The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aemrinrada, 2022-01-29 09:11:47

ความร้อนและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส

จัดทำโดย


นางสาวกนกอร คำละมูล

รหัสประจำตัวนิสิต 63102010531

ความร้อนและทฤษฎีจลน์ของแก๊ส


1.ความร้อน


ความร้อน เป็นพลังงานชนิดหนึ่งซึ่งสามารถถ่ายโอนจากแหล่งที่มีอณหภูมิสูงไปยังแหล่งที่มีอุณหภูมิ
ต่ำกว่าได้ พลังงานความร้อนอาจเปลี่ยนมาจากพลังงานอื่น ในทางกลับกันพลังงานความร้อนสามารถ
เปลี่ยนเป็นพลังงานอื่นได้ ในระบบเอสไอ พลังงานความร้อน มีหน่วยเป็น จูล (joule, J)

1.1อุณหภูม ิ


นักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดว่า อุณหภูมิ (temperature) คือ ปริมาณที่แปรผันโดยตรงกับพลังงาน
เฉลี่ยของแก๊สอุดมคติ ถ้าทราบมวลและอัตราเร็วของแก๊สแต่ละโมเลกุลก็สามารถหาพลังงานจลน์เฉลี่ยของ

แก๊สได้ การที่จะบอกว่าวัตถุร้อนมากหรือร้อนน้อยเพียงใด เราสามารถบอกได้ด้วยอุณหภูมิของวัตถุนั้น วัตถุที่มี
ระดับความร้อนมามีอณหภูมิสูง และวัตถุที่มความร้อนน้อยมีอุณหภูมิต่ำ ถ้านำวัตถุที่มีอณหภูมิสูงมาสัมผัสวัตถุ



ที่มีอณหภูมิต่ำ พลังงานความร้อนจะถูกถ่ายโอนจากวัตถุแรกไปยังวัตถุหลังจนกระทั่งวัตถุทั้งสองมีอุณหภูมิ

เท่ากัน สามารถอาศัยสมบัติทางความร้อนของวัตถุต่าง ๆ เพื่อวัดอุณหภูมิได้

อุปกรณ์ที่ใช้วัดอณหภูมิ เรียกว่า เทอร์มอมิเตอร์ (thermometer) เทอร์มอมิเตอร์มีหลายชนิด
ทำงานโดยอาศัยสมบัติของสารที่เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ เช่น สารเปลี่ยนสีเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน เป็นต้น ใน
อดีตได้มีการกำหนดสเกลอุณหภูมิไว้หลายอย่าง แต่ปัจจุบันใช้เพียงสองสเกลดังนี้ คือ


1.)องศาเซลเซียส (degree Celsius, C) สเกลนี้กำหนดว่า ที่ความดัน 1 บรรยากาศ จุดเยือกแข็งของ
น้ำเป็น 0 องศาเซลเซียส และจุดเดือดของน้ำเป็น 100 องศาเซลเซียส ระหว่างจุดเดือดและจุดเยือกแข็งของ

น้ำแบ่งเป็น 100 ส่วนเท่า ๆ กัน

2.)เคลวิน (Kelvin, K) สเกลนี้กำหนดว่า ที่ความดัน 1 บรรยากาศ จุดเยือกแข็งของน้ำเป็น 273.15

เคลวิน และจุดเดือดของน้ำเป็น 373.15 เคลวิน ระหว่างจุดเดือดและจุดเยือกแข็งของน้ำแบ่งเป็น 100 ส่วน
เท่า ๆ กัน ดังนั้นช่วงอณหภูมิ 1 เคลวิน เท่ากับ ช่วงอุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส เคลวินเป็นหน่วยของอุณหภูมิ

อุณหพลวัต (thermodynamic temperature) ซึ่งเคลวินเป็นหน่วยฐานหน่วยหนึ่งของระบบเอสไอ อัณ

ภูมิต่ำสุดของสเกลนี้ คือ 0 เคลวิน เรียกว่า ศูนย์สัมบูรณ์ (absolute zero)



















รูป 1 สเกลองซาเซลเซียสและสเกลเคลวิน

ให้ T เป็นอุณหภูมิในหน่วย เคลวิน (K) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า อุณหภูมิสัมบูรณ์ (absolute

temperature) และ t เป็นอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส ( C) อุณหภูมิทั้งสองมีความสัมพันธ์ดังนี้


T(K) = t ( C) + 273.15



1.2ความจุความร้อน

ถ้าให้พลังงานความร้อน ∆ แก่สารมวล m ทำให้สารมีอณหภูมิเพิ่มขึ้น ∆ อัตราส่วนระหว่าง

พลังงานความร้อนที่ให้แก่สารต่ออณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เรียกว่า ความจุความร้อน (heat capacity) ถ้าให้ C

เป็นความจุความร้อน จะได้




=



ความจุความร้อนมีหน่วย จูลต่อเคลวิน (J/K) ความจุความร้อนของสารหนึ่ง ๆ จึงเป็นความร้อนททำ

ให้มวลสารทั้งก้อนมีอณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 เคลวิน ส่วนความร้อนที่ทำให้สารมวล 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1

เคลวิน เรียกว่า ความร้อนจำเพาะ (specific heat) แทนด้วย c ถ้าให้ m เป็นมวล จะได้




=



จากสมการทั้งสองจะได้




=



ความร้อนจำเพาะมีหน่วย จูลต่อกิโลกรัม เคลวิน (J/kg K)


สมการข้างต้น อาจเขียนใหม่เป็น


∆ = ∆




ิ่

เมื่อสารมวล m มีอณหภูมิเพมจาก เป็น ถ้าในช่วงอณหภูมินี้ความร้อนจำเพาะของสาร
1
2
เปลี่ยนแปลงน้อยมากจึงให้เป็นค่าคงตัว ความมร้อนที่สารได้รับอาจเขียนเป็น

∆ = ∆ = ( − )





เมื่อสารมีอุณหภูมิลดลง ∆ จะมค่าเป็นลบ หมายถึงพลังงานความร้อนถ่ายโอนออกจากสาร ความ
ร้อนจำเพาะเป็นสมบัติพาะของสาร ความร้อนจำเพาะของสารบางชนิดแสดงในตาราง 1


ตาราง 1 ความร้อนจำเพาะ (ที่อุณหภูมิห้องและที่ความดันบรรยากาศ หรือระบุเป็นอย่างอื่น)


























ความร้อนจำเพาะอาจแสดงในหน่วย J/kg K หรือ J/kg C ซึ่งมีค่าเทากัน

ตัวอย่าง 1 จงหาพลังงานความร้อนที่ทำให้เหล็กมวล 200 กรัม ที่อณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส มีอุณหภูมิสูงขึ้น
เป็น 60 องศาเซลเซียส

วิธีทำ

1.3การขยายตัวของวัตถุเนื่องจากความร้อน

สมบัติสำคัญที่เกี่ยวกับการขยายตัวของของแข็งที่ควรทราบ ได้แก ่



1.ของแข็งชนิดเดียวกัน ถ้าเดิมมีความยาวเท่ากัน เมื่ออณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่ากันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเท่ากัน

2.ของแข็งต่างชนิดกัน ถ้าเดิมมีความยาวเท่ากัน เมื่ออณหภูมิเพิ่มขึ้นเท่ากันอาจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่
เท่ากัน

1.4สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสาร


-ในของแข็ง แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมหรือโมเลกุลมีค่ามาก ทำให้อะตอมหรือโมเลกุลอยู่ใกล้กัน
และรูปทรงของของแข็งไม่เปลี่ยนแปลงมากเมื่อมีแรงขนาดพอสมควรมากระทำ


-ในของเหลว แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีคาใกล้เคียงกบของแข็ง แต่พลังงานความร้อนสามารถทำ


ให้โมเลกุลเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิมไปได้ ทำใหรูปร่างของของเหลวเปลี่ยนแปลงไปตามภาชนะที่บรรจุ
-ในแก๊ส แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าน้อยมาก โมเลกุลของแก๊สเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระตาม

ภาชนะที่บรรจุ

เมื่อของแข็งรับพลังงานความร้อนที่พอเหมาะจะหลอมเหลวจนกลายเป็นของเหลว การเปลี่ยนสถานะ

ของสารจากของแข็งเป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว (fusion) ถ้ายังคงให้พลังงานความร้อนแก่
ของเหลวต่อไป หลงเหลวจะมอุณหภูมิสูงขึ้นจนเดือด แล้วเปลี่ยนสถานะเป็นแก๊ส การเปลี่ยนสถานะของสาร

จากของเหลวเป็นแก๊ส เรียกว่า การกลายเป็นไอ (vaporization) ในทางกลับกันเมื่อแก๊สคายพลังงานความ
ร้อนจะเปลี่ยนสถานะจากแก๊สเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น (condensation) และถ้าคายพลังงาน
ความร้อนต่อไปจะเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง เรียกว่า การแข็งตัว (solidification) ดังรูป 2




























รูป 2 การเปลี่ยนสถานะของสาร

รูป 3 การเปลี่ยนสถานะของน้ำมวล 1 กิโลกรัม เมื่อได้รับความร้อน


นำน้ำแข็งมวล 1 กิโลกรัม ที่มีอุณหภูมิต่ำมาก มาให้ความร้อนภายใต้ความดัน 1 บรรยากาศ จะมี
อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังกราฟ AB จนเกิดการหลอมเหลวที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส เรียกว่า จุด

หลอมเหลว (melting point) ของน้ำแข็ง


ถ้าให้ความร้อนต่อไปอีก น้ำแข็งจะหลอมเหลวเป็นน้ำมากขน แต่อุณหภูมิยังคงเทาเดิม ในช่วงนี้
ึ้
พลังงานความร้อนที่ให้แก่น้ำแข็งจะถูกนำไปทำให้โมเลกุลเคลื่อนที่ออกจากกัน จนกระทั่งน้ำแข็งที่ 0 องศา

เซลเซียส หลอมเหลวเป็นน้ำทั้งหมด ดังกราฟ BC ถ้าให้ความร้อนต่อไปอีก น้ำจะเริ่มมีอณหภูมิสูงขึ้น ดังกราฟ

CD จนเกิดการเดือดที่อณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เรียกว่า จุดเดือด (boiling point) ของน้ำ การเดือดคือ
การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊ส น้ำเริ่มกลายเป็นไอน้ำ จนกระทั่งเดือดหมด ดังกราฟ DE ถ้ากักเก็บไอ
น้ำไว้และให้ความร้อนต่อไปอีก ไอน้ำจะมอุณหภูมิสูงกว่า 100 องศาเซลเซียส ดังกราฟ EF


จะเห็นว่ากราฟช่วง BC และ DE มีการเปลี่ยนสถานะโดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยน ความร้อนที่ใช้ในการ
เปลี่ยนสถานะของสารโดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยน เรียกว่า ความร้อนแฝง (latent heat) ส่วนความร้อนที่ใช้ใน

การเปลี่ยนสถานะของสารมวล 1 หน่วย โดยอุณหภูมิไม่เปลี่ยน เรียกว่า ความร้อนแฝงจำเพาะ (specific
latent heat) แทนด้วย L มีหน่วยเป็น จูลต่อกิโลกรัม (J/kg)


ี่
ถ้า L เป็นความร้อนแฝงจำเพาะของการเปลี่ยนสถานะของสาร ดังนั้นความร้อนททำให้สารมวล m
เปลี่ยนสถานะหมด คือ



=

ตาราง 2 ความร้อนแฝงจำเพาะของสารบางชนิดที่ความดัน 1 บรรยากาศ



























ความร้อนแฝงจำเพาะอาจแสดงในหน่วย kJ/kg หรือ J/g

ตัวอย่าง 2 จงหาพลังงานความร้อนที่ทำให้น้ำแข็งมวล 2 กิโลกรัม อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส หลอมเหลวเป็น

น้ำ 0 องศาเซลเซียสทั้งหมด ที่ความดัน 1 บรรยากาศ

วิธีทำ












1.5การถ่ายโอนความร้อน




หรือการส่งผ่านจากวัตถุที่มอณหภูมิสูงกว่าไปสู้อีกวัตถุที่มีอณหภูมิต่ำกว่าได้ มี 3 รูปแบบ ดังนี้
การนำความร้อน (conduction) เป็นการถ่ายโอนพลังงานความร้อนผ่านตัวนำความร้อนซึ่งโดย
ส่วนมากเป็นโลหะต่าง ๆ ในการนำความร้อน พลังงานความร้อนถูกส่งผ่านตัวนำไปโดยโมเลกุลแต่ละโมเลกุล
ของตัวนำไม่ได้เคลื่อนที่ตามไปด้วย


การพาความร้อน (convection) เป็นการถ่ายโอนพลังงานความร้อนโดยอาศัยการเคลื่อนที่ของ

ี่
โมเลกุลของสารพาพลังงานความร้อนจากที่หนึ่งไปยังอกทหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป เช่น การต้มน้ำที่บรรจุใน
ภาชนะ

การแผ่รังสีความร้อน (radiation) เป็นการส่งพลังงานความร้อนโดดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางหรือ

พาหะ โดยทั่วไปวัตถุที่สามารถแผ่รังสีได้ดีก็สามารถดูดกลืนรังสีได้ดีด้วย วัตถุที่สามารถแผ่รังสีและดูดกลืนทุก
รังสีมาตกกระทบ เรียกว่า วัตถุดำ (blackbody) วัตถุดำไม่มีในธรรมชาติ มีแต่ในอุดมคติ

2.แก๊สอุดมคติ

สารในสถานะแก๊ส โมเลกุลทั้งหลายสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ พบว่าปริมาตรของแก๊สขึ้นกับ

ความดัน อุณหภูมิและมวลของแก๊สสมการที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณทั้งหลาย เรียกว่า กฎของแก๊ส
ตามโครงสร้างของโมเลกุล แก๊สอาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้


ก.แก๊สอะตอมเดี่ยว (monatomic gas) หนึ่งโมเลกุลของแก๊สชนิดนี้ประกอบด้วยอะตอมเพียงอะตอม
เดียว


ข.แก๊สอะตอมคู่ (diatomic gas) หนึ่งโมเลกุลของแก๊สชนิดนี้ประกอบด้วยอะตอมสองอะตอม

ค.แก๊สหลายอะตอม (polyatomic gas) หนึ่งโมเลกุลของแก๊สชนิดนี้ประกอบด้วยอะตอมตั้งแต่สาม

อะตอมขึ้นไป





โมล (mole)
เป็นหน่วยฐานในระบบหน่วยระหว่างชาติ หรือเอสไอ มีนิยามว่า โมล คือ ปริมาณของสา ซึ่ง

ประกอบด้วยองค์ประกอบมวลฐานจำนวนเท่ากับจำนวนอะตอมคาร์บอน-12 มวล 0.012 กิโลกรัม พอดี
และองค์ประกอบมูลฐานอาจจะเป็นอะตอม โมเลกุล ไอออน อิเล็กตรอน อนุภาคอื่น ๆ หรือกลุ่มอนุภาค

ดังกล่าว




จากนิยามของโมล จะได้ ปริมาณของสาร 1 โมล มีอนุภาคเท่ากับจำนวนอะตอมของคาร์บอน-12 ที่มี

23
มวล 12 กรัม พอดี ซึ่งเท่ากับ 6.02 × 10 อะตอม ซึ่งเรียนว่า ค่าคงตัวอโวกาโดร (Av0gadro
constant) แทนด้วย

23
= 6.02 × 10

ถ้า เป็นจำนวนโมเลกุลของแก๊ส และ เป็นจำนวนโมเลกุลของแก๊สนั้น จะได้ความสัมพนธ์ดังนี้

=


มวลของแก๊สชนิดต่าง ๆ จำนวน 1 โมล เรียกว่า มวลโมลาร์ (molar mass, M) ของแก๊ส ถ้า
เป็นมวลของ 1 โมเลกุล จะได้


=

มวลโมลาร์ของแก๊สอื่น ๆ อาจคำนวณได้จากตารางธาตุ สำหรับอากาศมีมวลโมลาร์เฉลี่ยเท่ากับ 28.9

กรัมต่อโมล

ตาราง 3 มวลโมลาร์ของแก๊สชนิดต่าง ๆ




























2.1กฎของบอยล ์

รอเบิร์ต บอยล์ พบว่า สำหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าอุณหภูมิ (T) ของแก๊สคงตัว ปริมาตร (V) ของ

แก๊สจะแปรผกผันกับความดัน (P) ของแก๊ส หรืออาจเขียนความสัมพันธ์ได้เป็น

1



เมื่อ P คงตัว หรือ PV = ค่าคงตัว


ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า กฎของบอยล (Boyle’s law)
2.2กฎของชาร์ล


ชาร์ลพบว่า สำหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้าความดัน (P) คงตัว ปริมาตร (V) ของแก๊สจะแปรผันตรงกับ
อุณหภูมิสัมบูรณ์ (T) ของแก๊ส หรืออาจเขียนความสัมพันธ์ได้ดังนี้





เมื่อ P คงตัว หรือ = ค่าคงตัว


ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า กฎของชาร์ล (Charles’ law)

2.3กฎของแก๊สอุดมคติ

เมื่อรวมกฎของบอยล์และกฎของชาร์ล จะได้









หรือ = ค่าคงตัว


และสมการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะสมดุลของแก๊สในสภาวะที 1 และสภาวะที 2 คือ




1 1
2 2
=
1 2


พบว่าสมการนี้ใช้เมื่อความดันไม่สูงเกินไป และอณหภูมิไม่ต่ำเกินไป ถ้าใช้แก๊สชนิดต่าง ๆ ที่มีปริมาตร


ต่างกัน พบว่าค่าคงตัวในสมการ = ค่าคงตัว แปรผันตรงกันจำนวนโมล (n) ของแก๊ส นั่นคือ สำหรับแก๊ส

ชนิดหนึ่ง ๆ







ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นแก๊สชนิดใด จากนี้อาจเขียนได้ว่า




=



โดย R เป็นค่าคงตัว เรียกว่า ค่าคงตัวแก๊ส (gas constant)


= .

ดังนั้นจะได้



=


เรียกสมการนี้ว่า กฎของแก๊สอุดมคติ (ideal gas law) แก๊สที่มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับ

สมการนี้เรียกว่า แก๊สอุดมคติ (ideal gas)

ถ้าแทน = ลงในสมการ = จะได้




=



กฎของแก๊สอุดมคติ จึงสามารถเขียนได้อกรูปแบบหนึ่ง คือ



=




เมื่อ N เป็นจำนวนโมเลกุลทั้งหมดของแก๊ส และ = เรียกว่า ค่าคงตัวโบลต์ซมันน์


(Boltzmann constant) มีค่าดังนี้



8.31

= = = 1.38 × 10 −23

23
6.02 × 10 −1
พบว่าสมการ = และ = ยังใช้ได้กบแก๊สผสมที่ไม่ทำปฏิกิริยาเคมีกัน


กฎของแก๊สอุดมคติสำหรับแก๊สผสมนี้ คือ
= ( + + )
1
2
3
โดย P เป็นความดันรวม และ T เป็นอุณหภูมิของแก๊สนี้ อาจเขียนได้ว่า


1
2
3
= + + = + +
2
1
3

ในที่นี้ , และ คือ ความดันของแก๊สชนิดที่ 1, 2 และ 3 ตามลำดับ ซึ่งเรียกว่า ความดัน
2
1
3
ย่อย (partial pressure) ของแก๊สแต่ละชนิด และอาจเขียนได้เป็น
= ( + + )

3
1
2
โดย , และ คือ จำนวนโมเลกุลของแก๊สแต่ละชนิด
3
2
1
โดยทั่วไป สำหรับแก๊สผสม
= (∑ ) = (∑ )


โดย คือ จำนวนโมเลกุลของแก๊สชนิดที่ และ




=


เมื่อ คือ ความดันย่อยของแก๊สชนิดที่ ในแก๊สผสมนั้น

ตัวอย่าง 3 แก๊สชนิดหนึ่งมีปริมาตร 1 ลูกบาศก์เมตร อุณหภูมิ 300 เคลวิน และความดัน 1.0 บรรยากาศ คง

หาปริมาตรของแก๊สจำนวนนี้ที่อุณหภูมิ 400 เคลวิน และความดัน 2.0 บรรยากาศ

3.ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส

ิ่
รอเบิร์ต บอยล์ ได้อธิบายว่าเหตุใดแก๊สจึงมีความดัน และได้มีการให้รายละเอียดเพมเติมโดยดาเนียล
แบร์นูลลี โดยความคิดเบื้องต้นคือแก๊สประกอบด้วยโมเลกุลที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงตลอดเวลา ความดันที่
ผนังเกิดจากโมเลกุลของแก๊สชนผนังและกระดอนกลับอย่างต่อเนื่อง


ความคิดนี้ได้รับการสนับสนับจากปรากฏการณ์ การเคลื่อนที่แบบราวน์ (Brownian motion) ซึ่ง
เราสามารถเห็นปรากฏการณ์ได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูอนุภาคเล็ก ๆ เช่น อนุภาคของควัน จะพบว่า


อนุภาคต่าง ๆ เคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็วและไร้ระเบียบ การเปลี่ยนตำแหน่งที่มีทศทางแบบสุ่มนี้ คือ การ

เคลื่อนที่แบบบราวน์ซึ่งเกิดจากการที่อนุภาคถูกโมเลกุลของอากาศชนในทุกทิศทางทกขณะอย่างไม่สมมาตร
เมื่อข้อคิดนี้เป็นจริง เราก็สามารถใช้กลศาสตร์ของนิวตันคำนวณการเคลื่อนที่ของโมเลกุล และการชนผนังของ
โมเลกุล เพื่ออธิบายความดันของแก๊สให้สอดคล้องกบกฎของแก๊สอุดมคติดังที่กล่าวมา

แบบจำลองของแก๊สอุดมคติ (ideal gas model)


1.แก๊สประกอบด้วยโมเลกุลจำนวนมาก ทุกโมเลกุลมีลักษณะเป็นกลมที่มีขนาดเท่ากันและเล็กมาก
โมเลกุลเหล่านี้จะชนผนังและกระดอนออกแบบยืดหยุ่น


2.ถือว่าปริมาตรรวมของโมเลกุลทั้งหมดน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาตรของแก๊สทั้งภาชนะ จึง
สามารถตัดปริมาตรของโมเลกุลทิ้งไปได้


3.ไม่มีแรงใด ๆ กระทำต่อโมเลกุล ยกเว้นแรงเนื่องจากการชนผนังภาชนะที่บรรจุ

4.การเคลื่อนที่ของโมเลกุลเป็นแบบสุ่ม ซึ่งหมายถึงว่าโมเลกุลสามารถเคลื่อนที่ได้ทุกทิศทางอย่างไร

ระเบียบ

3.1ความดันและพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลของแก๊ส

เนื่องจากแก๊สมีโมเลกุลจำนวนมาก จึงต้องพิจารณาค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมของโมเลกุล อาจทำดังนี้

แก๊สที่มีโมเลกุล N ตัว แต่ละตัวมีมวล m บรรจุอยู่ภายในภาชนะลูกบาศก์ขนาด × × โดยมีแกน x
แกน y และแกน z ขนานกับของภาชนะ ดังรูป 4




















รูป 4 ภาชนะลูบาศก์ขนาด × × บรรจุแก๊สที่มีโมเลกุล N ตัว

เพื่อความสะดวกในการศึกษา จะพิจารณาการเคลื่อนที่ของโมเลกุลเฉพาะในแนวแกน x โดยให้

องค์ประกอบความเร็วของโมเลกุลในแนวแกน x มีค่าเท่ากับ เมื่อโมเลกุลนี้ชนผนัง A แบบยืดหยุ่น เลกุล

จะกระดอนกลับออกมาในทิศทางตรงกันข้ามด้วยอัตราเร็ว เท่าเดิมดังรูป ก หลังจากชนผนัง A แล้ว

โมเลกุลจะเคลื่อนที่กลับมาชนผนัง B ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับ A โดยที่เคลื่อนที่ได้ระยะทาง ต่อมาโมเลกุล
กระดอนกลับจาก B ในทิศทางตรงกันข้ามด้วยความเร็ว เข้าชนผนัง A อีก ดังรูป ดังนั้นโมเลกุลจะชนผนัง

2
A ทุกช่วงเวลา ∆ =






















รูป 5 การชนผนังภาชนะของโมเลกุลแบบยืดหยุ่น

เมื่อโมเลกุลมวล m เข้าชนผนัง A ด้วยความเร็ว และสะท้อนกลับด้วยความเร็ว - ในการชน


ผนังแต่ละครั้ง โมเมนตัมของโมเลกุลจะเปลี่ยนไป


∆( ) = (− ) − (+ ) = −2



ในการชนผนัง A แต่ละครั้ง ทำให้โมเมนตัมของโมเลกุลเปลี่ยนไปด้วยขนาดเท่ากับ 2 และ

2

โมเลกุลนีชนผนัง A ทุกช่วงเวลา ∆ = ดังนั้นแรงดลที่ผนังได้รับจากโมเลกุลนี้ เท่ากบ

2
∆( ) 2
= = =

∆ 2

เนื่องจากโมเลกุลมีจำวนมากและการชนมีความถี่มาก ดังนั้นแรงดลที่ผนังได้รับจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และมีค่า (ก)


2
2
2
= ( + + ⋯ +
1 2 )
เมื่อ , , … , คือ อัตราเร็วในแนว x ของโมเลกุลตัวที่ 1,2,…,N




1
2
ถ้าหาค่าเฉลี่ยของอัตราเร็วยกกำลังสองในแนว x ของโมเลกุลจำนวน N จะได้

2 + 2 + ⋯ + 2
̅̅̅ 1 2
2
=


หรือ

̅̅̅
2
2
2
2
= 1 + 2 + ⋯ +



ดังนั้นจากสมการ (ก) จะได้ (ข)

̅̅̅
2
=




เนื่องจากความดันแก๊สที่ผนังของภาชนะคอ = ดังนั้นจากสมการ (ข) จะได้ความดันแก๊สที่ผนัง
2
A ของภาชนะ ดังนี้

̅̅̅
̅̅̅
2
2
= = =


2 3
ในทำนองเดียวกัน เมื่อพิจารณาการชนของอนุภาคที่ผนังในแนว y และแนว z จะได้

̅̅̅
̅̅̅
2
2
= และ =



โดยที่ความดันเนื่องจากการชนในแต่ละแนวมีค่าเท่ากัน เนื่องจากความสมมาตรดังนั้นจะได้ (ค)
̅̅̅
̅̅̅
̅̅̅
2
2
2
= =



จากสมการ (ค) พิจารณาเทียบกับความเร็ว ของโมเลกุลใด ๆ ซึ่งมี , และ เป็น







ความเร็วองค์ประกอบในแนว x, y และ z ตามลำดับ ดังรูป 6 จากทฤษฎีบทพีทาโกรัส จะได้
2
2
2
2
= + +






รูป 6 ความเร็วองค์ประกอบ , และ ของความเร็ว









ค่าเฉลี่ยของอตราเร็วกำลังสอง เขียนได้เป็น
̅̅̅
̅̅̅
̅̅̅
̅̅̅
2
2
= + +
2
2



จาก (ค)
̅̅̅ ̅̅̅ ̅̅̅ ̅̅̅
2
2
2
2
= 3 = 3 = 3



หรือ (ง)
̅̅̅ ̅̅̅ ̅̅̅ 1 ̅̅̅
2
2
2
2
= = =



3
นั่นคือจากความดันที่ได้ข้างต้นและจากสมการ (ง) จะได้ (จ)
̅̅̅
1 2
=
3
หรือ
1
̅̅̅
2
=
3
เขียนใหม่ได้เป็น
2 1
̅̅̅
2
= ( )
3 2
1
̅̅̅
̅
เมื่อ คือพลังงานจลน์เฉลี่ย ของแต่ละโมเลกุลในภาชนะ แทนในสมการได้ (ฉ)
2

2
2
̅
=

3
จาก (ฉ) เทียบกับกฎของแก๊สอุดมคติ = จะได้ (ช)

2
̅
=


3
หรือ
3
̅
=


2
นั่นคือ จากแบบจำลองของแก๊สสรุปได้ว่า แก๊สประกอบด้วยโมเลกุลขนาดเล็ก ๆ จำนวนมากที่
เคลื่อนที่ตลอดเวลา โดยมีพลังงานจลน์เฉลี่ยของโมเลกุลแปรผันโดยตรงกับอุณหภูมิสัมบูรณ์ของแก๊ส

3.2อัตราเร็วของโมเลกุลของแก๊ส

1
3
̅̅̅
̅
̅
2
จากสมการ = และ = จะได้



2
2
1 3
̅̅̅
̅
2
= =


2 2
̅̅̅
√ 2
สมการนี้สามารถหา ได้ ค่านี้เรียกว่า อัตราเร็วอาร์เอ็มเอส แทนด้วย ดังนั้น
̅̅̅̅
2
2
= √ 2 ̅̅̅
หรือ =
เมื่อแทน ในสมการจะได้
1 3
̅
2
= =


2 2
ถ้าทราบมวลของโมเลกุล 1 ตัว จะสามารถคำนวณ ที่อุณหภูมิ ของโมเลกุลได้
สมการข้างบนอาจเขียนได้อีกแบบ คือ
3

2
=

หรือ

3 3( )


= √ และ = √



เนื่องจาก = และ = จะได้


3
= √


4.พลังงานภายในระบบ

คือ พลังงานทั้งหมดของโมเลกุลของแก๊สในระบบนั้น


ก.พลังงานภายในระบบ

สำหรับแก๊สในธรรมชาติ สถานการณ์จะมีความซับซ้อนเพราะโมเลกุลของแก๊สมีแรงกระทำต่อกัน

พลังงานของโมเลกุลแก๊สจะมีทั้งพลังงานจลน์และพลังงานศักย์ โดยในแต่ละขณะพลังงานศักย์จะขึ้นกับ
ตำแหน่งของโมเลกุลทุกตัว แต่แก๊สอุดมคติไม่มีแรงใด ๆ กระทำต่อโมเลกุล ดังนั้นพลังงานทั้งหมดของโมเลกุล


จึงเป็นพลังงานจลน์เพียงอย่างเดียว ผลรวมของพลังงานจลน์ทั้งหมดของโมเลกุลก็คอ พลังงานภายใน
(internal energy) ของแก๊สนั่งเอง ดังนั้น

̅
=

จากสมการจะได้


3
=

2
สำหรับแก๊สอุดมคติในภาชนะปิด จะคงตัว พลังงานภายในจึงขึ้นกับอุณหภูมิเท่านั้น



จากความสัมพันธ์ = และ = แทนในสมการจะได้


3
=
2
ข.งานที่ทำโดยแก๊ส


พิจารณาแก๊สในกระบอกสูบซึ่งเดิมมีปริมาตร และความดัน เมื่อแก๊สขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยให้

ความดันคงตัว จนแก๊สมีปริมาตรเพิ่มขึ้น ∆ ถ้าลูกสูบมีพื้นที่หน้าตัด แรง ที่แก๊สดันลูกสูบคือ
ตามรูป 7 ลูกสูบเคลื่อนเป็นระยะ ∆ จะได้ ∆ = ∆
















รูป 7 การทำงานของแก๊สเมื่อขยายตัวเล็กน้อยจนมีปริมาตรเพิ่มขึ้น ∆


ดังนั้นงาน (W) ที่แก๊สทำต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก สำหรับการขยายตัวนี้ คือ

= ∆


= ∆

นั่นคือ


= ∆

ถ้าระบบมีการเปลี่ยนแปลงน้อย ๆ อาจใช้สัญลักษณ์ ∆ แทน ∆ แทน − และ
2
1
∆ แทน ได้ ดังนั้นกฎข้อที่หนึ่ง จะเขียนได้เป็น

∆ = ∆ + ∆


ในเรื่องนี้จะกล่าวถึงระบบแก๊สอุดมคติในภาชนะปิด

ตัวอย่าง 4 จงหาพลังงานภายในที่เปลี่ยนไปของแก๊สจำนวนหนึ่งที่บรรจุภายในกระบอกสูบเมื่อแก๊สใน

กระบอกสูบได้รับพลังงานความร้อน 2000 จูล ในขณะเดียวกันให้งานออกมา 300 จูล

5.การประยุกต์

5.2ไอน้ำในอากาศและความดันไอ



ถ้าเทน้ำใส่ภาชนะจนเกือบเต็ม จากนั้นปิดฝา เมื่อปล่อยทิ้งไว้ถึงแม้อุณหภูมิในขณะนั้นจะสูงไมถึงจุด
เดือดของน้ำ แต่ที่บริเวณผิวน้ำก็ยังมีโมเลกุลของน้ำบางตัวที่มีพลังงานจลน์สูงพอที่จะหลุดจากผิวน้ำไปใน

อากาศกลายเป็นโมเลกุลของอน้ำในอากาศ นี่คือ การระเหย (vaporization) เมื่อทิ้งน้ำไว้นาน ๆ ไอน้ำ

จะเพม่ขึ้น ไอน้ำประพฤติตัวเหมือนแก๊ส คือ ความดัน ซึ่งเรียกว่า ความดันไอ (vapour pressure) อย่างไรก็
ี่
ิ่

ตามทอุณหภูมิหนึ่ง ๆ ความดันไอจะมีคาสูงสุดค่าหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ความดันไออมตัว (saturated pressure)
และถ้าความดันสูงขึ้นอีก โมเลกุลไอน้ำจะจับตัวและกลั่นตัวเป็นน้ำ เมื่ออณหภูมิเพมขึ้น ความดันไออมตัวจะ
ิ่
ิ่


เพิ่มขึ้น ถ้าอณหภูมิถึงจุดเดือด ความดันออิ่มตัวจะเท่ากับความดันบรรยากาศพอดี
ตาราง 4 ความดันไออิ่มตัวของน้ำที่อุณหภูมิต่าง ๆ






















โดยทั่วไป ถ้าอณหภูมิลดลงขณะที่อากาศอยู่นิ่ง ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศจะเพมขึ้น น้ำจะระเหิดยาก
ิ่

ขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าอุณหภูมิเพิ่ม ความชื่นสัมพัทธ์ในอากาศจะลดลง น้ำระเหยง่ายขึ้น


ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศมนิยามดังนี้
ความดันไอของน้ำในอากาศ
ความชื้นสัมพัทธ์ = × 100%

ความดันไออิ่มตัวของน้ำที่อณหภูมิของอากาศ


Click to View FlipBook Version