การศึกษาถึงเรื่องของ บทบาทในการเป็น Influencer, Steamer, บทบาทที่เสริมสร้างการเรียนรู้
ใหม่ๆ เป็นต้น ด้วยทักษะเหล่านี้ถือว่าเป็นที่น่าชื่นชมและมีผู้ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย แต่สิ่งเหล่านี้
นน้ั สงั คมก็ยงั คงไม่ยอมรบั และเปิดกวา้ งอยา่ งเหมาะสมมากเทา่ ท่คี วร
การศึกษาอิสระนี้ จะไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้โดยครูผู้สอนและผู้เรียนไม่ได้นั่งเรียนในห้อง
สเี่ หล่ียมเท่าน้นั พวกเขาตอ้ งเดินออกจากห้อง ไปหาแหล่งเรยี นรูท้ ี่เขาจะหาข้อมูลได้ เขาจะต้อง
มีทักษะหลายๆ อย่างมาประกอบกนั อยา่ งมศี กั ยภาพ เชน่ การสงั เกต การตง้ั คาํ ถาม การสบื คน้
ฯลฯ และทั้งหมดนี้จะต้องตั้งอยู่บนฐานของความใฝ่รู้ใฝ่เรียน ความพากเพียรพยายาม
ความมีวินัย โดยเฉพาะคุณสมบัติของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21นี้ที่จะต้องมีในตัวตนของผู้เรียนด้วย
สําคญั ที่สดุ คอื การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง (สริ ิพร กยุ่ กระโทก, 2013)
การศึกษาคือการค้นหาตัวตนในรูปแบบของตนเอง เป็นอิสระไร้ซึ่งการกักขังหรือถูกกดขี่
การศึกษาควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสรีในทางเลือกไม่ใช่การตั้งอยู่บนโครงสร้างหรือ
กฎเกณฑ์ที่ถูกวางเอาไว้ว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนถูกต้องและสิ่งไหนเหมาะสม จึงถูกยอมรับจากบริบท
ทางสังคม เรื่องของการศึกษาเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่ตนเองมีสิทธิที่จะเลือกและให้
ความสําคัญกับการศึกษาเหล่านั้น ความชอบหรือสิ่งที่ทําได้ที่ควรเป็นปัจจัยหลักที่เข้ามามีบทบาท
ในการเสริมสร้างความรู้และทักษะส่งต่อไปถึงการพัฒนาทางการศึกษาและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง แต่
ความชอบเพียงอย่างเดียว ไม่อาจตอบสนองต่อความต้องการของบุคคลได้เสมอไป เมื่อมีปัจจัย
แวดลอ้ มเขา้ มาเกีย่ วเน่อื งทําให้ตอ้ งตดั สนิ ใจหรอื หาทางเลอื กทเ่ี หมาะสมท่สี ดุ กบั ตนเอง
การศกึ ษาในส่ิงทีส่ ังคมยอมรับ
ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยภายนอก อย่างเช่น
บริบททางสังคม มุมมองทางสังคม หรือแม้กระทั่งความคิดของบุคคลรอบข้าง มีผลต่อการเลือก
ศึกษาหรือการเรียนรู้ในความเป็นจริง เพราะบริบทย่อมให้ความสําคัญกับการศึกษาที่สามารถ
พัฒนามนุษย์ไปสู่จุดใดจุดหนึ่งที่สามารถสร้างผลกําไรในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปได้ เช่น เงิน,
ความก้าวหน้า, ความน่านับถือหรือแม้กระทั่งอํานาจก็ตาม สิ่งเหล่านี้เป็นตัวแปรหลักที่ทําให้
หลายๆ ครง้ั ผคู้ นใหค้ วามสนใจกบั ส่ิงท่ีสังคมยอมรบั มากกวา่ สิ่งทต่ี นเองชอบหรอื สนใจ
การเลือกสิ่งที่สังคมยอมรับ เป็นเรื่องที่ถูกสังคมมองว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นพื้นฐานทาง
สังคมในปัจจุบันไปแล้ว เพราะการยึดถือหรือเลือกในสิ่งที่สังคมเห็นชอบย่อมมองว่าดี ย่อมมองว่า
เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม การถูกปลูกฝังโครงสร้างมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันให้เลือกที่จะศึกษา
ในสิ่งที่เห็นชอบว่าดี เช่น หลายคนเลือกที่จะอยากให้ลูกหลานของตนศึกษาในเรื่องของแพทย์
หมอ พยาบาลหรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ เพราะดูน่าเชื่อถือและดูเป็นผู้มากในภูมิวิชา
ความรู้ สําหรับการศึกษาในเรื่องของศาสตร์การเป็นครู เพราะถือว่าเป็นอาชีพที่มีความรู้น่าเคารพ
และสามารถเชื่อถือได้ แต่การสร้างค่านิยมนี้เป็นตัวแปรหลักที่ทําให้การศึกษาในสังคมย่อมมองว่า
การที่สังคมเห็นพ้องต้องกันว่าสิ่งไหนดีสิ่งไหนเหมาะสมแล้วสิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งแตกต่างจาก
การเลือกทางเดินในแบบของตนเองหรือการเลือกศึกษาในสิ่งที่ตนชื่นชอบ อาจกล่าวได้อีกทาง
หนึ่งว่ากว่าการศึกษาในสิ่งที่สังคมยอมรับไม่ใช่การศึกษาอย่างเสรีอย่างแท้จริง และอาจกล่าวได้
อีกว่าเป็นการกําหนดเส้นทางหรือมีกรอบมาคลุมความคิดหรือกําหนดชะตาในการเรียนรู้และ
การศึกษาเอาไว้อยา่ งแทจ้ ริง
47
ซึ่งการให้คุณค่ากับเรื่องของผลตอบแทนก็ถือว่าเป็นกําไรทางการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่ง
ฉะนั้นแล้วสังคมจึงยังไม่เปิดกว้างและให้เสรีภาพทางการศึกษาเท่าที่ควร เพราะการเลือกรูปแบบ
การศึกษาหรือการเลือกทางเดินทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ถูกวางโครงสร้างเอาไว้อย่างชัดเจน มองได้
ว่าผู้คนในสังคมให้ความสําคัญกับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองในอนาคต มากกว่าสิ่งท่ีตนเองช่ืน
ชอบแต่ไม่สามารถสร้างผลประโยชน์หรือสามารถต่อยอดให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดได้ จึงเป็น
สาเหตุหลักอย่างหนึ่งเลยที่ทําให้การเลือกสิ่งที่สังคมยอมรับมักจะชนะการเลือกที่ตนเองสนใจหรือ
ชน่ื ชอบกต็ าม
มมุ มองต่อการศึกษาในสง่ิ ทช่ี อบ vs การศกึ ษาในสิ่งท่สี ังคมยอมรบั
การศึกษาเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลแต่ในบริบทปัจจุบันนี้ การศึกษายังเป็นเรื่องที่มองได้
หลายแง่มุม เพราะอย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า การศึกษาเป็นเรื่องของความสนใจในแต่ละบุคคล ซ่ึง
การศึกษานั้นเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลที่มีความสนใจเฉพาะด้านหรือต้องการแสวงหาความรู้ด้าน
ใดด้านหนึ่งอย่างลึกซึ้ง การศึกษาควรเป็นเรื่องที่มาจากความชอบส่วนบุคคลสู่การพัฒนาเฉพาะ
ด้านนั้น เป็นการค้นหาตัวตนหรือค้นหาสิ่งที่ตนเองได้รู้สึกชื่นชอบหรือมีความสุขไปกับการศึกษา
สิ่งเหล่านั้น อาจมองในมุมกว้างได้ว่าการศึกษาควรเป็นในรูปแบบของอิสระทางการศึกษาที่ไม่มี
กรอบ มีเกณฑ์มากีดกั้น เป็นความเปิดกว้างและมีหลายแขนงสาขาในการเรียนรู้ที่กว้างขวาง
ออกไปตามแต่ละความสนใจของบุคคล แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า
ระบบการศึกษานั้นยังคงมีกรอบหรือข้อบังคับที่มาเป็นตัวกําหนด เพราะในปัจจุบันนี้การที่คนเรา
จะเลือกศึกษาอะไรย่อมมีบริบททางสังคมมาเป็นมุมมองในการสะท้อนความคิด สะท้อนความรู้สึก
และสะท้อนคุณค่าของการศึกษาเหล่านั้น กลายเป็นว่าระบบการศึกษานั้นถูกวางโครงสร้างเอาไว้
ให้เรียนไปตามกรอบ ตามทฤษฎีหรือถูกกําหนดเอาไว้ว่าการเรียนรู้สิ่งไหนควรหรือไม่ควรค่าแก่
การศึกษา ระบบการศึกษาจึงไม่เปิดกว้างอิสระอีกต่อไป เพราะกลายเป็นการว่าศึกษาเป็น
ตัวกําหนดหน้าที่การงานในอนาคต การศึกษาเป็นเหมือนแนวทางในการชี้ชะตาของใครคนใดคน
หนึ่งในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนส่วนมากเลือกที่จะศึกษาในสิ่งที่ให้คุณค่าแก่เขาหรือสามารถ
แปรเปล่ียนเป็นมูลค่าทม่ี ากใหก้ บั ตัวเขาเองได้ เชน่ ความก้าวหน้า เงินตรา ความนา่ นับถอื เป็นตน้
การศึกษาจึงเปรียบเหมือนกระจกที่สะท้อนชะตาชีวิตหรือทางเดินของบุคคลให้ได้เลือก
ตัดสินใจว่าตนเองจะเลือกในทางเดินที่เป็นสิ่งที่ชื่นชอบหรือทางเดินในสิ่งที่สังคมนั้นยอมรับ เพราะ
เราไม่สามารถปฏิเสธบริบททางสังคมได้เลยว่าบริบททางสังคมมีผลต่อกระบวนการคิด
กระบวนการตัดสินใจของบุคคลต่อการเลือกแนวทางในการศึกษา ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนคน
หนึ่งต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาซึ่งส่วนตัวบุคคลแล้วอาจชอบอาชีพหนึ่งแต่ยังไม่เปิด
กว้างทางสังคมมากนัก จึงถูกคาดหวังจากบริบททางสังคม ครอบครัว และสิ่งแวดล้อมว่าให้ศึกษา
ในอีกอาชีพหนึ่งสิเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง ดูน่าเชื่อถือ จากข้อความนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเลยว่าการ
เลือกศึกษาในสิ่งที่สังคมยอมรับอาจไม่ใช่สิ่งที่ตนสนใจหรือชื่นชอบ แต่เลือกศึกษาไปเพียงเพราะ
เป็นสง่ิ ทบ่ี รบิ ททางสังคมมสี ่วนในการครอบงําหรือช้ชี ะตากําหนดเอาไวใ้ ห้เลือกเดนิ เทา่ น้ัน
การศึกษาไมค่ วรถูกจํากัดหรือการตีกรอบเอาไว้ ความสนใจและความช่นื ชอบควรเปน็ หนงึ่
ในตัวแปรที่สามารถส่งให้เกิดการกระตุ้นในการเรียนรู้และความตั้งใจการศึกษาต่ออย่างลึกซึ้งได้
การศึกษาเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลอย่างแท้จริงหรือไม่ เพราะในปัจจุบันการที่ใครคนใดคนหน่ึง
48
จะเลือกที่จะเรียนรู้หรือศึกษาอะไรย่อมมีบริบททางสังคมเข้าร่วมในการตัดสิน สภาพแวดล้อม
ภายนอกก็เป็นอีกตัวแปรที่ทําให้ความคิดเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ฉะนั้นแล้วเราไม่
สามารถมองได้ว่าการศึกษาเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลอีกต่อไปหรือแม้แต่การค้นหาตัวตนหรือ
การศึกษาด้วยตนเองอย่างอิสรภาพก็ยังไม่สามารถพูดได้อย่างแน่ชัด สรุปแล้วการศึกษานี่มีไว้เพ่ือ
ตนเองหรือศึกษาเพื่อให้สังคมเกิดการยอมรับกันแน่ ความเป็นอิสระทางการศึกษาค่อยๆเลือน
หายไปบนความเป็นจริงที่เกิดจากสังคมบีบบังคับและปลูกฝังโครงสร้างทางการศึกษาเข้ามาแทนที่
การเรียนรู้อย่างอิสระในตัวตน ซึ่งมองได้ว่าเป็นการถูกกดขี่ทางการศึกษาหรือการที่บุคคลใด
บุคคลหนึ่งถูกจํากัดพื้นที่ทางการศึกษาเอาไว้อย่างชัดเจน สิ่งเหล่านี้ทําให้เห็นว่าแม้แต่การศึกษาก็
ยังมีเรื่องการถูกกดขี่เข้ามาเกี่ยวพันอีกด้วย การไม่ได้รับสิทธิหรือการเข้าไม่ถึงสิทธิที่จะศึกษาใน
ส่งิ ท่ตี นเองสนใจ
โครงสร้างทางการศึกษาหรือรูปแบบทางการศึกษาแท้จริงแล้วสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้องและ
เหมาะสม เรื่องนี้ควรให้ใครเป็นคนกําหนดสังคมหรือว่าตนเองเป็นผู้กําหนดชะตาทางเลือกทาง
การศึกษา และการศึกษาอย่างอิสรเสรีแท้จริงแล้วสามารถทําให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ การดํารงชีวิตอยู่
เพื่อตนเองเป็นการแสวงหาหนทางในการใช้ชีวิตหรือการตัดสินใจเพื่อกระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพ่ือ
ตนเอง เช่นเดียวกันกับการศึกษาที่เป็นจุดเริ่มต้นในการแสวงหาหนทางในการดํารงชีวิตอยู่ใน
สังคมในภายหลังหรือในอนาคต การศึกษาที่สังคมยอมรับเหมือนเป็นกําแพงใสที่บังการมองเห็นสู่
ความกว้างขวางทางการศึกษา เพราะว่าการที่ถูกกําจัดหรือมีขอบเขตมาเป็นตัวกําหนดหนทาง
ทางการศึกษา หลายครั้งจะมีประเด็นทางการศึกษาต่อของนักศึกษาออกมาให้เห็นได้ชัดในเรื่อง
ของ จะเรียนในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ หรือจะเลือกในสิ่งที่สังคมมองว่าดีและยอมรับ เพราะการท่ี
สังคมยอมรับมีพื้นฐานมาจากความมั่นคง เรื่องของผลตอบแทนที่มีมูลค่า ความน่าเชื่อถือ ทั้งหมด
เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นบริบททางสังคมที่มีผลต่อระบบการศึกษาทั้งทางตรงและ
ทางออ้ ม
อาชีพเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้คนในสังคมมองว่าการศึกษาในเรื่องจุดใดก็ได้สูงที่สุด
เป็นเรื่องที่ดี อย่างคําที่เคยได้ยินกันมาตั้งแต่ในอดีตที่ว่า “เรียนสูงๆไปเถอะลูก ชีวิตจะได้สบายจะ
ได้เป็นเจ้าคนนายคน” แต่หากในความเป็นจริงเราเคยมองย้อนและตอบคําถามเหล่านั้นบ้างไหม
ว่า ทําไมเราจะต้องเรียนให้สูงที่สุด ทําไมเราจะต้องเลือกเรียนตามค่านิยมของสังคมที่ยอมรับมาก
ที่สุด ทําไมเราไม่เลือกสิ่งที่เราชอบและมีความสุขมากที่สุด แต่ความสุขและสิ่งที่เราชื่นชอบ
เหล่านั้นเพียงพอต่อความต้องการแล้วหรือยัง ซึ่งหลายอย่างเหล่านี้ยังไม่ถูกการยอมรับและยังไม่
สามารถตอบหรือชี้ให้ชัดถึงประเด็นได้อย่างชัดเจน โครงสร้างในระบบการศึกษาของสังคมไทยถูก
วางโครงสร้างไว้และเป็นในรูปแบบลักษณะอย่างนี้มาอย่างยาวนาน สิ่งที่เราชอบกลับไม่ถูกยอมรับ
ส่วนสิ่งที่ถูกยอมรับก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชื่นชอบที่สุด แล้วหากมองย้อนกลับมาอะไรคือสิ่งที่สําคัญที่สุด
สําหรับการศึกษา ความสุขและเลือกในสิ่งที่ชอบหรือว่าความมั่นคงและสิ่งที่ยอมรับ ไม่ว่าจะ
ทางเลือกไหนล้วนเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลทั้งนั้น การถูกจํากัดหรือตีกรอบให้มีพื้นที่และ
ทางเลือกที่ไม่หลากหลาย แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นทางเลือกของการศึกษาในสิ่งที่ชื่นชอบ
หรือการศึกษาในสิ่งที่สังคมยอมรับย่อมมีทั้งผลดีและผลเสียขึ้นอยู่กับบุคคลเหล่านั้นจะเลือกเดิน
เพราะในสังคมเราทุกคนล้วนพบเจอกับคําว่าล้มเหลวบางครั้งก็แปรเปลี่ยนเป็นคําว่าผิดหวังจาก
ทางเลือกของเราเอง สุดท้ายแล้วทางเลือกขึ้นอยู่กับตัวเราและการศึกษาก็ขึ้นกับทางเลือกที่ตัวเรา
49
คาดหวังไว้หรือเลือกที่จะทําให้เกิดขึ้นตามความสบายใจของตนเองหรือความสบายใจของใครบาง
คนมากกว่าความสบายใจของตัวเราเอง
การศึกษาในสิ่งที่ชอบไม่ใช่สิ่งที่ผิดรวมไปถึงการศึกษาในสิ่งที่สังคมยอมรับก็ไม่ใช่เรื่องท่ี
ผิด หากจะมองว่าสิ่งไหนผิดคงเป็นมุมมองและความคิดที่ตัวเราเองและคนรอบข้างล้วนแสดง
ทรรศนะออกมา การพิสูจน์ให้เห็นถึงความสําเร็จทางการศึกษาเป็นสิ่งที่สําคัญเพราะจะทําให้
บุคคลยอมรับหรือสังคมสามารถยอมรับในทางเลือกทางการศึกษาที่ตัวเราเลือกไว้ได้ แม้ว่าความ
เป็นอิสระที่เกิดขึ้นอาจไม่แท้จริงแต่ไม่ได้แปลว่าคนเราไม่มีอิสระในทางเลือกที่เกิดขึ้นทุกสิ่งล้วน
เกิดจากมมุ มองของเราตอ่ บริบทการศกึ ษาและทางออกในการเลือกการศึกษาของตน
โอกาสในการเลอื กทางเดินในการศกึ ษาเปน็ เรอ่ื งทค่ี วรใหค้ วามสําคัญเป็นอย่างมาก เพราะ
การศึกษาสามารถเสริมสร้างอาชีพ และอาชีพสามารถเสริมสร้างอนาคตของตัวบุคคลได้
การศึกษานั้นให้ความสุขกับเราหรือว่าการศึกษาให้โอกาสกับเรา หรือความเป็นจริงแล้วการศึกษา
ไม่ได้ให้อะไรกับเราเลย คําตอบของคําถามเหล่านี้มีเพียงตัวบุคคลเองที่สามารถตอบได้ว่าสิ่งไหน
คือสิ่งที่สําคัญและสิ่งไหนเป็นตัวสร้างโอกาสสําคัญเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้จริง สําหรับการศึกษาแล้ว
เรามองว่าเป็นเพียงแค่ทางผ่านหรือเป็นสิ่งที่ควรให้คุณค่า สิ่งไหนเป็นสิ่งที่ควรตระหนักมากที่สุด
มนุษย์ควรพัฒนาตนเองไปควบคู่กับการศึกษาไม่ใช่การให้การศึกษามาควบคุมความเป็นมนุษย์
หรือการให้การศึกษามาเป็นรูปแบบในการกําหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบวนเวียนซํ้าๆ กัน
ไป ฉะนั้นแล้วโอกาสทางการศึกษาเป็นเรื่องของทุกคนแต่ไม่ใช่ว่าโอกาสที่เกิดขึ้นจะสามารถสร้าง
ความสุขได้เสมอไป โอกาสที่เกิดขึ้นเราเลือกที่จะคว้าเอาไว้หรือมองว่าโอกาสสามารถแปรเปลี่ยน
เป็นสิ่งอื่นที่ทดแทนกันได้ เราควรให้คุณค่ากับการตัดสินใจและการยอมรับที่เปิดกว้างเพื่อให้
การศกึ ษาพัฒนาส่สู งั คมได้อย่างมากทสี่ ุด
บทสรุป
หากในปัจจุบันสามารถทําให้สิ่งชอบเป็นสิ่งที่สังคมสามารถยอมรับไปด้วยได้ คงเป็น
ทางเลือกที่ดีและเป็นผลที่ดีต่อระบบการศึกษาอย่างแน่นอน การศึกษาควรเป็นสิ่งที่เปิดกว้างทาง
ความคิดและเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อความต้องการของบุคคล สะท้อนกระบวนการเลือกจากอิสระ
และเป็นส่วนหนึ่งของความคิดแต่ละปัจเจกบุคคล เพราะการศึกษาควรเป็นทางเลือกอย่างอิสระ
ไม่ใช่การที่ถูกจํากัดและถูกตีกรอบให้เดินตามทางที่สังคมคิดเอาไว้ และการยอมรับถือเป็นสิ่งที่
ควรมีและควรสร้างให้เกิดขึ้นในสังคม อาชีพใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ เช่น Streamer,
Influencer, Games casting, etc. จะถูกยอมรับมากยิ่งขึ้น เพราะในปัจจุบันนี้อาชีพเหล่านี้แม้ยัง
ไม่ถูกยอมรับหรือสนับสนุนจากบริบททางสังคมมากเท่าที่ควรแต่อาชีพเหล่านี้ยังคงมีเพิ่มมากข้ึน
และเป็นการต่อยอดจากผลของการศึกษาความชอบส่วนบุคคลที่มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งท่ี
ชอบสามารถผลักดันให้เกิดความมั่นคงและสร้างผลมูลค่าออกมาได้ ซึ่งหากได้รับการยอมรับจาก
สังคมอย่างเปิดกว้างแล้วจะส่งผลให้การศึกษาเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจและเป็นทางเลือกท่ี
ตอบสนองต่อความต้องการของปัจเจกบุคคลอีกด้วย
การศึกษาควรเป็นอิสระกับตัวบุคคลเป็นการเปิดกว้างทางความคิดและเป็นช่องทางในการ
พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ซึ่งสิ่งที่สําคัญคือการยอมรับของสังคมต่อบริบทความชอบส่วนบุคคลท่ี
มีผลต่อการศึกษา หากเราสามารถทําให้การยอมรับเกิดขึ้นได้ย่อมเป็นหนทางที่ดีที่สุดต่อระบบ
50
การศึกษา ถึงแม้ว่าการศึกษาในสิ่งที่ชอบอาจไม่ใช่สิ่งที่ตอบสนองต่อตัวเรามากที่สุดแต่ก็อย่าง
น้อยเราจะมีความสุขจากการได้ทําสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ถนัด และเช่นเดียวกันหากสามารถพัฒนาส่ิง
ที่ชื่นชอบให้เกิดความมั่นคงและสร้างอาชีพหรือรายได้ให้กับตนเองต่อไปได้ในอนาคต สิ่งเหล่าน้ี
ย่อมไดร้ บั การยอมรบั จากสังคมและถกู เปิดกว้างสู่บรบิ ททางสังคมมากขนึ้ อยา่ งแน่นอน
รายการอา้ งอิง
สริ พิ ร กยุ่ กระโทก. (2013). การศึกษาอิสระคือสดุ ยอดของการเรยี นร.ู้ สบื คน้ จาก
https://www.gotoknow.org/posts/530789
Autismnwaf. (2020). การศกึ ษาสําคัญอย่างไร. สืบคน้ จาก https://shorturl.asia/rgSRF
51
โควดิ - 19 จุดเปลย่ี นสาํ คัญของการเรยี นร้ตู ลอดชวี ติ ในประเทศไทย
COVID-19, an important turning point for lifelong learning in Thailand.
เบญจมนิ ทร์ ชทู อง 6205681320
52
“โควิด-19 ได้เปลี่ยนการศึกษาไปตลอดกาล” เป็นคํากล่าวจาก World Economic Forum
(WEF) ที่ดูไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะเมื่อไวรัสร้ายแพร่ระบาดครั้งใหญ่ในโลกของเราแล้ว
วิถีชีวิตของมนุษย์ต่างต้องเปลี่ยนไปเพื่อให้อยู่ร่วมกับเชื้อไวรัสนั้นให้ได้ รวมทั้งวิถีแห่งการศึกษา
ซึ่งภายในระยะเวลา 2 – 3 ปีที่ผ่านมา สถาบันการศึกษาทั่วโลกได้พยายามหาทางแก้ปัญหา
ที่สร้างสรรค์ที่สุด โดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นกุญแจสําคัญอันเป็นปัจจัยเร่งที่ทําให้ภาคการศึกษา
ต้องปรับรปู แบบการเรยี นร้ใู หส้ อดคลอ้ งกับการเปลี่ยนวิถีแหง่ การศึกษาในคร้ังน้ี
ผ ู ้ เ ร ี ย น ใ น ย ุ ค โ ค ว ิ ด – 19 ส ่ ว น ใ ห ญ ่ เ ป ็ น ค น ใ น เ จ เ น อ เ ร ช ั ่ น ซ ี ( Generation Z)
ที่เกิดใน พ.ศ. 2540 – 2552 ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยี ชอบการเรียนรู้ที่เข้าใจง่าย และรวดเร็ว
ทั้งยังมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอย่างคล่องแคล่วเพื่อการดําเนินชีวิต และการศึกษาหา
ความรู้ในเรื่องที่ตนสนใจ นอกจากนี้ยังมีคนเจเนอเรชั่นอัลฟา (Generation Alpha)
ที่เกิดใน พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจําวัน
โดยเฉพาะสมาร์ตโฟน และแอปพลิเคชัน ชอบการเรียนรู้ที่ท้าทาย ชอบการแข่งขัน แต่ควร
สนับสนุนทักษะการแก้ปัญหาและทักษะทางอารมณ์ เนื่องจากคนเจเนอเรชั่นนี้จะอยู่ในโลกเสมือน
มากกว่าโลกของความเป็นจริง เมื่อการศึกษาต้องมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์ จึงไม่ใช่เรื่องยากนัก
ที่คนทั้ง 2 เจเนอเรชั่นนี้จะปรับตัวให้เข้ากับการศึกษาได้ หากแต่ไม่ใช่ผู้เรียนทุกคนที่พร้อมจะ
เปลี่ยนไปเรียนออนไลน์เต็มรูปแบบได้เหมือนกันหมด อันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึง
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย ที่ผู้เขียนจะอธิบายถึงประเด็นนี้ไว้ในส่วนท้าย
ของบทความ
Harry Patrinos นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลกเชื่อว่าประชากรโลกได้รับผลกระทบ
จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ต่างกันออกไปตามระดับการศึกษา รัฐจึงควรมี
นโยบายช่วยเหลือ สนับสนุน รักษางบประมาณทางการศึกษาเอาไว้ โดยเฉพาะการศึกษาในระดับ
มหาวิทยาลยั และการศกึ ษาตลอดชีวติ ที่จะไดร้ ับความต้องการมากข้ึน
แม้คําว่า “การศึกษาตลอดชีวิต” ในประเทศไทยจะมีการประกาศใช้ตั้งแต่ใน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่ได้กําหนดบทบัญญัติให้ยึดหลกั การจัดการศึกษา
ตลอดชีวิตสําหรับประชาชน ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา แต่จากทัศนะและการหา
ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้เขียนขอเสนอว่า “วิถีการศึกษาแบบไทย ๆ มีเป้าหมายเพื่อการทํามาหากิน” เน้น
การพัฒนามนุษย์ให้มีทักษะเพื่อทํางานในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม มากกว่าการศึกษาเพื่อการ
คิด วิเคราะห์ วิพากษ์อย่างมีเหตุผลและภูมิปัญญา ขาดการตั้งเป้าหมาย และไม่เข้าใจ
กระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง นอกจากนี้คนไทยในทุกช่วงวัยมักไม่มีความต้องการที่จะพัฒนา
ตนเอง ปัญหาเหล่านี้ชวนให้ตั้งคําถามกับแนวทางการศึกษาตลอดชีวิต ว่าเพราะอะไรคนไทยจึง
เกดิ การเรียนรเู้ พียงแค่ในหอ้ งเรยี น
เมื่อวิเคราะห์ถึงแนวทางการจัดการศึกษาตลอดชีวิต จะพบว่าหลักการสําคัญ คือ การ
จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ความถนัด ความสนใจ ความแตกต่างของบุคคล และ
รูปแบบที่เหมาะสมตามสภาพ และความจําเป็นของกลุ่มเป้าหมาย แต่ในวิถีการศึกษาแบบไทย ๆ
ก็จะเป็นไปตามวัฒนธรรมที่เป็นใหญ่ หรือวัฒนธรรมกระแสหลักขอสังคมที่มีการลดทอนคุณค่า
ของวัฒนธรรมอื่น ๆ อยู่เรื่อยมา นอกจากนี้การศึกษาตลอดชีวิตยังต้องอาศัยภาคีเครือข่ายให้เข้า
มามีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางการศึกษา หรือกําหนดมาตรฐานการศึกษา หากแต่ภาคี
53
เครือข่ายเหล่านั้นยังขาดแรงจูงใจ และความเข้าใจในบทบาทของตนเอง ประกอบกับการจัด
การศกึ ษาในโรงเรยี นไทยยังคงยึดติดการวิธีการเรยี นการสอนแบบเดมิ ๆ
เมื่อนํามาพิจารณาร่วมกันทั้งสถานการณ์ด้านการศึกษาตลอดชีวิตและการแพร่ระบาดข
ของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ในประเทศ ผู้เขียนมีความเห็นว่าทั้งสองประเด็นมีความขัดกันอยู่มาก
และการแก้ไขปัญหาผ่านรูปแบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ
ของการปฏิรูปวิถีการศึกษาแบบไทย ๆ แต่นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสําคัญอันจะนํามาสู่การศึกษา
ตลอดชีวติ ในประเทศไทยได้ โดยมตี วั แปรสาํ คัญ คอื เทคโนโลยี
เอ็ดเทค (EdTech : Education Technology) คือ เทคโนโลยีด้านการศึกษาที่ช่วยให้
ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างสะดวก ง่ายดาย และมีประสิทธิภาพ หลักการสําคัญของ
เอ็ดเทคคือการแปลงบริการและโมเดลการศึกษาให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อส่งเสริมให้เกิดการ
เรียนรู้ในรูปแบบใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์การเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทุกช่วงวัย และผู้เขียนเห็น
ด้วยอย่างยิ่งว่าเอ็ดเทคเป็นอุปสงค์ของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
ท่วั โลกเพิม่ ข้ึนเกอื บ 10 เท่าตัวในรอบ 20 ปที ผี่ ่านมา ควบค่ไู ปกับแนวทางการศึกษาทีก่ าํ ลงั เปลีย่ น
ไปสู่การเรียนรู้แบบผสมผสาน มีการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ หรือการผลิตคอนเทนต์
สําหรับการเรียนรู้บนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์มากขึ้น แต่ยังคงชวนตั้งคําถามอยู่
เสมอวา่ เกดิ การเรียนรขู้ ้ึนจรงิ ๆ หรอื ไม่
หากแบ่งประเภทของเอ็ดเทคตามกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทย จะพบว่ามี 2 กลุ่มหลัก
และมตี ัวอย่างในแตล่ ะกลุ่ม ดงั นี้
1. กลุม่ ท่เี นน้ การพัฒนานกั เรยี น
1.1. เว็บไซต์ท่าความรู้ (Knowledge Portal) เช่น OpenDurian เป็นเอ็ดเทคแพลตฟอร์มท่ี
เริ่มต้นจากการติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย เน้นรูปแบบการเรียนที่สนุก ปัจจุบันมีคอนเทนต์
หลากหลายในหลายวิชา รวมทั้งมีการเพิ่มหลักสูตรใหม่ ๆ เพื่อเสริมสร้างทักษะทางดิจิทัล
นอกจากนี้ยังมี StartDee ที่ตั้งเป้าจะพัฒนาแพลตฟอร์มให้เป็น Netflix ทางการศึกษา
รวบรวมบทเรียนออนไลน์ที่สนุก เข้าใจง่าย มีเนื้อหาการเรียนรู้ตามหลักสูตร และทักษะ
นอกห้องเรียนในรปู แบบวิดโี อมากกว่า 2,000 เรื่อง
1.2. ชุมชนเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Community) เช่น Inskru เป็นเอ็ดเทคแพลตฟอร์ม
ทีเ่ ปิดพืน้ ทีใ่ หค้ รไู ทยได้แลกเปลย่ี นไอเดีย เทคนิคการสอน และสอ่ื การสอนตา่ ง ๆ
2. กลุ่มที่เน้นการพัฒนาทักษะของคนทํางาน (Job Upskilling & Reskilling) เช่น SkillLane
ที่มุ่งพัฒนาทักษะคนวัยทํางาน โดยรวบรวมผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขามาสอนในรูปแบบของวิดีโอ
เนอื้ หาของคอร์สจะเนน้ เป็นทกั ษะเชงิ ปฏิบัติ (Practical Skill)
แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าประเทศไทยจะมีประชากรที่จบปริญญาตรีขึ้นไปราว 10 ล้านคน
และอีกหลายล้านคนที่จบระดับมัธยมปลาย หรืออนุปริญญา และอยู่ในวัยเรียน คนไทยเหล่านี้มี
โทรทัศน์ โทรศัพท์ หรืออุปกรณ์ที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ช่วยสื่อสาร หาความรู้ได้อย่าง
สะดวก และรวดเร็ว แต่คนไทยกลับใช้เครื่องมือเหล่านี้ในเรื่องของความบันเทิง เรื่องส่วนตัว และ
การค้าขายมากกว่าการศึกษาเรียนรู้ นํามาสู่วิธีคิด และทัศนคติของพลเมืองไทยที่มีลักษณะเป็น
“การคิด 2 ขั้วตรงกันข้ามสุดโต่ง” คือ มองเห็นแต่ขั้วที่ตรงข้ามขั้วใดขั้วหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการเลือก
แบบแค่ขั้วใดขั้วหนึ่งนั้นเป็นการจํากัดมุมมองของตัวมนุษย์เอง ทําให้มองไม่เห็นทางเลือกและ
54
โอกาสอื่น ๆ ทั้งที่หลายเรื่องมีทางเลือกที่เป็นไปได้มากกว่า 2 ขั้ว ที่อาจจะดีเท่ากันหรือดีกว่า ทั้งน้ี
วิธีการคิดแบบ 2 ขั้วตรงกันข้ามสุดโต่งยังเป็นวิธีการคิดที่นํามาสู่ความเครียด หรือความซึมเศร้า
เนอ่ื งจากมคี วามคาดหวังกับสิ่งรอบตัวคอ่ นขา้ งสงู อีกทง้ั ยงั นาํ มาส่คู วามขดั แย้งในสังคมได้ในท่ีสุด
จากทั้งปัจจัยด้านการใช้สื่อเทคโนโลยี และวิธีการคิดของคนไทย ทําให้ไทยจึงขาดการบูร
ณาการระหว่างเทคโนโลยีและการศึกษา ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็นปัญที่ต้องนํามาวิเคราะห์ และหา
แนวทางการส่งเสริมเพื่อพัฒนาเป็นแนวทางการศึกษาตลอดชีวิตในประเทศ ตามพระราชบัญญัติ
การศึกษาทไี่ ดก้ ล่าวไวเ้ ม่อื 20 กว่าปีทีผ่ ่านมา
วิธีการคิดและคุณภาพการคิดของมนุษย์มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และพฤติกรรมการ
แก้ปัญหาของมนุษย์เอง ดังนั้นจึงต้องหาทางในการปฏิรูปการศึกษา หรือแนวทางการเรียนรู้ที่จะ
ทําให้คนไทยคิดอย่างมีเหตุผล มีวิจารณญาณ และคิดอย่ามองการณ์ไกลเพื่อส่วนร่วม โดยต้อง
ส่งเสริมให้คนไทยเรียนรู้จากตนเองและชุมชน รู้จักการวิเคราะห์ และเข้าใจว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่ง
ของสังคมที่ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ซึ่งในกระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจชุดนี้ก็ต้องมีความ
สร้างสรรค์ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ทุกฝ่ายในสังคมได้รับประโยชน์ และมีส่วนร่วมกัน ซึ่งสอดคล้อง
กบั แนวทางการจัดการศึกษาตลอดชวี ติ
แม้การเปลี่ยนวิธีคิดของคนในประเทศนั้นดูเป็นแนวทางที่สวยหรู นําไปสู่การพัฒนา
หลากหลายดา้ นโดยเฉพาะการศึกษาและการพัฒนาสงั คม แตป่ ระเทศไทยเองยงั ไม่มจี ดุ ศนู ย์กลาง
สถานที่ หรือบุคคลใดที่จะมาเป็นผู้นําในการเปลี่ยนวิธีคิด แต่หากสังเกตตามพฤติกรรมของผู้เรียน
ในยุคโควิด – 19 ส่วนใหญ่เป็นคนในเจเนอเรชั่นซีและเจเนอเรชั่นอัลฟ่า นั้นคงไม่ยากนักที่จะ
เปลี่ยน โดยอาจจะต้องพึ่งประสบการณ์ในชีวิตจริงมากขึ้นกว่าการเรียนผ่านหน้าจออย่างที่เรา
ส่งเสรมิ กันอย่ใู นปัจจบุ ัน
แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาตลอดชีวิตที่ผู้เขียนได้นําเสนอไปข้างต้นเป็นเพียงแค่การ
เรียนรู้โดยมีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องกับคนรุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในยุคโควิด –
19 คือ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยนั้นยังขาดความทันสมัย ไม่มีความครอบคลุมท่ัว
ทั้งประเทศ อีกทั้งยังมีประชาชนจํานวนไม่น้อยที่เข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลนี้ เช่น สมาร์ท
โฟน หรือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ ถึงแม้จะมีลงมือสร้างและปรับตัวเพื่อใช้ชั้นเรียนออนไลน์
ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็วมากเพียงใด แต่ก็ยังคงมีข้อจํากัดอยู่ที่การเข้าไม่ถึงโครงสร้าง
พื้นฐานดิจิทัลนี่เอง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าหากมีการนําแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนมาใช้ในการแก้ปัญหา
ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยอาศัยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนข้อที่ 4 คือ สร้าง
หลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาส
ในการเรยี นร้ตู ลอดชีวิต มาเปน็ หลักในการแกไ้ ขปัญหา
สาเหตุของปัญหาการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
โรคโควิด – 19 คือ ความเหลื่อมลํ้า กลุ่มเด็กที่ครอบครัวมีฐานะมักจะมีความพร้อมในการเรียน
ออนไลน์ที่บ้านได้โดยไม่ติดขัด สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและสื่อการศึกษาที่มีคุณภาพได้
ตลอดเวลาที่ต้องการ แต่ในกลุ่มเด็กที่ครอบครัวยากจน พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลําบาก
โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษา ยิ่งยากจนยิ่งได้รับผลกระทบอย่างมาก และทํา
ให้แนวโน้มของความเหลื่อมลํ้าระหว่างคนจนกับคนรวยมีมากขึ้น จึงต้องทําให้โครงสร้างพื้นฐาน
ดิจิทัลครอบคลุมทุกพื้นที่ มีขนาดที่พอเพียงกับการใช้งาน มีเสถียรภาพที่มั่นคง ในราคาที่
55
เหมาะสม ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งภาครัฐ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องก็ต้องนําเรื่องนี้ไป
เปน็ บทเรยี นในการจดั การศกึ ษาในอนาคต
สําหรับแนวทางที่ควรปฏิบัติที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้
นําเสนอไว้ในบทความ “5 นวัตกรรม ที่จะมาทําให้ความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษาหายไป ภายใต้
แนวคิด All for Education” นั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าสอดคล้องไปกับแนวทางการจัดการศึกษา
ตลอดชีวิตโดยที่ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีมากจนเกินไป และยังสามารถลดความเหลื่อมลํ้าการเข้าถึง
โครงสร้างพนื้ ฐานดิจทิ ัลได้เป็นอย่างดี โดยจะขอยกตวั อยา่ ง ดงั นี้
1. การจดั การศกึ ษาตามบรบิ ทของพน้ื ท่ี (Area based Education: ABE)
เกิดจากแนวคิดในการกระจายอํานาจในการบริหาร เพื่อประสิทธิภาพในการบริหาร
จัดการทรัพยากร โดยให้ความสําคัญกับการเรียนรู้ในครอบครัวและชุมชนโดยมีครอบครัวและ
ชุมชนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตสําหรับทุกคน และมุ่งพัฒนาเมือง
และถิ่นฐานให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย และมีการช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกันสู่
ความยงั่ ยืน
เทศบาลนครเชียงราย ได้รับคัดเลือกเป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” แห่งแรกของประเทศไทย
เมื่อ พ.ศ. 2562 มีเป้าหมายในการทํางานเพื่อสร้างให้เชียงรายเป็นนครแห่งการเรียนรู้อย่าง
ยั่งยืน โดยมีวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในการสร้างโอกาสทางการศึกษาสําหรับประชาชนอย่าง
เสมอภาค เพื่อ การพัฒนาคณุ ภาพในการจัดการศึกษาโดยบูรณาการการทํางานกับหน่วยงาน
ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สถาบันการศึกษาในและนอกพื้นที่ เครือข่ายทางวิชาการกับ
สถานศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้เคียง พร้อมท้ัง
สร้างการเรียนรู้จากวัฒนธรรมท้องถิ่น สิ่งแวดล้อมและชุมชน ตลอดจนขยายการเรียนรู้ไปยัง
กลุ่มเป้าหมายอื่นๆ นอกจากเด็กและเยาวชน เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มแรงงาน
ขา้ มชาติ
2. การสร้างความรว่ มมือระหวา่ งภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
ทุกภาคส่วนในสังคม หน่วยงาน องค์กรทุกระดับ โดยเฉพาะภาคเอกชนและภาคประชา
สังคมมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา มีตัวอย่างที่เห็นได้
ชัดเจนในต่างประเทศ คือ โครงการ Learning Passport ซึ่งเป็นความร่วมมือขององค์การยู
นิเซฟ บริษัทไมโครซอฟ และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่พัฒนารูปแบบการศึกษาขั้นพื้นฐานผ่าน
ระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยออกแบบให้เหมาะสมกับเงื่อนไขและ
ความต้องการเฉพาะสําหรับเด็กนอกระบบการศึกษา เพื่อให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษมั่นใจ
ได้ว่าเด็กเหล่านี้จะได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเสมอภาค โดยมีแนวทางการ
จัดหลกั สตู ร ดงั นี้
- อ้างอิงจากหลักสูตรกลางของประเทศที่เด็กอาศัยอยู่รวมกับการเรียนรู้ที่จําเป็นตามบริบท
ของพ้นื ท่ี
- การจัดเนอื้ หาและบทเรียนได้ รับการพัฒนาโดยมหาวิทยาลยั เคมบรดิ จ์
- การจัดการด้านเทคโนโลยี รบั ผดิ ชอบโดยบริษัทไมโครซอฟ
- การสรา้ งบรรยากาศใหเ้ หมาะสมกบั การเรียนรู้ รับการจัดการโดยองคก์ ารยูนเิ ซฟ
- รว่ มกนั เปน็ ชอ่ งทางในการให้ขอ้ มลู เกี่ยวกบั โควิด - 19
56
เมื่อมองโดยรวมแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าการจัดการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ และการ
สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เป็นส่วนช่วยสําคัญในการจัด
การศึกษาตลอดชีวิตให้กับกลุ่มผู้เรียนในประเทศไทย โดยสอดคล้องและเป็นไปตาม
พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 อย่างแท้จริง และมีความสมเหตุสมผลมากกว่าความเป็น
นามธรรมของตัวนโยบายที่ได้เขียนขึ้นมาก่อน ไม่ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยเร่งอย่างโรคระบาดครั้ง
ใหญ่ของโลกเข้ามา ก็จะนับว่าเป็นสัญญาณสําคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการศึกษา
ของท้งั โลกไปตลอดกาลอยา่ งแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อีกความพยายามที่ผู้เขียนอยากให้เกิดขึ้นจริง คือ ต้องปฏิรูปวิถี
การศึกษาแบบไทย ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อการทํามาหากิน โดยภูมิสิทธิ์ ศิระศุภฤกษ์ชัย ผู้ก่อต้ัง
องค์กรอาชีฟ (a-chieve) ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า “เป้าหมายทางการศึกษาควรเป็นไปเพื่อเติมเต็ม
ความเปน็ มนษุ ย์ มากกวา่ จะเป็นการศกึ ษาเพอื่ ให้เดก็ โตข้ึนมาเป็นแรงงาน หรอื มองคนเปน็ แรงงาน
ทางเศรษฐกิจอย่างเดียว” การศึกษาจึงเป็นการลงทุนของสังคมที่จะพัฒนาพลเมืองให้มีความ
ฉลาดทงั้ ทางปญั ญา อารมณ์ และสังคม มใิ ชเ่ พยี งแค่ให้เก่งในแงข่ องการทํางานและมรี ายได้สงู ซงึ่
วิถีการศึกษาแบบไทย ๆ ได้ผลิตมนุษย์เศรษฐกิจเหล่านี้ แต่ไม่ได้ช่วยสร้างให้สังคมดีขึ้นอย่าง
ยั่งยืน แนวทางการปฏิรูปวิถีการศึกษาแบบไทย ๆ จึงควรเริ่มที่การปรับเปลี่ยนปรัชญาการศึกษา
หลักของประเทศ โดยเริ่มที่ภาครัฐ เนื่องจากหลักสูตรในการศึกษาก็ถูกออกแบบมาจากการ
ปรัชญาการศึกษาหลัก หากปรัชญาเปลี่ยน หลักสูตรก็เปลี่ยนตาม ซึ่งอาจจะทําให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
เรื่องของพื้นฐานชีวิตที่เปิดกว้างกว่าหลักสูตรปัจจุบัน ทั้งในมุมของการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ
พื้นฐานท่สี ่งเสริมให้ตัวตนของพวกเขามากขึ้นในแง่ความเป็นมนษุ ย์
บทสรุป
สถานการณ์ด้านการศึกษาตลอดชีวิตและการแพร่ระบาดขของเชื้อไวรัสโควิด – 19
ในประเทศ ผู้เขียนมีความเห็นว่าทั้งสองประเด็นมีความขัดกันอยู่มาก และการแก้ไขปัญหาผ่าน
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์นั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของการปฏิรูปวิถีการศึกษา
แบบไทย ๆ แต่นบั วา่ เปน็ จดุ เปลย่ี นสาํ คัญอนั จะนํามาสูก่ ารศกึ ษาตลอดชีวติ ในประเทศไทยได้ โดย
มีตัวแปรสําคัญ คือ เทคโนโลยี แต่ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นในยุคโควิด – 19 คือ โครงสร้างพื้นฐาน
ดิจิทัลของประเทศไทยนั้นยังขาดความทันสมัย ไม่มีความครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ อีกทั้งยังมี
ประชาชนจํานวนไม่น้อยที่เข้าไม่ถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล หรือเทคโนโลยีเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นท้ัง
เรื่องส่วนตัว ความบันเทิง การค้าขาย หรือแม้กระทั่งการศึกษาก็ตาม และแน่นอนว่าอีกปัญหาก็
คือวิธีการคิดของคนไทยที่มีลักษณะเป็นการคิด 2 ขั้วตรงกันข้ามสุดโต่ง เกิดเป็น 2 ปัจจัยสําคัญท่ี
ทําให้ไทยขาดการบูรณาการระหวา่ งเทคโนโลยแี ละการศกึ ษา ไม่ว่าจะรปู แบบใดก็ตาม
จากบทความ “5 นวัตกรรม ที่จะมาทําให้ความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษาหายไป ภายใต้
แนวคิด All for Education” ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้เสนอไว้
เกี่ยวกับการจัดการศึกษาตามบริบทของพื้นที่ และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ
ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่าสอดคล้องไปกับแนวทางการจัด
การศึกษาตลอดชีวิตโดยที่ไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีมากจนเกินไป และยังสามารถลดความเหลื่อมลํ้า
การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าในปัจจุบันจะมีปัจจัยเร่งอย่างโรคระบาด
57
ครั้งใหญ่ของโลกเข้ามา ก็จะนับว่าเป็นสัญญาณสําคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัด
การศกึ ษาของท้งั โลก
แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีทางการศึกษาจะพัฒนาไปได้ไกลขนาดไหน ก็ต้องไม่ลืมที่จะปฏิรูปวิถี
การศึกษาแบบไทย ๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อการทํามาหากิน มาเป็นการศึกษาเพื่อเติมเต็มความเป็น
มนุษย์ ทท่ี ําให้ผู้เรยี นได้เรียนรู้เรอ่ื งของพื้นฐานชวี ิตท่เี ปดิ กวา้ งกว่าในหลกั สตู รปัจจบุ ัน และพนื้ ฐาน
ที่ส่งเสริมให้ตัวตนของพวกเขามากขึ้นในแง่ความเป็นมนุษย์ ตามสิ่งที่ได้เรียนมาในรายวิชา
SW465 การศึกษากับการพัฒนาสังคม เพราะการศึกษาเป็นการลงทุนของสังคมที่จะพัฒนา
พลเมอื งใหม้ ีความฉลาดท้ังทางปญั ญา อารมณ์ และชว่ ยสร้างให้สงั คมดีขนึ้ อยา่ งยง่ั ยืน
รายการอ้างองิ
กองทุนเพอ่ื ความเสมอภาคทางการศกึ ษา (กสศ.). (19 ตุลาคม 2563). 5 นวตั กรรม ทจ่ี ะมาทําให้
ความเหล่ือมลํา้ ทางการศึกษาหายไป ภายใตแ้ นวคดิ All for Education. เรยี กใช้เมอื่ 11
พฤศจกิ ายน 2565 จาก https://www.eef.or.th/knowledge-19-10-20/
กานต์ธรี า ภรู ิวกิ รยั . (8 สงิ หาคม 2564). เม่อื โควดิ ดสิ รัปตก์ ารศกึ ษา : เปิดบทเรียนความเหลอ่ื ม
ลํา้ ในวันทีโ่ ลกติดไวรสั . เรียกใชเ้ มือ่ 11 พฤศจิกายน 2565 จาก
https://www.eef.or.th/inequality-in-education-and-covid-19/
ภูมิสทิ ธิ์ ศริ ะศภุ ฤกษ์ชัย. (4 มกราคม 2565). เป้าหมายทางการศกึ ษาควรเป็นไปเพ่อื เตมิ เตม็
ความเป็นมนษุ ยม์ ากกว่าจะเปน็ การศกึ ษาเพ่ือใหเ้ ดก็ โตขน้ึ มาเป็นแรงงาน. เรยี กใช้เม่ือ 11
พฤศจกิ ายน 2565 จาก https://www.eef.or.th/article-a-chieve-040122/
วิทยากร เชยี งกลู . (2564). สร้างระบบเศรษฐกจิ สงั คมใหม่ยคุ วกิ ฤตโควิต - 19. กรงุ เทพฯ:
สถาบันวิชาการ 14 ตลุ า.
สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. (2564). นิทัศนแ์ นวคิดและแนวทางการสง่ เสริมการเรยี นร้ตู ลอดชวี ติ ใน
ประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: สํานกั พมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
58
มองให้ถูกมุม มมุ ทีถ่ กู ลืม
59 6305680107 ธนาภา เกบตุ ร
“มองให้ถูกมุม มุมที่ถูกลืม” เมื่ออ่านประโยคนี้แล้ว ผู้อ่านอาจจะกําลังสงสัยว่ามองอะไรให้ถูก
มมุ และมุมอะไรทีถ่ ูกลืม ดิฉนั ในฐานะผู้เขยี นบทความเร่อื งน้ีขอเฉลยใหก้ ับผู้อา่ นทกุ คนไดท้ ราบค่ะ
“มองใหถ้ กู มุม” คาํ วา่ “มมุ ” ทีผ่ ้เู ขียนต้องการจะส่อื คือ มมุ มองของการศึกษา
สว่ น “มุมที่ถกู ลมื ” ทผี่ เู้ ขยี นต้องการจะสอ่ื คอื มุมมองของการศกึ ษาทก่ี ําลังถูกลืม
โดยบทความที่ดิฉันจะเขียนต่อไปนี้ เป็นบทความที่สะท้อน แตกประเด็นมาจากตอนที่ 9
ของซีรี่ส์ Extraordinary Attorney Woo หรือที่ทุกคนเรียนกันว่า “อูยองอู” เป็นซีรี่ส์ที่เกี่ยวข้องที่
จัดอยู่ในหมวดกฎหมายของประเทศเกาหลี ซึ่งตอนที่ 9 ที่ซีรี่ส์ได้เล่าเรื่องออกมานั้น เกี่ยวข้องกับ
สังคม การเมือง วัฒนธรรม ค่านิยม ครอบครัว และรวมไปถึงระบบการศึกษาของประเทศเกาหลีท่ี
เปน็ อย่ใู นปัจจุบัน
ก่อนอื่นผู้เขียนขอเล่าเนื้อเรื่องในตอนที่ผู้เขียนจะยกมาสะท้อนประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้อง
กับทฤษฎขี องเปาโล แฟร์ “การศึกษาของผูถ้ ูกกดข่ี”
ในตอนที่ 9 เป็นตอนที่เล่าถึงชีวิต ระบบการศึกษาของเด็กนักเรียนในประเทศเกาหลี ซึ่งตัว
ละครหลักหรือตัวบงการวางแผนเรื่องทั้งหมดคือ นาย เอ (นามสมมติ) อายุ 26 ปี เป็นผู้ชายที่อยู่
ในช่วงวัยทํางานและพง่ึ เรมิ่ สนกุ กับการใชช้ ีวิต โดยครอบครวั ของนายเอ มี แม่ และพ่ีชายอีก 2 คน
ซึ่งธรุ กจิ ของครอบครัวคอื เปิดสถาบนั กวดวิชา ทส่ี อนเด็กต้ังแต่อนุบาล ประถม ไปจนถึงมัธยม
อยู่มาวันหนึ่ง นายเอได้นํานํ้าผลไม้ที่ผสมกับยานอนหลับให้คนขับรถสถาบันกวดวิชาดื่ม
และได้ทักทายเด็กๆ ที่นั่งอยู่ในรถเพื่อจะไปเรียนต่อที่สถาบันกวดวิชา ซึ่งตอนแรกเด็กๆ ก็สงสัยว่า
นายเอเป็นใคร นายเอก็คลายความสงสัยและได้สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อเด็กๆ ทําให้เด็กไม่กลัวท่ี
จะพูดคุยกับเขา นายเอได้ชี้แจงให้เด็กทราบก่อนจะพาเด็กไปเที่ยวเล่นว่า “มีใครไม่อยากไปเล่น
สนุก ก็ให้ลงจากรถไป” ปรากฏว่าไม่มีเด็กคนไหนลงจากรถ ทุกคนยังนั่งอยู่ตรงเบาะนั่งที่เดิมและ
อยากไปเล่นสนุกกับนายเอ นอกจากนี้นายเอยังได้ประกาศกฎในการไปเที่ยวเล่นกับเด็กๆ ครั้งนี้ 3
ข้อ คือ ข้อ 1 เด็กๆ จะต้องได้เล่นสนุก ข้อ 2 เด็กๆ จะต้องมีสุขภาพร่างกายแข็.แรง และข้อ 3
เด็กๆ จะต้องมีความสุข หลังจากนั้นนายเอจึงออกรถและพาเด็กๆ ไปเที่ยวเล่นแถวเนินเขาเป็น
เวลา 4 ชั่วโมง ซึ่งในระยะเวลา 4 ชั่วโมงนี้ นายเอได้พาเด็กๆ วิ่งเล่น เล่นสนุก เล่นเกม สนุกสนาน
กันตามประสาเด็กๆ ทําให้เด็กๆ มีความสุข นายเอได้ดูแลเด็กๆ และเล่นกับพวกเขาในช่วง
ระยะเวลา 4 ชั่วโมงนี้ ทางสถาบันกวดวิชาก็ไม่เห็นเด็กๆ มาเรียน ทางฝั่งผู้ปกครองก็ไม่ทราบ
เหตุการณ์ที่กําลังเกิดขึ้น ส่วนฝั่งคนขับรถก็นอนหลับตลอด 4 ชั่วโมง ตื่นมาอีกครั้งก็พบว่า รถของ
สถาบันกวดวิชามาจอดอยู่ที่เนินเขาและไม่พบเด็กๆ จึงได้โทรแจ้งตํารวจ และในขณะนั้นนายเอก็
กลบั ลงจากเนินเขามาพอดี นายเอถูกควบคมุ ตวั โดยตาํ รวจในข้อหาลักพาตวั เด็ก
เมื่อผู้ปกครองเด็กทราบเรื่องก็รู้สึกไม่พอใจต่อตัวนายเอและสถาบันกวดวิชาเป็นอย่างมาก
จึงพากันฟ้องรอ้ งนายเอ ซ่ึงลําดับตอ่ ไปก็ไปส้คู ดกี ันในศาล
จากเนื้อเรื่องที่เล่ามาข้างต้น นักเขียนได้วิเคราะห์พฤติกรรมของนายเอถึงลักษณะนิสัย
ของนายเอ พบว่า นายเอเป็นคนที่ถูกคาดหวังโดยครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก โดยแม่ของนายเอ ซึ่ง
เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเลี้ยงลูก 3 คน ได้คาดหวังกับตัวเองและลูกๆ ว่า ลูกทั้ง 3 คน จะต้องประสบใน
การเรียน ในการทํางาน ซึ่งลูกคนโตและลูกคนกลางมีหน้าที่การงานที่มั่นคงแล้ว ส่วนนายเอที่เป็น
ลูกคนสุดท้อง ก็กลับรู้สึกถูกกดดันและไม่ชอบกับชีวิตที่เขาเป็นอยู่ ตั้งแต่ยังเด็กนายเอก็เรียนหนัก
มาตลอด นายเอใช้ชีวิตในสมัยเด็กแบบตอนเช้าไปโรงเรียน ตอนเย็นเลิกเรียนและไปสถาบันกวด
60
วิชาเพ่ือเรียนกวดวิชาต่อ ซึ่งชีวิตของการนายเอเป็นอย่างนี้ตั้งแต่อนุบาลจนจบมัธยม เป็นช่วง
ระยะเวลาที่อยู่ในวัยเด็กและเยาวชนที่ควรมีความสุขและเล่นสนุกกับชีวิตวัยเด็ก นายเอจึงได้ปลด
แอกเด็กๆ ที่จะไปสถาบันกวดวิชาและพาพวกเขาไปเล่นสนุก สร้างความสุขให้เด็กๆ และเด็กๆ ก็
ชอบนายเอ ชอบทไี่ ดเ้ ล่นสนกุ ชอบที่ตวั เองมคี วามสขุ จนอยากกลบั ไปเลน่ ท่นี ่นั อีก
ปัจจัยหลายอย่างทีม่ ีผลต่อระบบการศกึ ษาในมมุ มองทีถ่ กู ลมื จะถูกกล่าวถึงในประเด็นถดั ไป ...
ประเทศเกาหลีใต้นับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการเรียนที่ค่อนข้างหนัก เนื่องจากเกาหลีเป็น
ประเทศที่มีการแข่งขันสูงมาก และตั้งแต่สมัยอดีตประเทศเกาหลีใต้ก็มีค่านิยมเกี่ยวกับการเรียน
ว่า “เรียนหนักแล้วจะได้ดี” ประเทศเกาหลีใต้ได้บรรจุคุณสมบัติเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องพื้นฐานท่ี
ทุกคนควรมีเพื่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย สมัครงาน หาแฟนหรือคู่ครอง รวมถึงการแบ่งชนชั้นทาง
สังคม ซึ่ง ‘ค่านิยม’ นี้เป็นผลมาจากร่องรอยช่วงสงครามเกาหลี และวิกฤตเศรษฐกิจการเงินใน
เอเชีย รัฐบาลเกาหลีสร้างนโยบายตอบโจทย์ตลาดแรงงาน ซึ่งเเสดงให้คนสมัยนั้นเห็นว่า เมื่อพวก
เขาตั้งใจเรียน มีการศึกษาสูง พวกเขาจะประสบความสําเร็จ ความเชื่อแบบนี้ถูกส่งต่อผ่าน
คําพูดคําสอนของพ่อแม่ รวมไปถึงความคาดหวังจากพ่อเเม่สู่ลูก จากรุ่นสู่รุ่น ทําให้เด็กๆ เชื่อว่า
การศึกษาจะเปลี่ยนสถานะทางสงั คมและรกั ษาภาพลักษณค์ รอบครัวได้
ด้วยค่านิยมที่ว่า เรียนหนักแล้วจะได้ดี ส่งผลให้เด็กเกาหลีใต้จริงจังกับการเรียนมาก พวก
เขาใช้ระยะเวลาในการเรียนมากถึงวันละ 14-16 ชั่วโมง ซึ่งนอกจากเรียนตามปกติในโรงเรียนแล้ว
หลังเลิกเรียนกจ็ ะต้องเรียนพิเศษท่โี รงเรียนสอนพเิ ศษ หรือสถาบนั กวดวชิ าตา่ งๆ ตามซีรส่ี ์ท่ีผูเ้ ขยี น
ได้เล่าไปข้างต้น โดยบางคนอาจเรียนพิเศษที่โรงเรียน บางคนก็เรียนที่สถาบันกวดวิชา และบาง
คนครอบครัวก็จะจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้านแบบตัวต่อตัว เพื่อให้ได้รับความรู้ให้ได้มากที่สุดและ
นําไปใช้ได้จริงมากที่สุด
ผู้เขียนคิดว่าค่านิยมเป็นปัจจัยสําคัญมากๆ เป็นตัวหลักในสังคมที่คอยบงการ ที่คอยกดข่ี
ตัวเด็กและครอบครัวเป็นอันดับแรก ทั้งครอบครัว พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง เป็นสถาบันครอบครัวท่ี
เป็นสถาบันแรกที่ตัวเด็กจะเจอ ในบางครอบครัวถือเป็นครอบครัวที่ดี คอยให้กําลังใจ คอยส่งเสริม
สนับสนุนลูกๆ ให้ทําตามสิ่งที่ตัวเองอยากทําหรอื สนับสนุนให้ลูกทําในสิ่งที่ชอบ แต่ในทางกลับกัน
บางครอบครัวกับยึดติดกับค่านิยมทางสังคมที่แสดงความเป็นหน้าเป็นตาของครอบครัวได้มาก
ทสี่ ดุ ไมว่ ่าจะเปน็ หนา้ ตา ช่ือเสยี งทางสังคม ความดีความชอบ ความยกยอปอปน้ั การได้รับเกยี รติ
ได้รับความชมเชยจากผู้อื่น หรือการที่ผู้อื่นมาชมเชยลูกของตัวเอง ก็นับเป็นความต้องการอีกอย่าง
หนึ่งที่ครอบครัวต้องการจากตัวลูกๆ จนลืมไปว่าลูกก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการความสุข ความ
สนุกสนาน ต้องการใช้ชีวิตให้สมวัยเด็ก เด็กไม่ได้ต้องการความคาดหวัง ไม่ได้ต้องการความ
กดดันจากพ่อแม่เสมอไป เด็กแค่อยากใช้ชีวิตในวัยเด็ก อยากเล่นสนุกให้สมกับความต้องการของ
เดก็ ก่อนทีอ่ ะไรๆ มันจะสายเกินไป
ยกตัวอย่างจากซีรีส์ ครอบครัวของเด็กทุกครอบครัวต่างก็ คาดหวังในตัวเด็ก จนลืม
ช่วงเวลาที่มีความสุขของเด็ก เลิกเรียนที่โรงเรียนก็ต้องไปเรียนต่อที่สถาบันกวดวิชา โดยที่สถาบัน
กวดวิชาก็ติวเข้ม มีกฎระเบียบเคร่งครัด เช่น เด็กไม่สามารถออกจากห้องเรียนได้ก่อน 4 ทุ่ม หาก
รู้สึกหิวก็ค่อยออกมากินตอนเลิกเรียน ซึ่งเมื่อเลิกเรียนแล้ว เด็กๆ ก็แห่กันไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อ
ซื้ออาหารรับประทาน และอาหารส่วนใหญ่ที่รับประทานคือ บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ไส้กรอก อาหาร
แปรรูป นมกาแฟที่มีคาเฟอีนสูง ซึ่งอาหารเหล่านี้นับเป็นอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของ
61
เด็กตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อรับประทานตั้งแต่เด็กไปจนโตจะสะสมในร่างกายและทําให้ร่างกายทรุด
โทรมได้ จะสังเกตได้ว่าหนึ่งในเครื่องดื่มที่เด็กเลือกรับประทานคือ นมที่มีคาเฟอีนสูง จากซีรีส์ได้
อ้างว่า เด็กเหล่านี้ดื่มนมกาแฟที่มีคาเฟอีนสูงเนื่องจากจะต้องไปเรียนหรืออ่านหนังสือต่อ ดังนั้นจะ
นอนหลบั ไมไ่ ด้จงึ ตอ้ งด่มื นมกาแฟเพ่อื ใหต้ วั เองต่ืนเข้าไว้
ครอบครัวต่างก็รับรู้พฤติกรรมเหล่านี้ของเด็กๆ แต่ก็ไม่ขัดขืนเพราะครอบครัวเองเป็นคน
กวดขันให้เด็กมีพฤติกรรมแบบนี้ เพียงเพราะค่านิยมที่ว่า “เรียนหนักแล้วได้ดี” และข้ออ้างที่ว่า
“ทําเพื่ออนาคตเด็ก” จนทําให้เด็กที่อายุไม่กี่ปีโดนขังอยู่ในโรงเรียนและสถาบันกวดวิชา เรียน
หนังสืออย่างตํ่าวันละ 12 ชั่วโมงทุกวัน ไม่ได้กินเต็มที่ ไม่ได้หลับเต็มอิ่ม ซึ่งการกระทําโดยที่ไม่ได้
ตั้งใจเหล่านี้สื่อให้เห็นว่า “ศัตรูของเด็กเกาหลีคือโรงเรียน และสถาบันกวดวิชา” และครอบครัวเอง
กลับไม่สนใจและเมินเฉยต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหารรวมถึงการใช้ชีวิตไปกับการเรียน
ของเด็กๆ จนลืมไปว่า เด็กก็ต้องมีความสุข เด็กก็ต้องมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เด็กก็ต้อง
สนกุ สนานและใช้ชวี ติ วัยเด็กตง้ั แตต่ อนน้ี
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า การที่เด็กเรียนดี ได้เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ทํางานบริษัทดีๆ
ถือเป็นหน้าตาทางสังคมให้แก่ครอบครัว ไม่ว่าจะไปตรงไหนก็มีแต่คนเคารพนับถือ
มี Connection ที่ดีต่อกัน พึ่งพาอาศัยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพราะได้ประโยชน์ร่วมกันของ
ครอบครัวในแต่ละกลุ่ม แต่หารู้ไม่ ว่าการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้มันยากลําบากและแสนเข็ญสําหรับ
เด็กบางคนแค่ไหน เด็กเหล่านี้จะต้องอยู่ในกรอบระเบียบที่ครอบครัว พ่อ แม่ คุณครู โรงเรียนท่ี
คอยตีกรอบและวางแผนเส้นทางชีวิตของเด็กว่าจะต้องทําอะไร และต้องไปในทิศทางไหนเพื่อให้
ได้ผลลัพธ์เชน่ น้ี
ประเทศเกาหลีใต้จะมีอีกหนึ่งค่านิยมหรือวัฒนธรรมที่สําคัญคือ กลุ่มคุณแม่ที่มีฐานะจะ
รวมกลุ่มกันเพื่อวางแผนกําหนดเส้นทางอนาคตชีวิตของลูกตั้งแต่เด็ก โดยจะวางแผนตั้งแต่ลูกยัง
อายุน้อย เช่น ลูกอายุ 2 ขวบ ก็เริ่มหาที่เรียนพิเศษเสิรมเพิ่มเติมในเรื่องทักษะความสามารถพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นด้านดนตรี ด้านศิลปะ เป็นต้น และทุกช่วงระยะเวลาของการศึกษาที่เด็กอยู่ในระบบ
คุณแม่กับคุณครูจะติดต่อกันตลอดเพื่อควบคุมพฤติกรรม การเรียนรู้ การศึกษา รวมไปถึงการทํา
กิจกรรม การบําเพ็ญสาธารณะประโยชน์ เพื่อวางแผนและรวบรวมข้อมูลเหล่านี้ไปวางแผนใน
การศึกษาตอ่ ระดบั อุมดมศึกษาในมหาวทิ ยาลยั ชัน้ นําของประเทศ
ผู้เขียนเห็นว่า การกระทําเหล่านี้มักจะไม่ยุติธรรมกับตัวเด็ก เพราะเด็กไม่สามารถเลิก
อะไรได้ตามที่ตนเองชอบ เด็กต้องเดิมตามทางที่พ่อแม่วาดไว้ เพื่อทําตามความคาดหวังให้พ่อแม่
เป็นจริง เด็กต้องมีวินัยกกับตัวเองอยู่เสมอในเรื่องการเรียน พ่อแม่ต้องคอยเฝ้า คอยกวดขันลูกๆ
ให้เป็นไปตามแบบที่ตัวเองต้องการ จนบางที พ่อกับแม่ก็อาจลืมไปว่า สิ่งที่พวกเขากําลังกระทําต่อ
ลกู ตวั เองคือ “การกดข่ี” ลูกของตนเชน่ กัน
สถาบันต่อมาที่สําคัญไม่น้อยไปกว่าสถาบันครอบครัวคือ สถาบันการศึกษา หรือโรงเรียน
ที่เด็กกําลังเรียนอยู่นั่นเอง โรงเรียนเป็นสถานที่ขัดเกลา บ่มเพาะนิสัย สั่งสอน และสร้างความรู้
ให้แก่เด็กๆ ที่เข้ามาเรียนรู้ แต่แน่นอนว่าในพื้นที่เดียวกันก็มีคนหลากหลายรูปแบบ ซ่ึงคน
หลากหลายรูปแบบ มาจากต่างที่ต่างถิ่น มาจากครอบครัวที่เลี้ยงมาไม่เหมือนกัน ทําให้โรงเรียน
เองก็มีกฎระเบียบที่ขีดเส้นแบ่งไว้อย่างชัดเจนว่ากระทําสิ่งใดได้บ้างและไม่สามารถกระทําสิ่งใดได้
บ้าง ซึ่งกฎระเบียบเหล่านี้จะคอยกําหนดพฤติกรรมของเด็ก จนในบางครั้งเด็กเองไม่สามารถกลับ
62
แสดงความเป็นตัวเองออกมาให้สังคมได้รับรู้ ทําได้แค่แสดงความเป็นตัวเองในพื้นที่ส่วนตัวของ
ตน จนบางที โรงเรียนนน่ั แหละ ทเ่ี ปน็ ตัวบน่ั ทอนและลดทอนคณุ คา่ ในมนุษย์
“ก็เขาทําอย่างนมี้ าต้งั นานแลว้ ”
วลีที่ได้ยินบ่อยเมื่อเกิดข้อโต้แย้งเรื่องกฎระเบียบในโรงเรียน หากมีนักเรียนคนใดคนหน่ึง
กล้าลุกมาโต้แย้งถึงกฎระเบียบที่เขียนเอาไว้ตั้งนานแล้ว ประโยคที่ได้ยินชัดบ่อยที่สุดคือ ก็เขาทํา
อย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แส้งให้เห็นถึงค่านิยมที่ต้องตั้งคําถามกลับว่า ทําไมนักเรียนต้องตัดผมส้ัน
ทําไมนักเรยี นถงึ ใสถ่ งึ เท้าขอ้ ยาวไมไ่ ด้ ทาํ ไมตอ้ งเครง่ ครดั กบั การใสช่ ุดนกั เรียน ทําไม ทําไม ทาํ ไม
? เกิดคําถามเยอะแยะมากมายที่ถูกตั้งขึ้นมาและตอบได้เพียงว่า “ก็เขาทําอย่างนี้มาตั้วนานแล้ว”
… ผู้เขียนเชื่อว่านักเรียน เด็ก เยาวชนช รวมถึงวัยรุ่นหลายๆ คน ก็กําลังงงงวยกับคําตอบนี้ และ
หันกลับมาคิดกับตัวเองอีกว่า โลกเปลี่ยน ทําไมระบบการศึกษาถึงไม่ได้ปรับเปลี่ยนให้ทันโลกทัน
ยคุ สมัยละ่ ?
หรอื ว่า ระบบการศกึ ษาพยายามจะปรับแล้ว แตป่ รบั ได้แค่นี้จรงิ ๆ ?
เรื่องกฎระเบียบในโรงเรียนแม้กระทั่งในประเทศไทยเองก็ยังคงตั้งคําถามขึ้นตลอดเวลา
และมีประเด็นกรณีมากมายที่เป็นผลกระทบในทางลบจากการลงโทษเด็กที่คิดนอกกรอบ ทําไม
เดก็ ทีไ่ มอ่ ย่ใู นกรอบถึงโดนลงโทษ?
หรือจริงๆ แล้ว ระบบการศึกษากําลังผลิตเราให้เป็นคนที่เชื่อฟัง หัวอ่อน เชื่อคนง่าย และขู่
ใหเ้ ดก็ กลวั ทจ่ี ะขัดคาํ สัง่ บ้าๆ เหลา่ น้ี ?
ผู้เขียนเคยได้ยินประโยคหนึ่งคือ “ระบบการศึกษาผลิตคนให้เป็นแรงงานที่รับใช้นายทุน”
ทําให้ผู้เขียนได้คิดถึงประเด็นที่ว่า การกดขี่เด็ก การทําให้เด็กอยู่ในกฎระเบียบตั้งแต่ยังเด็ก นั่นจะ
เปน็ การปลูกฝงั จิต ปลกู ฝังนสิ ัยของพวกเขาให้เปน็ คนหวั อ่อนตงั้ แตย่ งั เดก็ หรอื เปลา่ ...
อ่านกันมาตั้งแต่เรื่องปัจจัยทางสังคมค่านิยม สถาบันครอบครัว จนถึงสถาบันการศึกษา
ผู้อ่านได้ฉุกคิดอะไรที่เกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาที่คอยกดขี่เด็กอยู่บางไหมคะ ผู้อ่านได้ทบทวนกับ
ตวั เองวา่ เคยเจอเหตุการณ์เหลา่ นี้บ้างไหมคะ ถ้าเคยพบเจอก็มาแชรป์ ระสบการณ์ผูเ้ ขียนฟงั ไดน้ ะคะ
การศึกษาของผู้ถูกกดขี่ ที่เปาโล แฟร์ ได้เขียนไว้ ถือเป็นบทความที่อ้างอิงสิ่งที่ดิฉันเขียน
ได้เป็นอย่างดี การศึกษาถือเป็นช่วงที่ทุกคนจะได้ทําความรู้จักตนเอง ค้นหาตัวเองในช่วง
ระยะเวลา 20 ปี กลับกดขี่ให้เด็กเหล่านี้ไม่สามารถเป็นแบบที่ตนเองอยากเป็นได้ นั่นนับว่าเป็น
การศึกษาทด่ี ีจริงหรอื ?
ผู้เขียนเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อต้องการบอกเล่า ถึงก้นบึ้งของโครงสร้างในสังคมที่ส่งผลต่อ
ระบบการศึกษา ลามไปสู่ครอบครัวที่มีความคาดหวังต่อลูกๆ ให้สามารถเป็นคนเก่ง เป็นคนดี
และประสบความสําเร็จในชีวิตได้ แต่การกระทําที่ผู้เขียนได้เขียนเล่าข้างต้น กลับทําลายความฝัน
ทําลายชีวิตวัยเด็ก ทําลายสุขภาพ ทําลายความสุขของเด็กที่ควรจะเล่นให้เต็มอิ่มไปกับการเรียน
หนักทุกวัน จนเด็กเกิดความรู้สึกกดดัน เครียด และเหนื่อยกับการเรียน จนในบางครั้งก็เกิด
โศกนาฏกรรมทีไ่ ม่คาดคดิ ต่อตัวเดก็ ทแ่ี บกความคาดหวงั แบกความกดดันของครอบครวั เอาไว้ ...
ผู้เขียน
ธนาภา เกบุตร
63
อ้างอิง
https://thematter.co/social/south-korea-education-in-series/142712
https://theseriousseries.com/education-in-south-korea/
https://wealthmeup.com/20-05-15-southkorea/
64
กบั ดักของผู้ถกู ปลดปลอ่ ย
วรกันต์ ตรวี าส 6205610600
65
หลังจากอ่านหนังสือเรื่องการศึกษาของผู้ถูกกดขี่ ทําให้ตัวของผมค้นพบว่ากระบวนการ
ศึกษาไทยในฝันนั้นไม่ได้กําลังต่อสู้อยู่เพียงในสนามของยุคสมัยที่ต้องพัฒนาเพื่อแข่งขันกับทั่วโลก
แต่ได้มอบมุมมองใหม่อย่างการต่อสู้เพื่อปลดแอกจากภาวะการสูญเสียความเป็นมนุษย์โดยนํ้ามือ
มนุษย์ด้วยกันเอง ความรู้และโลกที่ตัวของผมเคยรู้จักนั่นช่างดูผิวเผิน ไม่แปลกเลยที่พวกเราก็เคย
เป็นหนึ่งคนที่มองข้ามปัญหาที่ฝังรากลึกในประเทศ เราเคยคิดว่าการแก้ปัญหาอย่าง การเปลี่ยน
นโยบายการศึกษา เปลี่ยนผู้บริหารใหญ่สุดของกระทรวงศึกษาธิการ หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยน
ผู้นําประเทศจากนายกรัฐมนตรีออกเป็นคนใหม่ เพียงพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงปัญหาซ่อนเร้น
เหล่านี้ได้ เราได้ทิ้งให้ต้นตอปัญหาที่ว่าด้วยเรื่องของสังคม ค่านิยม และวิธีการแก้ปัญหาอย่างการ
ทําความเข้าใจซึ่งกันและกันในฐานะของมนุษย์ถูกมองข้าม การที่หนังสือได้เผยมุมมองที่ว่าหากยัง
มองผู้กดขี่และผู้ถูกกดขี่เป็นภาพของบุคคลนั้น ช่างเป็นกําแพงสูงที่ยากจะข้ามผ่านที่คอยขวาง
ไม่ให้ผู้คนก้าวข้ามความเกลียดชังระหว่างขั้วตรงข้ามได้ หนําซํ้ายังจะเกิดการปฏิบัติซํ้าเป็นดั่ง
วงจรอบุ าทว์ทเ่ี มอื่ คนเก่าไปคนใหมก่ ม็ าไม่จบสนิ้
“การปลดปล่อยที่ไม่ใช่ของกํานัล ไม่ใช่การบรรลุด้วยตนเอง แต่เป็นกระบวนการ
ที่ต้องกระทําร่วมกัน” คือสิ่งที่ตัวของผมได้เรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ชัดเจนที่สุด มีหลายคนค้นพบ
ต้นตอของปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้มองแค่ว่ามันเป็นเรื่องของปัญหาบุคคลแต่เป็นเรื่องของปัญหาสังคม
อีกด้วย ในปัจจุบันการตระหนักและตื่นรู้เกี่ยวกับปัญหาสังคมเหล่านั้นไม่ได้ถูกจํากัดอยู่เพียง
เงื่อนไขที่ว่าต้องอ่านหนังสือที่ชื่อ“การศึกษาของผู้กดขี่”เสมอไป ในยุคปัจจุบัน ข่าวในโลกโซเชี่ยล
บทความนับร้อยพัน ถูกเผยแพร่ให้เราได้อ่านกันและเข้าถึงโดยง่ายในรูปแบบหลากหลายสื่อให้
เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น บทความเต็มหรือบทความแบบย่อ อินโฟรกราฟฟิคอ่านง่าย คลิปวิดีโอสรุป
ใน 10 นาที ฯลฯ เราจึงสามารถพูดได้ว่าผู้คนในยุคนี้มีโอกาศการเข้าถึงสภาวะที่ชื่อว่าการเป็นผู้
ถูกปลดปล่อยตามนิยามของหนังสือเล่มนั้นมากกว่ายุคที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เรื่องที่ฟังดูขัดหูขัดใจนัก
แต่เพราะอะไรกัน เมื่อตัวของผมได้หันมองภาพที่เกิดขึ้นตามซอกมุมต่างๆของสังคมรวมถึงหัน
กลับมามองตนเองอย่างตั้งใจ จึงพบว่าการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตนจากการศึกษาที่กดทับความเป็น
มนุษย์ ปลดปล่อยจากสังคมที่เอารัดเอาเปรียบยังคงมีรูปแบบเดิมไม่ต่างจากอดีต ชวนให้ใคร่
สงสัยว่าเหตุใดผู้คนถึงยังตอบโต้ด้วยความเกลียดชังกันอยู่ เหตุใดความต้องการล้มล้างขั้ว
อํานาจนึงด้วยอีกขั้วอํานาจ ยังถูกนําขึ้นมาหยิบใช้เสมอ พวกเราบอกว่าพวกเราเป็นผู้คนที่ดูตื่นรู้
แต่เพราะอะไรพวกเรากลับไม่ใกล้เคียงดั่งตําราหรือบทความที่มีแนวทางการนําพามนุษย์สู่ความ
เป็นผู้ถูกปลดแอกดังที่ผู้เขียนอ่านมาก่อนหน้า? ตัวผมพบว่าโอกาสการเข้าถึงสิ่งที่ตัวผมขอเรียกว่า
สภาวะผู้ถูกปลดปล่อยที่มากขึ้นเหล่านั้นบ่อยครั้งไม่ได้นําพาผู้รับสารสู่การปลดปล่อยผู้อื่น แต่ใน
บางครั้งกลับเป็นการสร้างอีกสภาวะนึงที่ถึงแม้จะก้าวข้ามการมองปัญหาที่เกิดเป็นในแง่ของสังคม
เชิงโครงสร้างมากกว่าของบุคคล แต่กลับตกหลุมพรางทางความคิดจนบางคนกลายเป็นผู้กดขี่เสีย
เองโดยไม่รู้ตัว โดยหลุมพรางนี้ตัวผมมองว่าร้ายกาจเสียยิ่งกว่าหลุมพรางไหน ๆเพราะเป็น
หลุมพรางที่เกิดจากตนเอง ตัวผมสังเกตเห็นความอันตรายในด้านนี้และมองว่าการตระหนักถึงส่ิง
ที่จะกล่าวต่อไปนี้มีความสําคัญในการเตือนสติเหล่าผู้เรียกตัวเองว่าผู้ที่คิดว่าถูกปลดปล่อย
ทั้งหลาย ว่าแม้เราจะได้รับดาบแห่งความรู้มาเป็นอาวุธ ที่สามารถใช้ต่อกรการกดขี่ข่มเหงไม่ว่าจะ
ทางใดนั้นได้ก็จริง แต่ก็จงอย่าใช้ดาบนั้นทําร้ายผู้อื่น และสําคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น จงอย่าใช้ดาบท่ี
เรียกว่าความรู้เล่มนั้นทําร้ายตนเอง เพื่อรักษาผู้ถูกปลดปล่อยและเพื่อปลดปล่อยผู้คนจากระบบ
66
อํานาจนิยมที่แฝงเร้นกายไม่ใช่แค่ภายในการศึกษา แต่ในทุกมุมของสังคมที่เราต้องดํารงอยู่จวบ
จนวนั สุดท้ายของชวี ติ
โดยงานเขียนชิ้นนี้ ตัวของผมจะใช้ข้อมูลส่วนใหญ่จากหนังสือชื่อ“การศึกษาของผู้ถูกกดขี่”
ควบคู่กับบทความหลากหลายแห่ง เพื่อค้นหากับดักทางความคิดที่คอยฉุดรั้งผู้ที่ผ่านการศึกษา
ของผู้ถูกกดขี่ ขัดเกลาผู้ตื่นรู้ เตือนสติเหล่าผู้คนซึ่งจะเป็นความหวังที่อาจหลงผิด ให้สามารถหัน
เขม็ ทิศปรับให้เทีย่ งธรรมถกู มากย่ิงขึ้น
1. กบั ดกั จากความเพกิ เฉยเคยชินและความกลวั
อะไรคือราคาทตี่ ้องจา่ ยหากเลือกจะต่อสู้กบั ส่งิ ที่ชว่ั ชวี ิตของเราอาจจะไม่ได้อยู่ถงึ วนั ที่ชนะ
“ปัญหาคืออิทธิพลนี้ไม่ได้ก้าวสู่แนวทางปฏิบัติเสมอไป ตัวอย่างเช่นมหาลัย ผู้คน
มากมายประกาศตัวว่าเป็นสายเฟรรี แต่ก็ไม่ได้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสภาพที่เป็นอยู่จริงใน
โรงเรียน หรือการปฏิบัติต่างๆในระบบการศึกษาให้สอดคล้องกับแนวทางของเฟรรี” ราโมน
เฟลชา กล่าวอธิบายเล่าถึงสิ่งที่เขาพบเห็นเมื่อมองสังคมที่เรากําลังใช้ชีวิตอยู่ผ่านเลนส์สายตาของ
หนังสือเล่มที่เราใช้ศึกษา มองผิวเผินจะมองว่าคนเหล่านี้ช่างขาดความรับผิดชอบและขี้ขลาด แต่
ตัวผู้เขียนกลับรู้สึกเข้าใจและพยายามเชื่อมโยงกับสิ่งที่เคยพบเจอในชีวิต สิ่งที่ราโมน เฟลชากล่าว
นั้นสามารถเชื่อมโยงสอดคล้องกับคําในหนังสือที่ว่า ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ที่ยังไม่ตื่นรู้ที่เลือกจะ
มองข้ามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญหาระดับสังคม ตัวผู้ที่ตื่นรู้เองก็สามารถตกอยู่ในสภาวะของ
การถูกครอบงําจากโครงสร้างสังคมนั้นๆได้อีกด้วย เพราะหากไม่ปรับตัวตามก็จะพบกับความ
ลําบากที่ไม่อาจกลับไปจุดที่เคยปลอดภัยได้ จนตกอยู่ใต้สถานะที่เปรียบดั่งการถูกแช่แข็ง เป็น
สภาวะที่ยากจะโงหัวขึ้นมาบอกว่าสิ่งที่พวกตนกําลังทําอยู่นั้นก็กําลังส่งเสริมสิ่งที่ลดคุณค่าของ
มนุษย์และคุณค่าของตนเองในทางอ้อมเช่นกัน หากพวกเขาคิดจะต่อสู้ พวกเขาก็จะเป็นฝ่ายถูก
คุกคามเสียเอง ไม่เพียงจากฝ่ายผู้กดขี่เท่านั้น แม้กระทั่งฝ่ายผู้ถูกกดขี่ด้วยกันเองก็พร้อมจะ
คุกคามในการกระทําที่อาจสร้างผลกระทบตอ่ ความมน่ั คงในการใชช้ ีวติ ของพวกเขา
จุดที่เราควรต้องคุยกันจริงๆเพื่อหาทางออกงของกับดักชิ้นนี้ คือพวกเราบีบภาพและ
มุมมองของการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ที่ว่านั้นแคบจนเกินไป เรามักจะมองหาสิ่งที่เรียกว่าการ
ได้รับสนับสนุนและการได้รับความเห็นชอบจากเพื่อนหรือคนใกล้ชิดเสมอ อุดมการณ์การ
เปลี่ยนแปลงถึงจะสําเร็จ คีย์เวิร์ดสําคัญของสมการนี้คือคําว่า “เวลา” แท้จริงแล้วเราทุกคนมีเวลา
มากพอที่จะหาหนทางการพูดคุยแลกเปลี่ยน ประนีประนอม แสดงความจริงใจที่จะหาทางออก
ร่วมกับคนอื่นๆรวมถึงผู้เห็นต่างอย่างไม่เร่งรีบ แน่นอนว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นนั้นเป็น
กระบวนการที่ใช้เวลาและความอดทนที่สูง หากเรายอมลดอัตตาของตนลงสักเล็กน้อย เลือกที่จะ
พูดคุยหาทางออกมากกว่าการหักดิบและแบ่งฝ่าย กับดักดังกล่าวก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ที่ผู้ถูก
ปลดปลอ่ ยทุกคนตอ้ งสามารถผา่ นไปไดแ้ น่
จากข้อมูลทั้งหมดข้างต้น กล่าวได้ว่าผู้ถูกปลดปล่อยจํานวนมากไม่ได้เพียงจํายอมต่อ
อํานาจในสังคม เพราะมันเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าเสมอไป แต่เพราะความคิดที่ว่าต้องเลือกทางใด
ทางหนึ่งสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ ทางหนึ่งก็เลือกจะสูญเสีย เรียนรู้ และเติบโตอย่างโดดเดี่ยว ปล่อยท้ิง
ให้เหล่าผู้ไม่พยายามพัฒนาตนเองอยู่ด้านหลังของตน กับอีกทางที่อาจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่
อุ่นใจ ไม่มีการสูญเสียใดๆ เพราะหากเลือกที่จะเปิดปากอาจจะทําให้ตนกลายเป็นคนแปลกแยก
ถูกขับออกจากสังคมที่คุ้นเคย ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการต้องทุกข์ทนในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคาย
67
ไม่ออกดังกล่าว แต่จงอย่าปิดกั้นความคิดของตัวเองที่ว่าต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง การเป็นผู้ถูก
ปลดปลอ่ ยต้องเข้าใจถึงสภาวะของผถู้ กู กดข่ีด้วย และเลือกจะสรา้ งความเขา้ ใจอยา่ งไม่เรง่ รบี
2. กับดักทางความคดิ อกี ช้ิน Echo chamber
เสียงสะท้อนในโดมแก้ว โลกที่กว้างขึ้น แต่ทัศนวิสัยกลับแย่ลงคือคําอธิบายง่ายๆที่ชัดที่สุด
สําหรับกับดักชิ้นนี้ คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเราได้รับสถานะของผู้ถูกปลดปล่อย หากถามตัวของผมเอง
ผมก็จะบอกเหมือนเดิมทุกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมสามารถมองเห็นโลกที่กว้างขวางมากขึ้น บางเรื่องที่
คนรอบกายมองว่าปกติ ผมสามารถรู้สึกได้ถึงภายในจิตใจว่าสิ่งนั้นมันทุกข์ร้อนและไม่ควรถูก
เพิกเฉย ยกตัวอย่างการบริจาคที่หลายปีก่อนหน้าผมคงเห็นดีเห็นงาม ร่วมเฮโห่ร้องดีใจนับถือใน
หัวใจของมนุษย์ที่พยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกคนดังฮีโร่ในชีวิตจริง แต่เราก็ได้มาพบว่าสิ่งท่ี
เกิดขึ้นนั้นได้แฝงความเป็นผู้ให้และผู้รับ ผู้เหนือกว่าและผู้ด้อยกว่า และในทางการเมืองยังเป็นการ
ยอมจํานนต่อรัฐที่ล้มเหลว เป็นฝ่ายสนับสนุนว่าฝ่ายรัฐที่ล้มเหลวด้านการบริหารนั้นไม่จําเป็นต้อง
รับผิดชอบอะไรอีกด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นหลังตระหนักรู้สิ่งนี้คือผมเริ่มรู้สึกไม่พอใจกับเหล่าผู้คนที่ต่าง
สนับสนุนตัวตนที่ผมเองก็เคยเรียกว่าฮีโร่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ผมเริ่มมีความคิดว่าผมผู้ถูก
ปลดปล่อยนั้นตื่นรู้มากกว่าผู้คนเหล่านั้น จําเป็นอย่างมากที่จะต้องทําอะไรซักอย่าง และนั่นเองที่
กับดกั ทช่ี ่อื Echo chamber ได้เกิดขึน้
หากผมอยากเปลี่ยนความคิดใคร แรกๆผมอาจจะพูดคุยด้วยความพยายามเข้าอกเข้าใจ
พวกเขาและเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ถูกปลดปล่อยในแบบที่ผมเชื่อว่าผมนั้นเป็น แต่เมื่อ
การถูกปฏิเสธกลายเป็นเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นประจํา บ่อยครั้ง ผมบอกอะไรไปพวกเขาก็ไม่ฟังผม
ความเย็นชากับสิ่งที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆกัดกินอุดมการณ์ของเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างผม นําพา
ความคิดของผมที่ว่า หากบอกไม่รู้เรื่อง ก็เรื่องของพวกคุณ พวกคุณคือคนละกลุ่มกับผม พวกคุณ
มคี ่านอ้ ยกวา่ ผม และยากทจี่ ะเยียวยาแล้ว
“ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องคุยกับคนที่คุยไม่รู้เรื่อง” และหันหน้าเข้าหากลุ่มคนที่คิดแบบผม
ปล่อยผ้คู นทย่ี ากจะเรยี นรู้ไวต้ ามมตี ามเกิด
Echo chamber ได้อธิบายไว้ว่า เสียงที่เราพูดออกไปอาจจะสะท้อนก้องไปมาแค่ในกลุ่ม
คนที่คิดแบบเดียวกับเรา ยิ่งพูด แล้วมีคนสนับสนุน ก็ยิ่งเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พูดอีก ก็มีคน
สนับสนุนอีก หลงลืมความคิดเห็นที่แตกต่าง ยืนยันความเข้าใจเดิม ตอกยํ้าจนความคิดเห็น
กลายเป็นความจริงในมุมมองของคนเหล่านั้นไปในที่สุด ผมพูดได้เต็มปากว่าผมเคยมีจุดที่ถือวิชา
และเลอื กจะดูแคลนเหล่าผคู้ นที่มคี วามคดิ ทเ่ี ห็นต่าง
“เฟรรีอาจหดหู่ใจเวลาเห็นคนใช้แนวคิดของเขาอย่างผิดๆ ในการทําให้เชื่อง ไม่ว่าใน
รั้วมหาลัย ในรัฐบาล หรือแม้กระทั่งกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เขาคงงุนงงไม่น้อยกับ
การได้เห็นว่าบทวิเคราะห์และโต้เถียงของเขา รวมถึง การศึกษาของผู้ถูกกดขี่ ยังใช้ได้กับ
สถานการณท์ ุกวันนี้” มารีนา อาปารซิ ิโอ บาร์เบรัน ได้กลา่ วไว้
เพื่อชี้ให้เห็นถึงอันตรายของกับดกั ชิ้นนี้ ผมเคยกล่าวในช่วงต้นว่าสื่อโซเชี่ยลมีเดียนั้นมีส่วน
สําคัญอย่างมากในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และหลายสื่อโซเชียลมีเดียในปัจจุบัน (ปี 2022) ได้
ส่งเสริมสภาพแวดล้อมให้เกิดกับดักทางความคิดนี้มากยิ่งกว่ายุคสมัยไหน ๆ ยกตัวอย่างการ
ทํางานของเว็บไซต์ที่เรามักจะอ่านข่าวสารและแชร์เรื่องราว ๆต่างๆของชีวิตอย่าง Facebook
อัลกอริทึม ของ AI Facebook มีแนวคิดหลักคือการเชื่อมผู้คนเข้าหากัน เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่
68
การประมวลผลส่วนใหญ่นั้นจะดึงผู้ที่มีแนวคิดเดียวกันและเป้าหมายเดียวกันเข้าหากันง่ายเสียย่ิง
กว่าการได้พบปะผู้ที่มีแนวคิดที่แตกต่าง โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะจัดเป็นกลุ่มไว้สําหรับยิง content
ต่างๆที่จะมีลักษณะคล้ายกับที่เรามักจะดูหรืออ่าน แน่นอนว่าในแง่ของการตลาดและการ PR ถือ
เป็นกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยม แต่ผมขอเตือนท่านผู้อ่านในฐานะเพื่อนเลยว่า สิ่งเหล่าส่งเสริมให้เราสร้างส่ิง
ที่เรียกว่า Confirmation Bias ( หมายถึงการแสวงหา รับฟัง และตีความข้อมูลที่ได้มา เพื่อยืนยัน
ความเชื่อหรือความคิดเดิมที่มีอยู่ ให้ยิ่งเชื่อมากขึ้นและคิดว่าความเชื่อที่ตนเองยึดถืออยู่นั้น
ถูกต้องแล้ว เพราะมีข้อมูลเพิ่มเติมมาสนับสนุนและช่วยยืนยัน) หากไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่อ่าน
ตระหนักคิดในส่ิงทีท่ ําให้รอบดา้ น ยิง่ เพิ่มโอกาสเกดิ Echo chamber ในตนได้อกี ด้วย
ในทางจิตวิทยา เราพบว่า echo chamber มีผลต่อความคิด การรับรู้ทางสังคม เมื่อเรา
ได้รับความคิดเห็นในรูปแบบเดิมๆ หรือรูปแบบที่จํากัดมากขึ้น จะเกิดรูปแบบความคิดที่เรียกว่า
cognitive bias หรือ อคติในกระบวนการรู้คิด เช่น มนุษย์มีแนวโน้มที่พยายามแสวงหาข่าวสาร
ข้อมูลเพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตนเองได้เชื่อหรือตัดสินใจไปแล้ว (confirmation bias) เมื่ออยู่ใน echo
chamber ก็จะมีแต่สิ่งที่ยืนยันความเชื่อเดิม ๆของเราซํ้าๆ และปิดกั้นข้อมูลที่ขัดแย้ง หรือ
cognitive bias ในรูปแบบ False Consensus Effect หรือ ปรากฏการณ์การเห็นพ้องเทียม คือ
การที่คิดว่าความคดิ ของเรานน้ั ถูกต้องและใครๆ กค็ ิดแบบเดยี วกบั เราทัง้ นัน้ ท้งั ทค่ี วามจริงอาจจะ
ไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ ทางออกของกับดักนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงผู้อื่น แต่กลับเป็นการ
เปล่ยี นแปลงทีค่ วามคดิ ของตนเองเชน่ กัน ไมไ่ ดต้ ่างจากการแกป้ ัญหากบั ดักแรกมากนกั
ในหนังสือชื่อ “การศึกษาของผู้ถูกกดข่ี” ได้เขียนไว้ว่าวิธีการอันถูกต้องสําหรับผู้นําแนว
ปฏิวัติที่จะใช้ในภารกิจการปลดปล่อย ต้องไม่ใช่ “การโฆษณาอุดมการณ์ปลดปล่อย” ผู้นําการ
ปลดปล่อยต้องไม่เป็นเพียงแค่ “ผู้ปลูกฝัง” ความเชื่อเกี่ยวกับเสรีภาพให้กับบุคคลอื่นๆ โดยหวังว่า
จะได้รับความร่วมมือและเชื่อถือจากผู้ที่ยังไม่เปิดรับอุดมการณ์อิสระมาดําเนินเข็มทิศตามวิธีที่
เหล่าตนคาดหวัง ” มีเพียงการสนทนาวิพากษ์ด้วยตนเท่านั้น ที่จะพาคนเข้าสู่สภาวะผู้ถูก
ปลดปล่อยที่แท้จริง โดยเชื่อมั่นว่าเหล่าผู้ที่ยังไม่ถูกปลดปล่อยหันหน้ามาต่อสู้เพื่อเสรีภาพของ
ตนเอง หาใช่ทําตามที่ใครเขาว่าดี พวกเขาไม่ใช่ผู้กระทําและไม่ใช่ผู้ถูกกระทํา แต่เป็นมนุษย์เฉก
เชน่ เดียวกนั
สามารถสรุปได้อย่างลงตัวชัดเจนว่าในยุคปัจจุบันที่สื่อโซเชียลและข่าวสารต่าง ๆรอบตัว
สามารถส่งผ่านกันได้ในระดับเสี้ยววินาที มุมมองโลกที่มองปัญหาการกดขี่ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากตัวบุคคลกําลังได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายทั่ว
ทุกมุมโลก มนุษย์อย่างเรามีความพยายามจะเข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่ายุคสมัยไหนๆ แต่เพราะ
กระแสของโลกข้อมูลข่าวสารและความรู้ที่รวดเร็ว ในบางครั้งสิ่งเหล่านี้แทนที่จะช่วยปลดปล่อยผู้
ถูกกดขี่ ในทางกลับกันก็ยังสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นได้จากการทําความเข้าใจเพียงฉาบฉวย
และข้อจํากัดอย่างความกลัวความเสี่ยง หรือไม่ก็ Echo chamber ใครจะไปคิดว่าคนเราในยุค
ปัจจุบันจะเกลียดกันมากขึ้นเพียงเพราะพยายามเข้าใจความเป็นมนุษย์ของกันและกัน อุปสรรคที่
ขวางกั้นไม่ให้เกิดสารสนทนาคือมุมมองแนวคิดที่ปิดกันความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา ทําใจไม่
กว้างมากพอที่จะถอยหลังสักหนึ่งเก้า ไม่พยายามข้อตกลงร่วมกัน หรือไม่ก็กลัวที่จะให้
กระบวนการเปลย่ี นแปลงนั้นช้าลง สวนทางกับโลกท่ีกาํ ลังเร็วขึ้น
69
งานเขียนชิ้นนี้ของผมผ่านการเขียนใหม่หลายครั้ง เพราะทุกๆครั้งที่ผมพบเจอมุมมอง
ความคิดของตัวเองบนข้อมูลใหม่ๆ มันมักจะทําให้ผมย้อนมองอดีตของตัวตนของผมที่ไม่ได้ต่าง
อะไรกับผู้ติดอยู่ในกับดักดังที่บทความกล่าวก็ไม่เกินจริงนัก กระบวนการเขียนงานจึงมีความ
ใกล้เคียงกับภาวะที่เรียกว่า “การครุ่นคิดทางศีลธรรม” ผมได้มีโอกาสทบทวนกับตนเองว่าสิ่งที่เคย
ทําทั้งหมดนั้นถูกต้องมากน้อยแค่ไหน เข้าไปในโลกที่ตัวตนของผมใช้เพียงเหตุผลปราศจาก
อารมณ์และอคตใิ ดๆเพอ่ื ท่จี ะปรับปรุงตนเองให้เป็นชายทค่ี น้ พบคาํ ตอบของชีวิตทม่ี ากขน้ึ รายวชิ า
นี้เป็นรายวิชาที่ผมได้มีโอกาสทบทวนตนเองมากกว่ารายวิชาไหน ๆ หากใครหลงมาอ่านบทความ
ของผม ผมก็ขอแสดงความยินดียิ่งที่ท่านสละเวลามาอ่าน และหวังว่าสักวัน เราทั้งคู่ก็จะต่าง
คน้ พบคําตอบใหม่ๆของชีวติ ตนเองมากตวั เราเมือ่ วานเช่นกัน
รายการอ้างองิ
นอ้ งหมอขอตอบ. (2565). Echo chamber เสียงสะท้อนในกะลา กบั โลกทก่ี วา้ งขน้ึ แต่
ทัศนวิสัยแคบลง. สบื ค้นจาก
https://www.facebook.com/photo/?fbid=198089632585091&set=a.190398840020837
เฟรรี, เปาโล. (2560). การศึกษาของผูถ้ ูกกดข่ี ฉบบั ครบรอบ 50 ปี. แปลโดย สายพิณ กลุ
กนกวรรณ ฮมั ดานี. กรงุ เทพ. สวนเงนิ มนี า
70
สว่ นหนงึ่ ของสมาชกิ ผ้เู ขยี นตวั บท
71