พระยางว่ั นาถุม
พระยางว่ั นาถมุ ทรงเป็ นพระมหากษตั ริยร์ ัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศพ์ ระร่วงกรุงสุโขทยั เสวย ราชสมบตั ิต้งั แต่ พ.ศ. ๑๘๖๖ -
พ.ศ. ๑๘๙๐ ชนิ กาลมาลปี กรณก์ ล่าวไวว้ า่ พระองคเ์ ป็ นพระราชโอรส ของพอ่ ขุนบานเมือง พระยางว่ั นาถุม ทรงสถาปนาพระยา
ลอื ไทย (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) ใหเ้ ป็ น พระมหาอุปราช ทรงครองเมืองศรีสัชนาลยั เมือ่ พ.ศ. ๑๘๘๓
หลงั จากปี พ.ศ. ๑๘๔๑ ซ่งึ เป็ นปี สวรรคตของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช อาณาจกั รสุโขทยั กแ็ ตกสลาย เมืองตา่ ง ๆ ต้งั ตวั เป็ น
เอกราช เช่น เมอื งคนที (กาแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค)์ เชยี งทอง (ระแหงตาก) มาถงึ รัชสมยั พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลอื
ไทย) จงึ ทรงขยายอาณาจกั รสุโขทยั ออกไปใหม่ (จารึกหลกั ท่ี ๓)
ปี เสวยราชสมบตั ขิ องพระยางว่ั นาถมุ คอื พ.ศ. ๑๘๖๖ ซ่งึ คานวณจากปี ทพ่ี ระยาลิไทย (ลือไทย) แตง่ ไตรภมู ิพระร่วงคือปี
ระกา ศกั ราช ๒๓ (เมอื่ พระยาลไิ ทยทรงครองราชสมบตั ใิ นเมอื ง ศรีสัชนาลยั ได้ ๖ ปี ) เมอ่ื เทยี บกบั จารึกหลกั ที่ ๕ ซ่งึ กล่าววา่ เม่อื
พ.ศ. ๑๙๐๔ พระยาลิไทยเสวยราชย์ ในเมืองศรีสชั นาลยั ได้ ๒๒ ปี (คือ ๑๖ ปี หลงั จากทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง) คอื
ศกั ราช ๒๓ + ๑๖ เทา่ กบั ศกั ราช ๓๙ เอา ๓๘ ลบ จะไดศ้ กั ราช ๑ ซ่งึ ตรงกบั พ.ศ. ๑๘๖๖ ถอื เป็ นปี ทพ่ี ระยา งว่ั นาถุมครองราชย์
ส่วนปี สวรรคตของพระยางว่ั นาถมุ คานวณไดจ้ ากปีที่พระยาลไิ ทยทรงยกกองทพั ไปปราบสุโขทยั ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ แลว้ เสด็จ
ข้นึ เสวยราชย์ (จารึกหลกั ที่ ๔) อาจจะเป็ นเพราะพระโอรสของพระยา งวั่ นาถมุ จะเสวยราชยส์ ืบแทนพระราชบดิ า พระยาลไิ ทยซ่งึ
ทรงดารงตาแหน่งมหาอุปราชจงึ ตอ้ งเสด็จ ไปปราบปรามก็เป็ นได้
พระยางว่ั นาถมุ เป็นพระมหากษัตริยส์ โุ ขทยั ลาดบั ท่ี 5 เป็นพระราชโอรสพอ่ ขนุ บานเมอื ง สนั นิษฐานกันวา่ พอ่ ขนุ ศรีอินทรา
ทิตย์คงอภิเษกสมรสกบั พระธดิ าของพ่อขนุ ศรีนาวนาถมุ เหตทุ ีส่ นั นิษฐานเช่นนนั้ เน่ืองจากเป็นธรรมเนียมของคนสมยั นนั้ ท่ี
นยิ มเอาช่ือบรรพบุรุษมาตงั้ เป็นช่อื หลาน
• พระยางวั่ นาถมุ กษตั ริย์สโุ ขทยั ลาดบั ที่ 5 (พ.ศ. 1866 - พ.ศ. 1890) เป็นพระโอรสพ่อขนุ บานเมือง สนั นิษฐานกนั วา่ พ่อขนุ ศรี
อนิ ทราทิตยค์ งอภเิ สกสมรสกบั พระธดิ าของพอ่ ขนุ ศรีนาวนาถมุ เหตทุ ี่สนั นิษฐานเชน่ นนั้ เนอ่ื งจากเป็นธรรมเนียมของคนสมยั
นนั้ ทน่ี ยิ มเอาชื่อบรรพบรุ ุษมาตงั้ เป็นชอื่ หลานพระยางวั่ นาถมุ เป็นกษตั ริย์ครองเมอื งศรีสชั นาลัยสโุ ขทยั มาก่อนตามจารึกหลกั
ท่ี 15 แตข่ ึน้ เป็นกษตั ริย์ตอ่ จากพระยาเลอไทยซึ่งเป็นพระบิดาของพระยาลิไทยกษัตริยล์ าดบั ที่ 6เร่ืองราวของพระยางวั่ นาถมุ
ยงั คลมุ เครือเนอ่ื งจากมีหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ไมม่ ากความหมายของพระนาม พระนามงวั่ นาถมนี ้ศาสตราจารย์ ดร.
ประเสริฐ ณ นคร อธบิ ายว่า งวั่ เป็นคานาหน้านามที่แสดงวา่ เป็นบุตรชายคนท่ี 5 และ นาถมุ ถาษาถิ่นแปลวา่ นา้ ทว่ ม
• พระยาเลอไทย
พระยาเลอไทยทรง็เปนพระมหากษตั ร็ิยรัชกาลที่ ๔ แ็หงราชวง็ศพร็ะรวงกรุงสุโขทัย ็เปน พระราชโอรสของ็พอขุนรามคาแหง
มหาราช และ็เปนพระราชบิดาของพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลือไทย, ลไิ ทย) พระยาเลอไทยเสวยราชสมบตั ิ พ.ศ. ๑๘๔๑-
พ.ศ. ๑๘๖๖
ศลิ าจารกึ หลักที่ ๒ ก็ลาวถึงพระยาเลอไทย็วา “หลาน็พอขุนศรีอนิ ทราทิต็ย็ผหู นึ่งช่อื ธรรมราชา พลุ (คือเกดิ )็รบู ญุ ็รธู รรมมี
ปรชี ญาแ็กกม (ปรชี ามากมาย) ็บมิก็ลาวถี่เลย” ใน็ปจจุบนั ยัง็ไมปรากฏ หลักฐานรายละเอียดเกีย่ วกับพระอง็คเลย
็ปท่พี ระยาเลอไทยเสด็จขน้ึ ครองราช็ย ็ไดหลักฐานจากจดหมายเหตุจนี ซ่งึ บันทึก็วาพระอง็ค็ได ทรง็สงราชทูตไปถึงเมืองจนี ใน็ตน
ค.ศ. ๑๒๙๙ ซ่ึง็เปน็ปท็่ีพอขุนรามคาแหงมหาราชสวรรคต คือ พ.ศ. ๑๘๔๑ (สมัยเดมิ็ถา็เปนเดือนมกราคมถงึ มีนาคม็ตอง็ใช
๕๔๒ บวก็ถา็เปนเดอื นเมษายนถึงธนั วาคม จึงจะ็ใช ๕๔๓ บวก อ็ยางไรกด็ ี เรือออกเดนิ ทางไป็กอนนนั้ หลายเดือน ็พอขุน
รามคาแหงมหาราชจึง สวรรคตเมื่อปลาย ค.ศ. ๑๒๙๘ ตรงกับ พ.ศ. ๑๘๔๑) ็สวน็ปส้นิ รชั กาลพระยาเลอไทย คอื พ.ศ. ๑๘๖๖
ซึง่ สนั นษิ ฐาน็วา็เปน็ปท่ี ๑ ในรชั กาลของพระยางัว่ นาถมุ
พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชเสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๒ ถึงประมาณ พ.ศ. ๑๘๔๑ ทรงเป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองค์
ที่ ๓ แห่งราชวงศพ์ ระร่วงกรงุ สโุ ขทยั พระองคท์ รงรวบรวมอาณาจกั รไทยขึน้ เป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทงั้ ยงั ได้ทรงประดษิ ฐ์ตวั
อกั ษรไทยขึน้ ทาให้ชาวไทยได้สะสมความร้ทู างศลิ ปะ วฒั นธรรม และวิชาการตา่ ง ๆ สืบทอดกนั มากวา่ ๗๐๐ ปี พ่อขนุ
รามคาแหงเป็นพระราชโอรสองคท์ ่ี ๓ ของพอ่ ขนุ ศรีอนิ ทราทิตย์กบั นางเสอื ง พระเชษฐาองคแ์ รกสิน้ พระชนมต์ งั้ แตย่ งั ทรงพระ
เยาว์ พระเชษฐาองคท์ ่ี ๒ ทรงพระนามตามศลิ าจารึกว่า พระยาบานเมือง ได้เสวยราชยต์ อ่ จากพระราชบิดา เมือ่ สนิ ้ พระชนม์
แล้วพอ่ ขนุ รามคาแหงจึงได้เสวยราชย์ตอ่ มา
• รัชสมยั ของพอ่ ขนุ รามคาแหงเป็นยคุ ทีก่ รุงสโุ ขทยั เฟ่ืองฟแู ละเจริญขึน้ กว่าเดมิ เป็นอนั มาก ระบบการปกครองภายใน
กอ่ ให้เกดิ ความสงบเรียบร้อยอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ มีการตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั ตา่ งประเทศทงั้ ในด้านเศรษฐกิจและ
การเมอื ง ไพร่ฟ้าประชาชนอย่ดู กี นิ ดี สภาพบ้านเมอื งก้าวหน้าทงั้ ทางเกษตร การชลประทาน การอตุ สาหกรรม และการ
ศาสนา อาณาเขตของกรงุ สโุ ขทยั ได้ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล
• พ่อขนุ รามคาแหงมหาราชทรงประดษิ ฐ์อกั ษรไทยขึน้ ใช้เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ ทาให้อนชุ นสามารถศกึ ษาความรู้
ตา่ ง ๆ ได้สืบเนื่องกนั มาจนถึงปัจจบุ นั ตวั หนงั สือไทยของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราชมีลกั ษณะพเิ ศษกวา่ ตวั หนงั สอื ของชาติ
อ่นื ซง่ึ ขอยืมตวั หนงั สอื ของอนิ เดยี มาใช้ คอื พระองคไ์ ด้ประดษิ ฐ์พยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ตเ์ พ่มิ ขึน้ ให้สามารถเขยี นแทน
เสียงพดู ของคาภาษาไทยได้ทกุ คา และได้นาสระและพยญั ชนะมาอยใู่ นบรรทดั เดยี วกนั โดยไมต่ ้องใช้พยญั ชนะซ้อนกนั ทา
ให้เขียนและอ่านหนงั สือไทยได้ง่ายและสะดวกย่งิ ขึน้ มาก นบั วา่ พระองคท์ รงพระปรีชาลา้ เลศิ และทรงเห็นการณ์ไกลอยา่ ง
หาผ้ใู ดเทียบเทียมได้ยาก
อ้างอิง
ประเสริฐ ณ นคร. สารานุกรมประวตั ิศาสตร์ไทย ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน เล่ม 2. [ม.ป.ท.] : [ม.ป.พ.], พ.ศ.
2545. หน้า 168