ความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม้ ในพื้นที่ป่ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี(สามพร้าว) Diversity and abundance of stick insects in forest of Udon Thani Rajabhat University (Sam phrao) นายธนภัทร แก้วมะ นางสาวพรอนงค์ มาตย์จันทร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประจ าปีการศึกษา 2564
ความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม้ ในพื้นที่ป่ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี(สามพร้าว) Diversity and abundance of stick insects in forest of Udon Thani Rajabhat University (Sam phrao) นายธนภัทร แก้วมะ นางสาวพรอนงค์ มาตย์จันทร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ประจ าปีการศึกษา 2564
ก ชื่อเรื่อง ความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม้ในพื้นที่ป่า มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพร้าว) ผู้ท ำวิจัย นายธนภัทร แก้วมะ นางสาวพรอนงค์ มาตย์จันทร์ สำขำวิชำ วิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ปีกำรศึกษำ 2564 อำจำรย์ที่ปรึกษำงำนวิจัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิวรรธน์ แสงภักดี บทคัดย่อ การส ารวจความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม้ในพื้นที่ป่าเต็งรังด้านทิศ ตะวันออกของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพร้าว) เพื่อเปรียบเทียบความหลากชนิดและความ ชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม้ระหว่าง 2 เส้นทางที่มีสภาพพื้นที่แตกต่างกัน ส ารวจ 2 เส้นทาง เส้นทางละ 500 เมตร ลงพื้นที่ส ารวจ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ รวม 4 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 ผลจากการส ารวจสามารถจัดจ าแนกตั๊กแตนกิ่งไม้ได้ 2 วงศ์ (family) ได้แก่ วงศ์ Bacillidae พบ 2 ส กุ ล 2 ช นิ ด ไ ด้ แ ก่ Gratidia fritzchei แ ล ะ Asceles artabotrys วง ศ์ Phasmatidae พบ 2 สกุล 2 ชนิด ได้แก่ Parapachymorpha commelina และ Phobaeticus magnus ชนิดที่พบจ านวนมากที่สุดคือ Gratidia fritzchei และยังพบว่า เส้นทางที่ 1 สามารถพบ ตั๊กแตนกิ่งไม้มากกว่าเส้นทางที่ 2 ทั้งจ านวนตัวและจ านวนชนิด เมื่อพิจารณาดัชนีความหลากชนิด ของ Shannon – Wiener ( ′ ) พบว่า ตั๊กแตนกิ่งไม้ในทั้ง 2 เส้นทางมีค่าดัชนีความหลากชนิดต่ า โดยเส้นทางที่ 1 มีค่าดัชนีความหลากชนิดมากกว่าเส้นทางที่ 2 เมื่อพิจารณาดัชนีความสม่ าเสมอ (′) พบว่า เส้นทางที่ 1 มีค่าดัชนีความสม่ าเสมอมากกว่าเส้นทางที่ 2 และเมื่อพิจารณาค่าร้อยละความชุก ชุมพบว่า เส้นทางที่ 1 มีค่าร้อยละความชุกชุมมากกว่าเส้นทางที่ 2
ข Research Title Diversity and abundance of stick insects in forest of Udon Thani Rajabhat University (Sam Phrao) Researchers Mr. Thanapat Kaewma Miss Phornanong Muchjunt Program Science (Biology) Year 2021 Assistant Professor Asst.prof. Wiwat Sangpakdee ABSTRACT This study explores the diversity and abundance of stick insects in the eastern deciduous dipterocarp forest area of Udon Thani Rajabhat University (Sam Phrao). The objective of this research was to compare the abundance of stick insects between two trails with different site conditions. By surveying 2 trails, 500 meters each, visiting the survey area once a week, for a total of 4 times per month. From June to August 2021, The results of the survey can be classified into 2 families of stick insects, including the family Bacillidae includes 2 genera and 2 species: Gratidia fritzchei and Asceles artabotrys. The family Phasmatidae includes 2 genera and 2 species: Parapachymorpha commelina and Phobaeticus magnus.The most common species is Gratidia fritzchei. In addition, it found that trail 1, the stick insect specimens and species, was able to find more than trail 2. When considering the Shannon-Wiener diversity index ( ′ ), Stick insects on both trails had a low diversity index, Trail 1 had a higher diversity index than trail 2. When considering the evenness index (′), it was found that trail 1 had a higher than trail 2, and when considering the percentage of abundance, it was found that trail 1 had a percentage more plentiful than trail 2.
ค กิตติกรรมประกำศ รายงานการวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลุล่วงอย่างสมบรูณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิวรรธน์ แสงภักดี อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ที่กรุณาสละเวลาให้ค าปรึกษา ค าแนะน า และให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงข้อบกพร่องต่างๆ จนส าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้วิจัยขอ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณ ดร.นิภาวรรณ ลาภบุญเรือง อาจารย์ประจ ารายวิชา ที่กรุณาเมตตาให้ ค าแนะน า ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก้ไขส่วนต่างๆ เพื่อให้รายงานการวิจัยฉบับนี้มีความสมบรูณ์ ยิ่งขึ้น ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี(สามพร้าว) ที่เอื้อเฟื้อสถานที่และอุปกรณ์ส าหรับ การท าวิจัยในครั้งนี้ สุดท้ายนี้ ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานการวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ส าหรับผู้ที่สนใจ หากมีข้อบกพร่องหรือไม่สมบรูณ์ประการใด ผู้วิจัยขอกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วย ธนภัทร แก้วมะ พรอนงค์ มาตย์จันทร์ พฤศจิกายน 2564
ง สำรบัญ หน้ำ บทคัดย่อภำษำไทย ก บทคัดย่อภำษำอังกฤษ ข กิตติกรรมประกำศ ค สำรบัญ ง สำรบัญตำรำง ฉ สำรบัญภำพ ช บทที่1 บทน ำ 1 1.1 ที่มาและความส าคัญของการวิจัย 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1 1.3 ขอบเขตของการวิจัย 1 1.4 ประโยชน์ที่ได้รับ 2 1.5 ระยะเวลาด าเนินการวิจัย 2 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 2 บทที่ 2 เอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4 2.1 ลักษณะภายนอก (External Characters) 4 2.2 วงจรชีวิต (Life Cycle) 5 2.3 ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการด ารงชีวิตของตั๊กแตนกิ่งไม้ 7 2.4 การเก็บและรักษาตัวอย่าง (Collecting and Preserving) 8 2.5 การจัดจ าแนกตั๊กแตนกิ่งไม้ 10 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 23 บทที่3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย 25 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 25 3.2 ลักษณะพื้นที่ท าการศึกษา 25 3.3 การส ารวจชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม้และการเก็บตัวอย่าง 28 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล 28
จ สำรบัญ (ต่อ) หน้ำ บทที่4 ผลกำรวิจัย 30 4.1 ความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม้ 30 4.2 ดัชนีความหลากหลายของตั๊กแตนกิ่งไม้ 33 4.3 ค่าความชุกชุม 34 4.4 สภาพอากาศ 36 บทที่ 5 สรุป อภิปรำยผล และข้อเสนอแนะ 37 5.1 สรุปผลการวิจัย 37 5.2 อภิปรายผลการวิจัย 38 5.3 ข้อเสนอแนะ 39 เอกสำรอ้ำงอิง 40 ภำคผนวก 41 ประวัติผู้วิจัย 52
ฉ สำรบัญตำรำง ตำรำงที่ หน้ำ 4.1 ชนิดและจ านวนของตั๊กแตนกิ่งไม้ที่ส ารวจพบ 33 4.2 ค่าดัชนีความหลากชนิด (′ ) และค่าดัชนีความสม่ าเสมอ(′) ของตั๊กแตนกิ่งไม้ที่ส ารวจพบ 33 4.3 ค่าความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไม้ที่ส ารวจพบ 34 4.4 ค่าความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไม้ที่ส ารวจพบในเส้นทางที่ 1 35 4.5 ค่าความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไม้ที่ส ารวจพบในเส้นทางที่ 2 35 4.6 ข้อมูลสภาพอากาศในช่วงเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 36
ช สำรบัญภำพ ภำพที่ หน้ำ 2.1 ลักษณะสัณฐานภายนอกของตั๊กแตนกิ่งไม้ 4 2.2 ตั๊กแตนกิ่งไม้มีปีกที่ถูกเก็บในห่อกระดาษแก้วและกระดาษแข็ง 8 2.3 ตั๊กแตนใบไม้เล็กล าพูนเพศผู้และเพศเมีย ที่เก็บในห่อกระดาษแก้ววางบนทิชชู่และกระดาษแข็ง 9 2.4 ตั๊กแตนกิ่งไม้ขาหนามมลายูห่อในกระดาษแก้วและตั๊กแตนกิ่งไม้ยักษ์ ซึ่งมัดด้วยด้ายห่อในกระดาษ 9 2.5 การเซ็ตตั๊กแตนกิ่งไม้บนแผ่นโฟมก่อนน าไปอบแห้ง 9 3.1 พื้นที่ศึกษาป่าเต็งรังของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพร้าว) 26 3.2 สภาพพื้นที่บริเวณเส้นทางส ารวจที่ 1 เป็นที่โล่งมีหญ้าปกคลุมด้านล่าง 27 3.3 สภาพพื้นที่บริเวณเส้นทางส ารวจที่ 2 เป็นป่าเต็งรังโล่งสลับทึบ 27 4.1 Gratidia fritzschei เพศเมีย 30 4.2 Gratidia fritzschei เพศผู้ 31 4.3 Parapachymorpha commelina เพศเมีย 31 4.4 Parapachymorpha commelina เพศผู้ 31 4.5 Asceles artabotrys เพศผู้ 32 4.6 Phobaeticus magnus เพศผู้ 32
1 บทที่ 1 บทนํา 1.1 ที่มาและความสําคัญของการวิจัย ตั้งแตศตวรรษที่ 18 จนถึงปจจุบันนักกีฏวิทยาไดศึกษาเกี่ยวกับตั๊กแตนกิ่งไม (stick insects) พบชนิดพันธุทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ชนิด ทั่วโลก กระจายตัวอยูตามปาพบมากในปาเขตรอน และ เขตอบอุน ในประเทศไทยพบชนิดพันธุทั้งสิ้นประมาณประมาณ 40 ชนิด ทั่วประเทศ (อุทยานแหงชาติ แมวะ, 2561) พบมากในเขตภาคใต และไดมีรายงานวาพบครั้งแรกที่อําเภอสุวรรณคูหา จังหวัด หนองบัวลําภู โดยผูสํารวจพบ คือ ดร.องุน ลิ่ววานิช (วันดี สันติวุฒิเมธี, 2544) ซึ่งตั๊กแตนกิ่งไมจัดอยู ในอาณาจักร Animalia ,ไฟลัม Arthropoda ,ชั้น Insecta ,อันดับ Phasmatodea หรือ Phasmida ซึ่งแมลงในอันดับนี้มีบทบาทสําคัญในระบบนิเวศและมีพฤติกรรมที่นาสนใจ เคลื่อนที่ชา ไมกระโดด มีวงจรชีวิตที่แตกตางจากแมลงทั่วไป และมีพฤติกรรมการพรางตัวที่ดีกลมกลืนกับ สภาพแวดลอมที่อยูอาศัย (วิชัย สรพงษไพศาล และสมชาย ธนสินชยกุล, 2549, หนา 19) จากการคนควาศึกษาขอมูลพบวาปจจุบันในประเทศไทยมีขอมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตั๊กแตนกิ่งไม นอยมาก และเขตพื้นที่ปาของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) เปนพื้นที่หนึ่งที่มีความอุดม สมบูรณของทรัพยากรปาไม มีความหลากชนิดของพืชที่เปนแหลงที่อยูอาศัยที่สําคัญของต๊กัแตนกิ่งไม เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ปาบริเวณใกลเคียง และพื้นที่นี้ยังไมมีการสํารวจดานความหลากชนิดของ ตั๊กแตนกิ่งไม ดังนั้นคณะผูวิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตน กิ่งไมในพื้นที่ปาของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) เพื่อเปนขอมูลพื้นฐานทางวิชาการ เบื้องตน และเพื่อจัดทําเปนฐานขอมูลความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไมตอไป 1.2 วัตถุประสงคของการวิจัย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม ระหวาง 2 เสนทาง ที่มีสภาพพื้นที่ที่แตกตางกัน ในเขตพื้นที่ปามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) 1.3 ขอบเขตของการวิจัย ศึกษาความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม โดยศึกษาเฉพาะตัวอยางตัวเต็มวัยหรือตัวอยาง ที่สามารถระบุชนิดไดตามพื้นดินและบนตนไมในระดับสายตาที่สามารถมองเห็นไดซ่ึงทําการสํารวจ ในพื้นที่ปามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) ทางดานทิศตะวันออก ระหวางเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 โดยไดแบงเสนทางการสํารวจออกเปนสองเสนทาง แตละเสนทางจะมี
2 สภาพพื้นที่แตกตางกัน เสนทางที่ 1 เดินสํารวจตามแนวเสนทางที่ถูกถางจนเปนที่โลงมีหญาขึ้นปก คลุมตลอดเสนทาง เสนทางที่ 2 สภาพพื้นที่เปนปาเต็งรังโลงสลับทึบ 1.4 ประโยชนที่ไดรับ เปนขอมูลพื้นฐานดานความหลากหลายของตั๊กแตนกิ่งไม ในสภาพพื้นที่ที่แตกตางกัน ในบริเวณ ปามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) 1.5 ระยะเวลาดําเนินการวิจัย ดําเนินการ ระหวางชวงเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พุทธศกัราช 2564 1.6 นิยามศัพทเฉพาะ ปาเต็งรัง หมายถึง ปาเต็งรัง (Deciduous dipterocarp forest) หรือที่เรียกกันวาปาแดง ปาแพะ ปาโคก ลักษณะทั่วไปเปนปาโปรง ตามพื้นปามักจะมีโจด ตนแปรง และหญาเพ็ก พื้นที่ แหงแลงดินรวนปนทราย หรือกรวด ลูกรัง พบอยูทั่วไปในที่ราบและที่ภูเขา ในภาคเหนือสวนมาก ขึ้นอยูบนเขาที่มีดินตื้นและแหงแลงมาก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปาแดงหรือปาเต็งรังนี้มากที่สุด ชนิดพันธุไมที่สําคัญไดแก เต็ง รัง เหียง พลวง กราด พะยอม ติ้ว แตว มะคา ประดู แดง มะขามปอม มะกอก ผักหวาน สมอไทย ตะแบก เลือดแสลงใจ รกฟา ฯลฯ สวนไมพื้นลางเปน หญา หญาเพ็ก ปรง กระเจียวเปราะ มะพราวเตา ปุมแปง โจด และหญาชนิดอื่นๆ ความหลากหลายของชนิดพันธุ หมายถึง ความหลากหลายของชนิดของสิ่งมีชีวิตที่มีอยูใน พื้นที่หนึ่งๆ นักชีววิทยาวัดความหลากหลายของชนิดพันธุของสิ่งมีชีวิต โดยดูจาก 2 ลักษณะ คือ ความหลากชนิดและความสม่ําเสมอของชนิด ตั๊กแตนกิ่งไม หมายถึง แมลงที่อยูในอันดับ Phasmatodea มีรูปรางและสีสันคลายกานไม เล็กๆ ถาเกาะนิ่งไมขยับเขยื้อนอยูกับกิ่งไมแลวก็จะดูกลมกลืนไปกับกิ่งไมนั้นทั้งรูปราง และสีตัว Filiform หมายถึง หนวดแบบเสนดาย Pronotum หมายถึง ปลองอกปลองแรก Mesonotum หมายถึง ปลองอกกลาง Metanotum หมายถึง ปลองอกหลัง Prosternum หมายถึง แผนแข็งดานขางของอกปลองแรก Femur หมายถึง ปลองขาปลองแรก Tibia หมายถึง ปลองกลางของขา
3 Tarsus หมายถึง ฝาเทา เปนสวนของขาที่อยูถัดจากหนาแขง มีลักษณะเปนปลองเล็ก ๆ จํานวน 1 - 5 ปลองเรียงกันเปนแถว Cerci หมายถึง แพนหาง เปนอวัยวะที่อยูปลายของปลองทองปลองที่ 11 มักมี 1 คู อาจมี ลักษณะเปนปลองหรือไมเปนปลองก็ได แพนหางทําหนาที่หลายอยางขึ้นแลวแตชนิดของแมลง แมลงบางชนิดใชรับความรูสึก บางชนิดก็ใชเกาะยึดขณะผสมพันธุ Thorax หมายถึง สวนอกของแมลง Abdomen หมายถึง สวนทองของแมลง
4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ จากการศึกษาขอมูลจากแหลงขอมูลตางๆ ที่จําเปนตอการดําเนินงานวิจัยในครั้งนี้ สามารถ รวบรวมขอมูลเกี่ยวกับตั๊กแตนกิ่งไมเปนประเด็นสําคัญไดดังนี้ 2.1 ลักษณะภายนอก (External Characters) ตั๊กแตนกิ่งไมเปนแมลงขนาดตั้งแตเล็กจิ๋วเมื่อฟกออกจากไขใหมยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ไปจนถึงขนาดใหญยาวถึง 315 เซนติเมตร ตั๊กแตนกิ่งไมยักษแมกนัส ซึ่งจัดวาเปนแมลงที่ยาวที่สุดใน ประเทศไทย ตั๊กแตนกิ่งไมสวนลําตัวคอนขางกลมยาว ขายาวคลายกิ่งไม มีรางกายแบงเปน 3 สวน คือ สวนหัว สวนอก และสวนทอง ดังภาพที่ 2.1 ภาพที่ 2.1 ลักษณะสัณฐานภายนอกของตั๊กแตนกิ่งไม ที่มา : Jon Veenstra, 2013
5 2.1.1 สวนหัว (Head) ตั๊กแตนกิ่งไมทุกชนิดมีตารวม 1 คู อาจจะเปนตาโปนเพื่อการมองที่กวางขึ้น และบางชนิด มีตาเดี่ยว 2-3 ตาซึ่งพบในเพศผูของชนิดที่มีปก ตั๊กแตนกิ่งไมมีความสามารถมองเห็นไดดีมาก แมในที่ มีแสงนอย มี หนวดยาวและเรียวเล็ก อาจจะยาวเทาหรือยาวกวาลําตัวในบางชนิด หนวดในตัวผูมัก ยาวกวาในตัวเมียมากเวลาเกาะนิ่งๆ มักหุบหนวดแนบไวดวยกันชี้ไปขางหนาและใชขาคูหนาประกบ ไวทั้งสองขาง ปากเปนแบบกัดยื่นออกไปดานหนา 2.1.2 สวนอก (Thorax) อาจจะมีปก หรือไมมีปกเลยทั้งสองเพศ นอยชนิดที่มีปกที่ใชบินไดทั้งสองเพศ ตั๊กแตนกิ่งไม ที่มี ขนาดใหญหลายชนิดเพศผูเทานั้นที่มีปกบินไปหาตัวเมียได เพศเมียปกมีขนาดเล็ก อาจทั้งมีลําตัว ที่ใหญจึงบินไมได ปกในตั๊กแตนกิ่งไมคูหนามีขนาดเล็กและแคบ สวนปกคูหลังเปนแผนบางใหญ มีเสน ปกตรงๆ เรียงกันตามยาวและมีเสนแขวงสั้นๆ จํานวนมากเชื่อมติตกัน ขาตั๊กแตนกิ่งไมคอนขางเรียว และยาว มีตะขอเกาะเกี่ยวไดดี บางชนิดสามารถเดินไตตนไมไดดี 2.1.3 สวนทอง (Abdomen) ในตั๊กแตนกิ่งไมสวนทองเปนรูปทรงกระบอกยาว บางครั้งมีหนามหรือตุม ประกอบดวย 1 ปลองในทั้งสองเพศ โดยปลองแรกเชื่อมติดกับอกปลองหลัง สวนปลองที่ 11 เปนรยางคสั้นๆ และ แพนหางที่ติดอยูที่ปลายสุดของสวนทอง เพคผูมี subgenital plate เปนแผนคลายรูปถวย อยู ดานลางซึ่งมีอวัยวะในการผสมพันธุ (genitala) ซอนอยู และมีอวัยวะในการจับตัวเมียในเวลาผสม พันธุมีลักษณะคลายสอม ในเพศเมียมีอวัยวะในการวางไข (ovipositor) ถูกคลุมอยูใน subgenital plate หรือแผนปดเปดเพื่อใชในการวางไข (operculum) มีลักษณะคลายทัพพี 2.2 วงจรชีวิต (Life Cycle) ตั๊กแตนกิ่งไมมีการเปลี่ยนแปลงแบบไมสมบูรณ (gradual metamorphosis) คือ มีระยะไข (eggs) ตัวออนซึ่งอยูบนบก (nympha) และเปนตัวเต็มวัย (adults) ไดยไมมีระยะดักแด ตัวออนที่ แตกตางกันหลังจากการลอกคราบ (moulting or ecdysis) ในแตละครั้งจะเรียกระยะนั้นๆ วา วัย (instars) ตั๊กแตนกิ่งไมโดยทั่วไปมีการลอกคราบ 4 - 8 ครั้งแลวแตชนิด และเพศเมียมักมีการลอก คราบมากกวาเพศผู 1 ครั้ง ตั๊กแตนที่ลอกคราบใหมๆ อาจจะกินคราบของตัวเองเปนอาหารกอนหัน ไปกินใบพืชเปนอาหาร ตั๊กแตนกิ่งไมชนิดที่มีปกในระยะแรกๆ อาจจะเห็นแตตุมที่ปกซึ่งปกจะคอยๆ งอกยืดยาวขึ้นในระยะตอมา และสีของลําตัวก็เปลี่ยนแปลงไปบางชนิดเปลี่ยนจากแดงเปนเขียว และ น้ําตาลเขมตามลําดับ ตัวออนระยะสุดทายเมื่อผานการลอกคราบครั้งสุดทายใหมๆ เปนตัวเต็มวัยที่ อายุนอยที่มีรูปรางคลายตัวเต็มวัยที่สมบูรณแตยังมีสีจางกวา และอวัยวะในการสืบพันธุยังเจริญไม สมบูรณเต็มที่ เรียกวา ตัวเต็มวัยวัยออน (juvenile forms) ในตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญนาน 4 - 5
6 สัปดาห สวนตั๊กแตนปาขาหนามมลายูระยะนี้ นาน 6 - 8 สัปดาห จึงจะสมบูรณเต็มที่ และเริ่มวางไขได โดยอาจจะไมตองผานการผสมพันธุก็สามารถวางไขที่ฟกเปนตัวได วงจรชีวิตของตั๊กแตนกิ่งไมมีตั้งแต 4 - 5 เดือนไปจนถึง 2 ป แตสวนใหญมีวงจรวีวิตนานประมาณ 1 ป 2.2.1 ไข (Eggs) พฤติกรรมการวางไขของตั๊กแตนกิ่งไม สวนใหญวางไขเปนฟองเดี่ยวๆ มีบางชนิดเทานั้นที่ วางไขเปนกลุม ตั๊กแตนกิ่งไมยักษปลายแหลมวางไขไดยการสะบัดสวนทองเพื่อการกระจายตัวของไข ตั๊กแตนสวนมากปลอยไขลงสูพื้นดิน มีนอยชนิดโดยเฉพาะตั๊กแตนกิ่งไมการเวก ในสกุล Asceles มีไข รูปคลายกับลูกรักบี้ ปลายดานหนึ่งเปนกานที่เรียวแหลมและถัดจากปลายแหลมเขามามีลิ่ม สวนปลายอีกดานหนึ่งมีฝาครอบปดไข ซึ่งพบวาตัวแมมักวางไขแทงทะลุใบไม ลิ่มที่ไขชวยยึดไขให ติดอยูที่ใบไมที่เปนพืชอาหาร แตไขสวนหนึ่งจะตกอยูที่พื้น ตั๊กแตนกิ่งไมยี่โถ Trachythorax maculicollis มีไขรูปทรงกระบอกคลายกลองไทย ซึ่งไขมีการวางเปนกลุมเรียงกันเปนแถวสองสาม แถวติดกันโดยมีสารเหนียวๆ ยึดเอาไว เพศเมียที่สมบูรณเต็มที่แลวเริ่มวางไขและมีการวางไขอยาง ตอเนื่องแทบทุกวันเฉลี่ยวันละ 1-2 ฟอง หรือมากกวานี้ นานหลายเดือน ทําใหไดไขจํานวนนับรอย ฟอง อาจจะมากถึง 100 - 1,200 ฟอง แลวแตชนิด เพื่อชดเชยกับไขสวนหนึ่งที่ไมฟกหรือถูกทําลาย ไป ไขสวนใหญมีลักษณะกลมคลายเมล็ดพืช รียาว หรือทรงเหลี่ยม มีฝาปด (operculum) ซึ่งจะเปน ทางออกของตั๊กแตนเมื่อฟกตัวออกมา ไขฟกในเวลาเฉลี่ย 20 - 30 วัน บางชนิด 13 วัน ถึง 6 - 7 เดือน หรือนานกวา 1 ป 2.2.2 ตัวออน (Nymphs) ตัวออนมี 5 วัย หรือมากกวามีการเจริญเติบโตเปนขั้นตอนที่ไมสมบูรณ คือเปนแบบทีละ นอย (Gradual metamorphosis) โดยไมมีระยะดักแด ดังนั้นการเจริญเติบโตจึงทําไดโดยการลอก คราบ ตั๊กแตนกิ่งไมลอกคราบแตละครั้งสวนของหัวกะโหลกจะขยายใหญขึ้นทุกครั้ง สวนลําตัวจะ ขยายใหญขึ้นและยาวขึ้นตาม รวมทั้งปกในตั๊กแตนกิ่งไมที่มีปกก็จะยาวขึ้นดวย 2.2.3 ตัวเต็มวัย (Adults) เปนแมลงที่มีความแตกตางระหวางเพศสูง (sexual dimorphism) จนบางครั้งเราไม สามารถจับคูไดจากการดูลักษณะภายนอกเทานั้น การจับคูที่ดีที่สุดคือการดูขณะกําลังผสมพันธุ เพศผู ของตั๊กแตนกิ่งไมบางชนิดอาจไมมี หรือมีแตคนยังไมรูจัก ถามีมักมีขนาดเล็กกวาเพศเมียมาก บางชนิดเรียวเล็กนิดเดียว ตัวเต็มวัยในตั๊กแตนกิ่งไมเพศเมียหลายชนิดที่ตัวผูหายาก จะเปนแบบเพศ พรหมจรรย (parthenogenesis) คือสามารถออกไขไดโดยไมตองผสมพันธุ แตอยางไรก็ตามไขทุก ฟองที่ฟกออกมาจะเปนเพศเมียทั้งหมด สําหรับเพศเมียที่ผานการผสมพันธุแแลว ไขที่ไดจะมีทั้งเพศผู และเพศเมีย เพศผูนอกจากมีขนาดเล็กกวาตัวเมียมากแลว เพศผูยังมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วกวา
7 เพศเมียหลายชนิด และมีจํานวนครั้งของการลอกคราบในระยะตัวออนนอยกวาเพศเมีย 1 - 2 ครั้ง ในระยะตัวเต็มวัยก็มีอายุสั้นกวาเพศเมีย จึงทําใหในหนึ่งชั่วอายุขัยใชวลาแตกตางกันระหวางทั้งสองเพศ 2.3 ปจจัยแวดลอมที่มีผลตอการดํารงชีวิตของตั๊กแตนกิ่งไม 2.3.1 อุณหภูมิ (Temperature) ตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญอาศัยอยูในเขตรอนชื้นที่มีอากาศคอนขางอบอุนประมาณ 25 - 35 องศาเซลเซียส ในชวงฤดูหนาวอุณหภูมิที่ต่ําทําใหตั๊กแตนกิ่งไมเจริญเติบโตชาลง แตถาอุณหภูมิสูง เกินไปตั๊กแตนกิ่งไมอาจจะตายได 2.3.2 น้ําและความชื้น (Water and Humidity) ตั๊กแตนกิ่งไมบางชนิดชอบน้ําบางชนิดไมชอบน้ํา ตัวอยางเชน ตั๊กแตนกิ่งไมขาหนามจะ ชอบน้ํามากอาจจะถึงขั้นเปยกฝนไดทั้งวัน ในขณะที่ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก ตั๊กแตนกิ่งไมปกตาเขาใหญ ไมชอบน้ํา อยางไรก็ตามตั๊กแตนสวนใหญตองการดื่มกินน้ํา ชวงเวลาที่ดีที่สุดสําหรับการสํารวจหา ตั๊กแตนกิ่งไมคือชวงฤดูฝน ที่ตนไมเจริญดี มีน้ําจากฝนและมีความชุมชื้นดี ตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญจะ เจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัยและวางไขในชวงฤดูฝน 2.3.3 แสงและความเขมของแสง (Light) ตั๊กแตนกิ่งไมเปนแมลงที่หากินในเวลากลางคืน ยกเวนตั๊กแตนวัยแรกๆ ที่หากินในเวลา กลางวัน ดังนั้นในเวลากลางวันจึงมักหลบซอนตัวเอง การที่มีแดดสองโดยตรงทําใหอุณหภูมิสูงขึ้นซึ่ง ตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญไมชอบ ในชวงฤดูแลงใบไมพืชอาหารมักเหี่ยวแหงทําใหแหลงอาหารลดนอยลง ตั๊กแตนกิ่งไมจึงหายากเพราะสวนหนึ่งอาจจะตายไปตามสภาพแวดลอมที่ไมดี 2.3.4 พืชอาหาร (Food Plants) ตั๊กแตนกิ่งไมเปนสัตวที่กินพืชสวนใหญกินพืชสดไดหลายชนิด (polyphagnus) ตั๊กแตนกิ่งไม สวนใหญกินใบมะมวง ฝรั่ง ลําไย ไมปาหลายชนิด เชน ยูคาลิปตัส กะตังใบ สวนหนึ่งชอบไมพุมซึ่งเปน ไมปา หลายชนิดเปนไมที่มีหนาม เชน กุหลาบ พุทรา ขอย บางชนิดกินพืชอาหารจํากัดเพียงบางชนิด เทานั้น เชน ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก (Asceles artabotrys) กินใบการะเวก บางชนิดกินใบ Hypercium ซึ่งเปนวัชพืชดอกเหลือง ตั๊กแตนกิ่งไมยี่โถ (Trachythorax maculicollis) กินใบยี่โถ และใบขอย ตั๊กแตนกิ่งไมอีกกลุมหนึ่งกินหญาพวกผักปลาบ ไดแก ตั๊กแตนกิ่งไมหัวหนามเมียลาย (Medaura lager- stroemia) และตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ (Parapachymorpha commelina) ตั๊กแตนกิ่งไมตน สม (Lopaphus atalanitia) กินใบมะนาวผี และตั๊กแตนกิ่งไมเฟองฟา (Lopaphus bougainvillea) กินใบเฟองฟาและฝรั่ง
8 2.4 การเก็บและรักษาตัวอยาง (Collecting and Preserving) 2.4.1 การเก็บแบบแหงในหอกระดาษ ตั๊กแตนที่มีขนาดเล็กสามารถเก็บไดเลยโดยวางบนกระดาษแข็งที่มีขนาดกวางและยาวกวา ตั๊กแตนเล็กนอย คลุมดวยกระดาษแกว (ไมควรใชพลาสติกเพราะความชื้นไมสามารถระเหยผาน พลาสติกได) เย็บขอบหอตั๊กแตนดวยลวดเย็บกระดาษ ในกรณีของตั๊กแตนบางชนิดที่มีปกก็อาจจะกาง ปกของตั๊กแตนออกเพื่อแสดงใหเห็นสีปกคูหลังดวย ซึ่งจะทําใหตั๊กแตนในหอดูสวยงามและมีคุณคา มากขึ้น ตั๊กแตนกิ่งไมยักษอาจจะหุบและมัดขาใหแนนแลวมวนดวยกระดาษหรือพันดวยกระดาษแกว คลายหอทอฟฟ จากนั้นก็นํามาอบแหงที่อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส จนแหงสนิทจึงยายมา เก็บในกลอง เชน กลองพลาสติก ควรใสลูกเหม็นเพื่อปองกันแมลงตัวเล็กๆ และมดที่จะเขาไปทําลาย แมลงที่เก็บรักษาไว อาจจะใชการบูรแทนลูกเหม็นเพื่อลดกลิ่นของลูกเหม็นได แตตองเลือกเอาอยาง ใดอยางหนึ่ง ไมควรใสทั้งสองอยางเพราะสารทั้งสองชนิดเมื่ออยูรวมกันจะทําปฏิกิริยากัน ทําใหลูก เหม็นละลายและละลายพลาสติกได 2.4.2 การเก็บรักษาตั๊กแตนขนาดใหญที่มีสีเขียว ตั๊กแตนกิ่งไมขาหนามมลายูตัวเมียมีสีเขียวขนาดใหญและตั๊กแตนใบไมซึ่งมีสีเขียว เมื่อแหงแลวสีมักเปลี่ยนเปนสีน้ําตาลหมนๆ เนื่องจากอวัยวะภายในที่เนาเสียและสงผลใหสีที่ลําตัว เพี้ยนไป การเก็บรักษาเพื่อใหมีคุณภาพของสีดีที่สุด (ถาทําได) จําเปนตองทําคลายการเก็บรักษาสัตว ที่มีขนาดใหญขึ้นมา กลาวคือ ตองมีการผาใตทองเพื่อเอาเครื่องในออกและทาผงบอรแร็กซภายใน ชองทอง ซ่ึงจะชวยดูดซับน้ําและความชื้น จากนั้นยัดชองทองดวยสําลีแทนและนําไปหอดวยกระดาษ แกวตามขั้นตอนการเก็บรักษา ภาพที่ 2.2 ตั๊กแตนกิ่งไมมีปกที่ถูกเก็บในหอกระดาษแกวและกระดาษแข็ง ที่มา : พิสุทธิ์ เอกอํานวย, 2556
9 ภาพที่ 2.3 ตั๊กแตนใบไมเล็กลําพูนเพศผูและเพศเมียที่เก็บใน หอกระดาษแกววางบนทิชชูและกระดาษแข็ง ที่มา : พิสุทธิ์ เอกอํานวย, 2556 ภาพที่ 2.4 ตั๊กแตนกิ่งไมขาหนามมลายูหอในกระดาษแกวและ ตั๊กแตนกิ่งไมยักษซึ่งมัดดวยดายหอในกระดาษ ที่มา : พิสุทธิ์ เอกอํานวย, 2556
10 2.4.3 การเก็บแหงแบบจัดรูปรางหรือการเซ็ต ควรทําเมื่อตั๊กแตนยังสดอยู หากตั๊กแตนตายแลวแตยังไมมีเวลาเซ็ตอาจจะเก็บชั่วคราวใน แอลกอฮอล หรือใสชองแชแข็งไวกอน เมื่อพรอมจะเซ็ตจึงคอยนําออกมาจากแชแข็งประมาณ 5 นาที ก็เริ่มเซ็ตได การเซ็ตควรปกเข็มเซ็ตที่สวนอก สามารถเซ็ตบนแผนโฟมได ยึดสวนของลําตัว ขา และ หนวดดวยเข็มหมุด จากนั้นนําไปทําใหแหงดวยอุณหภูมิไมสูงมากเพราะถารอนมากโฟมจะละลาย ระวังเรื่องมด เพราะมดชอบกินตั๊กแตนมาก เมื่อตั๊กแตนแหงก็แกะเข็มออก และนําไปปกเก็บรักษาไว ในกลองตอไป 2.5 การจัดจําแนกตั๊กแตนกิ่งไม โดยใชแนวทางวินิจฉัยตั๊กแตนกิ่งไมที่พบในประเทศไทย (วิชัย สรพงษไพศาล และสมชาย ธนสิน ชยกุล, 2549) และหนังสือตั๊กแตนกิ่งไมของพิสุทธิ์ เอกอํานวย แนวทางวินิจฉัยตั๊กแตนกิ่งไมที่พบในประเทศไทย (วิชัย สรพงษไพศาล และสมชาย ธนสินชยกุล, 2549) แนวทางในการวินิจฉัยในวงศยอยของวงศ Heteronemiidae Key to subfamilies of family Heteronemiidae 1 a. หนวดแบบเสนดาย (filiform) และปลองหนวดเห็นชัดเจน หนวดสั้นกวา femur ขาคู หนาแตไมยาวเทากับความยาวของลําตัว; บริเวณดานลางของ femur ขาหลังราบเรียบ ………………………………………………………………………………………………………….Pachymorphinae ภาพที่ 2.5 การเซ็ตตั๊กแตนกิ่งไมบนแผนโฟมกอนนําไปอบแหง ที่มา : พิสุทธิ์ เอกอํานวย, 2556 แนวทางวินิจฉัยตั๊กแตนกิ่งไมที่พบในประเทศไทย
11 แนวทางการวินิจฉัยเผาและสกุลของวงศยอย Lochodinae Key to the tribes and genera of Lochodinae b. หนวดแบบเสนดาย (filiform) และเห็นปลองหนวดไมชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณที่ปลาย หนวด,หนวดยาวกวา femur ของขาคูหนาและมักยาวกวาความยาวของลําตัว; ดานลาง ของ femur ขา 2 คูหลัง มักมีหนามอยูเล็กนอย สวนใหญพบไมมีปก ลําตัวผอมดูคลาย กิ่งไม…………..…………………………………………………………………………………………….……..2 2(1b) a. มีปกหรือไมมีปก; ถาไมมีปก ในปลองทองที่ 1 ยาวกวาแผนแข็งดานหลังอกปลองที่ 3 หรือปลองปลายสุดสวนทองในเพศผูจะไมแยกออกจากกันและไมเปนกลีบหรือพูคู และ ในเพศเมียจะไมมีอวัยวะวางไขที่มีรูปรางเรียวยาวออกไป (oviscapt)…...Necrosciinae b. ไมมีปกหรือปกยังไมพัฒนา ในปลองทองที่ 1 สั้นกวาแผนแข็งดานหลังอกปลองที่ 3; ปลองปลายสุดสวนทอง ในเพศผูจะแยกออกจากกันและเปนกลีบหรือพูคู หรือมีรูปราง เปน 2 นิ้ว เปนเสนโคงดานลางตรงกลาง และในเพศเมียมีอวัยวะวางไขที่มีรูปรางเรียว ยาวออกไป (oviscapt)…………………………………………………………………...Lonchodinae 1 a. ปลายสุดสวนทองมี 2 lopes ที่แบงแยกจากกันและมีรูปรางที่ยืดยาวและมีลักษณะ เหมือนนิ้วมือ 2 นิ้ว; operculum ของเพศเมียเปนแบบงายๆ (Tribe Lonchodini)……2 b. ปลายสุดสวนทองในเพศผูมี 2 lopes แตไมแบงแยกจากกันอยางชัดเจน เปน 2 lopes แบบงายๆ และมีลักษณะเหมือนนิ้วมือ 2 นิ้ว; แผนแข็ง (sclerite) ที่ดานหลังในปลอง สุดทายในเพศเมียไมมีเสนรอยลึกแบง, ปลองทองปลองสุดทายและแผนแข็ง (sclerite) ที่ดานหลังในปลองสุดทายมีรูปรางเรียวยาว operculum มีการยืดเรียวยาว (oviscapt) (Tribe Neopromachini)…..…………………………………………………………………..…………8 2(1b) a. Femur ขาคูกลางยาวกวาแผนแข็งดานหลังของอกปลองที่ 3และปลองทองปลองที่ 2....3 b. Femur ขาคูกลางยาวเทากันหรือสั้นกวาแผนแข็งดานหลังของอกปลองที่ 3 และปลอง ทองปลองที่ 2……..…………………………………………………………………………………………….7 3(2a) a. ปลองทองปลองที่ 2 ในเพศเมียมีลักษณะทะแยงตามขวางหรือเปนลักษณะสี่เหลี่ยม จตุรัส, ในเพศผูปลองทองปลองที่ 2 ไมยาวกวาครึ่งหนึ่งของความกวางของปลองทอง .......................................................................................................................................4 b. ปลองทองปลองที่ 2 ในเพศเมียยาวครึ่งหนึ่งถึง 2 เทาของความกวางของปลองทอง, ใน เพศผูยาว 2-3 เทา ของความกวางของปลองทอง..........................................................5 4(3a) a. Operculum แนวระนาบไมมีสันนูน บริเวณขอบดานหลังมีรอยบาก.....Pericentropsis
12 b. Operculum มีรูปรางคลายเรือ บริเวณปลายเรียวแหลม………………………Menexenus 5(3a) a. ปลองอกและปลองทองไมเรียบ มีแผนแข็งติดอยู(armed) .....................Echinothorax b. ปลองอกและปลองทองเรียบ..........................................................................................6 6(5b) a. ความยาวปลองอกในทั้งสองเพศยาวเปนครึ่งหนึ่งของแผนแข็งดานหลังของอก ปลองที่ 3............................................................................................Chondrostethus 7(2b) a. แผนแข็งดานลางของอกปลองที่ 2 มีสันนูนบริเวณตรงกลาง; femur ขาคูกลางเพศเมีย ดานลางมีลักษณะเรียบ..................................................................................Carausius b. แผนแข็งดานลางของอกปลองที่ 2 ไมมีสันนูนบริเวณตรงกลาง, สวนใหญมีเม็ดเล็กๆ อยู หนาแนนfemur ขาคูกลางในเพศเมียดานหลังมี loped.............................Lonchodes 8(1b) a. แผนแข็งที่อยูทางดานขางของปลองลําตัวที่ 2 และ3 มีหนาม.............Neopromachus b แผนแข็งที่อยูทางดานขางของปลองลําตัวที่ 2 และ3 ไมมีหนาม...................................9 9(8b) a. ลําตัวหรือรางกายทึบแสงและรูปรางเรียวแหลม; ปลองทองที่ 2 ไมยาวกวาความ กวาง………………………….………………………………………….…………….........Eupromachus b. ลําตัวหรือรางกายสองแสงหรือมันเงา (shinly), รูปทรงกระบอกและเรียบหรือมีเม็ด เล็กๆ ; ปลองทองที่ 2 ยาวมากกวาความกวาง............................................................10 10(9b) a ปลองอกเรียบและมีตุมหรือเม็ดเล็กกระจาย....................................................Hyrtacus b. ปลองอกมีตุมหรือเม็ดเล็กหนาแนน..........................................................Brachyrtacus 2(1b) a. Femur ขาคูกลางยาวกวาแผนแข็งดานหลังของอกปลองที่ 3และปลองทองปลองที่ 2....3 b. Femur ขาคูกลางยาวเทากันหรือสั้นกวาแผนแข็งดานหลังของอกปลองที่ 3 และปลอง ทองปลองที่ 2……..…………………………………………………………………………………………….7 3(2a) a. ปลองทองปลองที่ 2 ในเพศเมียมีลักษณะทะแยงตามขวางหรือเปนลักษณะสี่เหลี่ยม จตุรัส, ในเพศผูปลองทองปลองที่ 2 ไมยาวกวาครึ่งหนึ่งของความกวางของปลองทอง .......................................................................................................................................4 b. ปลองทองปลองที่ 2 ในเพศเมียยาวครึ่งหนึ่งถึง 2 เทาของความกวางของปลองทอง, ใน เพศผูยาว 2-3 เทา ของความกวางของปลองทอง..........................................................5 4(3a) a. Operculum แนวระนาบไมมีสันนูน บริเวณขอบดานหลังมีรอยบาก.....Pericentropsis b. Operculum มีรูปรางคลายเรือ บริเวณปลายเรียวแหลม………………………Menexenus 5(3a) a. ปลองอกและปลองทองไมเรียบ มีแผนแข็งติดอยู(armed) .....................Echinothorax b. ปลองอกและปลองทองเรียบ..........................................................................................6 6(5b) a. ความยาวปลองอกในทั้งสองเพศยาวเปนครึ่งหนึ่งของแผนแข็งดานหลังของอก ปลองที่ 3............................................................................................Chondrostethus
13 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Carausius Key to species of genus Carausius แนวทางการวินิจฉัยสกุลของวงศยอย Necrosciinae Key to the genera of Necrosciinae 7(2b) a. แผนแข็งดานลางของอกปลองที่ 2 มีสันนูนบริเวณตรงกลาง; femur ขาคูกลางเพศเมีย ดานลางมีลักษณะเรียบ..................................................................................Carausius b. แผนแข็งดานลางของอกปลองที่ 2 ไมมีสันนูนบริเวณตรงกลาง, สวนใหญมีเม็ดเล็กๆ อยู หนาแนนfemur ขาคูกลางในเพศเมียดานหลังมี loped.............................Lonchodes 8(1b) a. แผนแข็งที่อยูทางดานขางของปลองลําตัวที่ 2 และ3 มีหนาม.............Neopromachus b แผนแข็งที่อยูทางดานขางของปลองลําตัวที่ 2 และ3 ไมมีหนาม...................................9 9(8b) a. ลําตัวหรือรางกายทึบแสงและรูปรางเรียวแหลม; ปลองทองที่ 2 ไมยาวกวาความ กวาง………………………….………………………………………….…………….........Eupromachus b. ลําตัวหรือรางกายสองแสงหรือมันเงา (shinly), รูปทรงกระบอกและเรียบหรือมีเม็ด เล็กๆ ; ปลองทองที่ 2 ยาวมากกวาความกวาง............................................................10 10(9b) a ปลองอกเรียบและมีตุมหรือเม็ดเล็กกระจาย....................................................Hyrtacus b. ปลองอกมีตุมหรือเม็ดเล็กหนาแนน..........................................................Brachyrtacus 1 a. หัวไมมีหนามหรือถามีหนามตองไมเปนลักษณะหงอน, ขาคูหนากวาง...........................3 b. หัวมีหรือไมมีหนามเปนลักษณะหงอนค.ู........................................................................2 2(1b) a. Tibia ที่ขาคูหนาเปนแผนแบนและบริเวณตรงกลางมีสวนโคงยื่นออกมาเปนลักษณะมี loped ขางละ 2 อัน......... Carausius thailandi Thanasinchayakul (new species) b. Tibia ที่ขาคูหนาเปนแผนแบน และบริเวณตรงกลางไมมีสวนโคงยื่นออกมาเปนลักษณะ loped............................ Carausius siamensis Thanasinchayakul (new species) 3(1a) a. ดานหลังปลองทองปลองที่ 7 มีลักษณะเปนหงอน.....Carausius nodosus (de Haan) b. ดานหลังปลองทองมีลักษณะไมเปน loped...................................................................4 4(3b) a. Tarsi ขาคูหนาเปน loped..............................Carausius crawangenesis (de Haan) b. Tarsi ขาคูหนาเห็นเปน loped ไมชัดเจน……...........Carausius globosus (de Haan) 1 a. บริเวณฐาน femur ของขาคูหนาเห็นสวนโคงและมีรอยลึกเขาไปอยางชัดเจน.............2 b. บริเวณฐาน femur ของขาคูหนาเรียบตรง หากแบงหรือผาตามขวางจะเปนรูป ทรงกระบอกกลมหรือไมเห็นสวนรอยลึกเขาไป..........................................................15
14 2(1a) a. ปกแบบ elytra, ในเพศเมีย ปกจะมีเสนแขนง ปกสั้นหรือปกเล็กมาก; หรือไมมีปก .......................................................................................................................................3 b. ปกแบบ elytra ชัดเจน, ปกมากหรือนอยสามารถเห็นไดอยางชัดเจน; อวัยวะวางไขไม พัฒนา............................................................................................................................7 3(2a) a. ปกคูหนาสั้นมากมี ปกคูหลังลดรูป........................................................Phaenopharos b. ปกปกติ..........................................................................................................................4 4(3b) a ดานหนาของ tarsi ปลองที่ 3 มีหงอนหรือสวนที่ยื่นออกมา……………….…………………..5 b. ดานหนาของ tarsi ปลองที่ 3 ราบเรียบ........................................................................6 5(4a) a. Operculum มีลักษณะคลายเรือ และมีแนวสันที่บริเวณยอด….……… Leprocaulinus b. Operculum มีลักษณะราบแบน ไมมีแนวสัน................................Phenacocephalus 6(4b) a. Operculum มีลักษณะเปนรูปหรือตัดทู เปนเหลี่ยม………………..……Paramyronides b Operculum มีลักษณะแคบหรือเล็ก ภาพรวมคลายลักษณะเขา, อวัยวะวางไขยาว ...........................................................................................................................Orxines 7(2b) a. Operculum มีลักษณะรูปตัดหรือมีลักษณะเปนขอบที่สวนปลายสุด………………..........8 b. Operculum มีลักษณะแหลมหรือกลมมนที่ขอบสวนปลายสุด, ไมเปนแทง...............10 8(7a) a. Operculum มีลักษณะเรียบ, สวนปลายสุดไมเปนแทง………………..............................9 b. Operculum แคบ บริเวณขอบหลังเปนแทง, เรียบ,และเหมือนมีเขา; ตาเดี่ยวเห็น ชัดเจน…………..............…………………………………………………………………....Aruanoidea 9(8a) a. หัวงุมต่ํา.............................................................................................................Asceles b. หัวมีลักษณะกลม..........................................................................................Neoclides 10(7b) a. ดานหลังของหัวมีลักษณะกลมนูนขึ้น...........................................................................11 b. หัวยาว, งุมต่ํา………..……………………………………………………….....................................13 11(10a) a. ปกแบบ elytra มีโหนกหรือตุมนูนเล็กเห็นไมชัดเจน, ปกมีเสนแขนง..........................12 b. ปกแบบ elytra มีโหนกหรือตุมนูนเล็กชัดเจน , ปกไมมีเสนแขนง......................Sosibia 12(11a) a. ปกลายเหมือนเปลือกไม..........................................................................Trachythorax b. ปกไมมีลายเหมือนเปลือกไม……………………………………………………................Micadina 13(10b) a. เพศเมียไมมีปกหรือมีปกที่เล็กมาก; femur 4 ขาหลังมีซ่ฟีนอยูที่สวนปลายดานลาง 1-2 ชุด........................................................................................................Lopaphus b. ปกในเพศเมียยาว; femur 4 ขาหลังไมมีหนาม...........................................................13
15 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Phaenopharos Key to species of genus Phaenopharos แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Trachythorax Key to species of genus Trachythorax แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Sipyloidea Key to species of genus Sipyloidea 14(13b) a. ตําแหนงตาอยูดานหนาของหัว……...............................................................Sipyloidea b. ตําแหนงตาอยูกลางของหัว……………………………………...............................Platysosibia 15(1b) a. ปกแบบ elytra หรือไมมีปก................................................................. Meionecroscia b. ปกแบบ elytra และยาว...............................................................................Nescicroa 1 a. ปกคูหนาสั้นมากแบบ tegmina มีสีเขียวลายสีเหลือง สวนเนื้อปกออน(membrane) มี สีสม ไมมีปกคูหลัง……………………................Phaenopharos khaoyaiensis Zompro b. ปกคูหนาสั้นมากแบบ tegmina ไมมีลวดลายและมีปกคูหลัง…………………………………… ………………………………….…………...........Phaenopharos struthioneus (Westwood) 1 a. หัวนูนแหลม รอยตอระหวางหัวกับ pronotum มีเสนสีแดง mesonotum ตัวมีลาย เหมือนเปลือกไมแหง................................Trachythorax maculicollis (Westwood) b. หัวนูนแหลม รอยตอระหวางหัวกับ pronotum ไมมีเสนสีแดง……………………….........2 2 a. Prothroax มีสีน้ําตาลแถบดํา; mesothorax ไมเปนรูปพื้นที่ตัววี (V-shaped) สีดํา…… ……………........................................................Trachythorax atrosignatus (Brunner) b. Prothroax มีสีน้ําตาลเขม; mesothorax เปนรูปพื้นที่ตัววี (V-shaped) สีดํา…………….. ………………………..................................……………………........Trachythorax gohi Brock 1 a. ปกคูหลังสีชมพู…………………………………………………………….........................................2 b. ปกคูหลังไมเปนสีชมพู……………………………………………………………..............................3 2(1a) a. ปลองอกมีลักษณะเปนโคงนูนหรือเปนหัว; ปลายสุดสวนทองแหลม…….......................... ................................................................................Sipyloidea sipylus (Westwood) b. ปลองอกมีลักษณะไมเปนโคงนูนหรือไมเปนหัว; ปลายสุดสวนทองมีลักษณะกลมมน ...............………………………………………….........Sipyloidea perakensis Seow-Choen 3(2b) a. ปลายสุดสวนทองมีรูปรางแหลม...................................................................................4 b. ปลายสุดสวนทองไมมีแหลม........................................................................................5
16 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Asceles Key to species of genus Asceles 4(3a) a. ปกคูหลังมีสีน้ําตาลเขม..............................................Sipyloidea sordida (de Haan) b. ปกคูหลังมีสีเทาออน..........Sipyloidea aphanamixisThanasinchayakul (new species) 5(3b) a. ปกคูหนาและขอบปกดานบนของปกคูหลังมีสีนาตาลในเพศเมีย, สีเขียวและสีนาตาลใน เพศผู…....................................................Sipyloidea meneptolemos (Westwood) b. ปกคูหนาและขอบปกดานบนของปกคูหลังมีสีน้ําตาลเขมหรือสีดําและปกคูหลังมีสี น้ําตาลทั้งสองเพศ ……..………………………...........Sipyloidea magna Redtenbacher 1 a Mesothorax มีหนามคู…………………………….......Asceles brevicollis Redtenbache b. Mesothorax มีลักษณะตุมนูนจํานวนมาก ไมมีหนาม...................................................2 2(1b) a. สวนปลายสุดของ tibia ขาคูหนาและดานหนาของ tarsi ปลองแรกกวาง…………………… ………………………...............……………………….…………Asceles validus Redtenbacher b. สวนปลายสุดของ tibia ขาคูหนาไมกวาง......................................................................3 3(2b) a. ปลองทองที่ 7 ถึง 9 เปน loped………………………..... Asceles larunda (Westwood) b. ปลองทองที่ 7ถึง 9ไมเปน loped................................................................................4 4(3b) a. ลําตัวเรียวยาว……………………………..…………….......... Asceles malaccae (Saussure) b. ลําตัวยาวกะทัดรัด (compact) ………….………………………………………......................... 5 5(4b) a. ชนิดที่อาศัยอยูในพื้นที่ตา (Lowland); ปกยาวและใหญ………………………………………….. ..............................................Asceles tanarata singapura Seow-Choen & Brock b. ชนิดที่ไมอาศัยอยูในพื้นที่ต่ํา...........................................................................................6 6(5b) a. ปกคูหนาสั้น; ปกคูหลังคลมุเกือบถึงปลายสุดสวนทอง...................................................7 b. ปกคูหนาสั้น; ปกคูหลังสั้นคลุมเกือบถึงครึ่งของสวนทอง..……………………..………………..8 7(6a) a. ปกคูหนาสีสม ปกคูหลังสวนของ tegmina สีสม สวนเนื้อปก membrane สีดําเทา ลําตัว ทอง และขามีสีเขียวเขม....Asceles artabotrys Thanasinchayakul ( new species) b. ปกคูหนาสีเขียว มีจุดนูนสีดําตรงกลางปก ปกคูหลังในสวนของ tegmina สีเขียว สวน เนื้อปกสีสมแดง และขามีสีดําเทา………………………………………………………………………….. .....................................Asceles dipterocarpus Thanasinchayakul (new species) 8(6b) a. ชนิดที่อาศัยอยูในพื้นที่สูง (Highland); ปกขนาดเล็กและสั้น…………………………………….. ………………………………..........................................Asceles tanarata tanarata Brock b. ชนิดที่อาศัยอยูในพื้นที่กลาง); ปกยาวขนาดกลาง…….Asceles tanarata amplior Brock
17 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Paramyronide Key to species of genus Paramyronide แนวทางการวินิจฉัยเผาและสกุลของวงศยอย Pachymorphinae Key to the tribes and genera of Pachymorphinae แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Gratidia Key to species of genus Gratidia 1 a. ลําตัวไมมีจุดสีขาว....Paramyronides atalanitia Thanasinchayakul (new species) b. ลําตัวมีจุดขาวขนาดเล็ก.........................................................................................2 2(1b) a. b. หนวดสั้นกวา tibia ขาคูหนา……………………………………….………………………………… ……………….…..Paramyronides psidium Thanasinchayakul (new species) หนวดยาวกวา tibia ขาคูหนา ……………………………………………………………………….. …………….Paramyronides bougainvillea Thanasinchayakul (new species) 1 a. ปลองทองสุดทายในเพศผูเปนรูปตัด (truncate) หรือรอยเฉือนเล็กนอย, ในเพศเมียมี ความไมแนนอน; หนวดสั้นกวา femur ของขาคูหนา; ปลองทองที่ 2 เมื่อรวมกัน 2 ครั้งจะมีขนาด ยาวกวาความกวาง (ยกเวน Parapachymorpha) ; Cerci เรียวยาว แตไมเปนกลีบหรือพูยืดยาว; femur ของขาคูกลาง และคูหลังไมมีหรือไมคอยพบ หนาม……………..(Gratidini)........................................................................................3 b. หนวดสั้นกวา femur ของขาคูหนาและ operculum เรียวยาวออกไป………... (Hemipachymorphini) …………..…………………………………………..………………………..2 2(1b) a. ที่บริเวณปลายสุดของปลองทองบริเวณขอบ ในเพศผูขยายหรือแผยืดยาว ตรง เปน กลีบหรือพูมีหนามละเอียดหรือบางอยูขางใน.......................................Oreophasma b. ปลองทองสุดทายในเพศผูไมเปนกลีบหรือพู, ไมตรง, ไมเปนลักษณะกลมบอบบางที่ บริเวณขอบปลายสุดของปลองทอง............................................Pseudopromachus 3(1a) a. ตัวเรียวยาว……………......................................................................................Gratidia b. ตัวอวนปอม ไมเรียวยาว.........................................................................................….4 4(3b) a. ลําตัวมีลักษณะเปนจุดตามลําตัว................................................................. Medaura b. ลําตัวมีลักษณะไมเปนจุดตามลําตัว หรือมีหนามขนาดเล็ก........... Parapachymorpha 1 a. Notum อกปลองที่ 2 มีหนามเปนตุมขนาดเล็กจํานวนมาก……………………………………. ………………………………..…..Gratida asystasia Thanasinchayakul (new species) b. Notum อกปลองที่ 2 ไมมีหนาม เปนตุมขนาดเล็ก...................................................2
18 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Medaura Key to species of genus Medaura แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Parapachymorpha Key to species of genus Parapachymorpha แนวทางการวินิจฉัยวงศยอยในวงศ Phasmatidae Key to the subfamilies of family Phasmatidae 2 a. ตัวสีนาตาลปนลายสีดํา สวนหัว อกและทองมีลายสีดํา......Gratidia luethyi Zompro b. ตัวสีเทาหรือเขียวเรียบ ไมมีลาย....................................Gratidia fritzschei Zompro 1 a. ลําตัวมีหนามเล็กลักษณะเปนจุดตามลําตัว สวนขามีลายสีดํา....................................... …………………………Medaura lagerstroemia Thanasinchayakul (new species) 1 a. หนวดสันกวา femur ขาคูหนาและ notum ของอกปลองที่ 2 และ 3 มีหนามและ บริเวณตรงกลาเปนรูปวงรีสีขาว..................Parapachymorpha spinosa Brunner b. หนวดสั้นกวา femur ขาคูหนาและ notum ของอกปลองที่ 2 และ 3 บริเวณตรง กลางไมมีเปนรูปวงรีสีขาว…………………………………………………………………………………2 2 a. ตัวสีน้ําตาลเทาบริเวณดานบนของ femur ของขาคูกลางมีลักษณะเปนลูบวงกลมยื่น ขึ้น ขางละ 1 อัน....Parapachymorpha zomproi Fritzsche Gitsaga (new species) b. ตัวสีน้ําตาลเทา บริเวณดานบนของ femur ของขาคูกลางมีลักษณะไมเปนแผนวงกลม ยื่น...............Parapachymorpha commelina Thanasinchayakul (new species) 1 a. เมื่อแบงตามขวาง femur ของขาคูหนาไมเปนสามเหลี่ยม แตถาเปนจะตองไมมีฟน (serrate) ที่ฐาน; femur ของขาคูหนามักมีแนวสัน 4 แนวและไมมีฟนเชนเดียวกันกับ ที่ดานบน ………..........................................................................................................2 b. เมื่อแบงตามขวาง femur ของขาคูหนามีลักษณะคลายสามเหลี่ยม, มีซี่ฟนที่ดานบน ของ.............………………………………………………………………………………..Phasmatinae 2(1a) a. Operculum และแผนแข็ง sclerite ดานหลังสวนทายสุดของเพศเมียเรียวยาว (oviscapt) (ยกเวน Thaumatobactron) femur ขาหลังเพศผูมีหนาม…Eurycanthinae b. Operculum และแผนแข็ง sclerite ดานหลังสวนทายสุดของเพศเมียไมมีการเรียว ยาว (oviscapt) femur ขาหลังของเพศผูไมหนาและไมมีหนาม................................3 3(2b) a. แนวดานหลังและดานขางของ femur ของขาคูกลางและคูหลังมีซี่ฟน (serrate) หรือ ราบเรียบ,femur ของขาคูหนาที่ฐาเรียบ………...........................................................4
19 แนวทางการวินิจฉัยเผาและสกุลของวงศยอย Phasmatinae Key to the tribes and genera of Phasmatinae b. Femur ขาคูกลางและคูหลังมีซี่ฟนตรงและมีแนวหลุมเปนรอยเวาเขา femur มีรอย ชัดเจน.............…..…………………………………………………………………………Xeroderinae 4(3a) a. ดานขางของหนาหรือแกมไมกวางกวาสวนของตา; ปกพัฒนาดี, ปกแบบ elytra เปน รูปไข ยาว และมีลายสลักนูนขึ้นมาซึ่งไมแข็งแรงมาก…………............Tropidoderinae b. ดานขางของหนาหรือแกมกวางกวาสวนของตา; ปกแบบ elytra และสวนมากมีปกสั้น หรือเห็นไมชัดเจน……...........................................................................Platycraninae 1 2(1b) 3(2a) 4(1a) 5(4a) 6(4b) 7(2b) a. b. a. b. a. b. a. b. a. b. a. b. a. ทั้งสองเพศไมมีปก, หรืออยางนอยเพศเมียไมมีปก......................................................4 ทั้งสองเพศมีปกหรือปกยังไมพัฒนา............................................................................2 Cerci ของเพศเมียสั้นและบอบบาง; เพศผูไมมีตาเดี่ยว, ปกแบบ elytra และปกของ เพศเมียมักลดรูปลงไป................................................................................................3 Cerci ของเพศเมียเปนแผนแข็งแบนกวางหรือยาวและคลายหอก; เพศผูเห็นตาเดี่ยว ชัดเจน………….............................(Phasmatini)........................................................7 Operculum ของเพศเมียไมยาวอยางผิดปกติ, หัวโปงออกหรือนูนขึ้นมา; femur ของ ขาคกูลางและคูหลังมีซีฟน (serrate) เรียงกัน ทางดานขาง……….(Stephanacridini)……. ..................................................................................................................................Stephanacris Operculum ของเพศเมียยืดขยายออกไปจนสุดปลายสวนทอง; ลําตัวผอม, เรียวยาว, ไมมีซีฟน, ....................................(Pharmacini)....................................Hermarchus ลําตัวขนาดใหญ เรียวยาว ขามีหนามแหลมจํานวนมาก............................................5 ลําตัวขนาดกลาง เรียวยาว ขามีหนามแหลมจํานวนนอย..………………………………......6 Operculum ของเพศเมียยืดยาวจนเลยสุดปลายสวนทอง, ดานหลังปลองทองมีแผน รูปสามเหลี่ยม……………..………………………………………............................ Pharmacia Operculum ของเพศเมียยืดยาวมากเลยสุดปลายสวนทอง, ไมมีแผนรูปสามเหลี่ยม ......................………………………………………………………………………………..…Nearchus ทั้งสองเพศไมมีปกใชในการบิน; ปลองอกที่ 2 เห็นชัดเจนและสั้นกวาปลองอกที่ 3…….. ……………................................(Baculini).....................................................Baculum เพศผูไมมีปก; ปลองอกที่ 2 ของเพศเมียยาวเทากับปลองอกที่ 3…………………………… …………..………………………..……(Pharmacini)……………………..………....Hermarchus
20 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Nearchus Key to species of genus Nearchus แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Baculum Key to species of genus Baculum 8(7a) 9(8b) 10(9a) 11(10a) 12(10b) b. a. b. a. b. a. b. a. b. a. b. ดานลางของ tibia ขาหลังมีหนาม (spines) เรียงกัน 3 ชุด; ดานลางของแนวหลังไมมี หนามซี่ใหญ………………………………………………………………………………………..…………8 tibia ขาหลังมีหนาม (spines) ที่ใหญหรือมีแนวซี่ฟนที่ดานลางของแนวหลัง, สวน ดานลางของดานหนา……..........................................................................Eurycnema Tarsus ปลองที่ 3 ยาวกวา tarsus ปลองอื่นๆ : ปกในเพศเมียสั้น..........Ctenomorpha Tarsus ปลองที่ 3 สั้นกวา tarsus ปลองอื่นๆ : ปกในเพศเมียยาว.............................9 ดานลางของ tibia ขาหลังมีแนวหนาม(spines) 1 แถว.............................................10 ดานลางของ tibia ขาหลังมีแนวหนาม (spines) 2 แถวหรือมากกวา.............Phasma ปลองอกที่2 มีลักษณะคลายเม็ดหรือเปนปุมหรือตุมที่นูนตรงออกมา, มักไมคอยจะ มีหนามเปนแถวค……………………………………………………………………………................11 ู ปลองอกที่ 2 มีหนามแข็ง; .......................................................................................12 ดานหลังของสวนหัวมีลักษณะเปนรูปทรงกรวยสูงและมีปุมหรือตุมที่นูนออกมาเปนคู ……………………………………………………………………………………………………….Peloriana ดานหลังของสวนหัวไมมีลักษณะเปนรูปทรงกรวยสูง....................................Anchiale Femur ขาคูหนามีหนามหรือซี่ฟนอยางชัดเจนและดานลางมีซี่ฟนหนามแข็ง……......... …………………………………………………………………………………………….………..Acrophyla Femur ขาคูหนามีหนามหรือซี่ฟนไมแข็งหรือออนบาง…..............……………......Vetilia 1 a. b. เพศเมียหนวดสั้นกวา femur ขาหนา ไมมีปก operculum เปนรองยื่นยาวเกินสวน ปลองทองมากในเพศผู ตัวสีน้ําตาล หนวดยาวกวา femur ของขาคูหนา สวนอกขาง ลําตัวมีแถบสีขาว…………………..………..............Nearchus maximus Redtenbache ทั้งสองเพศหนวดยาวกวา femur ของคูขาหนา ไมมีปก operculum ยื่นยาวเกินสวน ทองไมมาก.....................................................Nearchus grubaueri Redtenbacher 1 2(1a) a. b. a. หัวมีหนาม...................................................................................................................2 หัวไมมีหนาม...............................................................................................................4 ที่หัวมีหนามลักษณะเรียวแหลม..................................................................................3
21 แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Pharmacia Key to species of genus Pharnacia 3(2a) 4(1b) 5(4b) 6(5a) b. a. b. a. b. a. b. a. b. หัวมีหนามคลายหู, femur ขาคกูลางมีหนามขางละ3 อัน............................................... ……………………………………………………………………………..Baculum thai Redtenbacher หัวมีหนามแหลมและที่ femur ขาคูกลางมีหนามขางละ 1 อัน……………………………… ..........................................Baculum ziziphus Thanasinchayakul (new species) หัวมีหนามแหลม และที่ femur ของขาคูกลางมีหนามมากกวา 1 อันและบางสวนมี แผนแบน.………………….Baculum rachaburii Thanasinchayakul (new species) Femur ของขาคูกลางมีลักษณะโคง……………………………………..…………………………….. …………………………….....Baculum harrisonia Thanasinchayakul (new species) Femur ของขาคูกลาง มีลักษณะตรง………..................................................................5 ขาคูกลางและขาคูหลังมีหนาม………………...................................................................6 ขาคูกลางและคูหลังเรียบไมมีหนาม.............................................……………………………. …………………………………Baculum saimensis Thanasinchayakul (new species) Femur ขา 2 คูหลัง ดานลางมีหนามขางละ 1 อัน........................................................ …………………………………Baculum chengmaii Thanasinchayakul (new species) Femur ของขาคูกลาง มีหนามขนาดเล็กมากขางละ 3 อัน……………………………………… ...............................................Baculum vitex Thanasinchayakul (new species) 1 2(1a) a. b. a. b. หัวมีลักษณะนูนแบงออกเปน 2 ตุม.............................................................................2 หัวเรียบ; ขามีหนามแตไมแบน; mesosternum และ metasternm มีจุดสีมวง; หลัง ตามีสีดํา ขอบปก ของปกคูหลังมีสีเขียวและมีแถบสีขาวขางลําตัวในเพศผู……………….. ...........................................Pharmacia Sumatranus (Brunner Von Wattenwyl) ขามีหนามแตไมแบน; mesosternum และ metasternm มีจุดสีเหลือง, ขอบปก ของปกคูหลังและขางลําตัวมีสีน้ําตาลเทาในเพศผู………................................................ ……………………………………………………………………Pharmacia cantori (Westwood) ขามีหนามแบน; mesosternum และ metasternum ไมมีจุด; ขอบปกของปกคูหลัง มีสีเขียวและมีแถบสีขาวขางลําตัวในเพศผู……..Pharnacia chiniensis Seow-Choen
22 แนวทางการวินิจฉัยเผาและสกุลในวงศยอย Heteropterygina และวงศ Bacillidae Key to tribes and genera of family Bacilliidae and Heteropteryginae แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Datames Key to species of genus Datames แนวทางการวินิจฉัยชนิดในสกุล Heteropteryx Key to species of genus Heteropteryx 1 2(1a) 3(2b) 4(1b) a. b. a. b. a. b. a. b. หนวดเห็นปลองชัดเจน สั้นหรือยาวมากกวา femur ของขาหนา ไมมีปก แผนแข็ง ดานขางที่อกปลองแรก(prosternum) มีตุมขรุขระ 2 ตุม, บริเวณปลาย tibia ไมมี หนาม, แผนแข็ง sclerit ดานหลังสวนทายสุดเห็นไมชัดเจน ฐานปลองหนวดไมมีซี่ฟน (Tribe Datamini)………………………………………………………………................................2 หนวดเห็นปลองชัดเจน ยาวมากกวา femur ของขาหนา, มีปก…..............................4 บริเวณกลางอกปลองที่ 3 ไมมีหนาม………...................................................Datames บริเวณกลางอกปลองที่ 3 มีหนาม………......................................................................3 การเรียงตัวของหนาม (spines) ที่บริเวณกลางอกปลองที่ 3 มีลักษณะเปนคู…………… …………………………………..…………………………………................................Pylaemenes การเรียงตัวของหนาม (spines) ที่บริเวณกลางอกปลองที่ 3 มีลักษณะเรียงตามแนว ขวาง........……………………………………………………………………………………..Woodlarkia ไมมีปก แผนแข็งดานขางที่อกปลองแรก (prosternum) มีตุมขรุขระ 2 ทุมบริเวณ ปลาย tibia มีหนาม (ยกเวน Heterocopus) แผนแข็งsclerite ดานหลังสวนทายสุด ของเพศเมียแยกออกจาก ปลองทองที่ 10 อยางชัดเจน.........................Heterocopus มีปกหรือปกสั้น ตัวขนาดใหญ หัวลําตัว ขาและสวนทองมีหนามแหลมในเพศผู และ ในเพศเมียปกสั้น………………………………………………………………………… Heteropteryx 1 a. b. ตัวขนาดเล็กอวนปอม หนวดสั้นกวา femur ขาคูหนา สวนหัว อกและทองเรียบ………. …………..........................Datames kasetsartii Thanasinchayakul (new species) ตัวขนาดเล็กอวนปอม หนวดยาวกวา femur ขาคูหนา สวนหัว อกและทองไมเรียบ หรือขรุขระ………………………………………………………......Datames mouhotii (Bates) 1 a. เพศเมีย ตัวสีเขียวอวนปอมขนาดใหญหัว อกและทองมีหนามแหลมขนาดใหญ ปกคู หนาสั้นแบบtegmina สีเขียว ทองปลองสุดทายเรียวแหลม……………………………………. ….……………………………………….........................Heteropteryx dilatata (Parkinson)
23 2.6 งานวิจัยที่เกี่ยวของ วิชัย สรพงษไพศาล และสมชาย ธนสินชยกุล ไดทําการสํารวจตั๊กแตนกิ่งไมและตั๊กแตนใบไมใน ประเทศไทย เขตภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงใหม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดขอนแกน มหาสารคาม และนครราชสีมา ภาคกลาง ที่จังหวัดนครปฐม ภาคตะวันออก ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา และปราจีนบุรี ภาคตะวันตก ที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และภาคใต ที่จังหวัด ภูเก็ต และตรัง เริ่มสํารวจตั้งแตเดือน มกราคม 2547 ถึง เดือนธันวาคม 2548 พบตั๊กแตนกิ่งไมและตั๊กแตนใบไม ทั้งหมด 4 วงศ ไดแกHeteronemiidae, Phasmatidae, Bacillidae และ Phyllidae และจําแนก เปน 31 ชนิด พบชนิดใหม (ตั้งชื่อใหม) 19 ชนิด มี 2 ชนิดที่ไมพบการรายงานในประเทศไทย แตมีการตั้งชื่อแลว และ 10 ชนิดที่มีการรายงาน และมีการตั้งชื่อแลว ไดบรรยายลักษณะเปรียบเทียบ ของชนิดใหม ในการจําแนกระดับชนิดตั๊กแตนกิ่งไมและตั๊กแตนใบไมในประเทศไทย ใชขอมูลทาง สัณฐานวิทยาของตัวแมลง และลักษณะโครงสรางภายนอกของไขภายใตกลอง กิตติ ตันเมืองปก และคณะ ไดทําการศึกษาความหลากชนิดของตั๊กแตนใบไมและตั๊กแตนกิ่งไม ในวนอุทยานผางาม จังหวัดเลย สํารวจตั้งแตเดือนพฤศจิกายน 2559 ถึงเดือนกันยายน 2560 โดยใช ไฟฉายสองและเก็บตัวอยางโดยตรง เวลา 19.00-24.00 น. ตามเสนทางที่ทําการวนอุทยานผางาม และจุดชมวิว ผลการศึกษาพบตั๊กแตนกิ่งไมทั้งหมด 2 วงศ 8 สกุล 8 ชนิด จํานวนรวม 120 ตัว ไดแก วงศ Dipharomeridae พบ 3 สกุล 3 ชนิด วงศ Phasmatidae พบ 5 สกุล 5 ชนิด และตั๊กแตนกิ่งไม ที่ไมสามารถระบุชนิดได 1 ตัว พบตั๊กแตนใบไม วงศ Phyllidae 1 ชนิด จํานวน 1 ตัว ไดแก ตั๊กแตน ใบไมเล็กลําพูน (Phyllium westwoodii) ดัชนีความหลากชนิดเทากับ 1.935 คาดัชนีการกระจาย ตัวอยางสม่ําเสมอเทากับ 0.840 คาดัชนีความเดนเทากับ 0.175 พบวาตั๊กแตนกิ่งไมยักษสยาม (Tirachoidea siamensis) มีความชุกชุมสัมพัทธมากที่สุด 26.717 เปอรเซ็นต คาความถี่ที่ปรากฏ พบวาตั๊กแตนกิ่งไมเรียวสยาม (Ramulus siamensis) มีคาความถี่ที่ปรากฏ 100 เปอรเซ็นต และทั้ง สองพื้นที่มีคาดัชนีความคลายคลึงเทากับ 0.75 อารยา ดอนเกิด และคณะ ไดทําการศึกษาความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไมใน เขตหวยน้ําลาย อําเภอเมือง จังหวัดเลย โดยทําการศึกษาตั้งแตเดือนสิงหาคม 2560 ถึงเดือนมิถุนายน 2561 สํารวจโดยใชไฟสอง และเก็บตัวอยางโดยตรง ตั้งแตเวลา 19.00-24.00 น. โดยสํารวจตาม เสนทางเดินในเขตหวยน้ําลาย ระยะทางศึกษา 1 กิโลเมตร พบวามีตั๊กแตนกิ่งไม ทั้งหมด 2 วงศ 3 สกุล 3 ชนิด รวมทั้งหมด 60 ตัว ไดแก วงศ Diphatomeridae 1 สกุล 1 ชนิด ไดแก Asceles artabotrys และวงศ Phasmatidae 2 สกุล 2 ชนิด ไดแก Ramulus sp. และ Phobaeticus magnus มีคาดัชนีความหลากชนิดเทากับ 0.597 คาดัชนีการกระจายตัวอยางสม่ําเสมอเทากับ 0.543 มีคาความชุกชุม และคาความถี่ที่ปรากฏสูงสุดของตั๊กแตนกิ่งไมโคนขาแดง (Ramulus sp.)
24 พบวามีคามากที่สุด มีคาเทากับ 81.66 เปอรเซ็นต และ 100 เปอรเซ็นต ตามลําดับ และมีคาดัชนี ความคลายคลึงเทากับ 0.91
25 บทที่ 3 วิธีดําเนินการวิจัย 3.1 เครื่องมือที่ใชในการวิจัย 3.1.1 โทรศัพทมือถือ ยี่หอ Huawei รุน Nova7i 3.1.2 โทรศัพทมือถือ ยี่หอ Xiaomi รุน Mi a2 3.1.3 เอทิลแอลกอฮอลเขมขน 70% โดยใชฆาตั๊กแตนกิ่งไม 3.1.4 สําลี โดยใชชุบเอทิลแอลกอฮอล 3.1.5 เข็มหมุด โดยใชปกยึดแมลงในการจัดรูปรางตั๊กแตนกิ่งไม 3.1.6 ขวดโหลแกวมีฝาปด 3.1.7 แผนโฟม โดยใชจัดรูปรางเพื่อเก็บรักษาตัวอยางตั๊กแตนกิ่งไม 3.1.8 กลองจุลทรรศนสเตอริโอ 3.1.9 ฟวเจอรบอรด 3.1.10 ไฮโกรมิเตอรแบบกระเปาะเปยก - กระเปาะแหง 3.2 ลักษณะพื้นที่ทําการศึกษา การศึกษาความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไมในพื้นที่ปามหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานี (สามพราว) การศึกษาในครั้งนี้เปนการวิจัยเชิงสํารวจ (Survey research) ระเบียบวิธีวิจัยมี ขั้นตอนการดําเนินการดังนี้ 3.2.1 การกําหนดเสนทางเก็บตัวอยาง เลือกเสนทางศึกษาจากปาเต็งรังของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) ทางดานทิศ ตะวันออก โดยแบงเปน 2 เสนทาง เสนทางละ 500 เมตร แตละเสนทางจะมีสภาพพื้นที่แตกตางกัน ดังนี้ เสนทางที่ 1 เดินสํารวจตามแนวเสนทางเดินเดิมที่ถูกถางจนเปนที่โลงมีหญาขึ้นปกคลุมตลอด เสนทาง สวนดานขางจะเปนปา เสนทางที่ 2 สภาพพื้นที่เปนปาเต็งรังโลงสลับทึบไมมีรอยเสนทางเดิน ตองใชแผนฟวเจอรบอรด ขนาดประมาณ 10 x 10 เซนติเมตร มัดไวกับตนไมเปนเครื่องหมายในการ กําหนดเสนทางการเดินสํารวจ และทําการเดินสํารวจในสภาพพื้นที่จริง
26 ภาพที่ 3.1 พื้นที่ศึกษาปาเต็งรังของมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) ที่มา : https://www.google.com/maps/place/มหาวิทยาลยัราชภฏัอุดรธานี(ศนูยสามพราว) เสนทางสํารวจที่ 1 พิกัด 17°27'18.6"N 102°56'22.4"E ถึง 17°27'02.2"N 102°56'22.3"E ลักษณะพื้นที่เปนแนวเสนทางเดินเดิมที่ถูกถางจนเปนที่โลงมีหญาขึ้นปกคลุมตลอดเสนทาง สวนดานขางจะเปนปา เสนทางสํารวจที่ 2 พิกัด 17°27'02.2"N. 102°56'22.3"E ถึง 17°26'46.7"N 102°56'18.5"E ลักษณะพื้นที่เปนปาเต็งรังโลงสลับทึบไมมีรอยเสนทางเดิน
27 ภาพที่ 3.2 สภาพพื้นที่บริเวณเสนทางสํารวจที่ 1 เปนที่โลงมีหญาปกคลุมตลอดเสนทาง ที่มา : ผูเขียน ภาพที่ 3.3 สภาพพื้นที่บริเวณเสนทางสํารวจที่ 2 เปนปาเต็งรังโลงสลับทึบ ที่มา : ผูเขียน
28 3.2.2 การรวบรวมขอมูลสภาพอากาศ ทําการเก็บรวบรวมขอมูลอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ ดวยไฮโกรมิเตอรแบบกระเปาะเปยก – กระเปาะแหง ในแตละครั้งที่ลงทําการสํารวจ และทําการศึกษาปริมาณน้ําฝนในแตละเดือน โดยใชขอมูลที่จากสถานีตรวจอากาศ : ทาอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งตั้งอยูที่ละติจูด 17 องศา 38 ลิปดาเหนือ และลองจิจูด 102 องศา 8 ลิปดาตะวันออก อยูสูงจากระดับน้ําทะเลปานกลาง 177 เมตร 3.3 การสํารวจชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมและการเก็บตัวอยาง ทําการสํารวจชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม และเก็บตัวอยางโดยใชวิธีเก็บตัวอยางโดยตรง (direct searching) ทั้งสิ้น 12 ครั้ง เปนเวลา 3 เดือน ตั้งแตเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 โดย ทําการลงพื้นที่สํารวจ 1 ครั้ง ทุกวันเสารหรือวันอาทิตยในแตละสัปดาห ตั้งแตเวลา 10.00 น. - 14.00 น. การเดินสํารวจจะเดินแถวตอนเรียงหนึ่ง โดยระเบียบวิธีวิจัยมีขั้นตอนการดําเนินการดังนี้ 3.3.1 การจําแนกและระบุชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม ทําการเดินสํารวจตามเสนทางที่ไดกําหนดไว เมื่อพบตัวอยางจะทําการจําแนกและระบุชนิด ของตั๊กแตนกิ่งไมที่พบ โดยใชแนวทางวินิจฉัยตั๊กแตนกิ่งไมที่พบในประเทศไทย (วิชัย สรพงษไพศาล และสมชาย ธนสินชยกุล, 2549) และหนังสือตั๊กแตนกิ่งไมของพิสุทธิ์ เอกอํานวย จากนั้นทําการ ถายภาพและจดบันทึกชนิด เพศ (ถาสามารถระบุได) จํานวน ตําแหนงที่พบ วันที่และเวลา ลงใน ตารางบันทึกผล สวนชนิดใดที่ไมแนใจจะทําการเก็บตัวอยางแลวนํามาจัดรูปรางเพื่อเก็บรักษาตัวอยาง จากนั้นนํามาศึกษาดวยกลองจุลทรรศนสเตอริโอ 3.3.2 การเก็บตัวอยางตั๊กแตนกิ่งไม ทําการเดินสํารวจตามเสนทางที่ไดกําหนดไว เก็บตัวอยางตั๊กแตนกิ่งไมที่พบใสลงในกลอง พลาสติกเลี้ยงแมลง จากนั้นนําตัวอยางตั๊กแตนกิ่งไมที่จับไดมาทําการมาน็อคดวยเอทิลแอลกอฮอล ความเขมขน 70% โดยการหยดเอทิลแอลกอฮอลความเขมขน 70% ลงในสําลี แลวใสไวในขวดโหล แกวที่มีฝาปด จากนั้นนําตั๊กแตนกิ่งไมใสลงในขวดแลวปดฝารอจนกระทั่งตายแลวนํามาจัดรูปรางเพื่อ เก็บรักษาตัวอยาง จัดทรงตั๊กแตนกิ่งไมตัวอยางใหอยูในทาทางที่เปนธรรมชาติโดยใชเข็มหมุดปกยึดไว กับโฟมจากนั้นนําไปอบแหงที่อุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส จนแหงสนิทแลวยายมาเก็บใน กลองพลาสติก และใสลูกเหม็นเพื่อปองกันแมลงมากัดกิน 3.4 การวิเคราะหขอมูล 3.4.1 วิเคราะหความหลากชนิดพันธุของตั๊กแตนกิ่งไม ตามสูตรของ Shannon-Wiener Index ᇱ = − ௦ ୀଵ (ln )
29 กําหนดให ′ คือ คาดัชนีความหลากชนิดของตกแตนกิ่งไม ั๊ คือ จํานวนชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม คอืสัดสวนจํานวนของตกแตนกิ่งไม ั๊ชนิด ตอจํานวนของ ตั๊กแตนกิ่งไมทั้งหมด หาก ᇱ มีคาประมาณหรือนอยกวา 1.5 หมายความวา มีความหลากหลายทางชีวภาพอยู ในระดับต่ํา และหากคา ᇱ มีคาประมาณหรือมากกวา 3.5 หมายความวา มีความหลากหลายทาง ชีวภาพที่อยูในระดับสูง (Magurran, 2004) 3.4.2 วิเคราะหคาดัชนีความสม่ําเสมอของตั๊กแตนกิ่งไม (Evenness indices) บอกถึงการ แพรกระจายของชนิดพันธุในสังคม ซึ่งหากสังคมใดมีการแพรกระจายสม่ําเสมอกันหรือมีจํานวนในแต ละชนิดพันธุใกลเคียงกัน คาดัชนีความสม่ําเสมอจะสูง และคาดัชนีความสม่ําเสมอจะลดลงเมื่อ ความสัมพันธของการกระจายของแตละชนิดพันธุในสังคมมีความแตกตางกัน โดยมีสูตรดังนี้ (Hill, 1973) ᇱ= ᇱ/ ln( ) กําหนดให ′ คือ คาดัชนีความสม่ําเสมอของตั๊กแตนกิ่งไม ′ คือ คาดัชนีความหลากชนิดของตกแตนกิ่งไม ั๊ คือ จํานวนชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมทั้งหมด 3.4.3 วิเคราะหหาคาความชุกชุม (Relative abundance) โดยวิธีการของ Pettingill (1969) โดยมีสมการดังนี้ = จํานวนครั้งที่พบตั๊กแตนกิ่งไมชนิดนั้นในแตละเสนทาง X 100 จํานวนครั้งทั้งหมดที่ทําการสํารวจ คิดเปนคาระดับความชุกชุม โดยใชเกณฑในการตัดสินความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม ดังนี้ ตั๊กแตนกิ่งไมที่พบบอยมาก (abundant) พบในอัตรารอยละ 90 - 100 ตั๊กแตนกิ่งไมที่พบบอย (common) พบในอัตรารอยละ 65 - 89 ตั๊กแตนกิ่งไมที่พบปานกลาง (moderately common) พบในอัตรารอยละ 31 - 64 ตั๊กแตนกิ่งไมที่พบนอย (uncommon) พบในอัตรารอยละ 10 - 30 ตั๊กแตนกิ่งไมที่หายาก (rare) พบในอัตรารอยละ < 10 รอยละความชุกชุม
30 บทที่ 4 ผลการวิจัย จากการศึกษาความหลากชนิดและความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไมในพื้นที่ปามหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) โดยทําการเปรียบเทียบจํานวนและชนิดของของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ ใน 2 เสนทาง ที่มีสภาพพื้นที่ที่แตกตางกัน ตั้งแตเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 พบวา 4.1 ความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไม จํานวนตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบในการวิจัยครั้งนี้รวมทั้งสิ้น 120 ตัว เมื่อทําการจัดจําแนกโดย ใชแนวทางวินิจฉัยตั๊กแตนกิ่งไมที่พบในประเทศไทย (วิชัย สรพงษไพศาล และสมชาย ธนสินชยกุล, 2549) และหนังสือตั๊กแตนกิ่งไมของพิสุทธิ์ เอกอํานวย พบวา มีทั้งสิ้น 2 วงศ 4 สกุล 4 ชนิด ไดแก Gratidia fritzschei ดังภาพที่ 4.1 และภาพที่ 4.2 Parapachymorpha commelina ดังภาพที่ 4.3 และภาพที่ 4.4 Asceles artabotrys ดังภาพที่ 4.5 และ Phobaeticus magnus ดังภาพที่ 4.6 จากนั้นไดทําการบันทึกชนิดและจํานวนของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ ดังตารางที่ 4.1 ภาพที่ 4.1 Gratidia fritzschei เพศเมีย
31 ภาพที่ 4.2 Gratidia fritzschei เพศผู ภาพที่ 4.3Parapachymorpha commelina เพศเมีย ภาพที่ 4.4 Parapachymorpha commelina เพศผู
32 ภาพที่ 4.5 Asceles artabotrys เพศผู ภาพที่ 4.6 Phobaeticus magnus เพศผู
33 ตารางที่ 4.1 ชนิดและจํานวนของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ ชื่อวิทยาศาสตร/ ชื่อสามัญภาษาไทย จํานวนตั๊กแตนกิ่งไม (ตัว) รวม มิ.ย. ก.ค. ส.ค. เสนทาง ทั้งหมด (1) (2) (1) (2) (1) (2) (1) (2) 109 3 วงศ Bacillidae Gratidia fritzschei (ไมพบชื่อสามัญภาษาไทย) Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) 10 0 1 0 29 1 3 1 65 1 1 0 104 2 5 1 วงศ Phasmatidae Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) 2 0 0 0 2 0 0 0 3 1 0 0 7 1 0 0 7 1 รวม 12 1 32 4 70 1 114 6 120 หมายเหตุ (1) คือ เสนทางที่ 1 สภาพพื้นที่เปนที่โลงมีหญาขึ้นปกคลุมตลอดเสนทาง (2) คือ เสนทางที่ 2 สภาพพื้นที่เปนปาเต็งรังโลงสลับทึบ 4.2 ดัชนีความหลากหลายของตั๊กแตนกิ่งไม จากคาดัชนีความหลากชนิด (Shannon-Weiner's index; ᇱ ) ซึ่งเปนดัชนีที่ใชบงชี้ระดับ ความหลากหลายของชนิดพันธุและความสม่ําเสมอของ ผลการศึกษาพบวา ตั๊กแตนกิ่งไมในพื้นที่ปา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) มีระดับความหลากหลายของชนิดพันธุต่ํา และมีคาความ สม่ําเสมอ (′) ของชนิดพันธุต่ําดวยเชนกัน ดังตารางที่ 4.2 ตารางที่ 4.2 คาดัชนีความหลากชนิด( ᇱ ) และคาดัชนีความสม่ําเสมอ (′) ของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ เสนทางศึกษา จํานวนที่พบ คาดัชนี สกุล ชนิด ความหลากชนิด (ᇱ ) ความสม่ําเสมอ (′) เสนทางที่ 1 4 4 0.398 0.083 เสนทางที่ 2 2 2 0.172 0.036 รวม 4 4 0.385 0.080
34 4.3 คาความชุกชุม เมื่อพิจารณาคารอยละความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ ผลจากการสํารวจแสดงใหเห็นวา พบตั๊กแตนกิ่งไมจํานวน 4 ชนิด โดยชนิดที่พบบอยมาก ไดแก Gratidia fritzschei และชนิดที่หายาก ไดแก Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) ดังตารางที่ 4.3 ซึ่งในเสนทางที่ 1 พบตั๊กแตนกิ่ง ไมจํานวน 4 ชนิด โดยชนิดที่พบบอยมาก ไดแก Gratidia fritzschei และชนิดที่หายาก ไดแก Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) ดังตารางที่ 4.4 และในเสนทางที่ 2 พบตั๊กแตนกิ่งไม จํานวน 2 ชนิด โดยชนิดที่พบปานกลาง ไดแก Gratidia fritzschei และชนิดที่หายาก ไดแก Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) ดังตารางที่ 4.5 ตารางที่ 4.3 คาความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ ชื่อวิทยาศาสตร/ ชื่อสามัญภาษาไทย จํานวนครั้งที่พบ ตั๊กแตนกิ่งไม (ครั้ง) รอยละ ความชุกชุม ระดับ ความชุกชุม มิ.ย. ก.ค. ส.ค. รวม วงศ Bacillidae Gratidia fritzschei (ไมพบชื่อสามัญภาษาไทย) Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) 4 0 4 2 4 1 12 3 100 25 พบบอยมาก พบนอย วงศPhasmatidae Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) 1 0 1 0 3 1 5 1 41.67 8.33 พบปานกลาง หายาก
35 ตารางที่ 4.4 คาความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบในเสนทางที่ 1 ชื่อวิทยาศาสตร/ ชื่อสามัญภาษาไทย จํานวนครั้งที่พบ ตั๊กแตนกิ่งไม (ครั้ง) รอยละ ความชุกชุม ระดับ ความชุกชุม มิ.ย. ก.ค. ส.ค. รวม วงศ Bacillidae Gratidia fritzschei (ไมพบชื่อสามัญภาษาไทย) Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) 4 0 4 1 4 1 12 2 100 16.67 พบบอยมาก พบนอย วงศ Phasmatidae Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) 1 0 1 0 3 1 5 1 41.67 8.33 พบปานกลาง หายาก ตารางที่ 4.5 คาความชุกชุมของของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบในเสนทางที่ 2 ชื่อวิทยาศาสตร/ ชื่อสามัญภาษาไทย จํานวนครั้งที่พบ ตั๊กแตนกิ่งไม (ครั้ง) รอยละ ความชุกชุม ระดับ ความชุกชุม มิ.ย. ก.ค. ส.ค. รวม วงศ Bacillidae Gratidia fritzschei (ไมพบชื่อสามัญภาษาไทย) Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) 1 0 2 1 1 0 4 1 33.33 8.33 พบปานกลาง หายาก
36 4.4 สภาพอากาศ จากการเก็บรวบรวมและศึกษาขอมูลทางสภาพอากาศในชวงเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 พบวา ในเดือนสิงหาคมมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ําสุด ความชื้นสัมพัทธเฉลี่ยสูงสุด และปริมาณ น้ําฝนต่ําสุด ดังตารางที่ 4.6 ตารางที่ 4.6 ขอมูลสภาพอากาศในชวงเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 ชวงเวลา สํารวจ ครั้งที่ อุณหภูมิเฉลี่ย (องศาเซลเซียส) ความชื้นสัมพัทธเฉลี่ย (%) ปริมาณน้ําฝน (มิลลิเมตร) มิ.ย. 1 (1) (2) (1) (2) 192.53 36 35.5 72.5 80.1 2 34 34 79 82.5 3 34 34 65 62 4 37 36.5 52 54 ก.ค. 5 33.5 33 83.3 84 6 29.6 29.4 79 85 135.39 7 35.7 34.6 76.7 78.6 8 33.5 31 78.2 81.5 ส.ค. 9 35 34 73.5 76 10 35.8 34.5 81.3 82 125.48 11 29.4 28 92.2 92 12 35.8 33 75.8 78 หมายเหตุ (1) คือ เสนทางที่ 1 สภาพพื้นที่เปนที่โลงมีหญาขึ้นปกคลุมตลอดเสนทาง (2) คือ เสนทางที่ 2 สภาพพื้นที่เปนปาเต็งรังโลงสลับทึบ
37 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และขอเสนอแนะ 5.1 สรุปผลการวิจัย จากการศึกษาความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไมในเขตพื้นที่ปามหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) ผลการสํารวจพบตั๊กแตนกิ่งไมทั้งหมด 2 วงศ 4 สกุล 4 ชนิด ทั้งหมด 120 ตัว วงศ Bacillidae พบ 2 สกุล 2 ชนิด ไดแก Gratidia fritzschei จํานวนทั้งหมด 109 ตัว และ Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) จํานวนทั้งหมด 3 ตัว ตอมาวงศPhasmatidae พบ 2 สกุล 2 ชนิด ไดแก Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) จํานวน ทั้งหมด 7 ตัว และ Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) จํานวนทั้งหมด 1 ตัว จากการ วิเคราะหขอมูลพบวามีคาดัชนีความหลากชนิดเทากับ 0.385 และคาดัชนีความสม่ําเสมอเทากับ 0.080 ซ่ึงพบวา Gratidia fritzschei มีคารอยละความชุกชุมมากที่สุด มีคาเทากับรอยละ 100 รองลงมา ไดแก Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) และ Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) ซ่ึงมีคารอยละความชุกชุมเทากับ 41.67 และ 25 ตามลําดับ Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) มีคารอยละความชุกชุมต่ําที่สุด มีคาเทากับรอยละ 8.33 และ พบ Gratidia fritzschei และ Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) ทุกครั้งที่ ลงพื้นที่ทําการสํารวจ โดยในเสนทางที่ 1 พบตั๊กแตนกิ่งไม 2 วงศ 4 สกุล 4 ชนิด จํานวน 114 ตัว มีคาดัชนีความ หลากชนิดเทากับ 0.398 และคาดัชนีความสม่ําเสมอเทากับ 0.083 ซึ่งพบวา Gratidia fritzschei มีคารอยละความชุกชุมมากที่สุด มีคาเทากับรอยละ 100 รองลงมา ไดแก Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) และ Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) ซึ่งมีคา รอยละความชุกชุมเทากับ 41.67 และ 16.67 ตามลําดับ Phobaeticus magnus (ตั๊กแตนกิ่งไมแมกนัส) มีคารอยละความชุกชุมต่ําที่สุด มีคาเทากับรอยละ 8.33 โดยในเสนทางที่2 พบตั๊กแตนกิ่งไม1วงศ2สกุล2ชนิดจํานวน 6ตัว มีคาดัชนีความหลากชนิด เทากับ 0.172 และคาดัชนีความสม่ําเสมอเทากับ 0.036 ซึ่งพบวา Gratidia fritzschei มีคารอยละ ความชุกชุมมากที่สุด มีคาเทากับรอยละ 33.33 รองลงมา ไดแก Asceles artabotrys (ตั๊กแตนกิ่งไมการเวก) มีคารอยละความชุกชุมเทากับ 8.33 จากการเก็บรวบรวมและศึกษาขอมูลทางสภาพอากาศในชวงเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 พบวา ในเดือนมิถุนายนมีอุณหภูมิเฉลี่ยคอนขางสูง ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนนี้อยูในชวง 34 - 37 องศาเซลเซียส มีความชื้นสัมพัทธเฉลี่ยคอนขางต่ํา ซึ่งในเดือนนี้มีคาความชื้นสัมพัทธเฉลี่ย ประมาณ 52- 82.5 เปอรเซ็นต และมีปริมาณน้ําฝนสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบจากปริมาณน้ําฝนของ
38 เดือนอื่นๆ ที่ทําการลงพื้นที่สํารวจ ซึ่งในเดือนนี้ปริมาณน้ําฝน 192.53 มิลลิเมตร ตอมาในเดือน กรกฎาคมและเดือนสิงหาคมมีอุณหภูมิเฉลี่ยคอนขางต่ํา ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยของทั้ง 2 เดือนนี้อยูในชวง 28 - 35.8 องศาเซลเซียส มีความชื้นสัมพัทธเฉลี่ยคอนขางสูง ซึ่งใน 2 เดือนนี้มีคาความชื้นสัมพัทธ เฉลี่ย ประมาณ 73.5 - 92.2 เปอรเซ็นต และในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมมีปริมาณน้ําฝน นอยกวาเดือนมิถุนายน ซึ่งทั้ง 2 เดือนนี้มีปริมาณน้ําฝน 135.39 มิลลิเมตร และ 125.48 มิลลิเมตร ตามลําดับ 5.2 อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมในเขตพื้นที่ปามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี (สามพราว) ทําการสํารวจตั้งแตเดือนมิถุนายน - เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564 พบตั๊กแตนกิ่งไมทั้งหมด 2 วงศ4 สกุล 4 ชนิด ทั้งหมด 120 ตัว วงศท ี่พบจํานวนตั๊กแตนกิ่งไมมากที่สุด ไดแกวงศBacillidae เมื่อพิจารณาคาดัชนีความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบทั้ง 2 เสนทาง พบวามีความ หลากหลายทางชีวภาพอยูในระดับต่ํา มีคาเทากับ 0.385 เนื่องจากทั้งสองเสนทางอาจจะมีพืชอาหาร ของตั๊กแตนกิ่งไมนอย ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบคาดัชนีความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบใน เสนทางที่ 1 และเสนทางที่ 2 พบวาคาดัชนีความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจในเสนทางที่ 1 มีคามากกวาคาดัชนีความหลากชนิดของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจในเสนทางที่ 2 ซึ่งมีคาเทากับ 0.398 และ 0.172 ตามลําดับ แสดงใหเห็นวาในเสนทางที่ 1 มีความหลากหลายทางชีวภาพอยูในระดับสูง กวาเสนทางที่ 2 เนื่องจากในเสนทางที่ 1 พบจํานวนชนิดมากกวาเสนทางที่ 2 เมื่อพิจารณาคาดัชนีความสม่ําเสมอของตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบทั้ง 2 เสนทาง พบวา มีคาคอนขางต่ํา มีคาเทากับ 0.080 แสดงใหเห็นวาตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบมีการแพรกระจายตัว ไมสม่ําเสมอกันหรือมีจํานวนในแตละชนิดแตกตางกัน เมื่อเปรียบเทียบคาดัชนีความสม่ําเสมอของ ตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบในเสนทางที่ 1 และเสนทางที่ 2 พบวาคาดัชนีความสม่ําเสมอของ ตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจในเสนทางที่ 1 มีคามากกวาคาดัชนีความสม่ําเสมอของตั๊กแตนกิ้งไมที่สํารวจ ในเสนทางที่ 2 ซึ่งมีคาเทากับ 0.083 และ 0.036 ตามลําดับ แสดงใหเห็นวาตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบ ในเสนทางที่ 1 มีการแพรกระจายตัวสม่ําเสมอหรือมีจํานวนในแตละชนิดใกลเคียงกันมากกวา ตั๊กแตนกิ่งไมที่สํารวจพบในเสนทางที่ 2 เนื่องจากในเสนทางที่ 2 มีสภาพพื้นที่เปนปาเต็งรังโลง สลับทึบ พืชสวนใหญเปนไมยืนตนสูง อีกทั้งมีการพรางตัวที่ดี จึงอาจเปนเหตุผลประการหนึ่งที่ ทําใหการสํารวจตั๊กแตนกิ่งไมในเสนทางที่ 2 นั้นพบไดนอย Gratidia fritzschei เปนตั๊กแตนกิ่งไมที่มีคารอยละความชุกชุมสูงที่สุด และเปนชนิดที่พบ บอยมาก เมื่อเปรียบเทียบจากชนิดอื่นที่สํารวจพบ เนื่องจากตั๊กแตนกิ่งไมชนิดนี้ กินพืชตระกูลหญา เปนพืชอาหาร โดยในเสนทางที่ 1 มีสภาพพื้นที่เปนที่โลงมีหญาขึ้นปกคลุมตลอดเสนทาง ซึ่งเปนแหลง
39 อาหารสําคัญและเหมาะสมกับตั๊กแตนไมชนิดนี้ จึงอาจเปนเหตุผลประการหนึ่งที่ทําใหสํารวจพบ ตั๊กแตนกิ่งไมชนิดนี้ในเสนทางที่ 1 นั้นพบจํานวนมาก นอกจากนี้ยังพบวา Gratidia fritzschei และ Parapachymorpha commelina (ตั๊กแตนกิ่งไมผักปลาบ) สามารถพบไดตลอดเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม และพบวาในแตเดือนจํานวนตั๊กแตนที่สํารวจพบมีจํานวนเพิ่มขึ้นอยางตอเนื่อง เนื่องจากในชวงเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคมเปนชวงฤดูฝน มีฝนตกชุกชุม ทําใหพืชอาหารของ ตั๊กแตนกิ่งไมมีการเจริญเติบโตไดดี อีกทั้งตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญจะเจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัยและ วางไขในชวงฤดูนี้ (พิสุทธิ์ เอกอํานวย, 2556) เมื่อพิจารณาปจจัยที่มีสงผลตอจํานวนตั๊กแตนกิ่งไม จากขอมูลสภาพอากาศ พบวาในเดือน กรกฎาคมและเดือนสิงหาคม พบตั๊กแตนกิ่งไมจํานวนมากกวาที่พบในเดือนเดือนมิถุนายน เนื่องจาก ในชวงเดือนกรกฎาคม - เดือนสิงหาคม มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยูในชวง 25-35 องศาเซลเซียส ซึ่งเปน ชวงอุณหภูมิที่ตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญเจริญเติบโตไดดี 5.3 ขอเสนอแนะ 5.3.1 วิจัยนี้ไมสามารถจําแนกชนิดตั๊กแตนกิ่งไมที่อยูในระยะตัวออนได ซึ่งควรจะตองมีการ เลี้ยงตัวออนไวจนกระทั่งโตเต็มวัย จึงจะสามารถระบุชนิดได 5.3.2 ระยะเวลาในการเก็บตัวอยางเพียงฤดูเดียว ดวยขอจํากัดของเวลา ทําใหขอมูลที่ไดนี้เปน เพียงขอมูลในฤดูฝน ซึ่งควรตองมีการศกึษาใหครอบคลุมทุกฤดู 5.3.3 วิจัยนี้ทําการสํารวจตั๊กแตนกิ่งไมในชวงเวลากลางวัน แตตั๊กแตนกิ่งไมสวนใหญออกหา กินเวลากลางคนืซึ่งควรตองทําการสํารวจในชวงพลบค่ําหรือชวงเวลากลางคนื
เอกสารอ้างอิง กิตติ ตันเมืองปัก และคณะ. (2560). ความหลากชนิดของตั๊กแตนใบไม้และตั๊กแตนกิ ่งไม้ใน วนอุทยานผางาม จังหวัดเลย. รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการระดับชาติครั้งที่ 3. 1133-1139. พิสุทธิ์ เอกอ านวย. (2556). ตั๊กแตนกิ่งไม้(ครั้งที่ 1). เชียงใหม่: สวนสัตว์แมลงสยาม. วันดี สันติวุฒิเมธี. (2544). ชีวิตในโลกแมลงของนักอนุกรมวิธาน ดร. องุ่น ลิ่ววานิช. [ออนไลน์]. ได้จาก: https://www.sarakadee.com/feature/2001/08/entomology.htm [สืบค้น เมื่อ วันที่ 18 ตุลาคม 2564] วิชัย สรพงษ์ไพศาล และสมชาย ธนสินชยกุล. (2549). การจ าแนกตั๊กแตนกิ่งไม้และตั๊กแตนใบไม้ บางชนิดในอันดับฟาสมิดาของประเทศไทย. วิทยาสารก าแพงแสน, 4(3). 18-32. อุทยานแห่งชาติแม่วะ. (2561). ตั๊กแตนกิ่งไม้ ตั๊กแตนใบไม้. [ออนไลน์]. ได้จาก: https://web. facebook.com/MaewaNationalPark/posts/1664818303610325/[สืบค้นเมื่อ วันที่ 18 ตุลาคม 2564] อารยา ดอนเกิด และคณะ. (2563). ความหลากชนิดและความชุกชุมของตั๊กแตนกิ่งไม้ในเขต ห้วยน้ าลาย อ าเภอเมือง จังหวัดเลย. รายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการด้าน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ครั้งที่ 2. 394-400. Jon Veenstra. (2013). Husbandry Manual Acrophylla titan. Western Sydney Institute of TAFE, Richmond. Magurran, A.E. (2004). Measuring Biological Diversity. Blackwell Publishing, Oxford, 256 p.