เทคนิคการประเมินผลในชัน้ เรยี น
(Classroom Assessment Techniques)
สํานักทดสอบทางการศกึ ษา
สาํ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน
คาํ นํา
สํานักทดสอบทางการศึกษา ไดจัดทําแนวทางการนําเทคนิคการประเมินผลในชั้นเรียน
(Classroom Assessment Techniques) โดยการรวบรวมคนควาจากเอกสารตางประเทศ เพ่ือเปนแนวทาง
แกครูผูสอนในการนําเทคนิควิธีการประเมินผลการเรียนรูของนักเรียน ไปใชในการปรับปรุงแผนการ
สอนเพ่ือพัฒนาความรูแ ละทกั ษะใหเหมาะสมและสอดคลองตามศกั ยภาพของนักเรยี น
เทคนิคการประเมินผลในชั้นเรียนในเอกสารเลมนี้ มีทั้งหมด 27 วิธีโดยยึดตามสิ่งที่
ตองการประเมนิ ไดแ ก พื้นฐานความรเู ดิมของนักเรยี น จาํ นวน 7 วธิ ี ทักษะการวิเคราะหและคิดเชิงวิจารณ
ของนักเรียน (กระบวนการเรียนรู, ทักษะ) จํานวน 5 วิธี ทักษะการสังเคราะหและคิดอยางสรางสรรคของ
นักเรียน จํานวน 6 วิธี ทักษะในการแกปญหาของนักเรียน (การรูคิด, ระบุประเภทของปญหา, กลวิธีใน
การแกปญหา) จํานวน 4 วธิ ี และทกั ษะการประยกุ ตใ ชแ ละการนําไปปฏิบตั ิของนักเรยี น จาํ นวน 5 วิธี
สํานักทดสอบทางการศึกษาหวังเปนอยางยิ่งวา เทคนิคการประเมินผลในชั้นเรียน
(Classroom Assessment Techniques) ฉบบั น้ี จะเปนประโยชนตอครผู ูสอนและผทู ่ีเกี่ยวของใชเ ปนขอมลู
ประกอบการตัดสินใจเลือกใชวิธีการประเมินผลในช้ันเรียน เพื่อนําไปใชใหเกิดประโยชนในการ
พฒั นาการเรยี นการสอนใหม ีประสิทธิภาพตอไป
สาํ นกั ทดสอบทางการศึกษา
สงิ หาคม 2551
สารบญั
คํานํา หนา
บทนาํ
การประเมนิ ผลในช้ันเรียน 1
7
1. พืน้ ฐานความรเู ดิมของนักเรยี น 7
2. ทักษะการวเิ คราะหและคดิ เชิงวิจารณของนกั เรียน 14
(กระบวนการเรยี นรู, ทักษะ) 19
3. ทักษะการสงั เคราะหแ ละคิดอยางสรา งสรรคข องนักเรยี น 25
4. ทักษะการแกปญ หาของนกั เรียน (การรูคิด, ระบุประเภทของปญหา,
29
กลวธิ ีในการแกปญหา) 34
5. ทักษะการประยุกตใ ชแ ละการนําไปปฏิบตั ิของนักเรียน 35
สรุป / ขอ เสนอแนะ 36
บรรณานกุ รม
คณะผูจ ัดทาํ
เทคนคิ การประเมนิ ผลในช้ันเรยี น
(Classroom Assessment Techniques)
บทนํา
การประเมินผลในช้ันเรียน เปนการประเมินผลท่ีครูผูสอนเปนผูดําเนินการ โดยทํา
ควบคูไปกับกระบวนการเรียนการสอน โดยมีจุดมุงหมายเพ่ือหาคําตอบวา นักเรียนมีความกาวหนา
หรือไม เพยี งใด จากการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนน้ัน ๆ
เทคนิคท่ีใชในการประเมินผลในชั้นเรียนน้ันมีมากมายหลายวิธี ซึ่งเทคนิคเหลาน้ี
สามารถท่ีจะนํามาใชประเมินผลการเรียนรูของนักเรียนได โดยตองสัมพันธกับกิจกรรมการเรียนการ
สอน เชอื่ มโยงกับเนื้อหาสาระของแตละรายวิชา และจะตองสอดคลองกับวัตถุประสงคการเรียนรู การ
ประเมินผลในชั้นเรียนเปนการวัดการแสดงออกของนักเรียนในช้ันเรียน โดยท่ีครูผูสอนหลาย ๆ ทาน
พบวาการประเมินผลที่ดีตองไดขอมูลท่ีเปนประโยชนเกี่ยวกับการเรียนรูของนักเรียน ในขณะเดียวกัน
จะตองใชเวลานอ ยทส่ี ุดในการประเมินดวยเชนกนั
เทคนิคการประเมินผลในช้ันเรียนดังท่ีแสดงในตารางตอไปน้ี เปนแนวทางการ
ประเมินที่ครูผูสอนสามารถนําไปใชในการพัฒนาความกาวหนาของนักเรียน และเพ่ือนําไปปรับใชใน
กระบวนการเรียนการสอนได
2
ตารางท่ี 1 แสดงเทคนิคการประเมนิ ผลในชน้ั เรยี น
ส่ิงทีต่ องการประเมิน วธิ ีประเมนิ แนวปฏบิ ตั ิ
เกบ็ ขอมลู หลัก ๆ และมปี ระโยชนใ นเร่ืองที่นักเรียนไดเ รียน
1.พื้นฐานความรเู ดมิ ของ 1.1 การตรวจสอบความรู ผานมาแลว โดยเนน ที่ขอมลู หรือแนวคดิ หลกั ๆ ทีต่ อ งใชใ น
การเรียนรูข น้ั ตอ ไป โดยอาจจะใชว ิธีการพดู คุยกบั นกั เรยี น
นกั เรียน พ้ืนฐาน หรือใหนกั เรียนเขยี นบรรยาย
ใหน กั เรียนเขยี นคําสําคญั (คําศัพทห รือวลี) ทเี่ กยี่ วของกบั
1.2 การเขียนรายการ การทาํ ความเขา ใจในหวั ขอ ท่เี รยี น
1.3 ความเขาใจผดิ / อคติ ครูควรทราบความรเู กาหรือความเชือ่ ของนกั เรยี นท่อี าจเปน
อปุ สรรคหรือขัดขวางการเรยี นรใู นอนาคต โดยอาจจะใช
1.4 เคาโครงวา งเปลา วธิ กี ารพูดคยุ กบั นกั เรียน หรอื ใหน กั เรยี นเขยี นบรรยาย
ครูใหเ คาโครงทีว่ างเปลา หรอื มีขอ มูลเพียงบางสว นใหก บั
1.5 ตน แบบของความทรงจาํ นกั เรยี นและใหนักเรยี นเตมิ คาํ ลงในชอ งวา งภายในเวลาที่
จาํ กดั โดยนกั เรียนสามารถทาํ งานตามลาํ พงั คนเดยี วหรอื
1.6 การจบั เวลา ทาํ งานเปนกลุมกไ็ ด โดยขึ้นอยูก ับวา กาํ ลังประเมนิ ในเร่ืองใด
1.7 จดุ ทคี่ ลุมเครือ ครูสรา งตน แบบของแนวคดิ หลกั (ตามลําพังหรือรว มกบั
นักเรยี น) โดยใหแ ตล ะหนวยมคี วามสมั พนั ธก ันในเชิง 2 มติ ิ
(และมมี ิตยิ อย ๆ ) ครูใหต น แบบกับนักเรยี นและถาม
นกั เรียนเกยี่ วกบั แนวคดิ ทแี่ ตกตา งจากตน แบบ
ใหนกั เรยี นตอบคําถามโดยใชว ธิ ีการเขียน ในคําถามทีว่ า
“อะไรทสี่ ําคัญท่สี ดุ ทนี่ ักเรยี นไดเรยี นรใู นช้ันเรียน”, “ยังมี
คาํ ถามใดบางทีค่ รยู งั ไมไ ดต อบ” โดยตอ งตอบภายใน 1 นาที
ใหน กั เรยี นตอบคาํ ถามโดยใชวิธีการเขียน ในคาํ ถามท่วี า
“อะไรคอื จดุ ทคี่ ลุมเครอื ใน............” (เชน ในการสอน, ใน
หนังสือ, ในการอภปิ ราย, ในภาพยนตร) กิจกรรมน้อี าจจะใช
บตั รคาํ , จดหมายอเิ ล็กทรอนิกส (e-mail), หรือแมแตก าร
สนทนาอเิ ล็กทรอนกิ ส (e-chat)
3
สิ่งทต่ี องการประเมนิ วิธีประเมนิ แนวปฏิบตั ิ
2. ทักษะการวเิ คราะห 2.1 การจัดหมวดหมู ใหน กั เรียนจําแนกหมวดหมขู องคําศพั ท, รปู ภาพ, ความ
และคดิ เชงิ วิจารณของ เหมือน, หรอื หัวขอ อืน่ ๆ ใหถ กู ประเภทตามคําจํากัดความท่ี
นักเรยี น(กระบวนการ ไดนยิ ามไวต อนตน
เรยี นรู, ทกั ษะ)
2.2 การนิยามลักษณะตนแบบ ใหน กั เรียนจัดประเภทแนวคดิ ตามลักษณะของคาํ นยิ าม
วา อยหู รือไมอยใู นลกั ษณะนน้ั
2.3 ขอ สนับสนนุ และขอ ใหนกั เรียนระบุขอสนับสนนุ และขอคัดคา นทเ่ี กย่ี วขอ งกบั
คดั คาน พฤติกรรม, เหตกุ ารณ, ประเด็นสาํ คญั ฯลฯ
2.4 เน้อื หา, รปู แบบ และ ใหนกั เรียนสรุปคาํ ตอบของตนเอง โดยใชค ําถามวา อะไร?
หนา ทีข่ องเคา โครง (เนือ้ หา) อยางไร? (รปู แบบ) ทําไม? (หนา ทขี่ องเคาโครง)
2.5 การวิเคราะหบันทกึ ใหน กั เรยี นเขยี นวเิ คราะหปญ หาหรอื ประเดน็ สาํ คญั
ประมาณ 1 – 2 หนา คิดและบันทกึ อยา งยอ ๆ ลงในกระดาษ
4
สิ่งท่ีตองการประเมิน วิธีประเมนิ แนวปฏบิ ตั ิ
3. ทักษะการสงั เคราะห 3.1 การสรปุ ใหไ ด 1 ประโยค ใหน กั เรยี นสรุปวา ใคร ทําอะไร เพ่อื ใคร เมอ่ื ไร ทีไ่ หน
และคิดอยา งสรา งสรรค 3.2 คาํ ศัพทจากวารสาร อยางไร และทาํ ไม
ของนักเรียน
3.3 การอปุ มาอปุ ไมย แบง เปน 2 สวน คอื ใหน กั เรยี นสรปุ เน้อื หาของขอความสนั้
(เปรียบเหมือน) ใหเ ปน คาํ ศพั ทเ พียงคาํ เดยี ว (หรอื คําอปุ มา) หลงั จากนน้ั ให
3.4 แผนผังแนวคดิ นกั เรยี นเขยี นอธิบายวาทาํ ไมจงึ เลือกคาํ ศพั ท (หรือคาํ อปุ มา)
คาํ นนั้ มาใชใ นการสรุปขอ ความนน้ั โดยเขียนประมาณ 1 – 2
3.5 การสรา งบทสนทนา ยอหนา วิธีนสี้ ามารถใชไดกบั ทฤษฎ,ี แนวคิด, โครงสรา ง
รวมไปถงึ หนงั สอื
3.6 คําอธบิ ายประกอบแฟม A เหมอื นกบั B เชนเดียวกนั กบั ........... เหมือนกบั ...............
สะสมผลงาน นกั เรยี นสามารถจับความสัมพันธไดห รอื ไม
นักเรียนสรางภาพวาดหรอื แผนภาพท่ีแสดงการเชื่อมโยง
ระหวา งแนวคดิ หลกั และแนวคดิ อื่น ๆ ทไ่ี ดเรยี นไปแลว
เอกสารและความสามารถในการอธบิ ายความสัมพันธของ
การเชอ่ื มโยงจะชว ยใหนกั เรยี นรับรศู กั ยภาพในการจดั การ
กบั กระบวนการทซ่ี บั ซอ น ครูควรตดิ ตามการเชอื่ มโยง
เพอ่ื ใหเ ขาใจกระบวนการคดิ ทอี่ าจมีขอ ผดิ พลาดของนกั เรียน
นกั เรียนสงั เคราะหป ระเดน็ ความรทู ่ีสําคัญ, บุคคลสาํ คญั ,
และชวงเวลาในอดตี ใหเปน รปู แบบของการสนทนาท่ีมกี าร
ยกตวั อยา งประกอบ สามารถเขยี นหรือแสดงใหผ อู ืน่ รบั รูได
(แสดงสดหรือบันทึก และอาจจะพฒั นาเปน เวบ็ ไซตตอไป)
นกั เรียนสรา งแฟมสะสมผลงาน ซึ่งอาจมีขอ จํากดั ในเร่อื ง
ของจํานวนผลงาน ใหน ักเรยี นเพิ่มคาํ วจิ ารณข องตนเองไว
ในผลงานเหลา น้ันดว ย
5
ส่ิงทตี่ องการประเมนิ วธิ ีประเมิน แนวปฏบิ ตั ิ
4. ทกั ษะการแกป ญ หา 4.1 การรบั รูป ญ หา ใหนกั เรียนระบุประเภทของปญ หาในแตล ะตวั อยางท่ีนาํ มา
ของนักเรียน(การรคู ดิ , แสดง
ระบุประเภทของปญหา, 4.2 หลักการคอื อะไร?
กลวิธีในการแกป ญ หา) 4.3 การแกป ญ หาจากเอกสาร ครถู ามคาํ ถามนกั เรียน 2 – 3 คาํ ถามและใหน กั เรยี นอธิบาย
ถึงหลกั การท่ีดีทสี่ ุดท่จี ะนาํ มาประยกุ ตใ ชใ นแตละคําถาม
4.4 การใชเสยี งและวดี โี อเทป ครูใหน กั เรยี นเก็บหลักฐานวธิ ีท่เี ขาใชแ กป ญ หา โดยให
“แสดงและบอกกลา ว” นกั เรยี นจะรวู า เขาแกป ญหาได
อยางไรและจะสามารถปรับวธิ กี ารแกป ญ หาใหเ ขา กบั
ชวี ติ ประจาํ วนั ทม่ี ีความยุงเหยงิ และปญ หาในโลกแหงความ
เปน จรงิ ไดอ ยา งไร
นักเรยี นหาวิธแี กปญ หา (รายบคุ คลหรือรายกลมุ ) หลังจาก
นัน้ ใหว จิ ารณแ ละใหข อ มูลยอ นกลับในส่งิ ท่ไี ดแสดงไป
6
สิ่งท่ตี องการประเมิน วิธีประเมนิ แนวปฏบิ ตั ิ
5. ทกั ษะการประยกุ ตใ ช 5.1 การถอดความ ใหน กั เรียนถอดความทฤษฎี, ภาษาเฉพาะกลุม, และภาษา
และการนําไปปฏิบัติ พิเศษอนื่ ๆ ใหเปน ภาษาที่ “ธรรมดา” โดยใหน กั เรยี นแปล
ของนกั เรียน 5.2 บัตรคาํ ประยกุ ต ขอ มูลมาเปนภาษาทใ่ี ชใ นชวี ติ ประจาํ วนั
ใหนกั เรยี นเขยี นสง่ิ ทีน่ า จะเปนไปได วา เขาสามารถนาํ ส่ิงท่ี
5.3 การสรางขอสอบโดย เรยี นรไู ปประยุกตใ ชใ นโลกแหง ความเปน จริงไดอยา งไร
นกั เรยี น ใหนกั เรยี นสรางคาํ ถามและตัวอยา งคําตอบ ซงึ่ วธิ ีนจ้ี ะทาํ ให
ครูทราบวานักเรียนเห็นวา เนอื้ หาใดบางทส่ี าํ คัญ, อะไรบางท่ี
5.4 ตวั ละครหรือการแสดงใน นกั เรียนเขา ใจ และนักเรียนสามารถตอบคําถามทีพ่ วกเขา
ชัน้ เรียน สรางขึน้ เองไดด ีเพยี งใด
5.5 รายงานหรอื โครงการใน ใหนกั เรยี นแบง กลมุ และจดั การแสดงบทบาทสมมตวิ า พวก
อนาคต เขาเรยี นรอู ะไร
ใหน กั เรยี นวางโครงสราง, เขยี นแผนอยางยอ ๆ สําหรบั การ
ทําภาคนิพนธห รอื โครงการ
7
การประเมนิ ผลในชนั้ เรียน
1. พ้ืนฐานความรูเดมิ ของนักเรียน
1.1 การตรวจสอบความรูพื้นฐาน
ใชแบบสอบถามท่สี ั้นและเขาใจงา ยเพอื่ เก็บขอมลู พ้ืนความรูเดิมของนักเรียน
ขอแนะนํา
• สรา งคาํ ถามใหเ ฉพาะเจาะจงดกี วา เปน คาํ ถามท่วั ๆ ไป
• เต็มใจท่จี ะเก็บรวบรวมขอมูล
เปา หมายของวิธนี ีค้ ือ
• ปรับปรงุ ทักษะการจาํ
• พัฒนาทักษะ, กลยุทธ และอุปนิสัยการเรียนรทู ี่เหมาะสม
• เรยี นรูคําศัพทและขอเทจ็ จริงของรายวิชาน้ัน
• เรยี นรแู นวคดิ และทฤษฎขี องรายวชิ านนั้
• พฒั นาและแสดงทรรศนะในอดีต
ตัวอยาง
การเกบ็ ขอ มลู : กอ นทีจ่ ะสอนหัวขอใหมหรือแนวคิดสําคัญ ใหตรวจสอบวานักเรียนรูอะไรมา
บางแลวเก่ียวกับหัวขอนั้น โดยการเตรียมคําถามปลายเปดไว 2 – 5 คําถามและตองม่ันใจดวยวาไมได
ใชคําศัพทเฉพาะ ใหเขียนคําถามบนกระดานหรือแจกเปนเอกสาร ใหนักเรียนเขียนคําตอบประมาณ
3 – 4 ประโยค โดยตอ งทําความเขา ใจกบั นักเรียนวานีไ่ มใ ชการสอบ และไมม ีการใหคะแนน
การวิเคราะหขอมูล : พิจารณาคําตอบของนักเรียนแลวแบงออกเปน 4 กลุม คือ : มีพื้นความรู
เดมิ ทผี่ ิด, มีพ้นื ความรูเดมิ ทีไ่ มตรงประเดน็ , มีพ้นื ความรเู ดมิ อยบู า ง, และมพี ื้นความรเู ดมิ ที่ดี
การติดตาม : รายงานสิ่งที่คนพบในชั้นเรียนใหกับนักเรียนทราบและปรับการสอนของตนให
เหมาะสมกบั ชน้ั เรยี น โดยอาจจะใชวธิ แี บงกลมุ นกั เรยี นโดยใชขอ มลู ทไี่ ดจดั กลุมไว
การปรับใช : เมือ่ จบหลักสูตรใหนักเรียนตอบคําถามเดิมอีกคร้ัง หลังจากนั้นคืนกระดาษใหกับ
นักเรียน และใหน ักเรยี นเปรียบเทยี บผลการตอบคาํ ถามท้ัง 2 ครง้ั ซง่ึ เปนการกระตุน ใหน ักเรียนทราบวา
เขาไดเ พม่ิ พนู ความรขู องตนไปมากนอ ยเพยี งใด
ขอ ควรระวัง : ใชวธิ ีน้ีกต็ อเม่ือครูมีเวลาและตอบสนองตอผลท่ีได ถาครูทําไมไดหรือไมเต็มใจ
ที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนหรือหลักสูตร ก็ไมควรใชวิธีน้ี ในทางตรงกันขาม วิธีนี้จะทําใหไดขอมูลที่
สําคญั ในการสอนตอ ๆ ไป
8
1.2 การเขยี นรายการ
ใหน กั เรียนเขียนแนวคิดท่ีเกีย่ วของกับเรอ่ื งทเี่ รียน
ขอ แนะนาํ
• ใชไดในชั้นเรยี นทุกขนาด
• มปี ระโยชนสาํ หรบั วิชาทมี่ ีเน้อื หามาก ๆ
• เหมาะสําหรับหลักสูตรระดับปริญญาตรี หรอื วชิ าชพี
• ตองระวงั วา วธิ นี ี้จะเนน ทแ่ี นวคิดในชว งเวลานนั้ เทานัน้
เปา หมายของวธิ ีนค้ี อื
• ปรบั ปรุงทักษะการตง้ั ใจเรยี น
• ปรบั ปรุงทักษะการจาํ
• ปรบั ปรุงทกั ษะการฟง
• พัฒนาทักษะ, กลยทุ ธ และอปุ นสิ ยั การเรยี นรูที่เหมาะสม
• เรยี นรูคําศัพทและขอเทจ็ จรงิ ของรายวชิ าน้นั
• เรียนรูแ นวคิดและทฤษฎขี องรายวิชานน้ั
• พฒั นาความสามารถในการจดจอในการเรยี น
ตัวอยาง
การเก็บขอมูล : ใหนักเรียนเขียนรายการทุกหัวขอและแนวคิดที่เขารู ที่เก่ียวของกับแนวคิดท่ี
สาํ คญั ท่คี รูกําลงั สอน
การวิเคราะหขอมูล : เปรียบเทียบรายการของครูกับของนักเรียน ทั้งในหองที่กําลังสอนและ
หอ งอนื่ ๆ หรืออาจจะแจกรายการของครูใหกบั นักเรียนแลว ใหน ักเรยี นเปรยี บเทียบ อภิปรายหาขอสรุป
ถงึ ขอ ทีข่ ัดแยงกัน
การติดตาม : ครูเสริมแนวคิดที่นักเรียนไมไดเขียนไวในรายการ อธิบายวาทําไมแนวคิด
บางอยางของนักเรียนจึงมีความสําคัญนอยตอวัตถุประสงคของหลักสูตรนี้ ถารายการของนักเรียนไม
สมบูรณ ใหน ักเรียนปรับปรุงรายการของตนและเขยี นเปน เรยี งความ
ขอควรระวงั : ควรเลอื กหัวขอ ทีไ่ มก วา งหรือแคบจนเกนิ ไป
9
1.3 ความเขา ใจผดิ / อคติ
ประเมินความเขาใจผิด / อคติของนักเรียนโดยการถามคําถามในรูปแบบของการตอบคําถาม
แบบเลือกตอบหรือเขยี นตอบอยา งสน้ั
ขอ แนะนาํ
• เหมาะสําหรับวิชาทางดานสังคมศึกษาและศาสตรทางดานพฤติกรรมที่เก่ียวกับประเด็น
ความขัดแยงหรือความรสู กึ
เปาหมายของวธิ ีนีค้ อื
• พัฒนาความสามารถในการแยกความจรงิ และขอ คดิ เหน็
• เรยี นรูคาํ ศพั ทแ ละขอเทจ็ จริงของรายวชิ านัน้
• เรียนรูแนวคดิ และทฤษฎีของรายวชิ านั้น
• พฒั นาการเปด รับแนวคิดใหม ๆ
• พัฒนาศักยภาพในการคดิ ของตนเอง
10
1.4 เคา โครงวา งเปลา
ใหนักเรียนเติมคําลงในเคาโครงที่วางหรือมีขอความอยูแลวเปนบางสวนใหถูกตองโดยอาจจะ
เปน แบบฝกหัดในช้ันเรยี นหรือเปนการบา นแตตอ งอยูในเวลาทีจ่ าํ กดั
ขอแนะนํา
• เหมาะสําหรับวชิ าที่มีเนอื้ หาจํานวนมากโดยปกตแิ ลว จะมลี ักษณะโครงสรางทซ่ี บั ซอน
• ใชเ วลาในการอาน
เปา หมายของวิธนี ีค้ อื
• ปรับปรงุ ทักษะการตัง้ ใจเรยี น
• ปรับปรงุ ทกั ษะการฟง
• พัฒนาทักษะ, กลยุทธ และอุปนิสัยการเรยี นรูทีเ่ หมาะสม
• เรยี นรคู ําศพั ทและขอ เทจ็ จรงิ ของรายวิชาน้ัน
• พฒั นาความสามารถในการจดจอ ในการเรยี น
11
1.5 ตน แบบของความทรงจํา
กําหนดตารางโดยในตารางจะมีแนวคิดหลักอยูในแถวและคอลัมนโดยที่แนวคิดหลักท้ังใน
แถวและคอลัมนจ ะมคี วามสัมพันธกนั เมือ่ นักเรยี นเติมคาํ /ขอความลงในชอ งของตารางที่วางจะเปนการ
แสดงใหเ หน็ ถึงความเขาใจของนกั เรยี น
ขอแนะนํา
• เหมาะสําหรบั ประเมนิ ความจําและความเขาใจของนักเรียนในดานขอเท็จจริงและหลักการ
ของหลักสูตรท่มี เี นอื้ หามาก
• วิธนี ี้งา ยและสะดวกตอเนอ้ื หาที่ซบั ซอน
เปาหมายของวิธีน้คี ือ
• ปรบั ปรุงทักษะการจาํ
• ปรบั ปรงุ ทักษะการอาน
• พัฒนาทักษะ, กลยุทธ และอุปนิสยั การเรียนรทู ีเ่ หมาะสม
• เรียนรคู ําศัพทแ ละขอเทจ็ จริงของรายวิชานนั้
• เรยี นรูแนวคดิ และทฤษฎีของรายวชิ านัน้
12
1.6 การจบั เวลา
เมื่อจบช่ัวโมงเรียนใหนักเรียนใชบัตรคําหรือกระดาษครึ่งหนาเขียนขอมูลยอนกลับจากคําถาม
2 ขอ “อะไรท่ีสาํ คัญทีส่ ดุ ท่ีนักเรียนไดเ รียนรูในชั้นเรียน” และ “ยังมคี าํ ถามใดบางท่ีครูยังไมไดตอบ”
ขอ แนะนํา
• มปี ระโยชนสําหรบั หลักสตู รทใ่ี ชวธิ บี รรยายหรอื อภปิ ราย
• เหมาะสาํ หรับใชในหอ งเรียนใหญ
เปา หมายของวธิ นี ี้คือ
• พัฒนาความสามารถในการคดิ แบบองคร วม : มองภาพรวมและสวนยอย ๆ
• ปรับปรุงทักษะการตัง้ ใจเรยี น
• ปรบั ปรุงทักษะการฟง
• พฒั นาทกั ษะ, กลยทุ ธ และอปุ นิสยั การเรียนรูท ี่เหมาะสม
• เรยี นรคู าํ ศัพทและขอ เทจ็ จรงิ ของรายวิชาน้นั
• เรียนรูแ นวคิดและทฤษฎีของรายวิชานน้ั
• พฒั นาความสามารถในการจดจอ ในการเรยี น
• พฒั นาความสามารถในการสงั เคราะหแ ละรวมขอมูลและแนวคดิ
ตัวอยา ง
การเก็บขอมูล : หลังจากท่ีครูบรรยาย ใหนักเรียนใชเวลา 2 – 3 นาทีเขียนแนวคิดหลัก 3 ขอที่
ครไู ดบรรยายไป
การวิเคราะหขอมูล : เปรียบเทียบรายการของครุกับของนักเรียน หรือใหรายการของครูแก
นักเรียนแลวใหน กั เรยี นทําการเปรยี บเทยี บ หลงั จากนัน้ อภปิ รายขอ โตแ ยง
การติดตาม : ครูเพ่ิมเติมแนวคิดที่นักเรียนไมไดกลาวถึง ดึงดูดความสนใจของนักเรียนมายัง
คําอธิบายรายวิชาหรือหลักสูตรท่ีเนนแนวคิดท่ีปรากฏในเอกสาร ครูอธิบายวาทําไมจึงเลือกแนวคิด
เหลา น้ี หากมีความขัดแยงระหวางครูและนักเรียน ครุตองคิดหาวิธีการท่ีจะดําเนินการตอไปโดยจะตอง
ใหนักเรียนรับทราบดวยวาครูจะทําอยางไร ครุอาจจะขอใหนักเรียนชวยกันเสนอแนะวิธีการเพื่อจะได
เนนเนือ้ หาไดต รงจุด
การปรับเปล่ียน : ใหนักเรียนเขียนคําถาม 1 – 2 คําถาม หลังจากที่ฟงบรรยายจบ หรืออาจจะ
ใหนกั เรยี นเขียนแสดงความคดิ เห็นตอ แนวคดิ ท่ีครไู ดบ รรยายไป
13
1.7 จดุ ท่คี ลุมเครือ
เมื่อจบช่ัวโมงเรียนใหครูถามนักเรียนวา “อะไรคือจุดท่ีคลุมเครือใน............” คําถามน้ีมี
ประโยชนสําหรับการบรรยาย, การอา น, การอภิปราย, หรือการดูวีดีโอ/ภาพยนตร และใหใชขอมูลท่ีได
เพอื่ ใชในชวั่ โมงตอไป
ขอ แนะนํา
• มีประโยชนสําหรับช้ันเรียนท่ีมีขนาดใหญและความรูความสามารถของนักเรียนอยูใน
ระดับออน
เปาหมายของวิธนี ้ีคือ
• ปรับปรงุ ทักษะการตัง้ ใจเรยี น
• ปรับปรงุ ทกั ษะการฟง
• พฒั นาทกั ษะ, กลยุทธ และอปุ นสิ ยั การเรียนรูทีเ่ หมาะสม
• เรยี นรคู าํ ศพั ทและขอเท็จจริงของรายวชิ านนั้
• เรียนรูแนวคดิ และทฤษฎีของรายวชิ านัน้
• พฒั นาความสามารถในการจดจอ ในการเรียน
14
2. ทกั ษะการวิเคราะหแ ละคิดเชงิ วิจารณข องนกั เรียน (กระบวนการเรียนรู, ทกั ษะ)
2.1 การจัดหมวดหมู
ใหนักเรียนจาํ แนกหมวดหมูข องรายการ (คําศัพท, รูปภาพ, ความเหมือน, หรือหัวขออื่น ๆ) ให
ถกู ประเภทลงในตาราง
ขอ แนะนํา
• มปี ระโยชนมากตอ หลกั สตู รระดบั เรมิ่ ตน
เปา หมายของวธิ นี ค้ี อื
• พฒั นาทักษะการวิเคราะห
• ปรบั ปรงุ ทักษะการจาํ
• พฒั นาทักษะ, กลยุทธ และอุปนิสยั การเรียนรทู ่ีเหมาะสม
• เรียนรูคาํ ศัพทแ ละขอ เท็จจริงของรายวชิ าน้นั
• เรียนรูแนวคดิ และทฤษฎีของรายวชิ านน้ั
• พฒั นาความสามารถในการสรุปจากการสงั เกต
15
2.2 การนยิ ามลักษณะตนแบบ
ใหนกั เรยี นจัดประเภทแนวคดิ ตามลักษณะของคํานยิ ามวาอยหู รอื ไมอยูในลกั ษณะนนั้
ขอ แนะนาํ
• เหมาะกับหลักสตู รที่ตองการใหน กั เรียนแยกระหวา งหัวขอหรอื แนวคดิ
• มปี ระโยชนกบั วชิ า เชน ชวี วทิ ยา, ภมู ศิ าสตร, เคมี, ดาราสาสตร และแพทยศาสตร
เปา หมายของวิธนี ค้ี อื
• พฒั นาทักษะการวเิ คราะห
• ปรับปรุงทกั ษะการจาํ
• ปรบั ปรงุ ทักษะการฟง
• ปรับปรุงทกั ษะการอา น
• พฒั นาทกั ษะ, กลยุทธ และอปุ นสิ ยั การเรยี นรทู ี่เหมาะสม
• เรยี นรคู ําศัพทแ ละขอเท็จจรงิ ของรายวิชานน้ั
• เรียนรแู นวคดิ และทฤษฎีของรายวิชาน้นั
• พฒั นาความสามารถในการสรปุ ผลจากการสังเกต
16
2.3 ขอ สนับสนนุ และขอคัดคา น
ใหนักเรียนระบขุ อสนบั สนุนและขอ คัดคานจากคําถามและสถานการณทนี่ ําเสนอโดยครู
ขอ แนะนํา
• เหมาะกับหลักสูตรที่คุณคา ของคาํ ถามมีวัตถุประสงคก ารเรยี นรูทชี่ ดั เจน
• มีประโยชนโดยเฉพาะกับหลักสูตรทางดานมนุษศาสตร, สังคมศาสตร และนโยบาย
สาธารณะ หรอื ในหลกั สูตรอ่นื ๆ ท่มี วี ิธีการแกไขปญหาท่หี ลากหลาย
เปาหมายของวิธนี ี้คอื
• พัฒนาทกั ษะการวิเคราะห
• เรียนรกู ารประเมินคา วธิ ีการสอนและส่อื ท่ีใชใ นวิชานี้
• พฒั นาการใหขอมูลเกย่ี วกับประเด็นสําคัญทางสังคมในชว งนั้น ๆ
• พัฒนาศกั ยภาพในการใหขอมลู ทีเ่ ก่ียวของกบั ศลี ธรรม
• พัฒนาความสามารถในการสรุปผลจากการสงั เกต
• พฒั นาคุณคา ของตนเอง
• พัฒนาความสามารถในการตดั สินใจอยา งเฉลียวฉลาด
17
2.4 เน้อื หา, รปู แบบ และหนาท่ีของเคา โครง
ใหนักเรียนสรุปคําตอบของตนเองในรูปแบบของ “อะไร” (เน้ือหา), “อยางไร” (รูปแบบ),
และ “ทาํ ไม” (หนาท่ีของเคา โครง)
ขอ แนะนาํ
• เหมาะกบั หลกั สตู รท่ีเนน ดา นการเขียนและการส่ือสาร เชน การเขียนเรียงความ, วรรณคดี,
การโฆษณา และการตลาด
เปาหมายของวธิ นี คี้ อื
• พฒั นาทกั ษะการวิเคราะห
• ปรบั ปรงุ ทกั ษะการอา น
• ปรบั ปรงุ ทักษะการเขียน
• พัฒนาทกั ษะ, กลยุทธ และอปุ นิสยั การเรียนรูท่เี หมาะสม
• เรยี นรกู ารประเมนิ คาวธิ กี ารสอนและสื่อทีใ่ ชในวชิ าน้ี
• พัฒนาศกั ยภาพในการใหข อ มลู ท่เี กีย่ วขอ งกับศีลธรรม
• พัฒนาความสามารถในการตัดสนิ ใจอยา งเฉลียวฉลาด
18
2.5 การวิเคราะหบันทึก
ใหน กั เรยี นเขยี นวิเคราะหป ญ หาหรือประเด็นสําคัญและเขียนบนั ทกึ ประมาณ 1 – 2 หนา
ขอ แนะนาํ
• มีประโยชนโดยเฉพาะอยางยิ่งทางดานนโยบายหรือการจัดการสาธารณะที่เก่ียวของกับ
วิชา
• เหมาะกับการสมั มนาและชั้นเรยี นขนาดเลก็
เปา หมายของวธิ ีนค้ี อื
• พฒั นาทักษะการวิเคราะห
• พัฒนาทกั ษะการแกป ญ หา
• ปรับปรุงทักษะการเขยี น
• พฒั นาทกั ษะความเปน ผูนาํ
• พัฒนาทักษะการจัดการ
• พฒั นาความสามารถในการปฏิบัตใิ หเ กิดชาํ นาญ
19
3. ทักษะการสังเคราะหแ ละคดิ อยา งสรา งสรรคข องนกั เรยี น
3.1 การสรุปใหได 1 ประโยค
ใหนักเรียนสรุปขอมูลจํานวนมาก ๆ ใหเปน 1 ประโยคโดยตองตอบคําถามท่ีวา “ใครทําอะไร
ใหกับใคร เมื่อไร ทไ่ี หน อยา งไร และทําไม”
ขอแนะนาํ
• เหมาะกบั เนื้อหาทม่ี ีขอบเขตท่ีชัดเจนหรือเปนจริง
• ครูผสู อนควรจะทาํ แบบฝกหัดใหเสรจ็ สมบูรณกอ นท่ีจะนาํ ไปใช
เปา หมายของวิธีน้ีคอื
• ปรบั ปรุงทกั ษะการจํา
• ปรับปรุงทกั ษะการฟง
• ปรบั ปรงุ ทักษะการอา น
• พัฒนาทักษะ, กลยทุ ธ และอปุ นิสัยการเรยี นรูทเ่ี หมาะสม
• เตรียมความพรอ มในการศึกษาตอ
• พัฒนาทกั ษะการจดั การ
• พฒั นาความสามารถในการสงั เคราะหและรวมขอ มลู และแนวคดิ
• พัฒนาความสามารถในการปฏบิ ัตใิ หเกิดความชํานาญ
20
3.2 คําศัพทจ ากวารสาร
ใหนักเรียนสรุปเนื้อหาใหเปนคํา ๆ เดียวและเขียนบรรยายอธิบายวาทําไมจึงเลือกคําน้ัน
จาํ นวน 1 ยอ หนา
ขอ แนะนํา
• ใชป ระเมินการอา นขอ ความสั้น ๆ
• เหมาะสําหรบั หลกั สูตรทีเ่ นน เน้อื หาเบื้องตน
• จะมีประโยชนมากขน้ึ เมอ่ื นักเรียนอภิปรายและเปรยี บเทียบผลงานกบั ผูอน่ื
เปาหมายของวธิ นี ้ีคอื
• พฒั นาความสามารถในการคิดแบบองครวม : มองภาพรวมและสว นยอ ย ๆ
• ปรับปรงุ ทักษะการจํา
• ปรบั ปรงุ ทกั ษะการฟง
• ปรับปรุงทกั ษะการอา น
• พัฒนาทกั ษะ, กลยทุ ธ และอปุ นิสัยการเรียนรูทีเ่ หมาะสม
• เตรียมความพรอมในการศึกษาตอ
• พัฒนาความสามารถในการสงั เคราะหและรวมขอมูลและแนวคดิ
• พัฒนาความสามารถในการปฏบิ ัติใหเกดิ ความชํานาญ
• พฒั นาความสามารถในการตดั สนิ ใจอยางเฉลยี วฉลาด
21
3.3 การอปุ มาอุปไมย (เปรียบเหมอื น)
ใหนักเรียนเขียนอีกสวนหนึ่งของอุปมาอุปไมย : A เหมือนกับ B เชนเดียวกันกับ ...........
เหมือนกบั ...............
ขอแนะนํา
• ใชไดกับทกุ วชิ าทต่ี อ งการความเขาใจในเร่อื งของความสมั พันธเ ชงิ วจิ ารณ
• ประเมินการถายโอนและประยุกตใ ชค วามรูและการคดิ อยา งสรางสรรค
เปา หมายของวิธีน้คี อื
• พัฒนาความสามารถในการคิดอยา งสรา งสรรค
• ปรบั ปรงุ ทกั ษะการจาํ
• เรยี นรแู นวคดิ และทฤษฎขี องวชิ า
• พฒั นาการเปดรบั แนวคดิ ใหม ๆ
• พัฒนาความสามารถในการสังเคราะหและรวมขอ มูลและแนวคดิ
• พัฒนาความสามารถในการตดั สนิ ใจอยา งเฉลียวฉลาด
22
3.4 แผนผงั แนวคดิ
ใหนักเรียนสรางภาพวาดหรือแผนภาพที่แสดงการเช่ือมโยง ระหวางแนวคิดหลักและแนวคิด
อื่น ๆ
ขอแนะนาํ
• เปน วิธีท่มี ปี ระโยชนม ากในการวดั และพัฒนาทกั ษะการรูค ดิ
• ใชไ ดกบั ทกุ วชิ าทต่ี อ งการการเรียนรูเกย่ี วกับหลักการ
• ใชไดดกี บั นกั เรียนทม่ี วี ิสัยทศั นใ นการเรียนทด่ี ี
เปา หมายของวิธนี ี้คอื
• พฒั นาความสามารถในการคดิ แบบองคร วม : มองภาพรวมและสว นยอย ๆ
• พัฒนาทักษะ, กลยุทธ และอปุ นิสยั การเรียนรทู ่ีเหมาะสม
• เรยี นรแู นวคิดและทฤษฎขี องวิชา
• เรยี นรูท่จี ะเขา ใจมิตแิ ละคุณคา ของวิชา
• พฒั นาการเปด รับแนวคิดใหม ๆ
• พฒั นาความสามารถในการสรุปผลจากการสังเกต
• พฒั นาความสามารถในการสังเคราะหแ ละรวมขอมูลและแนวคดิ
• พัฒนาความสามารถในการตดั สนิ ใจอยางเฉลียวฉลาด
23
3.5 การสรา งบทสนทนา
ใหนักเรียนสรางบทสนทนาโดยใชคําพูดจากแหลงขอมูลเบื้องตน หรือสรางบทสนทนาท่ี
เหมาะกบั ลกั ษณะของเน้ือหา
ขอแนะนํา
• เหมาะกบั หลกั สตู รทางดา นมนุษยศาสตรและสงั คมศาสตร
• ใชเ วลามาก
เปา หมายของวธิ ีนคี้ อื
• พัฒนาความสามารถในการคดิ อยา งสรา งสรรค
• เรยี นรูทจี่ ะเขาใจมิตแิ ละคณุ คาของวิชา
• เรียนรวู ธิ ีท่จี ะนาํ มาซ่งึ ความรูใหม ๆ จากการเรยี นวิชานี้
• เรยี นรูการประเมนิ คาวธิ กี ารสอนและสือ่ ทใ่ี ชใ นวชิ าน้ี
• เรียนรูท่ีจะช่นื ชมตอเรื่องทีส่ าํ คญั ในวชิ าน้ี
• พัฒนาขอมูลในอดตี
• พัฒนาความสามารถในการสรปุ ผลจากการสงั เกต
• พัฒนาความสามารถในการสังเคราะหและรวมขอ มูลและแนวคิด
24
3.6 คําอธบิ ายประกอบแฟมสะสมผลงาน
ใหนักเรียนสรางแฟมสะสมผลงาน ท่ีมีลําดับที่ของผลงานและคําวิจารณของตนเองในผลงาน
เหลา นน้ั
ขอ แนะนํา
• เหมาะกับหลักสูตรทางดานทัศนศิลป, การเขียนเชิงสรางสรรค, ดนตรี, เตนรํา, การละคร,
การกระจายเสียง, และทางดานวชิ าชพี
เปาหมายของวธิ นี ้คี อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปท่ีไดเรียนมาในการ
แกปญ หาและสถานการณใหม ๆ
• พัฒนาความสามารถในการคิดอยา งสรา งสรรค
• พฒั นาทักษะในการใชส่อื เคร่ืองมอื และ/หรือเทคโนโลยใี นวชิ าน้ี
• เตรียมความพรอมในการศึกษาตอ
• พฒั นาขอผูกมดั เปน ผลสัมฤทธิ์สว นบคุ คล
• พัฒนาความสามารถในการปฏบิ ตั ิใหเ กดิ ความชํานาญ
25
4. ทกั ษะการแกป ญ หาของนักเรียน (การรคู ิด, ระบุประเภทของปญ หา, กลวธิ ใี น
การแกปญ หา)
4.1 การรับรูปญหา
ใหนักเรียนระบปุ ระเภทของปญหาในแตล ะตัวอยางทีน่ าํ มาแสดง
ขอแนะนํา
• เหมาะกบั หลักสตู รท่ีเกย่ี วของกับปรมิ าณ เชน คณติ ศาสตร, ฟส ิกส, สถติ ิ และบญั ชี
เปา หมายของวธิ ีนค้ี อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปที่ไดเรียนมาในการ
แกป ญหาและสถานการณใหม ๆ
• พัฒนาทักษะการแกปญ หา
• พฒั นาทักษะ, กลยุทธ และอุปนสิ ยั การเรยี นรทู เ่ี หมาะสม
• ปรบั ปรุงทกั ษะทางคณติ ศาสตร
• เตรียมความพรอมในการศกึ ษาตอ
• เรยี นรวู ธิ ที ่ีจะนํามาซ่งึ ความรใู หม ๆ จากการเรียนวิชาน้ี
• พัฒนาความสามารถในการปฏบิ ตั ิใหเกดิ ความชํานาญ
26
4.2 หลกั การคอื อะไร?
ครูถามคําถามนักเรียน 2 – 3 คําถามและใหนักเรียนอธิบายถึงหลักการท่ีใชในการแกปญหาใน
แตล ะคาํ ถาม
ขอแนะนาํ
• เหมาะกับหลักสูตรที่เกี่ยวของกับปริมาณและสังคมศาสตร โดยขึ้นอยูกับ “กฎแหงการ
ปฏิบัติ”
เปาหมายของวิธนี ค้ี อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูท่ัว ๆ ไปที่ไดเรียนมาในการ
แกปญหาและสถานการณใหม ๆ
• พัฒนาทักษะการแกป ญ หา
• พฒั นาทักษะ, กลยุทธ และอปุ นสิ ัยการเรยี นรทู ่ีเหมาะสม
• ปรับปรุงทักษะทางคณิตศาสตร
• เตรียมความพรอมในการศกึ ษาตอ
• เรียนรวู ิธที จ่ี ะนํามาซึง่ ความรใู หม ๆ จากการเรียนวชิ านี้
• เรียนรกู ารประเมินคาวธิ ีการสอนและสอ่ื ท่ใี ชในวิชานี้
• พฒั นาการทํางานใหถกู ตอ ง
• พฒั นาความสามารถในการปฏบิ ตั ใิ หเ กดิ ความชํานาญ
27
4.3 การแกป ญหาจากเอกสาร
ใหน ักเรยี นเกบ็ หลักฐานขั้นตอนการแกป ญหาและแสดงพรอมทั้งอธบิ ายวา มีวธิ กี ารอยา งไร
ขอแนะนาํ
• เหมาะกับหลักสูตรที่เก่ียวของกับปริมาณขั้นสูง เชน บัญชี, พีชคณิต, แคลคูลัส, โปรแกรม
คอมพิวเตอร, วศิ วกรรมศาสตร และสถติ ิ
เปาหมายของวิธีนค้ี อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูท่ัว ๆ ไปที่ไดเรียนมาในการ
แกปญ หาและสถานการณใหม ๆ
• พัฒนาทักษะการแกป ญ หา
• พัฒนาทักษะ, กลยุทธ และอุปนิสยั การเรียนรูท่เี หมาะสม
• ปรับปรงุ ทกั ษะทางคณติ ศาสตร
• เตรยี มความพรอ มในการศกึ ษาตอ
• เรียนรูว ธิ ีท่ีจะนาํ มาซึง่ ความรใู หม ๆ จากการเรยี นวิชานี้
• เรยี นรูก ารประเมนิ คาวิธีการสอนและสื่อทใ่ี ชใ นวชิ าน้ี
• พฒั นาการทาํ งานใหถ ูกตอ ง
• พัฒนาความสามารถในการปฏิบตั ใิ หเกดิ ความชํานาญ
28
4.4 การใชเ สยี งและวีดีโอเทป
ใหน ักเรียนหาวธิ แี กป ญหาและใหบ ันทึกกระบวนการแกปญ หาของตน
ขอแนะนํา
• เหมาะกับหลกั สูตรทนี่ ักเรียนตอ งเรียนรกู ระบวนการที่ซับซอ นเพื่อการแกป ญ หา
• ประเมนิ การรูคดิ (การรับรูการควบคมุ ตนเองของนักเรยี น)
• ใชใ นชั้นเรียนขนาดเลก็ เทานน้ั
เปาหมายของวิธนี ้คี อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปท่ีไดเรียนมาในการ
แกป ญ หาและสถานการณใ หม ๆ
• พัฒนาทักษะการแกป ญหา
• พฒั นาทกั ษะ, กลยทุ ธ และอุปนสิ ยั การเรียนรูทเ่ี หมาะสม
• ปรับปรุงทกั ษะทางคณิตศาสตร
• เตรียมความพรอมในการศึกษาตอ
• เรยี นรูว ธิ ีทจี่ ะนาํ มาซ่ึงความรูใหม ๆ จากการเรยี นวิชาน้ี
• เรยี นรูก ารประเมินคาวธิ กี ารสอนและสือ่ ท่ีใชใ นวิชาน้ี
• พัฒนาการทาํ งานใหถ ูกตอง
• พัฒนาความสามารถในการปฏิบัติใหเกดิ ความชํานาญ
29
5. ทกั ษะการประยกุ ตใ ชแ ละการนาํ ไปปฏบิ ัตขิ องนกั เรียน
5.1 การถอดความ
ใหนกั เรียนถอดความบทเรียนโดยใชคําพดู ของตนเอง
ขอแนะนาํ
• ใชส าํ หรับประเมินความสามารถของนกั เรียนในการรวมขอ มูลท่ีซบั ซอนและเฉพาะเจาะจง
แลวนาํ ไปส่ือสารใหเกิดประสทิ ธิภาพ
• เหมาะสําหรับหลักสูตรการตลาด, สังคมสงเคราะห, สาธารณสุข, การศึกษา, กฎหมาย,
และ ความยตุ ิธรรมทางอาญา
เปาหมายของวิธนี ีค้ ือ
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปท่ีไดเรียนมาในการ
แกปญหาและสถานการณใ หม ๆ
• ปรับปรงุ ทกั ษะการเขียน
• พฒั นาทักษะ, กลยุทธ และอุปนิสัยการเรียนรทู เี่ หมาะสม
• เรยี นรแู นวคิดและทฤษฎขี องวิชา
• พัฒนาทกั ษะการจดั การ
• พัฒนาความสามารถในการปฏบิ ัติใหเกิดความชาํ นาญ
ตัวอยา ง
การเก็บขอมูล : กอนที่จะเร่ิมสอน, เมื่อจบช่ัวโมงสอน หรือนอกหองเรียน ใหนักเรียนถอด
ความสวนของขอ ความหรอื บทความท่มี เี นื้อหาเก่ยี วของกับเร่ืองทเี่ รียน
การวิเคราะหขอมูล : ครูและครูผูชวยพิจารณาผลงานของนักเรียนและยกตัวอยางคําตอบ
รวมถงึ ความเขา ใจผดิ หรอื ครใู หนกั เรียนวจิ ารณง านของคนอน่ื
การตดิ ตาม : ครู (หรอื ครผู ูชวย) สามารถอธิบายส่ิงทีน่ ักเรียนยังไมเขาใจกอน แลวหลังจากนั้น
อานตัวอยางตําตอบใหนักเรียนในชั้นฟง วิธีน้ีจะชวยเตรียมนักเรียนในการสอบแบบอัตนัยและเขียน
ตอบแบบสน้ั
30
5.2 บตั รคาํ ประยุกต
ใหนักเรียนเขียนส่งิ ทน่ี า จะเปนไปได วา เขาสามารถนําสิ่งท่ีเรียนรูเก่ียวกับหลักการ, ทฤษฎีและ
กระบวนการไปประยกุ ตใ ชในโลกแหงความเปนจริงไดอยา งไร ลงในบัตรรายการ
ขอ แนะนาํ
• ใชไดในชน้ั เรียนหลาย ๆ ประเภทและหลาย ๆ ขนาด
เปา หมายของวิธนี ้ีคือ
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปท่ีไดเรียนมาในการ
แกป ญหาและสถานการณใหม ๆ
• พฒั นาความสามารถในการคิดอยางสรา งสรรค
• พัฒนาทกั ษะ, กลยุทธ และอปุ นิสัยการเรียนรทู ี่เหมาะสม
• เรียนรูแ นวคิดและทฤษฎขี องวิชา
• พฒั นาวิชาศลิ ปศาสตรและวทิ ยาศาสตรไดอ ยางเหมาะสม
• พัฒนาความสามารถในการสรุปผลจากการสังเกต
• พฒั นาความสามารถในการตดั สนิ ใจอยา งเฉลยี วฉลาด
31
5.3 การสรางขอ สอบโดยนักเรียน
ใหนกั เรียนสรางแบบทดสอบเกย่ี วกับเนื้อหาท่เี รียนดวยตนเอง
ขอ แนะนํา
• ใชไ ดดเี มอ่ื ใหน กั เรยี นทาํ กอนที่จะมีการสอบจริง 2 – 3 สปั ดาห เพ่ือมีเวลาในการใหขอมูล
ยอ นกลับและแกไ ข
เปาหมายของวธิ นี ้คี ือ
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูท่ัว ๆ ไปท่ีไดเรียนมาในการ
แกปญ หาและสถานการณใหม ๆ
• พฒั นาทกั ษะ, กลยุทธ และอุปนสิ ยั การเรยี นรูท่เี หมาะสม
• เรียนรคู ําศพั ทแ ละขอเทจ็ จรงิ ของรายวชิ านัน้
• เรยี นรูแนวคิดและทฤษฎขี องวิชา
• เรยี นรกู ารประเมินคาวิธกี ารสอนและส่ือทใ่ี ชใ นวชิ าน้ี
• พัฒนาการทํางานใหถ ูกตอ ง
• พัฒนาความสามารถในการปฏบิ ัตใิ หเกิดความชาํ นาญ
32
5.4 ตัวละครหรือการแสดงในชนั้ เรียน
ใหน กั เรยี นแบงกลมุ และจดั การแสดงบทบาทสมมติวา พวกเขาเรยี นรูอะไร
ขอแนะนํา
• เปน งานกลมุ
• เหมาะกบั ชน้ั เรียนขนาดเลก็
เปา หมายของวิธีนค้ี อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปที่ไดเรียนมาในการ
แกปญหาและสถานการณใหม ๆ
• พัฒนาความสามารถในการคดิ อยางสรา งสรรค
• พฒั นาความซาบซึง้ ในสุนทรีย
• พัฒนาขอมลู ในอดตี
• พัฒนาความสามารถในการสังเคราะหและรวมขอมูลและแนวคิด
• พฒั นาความสามารถในการทาํ งานรวมกับผอู ่นื
• พฒั นาความสามารถในการปฏิบัตใิ หเ กิดความชํานาญ
33
5.5 รายงานหรอื โครงการในอนาคต
ใหน กั เรียนวางโครงสราง, เขยี นแผนอยางยอ ๆ สาํ หรับการทําภาคนิพนธหรือโครงการ
ขอ แนะนํา
• เหมาะสําหรับทกุ วิชาท่ีตอ งการใหน กั เรียนเขยี นรายงานหรอื ทาํ โครงการ
• เพือ่ ใหม ปี ระสทิ ธิภาพมากขึน้ ควรใหเวลาทาํ หลายสปั ดาห
เปา หมายของวธิ ีนคี้ อื
• พัฒนาความสามารถในการประยุกตใชหลักการและความรูทั่ว ๆ ไปที่ไดเรียนมาในการ
แกป ญ หาและสถานการณใหม ๆ
• ปรบั ปรุงทักษะการเขียน
• พัฒนาทกั ษะ, กลยทุ ธ และอปุ นิสยั การเรียนรูท่ีเหมาะสม
• พฒั นาทกั ษะการจัดการ
• พฒั นาความสามารถในการสงั เคราะหแ ละรวมขอ มลู และแนวคดิ
34
สรปุ
การประเมนิ ผลในชั้นเรียน ประกอบดว ยเทคนคิ วิธกี ารประเมิน จาํ นวน 27 วธิ ีประเมนิ
ดังนี้
1. ประเมนิ พ้ืนฐานความรเู ดมิ ของนักเรยี น จาํ นวน 7 วธิ ี
2. ประเมินทักษะการวเิ คราะหและคิดเชงิ วิจารณของนกั เรียน (กระบวนการเรียนร,ู
ทกั ษะ) จํานวน 5 วิธี
3. ประเมินทกั ษะการสงั เคราะหและคดิ อยางสรา งสรรคข องนกั เรยี น จาํ นวน 6 วธิ ี
4. ประเมินทักษะการแกปญ หาของนกั เรยี น (การรูคิด, ระบปุ ระเภทของปญ หา, กลวิธี
ในการแกป ญ หา) จาํ นวน 4 วธิ ี
5. ประเมินทกั ษะการประยุกตใ ชแ ละการนาํ ไปปฏบิ ตั ขิ องนกั เรยี น จํานวน 5 วธิ ี
ในแตละเทคนิควิธีไดมีการกลาวถึงแนวปฏิบัติในการดําเนินการประเมิน ขอแนะนํา
ในการใชและเปาหมายของแตละเทคนิควิธีไวอยางชัดเจน พรอมท้ังมีการยกตัวอยางในบางเทคนิควิธี
เชน การตรวจสอบความรูพ นื้ ฐาน และการเขียนรายการ เปนตน
ขอ เสนอแนะ
จากเทคนิควิธีการประเมินทั้ง 27 วิธีน้ี พบวาสวนใหญแลวการประเมินผลในช้ันเรียน
จะมุงเนนไปท่ีทักษะกระบวนการคิดวิเคราะหของนักเรียน และจากเทคนิคการประเมินผลในช้ันเรียน
ทั้ง 27 วิธีการดังกลาว จะพบวามีวิธีการประเมินที่หลากหลาย ที่ครูผูสอนสามารถนําไปเปนแนวทาง
หรือประยุกตใ ชกับชั้นเรียนและนักเรยี นของตน เพ่ือเปน การพฒั นาคณุ ภาพของนกั เรยี น และพฒั นาการ
เรียนการสอนไดอ ยา งเหมาะสมตามวตั ถปุ ระสงค และบรบิ ทของโรงเรียนตอ ไป
35
บรรณานุกรม
Angelo, Thomas and Cross, Patricia. (1993). Classroom Assessment Techniques: A
Handbook for College Teachers (2nd ed.). San Francisco: Jossey-Bass Publishers.
Office of Instructional Consultation, UCSB. (1998). Instructional News : Instruction
Through Classroom Assessment. Retrieved July 10, 2007, from http://www.oic.
id.ucsb. edu/Resources/Teaching/ClassAssessment.html
The University of Texas at Austin. (2007). Assess Teaching : CATs tool matrix.
Retrieved July 10, 2007, from http://www.utexas.edu/academic/diia/assessment/iar/
teaching/plan/method/cats/matrix.php
36
คณะผูจดั ทาํ
ผูตรวจพจิ ารณาเอกสาร ผูอ ํานวยการสาํ นกั ทดสอบทางการศกึ ษา
1. นางจติ รียา ไชยศรีพรหม หัวหนากลุมสรา งและพฒั นาเคร่อื งมือ
2. นางกรรณกิ าร จันทหริ ญั
ผแู ปลและเรียบเรียง นักวชิ าการสอบ 5
นางสาวฉันทนา ชมภนู ชุ สาํ นักทดสอบทางการศกึ ษา
บรรณาธกิ ารกิจ สํานักทดสอบทางการศกึ ษา
นางสาวมธุรส ประภาจันทร สาํ นกั ทดสอบทางการศึกษา
นางสาวฉนั ทนา ชมภูนชุ
ผูจดั พิมพ สาํ นกั ทดสอบทางการศกึ ษา
นางสาวฉนั ทนา ชมภนู ชุ