Conscientization (N.)
“มโนธรรมสาํ นกึ ”
เ รี ย น รู้ ผ่ า น ภ า พ สื อ
Conscientization (N.)
“มโนธรรมสํานกึ ”
เ รี ย น รู้ ผ่ า น ภ า พ สื อ
ในบริบทของเปาโล แฟร์ มโนธรรมสํานึก ไม่ใช่ สํานึกในความผิด ถูก ช่ัว ดี
หรอื สํานกึ ในทางศีลธรรม จรรยา
แต่หมายถึง ความสาํ นึกในความขัดแย้ง (Contradiction)
“… สําหรับแฟร์ เขามองว่ามันต้องเป็นการศึกษาที่ทําให้ผู้ถูกกดขี่เห็นโลกอย่าง
ที่มันเป็นจริง ๆ การศึกษาต้องมุ่งลงไปที่การแก้ปัญหาของมวลมนุษย์มุ่งให้ผู้เรียน
เกิดความคิดสร้างสรรค์ การศึกษาแบบใหม่ต้องทําลายความเชื่องมงาย โดยใช้
ก ารเสว น าแทน ก ารสอน เพ ราะก ารเสว น าจะช่ว ยให้ผู้เรียน เก ิดก ารคิด
แบบวิพากษ์วิจารณ์ กระตุ้นให้เกิดการไตร่ตรอง และลงมือแก้ปัญหา ความรู้จึง
ไม่หยุดน่งิ ตายตวั อยา่ งน้ีจงึ จะสามารถกอบกคู้ วามเปน็ มนษุ ย์กลบั คนื มาได้ .. ”
Paulo Freire
บทนาํ
ต้นทางที่ชั้นเรียนการศึกษาเพื่อการพัฒนาในภาคการศึกษา 1/2565
เริ่มต้นงานเขียนโดยสมาชิกในชั้นเรียนเทอมนี้ต่างเลือก “ ภาพสื่อ” สู่การตั้งคําถาม
และแสวงหาคําอธิบายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียนเรา
และผู้สนใจร่วมเสวนากับสมาชิกในชั้นเรียนนี้ หวังให้ทุกคนได้ “สํานึกในความ
ขัดแย้ง” ที่ดํารงอยู่รอบตัว และเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยลงมือปฏิบัติการ
เรม่ิ ตน้ การกระทาํ การดว้ ยตนเอง
ชัน้ เรียนการศึกษาเพอ่ื การพัฒนา ภาคการศึกษา 1/2565
สารบัญ 6205610600 หนา้
6205681320
ลําดบั 6205681544 1
6305610377 6
1 นายวรกนั ต์ ตรวี าส 6305610534 10
2 นางสาวเบญจมนิ ทร์ ชูทอง 6305610740 13
3 นางสาวต่วนพตู รี เสะอุเซง็ 6305680065 19
4 นางสาวนนั ทนัช ผลพมิ าย 6305680107 24
5 นายพงษ์กร ไชยปาล 6305680578 28
6 นางสาวพรสุดา ควรชม 6305681139 31
7 นายนฮิ ัคซลั หลงั ยาหนา่ ย 36
8 นางสาวธนาภา เกบตุ ร 40
9 นางสาวธันยพร เชีย่ วธญั ญกิจ
10 นางสาวศริ ภสั สร จงสาํ ราญ
ใบงานท่ี 1 อภิปรายภาพสอื่ ดว้ ยประเดน็ ต่าง ๆ
1. ทาํ ไมจึงเลือกรปู ภาพนี้ (สัมพันธ์กับตัวเอง คนอืน่ อยา่ งไร)
2. เห็นอะไร คิดอะไร นําไปสู่ความเข้าใจอะไรได้บ้าง อยา่ งไร
3. อภิปรายด้วยชุดความรู้ / แนวคิดประกอบ (หยิบยกแนวคิด / ความรู้ใด ๆ ก็ได้
ทน่ี ักศึกษาคาดว่าจะสามารถทาํ ความเขา้ ใจ “ ภาพส่อื ” ทีเ่ ลอื กมา ดว้ ยแงม่ มุ ต่าง ๆ
4. มีข้อเสนอสําหรับใคร อย่างไรบ้างหากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตาม
ทค่ี าดหวงั จะตา่ งไปจากท่ีเคยเป็นมา
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่ินหทยั หนนู วล 1
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
วรกันต์ ตรวี าส 6205610600
ผลงานโฆษณาชื่อ Plastic Legacy โดย Greenpeace Germany and fischerAppelt Berlin
วิชา SW 465 การศึกษาเพอ่ื การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ปิน่ หทยั หนนู วล 2
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
โฆษณาภาพที่ได้รับรางวัล Ads of the world ในปี 2019 ว่าด้วยการตั้งคําถามกับการใช้
ชีวิตของคนในยุคโลกาภิวัตน์ว่า “ คุณจะทิ้งอะไรไว้ด้านหลังเมื่อจากไปแล้ว? ” โดยเนื้อหาหลักที่
โฆษณาพยายามจะสื่อคือขยะพลาสติกนั้นกว่าจะย่อยสลายนั้นต้องใช้เวลานับกว่า 400 ปี
พลาสติกส่งผลกระทบรุนแรงเรื่อย ๆ ต่อผู้คน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม วิธีการการจัดการกับอุปสรรค
นเี้ ป็นหนง่ึ ในความข้อท้าทายที่ยงิ่ ใหญ่ที่สดุ ของยคุ ของเรา
- ทาํ ไมจงึ เลอื กภาพนี้ (สมั พันธก์ บั ตวั เอง คนอ่ืน อย่างไร)
ในปี 2019 นอกจากจะเป็นยุคที่เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เริ่มระบาดควบคู่ปัญหา PM 2.5
แล้วนั้น ยังเป็นปีที่นักศึกษาเข้ามาใช้ชีวิตในรั้วธรรมศาสตร์อีกด้วย ในมุมมองของนักศึกษาเอง ปี
2019 มีบรรยากาศของความพยายามสร้างสรรค์ในประเด็นที่กลุ่มคนนั้นๆอยากจะสื่อ ไม่ว่าจะ
เป็นการเมืองแบบใหม่ วิธีชีวิตแบบใหม่ และการใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น เกิดการถกเถียงกัน
ระหว่างมนุษย์เพื่อก้าวสู่ความศิวิไลซ์มากขึ้นโดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เหตุการณ์ใหญ่ๆของปีนี้
ถูกนิยามว่าเป็นปีของปัญหาที่ไร้ซึ้งทางออกของหลายประเทศทัวโลก เช่นเหตุการณ์การเลือกตั้ง
นายกคนปัจจุบันของประเทศไทย เหตุการณ์จีนกับอเมริกาเข้าพบกัน หนูเกรต้าเดินหน้าพูดถึง
ปัญหาสิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ทั้งหมดที่ว่านักศึกษาได้รับรู้จากอินเทอเน็ตและโซเชียลมีเดียเป็น
หลักและเหมือนกับใครหลายๆคนที่กําลังอ่านบทความนี้อยู่ นักศึกษาก็ชอบที่จะอ่านคอมเม้นดู
กระแสสังคมว่าจริงๆแล้วในช่วงเวลานั้นคนมีชุดความเชื่อแบบไหน แล้วใครที่เป็นตัวร้ายของเร่ือง
กันแน่เช่นกัน หนึ่งในภาพที่นักศึกษาพบเจอโดยบังเอิญระหว่างไล่ไถฟีดเฟซบุ๊ก กลายเป็นภาพจํา
ติดตาตลอดตั้งแต่วันท่พี บในปี 2019 จนถงึ ปี 2022 ในปจั จุบัน นน่ั คอื ภาพโฆษณาชน้ิ นี้นเ่ี อง
- เห็นอะไร คดิ อะไร นาํ ไปส่คู วามเขา้ ใจอะไรไดบ้ า้ ง อย่างไร
เดือนธันวาคมปี 2019 คือเดือนที่ภาพนี้ถูกเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต ภาพของซากโครง
กระดูกมนุษย์ที่หากมองจากในมุมมองปัจจุบันของนักศึกษาจะไม่ทราบได้ในทันทีว่าเป็นเพศอะไร
สวมวิกผมสีบรอนด์ชวนให้ความรู้สึกเป็นผู้มีความคิดก้าวหน้า สวมแว่นตาสีส้มสดใหญ่แบบที่คน
ธรรมดาจะไม่เลือกใส่นัก มีเครื่องประดับอย่างเคสมือถือ กระเป๋า และรองเท้าในคู่สีชมพูและเขียว
มะนาวซึ่งเป็นคู่สีที่ขัดแย้ง ท่าโพสของโครงกระดูกนั้นดูมั่นใจและสะดวกสบาย ให้อารมณ์
ความรู้สึกไม่แยแสสายตาผู้อื่น และที่เป็นจุดเด่นที่ไม่อาจจะละสายตามองข้ามได้ คือซิลิโคนขนาด
600 cc ที่ประดับวางบนส่วนอกของโครงกระดูก ในความคิดแรกของนักศึกษา มันเป็นภาพที่ช่าง
มีอารมณ์ขันที่ร้ายกาจในยุคสมัยที่เรื่องสิทธิและเสรีภาพเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง มีสิทธิ์ที่
จะเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองชอบ และมีสิทธิ์ที่จะเป็นในแบบที่ตนเองได้เป็น เริ่มแพร่ขยายใน
หลายสังคมรอบโลกไม่เว้นในวงสังคมของนักศึกษา การกระตุ้นให้ผู้คนตระหนักเรื่องการใช้ขยะ
พลาสติกโดยแอบแขวะไลฟ์สไตล์สิ้นเปรืองเกินความจําเป็นของมนุษย์คือข้อความที่ภาพสื่อให้
นกั ศึกษาเห็น
ในมุมมองของนักศึกษาผู้ชอบการตีความแบบสุดโต่งเป็นชีวิตจิตใจ สื่อโฆษณาชุดนี้
ต้องการจะสื่อว่าการใช้ขยะพลาสติกนั้นไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลกระทบ
ต่อภาพลักษณ์ของคุณเมื่อตายจากไปแล้วอีกด้วย จงระอายแก่การกระทําของตนเองในวันนี้เสีย
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพ่ือการพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ินหทยั หนนู วล 3
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
บ้างว่าใช้ขยะไปเยอะพลาสติกแค่ไหน และอยากให้ซากกระดูกของตัวเองเมื่อตายไปแล้วดูน่าตลก
เหมอื นภาพดังกล่าวหรือไม่
ภาพนี้สร้างความรู้สึกตระหนักรู้แก่ผู้ที่เคยมองข้ามปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างความรู้สึกตลก
แก่ผูท้ เ่ี หน็ ดว้ ยกบั ขอ้ ความท่ีจะส่อื และสร้างความรูส้ ึกอบั อายดว้ ยเช่นกันกับผูท้ ีใ่ ชช้ วี ิตตามแบบใน
ภาพปรากฏ
ภาพที่แทบไม่ต้องมีตัวอักษรอธิบายแต่ทําให้มนุษย์ต้องย้อนคิดถึงคุณค่าของตนเองได้ต้อง
ไม่ใช่ภาพธรรมดา แต่มันคืองานศิลปะที่ทําให้เราได้ย้อนคิดหลายๆอย่าง และได้คําตอบใหม่ๆกับ
ตัวเองไม่ว่าจะมชี ดุ ความเชื่อรปู แบบใดกต็ าม
ประเด็นที่นักศึกษาสนใจจริงๆนั้นไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมโลกที่ต่างถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งเกิดมาลืมตาบนดาวเคราะห์สีฟ้าแห่งนี้ แต่เป็นประเด็นในแง่ของการทําส่ือ
สะท้อนปัญหาสังคมที่บางครั้งมันก็โจมตีและสร้างค่านิยมในแบบของตัวเองว่าสิ่งที่ทําอยู่นั้นชอบ
ธรรมและถูกต้อง โดยกดความเป็นตัวตนบางอย่างของคนอีกกลุ่มให้ดูด้อยกว่าตํ่ากว่า เพื่อเพิ่ม
นํ้าหนักของข้อความที่ต้องการจะสื่อออกไป ให้เข้าใจง่ายและชัดเจน ดั่งที่เคยมีคนเคยบอกว่า
ประเด็นที่สะท้อนจําเป็นต้องมีความชัดเจนและดึงดูด สิ่งหนึ่งที่มักจะนํามาใช้ดึงดูดคนไม่ว่าจะยุค
สมยั ไหนกต็ าม กค็ อื ความเป็นตัวดี และความเป็นตวั ร้าย
- อภิปรายด้วยชุดความรู้ / แนวคิดประกอบ (หยิบยกแนวคิด / ความรู้ใด ๆ ก็ได้ที่นักศึกษา
คาดวา่ จะสามารถทําความเขา้ ใจ “ ภาพส่อื ” ทเ่ี ลือกมา ดว้ ยแง่มมุ ต่าง ๆ
อาวุธหลักของสื่อโฆษณาชิ้นนี้คือ “ภาพ” การตั้งใจให้ภาพมีความขัดแย้งกันสูงทําให้
คนเรารู้สึกไม่สบายใจไม่สบายตัว โครงกระดูกมนุษย์ที่ไม่มีชีวิต อ้าปากค้างที่มองนานๆก็อาจ
สามารถมองว่ากําลังยิ้มหัวเราะอยู่ ผสมกับเครื่องสวมใส่พลาสติกรอบตัวที่มีสีฉูดฉาดขัดกับหลุม
ศพที่ถูกขุดพบอย่างมืดมน ทั้งหมดนี้ทําให้ผู้คนที่ผ่านมาพบต้องหยุดดู และเมื่อหยุดดูการตีความ
โดยอัตโนมตั ของมนุษย์กจ็ ะเกิดขน้ึ ตามค่านยิ มและประสบการณน์ ้นั ๆ
ทฤษฎีปฏิสังสรรค์สัญลักษณ์ ขอสรุปว่าเป็นทฤษฎีที่บอกว่าในชีวิตประจําวัน มนุษย์ต้อง
พบปะกับบุคคลจํานวนมาก มนุษย์จึงเกิดการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนความหมายและการตีความ
วัตถุ จนเกิดเป็นโลกของมนุษย์นั้นๆ ในโลกของการให้ความหมายตีความวัตุถุแตกต่างกัน ทําให้
เกิดพฤติกรรมเฉพาะบุคคล เฉพาะกลุ่มดังที่ เฮอร์เบิร์ต บลูเมอร์ กล่าวไว้ว่า พฤติกรรมที่มนุษย์
แสดงออกเป็นผลจากการเรียนรู้และตีความจากการปฏิสังสรรค์ทางสังคม ซึ่งส่งผลต่อการสร้าง
บุคลิกภาพ (Personality) และกรสร้างอัตลักษณ์ของคน (Identity) ดังนั้นในการอภิปราย
วิเคราะหร์ ูปภาพดังกลา่ วจงึ นําทฤษฎปี ฏิสงั สรรคส์ ัญลักษณ์ มาใชใ้ นการอธบิ าย เพราะสิง่ ที่เกิดขึ้น
ระหว่างผู้ที่จะตีความสื่อดังกล่าวในขั้นตอนสุดท้ายไม่ใช้ผู้สร้างแต่เป็นผู้รับสาร กลเม็ดเคล็ดลับ
แบบไหนกันทผ่ี ู้สรา้ งใชเ้ พอ่ื ชกั จูงความคิดคน และสร้างผลกระทบในเชงิ ความรูส้ ึกต่อผู้พบเห็น
ผมสีทองสลวยที่ดูเผินๆก็อาจเป็นเพียงผมสีทองปกติ แต่หากผ่านประสบการณ์มาบ้างจะรู้ว่าผม
คนนั้นย่อยสลายได้ แต่ผมปลอมที่เป็นวิกนั้นอาจไม่ย่อยสลายตามเวลาผมจริงๆ ส่งเสริม
ภาพลักษณ์โดยใช้คําว่าของปลอม เพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดูไม่น่าเอาเป็นแบบอย่าง ยิ่งสีทองซึ่งเป็น
สีของความหรูความแพง ก็สามารถตีความได้ว่าเป็นคนที่หัวสูง ในแบบที่หนังหรือละคร
ตา่ งประเทศมักจะใหต้ ัวละครผมทองมีอุปนสิ ยั ท่ีมอี โี ก้ และทระนง มคี วามมั่นใจในแบบของตัวเอง
วิชา SW 465 การศึกษาเพือ่ การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ปน่ิ หทัย หนูนวล 4
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
เครื่องแต่งกายประดับประดาหลากสีสันนั้นให้ความรู้สึกของการเป็นคนสมัยใหม่ที่สดใสและแสบ
สัน พร้อมท่า โพสก่อนตายที่แสนจะมั่นใจ ดั่งชีวิตวัยรุ่น ยิ่งมือที่มีมือถือกับการถือแก้วกาแฟเยติ
ก็ยิ่งเน้นยํ้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันเป็นอย่างดี ความพยายามให้โครงกระดูกตัวนี้ดูเป็นคน
ทันสมัย มีของพะลุงพะลังเต็มตัว ดูนําแฟชั่นนั้น แฝงความแขวะความคิดเชิงวัตถุนิยมชัดเจน
โดยเฉพาะกับหน้าอกซิลิโคนที่ดูเหมือนะเป็นตัวเอกหลักของภาพก็เด่นชัดจนผู้คนในคอมเม้นต่าง
พากนั แซวถึงของปลอมทีส่ ร้างขึ้นมาวา่ มนั ดูน่าตลกมากเพียงไหน
ทุกอย่างมันดูปลอม ดูพยายามเกิดความจําเป็น ดูน่าตลกไปหมด และแน่นอนที่สุด
มันสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มากก็น้อยอ้างอิงจากในคอมเม้นของรูปที่ผู้คนต่างเห็นด้วย
กบั ภาพดังกล่าว
คําถามที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาก็คือ เราละเลยอะไรไปบ้าง โครงกระดูกตัวนี้ผิดหรือที่ทํา
ตัวอย่างนี้ ผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบโครงกระดูกตัวนี้ดูน่าตลกงั้นหรือ อาจจะมีใครซักคนบนโลกที่
พยายามทํางานเลี้ยงชีพตนเองในแต่ละวันโดยให้รางวัลกับตัวเองเป็นความสุขเล็กๆน้อยจากวัตถุ
สิ้นเปลืองเหล่านี้ การทําตัวสดใสสุดแซ้บของบางคนอาจจะทําเพื่อพยายามปิดซ่อนความรู้สึก
เจ็บปวดจากความรู้สึกบางอย่าง และอีกหลายเหตุผลร้อยแปดที่ตั้งคําถามว่าพวกเขาเป็นคนผิด
และดูน่าตลกแบบที่สื่อโฆษณาชิ้นนี้บอกจริงๆน่ะหรือ? เมื่อกลุ่มคนดังกล่าวมาพบโฆษณาตัวนี้ มัน
ไม่ใช่สร้างแค่ความรู้สึกอยากรับผิดชอบต่อสังคม แต่มันยังเหมือนกับการตอกยํ้าความพยามของ
มนษุ ย์ที่จะมสี ทิ ธ์ิในตวั เองได้
นักศึกษาเข้าใจถึงประเด็นหลักที่จะสื่อดี และมันทําหน้าที่ของมันได้อย่างยอดเยี่ยมในการ
ทําให้ผู้คนร่วมหันมามองเห็นปัญหาขยะมากขึ้น แต่ใช่ว่าสิ่งที่จะสื่อจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีและน่าพึง
พอใจเสมอไป การทําสื่อที่มีตัวร้ายและผู้ทําผิด มันได้รับความสนใจง่ายกว่าการทําสื่อที่ไม่ตีตรา
ใคร อาจเป็นเพียงความรู้สึกเล็กๆท่ีเกิดขึ้นกับนักศึกษาคนเดียวก็ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือสื่อที่ดู
เหมือนว่าจะเป็นฮีโร่เปลี่ยนแปลงโลกสู่สังคมยกระดับ ในบางมุมมอง อาจจะเป็นสื่อที่กําลังทําลาย
ความสุข ความเป็นอัตลกั ษข์ องใครบางคนกไ็ ด้
- มีข้อเสนอสําหรับใคร อย่างไรบ้างหากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามที่คาดหวังจะต่าง
ไปจากที่เคยเป็นมา
นักศึกษาชื่นชอบความสร้างสรรค์ของแคมเปญนี้ ชอบความจิกกัดที่สุดแสบทรวง และ
อยากที่จะให้ปัญหาขยะพลาสติกนั้นเป็นอุปสรรคที่เราสามารถแก้ไขได้ แต่นักศึกษาก็ไม่สามารถ
มองข้ามผลกระทบของการกระทําที่มองข้ามคนบางกลุ่ม เพียงเพื่อยกให้คนบางกลุ่มดูสูงขึ้นและ
บางกลุ่มดูตํ่าลงในวันที่มีความพยายามให้มนุษย์เท่ากัน มันเป็นเรื่องของการช่างนํ้าหนักว่าอะไร
สําคัญกว่ากันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มีความเป็นไปได้ไหมที่ทั้งสองอย่างจะลงเอยกันด้วยดี
ไม่มีฝ่ายใดมีคุณค่ากว่าฝ่ายใด เราอาจจะต้องผิดพลาดอีกหลายร้อยหลายพันครั้งเพื่อจะไปถึง
จุดๆนั้น จุดที่ทุกฝ่ายสามารถพึงพอใจในสิ่งที่จะได้รับและสิ่งที่เป็น นอกเหนือจากประเด็น
สิ่งแวดล้อม นักศึกษากลับพบว่าหลังนั่งพิจารณาสื่อดังกล่าว คําพูดของเรา ความคิดของเรา การ
กระทําของเรา ไม่ว่าจะหวังดีหรือร้าย มันทําร้ายใครบางคนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแบบไหนก็
ตามหนึ่งสิ่งที่เราทําได้ และต้องทําตลอดเพื่อชดเชยความผิดพลาดคือการยอมรับความผิดพลาด
และกา้ วตอ่ ไป
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพอื่ การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปิน่ หทัย หนูนวล 5
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
อา้ งองิ
เฮอร์เบริ ต์ บลเู มอร์ ทฤษฎปี ฏสิ งั สรรคส์ ญั ลักษณ์. [ระบบออนไลน]์ . แหล่งท่ีมา
http://cms.dru.ac.th/jspui/bitstream/123456789/253/7/unit%202.pdf (20 สิงหาคม
2022)
Greenpeace Germany and fischerAppelt Berlin. Plastic Legacy. [ระบบ
ออนไลน์]. แหล่งท่ีมาhttps://www.adsoftheworld.com/campaigns/plastic-legacy (20
สงิ หาคม 2022)
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพื่อการพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปน่ิ หทัย หนนู วล 6
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
นางสาวเบญจมินทร์ ชูทอง 6205681320
ท่มี า https://thestandard.co/bangkok-rainbow-scene/
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพื่อการพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ินหทยั หนูนวล 7
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
ภ า พ ท ี ่ น ั ก ศ ึ ก ษ า เ ล ื อ ก ม า น้ี เ ป ็ น ภ า พ ถ ่ า ย จ า ก เ ข ต พ ญ า ไ ท ก ร ุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา หลังจากที่ฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงเย็นของวันดังกล่าว
จริง ๆ แล้วในบริเวณที่นักศึกษาอาศัยอยู่ก็สามารถมองเห็นสายรุ้งนี้ได้เช่นกัน เพียงแค่เห็นไม่
ชดั เจนเทา่ ในภาพทไ่ี ดเ้ ลอื กมา นกั ศกึ ษาจึงไมไ่ ดห้ ยิบโทรศัพท์มอื ถอื ขึ้นมาถ่ายภาพไวเ้ หมือนทเ่ี คย
ทาํ อยู่บอ่ ย ๆ
เมื่อกลับมาสังเกตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของนักศึกษาเอง จะเห็นได้ว่าภาพหน้าจอของท้ัง
โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นภาพสายรุ้งทั้งสิ้น โดยที่นักศึกษาเองก็จําไม่ได้ว่าได้ต้ัง
ภาพเหล่านี้เป็นภาพพื้นหลังตั้งแต่เมื่อไร จําได้เพียงแค่เหตุผลคร่าว ๆ เพราะเคยเห็นประโยคใน
อินเทอร์เน็ตว่า “be the rainbow in someone's cloud” แล้วรู้สึกชอบประโยคนี้มาก การที่เราได้
เป็นสายรุ้งที่สดใสในท้องฟ้าของใครสักคนคงจะดีไม่ใช่น้อย แต่ทุกวันนี้ นักศึกษากลับรู้สึกว่าควร
เป็นสายรุ้งที่สดใสในท้องฟ้าของตนเองให้ได้ก่อน นอกจากนี้สายรุ้งยังมีความหมายอีกหลายอย่าง
ทั้งความหวังหลังมรสุมที่พัดผ่านเข้ามา หรือจะหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ที่สดใสหลังจากต้องพบเจอ
เรื่องที่เลวร้าย และสายรุ้งเองก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของ Pride Month หรือ LGBTQ Pride ที่สังคม
กําลงั ให้ความสนใจอยู่ในขณะนีอ้ กี ดว้ ย
LGBTQ Pride การขับเคลื่อนให้มีการยอมรับในกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
โดยเป็นการแสดงออกถงึ ความตอ้ งการสทิ ธคิ วามเทา่ เทยี มกนั ในสงั คมของพวกเขา เดอื นมถิ นุ ายน
ของทุกปีจะถูกเรียกว่า Pride Month ซึ่งจัดให้มีการเดินพาเหรด หรือ Pride Parade ไปในเมือง
สําคัญต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งมีสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ ธงสีรุ้ง อันมีต้นกําเนิดมาจาก
กิลเบิร์ต เบเคอร์ (Gilbert Baker) ศิลปิน และนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกัน ผู้ออกแบบธงสีรุ้ง
โดยมีแนวคิดว่า กลุ่มหลากหลายทางเพศควรมีธงเป็นของตัวเอง และเลือกใช้สีรุ้ง เพราะต้องการ
สะท้อนความหลากหลายของชุมชนคนหลากหลายทางเพศ ธงสีรุ้งถูกเปิดตัวในฐานะสัญลักษณ์
แห่งความหลากหลายทางเพศครั้งแรกในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1978 โดยแต่ละสีมีความหมาย
แตกตา่ งกนั ดังนี้
- สแี ดง หมายถึง การต่อสู้ หรอื ชวี ติ ของมนุษย์
- สสี ม้ หมายถึง การเยยี วยา
- สเี หลือง หมายถึง พระอาทติ ยท์ ่ีสอ่ งแสงเจดิ จ้า
- สีเขยี ว หมายถงึ ธรรมชาติคือชวี ติ
- สีฟา้ หมายถึง ศิลปะ และความผสานกลมกลนื
- สีม่วง หมายถึง จติ วิญญาณของชาว LGBTQ
ในประเทศที่ดูเปิดกว้างอย่างประเทศไทย เราทุกคนเห็นผู้ที่แสดงออกถึงเพศสภาพของตน
กันอย่างเปิดเผย ทั้งตามสื่อต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งตามท้องถนน แต่แท้จริงแล้วก็ยังมีความไม่เข้าใจ
อีกมากมายเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศที่เกิดขึ้น นํามาซึ่งปัญหาในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความ
รนุ แรงทเ่ี กดิ ข้นึ การละเมิดสทิ ธมิ นุษยชน กฎหมาย หรือแมก้ ระทัง่ สขุ ภาวะทางร่างกาย
เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา นักศึกษามีโอกาสได้ฟังบรรยายเรื่องการบริการสุขภาพที่
เหมาะสม และละเอยี ดอ่อนต่อเรื่องเพศ เพศภาวะ และเพศวถิ ี พบว่า กลุม่ คนทม่ี คี วามหลากหลาย
ทางเพศมักถูกตีตรา และเลือกปฏิบัติในสถานบริการทางสุขภาพ เป็นเพราะคนส่วนใหญ่มีความ
คุ้นชินว่า “มนุษย์มีแค่ 2 เพศ” การที่มีกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเข้าไปใช้บริการนั้นถือ
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพอื่ การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ป่ินหทัย หนนู วล 8
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
เป็นเรื่องแปลกใหม่ และยากที่จะเปิดใจยอมรับสําหรับผู้ให้บริการสุขภาพบางคน เนื่องจากมีหลาย
ปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการที่สื่อยังเผยแพร่ภาพรวมของกลุ่มคนที่มีความหลากหลาย
ทางเพศในแง่ผิด ๆ การมองว่าการเป็นคนข้ามเพศขัดกับหลักจริยธรรมอันดีงามต่าง ๆ เป็นต้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่เองที่เป้นจุดเริ่มต้นของปัญหาด้านสุขภาวะในกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
ในประเทศไทย
จนกระทั่งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 สํานักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
และสมาคมเพศวิถีศึกษา ได้จัดงานเสวนา และรับฟังความคิดเห็น “ยุทธศาสตร์สุขภาวะกลุ่ม
LGBTIQN+ ฉบับแรกของประเทศไทย” เพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมด้านสุขภาวะของกลุ่มผู้ที่มี
ความหลากหลายทางเพศอย่างเข้มข้น ตั้งเป้าให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมีสุขภาวะทาง
ร่างกาย และจิตใจที่ดี ควบคู่กับการได้รับสิทธิในระบบบริการสาธารณสุขของรัฐ ลดความเหลื่อม
ลํ้าทางสุขภาพ สร้างความตระหนักรู้ให้คนในสังคมเป็นพื้นที่ปลอดภัย พัฒนาระบบเครือข่ายการ
ทาํ งาน ชมุ ชน เยาวชนรุน่ ใหม่ เพื่อสุขภาวะของประชากรผู้มีความหลากหลายทางเพศ
การใช้ตัวย่อ LGBTIQN+ ในการสร้างยุทธศาสตร์ครั้งนี้นั้น มีความหมายที่กว้างกว่าการ
ใช้ตัวย่อเพียง LGBTQ ในอดีต โดยความหมายของอักษรแต่ละตัว ประกอบไปด้วย Lesbian
(หญิงรักหญิง) Gay (ชายรักชาย) Bisexual (บุคคลรักได้ทั้งสองเพศ) Transgender (บุคคลข้าม
เพศ) Intersex (บุคคลที่มีเพศกํากวม) Queer (บุคคลที่ปฏิเสธการนิยามตนเองด้วยอัตลักษณ์
ทางเพศทุกรูปแบบ) Non-Binary (บุคคลที่ปฏิเสธการนิยามตนเองด้วยอัตลักษณ์ทางเพศที่วางอยู่
บนฐานการแบ่งเพศเป็นสองขั้วตรงข้าม คือ ชายและหญิง) นอกจากนี้ยังใส่สัญลักษณ์ + ลงไป
เพื่อให้เห็นว่า บุคคลหลากหลายทางเพศไม่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่หยุดนิ่ง หรือตายตัว เพื่อให้เป็น
นิยามที่เปิดกว้างสามารถลื่นไหลต่อไปได้ เพราะรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอาจสามารถ
เปล่ยี นแปลงไดใ้ นอนาคตข้างหน้า
โดยยทุ ธศาสตรส์ ขุ ภาวะ LGBTIQN+ มที ้งั หมด 5 ข้อ ไดแ้ ก่
1. การคุ้มครองสทิ ธิมนษุ ยชนและศักด์ศิ รคี วามเป็นมนษุ ย์
2. การพัฒนาฐานข้อมูลและการบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะ
LGBTIQN+
3. การสรา้ งระบบบรกิ ารสขุ ภาวะทีเ่ ป็นธรรมและเขา้ ถงึ ด้านไดส้ าํ หรบั LGBTIQN+
4. การสร้างความเขม้ แข็งของเครอื ข่ายและชมุ ชน LGBTIQN+ เพ่อื การส่งเสรมิ สขุ ภาวะ
5. การพัฒนาศักยภาพเยาวชนดา้ นการเสรมิ สร้างสขุ ภาวะ LGBTIQN+
จะเห็นได้ชัดเจนว่ายุทธศาสตร์เหล่านี้มีเป้าหมายสําคัญเพื่อให้กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลาย
ทางเพศเข้าถึงความเป็นธรรมทางสุขภาพ ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ได้รับการปกป้อง คุ้มครองในสิทธิ
ด้านสุขภาพ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมสุขภาพดี
ร่วมกัน
นักศึกษามองว่าการเกิดขึ้นของยุทธศาสตร์ดังกล่าวนับเป็นก้าวสําคัญของวงการสุขภาวะ
ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วยเหตุผลต่าง ๆ ที่ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น ทั้งนี้ ประเด็น
ทางสุขภาวะยังเป็นประเด็นที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เพราะกระแสสังคมในปัจจุบันที่ให้
ความสําคญั ดา้ นอนื่ ๆ มากกว่า เชน่ การรวบรวมรายชอื่ เสนอกฎหมาย พ.ร.บ. สมรสเทา่ เทยี ม
วชิ า SW 465 การศึกษาเพอื่ การพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ปน่ิ หทยั หนนู วล 9
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
การเกิดขึ้นของยุทธศาสตร์สุขภาวะ LGBTIQN+ จึงเปรียบเสมือนสายรุ้งแห่งการเริ่มต้น
ใหม่ที่สดใสในสังคมไทย ที่ทําให้เห็นว่าการมีอยู่ของความแตกต่าง และความหลากหลายนั้นทําให้
โลกมีสีสัน และจะดียิ่งขึ้นหากมีสิ่งรองรับที่จะมาสนับสนุนให้ความแตกต่างเหล่านี้อยู่ร่วมกันได้
อย่างปกติสุขด้วยการเปิดใจ และปฏิบัติตอ่ กนั อยา่ งเทา่ เทยี ม
รายการอ้างอิง
NINAMICHIGAN_GIRL. (10 มิถนุ ายน 2565). ทําความรจู้ ักเทศกาล PRIDE MONTH ทาํ ไม
ต้องสีรงุ้ ? เรยี กใช้เมอ่ื 21 สิงหาคม 2565 จาก https://www.central.co.th/e-
shopping/what-is-pride-month-what-does-rainbow-flag-represent
The Standard Team. (18 สิงหาคม 2565). รุง้ สาดสีเหนือทอ้ งฟา้ กทม. ความงามทเ่ี ฉิดฉาย
ความหวงั ทก่ี ําลงั กอ่ ตัว. เรียกใช้เมือ่ 21 สงิ หาคม 2565 จาก
https://thestandard.co/bangkok-rainbow-scene/
เพราะโลกมคี วามหลากหลาย (ทางเพศ). (23 กันยายน 2563). เรยี กใช้เมอ่ื 21 สิงหาคม 2565
จาก https://www.bangkokbiznews.com/health/899061
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพอื่ การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปิ่นหทยั หนูนวล 10
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
นางสาวตว่ นพตู รี เสะอเุ ซง็ 6205681544
วิชา SW 465 การศึกษาเพอื่ การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ปน่ิ หทัย หนูนวล 11
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
1. สาเหตทุ ีเ่ ลือกภาพนี้
เนื่องจากปัจจุบันได้อ่านข่าว บทความต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ หรือการสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยคํานึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดในระยะสั้นหรือประโยชน์ที่เกิดแค่เฉพาะ
กลุ่มคน เมือ่ มองภาพนี้แลว้ จึงให้ความรู้สึกทค่ี ลา้ ยกับขา่ วหรอื บทความท่ีอา่ นมา
2. ความเขา้ ใจต่อภาพ
การสร้างสถานที่ใหม่ ๆ หรือสิง่ ใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยการทาํ ลายสถานท่ีเดิมหรือสิง่ ที่มีอยู่กอ่ น
หน้าแล้ว แล้วนําสิ่งที่ทําลายไปมาทําเป็นนิทรรศการเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีมีความเกี่ยวข้องให้
คุณค่าหรือเห็นความสําคัญของสิ่งนั้น ๆ เช่น การเข้ามาสร้างห้างสรรพสินค้าสามย่าน โดยการ
ทําลาย รื้อถอนชุมชนเก่าที่เคยตั้งอยู่ที่สถานที่นั้น แล้วนําอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของ
ชุมชนมาจัดตั้งเป็นนิทรรศการ ซึ่งเมื่อมองภาพนี้แล้วที่มนุษย์มีการทําลายธรรมชาติ ทําให้การ
ดํารงชีวิตของสัตว์เปลี่ยนไป สุดท้ายสัตว์ต่าง ๆ สูญพันธุ์ไป มนุษย์จึงได้ทําป้ายภาพสัตว์เพื่อแสดง
ให้เห็นว่าตนเองให้ความสําคัญกับสิ่งนั้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็มาเที่ยวและตื่นเต้นกับสิ่งที่เห็น โดยไม่ได้
สนใจที่มาของสิ่งนั้น ๆ หรือสภาพแวดล้อมรอบข้าง เปรียบเสมือนกับการสร้างห้างสรรพสินค้าโดย
การทําลายชุมชน เมื่อมีการสร้างห้างสรรพสินค้าแล้วนําอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของ
ชุมชนมาจัดตั้งเป็นนิทรรศการ ผู้คนที่มาเที่ยวชมก็รู้สึกมีความสนใจและคิดว่าห้างสรรพสินค้ามี
ความเข้าใจและให้คุณค่า เห็นความสําคัญของชุมชน โดยไม่ได้สนใจถึงสิ่งที่คนในชุมชนและ
ชมุ ชนได้รบั ผลกระทบจากการสร้างหา้ งสรรพสนิ คา้
3. ความรู้และแนวคดิ ประกอบ
แนวคดิ เกีย่ วกับการอนุรกั ษ์วัฒนธรรม
การพัฒนาที่ให้ความสําคัญกับวัฒนธรรม เป็นการพัฒนาที่เน้นให้เกิดความสอดคล้องกับ
วิถีวัฒนธรรมของชุมชน มีความสําคัญในการก่อให้เกิดการยอมรับ ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจ และ
ยินดีที่จะเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาของชาวบ้าน แต่อย่างไร ก็ดีไม่ควรใช้แทนท่ี
(Substitution) แนวทางอื่น ๆ แต่ควรใช้ให้สอดประสาน (Articulation) กัน เช่น การทําโครงการ
พัฒนาเศรษฐกิจการปลูกจิตสํานึกหรือการจัดตั้งกลุ่มประชาชนที่มีพื้นฐานบนศาสนาและ
วัฒนธรรมของประชาชนทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในงานพัฒนาซึ่งจะยังประโยชน์สู่สมาชิก
ชุมชนมากทส่ี ุด
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดําเนินชีวิตของคนในสังคมนับตั้งแต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธีแต่งกาย
วิธีทํางาน วิธีพักผ่อน วิธีแสดงอารมณ์ วิธีสื่อความ วิธีจราจร และขนส่ง วิธีอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ
วิธีแสดงความสุขทางใจ และหลักเกณฑ์การดําเนินชีวิต โดยแนวทางการแสดงออกถึงวิถีชีวิตน้ัน
อาจเริ่มมาจากบุคคลหรือคณะบุคคลทํา เป็นตัวแบบแล้วต่อมาคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติสืบต่อกันมา
วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขและกาลเวลาเมื่อมีการประดิษฐ์หรือค้นพบสิ่งใหม่ วิธี
ใหม่ที่ใช้แก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดีกว่าซึ่งอาจทําให้สมาชิกของสังคม
เกิดความนิยม และในท่ีสุดอาจเลิกใช้วัฒนธรรมเดิม ดังนั้น การรักษาหรือธํารงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
เดิมจึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาวัฒนธรรม ให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพตามยุค
สมัยส่วนการอนุรักษ์ก็หมายถึงการรักษาให้คงไว้ซึ่งเป็นไปตามวิถีประพฤติปฏิบัติตามที่มีมาใน
มุมมองของการอนุรักษ์เป็นการคงไว้ซึ่งวิถีแต่เดิมที่เป็นมาให้ สามารถที่จะไม่ถูกกลืนหายไปตาม
กาลเวลาอาจจะขดั แยง้ กบั การพัฒนาซงึ่ นน่ั หมายความว่าการพฒั นาน้นั จะเป็นการดําเนินวิถิีชีวิตท่ี
วิชา SW 465 การศึกษาเพือ่ การพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ปน่ิ หทัย หนูนวล 12
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
มีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งอาจจะทําให้สิ่งต่าง ๆ ที่ปฏิบัติตาม กันมานั้นถูกกลืนหายไปหากว่าไม่มีการ
อนรุ ักษไ์ ว้ ดงั นน้ั การอนรุ ักษ์กับการพัฒนาจึงเปน็ มุมมองของแต่ละฝ่าย
4. ขอ้ เสนอต่อการสร้างความเปลย่ี นแปลง
1. การสร้างความเข้มแข็งของคนในชุมชนให้มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของพื้นที่นั้น ๆ
ทตี่ นอาศยั อยู่ เพอื่ ท่จี ะรว่ มกนั ปกป้อง ดแู ลพ้นื ทห่ี รอื สถานท่ีนน้ั ๆ
2. ในการจะเปลี่ยนแปลงอะไรที่ส่งผลกระทบต่อคนโดยรวมหรือสิ่งมีคุณค่าในด้านต่าง ๆ
จะตอ้ งผา่ นความคิดเห็นจากคนหลาย ๆ กลุ่ม และยดึ ประโยชนส์ ูงสดุ ท่จี ะเกดิ ข้ึน
5. สงิ่ ท่ีอยากสือ่ สาร
1. อยากให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทํางานในการสร้างสิ่งใหม่ ๆ ตระหหนักถึงคุณค่า
ของสิ่งที่อยู่มากกว่าประโยชน์ทางการเงินเพียงอย่างเดียว เนื่องจากบางสิ่งเมื่อถูกทําลายไปแล้วไม่
สามารถท่ีเอากลบั มาได้
วิชา SW 465 การศึกษาเพือ่ การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ปิน่ หทัย หนนู วล 13
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
นางสาวนนั ทนชั ผลพิมาย 6305610377
ทมี่ า : https://today.line.me/th/v2/article/kOkDLk
วิชา SW 465 การศึกษาเพอื่ การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผูส้ อน ผศ.ดร.ปนิ่ หทัย หนนู วล 14
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
เหตุผลของการเลือกภาพ
ข้าพเจ้านั้นมีความสนใจในภาพวาดที่มีความเกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยภาพที่ข้าพเจ้า
เลือกมานั้นเป็นภาพของการเรียนในห้องเรียนที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพจําที่เกิดขึ้นในสังคมการเรียน
ในประเทศไทย เหตุผลในการเลือกภาพประกอบนี้คือ การเป็นภาพเกี่ยวกับความรู้สึกในห้องเรียน
เมื่อครูถามนักเรียนที่ทําให้ข้าพเจ้าได้สะท้อนถึงการเรียนในระดับมัธยมศึกษากับเพื่อน ๆ ทําให้ได้
ระลึกถึงบรรยากาศห้องเรียน ชีวิตการเป็นนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่ได้ผ่านมาในช่วงวัยหน่ึง
ภาพนี้นั้นทําให้ข้าพเจ้าได้มองย้อนกลับไปถึงการเรียนที่ผ่านพ้นมาว่าการศึกษาที่ข้าพเจ้าได้รับ
ในช่วงวัยหนึ่ง ๆ เหตุใดข้าพเจ้าถึงหวาดกลัวหรือกังวลกับการตอบคําถามภายในห้องเรียน การได้
มองเห็นถึงเพื่อน ๆ รอบตัวในวัยมัธยมซ้อนทับกับบุคคลในภาพที่ข้าพเจ้าเลือกมาซึ่งพบว่า
ห้องเรียนในช่วงวัยมัธยมของข้าพเจ้ามีความคล้ายคลึงกับภาพข้างต้นที่ยกมาอยู่ในหลายส่วน
ภาพที่ข้าพเจ้าเลือกมานั้นทําให้ข้าพเจ้าได้เห็นความเชื่อมโยงกับตนเองและกลุ่มคนที่อยู่ในระบบ
การศึกษาของประเทศไทยซึ่งโดยส่วนใหญ่นั้นต่างถูกจํากัดไว้ด้วยกรอบบางอย่างที่ส่งผลถึง
รูปแบบการเรียนของห้องเรียนในระบบการศึกษารวมทั้งส่งผลถึงพฤติกรรมและความรู้สึกท่ีแสดง
ออกมาในหอ้ งเรยี น
การสอ่ื ความหมายของภาพ
จากภาพนั้นมีองค์ประกอบคือคุณครูและนักเรียนขณะกําลังทําการเรียนการสอนซึ่งมีการ
แสดงออกถึงความรู้สึกของนักเรียนในห้องเรียนเมื่อครูผู้สอนเรียกให้ตอบคําถามในห้องเรียนโดย
ประกอบไปด้วยการแสดงออกทางพฤติกรรมและความรู้สึกนึกคิดของนักเรียนแต่ละบุคคลซึ่งมี
ความแตกต่างกัน เช่น การหลบสายตา หลับ หลบซ่อน ทําของตก ยิ้มสู้หรือทําตัวตามปกติ
ธรรมดา เป็นต้น ซึ่งทําให้ข้าพเจ้าได้คิดถึงความหลากหลายของปัจเจกบุคคลซึ่งเมื่อมาอยู่รวมกัน
ในสังคมหนึ่ง ๆ เมื่อต้องโต้ตอบนั้นแต่ละบุคคลมีบุคลิกและการโต้ตอบที่มีความแตกต่างกัน
รวมทั้งเมื่อได้เห็นภาพที่สะท้อนสถานการณ์ในห้องเรียนทําให้ข้าพเจ้าตระหนักถึงการเรียนการ
สอนในการศึกษาไทยและการตั้งคําถามว่าเพราะเหตุใดนักเรียนในห้องเรียนนั้นถึงมีการแสดงออก
ที่แตกต่างในการตอบสนองกับคําถามในชั้นเรียน หรือสาเหตุของความแตกต่างในปัจเจกบุคคลใน
ช้ันเรยี นเป็นผลมาจากครอบครัวและการเลยี้ งดู
การเรียนการสอนของชั้นเรียนในภาพทําให้เราเห็นถึงปฏิกิริยาที่นักเรียนแสดงออกเมื่อครู
ตั้งคําถาม การแสดงออกที่เกิดขึ้นนั้นทําให้เรานึกถึงสภาพอารมณ์ในการเรียนและความสามารถ
ในการเรียนรู้ของนักเรียนในห้องเรียนแต่ละบุคคลโดยสิ่งที่นักเรียนแต่ละคนแสดงออกมาน้ันไม่
อาจกล่าวได้ว่าสิ่งนั้นเป็นการกระทําที่ผิดหรือถูก แต่อาจมองได้ว่าเหตุใดนักเรียนแต่ละคนถึง
แสดงพฤติกรรมและความคิดดังภาพได้ ข้าพเจ้าคิดว่านักเรียนแต่ละคนนั้นเติบโตมาใน
สภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกันเมื่อในวันหนึ่งได้มารวมกันในห้องเรียนและเผชิญหน้ากับ
คําถามจากครู ทําให้เด็กนั้นจึงแสดงออกอย่างหลากหลาย ในนักเรียนที่ไม่เคยได้โต้ตอบสื่อสาร
ข้อมูลเคยรับเพียงข้อมูลมาอย่างเดียวก็แสดงออกโดยการแสดงพฤติกรรมเพื่อเบี่ยงเบนความ
สนใจจากคุณครูให้ตนเองสามารถหลบหลีกคําถามได้ หรือในนักเรียนบางคนเหตุผลของการไม่
กล้าตอบคําถามอาจเป็นการทําเหมือนตนเองตั้งใจเรียนอยู่ไม่สามารถตอบคําถามครูได้ และใน
กลุ่มบุคคลที่มีความมั่นใจก็จะมีความพร้อมในการรับมือและสามารถโต้ตอบกับอาจารย์ได้อย่าง
วิชา SW 465 การศึกษาเพ่ือการพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่ินหทยั หนนู วล 15
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
ราบรื่นโดยไม่หวาดกลัว อีกหนึ่งประเด็นสําคัญที่สร้างให้เด็กส่วนใหญ่ของห้องเรียนนี้นั้นกังวลใน
การตอบคําถามอาจเกิดจากการที่เคยได้รับประสบการณ์ในการตอบคําถามในเชิงลบ ได้รับการ
กดขี่ผ่านการตอบคําถามซึ่งสร้างให้การตอบคําถามกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว สร้างให้นักเรียนกลัว
การตอบคาํ ถามแลว้ หากเกิดการตอบผดิ จะทําใหถ้ กู ดดุ ่าหรอื การลงโทษเกิดขนึ้ ได้
บทบาทของครูที่รับผิดชอบสอนนักเรียนโดยจากภาพซึ่งมีครูหนึ่งคนในการสอนนักเรียนใน
ชั้นเรียน ครูได้มีการตั้งคําถามกับนักเรียนว่า “ใครตอบข้อนี้ได้บ้าง” เราอาจคิดถึงในเรื่องของการ
เรียนการสอนที่เกิดขึ้นในห้องเรียนดังกล่าวว่าเป็นการเรียนการสอนที่มีรูปแบบเป็นอย่างไรและครู
ในภาพนั้นมีลักษณะพฤติกรรมหรือนิสัยที่แสดงออกในระหว่างการสอนการสอนรวมทั้งการโต้ตอบ
กับนักเรียนในอดีตหรือในห้องเรียนนี้อย่างไรซึ่งหากครูท่านนี้มีการแสดงออกในเชิงลบอาจกล่าว
ได้ว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ย่อมส่งผลกระทบกับนักเรียนในห้องเรียนโดยตรง เช่น การใช้เสียงตวาด
ใส่นักเรียน หรือการว่ากล่าว ล้อเลียนเม่ือตอบคําถาม เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างให้นักเรียนในชั้น
เรียนรู้สึกอายหรือกลัวในการพูดตอบคําถาม จนสร้างให้เกิดความเชื่อที่ส่งต่อกันในระหว่าง
นักเรียนเกิดขึ้นได้ ว่าไม่ควรตอบคําถามผิดหรือโต้ตอบในการเรียนกับครูคนนี้หรือแม้กระทั่งการ
สร้างให้เกิดชุดความคิดที่แม้ไม่เข้าใจในการเรียนแต่ก็หวาดกลัวไม่กล้าถาม กลัวและวิตกกังวลว่า
จะโดนดดุ ่าว่ากลา่ วในชัน้ เรยี น
จากข้อความข้างต้นซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงออกของบุคคลในภาพและเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นการเปรียบเปรยให้เห็นถึงระบบห้องเรียนของนักเรียนไทยที่นักเรียน
ส่วนใหญ่ไม่กล้าตอบคําถามในชั้นเรียนซึ่งภาพดังกล่าวก็ได้สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นผ่านภาพ
และคําพูดซึ่งแฝงไปด้วยนัยยะของการศึกษาในประเทศไทยที่นักเรียนซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการ
พัฒนาประเทศในอนาคตกับถูกกรอบทางสังคมบางอย่างทําให้ไม่สามารถกล้าคิดหรือทดลองใน
สิ่งใหม่ ๆ เน่ืองจากกลัวที่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ผิด หากกระทําลงไปตนเองจะต้องถูกมองในแง่
ลบหรอื เกิดความรูส้ กึ อบั อายเกิดขน้ึ ในช้นั เรยี น
แนวคดิ ทางการศึกษาและการเขา้ ใจภาพ
เปาโล แฟร์เร่มีความเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการที่จะกําหนดความเป็นไป
หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ บนโลกได้ และมนุษย์สามารถใช้ความคิดและภาษาในการ
สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่น ๆ อย่างมีเหตุผล ด้วยกระบวนการวิพากษ์และ
เสวนาซึ่งกระบวนการนี้จะนําไปสู่การแสวงหาความรู้และความจริง โดยที่บุคคลสามารถตระหนัก
ถึงความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ และสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
อย่างมีเหตุผล (Freire, 2012 อ้างถึงใน เณริกา เกิดนาสารและคณะ, 2564) ซึ่งการรู้หนังสือนั้น
ถกู นํามาใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมือในการพฒั นาคุณภาพชีวติ ทส่ี าํ คญั ประการหน่งึ
จากแนวคิดของเปาโล แฟร์เร่เมื่อนํามาใช้ทําความเข้าใจภาพในข้างต้นอาจวิเคราะห์ได้ถึง
ประเด็นของการศึกษาที่สื่อออกมาผ่านภาพ หากเราอยากสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นใน
สังคมหนึ่ง การใช้ความคิดเพื่อสื่อสารหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่น ๆ อย่างมีเหตุผล
นั้นเป็นเรื่องสําคัญ การที่นักเรียนในห้องเรียนของระบบการศึกษาไทยซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาผ่าน
รูปภาพที่แฝงด้วยนัยยะเกิดความรู้สึกและแสดงพฤติกรรมเพื่อหลบหลีกการแลกเปลี่ยน การตอบ
คําถามหรือการตั้งคําถามในสิ่งที่ต้องการนั้นทําให้นักเรียนไม่สามารถที่จะแสวงหาความรู้หรือได้
วชิ า SW 465 การศึกษาเพื่อการพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ปนิ่ หทยั หนูนวล 16
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
ลองผิดลองถูก รวมทั้งไม่สามารถเชื่อมโยงการศึกษาไปกับการใช้ชีวิตในสังคมได้ย่อมส่งผลให้
นักเรียนกลุ่มนี้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตที่เป็นทรัพยากรสําคัญในการพัฒนาประเทศอาจไม่
สามารถกําหนดความต้องการหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศเพียงเพราะการถูกกรอบ
ของระบบการศึกษาท่กี ดข่มไว้
การรู้หนังสือนั้นถูกกล่าวถึงไว้ว่าเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตดังนั้นมนุษย์ควร
มีอิสระในการที่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนะมุมมองของชีวิตในเรื่องต่าง ๆ การศึกษา
จึงควรเป็นเรื่องที่ทําให้บุคคลสามารถพัฒนาศักยภาพและตระหนักในตนเอง ไม่ใช่เป็นเครื่องมือท่ี
กดขี่และครอบงําดังภาพประกอบ หากระบบการศึกษาในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงจากนัย
ยะที่แฝงในภาพ การศึกษาจะช่วยให้นักเรียนสามารถใช้ความคิดรวมทั้งการแสดงเหตุผลกับ
บุคคลในสังคมย่อมนํามาซึ่งการที่นักเรียนสามารถแสดงออกหรือปฏิบัติในสิ่งที่สร้างการ
เปลยี่ นแปลงให้เกิดกบั ตนเองและสงั คมไดต้ ่อไป
ประเด็นทางสงั คม
จากภาพในข้างต้นเราอาจตั้งคําถามกับระบบการศึกษาในสังคมไทยที่หล่อหลอมให้เด็กใน
สังคมไม่กล้าที่จะโต้ตอบหรือตั้งคําถามกับสิ่งที่ตนเองสงสัย เพราะเหตุใดสังคมการเรียนรู้ในระดับ
มัธยมของไทยถึงสร้างให้นักเรียนแต่ละคนแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างหลากหลายเพียงเพราะ
การถูกเชื้อเชิญให้ตอบคําถามในห้องเรียน ทําไมในนักเรียนหลายคนถึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงการ
โต้ตอบกับครูหรือบุคลากรทางการศึกษาในห้องเรียนเพราะกลัวที่จะผิดและถูกล้อเลียน ประเด็น
สังคมในเรื่องของการศึกษาที่เป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศทําไมถึงถูกสร้าง
และส่งตอ่ ในเรอ่ื งของคติความเชอ่ื ในการตอบคําถามในห้องเรียนว่าเป็นเร่ืองท่ีควรหลกี เล่ียง
ปัจจุบันเราจะเห็นได้ถึงการเรียกร้องทางด้านประเด็นการศึกษาในสังคมประเทศไทยอยู่
อย่างสมํ่าเสมอ เช่น การเรียกร้องของกลุ่มนักเรียนเลวที่มีการเสนอข้อเรียกร้องกับ
กระทรวงศึกษาธิการในประเด็นการศึกษาที่เกิดปัญหาขึ้นโดยเป็นความต้องการของผู้ที่อยู่ใน
ระบบการศึกษาที่ประสบปัญหาจริง เป็นต้น โดยเราสามารถเห็นสื่อนําเสนอข่าวอยู่เสมอหากแต่
สังคมไทยก็ไม่ได้ตระหนักและให้ความสําคัญกับเรื่องที่เกิดขึ้น การเรียกร้องของนักเรียนถูกมอง
เป็นพฤติกรรมที่แปลกแยก หากแต่ไม่มีการตั้งคําถามกับระบบการศึกษาไทยว่าในปัจจุบันนั้นมี
ความเหมาะสมกับชีวิตในโลกยุคปัจจุบันหรือไม่ เป็นระบบการศึกษาที่พัฒนาศักยภาพของ
นักเรียนไทยได้อย่างเท่าเทียมกันทุกคนหรือไม่ เพราะเหตุใดนักเรียนที่เรียกร้องและตั้งคําถามกับ
ระบบการศึกษาถึงถูกมองว่าแตกต่างหรือเป็นตัวปัญหา ซึ่งนักเรียนนั้นควรมีสิทธิที่จะสามารถตั้ง
คําถามหรือแสดงความต้องการเกี่ยวกับการศึกษาได้เพื่อนํามาสู่การพัฒนาการศึกษาที่มี
ประสทิ ธิภาพมากยิ่งขน้ึ
ข้อเสนอแนะในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
การที่นักวาดสะท้อนถึงสภาพการศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นทําให้เราตระหนักถึงระบบ
การศึกษาของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมและยังคงมีนักเรียน
วัยมัธยมจํานวนมากที่ยังคงติดในกรอบของการไม่กล้าตอบคําถามในชั้นเรียน หากการเรียนการ
สอนของประเทศไทยมีรูปแบบที่เอื้อประโยชน์ให้นักเรียนสามารถโต้ตอบกับอาจารย์ไม่ว่าคําตอบ
วิชา SW 465 การศึกษาเพ่อื การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ปนิ่ หทยั หนูนวล 17
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
จะถูกหรือผิดนั้น จะสร้างใช้เกิดคติความเชื่อในเชิงบวกเกิดขึ้นกับการตอบคําถามในชั้นเรียนและ
อาจมองได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งในการเรียนรู้ของนักเรียนไม่ควรเป็นเรื่อง
ที่ถูกตําหนิหรือถูกนํามาล้อเลียนจนสร้างคติความเชื่อในสังคมในรูปแบบทุกวันนี้ เมื่อการศึกษา
เป็นเรื่องของการสร้างคนให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคตแล้วนั้น การ
ปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาหรือสร้างบุคคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างมีมาตรฐานก็ย่อม
สร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นลําดับให้แก่ระบบการศึกษาไปจนถึงการสร้างให้เกิดคติความ
เชื่อและมุมมองกับนักเรียนที่มีต่อการตั้งคําถามในห้องเรียน หากการศึกษาในประเทศไทยยังคง
ดําเนินไปในรูปแบบเดิมสร้างคติความเชื่อในรูปแบบเดิมก็เหมือนเป็นการปิดกั้นโอกาสที่บุคคลจะ
สามารถเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีการศึกษาที่เป็นเครื่องมือให้เขาได้ใช้ในการเติบโตและ
เปน็ กาํ ลงั สําคญั ในอนาคตเพอ่ื พัฒนาประเทศให้ก้าวไปขา้ งหนา้
บทสรุป
กล่าวโดยสรุป ภาพหนึ่งภาพที่ถูกวาดขึ้นมาเพื่อเสียดสีสังคมนั้นยังแฝงไปด้วยปัญหาสังคม
ที่ฝังรากลึกรวมทั้งคติความเชื่อของคนในสังคมซึ่งต่างมองว่าการตอบคําถามในห้องเรียนเป็นเรื่อง
ที่สร้างให้รู้สึกแปลกแยกจากสังคม การศึกษาที่มีประเด็นปัญหาไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรในการเรยี น
การสอนที่เกิดขึ้นในห้องเรียนนั้น บุคลากรทางการศึกษารวมทั้งตัวของนักเรียนในห้องเรียนซึ่งต่าง
ประสบปัญหามาจนถึงในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากภาพวาดแล้วนั้นนักเรียนในระบบการศึกษาของไทย
ที่มีความพยายามในการสร้างในเกิดการเปลี่ยนแปลงในการศึกษาก็ยังถูกระบบของการศึกษา
แบบเดิมที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงกดข่มไว้ แม้จะมีการเรียกร้องในหลายครั้งแต่หลายภาคส่วนใน
สังคมก็ยังละเลยในความต้องการของนักเรียน ดําเนินการเพียงการรับทราบและปล่อยผ่านไปใน
หลายครั้งคราว อาจกล่าวได้ว่าการพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในสังคมไทย
หากมีเพียงฝ่ายเดียวที่พยายามแต่ภาคส่วนอื่น ๆ ไม่ร่วมดําเนินการการเปลี่ยนแปลงก็ไม่สามารถ
เกิดขึ้นได้ หากแต่ถ้าทุกภาคส่วนในสังคมต่างร่วมมือกันการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อให้สามารถ
สร้างศักยภาพกับนักเรียนที่จะเติบโตไปเป็นทรัพยากรสําคัญในการพัฒนาประเทศย่อมทําให้
ประเทศสามารถพัฒนาไปขา้ งหน้าอย่างมคี ุณภาพ
วชิ า SW 465 การศึกษาเพอ่ื การพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ปน่ิ หทยั หนนู วล 18
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
รายการอ้างอิง
เณริกา เกดิ นาสาร, ภทั รพล มหาขันธ์, ชงิ ชงค์ นันทนาเนตร. (2564). รูปแบบการศึกษาตาม
แนวคิดเปาโล
แฟรเ์ ร่ เพื่อพฒั นาศักยภาพและการรหู้ นังสือของผตู้ ้องขงั สตรใี นเรอื นจําเขต 9. สบื ค้นจาก
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jmhs1_s/article/download/247379/
169609/882045
ไทยรฐั ออนไลน.์ (2564). กลุ่มนักเรียนเลว เรียกร้อง 5 ขอ้ กอ่ นเยาวชนหลุดระบบการศกึ ษาไป
มากกว่าน้.ี
สืบคน้ จาก https://www.thairath.co.th/news/politic/2190493
BAABIN. (2560). ตรงแคไ่ หนถามใจดู!! 17 ภาพเสียดสสี ังคมไทย ทเี่ ห็นแล้วถงึ เถยี งไม่ออก อ้ือ
หอื ...เจบ็ จดี๊ .
สบื ค้นจาก https://today.line.me/th/v2/article/kOkDLk
วิชา SW 465 การศึกษาเพ่อื การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ินหทัย หนนู วล 19
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
นายพงษก์ ร ไชยปาล 6305610534
ภาพ : พรอ้ มรับทกุ ส่งิ ทเี่ จ็บปวด ทีม่ า : https://shorturl.asia/fZ0Lh
วิชา SW 465 การศึกษาเพื่อการพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ป่นิ หทยั หนนู วล 20
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ภาพนี้คือภาพอะไร
ภาพนี้แสดงเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่กําลังวาดภาพตนเองในอีกรูปแบบหนึ่ง ในภาพที่เธอ
วาดเป็นภาพที่เธอมีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส แววตาที่ปราศจากความทุกข์อยู่บนโลกโซเชียล
ซึ่งความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้กําลังมีความสุขอย่างภาพที่เธอวาดเอาไว้เลย ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
คือเธอมีใบหน้าที่เศร้าหมอง มีความทุกข์และการแสดงออกที่ตรงกันข้ามกับภาพที่เธอวาดเอาไว้
บนโลกโซเชียล
เหตุผลท่ีเลอื กภาพนี้
นักศึกษามองว่าภาพนี้สะท้อนบริบททางสังคมที่ยังคงเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ได้ รวมไปถึง
นักศึกษามองว่าภาพมีความเป็นจริงและคล้ายกับตัวนักศึกษาเองในบางบริบทที่เกิดขึ้น ภาพนี้บ่ง
บอกถึงการที่ต้องปกปิดความเป็นจริงบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ โดยที่ไม่แสดงออกไปให้โลกภาพนอก
รับรู้ มีเพียงแค่ตนเองที่ทราบถึงสภาพความเป็นจริงที่แตกต่างกันกับสิ่งที่สื่อออกไปบนโลกทาง
สังคมออนไลน์ ภาพตัวอย่างนี้มีความสอดคล้องกับนักศึกษาในเรื่องที่การแสดงออกสู่สังคมใน
บางครั้ง นักศึกษาไม่ได้อยากแสดงออกในแบบนั้น ในบางครั้งเรามีความทุกข์ เรามีความเศร้า
เรามีความกังวลใจเกิดขึ้น แต่เมื่อต้องแสดงออกสู่สังคมเราจําเป็นจะต้องปั้นหน้าว่าเรารู้สึกดี
เรามีความสุข เราไม่ได้เป็นอะไรหรือมีเรื่องกังวลใจ ทําให้ภาพนี้มีบางมุมที่คล้ายนักศึกษาจึงเป็น
เหตุผลสําคัญในการเลือกภาพนี้มาเขียนสะท้อนประเด็นทางสังคมที่เกิดขึ้น เพราะ ในปัจจุบัน
ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านอกจากนักศึกษาแล้วยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังคงประสบปัญหาเหล่านี้
และเลอื กท่จี ะเกบ็ ปญั หาต่าง ๆ เอาไว้กบั ตนเอง
สัมพันธ์กับคนอื่นที่ว่าในสังคมปัจจุบัน การแสดงออกไม่ได้เป็นอย่างที่คิดการแสดง
ในบางครั้งจะต้องปกปิดความเป็นจริงเอาไว้ ซึ่งในสภาพสังคมการแสดงออกถือเป็นสิ่งที่สําคัญ
บุคคลภายนอกจะมองยังไงล้วนมาจากการกระทําที่แสดงออกไป ทั้งนี้ภาพดังกล่าวสะท้อนให้เห็น
วา่ เราจะต้องแสดงกิริยาสูส่ ังคมในรปู แบบทีค่ ลา้ ยคลงึ กัน
เห็นอะไรจากภาพนี้
ในสังคมปัจจุบันนี้มีการเข้าหากันโดยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งหนีไม่พ้นการ
แสดงออกที่ไม่ตรงไปตรงมา การบิดเบือนความเป็นจริงหรือการแสดงออกที่ตรงกันข้ามเกิดข้ึน
ภาพนี้บ่งบอกว่าในสังคมจะต้องแสดงออกมาในลักษณะที่ดี มีความสุข ต้องเก็บซ่อนความเสียใจ
หรือความทุกข์เอาไว้ ความวาดฝันอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะไม่ได้มี
ความสขุ รว่ มไปดว้ ยก็ตาม
จากภาพข้างต้นเป็นการวาดภาพตนเองในอีกลักษณะหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองไม่ได้
แสดงออกมาตามความเป็นจริงให้โลกโซเชียลได้รับรู้ เช่น การบอกคนอื่นในสังคมว่าเรามีความสุข
เรามีความสดใสร่าเริง แต่ในความเป็นจริงเราอาจจะกําลังทุกข์หรือเศร้าใจอยู่ก็ได้ ไม่มีใครรู้
นอกจากตัวเราเอง การแสดงออกที่ตรงกันข้ามกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ทําให้สามารถ
เข้าใจได้ว่าในบางบริบทของสังคม คนเราไม่สามารถแสดงออกถึงสิ่งที่รับรู้หรือสิ่งที่เป็นอยู่ออกไป
ได้ จะต้องสะทอ้ นความคดิ และความรสู้ กึ ออกไปในทิศทางตรงกันขา้ ม
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพ่อื การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่ินหทัย หนนู วล 21
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
แสดงให้เห็นว่าในโลกของสังคมออนไลน์หรือบนโซเชียลมีเดียนั้น มีผลกระทบมากมายท่ี
ส่งผลต่อความสุขของบุคคล อาจมาจากความเจ็บปวดที่ได้รับทั้งทางกายและด้านจิตใจ การป้ัน
หน้าสู่สังคมว่าเรามีความสุขดีทั้ง ๆ ที่ภายในจิตใจของเราอาจจะทนรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้วก็ตาม
ความเจ็บปวดที่ได้รับอาจมาจากเรื่องราวที่ต้องพบเจอในชีวิต หรืออาจมาจากผลกระทบทาง
สังคมบนสื่อโซเชียลมีเดียหรือโลกสังคมออนไลน์ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันมีการโจมตีจากภัย
อันตรายทางสื่อโซเชียลมีเดียอยู่ไม่น้อยที่ส่งผลกระทบโดยตรง เราจึงจําเป็นจะต้องปั้นหน้าพร้อม
รับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแสร้งทําว่าตนเองโอเคหรือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับตัว
เรา แม้ในความเปน็ จรงิ จะเปน็ สิ่งท่ีตรงกนั ข้ามเลยก็ตาม
มโนธรรมสํานึกเป็นกระบวนที่มนุษย์ตระหนักรับรู้ถึงสภาพความเป็นจริงทางสังคมท่ี
เป็นอยู่ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง จากบริบทข้างต้นสะท้อนให้เห็นความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นว่า ใน
สังคมมีการสร้างบรรทัดฐานที่แสดงออกมาอย่างปกติทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ปกติ
การแสดงถูกสะท้อนผ่านมุมมองของคนในสังคม ซึ่งมุมมองเหล่านั้นสามารถแสดงออกมาได้อย่าง
หลากหลายขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและบริบททางสังคมที่บุคคลเหล่านั้นพบเจอมา จากความ
ย้อนแย้งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้บุคคลจะต้องเก็บความเป็นจริงเอาไว้และเลือกที่จะแสดงออกในบริบท
ที่ต่างกันออกไป หล่อหลอมให้เขาไม่กล้าจะที่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงและยอมรับสภาพความ
เจ็บปวดที่เกิดขึ้น เป็นกลไกในการป้องกันตนเองจากสภาพแวดล้อมภายนอกว่าสิ่งท่ีเราเลือกจะ
แสดงออกไม่ใช่ความประสงค์จริง ๆ ของเราแต่บุคคลในสังคมเลือกที่จะอยากให้การแสดงออก
เป็นไปอย่างนั้น
Sigmund Freud (1856-1939) บิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ นักจิตวิทยาชาวออสเตรีย
ผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ได้กล่าวว่า มนุษย์มิได้เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล
ดังเช่นที่พวกเขาเชื่อหรืออยากเป็น หากแต่ความคิดของมนุษย์ถูกกําหนดโดยพลังแห่งจิตไร้สํานึก
ที่ซ่อนเร้น และหลุดรอดจากความเข้าใจของมนุษย์ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย". ฟรอยด์พบว่าการ
กระทํา, ความคิด, ความเชื่อ, หรือเรื่องเกี่ยวกับตัวตนนั้นถูกกําหนดแสดงออกโดยจิตไร้สํานึก
(unconscious), แรงขับ (drive) และความปรารถนา (desire) มนษุ ยข์ จัดประสบการณ์และความ
ทรงจําอันเจ็บปวดโดยการเก็บกดไว้ในจิตไร้สํานึก อันจะส่งผลต่อการดําเนินชีวิตของเขา
และก่อให้เกิดกลไกที่ทําหน้าที่เป็นเกราะป้องกันตัวเองที่เรียกว่า "Ego Defense Mechanism"
ข้ึนมา (แพรภัทร ยอดแกว้ , 2552)
การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) คือ
การแสดงออกในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตนรู้สึก เพราะคิดว่าสังคมอาจยอมรับไม่ได้ โดยการทุ่มเทใน
การแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ที่ตนเองคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมอาจจะไม่
ยอมรับ เช่น แม่ที่ไม่รักลูกคนใดคนหนึ่งอาจจะมีพฤติกรรมตรงข้าม โดยการแสดงความรัก
มากมายอยา่ งผิดปกติ (แพรภทั ร ยอดแกว้ , 2552)
จากทฤษฎีดังกล่าวสามารถสะท้อนภาพตัวอย่างได้ว่า การหลีกหนีความจริงที่เกิดขึ้นโดย
การแสร้งและแสดงออกในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริง แสดงออกในทิศทางตรงกัน
ข้ามกับที่ตนรู้สึก เพราะ ต้องการให้สังคมยอมรับได้ในสิ่งที่เป็นค่านิยมหรือบรรทัดฐานที่สังคมวาง
เอาไว้ โดยคนเราเลือกที่จะใส่ใจกับการแสดงออกในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจ
วิชา SW 465 การศึกษาเพื่อการพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปน่ิ หทยั หนนู วล 22
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ทั้งทีในความเป็นจริงเราอาจจะไม่ได้มีความรู้สึกร่วมหรืออยากแสดงพฤติกรรมเหล่านั้นเลยก็ตาม
การไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ เช่น การ
ไม่ยอมรับอาจทําให้เราเลือกแสดงตัวตน ความคิด การแสดงออก หรือพฤติกรรรมที่แตกต่างออกไป
จากความเป็นจรงิ เพอื่ ใหส้ งั คมยอมรบั หรอื สงั คมมองว่าเราไม่ได้มปี ัญหาหรอื มีความทกุ ขใ์ ด ๆ
การไม่ยอมรับความจริง (Denial of Reality) เป็นวิธีการที่บุคคลไม่ยอมรับรู้ ไม่ยอม
เข้าใจ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตนเอง เพราะเจ็บปวดกับความจริงที่
เกิดขึ้นหรือเป็นอยู่ รับไม่ได้กับความจริงที่ทําให้ตนต้องสูญเสียหรือไม่ได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา
การปฏเิ สธความเป็นจริงมากๆ ก็ทําให้เป็นโรคประสาทได้ (แพรภทั ร ยอดแกว้ , 2552)
จากทฤษฎดี งั กล่าวสามารถสะท้อนภาพตัวอยา่ งไดว้ า่ บคุ คลเลอื กทจี่ ะไม่ยอมรับความเป็น
จริงที่เกิดขึ้นกับตนเอง ไม่ยอมเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา โดยส่วนมากแล้ว
เลือกที่จะหลีกหนีสภาพความเป็นจริงและเก็บความเจ็บปวดไว้กับตนเอง ในสังคมปัจจุบันมีการ
สร้างความเจ็บปวดต่อกันในรูปแบบที่หลากหลาย ส่งผลให้บุคคลในสังคมจะต้องจมปลักกับความ
เป็นจริงที่เกิดขึ้น รับไม่ได้กับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวด การวาดฝันความสุข
เอาไว้แต่ไม่สามารถแสดงความจริงที่เกิดขึ้นได้นั้นถือว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่มีมากในสังคม
ปจั จบุ ันน้ี
ขอ้ เสนอแนะตอ่ การสะท้อนภาพตัวอย่าง
การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้โดยเริ่มจากตนเอง โดยการปรับมุมมองและยอมรับความเป็น
จริงที่เกิดขึ้น เพื่อเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเป็นจริงบนโลกของสังคม เพื่อไม่ให้เกิดความย้อนแย้งกับ
การแสดงพฤติกรรมของตนเอง การยอมรับในตนเองได้นั้นถือเป็นเรื่องที่สําคัญเป็นอันดับต้น ๆ
เลยก็ว่าได้ เมื่อบุคคลในสังคมสามารถยอมรับสภาพความเป็นจริงและก้าวข้ามความทุกข์ที่เกิดขึ้น
ได้แล้ว ขั้นถัดมาสังคมควรให้การยอมรับซึ่งกันและกันเพื่อสร้างค่านิยมและบรรทัดฐานขึ้นใหม่
เป็นสังคมที่ทุกคนกล้าที่จะแสดงตัวตนท่ีแท้จริง กล้าที่จะมีความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การวาดภาพฝัน
ว่าตนเองมีความสุขและยอมรับกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอยู่เพียงผู้เดียว การที่สังคมให้ความ
ช่วยเหลือต่อกัน การสร้างสิ่งที่ดีต่อกัน เป็นความคาดหวังในสังคมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ในทิศทางท่ีดีขึ้นกวา่ เดิม
การสร้างการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นที่ตัวเองสู่บริบททางสังคมเพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในรูปแบบใหม่ การสร้างการยอมรับและการไม่ตัดสินผู้อื่น จากภาพภายนอกที่เราเห็นเพราะสิ่งที่
เห็นอาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา เพราะสิ่งที่เขาเลือกจะแสดงออกมา อาจเป็นเพียงการกั้นกรอบ
ตัวเองให้รู้สึกปลอดภัยจากสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้น ควรให้ความใส่ใจและรับรู้
ถึงสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคล รวมไปถึงบุคคลเหล่านั้นกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่
แท้จรงิ และไมท่ นตอ่ สภาวะความเจบ็ ปวด การปิดบงั ความเจบ็ ปวดเอาไว้แตเ่ พียงผ้เู ดียว
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพ่อื การพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ินหทัย หนูนวล 23
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
สง่ิ ทีอ่ ยากบอก
อยากให้สังคมเลือกที่จะไม่ใจร้ายกับตัวเรา ให้เราสามารถพูดและคิดในสิ่งที่ต้องการได้
อย่างเต็มที่ ไมม่ ีการปิดก้นั ความรสู้ กึ การปกปิดความเสยี ใจหรือความเจบ็ ปวดเอาไว้ เพราะ การท่ี
ไม่ถูกสังคมยอมรับนับว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะ ก่อให้เกิดความรู้สึกที่แปลกแยกและไม่เข้ากับ
บริบททางสังคมนั้น ๆ การแสดงออกถือเป็นเรื่องที่สําคัญ หากมาจากความจริงใจและเลือกที่จะ
แสดงความใส่ใจต่อกัน การก้าวข้ามเซฟโซนของตัวเองอาจทําได้ไม่ยากนัก เพราะ การจะ
เปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มต้นที่ตัวเราก่อนและเกิดการขยายสู่ภาคสังคมให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง
ไปในลักษณะและทศิ ทางท่ีดีข้ึนกวา่ เดิม
รายการอ้างอิง
แพรภัทร ยอดแกว้ . (2552). กลไกในการป้องกนั ตัวเอง (Defense Mechanism). สืบคน้ จาก
https://www.gotoknow.org/posts/283791
Dayself. (2558). 15 ภาพสะท้อนสังคมท่ียากจะอธิบาย. สบื ค้นจาก
https://shorturl.asia/fZ0Lh
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพอ่ื การพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ปน่ิ หทัย หนูนวล 24
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565
นางสาวพรสุดา ควรชม 6305610740
ทมี่ า: https://www.amarintv.com/news/detail/93176
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพือ่ การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปนิ่ หทยั หนนู วล 25
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
“สินสอด” เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างหลัง ก้อย อรัชพร โภคิน
ภากร นักแสดงหญิงได้แสดงความคิดเห็นผ่านเรื่องราวในอินสตาแกรมของตนว่า “ส่วนตัวคิดว่า
ควรยกเลิกระบบสินสอด แนวคิดการวัดค่าผู้หญิงด้วยเงินจะได้หมดไปสักที“ ซึ่งกระแสการ
วิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชี่ยลมีทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จึงเกิดการตั้งคําถามตามมา
มากมายว่า “ในสังคมปัจจุบัน การแต่งงานยังควรมีสินสอดอยู่หรือไม่” และ “ระบบสินสอดควรถูก
ยกเลิกได้แล้วหรือยัง” ผู้เขียนจึงเกิดความสนใจในประเด็นดังกล่าวและได้หยิบยกภาพการแสดง
ความคิดเห็นของนักแสดงหญิงเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมาเพื่อประกอบการแสดงทัศนะใน
ประเดน็ นีแ้ ละชวนผอู้ า่ นคิดไปพร้อมกัน
“สินสอด” ถูกนิยามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2551
ว่า ”เป็นเงินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่บิดามารดาของหญิงที่ตนขอแต่งงานด้วย. โบราณเรียกว่า
ค่านํ้านมข้าวป้อน” (สํานักงานราชบัณฑิตยสภา, 2551) ในทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1437 วรรคสาม นิยาม “สินสอด” ว่า “เป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่พ่อ
แม่ ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนที่หญิงยอมสมรสด้วย ถ้าไม่มีการ
สมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงหรือโดยมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทําให้ชาย
ไมส่ มควรหรือไมอ่ าจสมรสกับหญงิ นนั้ ฝา่ ยชายเรียกสินสอดคืนได”้
โดยสินสอดมีจุดเริ่มต้นเมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมต่างๆ อาทิ อียิปต์โบราณ
เมโสโปเตเมีย และกรีกโบราณ มีธรรมเนียมปฏิบัติการมอบสินสอดสืบต่อกันมาอย่างช้านาน
ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นค่าตอบแทนการสมรส (Marriage Payment) อย่างไรก็ตามแต่ละอารย
ธรรมมีรูปแบบการมอบที่แตกต่างกันไป สามารถจําแนกได้เป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ ค่าตอบแทน
การสมรสที่ฝ่ายชายเป็นผู้จ่ายให้ฝ่ายหญิงและค่าตอบแทนการสมรสที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้จ่ายให้ฝ่าย
ชาย (พลอย ธรรมาภริ านนท,์ 2561) มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้
1. คา่ ตอบแทนการสมรสทฝี่ ่ายชายเป็นผ้จู ่ายใหฝ้ ่ายหญิง
ในกรณีที่ฝ่ายชายเป็นผู้จ่ายให้แก่ฝ่ายหญิงและครอบครัว คํานิยามโดยกว้างใช้คําว่า
“ราคาเจ้าสาว(bride price)” โดยค่าตอบแทนการสมรสที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ครอบครัวฝ่ายหญิง
ในสังคมไทยเรียกค่าตอบแทนส่วนนี้ว่า “สินสอด” ส่วนทรัพย์สินที่ฝ่ายชายมอบให้แก่ฝ่ายหญิง
โดยตรงเรียกว่า “ดาวเวอร์ (Dower)” หรือที่คนไทยรู้จักกันในนาม “ทองหมั้น” โดยประเทศที่
ยึดถือธรรมเนียมการให้ราคาเจ้าสาวเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรออตโตมัน
อาทิ ตุรกี, อียิปต์, และอิรัก รวมถึงประเทศแอฟริกา ประเทศจีน และประเทศที่ได้รับอิทธิพลจาก
ประเทศจนี อาทิ ไทยและใต้หวัน (พลอย ธรรมาภริ านนท์, 2561)
2. คา่ ตอบแทนการสมรสทฝี่ า่ ยหญงิ เป็นผจู้ า่ ยให้ฝา่ ยชาย
ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นผู้จ่ายให้แก่ฝ่ายชาย เรียกค่าตอบแทนการสมรสที่ฝ่ายหญิงมอบให้
ครอบครัวฝ่ายชายว่า “ราคาเจ้าบ่าว (groom price)” ส่วนทรัพย์สินที่ฝ่ายหญิงมอบให้แก่ฝ่ายชาย
โดยตรงเรียกว่า “ดาวรี (Dowry)” ซึ่งในอดีตทั้งในอาณาจักรโรมัน ไบแซนไทน์ และบราซิลในช่วง
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพอื่ การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ปิน่ หทัย หนูนวล 26
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
ทศวรรษที่ 17-18 ดาวรีเป็นการให้ทรัพย์สินติดตัวแก่ฝ่ายหญิง แต่ในทางปฏิบัติฝ่ายชายเป็นผู้มี
สิทธิในทรัพย์สินเหล่านั้น ทําให้ในภายหลังความหมายของดาวรีค่อยๆ เปลี่ยนไป และกลายเป็น
ทรัพย์สินที่ให้แก่ฝ่ายชายในที่สุด โดยประเทศที่ยึดถือธรรมเนียมการให้ดาวรีแก่ฝ่ายชายนั้น พบ
มากในในกลุ่มประเทศแถบเอเชียใต้ อาทิ อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ (พลอย ธรรมาภิรา
นนท์, 2561)
แต่ทว่าในสังคมไทยซึ่งเป็นสังคมที่ยึดถือธรรมเนียมการมอบสินสอดหรือราคาเจ้าสาวแก่
ฝ่ายหญิง ไม่ได้ให้คุณค่ากับสินสอดในฐานะค่าตอบแทนการสมรสเพียงเท่านั้น แต่ยังแฝงค่านิยม
แนวคิด และมายาคติต่างๆ ไว้ภายใต้ธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้จากคู่รัก
จํานวนไม่น้อยต้องเลิกรากันไปด้วยปัญหาของสินสอด หรือแม้กระทั่งในบางคู่ที่มีสินสอดแต่กลับ
ถูกติฉินนินทาในเชิงคุณค่าและหน้าตาทางสังคมว่าไม่สมฐานะ ผู้เขียนจึงยกตัวอย่างมุมมองและ
ความคิดบางประการมาเพือ่ หาคาํ ตอบไปพรอ้ มกนั วา่ “ควรยกเลิกระบบสินสอด” จรงิ หรอื
ภาพปรากฏการณ์ในสังคมที่สะท้อนให้เห็นถึงมายาคติที่เด่นชัดอยู่ภายใต้ธรรมเนียมการ
เรียกสินสอดคือ การเกิดขึ้นของธุรกิจเช่าสินสอด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยให้ค่ากับการมีสินสอด
อย่างมาก ในครอบครัวที่มีฐานะไม่ทัดเทียมกันจึงต้องเกิดการกู้ยืมสินสอดเพื่อให้ครอบครัวฝ่าย
หญิงพึงพอใจ หรือในภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ไม่น้อยหน้า” ยิ่งในครอบครัวที่มีหน้ามีตาทางสังคม
สินสอดถือเป็นเครื่องการันตีที่สําคัญอันแสดงให้เห็นถึงชนชั้นวรรณะทางสังคมและยิ่งสินสอดมี
จํานวนมากเพียงใดยิ่งชี้ให้เห็นว่าฝ่ายชายมีฐานะที่มั่นคงและสามารถเลี้ยงดูฝ่ายหญิงได้ การที่
ครอบครัวมองหาผู้ที่มีความมั่นคงและสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวของตนได้ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า
สังคมไทยมองว่าผู้หญิงไม่สามารถดูแลตนเองได้จึงจําเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายที่มีความมั่นคง หรือ
แม้กระทั่งในบางครอบครัวการที่มีฝ่ายชายมาสู่ขอด้วยสินสอดจํานวนมากสะท้อนให้เห็นว่าฝ่าย
หญิงมีคุณค่าและเพียบพร้อมสําหรับบทบาทภรรยา สินสอดจึงกลายเป็นเครื่องมือชี้วัดคุณค่า
ความเป็นหญงิ ไปโดยปริยาย
ในทางกลับกันแม้ในปัจจุบันบทบาทของผู้หญิงในสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงสามารถดูแล
ตนเองได้ สามารถหารายได้มาจุนเจือครอบครัวได้ แต่ครอบครัวไทยจํานวนไม่น้อยที่ประสบกับ
ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ เงินที่พ่อแม่หามาได้หมดไปกับการส่งเสียให้บุตรมีการศึกษาที่สูงที่สุด
เพื่อนําไปสู่การหลุดพ้นจากวัฏจักรความจน เมื่อบุตรเติบโตจนกระทั่งสามารถทํางานไดแ้ ล้ว พ่อ
แม่ก็หวังให้บุตรทํางานเพื่อหาเลี้ยงและดูแลตนในวัยชรา เมื่อบุตรถึงวาระที่จะต้องแต่งงานมี
ครอบครัว ทําให้พ่อและแม่ในครอบครัวที่ยากจนอาจไม่สามารถดํารงชีวิตได้ดังเดิม เนื่องจากเงิน
เก็บที่มีอยู่น้อยนิดผนวกกับบุตรไม่สามารถดูแลเลี้ยงดูบุพการีได้ดังเดิม หากเปน็ เช่นนี้แล้วเมื่อไม่มี
สนิ สอดสองตายายจะอยู่อย่างไร และยังควรยกเลิกระบบสนิ สอดอย่หู รอื ไม่
เมื่อ “สินสอด” ถูกครอบไปด้วยมายาคติบางอย่างซึ่งส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ของคู่รัก
จํานวนไม่น้อย จึงไม่แปลกนักที่คนในสังคมจะไม่เห็นด้วยกับการมีอยู่ของสินสอดและอยากให้
ยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติดังกล่าว ในทางกลับกันหลายครอบครัวที่ลูกสาวต้องออกเหย้าออกเรือน
ไปแต่งงานทําให้ภาระหน้าที่ในการดูแลครอบครัวของตนมากขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถดูแลและส่ง
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพอื่ การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ป่ินหทัย หนนู วล 27
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
เสียบุพการีของตนได้ดังเดิมซึ่งเป็นการลําบากหากบุพการีที่มีอายุมากต้องออกมาทํางานเพื่อเลี้ยง
ดูกันเอง ยิ่งในครอบครัวที่ไม่ได้มีรายได้หรือเงินเก็บมากนัก “สินสอด” อาจเป็นสิ่งเดียวที่สามารถ
จุนเจือชวี ติ สองตายายวยั ชราไว้ได้
สุดท้ายนี้หากพิจารณาจะเห็นได้ว่า “สินสอด” ไม่ใช่ข้อบังคับในการแต่งงาน หากแต่เป็นชุด
ความคิดและมายาคติที่สังคมสร้างขึ้นกระทั่งกลายเป็นภาระและอุปสรรคให้คู่รักหลายคู่ที่ประสงค์
ใช้ชีวิตร่วมกันต้องสั่นคลอน มาจนถึงตอนนี้สิ่งที่สังคมตั้งคําถามอาจต้องเปลี่ยนไป จากที่สังคมต้ัง
คําถามว่า “ระบบสินสอดควรมีอยู่หรือไม่” ควรหันกลับมาตั้งคําถามว่า “ในปัจจุบัน คุณค่าที่
แท้จริงของสินสอดคืออะไร” เพราะในบางครอบครัวสินสอดอาจยังเป็นเรื่องที่จําเป็นสําหรับพวก
เขา ในขณะเดียวกันบางครอบครัวอาจไม่มีความจําเป็นและไม่ได้ให้ความสําคัญกับสิ่งนี้แล้ว
สินสอดจึงควรเป็นเรื่องของปัจเจก คนในสังคมเองก็พึงตระหนักถึงข้อนี้อยู่เสมอ ไม่ควรตัดสินหรือ
ยัดเยียดชุดความคิดอันเป็นมายาคติเกี่ยวกับสินสอด จนกระทั่ง “สินสอด” กลายเป็นเครื่องมือชี้
วัดคณุ ค่าของผหู้ ญิงหรอื หน้าตาทางสังคม
เอกสารอา้ งองิ
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ พทุ ธศกั ราช 2533. มารตรา 1437 วรรคสาม.
พลอย ธรรมาภิรานนท์. (2561). สินสอดมีไว้ทําไม? มองสินสอดด้วยเศรษฐศาสตร์. สืบค้นจาก
https://www.the101.world/pride-price/
สาํ นักงานราชบณั ฑติ ยสภา. (2551). สนิ สอด. สืบค้นจาก
http://legacy.orst.go.th/?knowledges=สนิ สอด-๑๖-กนั ยายน-๒๕๕๑
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพื่อการพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ ูส้ อน ผศ.ดร.ปน่ิ หทัย หนนู วล 28
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
นิฮคั ซลั หลังยาหนา่ ย 6305680065
ใครว่าเปน็ เดก็ ไม่มเี รื่องเครียด ?!
เป็นเดก็ ก็มีเร่อื งให้เครยี ดและฉดุ สภาวะจิตใจใหต้ กต่าํ ลงได้
ที่มา: Childline Thailand Foundation
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพอ่ื การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่นิ หทัย หนนู วล 29
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2565
ทาํ ไมจึงเลือกภาพน้ี
เป็นภาพที่สื่อให้เห็นถึงเด็กที่ได้รับแรงกดดันจากตนเอง คนรอบข้าง รวมไปจนถึง
ครอบครัวของเด็ก การเป็นเด็กที่ได้รับการคาดหวังจากผู้ใหญ่ที่มากจนเกินไป “เป็นเด็กไม่ง่าย”
ซึ่งเด็กนั้นจะมีอยู่หลากหลายช่วงวัย เช่น เด็กวัยแรกเกิด หรือเด็กทารก จะเป็นช่วง เกิดถึง 28 วัน
เป็นระยะที่ใช้การร้องให้ในการแสดงอารมณ์ วัยเด็กอ่อน จะเป็นช่วงตั้งแต่ 1 เดือนถึง 1 ปี
เป็นระยะที่มีพัฒนาการที่เร็ว จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านการคลาน นั่ง ยืน และจะรู้จักในการ
กลัวคนแปลกหน้า วัยเด็กอนุบาล วัยก่อนเรียน จะเป็นช่วงตั้งแต่ 2 ปีถึง 6 ปี เป็นระยะที่เด็กอยาก
รู้อยากเห็น ชอบที่จะซักถาม พัฒนาการในการจินตนาการ อย่าปิดกั้นจินตนาการของเด็ก
วัยประถม วัยเด็กตอนกลาง จะเป็นช่วง 7 ปีถึง 9 ปีเป็นระยะที่มีพัฒนาการที่มีการพัฒนาไปอย่าง
ช้า ๆ สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดี มีความสุขสนุกสนาน เริ่มที่จะให้ความสําคัญ
กับเพื่อนมากยิ่งขึ้น วัยมัธยม วัยเด็กตอนปลาย จะเป็นช่วง 10 ปีถึง 12 ปีเป็นระยะที่มีพัฒนาการ
ที่ชัดเจนทั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านร้างกาย ด้านอารมณ์ วัยรุ่มตอนต้น จะเป็นช่วง 12 ปี
ถึง 16 ปีเป็นระยะที่มพัฒนาทางด้านร่างกาย จะพัฒนาเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ วัยวัยรุ่นตอนปลาย
จะเป็นช่วง 17 ปีถึง 20 ปีเป็นระยะที่มีพัฒนาทางด้านฮอร์โมน การแสดงออกทางด้านอารมณ์
จากการแบ่งช่วงวัยที่มีความแตกต่างกันออกไปตามวัยและพัฒนาการของเด็ก ที่มีการพัฒนาอยู่
เสมอ ตั้งแต่แรกเกิด และความเป็นเด็กที่เราทุกคนย่อมที่จะมีร่วมกัน แต่แลว้ ความเป็นเด็กในอดีต
ของทุกคนนน้ั ยอ่ มท่ีจะเป็นอดตี ทีต่ ้องทิ้งมนั เอาไว้และเดนิ กา้ วขา้ มมาเป็นผ้ใู หญ่
แท้จริงแล้วเด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่มีความแตกต่างกัน ระบบการเลี้ยงดูที่มีความ
แตกต่างกัน จะเป็นจุดที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของเด็กในเรื่องต่าง ๆ แต่ละระยะน้ัน
มคี วามสําคัญท่แี ตกต่างกันออกไป
เหน็ อะไร คิดอะไร นาํ ไปสู่ความเขา้ ใจอะไรได้บา้ ง
จากรูปภาพข้างต้นเป็นเด็กที่กําลังจะตกลงจากหน้าผาที่มีแมลงที่เปรียบเสมือนสิ่งที่เด็ก
คนนึงได้พบเจอกับความกดดันในเรื่องต่าง ๆ บาดแผลของเด็กที่ได้พบเจอมาตั้งแต่ในอดีต
การโดนละเมิดทางเพศ การโดนบุลลี่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เด็กคนนึงจะต้องเจอ ซี่งเป็นสิ่งที่เด็กทุกคน
ไม่ควรทีจ่ ะต้องเจอสงิ่ เหลา่ น้ี เด็กควรที่จะไดร้ บั การดูแลอย่างเตม็ ที่และไดร้ ับกาเอาใจใสม่ ากขน้ึ
ซึ่งการเป็นเด็กนั้นจะนําไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต เด็กที่ผ่านประสบการณ์ที่มีความ
แตกต่างหลากหลายในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันบางอย่างในการป้องกันตนเอง สามารถ
ที่จะช่วยเหลือตนเองให้ผ่านจากการได้รับการโดนกลั่นแกล้งหรือปัญหาต่าง ๆ ที่จะเข้ามา
ในอนาคต
จากรูปภาพข้างต้นจะนําไปสู่การตระหนักถึงเด็กในอนาคตให้มากยิ่งขึ้น เด็กในปัจจุบัน
ที่ยังได้รับความกดดันจากครอบครัว คนรอบตัว และความกดดันจากตนเอง ปัญหาเหล่าน้ี
ควรที่จะตระหนักให้มากยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นการทําร้ายร่างกายตนเองในในเวลาเดียวกัน กดดัน
วิชา SW 465 การศึกษาเพอื่ การพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่ินหทยั หนูนวล 30
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
จนทําให้ตนเองไม่มีความเป็นตัวเอง ทําอะไรก็ต้อมาระมัดระวัง ระแวง จนเกินไปทําให้ความเป็น
ตวั เองนนั้ หายไป จะทําให้ความมน่ั ใจในตนเองนนั้ หายไปจนไมก่ ล้าทจ่ี ะทาํ กิจกรรมต่าง ๆ
อภิปรายดว้ ยชดุ ความรู้ / แนวคิดประกอบ
การนําเสนอโดยใช้แนวคิดภูเขานํ้าแข็ง เป็นแนวคิดที่มีการเปรียบเทียบบุคลิกของภูเขา
นํ้าแข็ง โดยส่วนที่อยู่เหนือนํ้าเป็นการที่สังเกตเห็นและวัดได้ง่าย และในส่วนที่อยู่ใต้นํ้าจะเป็นส่วน
ที่สังเกตได้ยาก ซึ่งในส่วนที่อยู่เหนือนํ้า มักที่จะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ง่าย อย่างเช่นในภาพ
เด็กที่กําลังจะตกหน้าผาโดยมีแมลงมาฉุดให้ตกหน้าผา แต่ถ้าหากเอาชนะได้ ก็จะไม่ตกหน้าผา
และในส่วนที่อยู่ใต้นํ้า มักที่จะเป็นความรู้สึกของเด็กที่อยู่ภายในใจของเด็ก นิสัยของเด็ก
และจะมีสิง่ ท่เี ดก็ ไมอ่ ยากที่จะเปดิ เผยใหเ้ ห็น เกิดจากหลากหลายเหตุผล
จากแนวคิดข้างต้น ทําให้เห็นพฤติกรรมของเด็กคนนึงที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง ไม่กล้า
ที่จะเปิดเผยเรื่องราวของตนเอง โดนสังคมรอบตัวอ้อมล้อมไว้ จากการที่เด็กได้รับเป็นระยะเวลา
ที่นาน ทําให้เด็กกลัวและไม่กล้าที่จะแสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็น เพียงเพราะว่าความกดดัน
และปัจจัยอนื่ ๆ ท่ีมีผลตอ่ เด็ก
มีข้อเสนอสําหรับใคร อย่างไรบ้างหากจะสร้างการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ตามที่คาดหวังจะต่าง
ไปจากทีเ่ คยเปน็ มา
จากภาพข้างต้นที่ว่าด้วยเด็กที่โดนฉุดให้ตกหน้าผา โดยมีข้อเสนอแนะสําหรับทุกคน
ที่กําลัง บุลลี่ กําลังโจมตีบุคคลอื่นผ่านสื่อออนไลน์ และบุคคลอื่น ๆ โดยอยากให้ลดความคาดหวัง
ในตัวบุคคลอื่น ไม่เอาตัวเองไปทําร้ายเด็กทั้งด้านวาจา และเมื่อเราเห็นเด็กที่ข้างนอกดูร่าเริง
ชอบเล่น ชอบหัวเราะ แต่ข้างในเด็กอาจจะมีบาดแพลจากหลาย ๆ เรื่องที่เด็กได้พบเจอมาในอดีต
ดังนั้นเมื่อเราเห็นเด็กที่ดูร่าเริมแจ่มใส เราไม่ควรที่จะสร้างบาดแผลเพิ่มให้กับเด็ก โดยไม่ไป
คาดหวังในตัวเด็ก ไม่สร้างความกดดันเพิ่มขึ้นให้กับเด็ก โดยปล่อยให้เป็นเรื่องที่ปกติ ที่ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถของเด็ก ไมบ่ งั คบั เกินไป จากความสามารถของเดก็
อา้ งอิง
ชูใจ. (2560). มีอะไรอยู่ภายใต้ภูเขานํ้าแข็ง (สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมแย่ๆ). สืบค้น
เมอ่ื 18 สิงหาคม 2565. จาก choojaiproject.org/2017/02/satir-model-iceberg/
วชิ า SW 465 การศึกษาเพ่อื การพฒั นา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปิ่นหทยั หนูนวล 31
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
ธนาภา เกบตุ ร 6305680107
Love Letter to Bangkok at Central World
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพ่ือการพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปิ่นหทัย หนูนวล 32
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
ก่อนจะไปกล่าวถึงสาเหตุที่ดิฉันเลือกภาพนี้... ขอเล่าก่อนว่า เมื่อหลายเดือนก่อนดิฉันได้ไป
เดินชม Love Letter to Bangkok ที่ Central World งานนี้เป็นงานที่ค่อนข้างจะโรแมนติก และ
สะท้อนสังคมในบางมุมที่ทุกคนกําลังเผชิญปัญหาอยู่ในปัจจุบัน และสื่อออกมาผ่านตัวละคร
ที่เป็นภาพวาด พร้อมกับข้อความสั้นๆ กระชับ ใต้ภาพวาด แต่ลึกซื้อและกินใจเป็นอย่างมาก
ดังตัวอย่างข้างต้น “It’s ok to be different. Just be yourself.” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
“มันโอเคที่จะแตกต่าง แค่เป็นตัวของตัวเอง” หากทุกคนได้ลองอ่านประโยคข้างต้น ก็อาจจะรู้สึก
ลึกซึ้งและกินใจเช่นเดียวกับดิฉัน พร้อมกับการกลับมาฉุกคิดกับตัวเองว่าสิ่งที่ตัวเองกําลังเป็นอยู่มัน
แตกต่าง แปลกแยก จากสังคมอย่างไร ฉันดีพอหรือยัง? ฉันกําลังทําสิ่งที่ผิดแปลกจากคนอื่นอยู่
หรือไม่? สง่ิ ทฉี่ นั ทํามันถูกหรอื ยงั ?
จากภาพสื่อข้างต้น จะสังเกตได้ว่าภาพตัวละครที่นํามาพูดถึงเป็นตัวละครที่มีลักษณะเป็น
เพศสภาพผู้หญิง และผู้ชายตั้งแต่กําเนิด แต่เจ้าของภาพต้องการที่จะหยิบยกประเด็กของการแต่ง
กายของเพศหญิงและชายในสังคมไทยด้วยการจับตัวละครทั้งสองมาใส่เสื้อผ้าโดยไม่แบ่งเพศ
ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นแนวคิด อุดมคติ สังคมไทย ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ที่เกิดข้ึน
ในสังคมไทยมาเป็นเวลานานที่เกี่ยวขอ้ งกบั พน้ื ฐานของการแสดงออกเปน็ ชายและหญงิ
สาเหตุที่ดิฉันเลือกภาพนี้เพราะภาพนี้สื่อถึงความแตกต่างที่กําลังเกิดขึ้นในสังคมไทย
ที่ทุกคนอาจกําลังพบเจอ จากภาพข้างต้นจะสื่อถึงความแตกต่างของเรื่องเพศและลักษณะการแต่ง
กายของชายหญิง ซึ่งนับเป็นประเด็นที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดิฉันมองว่าภาพข้างต้นสะท้อนสังคมที่มี
ค่านิยมแปลกใหม่ ที่ส่งอิทธิพลต่อวัยรุ่นในเมืองไทยเกี่ยวกับสไตล์การแต่งตัว หรือความแปลกใหม่
ไม่ยึดติดกับขนบธรรมเนียนประเพณีเดิมๆ ที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ดิฉันได้มองภาพนี้แวบแรกก็ชื่น
ชอบทันที เมื่อได้อ่านข้อความที่เขียนอยู่ในภาพก็ยิ่งประทับใจขึ้นมาอีก ถ้ามองส่อวนภาพที่เป็นตัว
ละครอาจจะคิดว่าประเด็นหลักที่ผู้วาดต้องการจะสื่อคือ ไม่ควรมีการแบ่งแยกการแต่งกายของชาย
หญิง แต่เมื่อได้อ่านข้อความแล้วก็จะมองลงไปได้ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการแต่งกาย แต่
เป็นอีกหลายๆ เรื่องที่เป็นความแตกต่างและกําลังเกิดขึ้นกับตัวดิฉันและสังคม เช่น ดิฉันมีลักษณะ
รูปร่างที่ค่อนข้างใหญ่และเหมือนต่างชาติ ไม่ตรงตาม Beauty Standard ของสังคมไทย สูง
และใหญ่ ซึ่งหาได้ยากในสังคมไทย ในบางครั้งที่เดินกับกลุ่มเพื่อน ดิฉันจะรู้สึกแปลกแยกไปจาก
เพื่อน เพราะตัวเองมีรูปร่างสูงใหญ่ นั่นก็ทําให้ดิฉันรู้สึกแปลกแยกไปจากสังคม แต่เมื่อได้ลองอ่าน
ข้อความในภาพแล้ว ก็มีความมั่นใจมากขึ้น “ทําไมล่ะ? สูงแล้วไง ใหญ่แล้วไง แค่เป็นตัวของตัวเองก็
พอแลว้ ” เพราะเหตนุ ้ดี ฉิ ันจงึ รสู้ ึกชอบภาพๆ น้ีมากๆ ค่ะ
เมื่อพูดถึงการแต่งกายของชายหญิงนั้น จะเห็นได้ว่า ส่วนใหญ่สังคมไทยได้ตีกรอบของการ
แบง่ เพศออกไวแ้ คช่ าย หญงิ ซึง่ องค์ประกอบท่ีจะนาํ มาจดั สรรแบง่ เพศ กส็ ามารถมองไดจ้ ากลักษณะ
ทางกายภาพ บุคลิกภาพ เสื้อผ้า หน้าผม การแต่งกาย ฯลฯ ที่จะสื่อจะบุคคลนั้นเป็นเพศใด ผู้หญิง
ต้องใส่กระโปรง ต่างหู แต่งหน้า ผู้ชายต้องใส่กางเกง ห้ามแต่งหน้า และถ้าเกิดผู้ชายแต่งหน้าคน
ภายนอกก็จะคิดว่าเขากลุ่ม LGBTQ+ ทันที ซึ่งดิฉันมองว่าทําไมล่ะ? ทําไมระบบระเบียบ ค่านิยม
หรือประเพณีเหล่านี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในสังคมไทยเป็นจํานวนมาก แม้ว่าในปัจจุบันนี้ประเทศไทยจะ
เปิดรับการแต่งกายที่เป็น Unisex (เสื้อผ้าที่ใส่ได้ทุกเพศ) แต่ดิฉันมองว่ามันยังเปิดกว้างแค่ใน
กรุงเทพมหานคร หรือเมืองใหญ่ๆ ท่ีค่อนข้างเจริญแล้ว และคนในสังคมมีแนวคิดที่ทันสมัย ถ้าหาก
จะมองหาแนวคิด หรือลักษณะการแต่งกายแบบ Unisex ในต่างจังหวัดค่อนข้างเป็นไปได้ยาก
วิชา SW 465 การศึกษาเพ่ือการพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ป่นิ หทัย หนนู วล 33
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
เนื่องจากต่างจังหวัดจะมีความเป็นอยู่ที่ยึดแบบแผนเดิมๆ ยึดสิ่งที่เป็นสังคมไทยมาตั้งแต่ในอดีต อีก
อย่างก็มีปัจจัย ความคิด มุมมอง หลายๆ อย่างที่คนต่างจังหวัดมองต่างจากคนในกรุงเทพฯ ขอ
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของดิฉัน เช่น ผู้หญิงที่แต่งกายดูดีใส่ชุดเดรส หรือกระโปรง ไป
เดินตลาด คนก็จะเริ่มมองและทําหน้าตาแปลกๆ และอาจจะคิดสงสัยว่าจะแต่งสวยไปทําไม แค่มา
เดนิ ตลาด เปน็ ต้น ถา้ เกิดเจอผู้ชายใส่กระโปรงก็คงจะสงสัยย่งิ กวา่ น้อี ีก
อีกอย่างหนึ่ง แม้ว่าในกรุงเทพฯ จะเปิดกว้างมากๆ เรื่องกายแต่งกายทุกเพศ แต่ก็ยังมีกลุ่ม
ผู้สูงอายุที่ยังมีความคิดคล้ายๆ คนต่างจังหวัด เพราะพวกเขาโตมากับการที่ประเทศไทยมีขนบธรรม
เรียมประเพณี เป็นผู้หญิงต้องใส่กระโปรง เป็นผู้ชายต้องใส่กางเกง เลยอาจจะยังไม่เปิดกว้างในเรื่อง
นี้สักเท่าไหร่ ดิฉันไม่ทราบว่าใครเป็นคนตีกรอบความคิดเรื่องนี้ แต่หนึ่งในสถาบันทางสังคมที่ตี
กรอบการแต่งกายให้คนในสังคมคงไม่พ้นจากสถาบันโรงเรียนตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงมัธยม
โรงเรียนมีระเบียบเรื่องการแต่งกายโดยยึดตามเพศสภาพตั้งแต่กําเนิด นักเรียนเพศชายใส่กางเกง
นักเรียนเพศหญิงใส่กระโปรง ซึ่งก็ไม่ได้สอบถามนักเรียนว่าอยากใส่เสื้อผ้าแบบนี้หรือไม่ โรงเรียนได้
ตกี รอบความคดิ ของนักเรยี นผา่ นการแตง่ กายด้วยชดุ นกั เรียนท่ีทุกคนกาํ ลังสวมใส่อยู่ในทกุ วัน
ซงึ่ การตีกรอบความคดิ จํากัดความคิดผ่านระบบระเบียบ และอ้างว่าเป็นวินัยจะทําให้ตัวเด็ก
นักเรียนเองไม่กล้าที่จะคิดนอกกรอบ หรือคิดแปลกแยกจากคนอื่น ไม่เพียงแต่เรื่องการแต่งกาย
ความคิดของเด็กอาจถูกจํากัดอีกหลายๆ เรื่อง ที่กําลังคิดแปลกไปจากสังคม ทั้งพฤติกรรม การเสพ
สื่อ การใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งความชอบส่วนตัวของตนที่แปลกและแตกต่างจากคนอื่น จนบางคร้ัง
การตีกรอบความคิดเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อชีวิต การตัดสินใจ ความชอบของนักเรียนในอนาคต
บางคนอาจไม่มีความมั่นใจที่จะแต่งตัวสวยๆ ไม่มีความมั่นใจที่จะคิดแตกต่างจากคนอื่น จนตัวเองมี
พฤติกรรมทีเ่ ก็บตัว ไมก่ ลา้ แสดงออก เปน็ ตน้
จากภาพข้างต้นจะกล่าวถึงการแต่งกายของชายหญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่กําลังเป็นเทรนด์อยู่ใน
ขณะนี้ เพราะวัยรุ่นยุคใหม่ไม่ได้สนใจเรื่องเพศมากนัก จนกล่าวได้ว่าไม่มีใครอยากให้เกิดการแบ่ง
เพศในปัจจุบัน จนอยากลบคํานําหน้าชื่อออกจากชื่อในบัตรประชาชน เพราะตอนนี้เกิดรสนิยมใหม่ๆ
ขึ้นเยอะมากในสังคมจนไม่สามารถบรรยายว่าเพศนั้นคือเพศใด การแต่งกายก็เช่นกัน ไม่จําเป็นต้อง
ไม่จํากัดเพศ จํากัดวัย ทุกคนสามารถส่วนใส่อะไรก็ได้ที่ตนอยากจะใส่ตามความชอบส่วนตัวโดยไม่
ต้องกงั วลว่าสิง่ ที่ตนเองกาํ ลงั สวมใส่อยู่มันผดิ หรือมนั แปลกแยกแตกตา่ งจากสงั คม
ความแตกต่างเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วในสังคม ทั้งแตกต่างทางความคิด ทัศนคติ
ความชอบ ค่านิยม รสนิยม สังคม ครอบครัว หรือแม้กระทั่งโรงเรียนก็ยังมีความแตกต่าง ซึ่งดิฉันจะ
ขอยกทฤษฎคี วามแตกต่างระหว่างบคุ คลเขา้ มาพดู ถึงประเด็นนี้
ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล Melvin L. DeFleur7 กล่าวไว้ว่าผู้รับสารแต่ละบุคคลมี
ความแตกต่างกัน ในทางจิตวิทยา เช่น ทัศนคติ ค่านิยมและความเชื่อที่แตกต่างกัน จึงได้เสนอ
หลักการ พืน้ ฐานของทฤษฎคี วามแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลไว้ดงั นี้
1. บุคคลมคี วามแตกต่างกันอยา่ งมากในองค์ประกอบด้านบุคลกิ ภาพและสภาพ จิตวิทยา
2. ความแตกต่างกันดังกล่าวนี้บางส่วนมาจากความแตกต่างทางชีวภาพหรือทาง ร่างกายของ
แตล่ ะบคุ คล แตส่ ่วนใหญม่ าจากความแตกต่างทเ่ี กดิ จากการเรียนรู้
3. บคุ คลทอ่ี ยภู่ ายใตส้ ภาพแวดล้อมต่าง ๆ กัน จะได้รับการเรยี นรจู้ ากสภาพแวดลอ้ ม ตา่ ง ๆ กนั
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพ่อื การพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ปิน่ หทัย หนนู วล 34
คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
4. การเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันทําให้บุคคลมีทัศนคติ ค่านิยม ความเช่ือ
และบคุ ลิกภาพทแ่ี ตกตา่ ง
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ความแตกต่างเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่างที่รวมกันที่ตัวบุคคลเจอตั้งแต่เล็ก
จนโต ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมของบุคคลเกิดความแตกต่างกัน สิ่งสําคัญที่ต้อวทําความเข้าใจคือ ทุก
คนต้องไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์หรือความสามารถในความต้องการที่จะแตกต่างของบุคคล
เพราะหากทุกคนามารถเข้าใจถึงความแตกต่างทางด้านรสนิยม ความคิด ทัศนคติ ค่านิยม สังคมก็
จะเกิดความแปลกใหม่ที่จะเข้ามานอกเหนือจาะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมๆ ที่มีมา
ต้ังแตป่ างก่อน
จากทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล สิ่งแวดล้อม (Environment) ถือเป็นปัจจัย
ที่สําคัญที่จะทําให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลในสังคม ทั้งทางด้านการศึกษา ในความเป็นจริง
แล้วโรงเรียนเป็นตัวตีกรอบความคิด ทัศนคติ ค่านิยม ฯลฯ ของนักเรียนที่จะสั่งสอนให้นักเรียนโตไป
ตามแบบแผนของความเป็นไทย ซึ่งในทางกลับกัน โรงเรียนควรจะเป็นสถาบันที่ส่งเสริมความ
ต้องการ ความชอบ ความรใู้ นการทําความรู้จักตวั เองของนักเรยี น ใหน้ ักเรียนไดร้ บั โอกาสทจี่ ะเตบิ โต
ไปเป็นคนที่ดีในสังคม ต่อมาด้านประสบการณ์ บุคคลทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และจาก
การเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้นจะสอนให้ตัวเรามีลักษณะความคิด และพฤติกรรมที่มีพื้นฐาน
จากประสบการณืที่ตนเองเคยพบเจอ หากเรียนรู้ที่จะทําตามขนบธรรมเนียมแบบแผนของไทย ก็จะ
ยังเป็นธรรมเนียมแบบเก่าๆ ที่มีมาตั้งแต่ปางก่อน แต่หากเรียนรู้ที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ สังคมก็จะมีความ
แปลกใหม่ และน่าสนใจมากขึ้น
โดยข้อเสนอที่ดิฉันอยากจะเสนอจะแบ่งเป็น 2 ส่วนค่ะ โดยส่วนแรกขอเสนอไปยัง
สถาบันการศึกษาที่กําบังตีกรอบความคิดนักเรียนอยู่ โรงเรียนคือสิ่งที่ล่อหลอมเด็กที่ใกล้ชิดกับเด็ก
มากที่สุด หากโรงเรียนตีกรอบและจํากัดความคิดเด็ก เด็กนักเรียนเองก็จะไม่สามารถคิดนอกกรอบ
หรือทําอะไรที่ลํ้าไปมากกว่านั้นได้ ไม่เพียงแค่เรื่องการแต่งกาย แต่เรื่องทรงผม การแต่งหน้าก็
เช่นกัน โรงเรียนกําลังจํากัดการค้นหาตัวเองของนักเรียน ซึ่งการกระทําดังกล่าวจะส่งผลให้นักเรียน
ค้นพบตัวเองช้า ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยากทําในอนาคตคืออะไร และหากทําอะไร
แตกต่างจากเพื่อนไ นิดนึง ก็จะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทํานั้นผิดหรือเปล่า อีกทั้งยังส่งผลให้เด็กเสียความ
มั่นใจในตนเอง ส่วนสุดท้าย ดิฉันขอกล่าวถึงบุคคลในสังคมไทย ที่มีความคิดค่อนข้างล้าหลังและยัง
ไม่เปิดรับเรื่องเพศ หรือความแตกต่างอื่นๆ ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องเพศไม่ได้สําคัญขนาดนั้น แค่
เป็นคนดี เคารพผู้อื่น เคารพตนเอง เสียสละ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นก็เพียงพอแล้ว เพศไหน
จะแต่งกายยังไง มีความชอบยังไงก็เป็นเรื่องความชอบส่วนตัว คนภายนอกในจําเป็นต้องไปตัดสิน
เขาเพยี งเพราะผู้ชายใส่กระโปรง แล้วเขาต้องเปน็ LGBTQ+
ภาพสื่อข้างต้นและบทความที่นักศึกษาเขียน ได้สื่อถึงความความแตกต่างที่เกิดขึ้นใน
สังคมไทย ไม่เพียงแต่เรื่องเพศ เรื่องการแต่งกาย แต่ยังมีอีกหลายๆ เร่ืองที่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาพูด ทั้ง
ความแตกต่างทางการเมือง ความคิด ความชอบ สังคม วัฒนธรรม ที่เป็นประเด็นใหญ่ๆ ในสังคม
เห็นได้ว่า ความแตกต่างจะไม่ทําร้ายใครหากเราเคารพสิทธิซึ่งกันละกัน อยากสวมใส่อะไร อยากทํา
อะไรก็ทําให้เต็มที่ และคุณไม่จําเป็นต้องเสียความมั่นใจไปเพียงเพราะคุณแตกต่างจากผู้อื่น แค่เป็น
ตัวของตัวเองกพ็ อแลว้ เหมอื นกบั ประโยคในภาพ “It’s okay to be different. Just be yourself.”
วิชา SW 465 การศึกษาเพ่อื การพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ ้สู อน ผศ.ดร.ป่นิ หทยั หนนู วล 35
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
อา้ งองิ
Sukachan. (2564). ความแตกต่างระหว่างบุคคล. สืบค้นเมื่อ 20 สิงหาคม 2565. จาก Error!
Hyperlink reference not valid.
ขอบคุณภาพจากงาน Love Letter to Bangkok at Central World ถ่ายโดย ธนาภา เกบุตร
วิชา SW 465 การศึกษาเพื่อการพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ปิน่ หทัย หนูนวล 36
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
นางสาว ธนั ยพร เชย่ี วธัญญกจิ 6305680578
ที่มา : อรุณ วัชระสวสั ดิ์ (มตชิ นสดุ สัปดาห์ ฉบับวนั ที่ 21-27 เมษายน 2560)
วิชา SW 465 การศึกษาเพอื่ การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผสู้ อน ผศ.ดร.ปิ่นหทยั หนนู วล 37
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
จากภาพการ์ตูนข้างต้น ได้นําเสนอภาพของต้นไม้ที่ถูกตัดเป็นชั้น ๆ ต่างระดับต่อกันไป
เรื่อยจนถึงชั้นสุดท้ายเป็นต้นไม้ขนาดเล็กที่งอกออกมาจากตอไม้ชั้นบนสุด ข้างๆตอไม้มีป้ายเขียน
ว่า "ต้นประชาธิปไตย" สะท้อนให้เห็นภาพของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทย
ว่า ระบอบประชาธิปไตยของไทยมีอุปสรรคและปัญหาเนื่องจากถูกแทรกแซงจากกระบวนการ
ที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย จากผู้มีอํานาจ ส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยถูกทําลาย
จนไม่สามารถเติบโตตามธรรมชาติ โดยใช้การเปรียบเทียบกับต้นไม้ที่ถูกตัดโค่นเหลือแต่ตอต่อกัน
ไปเร่ือย ๆ เหลือเพียงยอดไม้ส่วนบนท่ียงั เปน็ ต้นขนาดเล็ก
สาเหตุที่เลือกภาพนี้ เพราะสอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน
ที่เราสามารถเห็นได้ โดยทุกๆคนในสังคมไทยนั้นเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะการเมือง
เป็นเรื่องของทุกคน ปัญหาที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีสาเหตุมาจาก
การเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอํานาจ เป็นเรื่องการใช้อํานาจในการจัดสรรสิ่ง
ที่มีคุณค่าให้กับสมาชิกในสังคม ที่ใดมีคนตั้งแต่สองคนขึ้นไป ที่นั่นมีการเมือง ในครอบครัว
กม็ ีการเมอื ง ในโรงเรยี นก็มีการเมอื ง มกี ารรวมกลมุ่ กนั เม่อื ไรเม่อื น้ันก็มีการเมือง
สิ่งที่มีคุณค่าในที่นี้ หมายถึงสิ่งที่คนในสังคมต้องการ หรือมีความจําเป็นต้องมี ต้องใช้
อาจจะเป็นตําแหน่งหน้าที่การงาน งบประมาณ บริการสาธารณะสุข ถนนหนทาง
ไฟฟ้า นํ้าประปา ฯลฯ การจ่ายเบี้ยยังชีพ ให้ผู้สูงอายุ ให้คนพิการ ให้การศึกษาขั้นพื้นฐานฟรี
กเ็ ป็นการใช้อาํ นาจทางการเมือง เปน็ ผลของการตัดสนิ ใจทางการเมืองทง้ั สนิ้
การเมืองในที่นี้หมายถึง ระบบการใช้อํานาจบริหารจัดการให้พวกเราทุกคนมีชีวิตที่ดี
มีความสุข มีคุณค่า มั่นคง ปลอดภัย มีสิทธิ และเสรีภาพได้รับความยุติธรรม ในกิจกรรม
ประจําวนั ของเราวนั นั้นมกี ารเมอื ง
เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง เช่น อาบนํ้า ล้างหน้า แปรงฟัน ก็ต้องมีการเมืองเข้ามาจัดการ
ให้มีนํ้าประปาที่สะอาด สะดวก และไม่แพงเกินไป ต้องมีการเมืองเข้ามาควบคุมคุณภาพของสบู่
ยาสีฟัน ยาสระผม และเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ จะรับประทานอาหาร ก็ต้องมีการเมืองเข้ามา
ควบคุมดูแลให้อาหารสะอาด ไม่แพง ไม่มีสารปนเปื้อน มีคุณภาพ ราคา จะเดินทางไปเรียน
หนังสือหรือไปทํางานก็ต้องมีการเมืองเข้ามาจัดการให้มีถนนหนทาง การคมนาคมขนส่งที่สะดวก
ปลอดภัย ราคาไม่แพงและดูแลเรื่องการจราจร จะเล่นกีฬาก็ต้องมีการเมืองเข้ามาจัดการให้มี
สนามกฬี า อุปกรณก์ ฬี า จะเรยี นหนงั สอื กต็ อ้ งมีการเมืองเขา้ มาจดั การศึกษาโรงเรียน ครู หลกั สูตร
หนังสือเรียนให้มีคุณภาพและเป็น ประโยชน์สําหรับทุกคน จะดูโทรทัศน์ ก็ต้องมีการเมืองเข้ามา
จัดการให้มีรายการที่ดี ไม่มีโฆษณามากเกินไป การใช้อินเทอร์เน็ตก็ต้องมีการเมืองเข้ามา
จดั ระบบโครงข่ายใหม้ ีคณุ ภาพ ครอบคลมุ และราคาไมแ่ พง
จะเห็นว่าการเมืองนั้น เกี่ยวข้องกับวิถีการดําเนินชีวิตของพลเมืองทุกคน ไม่ทางตรงก็
ทางอ้อม เมื่อเป็นเช่นนี้ การแสวงหาอํานาจทางการเมือง การต่อสู้ทางการเมืองเพื่อใช้อํานาจทาง
การเมืองจงึ เปน็ เร่ืองปกตขิ องทกุ สงั คม
วชิ า SW 465 การศึกษาเพือ่ การพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ป่นิ หทยั หนูนวล 38
คณะสงั คมสงเคราะหศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
จะเห็นว่าตําแหน่งทางการเมืองนั้น มีทั้งพวกที่ได้มาโดยสุจริต และพวกที่ได้มาโดยใช้
วิธีการทุจริต แน่นอนว่าหากได้ตําแหน่งทางการเมืองโดยสุจริต ไม่ฉ้อฉล ก็มีความชอบธรรมใน
การที่จะจัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าให้กับสมาชิกในสังคม ในทางกลับกัน หากได้อํานาจมาด้วยวิธีการซื้อ
เสียง ทุจริตฉ้อฉล จะอ้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจได้ยาก ความเป็นประชาธิปไตยก็โดน
ทาํ ลายไปตามความหมายทตี่ คี วามได้จากในรปู ภาพ
การลงคะแนนเลือกใคร = การมอบอาํ นาจให้เขาเข้าไปดแู ลการเงนิ ของประเทศ
การลงคะแนนเลือกใคร = การมอบอาํ นาจให้เขาไปดแู ลผลประโยชน์อน่ื ๆ อกี มากมาย เชน่
การอนุญาตและสัมปทานในกิจการต่าง ๆ รถเมล์ รถตู้ รถโดยสาร รถไฟ เครื่องบิน
โรงโม่หิน ดูดทราย ขุดแร่และพลังงาน คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ ที่มอง
ไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ รวมถึงความยุติธรรม สิทธิและเสรีภาพ และผลประโยชน์ต่าง ๆ
อีกมากมายมหาศาลทลี่ ว้ นมผี ลกระทบตอ่ พวกเราทั้งส้นิ
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองเมื่อได้รับการเลือกตั้งมาแล้ว มักจะอ้างความชอบธรรมว่า
ตนเข้าสู่ตําแหน่งตามวิถีทางประชาธิปไตย ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยเสียงข้างมาก
จงึ มกั จะทาํ อะไรก็ได้ ทีต่ นอยากจะทาํ โดยไม่คาํ นึงถึงความรู้สกึ ของประชาชน
ความจริงความชอบธรรมนั้น นอกจากจะเกิดจากการได้ตําแหน่งโดยสุจริตแล้ว ยังจะต้องใช้
อํานาจโดยสจุ ริตด้วย การใชอ้ าํ นาจเพ่อื ประโยชน์ส่วนตนและพวกพอ้ ง จะอา้ งความชอบธรรมไมไ่ ด้
ประชาธิปไตยนั้นผลประโยชน์ของประชาชนต้องเป็นใหญ่ นักการเมืองที่ใช้อํานาจ
เพื่อประโยชน์สว่ นตนและพวกพอ้ ง นอกจะไมช่ อบธรรมแลว้ ยงั ไมเ่ ปน็ ประชาธปิ ไตยอกี ด้วย
การใช้อํานาจโดยมิชอบด้วยทํานองคลองธรรมของนักการเมือง เป็นปัจจัยสําคัญที่สร้าง
ความวุ่นวายทางสังคม ส่งผลกระทบต่อการดําเนินชีวิตของคนไทยทุกคน ดังภาพที่สุดปลายยอด
ทเ่ี ปรียบเสมือนความเป็นประชาธิปไตยที่แทจ้ รงิ น้นั เหลืออย่เู พยี งเลก็ น้อยเทา่ น้นั
แต่ในปัจจุบันก็มีคนไทยส่วนหนึ่ง ที่ยังคิดว่าการเมืองเป็นเรื่องของนักการเมือง คนที่ไม่ใช่
นักการเมืองไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ปล่อยให้การเมืองแก้ปัญหาด้วยนักการเมือง เป็น
การฝากชะตากรรมของตนและของประเทศไว้กับนักการเมือง และนักการเมืองและผู้ใหญ่หัวเก่า
ส่วนใหญ่กเ็ ช่ืออยา่ งน้นั
การที่ยอมให้ผู้มีอํานาจใช้อํานาจในการกดให้คนในสังคมอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ตั้งเพ่ือ
อํานวยความสะดวกและเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องของตนนั้น สําหรับคนที่เคยมี
ประสบการณ์ของการถูกกดขี่มา เมื่ออ่านงานของเปาโล เฟรเร จะเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งถึงระบบ
การศึกษาและวัฒนธรรมที่ครอบงํา การศึกษาแบบการธนาคารที่เป็นการใส่ข้อมูลหรือการฝาก
ความรู้นั้นมีอยู่จริง และเป็นระบบการศึกษาที่ทําให้เราไม่สามารถคิดอะไรที่เป็นของตัวเองได้ ต้อง
วิชา SW 465 การศกึ ษาเพื่อการพฒั นา Section 450001 อาจารยผ์ สู้ อน ผศ.ดร.ปิ่นหทยั หนนู วล 39
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
ทําตามที่กําหนด ต้องเคารพ ทําตามที่สิ่งเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ปลูกฝังกันมา สืบทอดกันมา
ยาวนาน ห้ามคิดตา่ ง หา้ มสงสัย ซึ่งเมื่อผู้ถูกกดขี่
ในงานเขียนของเฟรเรเริ่มตันด้วยการเชื่อมโยงการกดขี่เข้ากับความเป็นมนุษย์เขาเสนอว่า
ผู้กดขี่นั้นปรารถนาจะรู้สึกเป็นมนุษย์มากขึ้น ทว่าแท้จริงแล้วการลดทอนความเป็นมนุษย์ของคน
อื่นไม่ช่วยให้ผู้กดขี่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้นแต่อย่างใด เขากล่าวว่าในสังคมแห่งการกดขี่นั้น มี
เพียงผู้ถูกกดขี่เท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ กระนั้นผู้ถูกกดขี่จําต้องเผชิญกับภาวะทางสองแพร่ง
ทางหนึ่งคือตระหนักว่าการใช้ชีวิตอย่างไร้เสรีภาพก็เท่ากับไร้ชีวิตทว่าอีกทางหนึ่ง พวกเขา
หวาดกลัวเกินกว่าจะเผชญิ หนา้ กบั มนั ท้ังนเ้ี พราะ
พวกเขากําเนิดและเติบโตมาในสังคมลําดับชั้น พวกเขาไม่เคยมีชีวิตเป็นของตัวเองไม่เคยอยู่ได้
ด้วยตัวเอง แต่เป็นชีวิตที่ต้องพึ่งพิงอาศัยอยู่กับความเมตตาจอมปลอมของชนชั้นนําผู้กดขี่ เพราะ
ชีวิตมนุษยต์ อ้ งเลือก เฟรเรตัง้ คาํ ถามว่าผถู้ ูกกดขี่จะเลือกหนทางที่ดที ส่ี ุดแกต่ นเองได้อยา่ งไร ?
การวางเฉยทางการเมือง หรือการไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมือง หากถือคติอย่างนี้ต่อไป ปัญหา
ต่างๆจะย่งิ หนกั ขึน้ และมากขึน้ จนยากท่จี ะแก้ไข
การไม่รู้เรื่องการเมืองนั้นนับว่าแย่ที่สุดในบรรดาการไม่รู้เรื่องอื่น ๆ ทั้งหมดคนที่ไม่รู้เรื่อง
การเมืองนั้นไม่ได้ยิน ไม่พูด ทั้งยังไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ เขาไม่รู้เรื่องค่า
ครองชีพ ราคาเมล็ดถั่ว ปลา แป้ง (ข้าวปลาอาหาร) ค่าเช่าบ้าน ค่ารองเท้า รวมถึงค่ายา ค่า
รักษาพยาบาล ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นกับการตัดสินใจทางการเมืองทั้งสิ้น คนที่ไม่รู้เรื่องการเมืองน่ัน
แหละที่ก่อให้เกิดปัญหาโสเภณี เด็กถูกทอดทิ้ง รวมถึงโจรที่อันตรายที่สุด ซึ่งก็คือผู้นําประเทศ
นกั การเมืองท่เี ลว ทุจรติ และเปน็ ทาสรับใชบ้ รษิ ทั ธุรกิจ นายทนุ ในประเทศและบรษิ ทั ขา้ มชาติ
จึงเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทุกคนจะต้องคิดว่า การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ปล่อย
ให้การเมืองเป็นแค่เรื่องของนักการเมืองเพียงฝ่ายเดียว ทุกคนจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมทางการ
เมือง โดยเริ่มตั้งแต่สนใจติดตามข่าวสารทางการเมือง พูดคุยประเด็นทางการเมือง เข้าร่วมชุมนุม
ทางการเมือง ช่วยขับเคลื่อนสังคมให้ดําเนินต่อไปในทางที่ถูกที่ควร ซึ่งจะก่อให้เกิดการเป็น
ประชาธปิ ไตยไดอ้ ยา่ งแท้จรงิ
อา้ งองิ
เปาโล เฟรเร. (2559). การศึกษาของผู้ถูกกดขี่ แปลจาก Pedagogy of the Oppressed
โดย ภาคิน นิมมานนรวงศ์, นลัท ตั้งพรพิพัฒน์ และวิจักขณ์พานิช. กรุงเทพฯ : ปลากระโดด. 256
หนา้ .
Watcharasawat, A. (2018, April). Arun Cartoon. Matichon Weekly, 37
(1916), 29. (In Thai)
วิชา SW 465 การศึกษาเพอ่ื การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ปนิ่ หทัย หนนู วล 40
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
นางสาว ศริ ภสั สร จงสาํ ราญ 6305681139
วชิ า SW 465 การศกึ ษาเพ่อื การพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผ้สู อน ผศ.ดร.ปิน่ หทัย หนนู วล 41
คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
ภาพนี้ได้สะท้อนให้เห็นมุมมองในหลายมิติที่ผู้มีอํานาจทางสังคมรวมไปถึงกลุ่มนายทุน
ในการพยายามแสดงให้เห็นถึงมุมมองที่พวกเขาเหล่านี้มีต่อกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือ
ประสบปัญหาในด้านต่างๆหรือเรียกได้ว่ามุมมองที่มีต่อ ‘ผู้ที่มีอํานาจและโอกาสน้อยกว่าตน
’ ซึ่งภาพที่ได้นํามานี้เป็นภาพที่นํามาจากวิดิโอโฆษณาของบริษัท สิงห์ คอร์ปเปอเรช่ัน
โดยหลังจากโฆษณาตัวนี้ปล่อยออกมาก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นจํานวนมากจากคนในสังคม
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อโซเชียลและหลังจากนั้นเพียงไม่นานทาง
บริษัท สิงห์ คอร์ปเปเรชั่นก็ได้ทําการลบโฆษณาดังกล่าวออกไป แต่กระนั้นคนในสังคมก็ยังคง
วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องถึงความไม่เหมาะสมของโฆษณาชิ้นนี้ โดยเนื้อหาของโฆษณานี้
ต้องการจะสื่อให้คนในสังคมได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณโดยใช้ถุงพระราชทานเป็นสื่อกลาง
ในการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมกับความห่วงใยของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อ
ประชาชน ทั้งโอกาสในด้านการศึกษา หรือที่เห็นดังภาพคือเหตุการณ์อุทกภัยที่มีการแจกถุงยังชีพ
‘พระราชทาน’ ซึ่งเหตุผลในการเลือกภาพนี้นอกจากจะได้เห็นสิ่งที่กลุ่มนายทุนนั้นมองประชาชน
คนอื่นๆ และเคยเป็นผู้ประสบภัยนํ้าท่วมและต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆด้วยตัวเองแล้วยังได้
สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของคนในสังคมปัจจุบันที่มีต่อการถ่ายทอดโฆษณาหรือเรื่องราว
ในลักษณะนี้ว่าไม่เหมาะสมและไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดและในขณะเดียวกันช่วงเวลาที่มีการ
ปล่อยโฆษณาตัวนี้ก็เป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์นํ้าท่วมที่อําเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงรายซึ่งส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก แม้จะผ่านไปหลายวัน
ประชาชนก็ยังคงไม่ได้รับความช่วยเหลือและแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสมจากภาครัฐ
ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็เปรียบเสมือนการเติมเชื้อเพลิงให้คนในสังคมตระหนักและวิพากษ์วิจารณ์โฆษณา
ดังกล่าวหนักขึ้นเมื่อได้เห็นเหตุการณ์จริงกับสิ่งที่สื่อหรือผู้มีอํานาจต้องการจะนําเสนอ การที่ได้
เห็นภาพในลักษณะนี้หากมองเพียงผิวเผินก็คงเป็นเพียงโฆษณาตัวหนึ่งที่พยายามนําเสนอให้คน
ในสังคมเห็นถึงความสุขเล็กๆที่สามารถพบได้แม้จะกําลังเผชิญอยู่กับปัญหาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่
ทั้งองค์ประกอบต่างๆของภาพ การนําตัวละครต่างวัยสองคนมานั่งทางข้าวบนหลังคาบ้านที่กําลัง
ถูก ‘นํ้าท่วม’ พร้อมกับหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมประโยคสําคัญอย่าง ‘มื้อที่สุขที่สุด’ โดย
หลังจากที่ได้มองภาพนี้ผ่านกรอบการพิจารณาบนพื้นฐานของความเป็นจริงแล้ว การที่ต้องตก
เป็นผู้ประสบปัญหาอุทกภัยนั้นจะต้องเผชิญกับปัญหาในด้านอื่นๆตามมาอีกมากมาย ทั้งเรื่องของ
ไฟฟ้า สภาพความเป็นอยู่ เครื่องนุ่งห่ม ปัญหาจากสัตว์อันตรายหรือโรคติดต่อที่มาจากนํ้า ปัญหา
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้ประสบภัยจริงๆต้องพบเจอ ซึ่งต้องยอมรับว่าในอดีตโฆษณาใน
ลักษณะนี้เป็นสิ่งที่สังคมยังคงมองว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงข้อดีโดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ไม่เคย
ประสบปัญหาในลักษณะนั้นๆ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมเปลี่ยนส่งผลให้เกิด
การตระหนักรู้และวิพากษ์วิจารณ์สื่อในมุมมองต่างๆมากขึ้น สําหรับภาพนี้ในปัจจุบันสามารถ
เรียกได้ว่าเป็นการ ‘Romanticize’ หรือนิยามในภาษาไทยคือการมองสิ่งต่างๆให้เป็นเรื่องสวยงาม
หรือน่ายวนใจกว่าความเป็นจริง ซึ่งก็ยังคงมีคนในสังคมอีกจํานวนมากที่มักนําเหตุการณ์หรือ
ปัญหาต่างๆมาหาข้อดีหรือให้กําลังใจคนที่ประสบปัญหานั้นๆโดยการนําข้อดีเพียงเล็กน้อยออกมา
กลบปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งเขาเหล่านั้นอาจจะมองได้ว่าเป็นการให้กําลังใจแต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้คํานึงถึง
สิ่งที่ผู้ประสบปัญหาจริงๆต้องเผชิญซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติแต่คนบางกลุ่มในสังคมกลับมองว่าเป็น
เรื่องปกติ มองว่าเป็นการให้กําลังใจหรือพร้อมจะแสดงออกในการนําเสนอสื่อที่ต้องการจะ
วชิ า SW 465 การศึกษาเพื่อการพัฒนา Section 450001 อาจารย์ผู้สอน ผศ.ดร.ปนิ่ หทยั หนนู วล 42
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคการเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565
Empower ให้คนในสังคมให้มองโลกในแง่ดี หาข้อดีในปัญหาต่างๆแต่กลับเป็นการสอนให้สังคม
มองเรื่องผิดปกติให้กลับกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งการที่ผู้มีอํานาจและสื่อใหญ่มีแนวคิดในลักษณะน้ี
แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อคนในสังคมโดยถึงแม้จะมีการตระหนักรู้ที่มากขึ้นแต่หากผู้มี
อํานาจยังคงส่งมอบชุดความคิดในลักษณะนี้ก็ย่อมเกิดปัญหาในสังคมตามมา นอกจากนี้ยังคงมี
คนในสังคมจํานวนมากเชื่อในสิ่งที่สื่อนําเสนอโดยขาดวิจารณญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่
นําเสนอผ่านทางโทรทัศน์ซึ่งเป็นส่ิงที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างวัยผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน
และมีตัวเลือกในการรับสารที่น้อยกว่าวัยหนุ่มสาวที่สามารถใช้เทคโนโลยีหรือเครื่องมืออื่นๆในการ
พิจารณาข่าวสารประกอบกัน การติดตามสื่อหรือข่าวต่างๆจากโทรทัศน์จึงเรียกได้ว่าเป็นสิ่งท่ี
สะดวกสําหรับคนในวัยผู้สูงอายุและสําหรับผู้มีอํานาจก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องง่ายในการ
ประชาสัมพันธ์หรือนําเสนอชุดความคิดที่ผิดๆเช่นเดียวกัน ในทางกลับกันสิ่งที่สังคมหรือผู้เสพส่ือ
สะท้อนกลับจากการที่โฆษณาตัวนี้เผยแพร่ลงในแพลตฟอร์ตอื่นๆทางโซเชียลมีเดียกลับแตกต่าง
กันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ มีการตอบโต้และวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่
เหมาะสมดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งนอกจากสังคมจะมีความตระหนักรู้ที่มากขึ้นแล้วยังกว่าวได้ถึง
การมีวิจารณญาณเสพสื่อจากแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งที่สื่อนําเสนอเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
และยังได้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การพูดคุย บอกเล่าประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นจาก
การเป็นผู้ประสบภัยนํ้าท่วมถึงปัญหาต่างๆเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์จริงและยังมีการตั้งข้อ
สงสัยเกี่ยวกับภาพที่สื่อแสดงออกมาว่าหากสามารถเข้าถึงตัวผู้ประสบภัยและนําถุงยังชีพไปมอง
ให้ได้แต่ทําไมถึงไม่มีการช่วยเหลือผู้ประสบภัยไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมหรือไปในที่ที่มีสิ่งอํานวย
ความสะดวกและปลอดภัยมากกว่านี้เพราะหากอยู่ใกล้แหล่งนํ้าที่กําลังท่วมสูงในลักษณะนี้ก็ถือได้
ว่าเป็นอันตรายอย่างมาก การแสดงความคิดเห็นและการแลกเปลี่ยนในลักษณะนี้เป็นผลจากการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคม ชุดความคิดที่ถูกส่งต่อมาบางส่วนใช้ไม่ได้กับคนในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งความตระหนักรู้ในเรื่องของความเท่าเทียม มุมมองที่สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องของการลดถอน
ศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ การถูกกดทับจากกลุ่มผู้มีอํานาจ กลุ่มนายทุนหรือชนชั้นสูงที่
มองคนไม่เท่ากันและเลือกที่จะใช้การทําบุญ การบริจาคสิ่งของ การมอบเงินทุนซึ่งแสดงออกให้
เห็นว่าเป็นการหยิบยื่นโอกาสแต่ท้ายที่สุดผู้มีอํานาจต่อรองที่น้อยกว่าก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ใน
การสําเร็จความใคร่ทางศีลธรรมให้กับผู้ที่มีอํานาจมากกว่าและต้องการให้พวกเขาสํานึกต่อ
บุญคุณที่ตนนั้นหยิบยื่นให้และข้อนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสําคัญที่คนในสังคมตั้งคําถามถึงภาพสื่อหรือ
โฆษณาตัวนี้ที่ถูกปล่อยออกมาในเมื่อโอกาสต่างๆทั้งด้านการศึกษา การได้รับความช่วยเหลือเมื่อ
เป็นผู้ประสบภัยทั้งภัยหนาว ผู้ประสบปัญหาอุทกภัยหรือภัยต่างๆท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติต่างก็เป็น
สิทธิขั้นพื้นฐานที่พลเมืองพึงได้รับการช่วยเลือในการจัดสรรอุปกรณ์ ปัจจัย 4 หรือสิ่งของยังชีพ
อื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยและนําเสนอในเรื่องของ
หลักสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมแต่เหตุใดจึงปล่อยให้เรื่องของการได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม
กันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้และต้องรอคอยผู้ที่มีอํานาจมาหยิบยื่นให้ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นส่ิง
ที่ภาครัฐควรจะต้องจัดสรรให้ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมและเหมาะสม การชูประเด็นในเรื่อง
บุญคุณกับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ควรได้จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันและไม่ควรที่จะนํามา Romanticize
หรือมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ปกติในสังคม โดยนอกจากจะเป็นการสร้างค่านิยมผิดๆให้กับสังคม
แล้วการกระทําในลักษณะนี้ยังถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งคนบางส่วนในสังคมอาจจะ
วชิ า SW 465 การศึกษาเพอ่ื การพัฒนา Section 450001 อาจารยผ์ ู้สอน ผศ.ดร.ปิน่ หทยั หนนู วล 43
คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ภาคการเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
มองว่าเป็นเรื่องดีที่มีคนมาหยิบยื่นโอกาสให้เพราะสําหรับพวกเขาการที่ไม่สามารถเข้าถึงโอกาส
หรือสิทธิที่พึงได้รับจากรัฐก็ถือว่าเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดแล้วแต่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่การแก้ปัญหาในเชิง
โครงสร้างของรัฐที่พยายามแก้ปัญหาแบบผักชีโรยหน้าทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งที่สําคัญ
อย่างการศึกษา รัฐมีแนวทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเหมือนกับกลุ่มนายทุนที่เลือกทําบุญกับคนจน ซึ่ง
ไมไ่ ดเ้ ลอื กทจ่ี ะหาสาเหตขุ องปญั หาแมจ้ ะรบั รถู้ งึ ปญั หา เกดิ ความรสู้ กึ สงสาร เหน็ อกเหน็ ใจแตก่ ย็ งั
ไม่ได้มีความเข้าอกเข้าใจผู้ที่กําลังเผชิญเหตุการณ์หรือปัญหาอย่างแท้จริงและนํามาพิจารณาผ่าน
มุมมองของตนเองและแก้ไขปัญหาตามที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมโดยอาศัยอํานาจที่ตนมีโดยไม่ได้
ถามความต้องการของผู้ที่กําลังเผชิญกับปัญหาจริงๆ ซึ่งการแก้ไขของรัฐจะเป็นไปในลักษณะนี้ซ่ึง
เป็นสาเหตุที่ว่าทําไมยังคงมีการเกิดปัญหาในรูปแบบเดิมขึ้นซํ้าๆและยังมีการหลิตสื่อและส่งต่อ
แนวความคิดในชุดเดิมเพราะท้ายที่สุดแม้คนในสังคมจะมีความก้าวหน้าในด้านของความคิดและ
วิจารณญาณแต่หากผู้มีอํานาจยังคงไม่สามารถก้าวทันความเปลี่ยนแปลงทางสังคมยังมีชุด
ความคดิ ท่ีสนบั สนุนสิง่ ที่ผิด สังคมก็จะยังคงยา่ํ อยกู่ บั ที่และไมเ่ กิดการเปลีย่ นแปลง ซง่ึ หากจะสร้าง
การเปลี่ยนแปลงได้นอกจากการตระหนักรู้ของคนในสังคมผู้มีอํานาจในการบริหารที่เกี่ยวข้องกับ
มิติต่างๆทั้งเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ควรที่จะตามสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทันซึ่งก็สามารถเชื่อมโยงไป
ถึงการหาคนที่เหมาะสมในการบริหารประเทศ ซึ่งในปัจจุบันสังคมไทยมีคนจํานวนมากที่ได้แสดง
วิสัยทัศน์เกี่ยวกับมิติทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
เพราะต้องยอมรับว่าหากต่อเผชิญกับอํานาจที่ไม่เป็นธรรมที่ใช้ในการบริหารประเทศแม้คนใน
สังคมจะต้องการและเตรียมความพร้อมสําหรับการเปลี่ยนแปลงก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากในการ
เปลี่ยนแปลงสังคมในระดับมหภาคหรือในระดับประเทศให้มีความตระหนักถึงปัญหาในเชิง
โครงสร้างหรือหากพูดให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือปัญหาในเรื่องความเหลื่อมลํ้าและการเข้าไม่ถึง
สวัสดิการของคนบางกลุ่มในสังคม ดังนั้นสําหรับบริบทในสังคมไทยในปัจจุหากจะสามารถ
แก้ปัญหาในลักษณะนี้ได้คือผู้นําต้องมีความตระหนักรู้และพร้อมที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคมและที่สําคัญมากไปกว่านั้นคือสื่อจะต้องเผยแพร่และขัดกรองอย่างมี
จรรยาบรรณมากขึ้นไปเลือกขายข่าวตามกระแสดราม่าหรือเรียดยอด Engagement เพียงอย่าง
เดยี วแต่ควรคาํ นงึ ถงึ ผลกระทบทางสงั คมทต่ี ามมา
เอกสารอา้ งองิ
Uppercuz. (2564). ฉันคิดบวกหรือแค่โลกสวยกันนะ? รู้จัก Romanticize เมื่อมุมที่เคย
คิดวา่ สวยงามอาจไม่เปน็ ตามจรงิ . สบื ค้นเม่ือ 20 สิงหาคม 2565. จาก uppercuz.com
วิชิตา คะแนนสิน ณัฐมน สุนทรมีเสถียร. (2561). เปิดคลังศัพท์ของชาว ‘ทวิตเตี้ยน’ ถึง
ที่มาท่ไี ปและทํามize ถึงนิยม. สบื คน้ เมื่อ 20 สิงหาคม 2565. จาก becommon.co
มโนธรรมสาํ นึก
ก ร ะบ ว น ก าร ซึ ่ งมน ุษ ย์ใ นฐ านะท ี ่เ ป ็ นผู ้ กร ะท ําก าร ( The Subjective)
ซง่ึ มีความสาํ เหนียกรู้ ไม่เพียงแต่เป็นผ้รู บั (The Objective) ไดบ้ รรลุถึงซงึ่ ความตระหนกั
(Awareness) ในสภาพความเป็นจริงทางสังคม (Social Fact) และวัฒนธรรม
(Culture) ซึ่งหลอมเหลาชีวิตของเขา (Socialization) และวิสัยสามารถ (Potential)
ของเขาทจี่ ะเปล่ียนแปลง (Change) สภาพเช่นน้ัน