ยนิ ดีตอ้ นรับสสู่ วนหนิ เควสตาโคราช
Welcome to the Khorat Cuesta Stone Park
โดย มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสุรนารี
สวนหินเควสตาโคราช เป็นสวนหนิ ทจี่ ัดแสดงกอ้ นหินจากพืน้ ท่อี ุทยานธรณีโคราช (Khorat Geopark) ทเี่ กยี่ ว
ข้องกับธรณีสัณฐานเควสตา หรือภูเขาหินทรายลักษณะคล้ายมีดอีโต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในความโดดเด่นด้านภูมิลักษณ์ของ
อุทยานธรณีโคราช และเปน็ แหลง่ ให้ความรดู้ า้ นธรณีวิทยา ตง้ั อยใู่ นศนู ย์อนุรักษพ์ นั ธุกรรมพืชอันเนอื่ งมาจากพระราช
ดำ�รฯิ อพ.สธ.คลองไผ่ ต�ำ บลคลองไผ่ อ�ำ เภอสีคว้ิ จังหวัดนครราชสีมา
เมื่อหันไปรอบๆ ISSUE #1 / MONTH 2018 21
หนิ ทรายแปง้
จะเห็นกอ้ นหนิ ขนาดเล็กและใหญ่ 11
จดั ไวอ้ ย่างสวยงาม เควสตาโคราช หนิ ตะกอนเนอ้ื ละเอียดกวา่ หนิ ทราย
รอคอยการค้นพบและการเรยี นรู้ พบไดใ้ นพ้นื ท่ีอุทยานธรณโี คราช
เควสตาโคราชคอื อะไร?
แล้ว..จะเริ่มจากจดุ ไหน เควสตาโคราชมีความส�ำ คญั ต่อ 22
จะเลอื กจากกอ้ นใด อุทยานธรณโี คราชอย่างไร? หินชนวน
มาเรม่ิ กันเลย 13 หินแปรระดบั ตำ่� เน้ือแน่นแวววาว
ทราย ให้ทำ�กระดานชนวนและหลังคาบ้าน
3
ผังสวนหินเควสตาโคราช การเกดิ ของเม็ดทรายและการจำ�แนก 24
ขนาดของเม็ดทราย ช้นั เฉยี งระดับ
ผังบอกต�ำ แหน่งกอ้ นหินในสวนหนิ
บอกชนิดหิน 14 โครงสรา้ งลายเส้น
แหลง่ ทม่ี าของหินแต่ละกอ้ น กรวด เก็บความลบั ของกระแสน�้ำ โบราณ
ทีไ่ หลผา่ นเมื่อกวา่ ร้อยล้านปกี ่อน
5 เมด็ ตะกอนเมด็ หยาบ
อทุ ยานธรณีโคราช ท่ีถูกพดั พามาโดยทางนำ�้ 25
รอยร้ิวคลน่ื
อุทยานธรณโี คราชคอื อะไร? 15
ตง้ั อยู่ท่ีไหน? เขา้ ไปเยยี่ มชมอย่างไร? หินทราย รอยคลน่ื ทพ่ี ื้นผวิ ชน้ั หิน
ทีร่ มิ ฝั่งแม่น�้ำ โบราณ กว่ารอ้ ยล้านปกี ่อน
7 หินทรายหลากหลายทรี่ องรบั พ้นื ที่
กล่มุ หนิ โคราช อทุ ยานธรณีโคราช 28
รูชอนไช
กลุ่มหินโคราชคืออะไร? 18
กล่มุ หนิ โคราชเก่ียวพนั กับอทุ ยานธรณี หินกรวดมน เหลา่ หนอนชอนไช มดุ หาอาหาร
โคราช อย่างไร? และอยอู่ าศัยในตะกอนนมุ่ ใตน้ �้ำ
หนิ กรวดมนท่พี บในพ้นื ทอี่ ุทยานธรณี
10 โคราชซ่อนซากดึกด�ำ บรรพ์
หนิ ในพน้ื ที่อุทยานธรณโี คราช ไดโนเสาร์เอาไว้
ประกอบด้วยกหี่ มวดหิน? 19
เกดิ จากสภาวะแวดลอ้ มแบบใด? ไดโนเสารโ์ คราช
ไดโนเสาร์สายพันธไุ์ ทย ชนิดใหมข่ องโลก
4 ชนดิ พบในจังหวัดนครราชสีมา
- 32 -
CATALOG TITLE
- 43 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
ก้อนหนิ ในสวนหินเควสตาโคราชน�ำ มาจาก
หลายแหลง่ ในจังหวัดนครราชสีมา
อตจหหตาำ�ำ�นิมำ�กเบวกภแบลดรอ้าสหวหเนดรุมนิ นสนมือโะคานงง่ พรกทีราวน่ี ด1หิน หหแจหอตอตจตาา��ำำำ��ำลมินมำ�กกเเบบะววทภภแบบลลหดดรออ้้าาสคหหหินาปสนนลยขุนิินทีคักนคปอเพภรธิว้กลลงา่งูพงรษไอายชะทผามยงวัยน่ได่ี ิหผา4่าบร ตต ะ�ำ กแอนหกนรวง่ ดท ี่ 10
หจตตอหาำ�ำ�มนิ ำ�กเบวทภแบลดรอา้สหหาปนยขุนิ ักนปปเภธกลน่งพูงษากชทามยรัยนดี่วาด2บ ตตหอหจาำ�ำ�ิมน�ำ กเบวทภแบลดรอา้คหหาสนลยนิ ีคนคอพ้วิ ลง่ง รไอะทผงว่ไี่ ิหผ5่าร หหจต อตา�ำำ�ินมำ�กเบวทภแบลดรอา้สหหาปนยุขนิ ักนปปเภธกลนงู่พงษากชทามยรยันดี่ว าด1บ1
ตอ6หหต�ำำ�มินำ�เบวช,ภแลดนอ9ปหหวปานินานก,ปกช1่งชาอ่2งท่ององี่โศ3ก , ตตะ�ำ กแอนหทนราง่ ยท ่ี 7 อตจหหตา�ำำ�นิมำ�กเบวกภแบลดรอ้าสหวหเนดรุมนิ นสนมอืโะคานงง่ พรกทีราวน่ี ด1หนิ3
ห จตตอหาำ�ำ�ิมน�ำ กเบวทภแบลดรอ้าคหหาสนลยินคีนคอพ้ิวลงง่ รไอะทผงว่ไี่ ิหผ8่าร 1ต4ำ�แ-ห2น0่งที่
หินทรายและ
อตจหหาำ�ำ�ิมนกเบวทภบลดรอ้าลหาสนายนิ ีคดลแเ้วิ าบสปดัวา้งบขขวััวาวขาว
- 54 -
CATALOG TITLE
อทุ ยานธรณโี คราช
KHORAT GEOPARK
อทุ ยานธรณี (Geopark) คอื “พน้ื ทท่ี างภมู ศิ าสตรแ์ หง่ หนง่ึ ซง่ึ มแี หลง่
และภูมปิ ระเทศทส่ี าคัญในทางธรณวี ิทยาระดบั นานาชาตแิ ละมีการบรหิ าร
จดั การแบบองค์รวม ทง้ั ในดา้ นการอนรุ กั ษ์ การศกึ ษา และการพัฒนา
อย่างยัง่ ยนื โดยใช้กระบวนการจากล่างสูบ่ น (Buttom-up)
และชมุ ชนทอ้ งถ่ินมีส่วนร่วม” ทงั้ นี้ “พ้ืนทีท่ างภมู ศิ าสตร”์ หมายถงึ
พนื้ ที่ที่ครอบคลมุ ทง้ั ผนื ดิน ผืนน้ำ� บรรยากาศ พชื สตั ว์ และมนุษย์
(วัฒนธรรม)
พนื้ ท่ที ่มี ี 1) มรดกธรณี (geoheritage) ไดแ้ กว่ ตั ถทุ างธรณีวิทยาหรือ
ธรณสี ณั ฐานที่เปน็ ส่วนทสี่ ำ�คัญ และเก่ียวกบั ประวตั ิการเกิดของโลก
2) มีการบรหิ ารจัดการการใช้ประโยชน์อยา่ งเป็นรปู ธรรม
3) ประชาชนในพน้ื ท่มี สี ่วนร่วมในการบรหิ ารจดั การ
4) มกี ารประชาสัมพนั ธ์ เผยแพร่ความรู้ นำ�ไปสู่
5) การทอ่ งเที่ยวในพ้นื ท่แี ละการพฒั นาอย่างยั่งยืน
สามารถยืน่ ขอจัดตงั้ เป็นอุทยานธรณปี ระเทศไทยได้
ในปัจจบุ นั ประเทศไทยได้จดั ตงั้ อุทยานธรณีระดับประเทศแลว้ 3 แหง่
ได้แก่ อทุ ยานธรณสี ตลู (จงั หวัดสตลู ) อทุ ยานธรณีโคราช
(จังหวัดนครราชสีมา) และอุทยานธรณีผาชนั สามพนั โบก
(จงั หวัดอุบลราชธานี) จัดต้ังเป็นอุทยานธรณีระดบั ท้องถ่ินแล้ว 3 แห่ง ได้แก่
อุทยานธรณีไม้กลายเปน็ หนิ ตาก (จังหวัดตาก) อุทยานธรณขี อนแกน่
(จังหวัดขอนแกน่ ) และอุทยานธรณเี พชรบูรณ์ (จังหวัดเพชรบูรณ์) ท้งั นี้
อุทยานธรณีสตูลได้รบั การรบั รองและแตง่ ตงั้ ให้เปน็ อุทยานธรณีโลกยูเนสโกแลว้
เมอ่ื 16 เมษายน 2561
- 65 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
อทุ ยานธรณโี คราช (Khorat Geopark) หมายถึง “พืน้ ท่ลี ุ่มน�ำ้ ลำ�ตะคองในเขต
อำ�เภอสคี ว้ิ สูงเนนิ ขามทะเลสอ เมอื งนครราชสีมา และ เฉลมิ พระเกยี รติ จังหวดั นครราชสมี า
ทมี่ ภี ูมิประเทศเขาเควสตา (เขาอโี ต)้ และซากดกึ ดำ�บรรพ์ 3 ยุค ซ่ึงเป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพาะ
เชื่อมโยงกบั ระบบนิเวศปา่ เต็งรงั ปา่ ดิบแล้ง และวิถีชวี ติ ผูค้ นทมี่ ีมากวา่ 4,000 ปี
ความโดดเด่นด้านธรณีวิทยาของอุทยานธรณีโคราชประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
ลักษณะภูมิสัณฐานแบบเควสตา และ ความหลากหลายของซากดึกดำ�บรรพ์
ไดโนเสาร์ ชา้ งโบราณและไมก้ ลายเปน็ หิน
เควสตาโคราช (Khorat Cuesta) เปน็ ชอ่ื เรยี กเทือกเขาทีม่ ีลกั ษณะคลา้ ย
รูปมีดอีโต้ที่โผล่เป็นขอบที่ราบสูงโคราช บริเวณอำ�เภอสีคิ้วและอำ�เภอ
สูงเนิน มลี กั ษณะเป็นสองแนวคู่ขนาน เกิดจากการกร่อนของหินในกล่มุ
หินโคราช
ซากดึกดำ�บรรพ์ที่พบในอุทยานธรณีโคราชประกอบด้วย ไดโนเสาร์
พบในหนิ อายรุ าว 100 ลา้ นปี ชา้ งโบราณ พบในตะกอนทรายอายรุ าว
16 ล้านปีก่อน และไม้กลายเป็นหินที่พบในตะกอนทางน้ำ�โบราณอายุ
น้อยกวา่ 2 ลา้ นปี และมีชนิดทพี่ บเป็นครง้ั แรกในโลกหลายชนดิ
“อทุ ยานธรณโี คราช คือ พืน้ ท่ี 5
อ�ำ เภอของจังหวดั นครราชสีมาท่ีมีมรดก
ธรณแี ละมีการบริหารจดั การ
เพ่อื พัฒนาอยา่ งเป็นระบบ
โดยความรว่ มมอื ของชุมชน”
- 76 -
CATALOG TITLE
กลุม่ หนิ โคราช
กลุม่ หินโคราช (Kho rat G roup) คอื หินตะกอน หมวดหนิ เสาขวั ประกอบดว้ ยหินดนิ ดานและหนิ ทรายแป้งสีน้ำ�ตาล
ที่ทับถมในมหายุคมีโซโซอิก (Mesozoic Era) หรือประมาณ แดง แทรกสลบั ดว้ ยหนิ ทรายสนี �ำ้ ตาลแดง เนอ้ื ตะกอนขนาดละเอยี ด
65-220 ล้านปีก่อน กระจายตัวปกคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของ ความหนาของหมวดหนิ แปรผนั ระหวา่ ง 200-760 เมตร
ทร่ี าบสงู โคราช (Khorat Palteau) และบางบรเิ วณในภาคเหนอื และภาค
ใตข้ องประเทศไทย ทง้ั น้ี เมอ่ื ราว 100 ปกี อ่ น นกั ธรณวี ทิ ยาเดนิ ทาง หมวดหินภูพาน ประกอบด้วย หินทรายและหินกรวดมน
มาท�ำ การส�ำ รวจบนทร่ี าบสงู โคราช และตง้ั ชอ่ื วา่ กลมุ่ หนิ โคราช ตามชอ่ื ความหนาของหมวดหินแปรผันระหว่าง 80-140 เมตร
พน้ื ทท่ี ศ่ี กึ ษาและมหี นิ โผลอ่ ยา่ งชดั เจน
หมวดหนิ โคกกรวด ประกอบดว้ ย หนิ ทรายแปง้ และหนิ ดนิ ดานสแี ดง
กลมุ่ หนิ โคราชประกอบดว้ ยหนิ ตะกอนหลายชนดิ อาทิ หนิ กรวดมน แทรกสลับด้วยหินทรายสีน้ำ�ตาลแดง ความหนาของหมวดหิน
หินทราย หินทรายแป้งและหินโคลน มีหลักฐานของการทับถม แปรผนั ระหวา่ ง 430-700 เมตร
บนแผ่นดิน ทั้งน้ี กรมทรัพยากรธรณี (พ.ศ.2550) กำ�หนดใหก้ ลมุ่
หินโคราชประกอบด้วย 9 หมวดหิน เรียงลำ�ดับจากอายุแก่ หมวดหนิ มหาสารคาม ประกอบดว้ ย หนิ ดนิ ดาน และชน้ั เกลอื หนิ
ไปอายุอ่อน ดังน้ี ความหนาของหมวดหนิ แปรผนั ระหวา่ ง 610-1,000 เมตร
หมวดหินห้วยหินลาด ประกอบด้วย หินกรวดมนเนื้อปูน หมวดหินภูทอก ประกอบด้วยหินทรายเนื้อตะกอนขนาดละเอียด
หินกรวดมน หินทราย หินโคลนและหินตะกอนภูเขาไฟ หินทรายแปง้ และหนิ ดนิ ดานสนี ้ำ�ตาลแดงสด ความหนาแปรผัน
ความหนาของหมวดหินแปรผันระหว่าง 100-400 เมตร ระหวา่ ง 200-730 เมตร
หมวดหนิ นำ�้ พอง ประกอบดว้ ย หินทรายหนิ ดนิ ดานและหนิ กรวดมน “กลุ่มหนิ โคราชคือหินและ
ความหนาของหมวดหิน แปรผันระหว่าง 100-1,500 เมตร พื้นแผน่ ดนิ ของภาคอสี าน
(หมวดหินน้ำ�พองโผล่เฉพาะทางตอนเหนือของที่ราบสูงโคราช) รวมถงึ จังหวดั นครราชสีมา”
หมวดหินภูกระดึง ประกอบด้วย หินดินดานและหินทราย
แป้งสีนำ�้ ตาลแดง แทรกสลับกบั หนิ ทรายสเี ขยี ว เนื้อตะกอนขนาด
ปานกลาง ความหนาของหมวดหนิ แปรผนั ระหวา่ ง 800-1,200 เมตร
หมวดหนิ พระวหิ าร ประกอบด้วย หนิ ทรายสขี าวเนือ้ ตะกอนขนาด
ปานกลางถึงหยาบ แทรกสลับกับหินดินดานความหนาของหมวด
หินแปรผนั ระหว่าง 100-250 เมตร
- 87 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
ภาพแสดงการกระจาย
ตัวของกลมุ่ หินโคราช
- 98 -
CATALOG TITLE
พื้นที่อุทยานธรณีโคราช ครอบคลุมอำ�เภอสีคิ้ว-สูงเนิน เมือง-ขามทะเลสอ-
เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา รองรับด้วยหินตะกอนของมหายุค
มโี ซโซอิก (Mesozoic Era) เป็นสว่ นหนึง่ ของกลมุ่ หินโคราช (Khorat Group)
หินส่วนใหญ่เป็นหินทรายหินทรายแป้งหินกรวดมน หินโคลนและชั้นเกลือหิน
มีอายุประมาณ 140-65 ล้านปีก่อน และด้านบนถูกปิดทับด้วยตะกอน
ทางน้ำ�ที่ยังไม่แข็งตัว
การล�ำ ดบั ชน้ั หนิ ในพน้ื ทอ่ี ทุ ยานธรณโี คราช ประกอบดว้ ย 7 หมวดหนิ เรยี ง
ล�ำ ดบั จากดา้ นลา่ งขน้ึ มาดา้ นบน คอื หมวดหนิ พระวหิ าร หมวดหนิ เสาขวั
หมวดหนิ ภพู าน หมวดหนิ โคกกรวด หมวดหนิ มหาสารคาม ตะกอนพกั
น�ำ้ และตะกอนทางน�ำ้ ยคุ ปจั จบุ นั
- 190 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
หนิ ในพื้นทอ่ี ุทยานธรณโี คราช
หินทพ่ี บในอทุ ยานธรณโี คราชเกิดในชว่ งเวลาที่แตกต่างกนั ซงึ่ ท้งั หมดเป็นผลมาจากการกรอ่ นพดั พาและการทับถม
โดยธารน้�ำ โบราณ หมวดหนิ พระวหิ าร (อายปุ ระมาณ 140 ล้านปีกอ่ น) และหมวดหนิ ภูพาน (อายปุ ระมาณ 120
ลา้ นปีกอ่ น) เกิดจากธารน�ำ้ แบบแม่น�ำ้ ประสานสาย มีกระแสเร็วแรง พดั พาเอาตะกอน ทรายขนาดหยาบ
ถงึ ขนาดละเอียดมาทับถม และมกั มีเม็ดกรวดปน หินที่เกิดขึ้นจงึ มกั เปน็ หนิ ทรายและหินทราย
ปนกรวด มคี วามคงทนสงู ผกุ รอ่ นชา้ เหลือเปน็ ภเู ขาเขาเควสตา
ส่วนหมวดหนิ เสาขัว (อายุประมาณ 130 ล้านปีกอ่ น) และโคกกรวด
(อายปุ ระมาณ 110 ล้านปกี ่อน) เกิดจากธารน้ำ�แบบแม่น�้ำ โคง้ ตวัด
มรี ่องน�ำ้ ใหญ่ น�ำ้ ไหลและเซาะกรอ่ นไปทางดา้ นข้าง ทำ�ใหต้ ะกอน
ทรายเม็ดละเอยี ดทีพ่ ัดพามาตกจมทบั ถมบริเวณสันดอนทราย
เม่ือเกิดนำ�้ ทว่ มจะมีทรายและโคลนทะลกั ออกจากรอ่ งน�้ำ
มาทับถมบรเิ วณท่รี าบสองฝั่งแม่นำ้�
เกลือหินของหมวดหินมหาสารคามเกดิ ขน้ึ ภายหลังการทับถม
หมวดหนิ โคกกรวด เม่ือสภาพอากาศเปล่ยี นเปน็ แหง้ แล้งมาก และ
นำ�้ ท่ีขังอยูใ่ นทะเลสาประเหยออกไปจนน้�ำ ทเ่ี หลอื ตกผลกึ ใหเ้ กลือหนิ
เม่ือราว 100-90 ล้านปีก่อน
ตะกอนตะพกั น�้ำ หมายถึง ตะกอนกรวด ทราย
ทเ่ี คยเปน็ ทางน�้ำ ผวิ ดินมากอ่ น แต่ต่อมาน�ำ้ เปลย่ี นเสน้ ทางการไหล
หรือเกิดจากการยกตวั จึงทง้ิ ช้นั ตะกอนไวบ้ นพ้ืนที่ ท่ีสงู กว่าทางน�้ำ ปจั จุบัน
“อทุ ยานธรณีโคราช รองรับดว้ ย 7 หมวดหิน จากแก่ไปอ่อน
พระวิหาร-เสาขัว-ภพู าน-โคกกรวด-มหาสารคาม-กรวดทรายตะพกั น้ำ�-
กรวดทรายทางนำ้�ปัจจบุ นั ”
- 101 -
CATALOG TITLE
เควสตาโคราช
เควสตา (cuesta) หมายถงึ เขาท่ีมลี ักษณะคลา้ ยมดี อโี ตข้ องไทย จงึ ท�ำ ใหเ้ กดิ สณั ฐานแบบสนั เขาและรอ่ งทร่ี าบสลบั กนั เควสตา
ดา้ นหน้าชันแล้วลาดลงดา้ นหลัง โดยปกติแลว้ ด้านลาดมกั จะมีระ เกดิ ในพนื้ ท่ีที่รองรับดว้ ยหนิ ตะกอน ซง่ึ มกี ารวางตัวของชน้ั หนิ
นาบลาดใกลเ้ คยี งกบั มมุ เทของชน้ั หนิ ดา้ นชนั กวา่ อยดู่ า้ นหนา้ เรยี กวา่ สลบั กนั เปน็ ชน้ั หนาบา้ ง ชน้ั บางบา้ ง และหนิ แตล่ ะชน้ั มคี วาม
ผาตง้ั (escarpment หรอื front slope) ซง่ึ ตดั เขา้ ไปในชน้ั หนิ แขง็ คงทนตอ่ การผพุ งั ตา่ งกนั หนิ ทค่ี งทนมากกวา่ จะคงเหลอื มาก ใน
สว่ นดา้ นลาดมคี วามชนั นอ้ ยกวา่ เรยี กวา่ ความลาดตามแนวเท (dip ขณะทห่ี นิ ทค่ี งทนนอ้ ยกวา่ เมอ่ื ผพุ งั จะถกู น�ำ้ หรอื ลมพดั พาออกไป
slope) ในรปู ของเศษตะกอน
ผาตั้ง เปน็ หนา้ ผาทม่ี คี วามชันมาก แสดงขอบเขตของชน้ั หนิ
ทม่ี คี วามคงทนสงู ทง้ั น้ี ความสงู ของหนา้ ผาและการกระจายตวั
ไปทางดา้ นขา้ ง เป็นผลมาจากความหนาและความตอ่ เนือ่ งของ
ชัน้ หนิ สว่ น ความลาดตามแนวเท เป็นลาดเขาทเ่ี อยี งเทลง
สู่พืน้ ผวิ ดนิ และตัดชัน้ หนิ ทแ่ี ข็งน้อยกวา่ ซงึ่ อยู่ท่รี ะดบั ตำ่�กวา่
- 112 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
เควสตาโคราชเกดิ ได้อยา่ งไร พนื้ ทีด่ า้ นตะวนั ตกของจงั หวัดนครราชสมี า รวมถงึ ขอบเขตดา้ นตะวนั ตก
ทรี่ าบสูงโคราช (Khorat Plateau) เกดิ จากกระบวนการแปรสณั ฐาน ของอุทยานธรณีโคราช ที่มีเควสตาโคราชปรากฏ รองรับด้วยหินแข็ง
ชว่ งปลายยคุ ครเี ทเซยี ส ต่อเน่ืองไปยังมหายคุ ซีโนโซอกิ (ราว 100-30 ของหมวดหนิ พระวิหาร หมวดหนิ เสาขัว หมวดหนิ ภูพานและหมวดหนิ
ลา้ นปีก่อน) โคกกรวดของกล่มุ หินโคราช
ซึ่งมีการชนกันของแผ่นเปลือกโลกอินเดียและยูเรเชีย แรงบีบอัด หมวดหนิ ดงั กลา่ ว ประกอบดว้ ยหนิ ทราย หนิ ทรายปนกรวด หินทรายแป้ง
มหาศาลทำ�ให้เกิดแนวเทือกเขา (orogenic belts) ในภาคเหนือ หินโคลน โดยหมวดหินพระวิหารและหมวดหินภูพาน มีหินทรายและ
ภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศ หินทรายปนกรวดเปน็ หลัก ในขณะทห่ี มวดหนิ เสาขวั และหมวดหินโคก
ส่วนแผ่นดินของภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งรองรับด้วยหินฐานท่ีแข็ง กรวดมีหินทรายแป้งและหินโคลนเป็นหลัก ทำ�ให้การผุพังโดยรวมของ
แรงและหินตะกอนหนามาก ไดร้ บั แรงและทำ�ให้เกิดรอยคดโค้ง (fold) หินในแตล่ ะหมวดหินแตกต่างกนั
ในกลมุ่ หินโคราช พรอ้ มทง้ั ถกู ยกตวั สงู ขน้ึ เกดิ ทวิ เขาทางดา้ นทศิ ตะวนั ตก ส่งผลให้พื้นที่ที่รองรับด้วยหมวดหินพระวิหารและหมวดหินภูพาน
คอื ทิวเขาเพชรบูรณ์และทวิ เขาดงพญาเย็น และทศิ ใต้ คือ ทิวเขาสัน เป็นภูเขาสงู ในขณะที่พ้ืนทท่ี ีร่ องรบั ด้วยหมวดหินเสาขัวและหมวดหิน
ก�ำ แพงและทิวเขาพนมดงรกั โคกกรวดเป็นที่ราบ โดยแนวของภูเขาทั้งสองแนวทำ�ให้เกิดลักษณะที่
เรียกว่าเควสตาคู่ (double cuesta)
- 123 -
CATALOG TITLE
ทราย
ทราย (sand )
หมายถึง ตะกอนที่เป็น
เศษหินเศษแร่มีขนาด
เล็กกว่ากรวดแต่ใหญ่
กว่าทรายแป้งมีเส้นผ่า
ศูนย์กลางของเม็ดทราย
ตงั้ แต่ 0.06 -2.00 มลิ ลเิ มตร
ท ร า ย มี ค ว า ม ห ม า ย ก ว้ า ง
ครอบคลุมไปถึงเศษหินและ
แร่ต่าง ๆ ที่เป็นเม็ดร่วน ไม่เกาะ
กันแน่น สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า
ทางวิชาการมักหมายถึงเฉพาะแร่
ควอตซ์ แต่ทรายอาจเป็นแร่อื่นก็ได้ อาทิ
แร่เฟลด์สปาร์ แร่ไมกา แร่แมกนีไทต์ แร่แคลไซต์
หรืออาจเป็นเศษหินต่าง ๆ เช่น หินเชิร์ต หินบะซอลต์
หินไนส์ รวมถึงเศษชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต เช่น เปลือกหอย
ทรายเกดิ จาก การกรอ่ นของหนิ และแรท่ โ่ี ผลบ่ นพน้ื ผวิ โลก โดยถกู พดั พาไปกบั ลม ธารน�ำ้ ธารน�ำ้ แขง็ และคลน่ื ในทะเล จงึ สามารถ
พบทรายได้ในทกุ สภาพแวดล้อมเช่น ในลำ�น�ำ้ ลำ�ตะคองและแม่น้ำ�มลู ในปจั จุบนั ก็มที ราย
- 1134 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
ในธรรมชาติเม่ือหนิ ผพุ ัง หลดุ แตกหรือถลม่ จากภูเขา จะมขี นาดต้ังแต่เลก็ ไปถงึ ใหญ่มาก จ�ำ แนกตามขนาดเส้นผา่ ศนู ยก์ ลางของ
เมด็ ตะกอน ดงั น้ี
หินกอ้ นใหญ่ (boulder) มเี สน้ ผ่าศูนย์กลางมากกว่า 256 มลิ ลิเมตร
กรวด (gravel) มเี ส้นผ่าศูนยก์ ลาง 2.0 -2 56 มิลลเิ มตร
ทราย (sand) มีเส้นผา่ ศูนย์กลาง 0.06 -2.0 มลิ ลเิ มตร
ทรายแปง้ (silt) มีเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 0.004 - 0.06 มิลลเิ มตร
เคลย์ (clay) เม่ือเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 0.004 มิลลิเมตร
กรวดท่พี ดั มากบั แม่นำ้�
มลี ักษณะกลมมน ไมเ่ ป็นเหล่ยี ม
มุม อาจเปน็ ทรงกลมหรือแบน
เนื่องจากระหว่างการพัดพา เมด็
กรวดจะโดนขดั สีกบั พืน้ ท้องน้ำ�
กรวด
- 1145 -
CATALOG TITLE
หินทราย
หินทราย (sandstone) คือหินตะกอนที่ประกอบด้วยเม็ด
ตะกอนขนาดทราย หรือมีขนาดเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางระหว่าง
0.006 - 2 มลิ ลิเมตร ซึ่งถูกทับถม อดั แน่น อาจมีการเช่อื ม
ประสานโดยสารเชื่อมประสาน ทำ�ให้แข็งตัวกลายเป็นหิน
ทั้งนสี้ ีของหนิ ทรายเกดิ จากแรป่ ระกอบหิน และเน้อื หินทราย
ขึ้นอยู่กับขนาดของเม็ดทราย หินทรายที่พบในพื้นที่อุทยาน
ธรณีโคราชจงึ มีทั้งเนือ้ ละเอียดจนถงึ เน้อื หยาบ และมหี ลากสี
อาทิ สขี าว สเี หลือง สชี มพู สีเทา และสเี ทาแกมเขียว
ตำ�แหน่งที4่ หินทรายเนื้อละเอียด สีสดสีขาว สีผุ สีขาว
แกมเหลือง จากหมวดหินพระวิหาร บ้านคลองไผ่
ตำ�บลคลองไผ่ อำ�เภอสีคิ้ว
“หินทรายหมวดหนิ พระวหิ าร
เนอ้ื ละเอียด สสี วย
ใช้เปน็ หนิ แกะสลกั สนิ คา้ มชี ื่อเสยี ง
ของบ้านลาดบวั ขาว”
ต�ำ แหน่งที่ 5หนิ ทรายเน้ือละเอียด สสี ดสีชมพู สีผสุ นี ้�ำ ตาล
แกมแดง จากหมวดหินพระวิหาร บริเวณบ้านคลองไผ่
ตำ�บลคลองไผ่ อำ�เภอสีคิ้ว
- 156 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
ต�ำ แหนง่ ท่ี 11
สหีสิ นดทสรี สา้ มย แเ นก้ื อมหแยดางบ แส ีลผะุ สหี นิ น้ ำ �ทตราาลยแปกนมกแรดวงด
จากหมวดหินภูพาน บ้านปลายดาบ ตำ�บล
สุขเกษม อำ�เภอปักธงชัย
ตพััวดอพยาโ่าดงยหธินารแนส้ำ�ดงชัน้ เฉียงระดบั ทเ่ี กดิ จากการ
ตำ�แหน่งที่ 13
หินทรายเน้ือหยาบและหนิ ทรายปนกรวด สสี ดสสสี ม้ แกมแดง สผี ุ สนี ้�ำ ตาล
แกมแดง จากหมวดหินภูพาน บ้านปลายดาบ ตำ�บลสุขเกษม อำ�เภอ
ปักธงชัย
เตปวั ็นอผยล่ามงาหจานิ กกมาีรรว้ิผขพุ อังงเชสิงีแเดคงมี ส(cีนh�้ำ eตmาiลcแalละwสeีเaหthลeอื riงnสgล) บั กนั ซึ่งสที ีป่ รากฏ
- 167 -
CATALOG TITLE
ต�ำ แหนง่ ท่ี 1
หินกรวดมน
เนื้อปนปูนสีสด
สีน้ำ�ตาลแกมแดง
สีผุสีน้ำ�ตาลแกม
เหลืองจากหมวด
หินโคกกรวดบ้าน
สะพานหินตำ�บลสุรนารี
อำ�เภอเมืองนครราชสีมา
ตัวอย่าง หินถูกจับวางตั้งขึ้น
ทำ�ให้เห็นชั้นหินหนาปานกลาง
บางชั้นยังมองเห็นชั้นเฉียงระดับ
เม็ดกรวดส่วนใหญ่เป็นหินโคลนสี
น้ำ�ตาลแกมแดง มีหลายขนาดและอาจ
พบซากดกึ ด�ำ บรรพ์ อาทิ เกลด็ ปลา ฟนั จระเข้
กระดูกไดโนเสาร์
- 1178 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
หนิ กรวดมน
หนิ กรวดมน (co ng lo me rate ) เป็นหินตะกอนที่มีขนาดเม็ดตะกอนขนาดใหญ่กว่าทราย คือ เส้นผ่าศูนย์กลาง
มากกว่า 2 มิลลิเมตร หินกรวดมนมักเกิดร่วมกับหินทรายโดยตะกอนถูกกระแสน้ำ�ที่มีพลังงานสูงพัดพามา
เมื่อพลังงานลดลงจนไม่สามารถนำ�เม็ดกรวดให้เคลื่อนที่ต่อไปได้ กรวดจึงมักตกทับถมบริเวณท้องน้ำ�ในร่องน้ำ�
สันดอนทรายกลางน้ำ�
เม็ดกรวด (gravel)เกิดจากหินที่มีอยู่ก่อนหน้าผุพังและถูกกร่อนทำ�ลาย แล้วถูกธารน้ำ�พัดพามาตามทางน้ำ� โดย
เม็ดกรวดที่ถูกขัดสีจนมีรูปร่างกลมมน ไม่เป็นเหลี่ยมมุม ความกลมมนบ่งชี้ว่าตะกอนนั้นถูกพัดพามา
ไกล และถูกขัดสีเป็นเวลานาน ในทางกลับกันหากเม็ดกรวดยังมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมมุม แสดงว่าถูกพัดพามาไม่ไกล
หรือถูกขัดสีมาไม่นาน
เม็ดกรวดอาจเป็นแร่หรือเป็นเศษหินก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของหินที่มีอยู่เดิม แร่ที่ผุเร็วจะผุพังไประหว่างการพัดพา
ส่วนแร่ที่คงทนจะผุได้ยากกว่า ทั้งนี้ แร่ควอตซ์ซึ่งมีความคงทนสูง มักเป็น อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ
หลักของหินทรายที่ผ่านการพัดพามาไกล หรืออาจพบ เม็ดกรวดที่เป็น แร่ควอตซ์
หลงเหลืออยู่ แม้ว่าต้นกำ�เนิดจะอยู่ไกลจากบริเวณที่พบก็ตาม
นอกจากนี้อาจพบซากดึกดำ�บรรพ์ขนาดใหญ่ที่โดนน้ำ�
พัดพามาในร่องน้ำ� เมื่อตกจมจะทับถมอยู่กับ
เม็ดกรวดและกลายเป็นหินกรวดมน
- 1189 -
CATALOG TITLE
หนิ โผลข่ องหมวดหนิ โคกกรวดในพน้ื ทจ่ี งั หวดั นครราชสมี า เปน็ 2. ราชสมี าซอรสั สรุ นารเี อ (Ratchasimasaurus suranareae)
แหล่งที่มีการคน้ พบซากดกึ ดำ�บรรพไ์ ดโนเสาร์ 4 ชนดิ ไดแ้ ก่ เปน็ ไดโนเสารก์ นิ พชื ในกลมุ่ ทม่ี สี ะโพกแบบนก (ออร์นิโธพอด)
1. สริ นิ ธรนา่ โคราชเอนซสิ (Sirindhorna khoratensis) เปน็ เปน็ ไดโนเสารเ์ คลดอกี วั โนดอนเทยี (Iguanodontia) พบกรามลา่ ง
ไดโนเสารก์ นิ พชื ทม่ี กี ระดกู สะโพกแบบนก (ออรน์ โิ ธพอด) จดั เปน็ ซา้ ยและรอ่ งฟนั โคง้ ตามรปู ฟนั มโี ครงขากรรไกรชไ้ี ปดา้ นหลงั
ไดโนเสาร์เคลดอีกัวโนดอนเทีย ( Iuanodontia) ที่มีลักษณะ ขาหนา้ ส้ันกวา่ ขาหลงั มกั เดนิ สองเทา้ หรอื เดนิ สเ่ีท้าเป็นครง้ั คราว
ของไดโนเสารป์ ากเปด็ ยุคแรกๆ พบในหินอายุ 115ล้านปีก่อน นว้ิ มอื และเทา้ มี 5 นว้ิ สามารถงมุ้ งอนว้ิ เพอ่ื จบั กง่ิ ไมไ้ ดแ้ ละ
ในสภาพภมู ปิ ระเทศแบบทร่ี าบลมุ่ ภมู อิ ากาศคอ่ นขา้ งแหง้ แลง้ มนี ว้ิ โป้งขนาดใหญส่ ันนิษฐานว่าอาจจะมีไว้เพ่ือป้องกันตวั
คลา้ ยกง่ึ ทะเลทราย คน้ พบทบ่ี า้ นสะพานหนิ ต.สรุ นารี อ.เมอื ง ปลายปากคล้ายเป็ดกินพืชพวกเฟิร์นและหญ้าหางม้าเป็น
อาหาร พบในชน้ั หนิ กรวดมนปนปนู หมวดหินโคกกรวดซึง่ อยู่
นครราชสีมา จ.นครราชสีมา โดยพบกระดูกขากรรไกร ในสมัยแอปเทียน (Aptian) ยุคครีเทเชียสตอนต้น หรืออายุ
ล่างซ้าย กระดูกขากรรไกรบนซ้าย และกระดูกโหนกแก้มขวา ประมาณ 100 ลา้ นปกี อ่ น คน้ พบท่ีบรเิ วณสระน�ำ้ หมบู่ า้ นโปง่
แมลงวนั ต�ำ บลโคกกรวด อำ�เภอเมือง จังหวดั นครราชสมี า
- 2190 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
ไดโนเสารโ์ คราช
3 . สยามโมดอน นิ่มงามมิ (Siamodon nimngami)
เป็นไดโนเสาร์กินพืช จัดอยู่ในกลุ่มที่มีสะโพกแบบนก
(ออร์นิโธพอด) เป็นไดโนเสาร์เคลดอีกัวโนดอนเทีย
( Iguanodo nt ia ) พบชิ้นส่วนกระดูกขากรรไกร
บนด้านซ้าย ฟันจากขากรรไกรบนเดี่ยว 1 ซี่
และกระดูกส่วนสมองด้านท้ายทอยใน
หินกรวดมนปนปูน หมวดหินโคกกรวด
ยุคครีเทเชียสตอนต้น มีอายุประมาณ
12 5-113 ล้านปีก่อน ที่แหล่งขุดค้น
บา้ นสะพานหนิ ต�ำ บลสรุ นารี อ�ำ เภอเมอื ง
นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา
S4u. wสaยtาiม) แซราปกเดตึกอดรำ�์ สบุวรจัรนพ์ต์ไดิ (โSนiaเสmาrรap์ tor
กนิ เนอ้ื เปน็ ไดโนเสารเ์ คลดคารค์ าโรดอน
โทซอรสั (Carcharodontosaurus)
ซง่ึ เปน็ ไดโนเสารก์ นิ เนอ้ื ขนาดใหญท่ อ่ี าศยั
อยบู่ นโลกชว่ งปลายยคุ จรู าสสกิ ตอ่ เนอ่ื ง
ไปจนถึงตอนต้นของยุคครีเทเชียส
คน้ พบทแ่ี หลง่ ขดุ คน้ ในจงั หวดั นครราชสมี า
ในชั้นหินหมวดหินโคกกรวด บริเวณบ้าน
สะพานหนิ ต�ำ บลสรุ นารี อ�ำ เภอเมอื ง
นครราชสมี า ระหวา่ งปี 2551- 2556
- 210 -
CATALOG TITLE
หินทรายแปง้
หนิ ทรายแปง้ (silt stone ) เปน็ ค�ำ ศพั ทท์ างธรณวี ทิ ยาหมายถงึ
หินตะกอน ทีเ่ ปรียบเทยี บขนาดของอนภุ าคทีม่ คี วามละเอียด
มากกวา่ หนิ ทราย (sand ) แตม่ คี วามหยาบกวา่ หนิ โคลน
(mudstone )
หินทรายแป้ง เป็นหินตะกอนเนื้อเศษหิน
ท่ปี ระกอบด้วยตะกอนท่มี ีขนาดเส้นผ่าศูน
ยก์ ลาง 0.004 - 0.06 มิลลิเมตร
การแยกหินทรายแป้งออกจากหิน
ทรายให้สังเกตจากเน้ือที่ละเอียดกว่า
ไม่สามารถสังเกตเห็นเม็ดตะกอนเป็น
เมด็ ๆ ได้ แต่เม่ือใชน้ วิ้ บ้ี จะรู้สึกสาก
ส่วนการแยกหินทรายแป้งออกจาก
หินโคลน ทำ�ไดโ้ ดยใช้น้วิ บี้ หินทราย
แป้งจะสากส่วนหินโคลนจะมีเนื้อ
เนยี น หรืออาจน�ำ หนิ ไปถูกกบั ผิวฟนั
หนิ ทรายแปง้ จะรสู้ กึ ไดว้ า่ มเี มด็ ตะกอน
เลก็ ๆ อยู่
ตำ�แหน่งที่ 14
หนิ ทรายและหนิ ทรายแปง้ สสี ดสขี าว สผี ุ สขี าว
แกมเหลือง จากหมวดหินเสาขัวบ้านลาดบัวขาว
ต�ำ บลลาดบวั ขาว อ�ำ เภอสคี ว้ิ ตวั อยา่ งเปน็ แทง่ หนิ จากการ
เจาะสร้างฐานรากทางหลวงหมายเลข 6 แสดงรอยร้ิวคลน่ื
บริเวณผิวหนา้ ด้านบนของช้ันหนิ
- 212 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
หินชนวน
หนิ ชนวน (slate ) หรอื หนิ กาบ เปน็ หินแปร
ระดบั ต่�ำ ทเ่ี กดิ จากการแปรสภาพของหนิ ตะกอนเน้ือ
เมด็ ทม่ี เี น้อื ละเอยี ด (หนิ ทรายแปง้ หนิ โคลน หนิ เคลย)์
ดว้ ยแรงบบี อดั ท�ำ ใหห้ นิ เปลย่ี นรปู มกี ารตกผลกึ ใหม่
ของแรไ่ มกาและเกดิ รอยแยกเปน็ แผน่ ๆ ขน้ึ ในมวลหนิ
ต�ำ แหนง่ ท่ี 3 , 6 , 9 , 12
หินชนวน สีสดสีเทาดำ�-สีเทา สีผุสีเทาแกมน้ำ�ตาล
จากหมวดหินปางอโศก ของกล่มุ หนิ สระบรุ ี ต�ำ บลปากชอ่ ง
อำ�เภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นแหล่ง
ผลติ หนิ กาบและหนิ ประดบั
ตวั อยา่ ง เปน็ แผน่ หนิ เนอ้ื แนน่ มคี วามมนั วาวสามารถ
ทุบใหแ้ ตกเป็นแผ่นได้
- 223 -
CATALOG TITLE
ขมเฉะอียกงองหหรกมนิ ะงวโาดผดมับลหโ่ใิอนดน�ำยภชเธภูพั้นรอารหปนมินกั ชธทางตรชิบายั รยิเปวแนณสกดวรงดั ชวป้นัด่า
ตำ�แหนง่ ที่ 11
หินทรายเนื้อหยาบและหินทรายปน
กรวดสีสดสีส้มแกมแดงสีผุสีน้ำ�ตาล
แกมแดง จากหมวดหนิ ภพู าน บา้ นปลาย
ดาบ ต�ำ บลสุขเกษม อ�ำ เภอปักธงชยั
เตกวั ิดอจยากา่ กงารหพนิดั แพแาโสดดยงธชาั้นรนเฉำ�้ ยี งระดับที่
- 243 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
ชั้นเฉียงระดบั
การวางชั้นเฉยี งระดบั (crossbedding) หนิ ทรายของ
หมายถึง การวางตวั ของชน้ั หินโดยเอียงเทเป็น ก ลุ่ ม หิ น โ ค ร า ช
มุมกับแนวระดับชั้นหินปกติ ทั้งนี้เนื่องจากการ โดยเฉพาะหิน
เปลย่ี นทศิ ทางของกระแสน�ำ้ หรอื ลม อนั มผี ลตอ่ การตก ทรายช้ันหนาของ
จมของตะกอนดนิ ทราย ท�ำ ใหไ้ มอ่ าจตกจมแบบปกตไิ ด้ หมวดหินพระวิหาร
ต้องเอยี งเทไปในแนวทางตามกระแสน้ำ�หรอื ลม และหมวดหินภูพาน
จงึ มกั พบชน้ั หนิ ยอ่ ย ๆ มแี นวขวางหรอื ท�ำ มมุ กบั ชน้ั ซึ่งเป็นสันของภูเขาอีโต้
หินปกติ และแต่ละชั้นบางก็เฉียงไม่เท่ากัน หรือเควสตาโคราชมักแสดง
มองเห็นสลับกันไปสลับมา โครงสรา้ งชน้ั เฉียงระดับ เนือ่ งจากเป็น
ตะกอนทท่ี บั ถมโดยธารน้�ำ ในช่วงมหายคุ
การวางชน้ั เฉยี งระดบั เปน็ โครงสรา้ งทเ่ี กดิ ขน้ึ พรอ้ ม มโี ซโซอกิ (Mesozoic Era ) ชน้ั เฉยี ง
การเกิดของหินตะกอนเนื้อเม็ด (primar y ระดบั มกั ปรากฎบนผวิ หรอื ผนงั ของชน้ั
structure) ซึ่งตะกอนมีขนาดเม็ดทรายขึ้นไป หนิ ทราย แมจ้ ะมคี วามหมองบน
มีลักษณะเป็นชั้นบาง ๆ วางตัวทำ�มุมเอียงเมื่อ ผนงั หนิ หรอื มคี ราบของ
เทยี บกับชั้นหนิ ปกติ ( bed ) ชั้นเฉยี งระดบั เกิด สง่ิ มชี วี ติ ปกคลมุ แตช่ น้ั
ขึ้นจากการพอกของตะกอนไปทางด้านหน้า จึง เฉยี งระดบั มลี วดลายท่ี
เป็นหลักฐานบ่งชี้ทิศทางของตัวการท่ีนำ�ตะกอน สวยงาม ชว่ ยใหห้ นิ
มาทับถม ซึ่งอาจเป็นได้ท้ังน�ำ้ และลม โดยทั่วไป ทรายเหลา่ น้นั นา่
ชัน้ เฉียงระดบั ทีเ่ กดิ จากลมจะมีขนาดใหญ่กว่าที่ สนใจU t b l a n d i t
เกดิ จากนำ้� p u r u s v el nunc
accumsan conse.
- 254 -
CATALOG TITLE
รอยรวิ้ คลน่ื
ตำ�แหน่งที่ 18 , 19 หินทรายและหินทรายแป้ง สีสดสีขาว ขาวแกมเทา สีผุสีน้ำ�ตาลแกมเทา จากหมวดหินเสาขัว
บ้านลาดบัวชาว ตำ�บลลาดบัวขาว อำ�เภอสีคิ้ว
ตัวอย่างหินเป็นแท่งตัวอย่างจากการเจาะทำ�ฐานรากทางหลวงหมายเลข 6 โดยถูกจับวางตั้งขึ้น ทำ�ให้เห็นผิว
หน้าของชั้นหิน ทั้งด้านบนและด้านล่าง รอยริ้วคลื่น เป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นพร้อมกับการทับถมของ
หินตะกอน โดยเกิดที่บริเวณผิวด้านบน เมื่อตะกอนตกจมบริเวณริมตลิง่ หรือบริเวณสันดอนทราย และมีน้ำ�ตื้นๆ
เคลื่อนที่ผ่าน คลื่นน้ำ�ทำ�ให้เกิดการทับถมของตะกอนพอกเป็นสันขนาดเล็ก จากนั้นจึงถูกปิดทับด้วยตะกอน
ที่มาทีหลัง
- 265 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
รอยริ้วคลื่น (ripple mark) หมายถึง ริ้วคลื่นที่ปรากฏเป็นรอย
บนพื้นทรายหรือโคลน เกิดเนื่องจากการกระทำ�ของคลื่นลมหรือ
กระแสน้ำ� พบได้ทั้งบนบกและที่พื้นท้องน้ำ� รอยริ้วคลื่นพบได้
ในหินตะกอน เช่น หินทรายและหินโคลน
รอยริ้วคลื่นในหินเกิดจากริ้วคลื่นได้ถูกตะกอนชนิด
อื่นตกจมทับถมปิดไว้ เมื่อตะกอนทั้งหมดแข็งตัวกลาย
เป็นหินรว้ิ คล่ืนก็ยงั คงรูปเดมิ ปรากฏในหินน้นั เมื่อหนิ ปดิ ทับ
แตกหลุดออกไปก็จะเหน็ รอยริว้ คลน่ื นน้ั ได้ ร้ิวคล่ืนอากอ่ ตวั
มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นคลื่นทราย สันทราย เนินทรายและดอน
ทรายใต้นำ้�
สว่ นการแ ยกหนิ ทรายแป้ง
ออกจา กหนิ โคลน
ตำ�แหน่งที่ 15 หินทรายและหินทรายแป้ง
สีสดสีขาวแกมเทา สีผุสีน้ำ�ตาลแกมเทา
จากหมวดหินเสาขัว บ้านลาดบัวชาว
ตำ�บลลาดบัวขาว อำ�เภอสีคิ้ว
บรเิ วณผิวหน้าด้านบนของช้ันหินแสดงลักษณะรอยริว้
คลน่ื รปู ลนิ้ ทีบ่ ่งชถี้ ึงกระแสท่ีมีความเรว็ ไม่สม�่ำ เสมอ
และมีความเรว็ ของนำ้�มากกว่าท่ที �ำ ใหเ้ กิดรอยร้ิว
คลื่นแบบสนั
- 276 -
CATALOG TITLE
ตำ�แหน่งท่ี 17 , 18 หินทราย
และหินทรายแป้งสีสดสีขาว
ขาวแกมเทา สีผุสีน้ำ�ตาล
แกมเทา จากหมวดหนิ เสาขัว
บ้านลาดบัวชาว ตำ�บลลาด
บัวขาว อ�ำ เภอสคี ้ิว แท่งตัว
อย่างหินที่ได้จากการเจาะ
ทำ�ฐานรากทางหลวง
หมายเลข 6 โดยถูกจับ
ว า ง ต้ั ง ข้ึ น ทำ � ใ ห้ เ ห็ น
ผิ ว ห น้ า ข อ ง ช้ั น หิ น
ทั้งด้านบนและด้านล่าง
ผิวด้านล่างของชั้นหิน แสดง
ลกั ษณะรชู อนไช ซง่ึ เกดิ จากหนอน
และสัตว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลงั เคลอ่ื น
ที่ บ น พ้ื น ต ะ ก อ น โ ค ล น ที่ อ่ อ น นุ่ ม
ทัง้ มุดและชอนไช แต่ต่อมาถูกตะกอน
ท่มี าทหี ลงั ปดิ ทบั -อดุ รอ่ ยรอยเหลา่ นน้ั ไว้ ตอ่ มา
จึงแข็งกลายเปน็ หนิ ไปพร้อมกัน แต่เม่ือหินผุ
หินโคลนจะผุพังไปก่อน เหลือเพียงร่องรอยที่
เป็นหินแข็งกว่า
- 287 -
ISSUE #1 / MONTH 2018
รชู อนไช
รชู อนไช (burrow) รชู อนไช คอื รใู นชน้ั หนิ ทเ่ี กดิ จากสง่ิ มชี วี ติ ขดุ ชน้ั รชู อนไช เปน็ หนึ่งในซากดึกดำ�บรรพ์ร่องรอย (trace fossils)
ทบ่ี ันทกึ รูปรา่ งและลกั ษณะทเ่ี กิดขน้ึ ในชน้ั ตะกอนเอาไว้ แตไ่ ม่
หนิ ตะกอนทน่ี มุ่ หรอื เกอื บแขง็ บางครง้ั ถา้ เหน็ รอ่ งรอยไมช่ ดั เรยี กวา่ มีตัวของสง่ิ มชี วี ิตเหลืออยู่ ท้ังนรี้ อ่ งรอยถูกแปลความหมายว่า
การรบกวนตะกอน (bioturbation) มกั มโี คลนหรอื ทรายบรรจอุ ยู่ มคี วามสัมพันธ์กบั พฤตกิ รรมของสงิ่ มชี วี ิตนนั้ เมื่อคร้ังยงั มีชีวิต
อาจพบรูชอนไชวางตัวในแนวระนาบกับช้นั หินหรือแทรกอยู่ อยู่ นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดแ้ บง่ กลมุ่ ซากดกึ ด�ำ บรรพร์ อ่ งรอยบน
ในเนอ้ื ในแนวดง่ิ หรอื แนวเอยี ง อาจมรี ปู รา่ งตรงหรอื คดเคย้ี ว สมมตฐิ านวา่ เจา้ ของรอ่ งรอยเหลา่ นน้ั มพี ฤตกิ รรม รปู แบบการ
อาจมผี นงั บางๆ ดว้ ย อาจเปน็ รเู ดย่ี วๆ หรอื สาขาแยกออกไป ใชช้ ีวิตและการกินอาหารอย่างไร ทั้งนี้สิ่งมีชีวิตหลายชนิด
หรือเป็นโครงข่ายซับซ้อน รูอาจเรียบ หรือเป็นตะปุ่มตะป่ำ� อาจสร้างร่องรอยทีม่ ีลกั ษณะคลา้ ยกนั ก็ได้ หรือสงิ่ มีชีวิตชนดิ
ผนังมีรว้ิ รอยลวดลายตา่ งๆ ตะกอนทอ่ี ยใู่ นรปู แบบนน้ั อาจเปน็ สว่ น เดยี วกันอาจสร้างร่องรอยที่มีลักษณะต่างกันเมื่ออยู่ในสภาพ
ทส่ี ตั วข์ บั ถา่ ยออกมา หลงั จากทไ่ี ดก้ นิ สารอาหารทแ่ี ทรกปนอยหู่ มด แวดลอ้ มทตี่ า่ งกนั ก็ได้
ไปแลว้ สว่ นใหญเ่ กดิ จากการกระท�ำ ของสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลงั เชน่
การขดุ รขู องสตั วพ์ วกหนอนกนิ โคลน หอย หรอื สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั
หลงั ชนดิ อน่ื ๆ หรอื มตี ะกอนเขา้ มาอดุ ภายหลงั จากทส่ี ตั วไ์ ดล้ ะทง้ิ รู
ไปแลว้
- 289 -
CATALOG TITLE
คณุ ค่าของหินทราย
ในอทุ ยานธรณโี คราช
หนิ ทรายแหง่ พทุ ธศาสนา หินทรายแห่งศรทั ธา หนิ ทรายแห่งอ
พระพทุ ธรปู หนิ ทรายปางไสยาสน์ พระบรทธาตุเจดียศ์ รีภผู าสูง ภาพเขยี นสีกอ่ น ป
ณอ�ำ เวภ(ดั เตอขปัง้สาา่อูงเภยคเนผูู่บวาินสนสตเูงทจาังอืแตหกนำ�วเวบขดั ดาลน้าภมคนหูะรนลเรกอวาลกงชอื)สใมีหาม่
อายุ 1,300 ปี เธปรน็ รศมาสมสำ�ีทนคศั ญัสนถแียาภหนา่งแพหลนสะวึง่ สขยถองาางนมจปังหฎวบิ ัดัติ บนชะง่อน ห
ถกู คน้ พบและประดษิ ฐาน ณ ตวำ�ัดบเขลาลจาันดทบนัว์งขาามว
อณ�ำ เภวอดั สธงูรเรนมนิ จกั จรงัเหสวมดัานตค�ำรบรลาชเสสมมี าา - 3290 -
เปน็ หลกั ฐานของพระพทุ ธศาสนา จังหวัดนครร
เป็นหลกั ฐานการตง้ั ถ
มาตง้ั แตส่ มยั ทราวดี คาดวา่ มอี ายปุ ระมาณ
ISSUE #1 / MONTH 2018
“กลุ่มหินโคราชสรา้ งสรรคม์ รดกธรณี
มีศาสนา-อารยธรรม-ประวตั ศิ าสตร์นานมา
ชาวโคราชอนรุ ักษแ์ ละน�ำ พาสอู่ ุทยานธรณโี ลก”
อารยธรรม หนิ ทรายแห่งสมั มาชพี หินทรายแหง่ การพฒั นา
ประวตั ิศาสตร์ การแกะสลกั หนิ ทราย การพฒั นเขาถื่อนนนแทละางกหงั หลวนั งลมทางรถไฟ
หนิ ทราย
มว บอ้าำ�นเภเอลสิศีคส้ิววสั ด์ิ เปน็ อาชพี หนง่ึ ของคนในชมุ ชนท่ี ผลิตกระแสไฟฟา้ รวมถึงโครง
ราชสีมา อสาชี ศมยั พในู สแเีหหลลง่ อื หงนิ ทแรลาะยสหเี ขลยีาวกสหี นิอาททน่ี ิ ยิ สมขี นา�ำว การพัฒนาของจังหวดั นครราชสมี า
ถิ่นฐานในถ้ำ�หิน
3,000 - 5,000 ปี มาแกะสลกั มาจากหมวดหนิ และภูมภิ าคในอนาคต
หมวภดกู หรนิ ะเดสงึ าขหวั มวแดลหะนิหพมวระดวหหินิ าภรพู าน ต้องก่อสร้างและวางฐานรากบน
หนิ ของกลมุ่ หินโคราช
- 301 -
CATALOG TITLE
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
32
ISSUE #1 / MONTH 2018
33