ความงดงามบนความแตกตา ง จากฐานการเรยี นรู
โดย นางสาวรงุ นภา วจั นะพนั ธ
รหัส 6377701019
วชิ า 1063105 ทฤษฎีและแนวโนม ทางการบรหิ ารการศกึ ษา
สวาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา
ภาคเรียนท่ี 1/2563
ความงดงามบนความแตกตา ง จากฐานการเรียนรู
รงุ นภา วัจนะพนั ธ1
บทคัดยอ
คําวาการเรียนรูจากประสบการณกวางขวางมาก ฐานการเรียนรู มาจากขอบขายความหมายของท้ัง
ในทางปฏิบัติและทฤษฎี ตางมีมุมมองที่สอดคลองกับสถานการณท่ีแตละคนเผชิญอยูในชีวิตประจําวัน ดังน้ัน
อาจกลาวไดวา “การเรียนรูจากประสบการณ (Experiential Learning) คือกระบวนการสรางความรู ทักษะ
และเจตคติดวยการนําเอาประสบการณเดิมของผเู รียนมาบูรณาการเพื่อสรางการ เรียนรูใหม ๆ ข้ึน”เพราะวา
แตละคนไมเหมือนกัน เราไมหมือนใคร และไมมีใครเหมือนเรา ดังน้ันวิธีการเรียนรูก็เปนเรื่องท่ีเฉพาะตัว
เชนกัน ในวงการการศึกษา ตอนนี้ทุกคนตื่นตัวกันมากเกี่ยวกับเร่ือง Learning styles มากกวาเรื่องของ I.Q.
เพราะวาเปนการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรูของมนุษยเรา วามีกระบวนการรับขอมูลใหมๆ และมีกลยุทธใน
การเรียนอยางไรบาง เนื่องจากวิธีการหลากหลายทางการเรียนรูของคนเรา สงผลโดยตรงตอสิ่งท่ีเรียน มี
นักวิจัยหลายทานไดทําการศึกษาคนควาเกี่ยวกับเร่ืองนี้ เพื่อนํามาปรับใชในการเรียนการสอนเพื่อใหเกิด
ประสิทธิผลมากข้ึนเขาเช่ือวา หากผูเรียน รูสไตลการเรียนของตนเอง และเขาใจวิธีการรับรูขอมูลใหมๆ และ
นาํ มาปรับใชใ หเขา กับตนเองก็จะทําใหเ ราเรียนหนงั สือไดด ีข้ึน คือ จดจําส่งิ ทีเ่ รยี นไดดีขึ้นนั่นเอง และถา ผูสอน
รูสไตลการเรียนของผูเรียน และนํามาปรับใชในการสอน ก็จะสามารถปอนขอมูลใหกับผูเรียนไดตรงจุด และ
ผูเรียนก็จะเกิดการรับรูไดดี ทฤษฎีการเรียนรูมีหลายทฤษฎี อยูท่ีวาใครเปนผูคิดคน แตสวนใหญแลวก็จะ
คลายๆ กัน ความรูความเขาใจเก่ียวกับความแตกตางระหวางบคุ คลใน รูปแบบการคิด และรูปแบบการเรียนรู
มีประโยชนตอท้ังผูเรียน และผูสอน ในแงการสงเสริมการเรียนรู การพัฒนาผูเรียนใหสามารถเรียนรูไดเต็ม
ศักยภาพ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงข้ึน และการจัดการศึกษาไดอยางมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน
คําสําคญั : ความงดงามบนความแตกตาง ,(Experiential Learning) ,ฐานประสบการณการเรียนรู
1 นกั ศึกษาหลักสตู รครุศาสตรดษุ ฎีบณั ฑติ มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครศรธี รรมราช
บทนํา
โลกยุคนเ้ี ปน ยคุ ของความรแู ละขอมูลขาวสาร ผูใดมคี วามรูและขอมลู มากกวายอมไดเปรียบกวา ทัง้ นี้
เนือ่ งจากขอมูลท่ีเปนความรเู พ่มิ มากขึ้นทกุ วัน และทุกๆ 5 ปข อ มลู ขาวสารจะทวีข้ึนเปน 2 เทา นอกจากนี้
ยงั ไมม ีใครสามารถสอนความรทู มี่ ีอยใู นโลกนี้ใหแ กเราไดทั้งหมด โรงเรยี นจงึ ควรเตรยี มเดก็ ๆ และเยาวชนให
รจู ักแสวงหาความรอู ยางตอเน่อื งดวยตนเอง เพ่ือมใิ หเด็กและเยาวชนเหลา นนั้ กลายเปนคนลาหลงั และกา ว
ตามโลกไมทนั ภายหลังจากออกจากโรงเรยี นแลว การสอนใหเ ดก็ เรียนรูว ธิ ีเรียนทถ่ี กู ตอง (Learn how to
learn) จึงเปน เรื่องท่จี าํ เปน อยางย่ิง โดยครูตองเขา ใจและตระหนักเปน อนั ดับแรกวา เดก็ แตล ะคนมีรปู แบบ
หรือรูปแบบการเรยี นรูไมเ หมือนกัน ครทู ส่ี ามารถรูวา เด็กแตล ะคนในชัน้ มรี ูปแบบการเรยี นรเู ปน แบบใดจะ
ประสบความสาํ เร็จ ในการสงผา นความรไู ปยงั นักเรยี นทาํ ใหเ ดก็ ไดพัฒนาศักยภาพในการเรยี นรูของตนเองไดอยา ง
เตม็ ความสามารถมากทส่ี ุด
1.ความหมายของการเรียนรู
การเรยี นรู หมายถึง พัฒนาการรอบดา นของชวี ติ มอี งคป ระกอบ ปจ จัย และกระบวนการที่หลากหลาย มีพลงั
ขับเคลอ่ื นเชื่อมโยงสมั พนั ธก ันอยา งผสมกลมกลืนไดสัดสวน สมดุลกัน เกดิ ความสมบรู ณของชีวิตและสงั คมการ
เรยี นรู มคี วามหมายครอบคลุมถึงข้ันตอนตอไปน้ีคือ
1)การรบั รู (Reception) หมายถงึ การท่ีผคู น “รบั ” เอาขอมลู ขาวสารและองคความรตู างๆ จาก
แหลง ความรูท่หี ลากหลาย ซึง่ รวมทัง้ แหลงความรจู ากครผู สู อนดว ย
2) การเขา ใจ (Comprehension) หมายถงึ การท่ีผูเรยี นสามารถมองเห็นถงึ ความหมายและความ
เชื่อมโยงสมั พนั ธกนั ของสง่ิ ตา งๆ ทต่ี นเองรบั รจู ากแหลง ความรูท ห่ี ลากหลายในระดับท่ีสามารถอธบิ ายเชงิ เหตุ
ผลได
3) การปรบั เปลี่ยน (Transformation) เปน ระดับของการเรยี นรทู ่แี ทจ ริง ไดแ ก การเปลย่ี นแปลงดาน
วิธคี ดิ (Conceptualization) การเปล่ียนแปลงระบบคุณคา (Values) และการปรับเปล่ียนพฤติกรรม
(Behavior) ในสง่ิ ทร่ี บั รูและมีความเขาใจแลวเปน อยางดี
จากการศึกษาคน ควา ในประเทศเยอรมนั พบวา มนุษยมีการเรยี นรจู ากระบบตา งๆ ของรางกายมาก
ท่ีสดุ ถงึ นอ ยท่สี ดุ ดงั นี้
รอยละ 83 เรยี นรูจากการดู, เหน็
รอ ยละ 11 เรียนรูจากการดม
รอ ยละ 10 เรียนรจู ากการฟง
รอ ยละ 2 เรียนรูจากการสัมผัส
รอยละ 1 เรยี นรูจากการชมิ
จากผลการศึกษาคน ควาดงั กลาวจะเหน็ ไดวา มนษุ ยม ีการเรยี นรูด ว ยตามากท่ีสดุ เพราะฉะนน้ั คนที่
สามารถสรางภาพท่เี กิดจากความคดิ ของตนเองใหผูอื่นเห็นและเขา ใจภาพน้ันได จะไดเปรียบเพราะคนเหน็
ภาพนัน้ ก็จะจาํ ความคิดน้ันไดนาน แตผ ลการรบั รหู รอื การเรียนรนู ัน้ จะคงทนถาวรหรอื ไมน้นั อยทู ่ีวธิ กี ารไดมา
ซง่ึ ความรูนัน้ ๆในการเรยี นรขู องบคุ คลเรานนั้ จะเกดิ ขึน้ ต้ังแตเริ่มมีชวี ติ และเปน ท่รี ูกนั โดยทั่วไปวาการเรยี นรไู ด
ดีทีส่ ดุ นนั้ จะตองลงมือปฏิบัติดว ยตนเองหรอื เปน การเรียนรูโดยประสบการณตรงดงั สุภาษิตท่กี ลาววา “สิบปาก
วาไมเทา ตาเหน็ สบิ ตาเหน็ ไมเทามอื คลาํ สิบมือคลําไมเ ทาลองทาํ ดู” ซ่งึ สอดคลอ งกบั ผลการวิจยั ประสิทธิผล
ของการเรยี นรูข องบคุ คลดวยวธิ ีการตา งๆ
1 นักศกึ ษาหลกั สูตรครศุ าสตรดุษฎบี ัณฑติ มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครศรีธรรมราช
2.รปู แบบการเรียนรขู องมนุษยแบงตามลกั ษณะการรบั ขอมูล
รูปแบบการเรยี นรูของมนุษยแ บง ตามลกั ษณะการรับขอมลู พบวา มนุษยส ามารถรบั ขอมลู โดยผาน
เสนทางการรับรู 3 ทางใหญๆ คอื การรบั รทู างสายตาโดยการมองเหน็ (Visual percepters) การรับรทู าง
โสตประสาทโดยการไดย นิ (Auditory percepters) และ การรบั รทู างรา งกายโดยการเคลอื่ นไหวและการ
รูสึก (Kinesthetic percepters) ซ่งึ สามารถนาํ มาจดั เปนประเภทของการเรยี นรูได 3 ประเภทใหญ ๆ ผู
เรียนรแู ตล ะประเภทจะมีความแตกตา งกันคอื
2.1 ผทู เ่ี รียนรูท างสายตา (Visual learner) เปน พวกทีเ่ รียนรูไดดถี าเรยี นจาก
รูปภาพ แผนภูมิ แผนผงั หรือจากเนื้อหาท่เี ขยี นเปน เร่อื งราว เวลาจะนกึ ถึงเหตกุ ารณใด กจ็ ะนกึ ถงึ ภาพ
เหมอื นกับเวลาที่ดูภาพยนตรคอื มองเห็นเปน ภาพทสี่ ามารถเคลื่อนไหวบนจอฉายหนังได เน่อื งจากระบบเก็บ
ความจําไดจดั เก็บส่ิงท่เี รียนรูไวเ ปนภาพ ลักษณะของคําพูดท่คี นกลุม นช้ี อบใช เชน “ฉันเหน็ ” หรอื “ฉนั
เหน็ เปนภาพ…..”
พวก Visuallearner จะเรียนไดดีถาครูบรรยายเปนเรอ่ื งราว และทําขอสอบไดดีถาครูออกขอสอบใน
ลักษณะที่ผูกเปนเรื่องราว นักเรียนคนใดที่เปนนักอาน เวลาอานเน้ือหาในตําราเรียนที่ผูเขียนบรรยายใน
ลักษณะของความรู ก็จะนําเรื่องท่ีอานมาผูกโยงเปนเร่ืองราวเพื่อทําใหตนสามารถจดจําเนื้อหาไดงาย
ขึ้น เด็ก ๆ ท่ีเปน Visual learner ถาไดเรียนเน้ือหาท่ีครูนํามาเลาเปนเร่ือง ๆ จะนั่งเงียบ สนใจเรียน และ
สามารถเขยี นผูกโยงเปน เร่ืองราวไดดี ผทู ่เี รียนไดดีทางสายตาควรเลือกเรยี นทางดานสถาปต ยกรรม หรือดาน
การออกแบบ และควรประกอบอาชีพมัณฑนากร วิศวกร หรือหมอผาตัด พวก Visual learner จะพบ
ประมาณ 60-65 % ของประชากรทงั้ หมด
2.2 ผูที่เรียนรูทางโสตประสาท (Auditory Learner) เปนพวกท่ีเรียนรูไดดีท่ีสุดถาไดฟงหรือไดพ ดู
จะไมสนใจรปู ภาพ ไมสรา งภาพ และไมผ ูกเรอ่ื งราวในสมองเปน ภาพเหมือนพวกทเ่ี รยี นรูทางสายตา แตชอบ
ฟง เรือ่ งราวซา้ํ ๆ และชอบเลาเรื่องใหคนอ่ืนฟง คณุ ลักษณะพเิ ศษของคนกลุมนี้ ไดแก การมีทักษะในการได
ยิน/ไดฟง ทีเ่ หนือกวา คนอืน่ ดงั น้ันจึงสามารถเลา เรอื่ งตา ง ๆ ไดอ ยา งละเอยี ดลออ และรูจกั เลอื กใชค ําพดู
ผเู รยี นท่ีเปน Auditory learner จะจดจาํ ความรูไ ดดีถาครูพูดใหฟง หากครถู ามใหตอบ ก็จะ
สามารถตอบไดทันที แตถาครูมอบหมายใหไปอานตําราลวงหนาจะจําไมไดจนกวาจะไดยินครูอธิบายใหฟง
เวลาทองหนังสือก็ตองอานออกเสียงดังๆ ครูสามารถชวยเหลือผูเรียนกลุมน้ีไดโดยใชวิธีสอนแบบ
อภิปราย แตผทู เี่ รียนทางโสตประสาทก็อาจถูกรบกวนจากเสียงอื่น ๆ จนทาํ ใหเกดิ ความวอกแวก เสยี สมาธิใน
การฟงไดงายเชนกัน ในดานการคิด มักจะคิดเปนคําพูด และชอบพูดวา “ฉันไดยินมาวา……../ ฉันไดฟงมา
เหมือนกับวา ……”
พวก Auditory learner จะพบประมาณ 30-35 % ของประชากรท้ังหมด และมักพบใน
กลุมท่ีเรียนดานดนตรี กฎหมายหรือการเมือง สวนใหญจะประกอบอาชีพเปนนักดนตรี พิธีกรทางวิทยุและ
โทรทศั น นกั จดั รายการเพลง (disc jockey) นกั จติ วทิ ยา นักการเมือง เปน ตน
2.3 ผูที่เรียนรูทางรางกายและความรูสึก (Kinesthetic learner) เปนพวกที่เรียนโดยผานการ
รับรูทางความรูสึก การเคลื่อนไหว และรางกาย จึงสามารถจดจําส่ิงท่ีเรียนรูไดดีหากไดมีการสัมผัสและเกิด
ความรูสึกที่ดีตอส่ิงท่ีเรียน เวลานั่งในหองเรียนจะน่ังแบบอยูไมสุข น่ังไมติดท่ี ไมสนใจบทเรียน และไม
สามารถทําใจใหจดจออยูกับบทเรียนเปนเวลานาน ๆ ได คือใหนั่งเพงมองกระดานตลอดเวลาแบบ
พวก Visual learner ไมได ครูสามารถสังเกตบุคลิกภาพของเด็กที่เปน Kinesthetic learner ไดจากคําพูด
ทวี่ า “ฉนั รูส กึ วา……”
1 นกั ศกึ ษาหลักสตู รครศุ าสตรดุษฎบี ัณฑิต มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครศรีธรรมราช
การแบงประเภทการเรียนรูออกเปน 3 ประเภทดังที่กลาวมาแลวขางตน เปนการแบงโดยพิจารณา
จากชองทางในการรับรูขอมูล ซ่ึงมีอยู 3 ชองทาง ไดแก ทางตา ทางหู และทางรางกาย แตหากนําสภาวะ
ของบุคคลในขณะที่รับรูขอมูลซ่ึงมีอยู 3 สภาวะ มารวมเขาดวยกัน จัดตามความหนักเบาจะสามารถแบง
ประเภทการเรยี นรูออกไดถ ึง 6 แบบ คือ
1) ประเภท V-A-K เปนผูท ่ีเรียนรไู ดด ีทีส่ ดุ หากไดอานและไดเ ลาเรือ่ งตา ง ๆ ใหผ อู น่ื ฟง เปน เดก็ ดที ี่
ขยนั เรยี นหนงั สือ แตไ มช อบเลน กฬี า
2) ประเภท V-K-A เปนผูที่เรียนรูไดดีที่สุดหากไดลงมือปฏิบัติตามแบบอยางท่ีปรากฏอยูตรงหนา
และไดตั้งคาํ ถามถามไปเร่อื ย ๆ โดยปกตจิ ะชอบทาํ งานเปนกลมุ
3) ประเภท A-K-V เปนผูท่ีเรียนรูไดดีที่สุดหากไดสอนคนอื่น ชอบขยายความเวลาเลาเรื่อง แต
มกั จะมปี ญ หาเกย่ี วกับการอา นและการเขยี น
4) ประเภท A-V-K เปนผูที่มีความสามารถในการเจรจาติดตอสื่อสารกับคนอื่น พูดไดชัดถอยชัด
คํา พดู จามีเหตมุ ีผล รกั ความจรงิ ชอบเรยี นวิชาประวัติศาสตร และวชิ าท่ีตองใชค วามคิดทุกประเภท เวลา
เรยี นจะพยายามพดู เพื่อใหต นเองเกิดความเขา ใจ ไมชอบเรยี นกีฬา
5) ประเภท K-V-A เปนผูทเี่ รยี นไดด ีที่สดุ หากไดทาํ งานท่ใี ชความคดิ ในสถานที่เงียบสงบ
สามารถทํางานท่ีตองใชกําลังกายไดเปนอยางดีโดยไมตองใหครูคอยบอก หากฟงครูพูดมาก ๆ อาจเกิดความ
สบั สนได
6) ประเภท K-A-V เปนผูที่เรียนไดดีหากไดเคล่ือนไหวรางกายไปดวย เปนพวกที่ไมชอบอยูน่ิง จึง
ถูกใหฉายาวาเปนเด็กอยูไมสุข มักมีปญหาเก่ียวกับการอานและการเขียน ตัวอยางเชน เด็กที่เปน Auditory
learner จะมปี ญหาคอื พดู มากที่สุดและมปี ญ หาเกยี่ วกับการเขียนมากทส่ี ุด
ตัวอยางเชน ผทู เ่ี ปน Visual learner (V) ในสภาวะของจิตสาํ นกึ เปน Kinesthetic
learner (K) ในสภาวะของจิตใตสาํ นกึ และเปน Auditory learner (A) ในสภาวะของจติ ไรสาํ นึก จะมลี ีลา
การเรยี นรูเปน ประเภท V-K-A เวลเดน (Whelden) นักจติ บาํ บดั และผใู หค าํ ปรึกษาในโรงเรยี นกลา ว
วา สวนใหญแลว พวกเราทุกคนจะมลี ลี าการเรียนรเู ฉพาะตัวเปน แบบใดแบบหน่ึงใน แบบนีเ้ สมอ โดยลลี าการ
เรียนรเู หลา นี้จะถูกกาํ หนดเปนแบบแผนที่ตายตัวเมื่ออายุประมาณ 7ขวบแตอาจเปล่ยี นแปลงไดในเด็กบางคน
ซง่ึ ก็เกิดขนึ้ ไมบอยนกั
ทฤษฎกี ารเรียนรูเ ชิงประสบการณ (Experiential Learning)
งานของโคลบและฟราย (Kolb and Fry. 1971 ; 1975 ; 1984) ก็เปนท่ีนิยมใชอางอิงถึงในการ
อภิปรายถึงประเด็นการเรยี นรจู ากประสบการณ โคลบ และ ฟราย (Kolb and Fry. 1975) ระบใุ นผลการวจิ ยั
วาขณะท่ีผูใหญเกิดการเรียนรูจากประสบการณตามรูปแบบการ เรียนรูท่ีตนถนัด และการเรียนรูก็จะเริ่มจาก
จดุ นน้ั แตผ ูใ หญก ็จะใชรปู แบบการเรียนรูหลาย ๆ รปู แบบแมวาจะไมม ากหรือไดผ ลเทากบั แบบทต่ี นเองถนัด
กระบวนการเรยี นรูจากทฤษฎีการเรยี นรูจากประสบการณ
1 นกั ศกึ ษาหลักสตู รครุศาสตรดุษฎบี ณั ฑติ มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครศรีธรรมราช
ข้ันที่ 1 ประสบการณรูปธรรม เปนขั้นตอนที่ผูเรียนมีประสบการณตางๆ เนนการใชความรูส ึกและยึดถือสิ่งท่ี
เกดิ ขน้ึ จริงตามที่ตนประสบในขณะนั้น
ขั้นท่ี2 การไตรต รอง เปนขน้ั ตอนทีผ่ เู รียนมุงที่จะทําความเขา ใจความหมายของ ประสบการณทีไ่ ดร บั โดยการ
สงั เกตอยางรอบคอบเพ่อื การไตรต รองพิจารณา
ขั้นที่ 3 การสรุปเปนหลักการนามธรรม เปนขน้ั ทีผ่ เู รยี น
ข้ันที่ 4 การทดลองปฏิบตั ิจรงิ เปนขน้ั ตอนทผี่ เู รียนนํา เอาความเขา ใจที่สรุปไดในขัน้ ท่ี 3 ไปทดลองปฏบิ ัติจริง
เพื่อทดสอบวา ถูกตองหรือขั้นตอนน้ีเนนที่การประยุกตใช
ทฤษฎกี ารเรียนรูจากประสบการณ หรือ Experiential Learning Theory (ELT)
Post Views: 2,747
หลาย ๆ คร้ังอาจจะเคยไดย ินคาํ วา “Learning by doing” ซ่ึงมคี วามหมายตรงตัววา “การเรยี นรผู านการลง
มือทํา” โดยจดุ เดน ของการลงมอื ทาํ คือ การไดเ จอกบั ความทาทาย หรือ ประสบการณจริง
1 นกั ศึกษาหลักสูตรครุศาสตรดษุ ฎีบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั นครศรธี รรมราช
ยกตวั อยาง การเรียนการตอวงจรไฟฟา ถาเรยี นแตทฤษฎี ก็อาจจะไดเ หน็ มุมมองไมร อบดาน ดงั นั้นการลงมือ
ทาํ กจ็ ะชวยใหเ ราไดเห็นรอบดานมากข้นึ ซ่ึงหนึง่ ในงานท่ีไดรับการยอมรับอยา งมากในปจจบุ นั เปน งานของ
เดวดิ เอ. โคลบ (David A. Kolb) นักทฤษฎกี ารศกึ ษา ไดทาํ การพัฒนาและนําเสนอออกมาเปน ทฤษฎกี าร
เรียนรจู ากประสบการณ หรือ Experiential Learning Theory (ELT) “การเรียนรจู ากประสบการณ
(Experiential Learning) คือกระบวนการสรางความรู ทักษะ และเจตคติดวยการนาํ เอา ประสบการณเดิม
ของผูเรียนมาบูรณาการเพ่ือสรางการเรียนรใู หม ๆ ขึ้น” โดยมีจุดเดนทเี่ พมิ่ ขน้ึ มา คือการทบทวน
ประสบการณ หรือ นาํ ส่งิ ทล่ี งมือทาํ มาตกผลึกความคิด เพ่ือใหไดร บั รูถ งึ ความรใู หมท่ไี ดรับ เปน การนาํ ไปตอ
ยอดความรเู ดิม หรอื สามารถนําไปปรับใชในบริบทอ่นื ๆ สําหรับตัวเอง การท่เี รามปี ระสบการณ แตไมไดตก
ผลึก ก็เหมอื นกบั การท่ีเรารูเหมอื นเดมิ บางทีก็ลืมไดงา ย หรอื ไมรูวาควรนาํ ไปปรบั ใชตอไดอยา งไร เพราะขาด
สูตรสรปุ ประสบการณน ั้น ๆ ใหกบั ตัวเอง เนื่องจาก เดวดิ เอ. โคลบ เชอ่ื วา ในแตล ะคนมีรูปแบบการเรียนรู
(Learning Styles) ท่ีแตกตางกนั ออกไป
โดย เดวิด เอ. โคลบ นาํ เสนอวา การทจ่ี ะนาํ ทฤษฎนี ี้ไปใชใ หเกดิ การเรียนรู จําเปนตองผา นวงจรทงั้ 4 ขนั้
(Experiential Learning Cycle : ELT Cycle) ซง่ึ ประกอบไปดว ย
1. การนําตวั เองเขา ไปอยูใ นประสบการณ หรอื สถานการณใหม หรือ การตคี วามประสบการณทเ่ี กดิ ข้นึ มา
ใหม (Concrete Experience)
2. เมอ่ื เราไดเ ขาไปรบั ประสบการณใ หมน้นั ก็มักทําใหเ กดิ ความไมสอดคลองกันระหวางประสบการณแ ละความ
เขา ใจ ในขน้ั นี้เปนการลองสะทอน ลองทบทวนใหเกิดการตกผลกึ ความคิด ความรสู กึ และอารมณ โดย
อาศยั วิธกี ารตง้ั คาํ ถาม (Reflective Observation of the New Experience)
3. แนน อนวาการสะทอนมกั กอใหเ กิดแนวคิดใหม หรือ การดัดแปลงแนวคดิ เชิงนามธรรมที่มีอยู ซ่งึ
หมายความวา ผเู รยี นไดเรียนรูจ ากประสบการณข องตวั เองแลว (Abstract Conceptualization)
4. การเรียนรจู ะไมจบลงเพยี งแคการไดแ นวคิดใหม ดังนนั้ ในข้ันนผี้ ูเรียนจะไดล องใชค วามคิดกับบริบทรอบตัว
ของตัวเอง เพือ่ ดูวาเกดิ อะไรขึ้น (Active Experimentation)
1 นักศึกษาหลักสตู รครศุ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั นครศรีธรรมราช
ซงึ่ ถาหากในอนาคต ผเู รียนไดเขา ไปรับประสบการณใ หม ๆ เพมิ่ เขา มาอีก กใ็ หหมนุ วงจรกลบั ไปที่ข้ันแรก และ
ทาํ ตอ ไปจนขั้นที่ 4 อีกคร้ัง เพอ่ื ใหเ กดิ การเรยี นรูผา นประสบการณตรง
ซง่ึ ในการทํางานดานจติ วทิ ยาเชงิ บวก กไ็ ดนาํ ELT Cycle ไปปรบั ใชด ว ยเชน กนั
ยกตัวอยาง “การทาํ ใหเ ดก็ ไดร ูจักกบั อารมณเ ชิงบวก (Positive Emotions) ซง่ึ มีดวยกัน 10 อารมณท่ี
แตกตา งกัน ไดแก สนุกสนาน รสู กึ ขอบคณุ ซาบซ้ึง รูสกึ สงบ มแี รงบนั ดาลใจ มีความหวัง รกั รสู ึกเคารพ
รูสึกเพลดิ เพลนิ มีความตนื่ เตนสนใจ รสู กึ ภาคภูมใิ จ (Fredrickson, (2010,2011))”
บทสรปุ
การสอนแบบ 4 MAT System หมายถงึ กระบวนการเรียนการสอนท่ีคาํ นึงถึงความแตกตางระหวาง
บุคคลในเร่ืองรปู แบบการเรยี นรู โดยจัดแบงชวงเวลาการเรยี นใหเหมาะสมกับรูปแบบการเรยี นรูของผูเรียนใน
แตละเรอ่ื ง ยึดหลักการจัดประสบการณที่หลากหลาย ยืดหยนุ และเช่อื มโยงกนั อยา งตอเนือ่ งเพ่ือตอบสนอง
ผเู รยี นทุกแบบการเรยี นใหม โี อกาสไดเ รียนรู ไดป ฏบิ ัติกจิ กรรมที่ตนชอบและไดป รับตัวเรยี นรใู นแบบการเรียน
อืน่ ๆ ดวย และมกี ารจดั ประสบการณทีช่ วยกระตุน การพัฒนาสมองซีกซายและซกี ขวาเพอื่ ใหส มองท้ังสองซกี มี
พฒั นาการทสี่ มดุล ซ่ึงมีการจัดกิจกรรมการเรียนตามขนั้ ตอนของ McCarthy ดังน้ี
1. การบรู ณาการประสบการณดว ยตนเอง (Why)
ขน้ั ท่ี 1 สรางประสบการณ (สมองซีกขวา) ครสู รา งประสบการณด วยการกระตนุ
หรอื สรางแรงจงู ใจ ใหผ เู รยี นเชอื่ มโยงประสบการณเ ปน ของตนเอง
ขั้นท่ี 2 วิเคราะหประสบการณ (สมองซีกซาย) ครูใหผเู รียนสะทอ นความคิดจาก
ประสบการณและตรวจสอบประสบการณ
2.การพฒั นาความคดิ รวบยอด (What)
1 นักศึกษาหลักสตู รครศุ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต มหาวิทยาลยั ราชภฎั นครศรีธรรมราช
ข้นั ที่ 3 บรูณาการการสังเกตไปสคู วามคดิ รวบยอด (สมองซีกขวา) ครูใหขอมูลขอ
เทจ็ จริง และจัดกิจกรรมไปสูค วามคิดรวบยอด ผูเ รยี นบรู ณาการประสบการณและความรไู ปสคู วามคิดรวบ
ยอด
ข้ันที่ 4 พฒั นาความคิดรวบยอด (สมองซีกซา ย) ครูใหผ เู รียนไดรับขอมลู หรอื
ขอเท็จจริงตามทฤษฎีหรอื ความคดิ ราบยอด ใหผ เู รยี นวเิ คราะหแ ละไตรต รองประสบการณ
3.การปฏิบตั ิและปรบั แตงเปนแนวคดิ ของตนเอง (How)
ขน้ั ท่ี 5 ปฏิบัตแิ ละปรับแตงเปนแนวคดิ ของตนเอง (สมองซกี ซา ย) ผูเรยี นลอง
ปฏบิ ัตโิ ดยผา นประสาทสัมผัส เพ่อื พัฒนาแนวคิดและทักษะ
ขนั้ ที่ 6 ปรับแตงเปน แนวคดิ ของตนเอง (สมองซีกขวา) ผูเ รียนปรบั ปรงุ สิ่งท่ีปฎบิ ตั ิ
ดวยวิธีการของตนเอง และบูรณาการเปน องคความรูของตนเอง
4.การบรณู าการและการประยุกตป ระสบการณ
ขนั้ ท่ี 7 วิเคราะตหเ พื่อนําไปประยุกตใ ช( สมองซีกซาย) ผเู รียนวิเคราะหแ ลววางแผน
เพ่ือประยุกตหรือดดั แปลงส่งิ ทีเ่ รยี นรไู ปใชป ระโยชนต อตนเองและผอู น่ื
ข้ันท่ี 8 แลกเปลยี่ นความรูของตนกับผูอ นื่ (สมองซีกขวา) ผูเรียนแลกเปลี่ยนส่งิ ที่
ไดเรยี นรมู ากับผอู ื่น
5 .ส่ือการเรียนการสอน
6. การประเมินผล
เอกสารอางองิ
มัสนา ตมุ ออน.[online]https://sites.google.com/site/muttanatumoon/wad-cakr-haeng-
kar-reiyn-ru-4-mat. วัฎจักรแหงการเรยี นรู ( 4 MAT ) .สบื คน เมื่อ วนั ท2ี่ 1 สงิ หาคม 2558.
อัจฉรา ไทยเจรญิ .[online]https://www.gotoknow.org/posts/219734 . 4 MAT การเรยี นรู
มหศั จรรย .สบื คน เมอื่ วันท่ี 21 สิงหาคม 2558.
สุรเดช ภาพันธ .[online]http://d8899.blogspot.com/2013/05/4-mat_4.html .ลกั ษณะของ
นวตั กรรมการเรยี นการสอนตามวฎั จกั รการเรยี นรู 4 MAT ๑.สบื คน เมื่อ วันท่ี 21 สิงหาคม 2558.
เกศสดุ า รชั ฎาวศิ ิษฐกุล. (2547). การพฒั นาการเรียนการสอนทสี่ นองตอรปู แบบการเรียน
ภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลัย
ธรุ กจิ บณั ฑิต (วิทยานพิ นธศึกษาศาสตรดษุ ฎบี ัณฑติ สาขาหลักสูตรและการสอน,
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร).
จินตนา เดชะปทุมวัน. (2549). การสอนอานที่ยึดรูปแบบการเรยี นของนกั เรยี นเพ่ือเพิ่มพูนความ
เขาใจในการอา นภาษาอังกฤษและเจตคติตอการอานของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปท ี่ 6 (วิทยานิพนธ
ศกึ ษาศาสตรม หาบัณฑติ สาขาการสอนภาษาอังกฤษ,มหาวิทยาลัยเชยี งใหม).
ประสาท อศิ รปรีดา. (2547). สารัตถะจติ วทิ ยาการศกึ ษา (พิมพค ร้งั ท่ี 5). มหาสารคาม: คณะ
ศกึ ษาศาสตรมหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
1 นักศกึ ษาหลักสตู รครศุ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั นครศรธี รรมราช
ราชพร บํารุงศรี. (2535). การวิเคราะหแบบการเรียนของนิสติ นักศึกษาตา งสาขาวิชา ตามทฤษฎี
การ
เรยี นรเู ชิงประสบการณ (วิทยานพิ นธค รศุ าสตรมหาบณั ฑติ , จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลัย).
อารี พันธม ณี. (2546). จิตวทิ ยาสรางสรรคการเรยี นการสอน.กรุงเทพฯ: ใยไหม.
http://www.wijai48.com/learning_stye/developthinking/4math.htm
ทศพร แสงสวา ง. “การเรียนรูของมนษุ ย” นวัตกรรมและเทคโนโลยกี ารศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั
เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุร.ี กรงุ เทพ.2552(ออนไลน) (ออนไลน)เขา ถงึ ได จาก
: https://2educationinnovation.wikispaces.com/การเรียนรูของมนุษย (วันท่คี น ขอมูล 25 กรกฎาคม
2559).
ทศิ นา แขมมณ.ี ศาสตรการสอน. กรุงเทพฯ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 2545
สรุ างค โควตระกูล. จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลยั 2544 เขาถงึ ไดจ าก:
http://www.kroobannok.com/article-35946-ทฤษฎีการเรยี นรู.html. (วนั ที่คน ขอมูล 25 กรกฎาคม
2559).
Christy Visaggi and Jeffrey Young. (2020). Experiential Learning Theory. Senior
Faculty Associates for Signature Experiences. Retrieved
from https://myexperience.gsu.edu/faculty/resources/theory/
Fredrickson, B. (2010(2011)). Positivity: Groundbreaking Research to Release Your
Inner Optimist and Thrive. London: Oneworld Publications.
Saul McLeod. (2017). Kolb’s Learning Styles and Experiential Learning Cycle.
SimplyPsychology. Retrieved from https://www.simplypsychology.org/learning-kolb.html
JULY 22, 2020
1 นักศกึ ษาหลักสูตรครุศาสตรดษุ ฎบี ัณฑติ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั นครศรธี รรมราช