั เรียนเห็นความสาคญั ของการเขียนคาใหถ้ ูกตอ้ ง (A)

สาระการเรียนรู้

ความรู้

- ลกั ษณะของคาในมาตรา ก กา
- เขยี นคาในมาตรา ก กา ตามท่ีกาหนด
- ความสาคญั ของการเขยี นคาใหถ้ ูกตอ้ ง
กจิ กรรมการเรียนการสอน

ช่วั โมงที่ ๑ รู้จกั มาตรา ก กา

ข้นั นา
นกั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี

๏ คาเกิดข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร

ข้นั สอน

๑. ครูชวนนกั เรียนร้องเพลง “เป็ด” ซ่ึงนกั เรียนร้องไดท้ กุ คนพร้อมปรบมอื ใหจ้ งั หวะ
กา้ บ กา้ บ กา้ บ กา้ บ เป็ดอาบน้าในคลอง

ตากจ็ อ้ งแลมอง เพราะในคลองมหี อยปูปลา

กา้ บ กา้ บ กา้ บ กา้ บ เป็ดอาบน้าในคู

ตาก็จอ้ งมองดู เพราะในคูมีหอยปปู ลา

๒. ครูสนทนากบั นกั เรียนถึงเน้ือเพลง ให้นักเรียนสังเกตคาที่มีตวั สะกด และไม่มีตวั สะกด ครูใช้
คาถามกบั นกั เรียนเก่ียวกบั เน้ือเพลง โดยถามนกั เรียนทีละวรรค ให้ยกมือตอบ คนใดท่ตี อบถกู
ใหอ้ อกมาเขยี นคาทีถ่ กู บนกระดาน

๓. ครูใชค้ าถามดงั น้ี
- คาใดบา้ งทีม่ ตี วั สะกด (ก้าบ, เป็ ด, อาบ, คลอง, จ้อง, มอง, หอย)
- คาใดบา้ งที่ไมม่ ีตวั สะกด (น้า, ใน, คู, ก็, แล, เพราะ, ม,ี ปลา, ป,ู ด)ู
- ถามเพ่อื นๆ ในหอ้ งถงึ คาท่ีเพือ่ นเขียน เช่น จ้อง ปลา ใหบ้ อกพยญั ชนะตน้ สระที่นามา

ประสมคาตวั สะกด วรรณยกุ ต์
ตวั อย่าง

คา พยญั ชนะตน้ สระ ตวั สะกด วรรณยกุ ต์
จอ้ ง จ - อ ง - ้้
ปลา ปล - า - -

คาวา่ “จอ้ ง” มีตวั สะกด

คาว่า “ปลา” ไมม่ ตี วั สะกด

ครูใหน้ กั เรียนออกมาเขยี นคาทม่ี ีตวั สะกดและไมม่ ีตวั สะกดในเน้ือเพลงทีละคน

๔. ให้นักเรียนสังเกตส่วนประกอบของคาจากตัวสะกด จะเห็นได้ว่าส่วนประกอบของคา
ประกอบดว้ ย พยญั ชนะตน้ สระ วรรณยกุ ต์ และบางคาอาจมตี วั การนั ต์ ครูอธิบายเพ่ิมเตมิ ว่า คา
ท่ไี ม่มตี วั สะกดน้ี จดั อยใู่ นมาตรา ก กา

๕. ให้นกั เรียนยกตวั อยา่ งคาท่ีไมม่ ีตวั สะกด คนละ ๑ คา

ข้นั สรุป

๑. ครูสนทนาถึงมาตรา ก กา ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปวา่ คาในมาตรา ก กา เป็นคาท่ไี ม่มี
ตวั สะกด

๒. ให้นกั เรียนจาแนกส่วนประกอบของคาลงในตาราง

ช่วั โมงที่ ๒ ลักษณะของคาในแม่ ก กา

ข้นั นา

๑. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี
๏ ถา้ ไมม่ สี ระ และตวั สะกด จะเกิดเป็นคาไดอ้ ยา่ งไร

๒. ครูชวนนกั เรียนสนทนาว่า
- ธรรมดาคนเราเขียนหนงั สือดว้ ยอวยั วะอะไร (มือซ้ายหรือมือขวา)

- นอกจากน้นั เขียนดว้ ยอวยั วะอะไรไดอ้ กี (ปาก , เท้า, ถ้ามือพกิ าร)
๓. ใหน้ กั เรียนเลน่ เกมเขียนหนงั สือในอากาศ ขออาสาสมคั รนกั เรียน ๓ คน ครูอธิบายให้นกั เรียน

เขียนหนงั สือหรือสระในอากาศคนละ ๑ ตวั เป็นคาที่ไมม่ ีตวั สะกดโดยไมใ่ หเ้ พื่อนๆ ในหอ้ งได้
ยนิ คนทเ่ี ป็นคนเขียนห้ามพูดใหพ้ ยกั หนา้ ถา้ เพ่ือนทายถกู ใหส้ นั่ ศรี ษะถา้ เพ่อื นทายผดิ

วธิ ีการเล่น อาสาสมคั รท้งั สามคนออกมายืนหนา้ หอ้ งทลี ะคนหันหลงั ให้เพือ่ น
เมอ่ื เร่ิมเลน่ ครูบอกวา่ จ่มุ หมึก อาสาสมคั รยกแขนขวาข้ึน ชูนิ้วช้ีทาท่า
เหมือนนิ้วช้ีเป็นปากกานาไปจมุ่ น้าหมึก

ครูบอกว่า สะบดั ๆ ๆ อาสาสมคั ร สะบดั นิ้วช้ีเลก็ นอ้ ย
ครูบอกวา่ เขียนได้ คนท่ี ๑ ใชน้ ิ้วช้ีเขียนตวั หนงั สือหรือสระบนอากาศใหเ้ พ่อื นทาย ถา้
เพ่ือน
ทายถกู พยกั หนา้ ถา้ ผดิ ส่นั ศรี ษะ ทาจนกว่าเพอื่ นจะทายถูก สมมตุ ิว่าคนที่ ๑ เขียน “ห” และเพือ่ น
ทายถูกคนท่ี ๑ เขยี น “ห” ในกระดาน คนที่ ๒ และคนที่ ๓ กท็ าเหมอื นคนแรก เมื่อเพ่อื นทายถกู ท้งั
๓ คน
ใหน้ กั เรียนบอกว่า เป็นคาอะไร ในกระดานเขียนคาว่า “หมา”

ข้นั สอน
๑. ครูให้นกั เรียนเปล่ียนกนั ออกมาเลน่ เกม และร่วมกนั สรุปวา่ คาท่ีไดน้ ้นั เป็นการจาแนกคาท่ีไม่มี

ตวั สะกด ซ่ึงจดั อยใู่ นมาตรา ก กา
๒. ครูให้นกั เรียนแบ่งกล่มุ กลุ่มละ ๔ คน และออกไปสังเกตสิ่งแวดลอ้ มนอกห้องเรียน เขียนเร่ือง

หรือนิทานทปี่ ระกอบดว้ ยคาท่ีใช้มาตรา ก กา ให้มากท่ีสุด และขีดเส้นใตค้ าที่เป็นมาตรา ก กา
ครูวาดภาพระบายสีเรื่องที่แต่งดว้ ยสีไมห้ รือสีเทียน ใชเ้ วลาในการทากิจกรรมนอกห้องเรียน
๓๐ นาที
๓. นกั เรียนออกมาอ่านเร่ืองทอ่ี อกไปเขียนให้เพื่อนๆ ในห้องฟังทุกกลมุ่ และตดิ กระดาษท่ีเขียนที่
ป้ายห้องเรียนผลดั เปล่ียนกนั อา่ นเร่ือง และสังเกตคาที่ใชม้ าตรา ก กา
๔. ให้นกั เรียนสรุปความรู้ท่วี ่าคาในมาตรา ก กา มีมากมายอ่านและเขียนง่าย ไม่มีตวั สะกด

ข้นั สรุป

นกั เรียนคดั ลายมอื คาในมาตรา ก กา ตวั บรรจงเต็มบรรทดั จากคาทขี่ ีดเสน้ ใตข้ องทกุ กลุ่ม

ช่ัวโมงที่ ๓ สระเสียงสัน้ สระเสียงยาวในมาตรา ก กา

ข้นั นา

ใหน้ กั เรียนยนื เป็นวงกลม เลน่ เกมทบทวนเสียงสระใหน้ กั เรียนคนทย่ี นื ติดกบั ครูทางซ้าย

มอื เป็นผูเ้ ริ่ม บอกชื่อสระ อะ พร้อมปรบมอื ให้จงั หวะ ๓ คร้ัง จนครบทุกเสียง ใครทป่ี รบมอื ไมล่ ง

จงั หวะใหป้ ฏบิ ตั ิใหม่ เช่น การใหจ้ งั หวะ สะ - หระ - อะ, สะ - หระ - อา....

ข้นั สอน

๑. ให้นกั เรียนจาสระที่บอกเมื่อจบทุกคน ครูใหน้ กั เรียนเขา้ กลุ่ม ๒ กลมุ่ คือกลมุ่ สระเสียงส้ัน และ
กลมุ่ สระเสียงยาว ใหแ้ ตล่ ะคนออกเสียงสระของตนเองทลี ะคนตามลาดบั จนถูกตอ้ งทกุ คน ให้
นกั เรียนจบั คสู่ ระเสียงส้นั กบั สระเสียงยาว ใหอ้ อกเสียงสระ

๒. ครูถามนกั เรียนว่าใครไม่มคี ู่ มเี สียงสระอะไรบา้ ง ( อา, ไอ, ใอ, เอา)
๓. ให้นักเรียนศึกษาความรู้เร่ือง คาในมาตรา ก กา ให้นักเรียนจบั คู่กนั อ่าน จากคู่เดิม ขอ้ ๒ และ

สระท่มี เี สียงพยญั ชนะทา้ ย (อา, ไอ, ใอ, เอา) ๒ คู่
๔. เม่อื อา่ นเป็นคู่จบแลว้ ให้อา่ นพร้อมกนั อกี คร้งั หน่ึง
๕. แบง่ นกั เรียนออกเป็น ๔ กลมุ่ ให้แต่ละกลุ่มเขยี นคาในมาตรา ก กา ตามทจ่ี บั ฉลาก ดงั น้ี

กลุ่มที่ ๑ คาในมาตรา ก กาทม่ี สี ระเสียงส้ัน เช่น มะระ

กลมุ่ ที่ ๒ คาในมาตรา ก กาทม่ี สี ระเสียงยาว เช่น ฤๅษี

กลุ่มที่ ๓ คาในมาตรา ก กาท่มี สี ระเสียงส้ันและเสียงยาว เช่น กะลา

กลมุ่ ท่ี ๔ คาในมาตรา ก กาทมี่ สี ระเสียงยาว และเสียงส้ัน เช่น เสือดุ

๖. แต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอหนา้ ช้นั เรียน โดยครูเขียนเป็นตารางบนกระดาน ดงั น้ี
คาในมาตรา ก กา คาในมาตรา ก กา คาในมาตรา ก กาทม่ี ีสระ คาในมาตรา ก กาที่มสี ระ

ท่ีมีสระเสียงส้ัน ท่มี สี ระเสียงยาว เสียงส้ันและเสียงยาว เสียงยาว และเสียงส้ัน

๗. ครูและนักเรียนตรวจสอบความถูกตอ้ งของคา ครูแนะนา และอธิบายเพิ่มเติมขณะที่นกั เรียน
กาลงั ทากิจกรรม ครูตอ้ งคอยดูแลแนะนาช่วยเหลือกล่มุ ทมี่ ปี ัญหา และคอยกระตนุ้ นกั เรียนทีไ่ ม่
ค่อยร่วมกิจกรรม

๘. ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปความรู้ท่ไี ดจ้ ากการเรียนรู้ คาท่ไี มม่ ีตวั สะกดทป่ี ระสมดว้ ยสระเสียง
ส้ัน และสระเสียงยาว เราเรียกว่ามาตรา ก กา หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ แม่ ก กา

๙. ให้นกั เรียนเขยี นคาในมาตรา ก กา ตามตาราง ขอ้ ๖ รายการละ ๕ คา รวม ๒๐ คา

ข้นั สรุป
ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี
๏ สระเสียงส้ัน สระเสียงยาว มีความสาคญั อยา่ งไรในมาตรา ก กา

ช่ัวโมงที่ ๔ คาในมาตรา ก กา

ข้นั นา

๑. ใหน้ กั เรียนทกุ คนอา่ นคาประพนั ธ(์ อ่านในใจ)ท่คี รูเขียนในกระดาษแผ่นใหญ่ หรือเขยี นบน
กระดาน ดงั น้ี

แมไ่ ก่ ไข่ไข่มาสห่ี า้ ใบ
แม่ไกอ่ ย่ใู นตะกรา้

อีแมก่ าก็มาไล่ อีแมไ่ ก่ไล่ตีกา

หมาใหญก่ ็ไลเ่ ห่า หมใู นเลา้ แลดหู มา

ปแู สมแลปนู า กะปมู า้ ปทู ะเล

เตา่ นาแลเตา่ ดา อยใู่ นนา้ กะจระเข้

ปลาทอู ยทู่ ะเล ปลาขเี้ หรไ่ มส่ ดู้ ี

(จากประถม ก กา ฉบบั หอสมดุ แห่งชาต)ิ

ข้นั สอน
๑. หลงั จากท่ีนักเรียนอ่านในใจจบแลว้ อาสาสมคั รนกั เรียนออกมาอ่านนา ให้เพื่อนอ่านตามใน
ขณะท่อี ่านใหฝ้ ึกเคาะจงั หวะไปดว้ ย ครูสนทนากบั นกั เรียนถงึ เรื่องในบทประพนั ธ์ ดงั น้ี
- บทประพนั ธ์เร่ืองแม่ไก่ เป็นมาตรา ก กา ทกุ คาใช่หรือไม่
- ถา้ ไม่ใช่คาไหนบา้ งทไี่ ม่ใช่มาตรา ก กา
- คาใดบา้ งทเี่ ป็นสระเสียงส้ัน
- คาไหนบา้ งทเ่ี ป็นสระเสียงยาว
- ในบทประพนั ธ์มีสัตวอ์ ะไรบา้ ง
๒. เพื่อให้นักเรียนสามารถสะกดคาและอ่านมาตรา ก กา ไดค้ ล่องและแม่นยา ให้นักเรียนศึกษา
ความรู้เร่ืองมาตรา ก กา อกี คร้งั หน่ึง
๓. ให้นกั เรียนเลือกสัตวท์ ่ชี อบในบทประพนั ธ์แมไ่ ก่ มาแตง่ เป็นเร่ืองราวพร้อมวาดภาพประกอบ
๔. ครูและนักเรียนช่วยกนั สรุปความรู้ว่าคาในมาตรา ก กา สามารถนามาใช้ในการแต่งเร่ืองได้
อยา่ งสนุกสนาน
ข้นั สรุป
ให้นกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นโดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี

๏ คาในมาตรา ก กา นาไปใชท้ าอะไรไดบ้ า้ ง

ช่ัวโมงที่ ๕ คามาตรา ก กา

ข้นั นา
ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สังเกต และหาคาตอบ โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี
๏ รอบ ๆ ตวั นกั เรียนมคี ามาตรา ก กาบา้ งหรือไม่

ข้นั สอน
๑. ใหน้ กั เรียนแบง่ กลุ่มเป็น ๔ กลุ่ม เท่า ๆ กนั ครูแบง่ กระดานออกเป็น ๔ ช่อง ครูเขียนคาว่า แม่,

ปลา, ไข่, กา ในกระดาน ใหน้ กั เรียนเล่นเกม “มาตรา ก กา แสนกล” ซ่ึงมวี ิธีการเลน่ ดงั น้ี
- นกั เรียนยืนแถวตอนลึกตรงกบั ช่องกระดานของกลุ่มตน
- ให้นักเรียนออกมาเขียนคาท่ีมีความหมาย โดยมีพยางค์แรกเป็ นคาท่ีกาหนดให้ บน

กระดาน

จานวน ๔ คา ภายในเวลา ๕ นาที

- เม่อื หมดเวลาครู และนกั เรียนช่วยกนั พจิ ารณาคาที่กลมุ่ เขยี นวา่ ถกู ตอ้ งหรือไมจ่ านวน

เท่าไร

- กล่มุ ใดเขยี นไดถ้ กู ตอ้ งมากท่สี ุด เป็นฝ่ายชนะ

จากน้ันให้นกั เรียนพิจารณา และสนทนาเพ่ิมเติมว่านอกเหนือจากคาท่ีบนกระดานยงั มีคาใดอกี

บา้ งที่

มีพยางคแ์ รกเป็นคาท่กี าหนดแลว้ มีพยางคห์ ลงั อยใู่ นมาตรา ก กา แลว้ มคี วามหมาย

๒. ครูชวนสนทนาถึงคาคลอ้ งจอง จากเกมที่นักเรียนเล่น เช่น คาว่า แม่คา้ คลอ้ งจองกบั ปลาเสือ
เป็นตน้ ซ่ึงเป็นคาในมาตรา ก กา ท่ีอยรู่ อบตวั เราเป็นส่วนใหญ่

๓. ให้นักเรียนฝึกอ่านคาคลอ้ งจองท่ีใช้ในชีวิตประจาวนั พร้อมกนั ๑ เที่ยว คาไหนท่ีนกั เรียนอ่าน
ไม่ไดห้ รืออ่านไดแ้ ต่ไม่คล่อง ครูให้ฝึกสะกดคา และให้อ่านเป็นคาคลอ้ งจองคาละ ๑ คนไป
เรื่อย ๆ หลาย ๆ เที่ยวจนกว่านกั เรียนจะอา่ นคลอ่ ง

๔. ศึกษา คาศพั ท์ คาอา่ น และความหมายท่ีครูกาหนด ไดแ้ ก่ คาว่า เกาหลี เจดีย์ ตาหนิ เถลไถล
เทวดา สะระแหน่ เสนาะ และถามนกั เรียนว่าคาไหนท่ีนักเรียนไม่รู้ความหมายอีกบา้ ง ครู
อาจจะให้ความหมายเพมิ่ เติมหรือให้นกั เรียนไปเปิ ดพจนานุกรมก็ได้

๕. แบ่งกลุม่ นกั เรียนออกเป็น ๔ กลุม่ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ วาดภาพตามชื่อกลุ่มของตนเองเป็นภาพใหญ่ ๑
ภาพและคดิ คาท่อี ยใู่ นมาตรา ก กา ตามช่ือกล่มุ ของตนเอง ใส่ลงในภาพ ดงั น้ี
กลมุ่ ท่ี ๑ ดอกไม้

กลมุ่ ที่ ๒ สตั ว์

กลมุ่ ท่ี ๓ ผลไม้

กลุ่มท่ี ๔ สิ่งของ

ใชเ้ วลาในการทากิจกรรม ๒๐ นาที

๖. ทกุ กล่มุ ตดิ ภาพเรียงกนั และนาเสนอทลี ะกลุ่ม เมื่อแต่ละกลมุ่ นาเสนอเสร็จแลว้ ครูถามว่ามใี คร
คิดเพ่ิมเติมนอกเหนือจากท่ีกลุ่มคิด ให้เขียนเติมลงไป นักเรียนและครูช่วยกันตรวจสอบ
ความถูกตอ้ งในการเขยี นคา คนใดทเ่ี ขียนไมค่ ลอ่ ง อา่ นไม่คลอ่ ง ครูคอยใหก้ าลงั ใจคอยกระตุน้
ช่วยเหลือ

ข้นั สรุป

ครูและนกั เรียนช่วยกนั สรุปความรู้ทไี่ ดว้ ่า คาทใี่ ชเ้ รียกสิ่งรอบ ๆ ตวั มีคาทอี่ ยใู่ นมาตรา ก กา


Click to View FlipBook Version