จากภาพดังกล่าวได้แสดงให้เห็นชุดลําดับกิจกรรมการประมวลสารสนเทศ เริ่มที่บุคคลรับสัมผัสด้วย ประสาท สัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่าการบันทึกผัสสะ บางส่วนอาจถูกลืม บางส่วนเข้าสู่กระบวนการของ การประมวล สารสนเทศ ความจําที่อยู่ระหว่างกระบวนการ เรียกว่าความจําระยะสั้นหรือความจําชั่วคราว ความ จําบางส่วนไม่ได้ถูก เก็บไว้ หรือถูกลืมไป บางส่วนสามารถเก็บเข้าไว้ในส่วนที่เป็นความจําระยะยาวได้ สิ่งที่ถูก เก็บไว้ในความจําระยะยาว นี้เรียกว่าจําได้ สามารถระลึกได้หรือนําออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ
การทดลองของนักจิตวิทยา พบว่า บุคคลมีความสามารถในการจําจากการรับสัมผัสได้ไม่มากกล่าวคือจําได้เพียง 40% ความตั้งใจ (Attention) เป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้ประสบการณ์จ ณ์ ากการสัมผัสถูกส่งผ่านไปยังความจําระยะสั้นในขั้นแรก ซึ่ง โดยทั่วไป คนจะมีความจําระยะสั้นเฉลี่ย 7 + 2 หน่วย (Chunks) ของสารสนเทศ ดังนั้น ถ้าเสนอสิ่งเร้าให้บุคคลได้รับการรับการรับรู้ไม่เกิน 7 หน่วย (สิ่ง) จะอยู่ในปริมาณที่น่าจะจําได้หมด (จําได้ ระลึก ได้) แต่ถ้าสิ่งเร้ามีมากกว่า 7 หน่วย หรือ 7 สิ่ง จะมีบางหน่วยหรือบางสิ่งไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงความจําระยะสั้นได้ คือ ถูกลืมไป อย่างไรก็ตาม หน่วยหรือสิ่งดังที่ต้องจํานั้น อาจเป็นได้ทั้งหน่วยหรือสิ่งเดี่ยว ๆ และกลุ่มหรือชุดของหน่วย หรือสิ่งใดๆ ก็ได้ ดังนั้น ถ้าสามารถจัดสิ่งที่ต้องการจําเข้ากลุ่ม หรือเป็นชุด ก็จะทําให้จําได้มากกว่า 7 สิ่ง (เดี่ยวๆ) คือจําได้ 7 ชุดหรือ 7 กลุ่มแทน เช่น ถ้าสิ่งเร้าคืออักษร N E N T E N IE ปกติจะต้องใช้ 8 หน่วยความจํา แต่ถ้าจัดใหม่เป็น INNETEEN ซึ่ง จะ เปลี่ยนเป็น 1 กลุ่ม หรือ 1 ชุด ที่จําง่ายและมีความหมายเดียวก็ใช้เพียงหน่วยความจําเดียว หรือ จมูก ตา ลิ้น หู ผิวกาย เป็น 5 สิ่งที่ต้องใช้ 5 หน่วยความจํา แต่ถ้าบอกว่าเป็นอวัยวะรับสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย อย่างที่เคยได้ยินกันคุ้นหู ก็จําได้ ง่ายเพราะใช้ หน่วยความจําเพียงหนึ่งหน่วยหรือ 1 กลุ่มของสิ่งที่ต้องจํา เท่ากับการใช้หน่วยความจําไปเพียง 1 หน่วยในการ เก็บไว้ใน ความจํา ระยะสน
ในทฤษฎีของการประมวลสารสนเทศ การกําหนดเป็นหน่วย/สิ่ง หรือกลุ่ม/ชุด เท่ากับเป็นการเลือกหรือ จัดเพื่อลงรหัส (Coding) ปฏิบัติการในลักษณะ ดังกล่าวเป็นการปรับ/หรือจัดให้เหมาะสมที่จะจัดลงในความ จําระยะสั้น บุคคลจะต้องมีการเลือกสรรเพื่อลงรหัส เพราะเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลจะจําได้ในทุกสิ่งที่ ได้รับสัมผัส สาระสําคัญเกี่ยวกับกระบวนการจําในทฤษฎีการประมวลสารสนเทศ คือ ถ้าไม่มีการดําเนินการ ใด ๆ กับ สิ่งที่ได้บันทึกไว้ในความจําระยะสั้นภายใน 15-30 วินาทีก็จะสูญหายไป คือ ลืม เช่น การที่เราลืม หมายเลข โทรศัพท์ ชื่อคน หรือคําศัพท์ใหม่ๆ ที่เราเพิ่งได้ฟัง ที่จะบันทึกไว้ในความจําระยะยาวหรือความ จําถาวรได้จะ ต้องใช้ความตั้งใจ (Attention) และมีเทคนิคการจําที่ดี เทคนิคดังกล่าว เช่น การฟังซ้ํา หลายๆ เที่ยว การท่อง การจัดกลุ่ม ทํารหัสย่อ หรือผูกเป็นโคลงกลอน เรื่องราว ฯลฯ
ความจําระยะสั้นเปรียบได้กับบัฟเฟอร์(Buffer) หรือ แรม (RAM) ในคอมพิวเตอร์ คือ ทํา หน้า น้ ที่เก็บ สารสนเทศไว้ในช่วงสั้น ส่งไปยังจอภาพขณะที่ผู้ใช้กําลังทํางาน ส่วนความจําระยะยาวเป็น เสมือนการบันทึกลง ในแผ่นดิสก์ หรือฮาร์ดไดรฟ์ หรือแฟลชไดรฟ์ เมื่อได้มีการบันทึกสารสนเทศไว้จะเก็บ ไว้ได้อย่างถาวร จําได้ ถาวร ตามแนวคิดของการประมวลสารสนเทศ ภาวการณ์ลื ณ์ ลื มแสดงว่าบุคคลมีปัญหากับการระลึกจํา (retrieval) คือไม่สามารถนําสารสนเทศออกจากระบบความจําได้ มิใช่ว่าสารสนเทศมีการเสื่อมสลายหรือ สูญหายไป แต่เป็นการนําออกมาไม่ได้ ความจุในความจําระยะยาวมีไม่จํากัด คือ มีที่ว่างสําหรับการเก็บสารสนเทศเสมอ และสารสนเทศที่ถูก สร้างไว้ในระบบความจําระยะยาวจะมีการจัดเป็นระบบแยกเป็นส่วนๆ เช่น คําศัพท์ เรื่องราว วิธีการสถานที่ เป็นต้น
เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลในความจําระยะยาว ฟิลด์แมน (Feldman, 1992, p. 183) กล่าวถึง วิธีการที่ บุคคลสามารถนําข้อมูลจากความจําระยะสั้นไปบันทึกไว้ในส่วนความจําระยะยาว ดังต่อไปนี้ 1) วิธีการบันทึกข้อมูลไว้ในรหัสของภาษา (Verbal Code or Linguistic Code) เป็นการบันทึกไว้ใน ลักษณะ ที่เป็นนามธรรม หรือคําอธิบาย 2) บันทึกข้อมูลเป็นรหัสของภาพในจินตนาการ (Imaginal Code) เป็นลักษณะการบันทึกเป็นภาพ ต่างๆ เช่น ภาพเหตุการณ์ ภาพสถานที่ ภาพสิ่งของ เป็นต้น 3) วิธีการบันทึกไว้เป็นรหัสของการเคลื่อนไหว (Motor Code) เป็นการบันทึกข้อมูลความจําเกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การออกกําลังกายแบบต่างๆ การขับรถยนต์ การเคลื่อนไหวในการทํางาน วิธีการบันทึกข้อมูลไว้ในความจําระยะยาวทั้ง 3 วิธีการดังกล่าว พบว่า แต่ละบุคคลจะมีความ สามารถใน การบันทึกข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป ผลที่ตามมาก็คือ จะมีความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้าน ความจําเกิดขึ้น
ผู้เรียนใช้วิธีการอะไรในการปรับตัวสําหรับการเรียนรู้ในสถานการณ์ต่ ณ์ ต่ างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ ในการเรียน ทฤษฎีประมวลสารสนเทศอธิบายว่าผู้เรียนใช้ยุทธวิธีกระตุ้นเร้า (Monitoring) ทางปัญญา การ ใช้ยุทธวิธีดังกล่าวก็เพื่อให้การเรียนรู้บรรลุเป้า ป้ หมาย ตัวอย่าง ยุทธวิธีดังกล่าว เช่น (Byrnes, 2009, p.36) 1) การทบทวน เช่น การทบทวนคําศัพท์ กฎ เรื่องราว บทเรียน ลักษณะการทบทวนอาจเป็น การเขียนหลาย ครั้ง อ่านซ้ําๆ หรือการท่องจํา ก็ได้ 2) การจัดทําสรุปย่อ เช่น สรุปย่อเหตุการณ์ ส ณ์ รุปย่อบทเรียน สรุปสาระสําคัญจากการอ่านตํารา หรือการสรุป ย่อในลักษณะของการจับประเด็น 3. การควบคุมคนเองในการเรียนรู้
การกระตุ้นเร้าทางปัญญาเป็นตั้งแต่การเลือกใช้ยุทธวิธีว่าจะใช้ยุทธวิธีอะไร ในสถานการณ์ใณ์ ด การตรวจสอบติดตามว่าได้เกิดการเรียนรู้หรือไม่ จําได้หรือไม่ เข้าใจหรือไม่ รวมถึงการประเมินว่า วิธีการที่ใช้นั้นใช้ได้ผลดีเพียงใด มีวิธีอื่นใช้ได้ดีกว่าหรือไม่อาจเปรียบเทียบการใช้ยุทธวิธีกระตุ้น เร้าทางปัญญากับ ซึ่งจะมีบทบาทตั้งแต่การเลือกผู้ทํางานจัดวางผู้ทํางาน บทบาทของหัวหน้า น้ งาน ในตําแหน่งงานที่เหมาะสมแนะนําการทํางาน ติดตามการทํางาน รวมถึงตรวจสอบ ประเมินผล งาน
การใช้ยุทธวิธีช่วยให้ผู้เรียนสามารถที่จะรับสารสนเทศได้อย่างเหมาะสม เพราะรอบ ๆ ตัวผู้ เรียนมีสิ่งที่มาสัมผัสให้เรียนรู้จํานวนมาก และยิ่งสังคมเจริญมากขึ้น ซับซ้อนยิ่งขึ้น สารสนเทศก็ ยิ่งมากขึ้น เกิด ปรากฏการณ์ข ณ์ องการท่วมท้นสารสนเทศ ยากที่หน่วยความจําของผู้เรียนที่มีอยู่จะ เก็บบันทึกไว้ได้หมด หรือถึงแม้จะมีหน่วยความจําเพียงพอ ก็ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องเรียนรู้ทุก สิ่งทุกอย่าง การใช้ยุทธวิธีทาง ปัญญาช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ (จํา) ในสิ่งที่ควรเรียนรู้ (จํา) และไม่จําเป็นต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ สมควรเรียนรู้หรือสิ่งที่มีความสําคัญน้อ น้ ย แต่ในการใช้ยุทธวิธี ทางปัญญาที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการ วางแผนกํากับติดตาม และประเมินการเรียนรู้แต่ละครั้ง ด้วย กล่าวได้ว่าในการเรียนรู้นั้น ทฤษฎีการ ประมวลสารสนเทศเห็นว่า บุคคลใช้ยุทธวิธีการเรียนรู้ และการกระตุ้นเร้าทางปัญญาเป็นเครื่องมือสําคัญ
3.1 ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบคือ เจอโรเม เอส. บรูเนอร์ (Jerome S. Brune) เกิดเมื่อปี 1951 เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่งที่เห็นด้วยกับแนวคิด ของเพียเจท์ เขาได้รับ อิทธิพลจากเพียเจท์ในระยะแรกที่เข้าไปทํางานด้านการศึกษา แต่เขามีความคิดที่ ก้าวหน้า น้ แตกต่างไปจากเพียเจท์ เป็นแนวความคิดที่เด่นชัดของตนเอง แนวความคิดดังกล่าวเกิดจากการที่ เขาได้ทําการวิจัยในระยะต่อมาและได้พบว่าทฤษฎีของเพียเจท์เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาเป็นขั้น ๆ นั้นอาจขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถที่จะอธิบายการเรียนรู้ ของผู้เรียนได้ชัดเจนเท่าที่ควร การอธิบายวิธีการเรียนรู้ของบรูเนอร์เป็นทั้งการเกิดการรู้คิดและพัฒนาการ เขาเน้น น้ ว่า เป้า ป้ หมายสําคัญ ของ การศึกษาคือ การช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาในวิชาต่าง ๆ ผู้เรียนจําเป็นที่จะต้องมีวิธีการเรียนเหมาะสม และมี ความหมาย บรูเนอร์ได้เน้น น้ ความสําคัญของการสอนความคิดรวบยอดและหลักการที่มีลักษณะบูรณาการ 3. ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบและทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
1.1 ธรรมชาติของความรู้ ในมุมมองของบรูเนอร์ บุคคลเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ 3 วิธี คือโดยการลง มือทํา (Enactive) โดยการสร้างเป็นจินตนาการหรือเป็นภาพ (Ikonic) และการใช้สัญลักษณ์ที่ ณ์ ที่ เป็นที่ ยอมรับกันใน สังคม (Symbolic) ดังตัวอย่างการเรียนรู้เกี่ยวกับปมเงื่อนของเชือก (ซึ่งเปรียบได้กับปัญหา) เราเรียนรู้ได้ โดยการกระทําจริง (Enactive) คือ การลงมือผูกหรือการแก้เงื่อนของเชือก หรือเราอาจเรียนรู้ โดยสร้างภาพ ขึ้นในจิตใจ (Ikonic) คือ สร้างภาพของเส้นเชือก ภาพการไขว้ การผูก จนกระทั่งเป็นเงื่อน หรือกรณีการแก้ เงื่อน ภาพก็เป็นตั้งแต่ภาพเงื่อนของเชือกที่มีการผูกไว้แล้ว ภาพการจับส่วนของเส้นเชือก เพื่อแก้ปมเงื่อนที ละขั้นทีละตอนจนกระทั่งเงื่อนคลายหลุดออกเป็นเส้นเชือก ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จอาจมี ลักษณะเป็นภาพ เคลื่อนไหว นอกจากนั้น เราอาจแสดงเกี่ยวกับการผูก การแก้ ปมเชือกโดยใช้สัญลักษณ์ ต่างๆ (Symbolic) เช่น อธิบายด้วยภาษา เป็นประโยคขั้นตอนของการผูกเงื่อน หรือการแก้เงื่อน หรือ การ สะกดคําว่า "ปม เงื่อนของเชือก" เป็นภาษาต่างๆ เป็นต้น
1.2 พัฒนาการของความรู้และการเรียนรู้ ขั้นพัฒนาการของการเรียนรู้ คือความสามารถที่ จะเรียนรู้ ด้วยวิธีต่าง ๆ 3 วิธีที่ได้กล่าวตามลําดับ ถือว่าเป็นพัฒนาการเปรียบเทียบได้กับขั้นพัฒนาการ ทางปัญญา ของเพียเจท์ บรูเนอร์มีความเห็นว่า พัฒนาการทางปัญญาของผู้เรียนแสดงออกโดยการสะท้อนให้เห็นว่า ผู้เรียนมี วิธีการอธิบายที่ดีกว่าเกี่ยวกับโลกอย่างไร เขาอธิบายพัฒนาการของการเรียนรู้โดยเทียบเคียงกับ ทฤษฎีของ เพียเจท์ ดังนี้
พัฒนาการขั้นแรก ตรงกับวัยที่เพียเจท์เรียกว่า "ขั้นการตอบสนองทางกล้ามเนื้อ"กระบวนการที่บรูเนอร์ อธิบาย คือ การกระทําที่คล่องแคล่วแข็งขัน (Enactive) ผู้เรียนแสดงการเรียนรู้เกี่ยวกับโลกโดยการคลาน และเดินหยิบฉวย ขั้นต่อมาผู้เรียนแสดงออก ด้วยจินตนาการเป็นภาพ (Ikonic) ซึ่งเป็นระยะก่อนวัยเรียนคือ วัยอนุบ นุ าลและพัฒนา และเมื่อถึงวัยเข้าเรียน ผู้เรียนมีพัฒนาการในขั้นที่ สามารถใช้สัญลักษณ์ (Symbolic) กับสิ่งที่เรียนรู้ได้ อาจสรุปเป็นขั้นตามวัยได้ ดังนี้ วัยต้น (แรกเกิด) วิธีการเรียนรู้ที่ใช้มากคือ การเคลื่อนไหวอวัยวะหรือกล้ามเนื้อ En-active ซึ่งคล้ายกับ Psycho-Motor Stageของเพียเจท์ (วัยทารก) วัยก่อนเข้าเรียน วิธีการเรียนรู้ที่ใช้มากคือ การสร้างจินตภาพ Ikonic ซึ่งใกล้เคียงกับ Formal Operation Stage ของเพียเจท์ (2-6 ขวบ) วัยเรียนหรือวัยเด็กตอนกลาง ซึ่งอายุประมาณ 10-13 ปี เด็กจะใช้วิธีการ Sym-bolic ซึ่งใกล้เคียงกับ ช่วงพัฒนาการระหว่าง Formal Operation Stage กับ Concrete Operation Stage (10-12 ปี) ตามทฤษฎี ของเพียเจท์ ทั้งหมดที่กล่าวมา ถือว่าเป็นพื้นฐานที่ผู้เรียนใช้เพื่อการเรียนรู้โดยการค้นพบ
1.3 การควบคุมตนเองในการเรียนรู้ การเรียนรู้โดยการค้นพบ (Discovery Learning) ในทางการศึกษา เป็นการสอนหลักการ กฎเกณฑ์ วิธีการแก้ปัญหา โดยที่ครูให้คําแนะนําน้อ น้ ยที่สุด ขณะที่นักเรียนใช้การเรียนรู้ แบบลองผิดลองถูก และการค้นคว้าทดลองมากที่สุด บรูเนอร์ (Bruner, 1966, p. 15 citing in Vander Zanden & Pace, 1984, pp. 174-175) กล่าวถึงสาระสําคัญไว้ตอนหนึ่งว่า การสอน เนื้อหาวิชาใดวิชาหนึ่ง มิใช่การทําให้ นักเรียนรับเอาเนื้อหาเข้าไว้ แต่เน้น น้ ให้เขามีส่วนร่วมในกระบวนการที่ทําให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น เราสอนวิชา ความรู้ มิใช่การสร้างห้องสมุดเล็กๆ ของวิชานั้นในนักเรียน การสอนควรทําให้นักเรียนคิดด้วยตนเองเกี่ยวกับเนื้อหา สาระ ควรถือว่าการได้มา ซึ่งความรู้เป็นกระบวนการมิใช่ผลผลิต หลักการสําคัญที่นํามาใช้ในการเรียนรู้ด้วยการค้นพบคือ การอุปนัย (Inductive) ซึ่งมีลักษณะเป็น "การ พิจารณา" ความเป็น สามัญ (ลักษณะทั่วไป) ในความเป็นลักษณะเฉพาะ ดังตัวอย่าง ในการสอนเรื่องสามเหลี่ยม ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนแต่ละคนวัดมุมภายในของ สามเหลี่ยมจํานวนหนึ่ง เพื่อดูว่านักเรียนสามารถค้นพบข้อสรุปใน ความสัมพันธ์ของมุมทั้งสามของสามเหลี่ยมใด ๆ ได้หรือไม่ เช่น ผลรวมของ มุมภายใน การเปลี่ยนแปลงมุมใด มุมหนึ่งมีผลต่อมุมที่เหลืออย่างไรหรือในเรื่องอื่น ผู้สอนให้ตัวอย่างจํานวนแก่ผู้เรียน ให้โอกาสผู้เรียนได้ ค้นพบ นิยามที่เหมาะสมที่สุด วิธีการเช่นนี้ ต้องการนิยามหรือข้อสรุปที่แน่นอนของเรื่องนั้น ๆ เพื่อว่าผู้เรียนจะได้ไม่ลง สรุปหรือให้นิยามแบบ ผิดๆ ซึ่งถ้าผู้สอนใช้วิธีสอนโดยอธิบายหรือบรรยายเนื้อหา อาจให้สาระสําคัญไม่ชัด ทําให้ นักเรียน
โดยหลักการและวิธีการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ในกระบวนการนี้ผู้เรียนมี บทบาทในการควบคุมตนเองในการเรียนสูง คือ ควบคุมตนเองในการกําหนดแนวทางแสวงหาข้อมูล การ วิเคราะห์ ข้อมูล และทดสอบสมมติฐานเพื่อนําไปสู่การค้นพบคําตอบของปัญหา นั่นคือใช้วิธีการอุปนัยเพื่อให้ได้ ข้อสรุปที่เป็น นิยาม หลักการ กฎเกณฑ์ หรือความรู้ใหม่ด้วยตนเอง ผู้สอนมีบทบาทตอนเริ่มต้นบทเรียน และคอ ยอํานวยความ สะดวก นั่นคือการเตรียมสารสนเทศที่จําเป็น การกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดแรงจูงใจภายใน คือ ทําให้ผู้ เรียนต้องการเรียน และมีความสุขจากการค้นพบโดยตนเอง
3.2 ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นโดย เดวิด พี. ออซูเบล (David P.Ausubel) ทฤษฎีดังกล่าวอยู่ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้จากการนําเสนอสิ่งที่ต้องการให้เรียนรู้โดยตรง (Expository Learning) ออซูเบลไม่ได้มุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางปัญญา เขาเน้น น้ เกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ เท่านั้น เขาเห็นว่าการ สอนโดยนําเสนอสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนโดยตรงหรือการสอน การอธิบายให้ ผู้เรียนได้รับรู้โดยตรง มิได้ หมายความว่าผู้เรียนจะต้องเรียนด้วยการท่องจําเสมอไป การสอนด้วยวิธีการดัง กล่าวนอกจากใช้เวลาน้อ น้ ยแล้ว ถ้า ผู้เรียนได้ทําความเข้าใจในแนวคิด หลักการที่ผู้สอนเสนอ ก็สามารถนํา ความรู้นั้นไปใช้ได้ในสถานการณ์อื่ ณ์ อื่ นๆ ได้เป็นอย่างดี
3.2 ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นโดย เดวิด พี. ออซูเบล (David P.Ausubel) ทฤษฎีดังกล่าวอยู่ภายใต้แนวคิดการเรียนรู้จากการนําเสนอสิ่งที่ต้องการให้เรียนรู้โดยตรง (Expository Learning) ออซูเบลไม่ได้มุ่งอธิบายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางปัญญา เขาเน้น น้ เกี่ยวกับวิธีการเรียนรู้ เท่านั้น เขาเห็นว่าการ สอนโดยนําเสนอสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนโดยตรงหรือการสอน การอธิบายให้ ผู้เรียนได้รับรู้โดยตรง มิได้ หมายความว่าผู้เรียนจะต้องเรียนด้วยการท่องจําเสมอไป การสอนด้วยวิธีการดัง กล่าวนอกจากใช้เวลาน้อ น้ ยแล้ว ถ้า ผู้เรียนได้ทําความเข้าใจในแนวคิด หลักการที่ผู้สอนเสนอ ก็สามารถนํา ความรู้นั้นไปใช้ได้ในสถานการณ์อื่ ณ์ อื่ นๆ ได้เป็นอย่างดี
การเรียนรู้จากการนําเสนอสิ่งที่ต้องการให้เรียนรู้โดยตรง (Expository Learning) เป็นวิธีการเรียนรู้ ที่ตรงข้ามกับ การเรียนรู้โดยการค้นพบ (Discovery Learning) วิธีการเรียนรู้แบบ Expository ใช้หลักของ การคิดเหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Method) วิธีการเรียนรู้แบบ Discovery ใช้หลักของการคิดเหตุผล แบบอุปนัย (Inductive Method) กล่าวคือ วิธีนิรนัยนั้น ในกระบวนการสอน บทเรียนที่ผู้สอนเตรียมเพื่อใช้ กับผู้เรียนจะประกอบด้วยนิยาม หลักการ และกฎเกณฑ์ที่ จําเป็น วิธีนิรนัยนี้โดยทั่วไปแล้วครูจะเริ่มบทเรียน ด้วยการเสนอหลักการ กฎเกณฑ์ มโนมติ (ความคิดรวบยอด) จากนั้น ตัวอย่างที่แสดงการใช้มโนมติ หลัก การ หรือกฎเกณฑ์ที่นําเสนอ และต่อไปคือการประยุกต์สู่กรณีเฉพาะต่างๆ เช่น ถ้าผู้สอน ต้องการสอนให้ผู้ เรียนได้พบข้อสรุปว่า "มุมภายในของสามเหลี่ยมรวมกันเท่ากับ 180 องศา" ผู้สอนจะต้องเสนอหลักการ อธิบาย และแสดงตัวอย่างโดยเขียนสามเหลี่ยมบนกระดานทํา 2-3 รูป และแสดงวิธีการพิสูจน์ใน์ ห้ดู จะเห็น ว่าการเรียนเรื่องนี้ ไม่จําเป็นต้องให้เป็นการเรียนแบบการค้นพบโดยผู้เรียน ผู้เรียนเพียงเป็นผู้ติดตามทํา ความเข้าใจและลองใช้ความรู้ที่ได้ (คือ มโนมติ หลักการ กฎเกณฑ์ ฯลฯ) ไปลองใช้กับกรณีเฉพาะต่างๆ เช่น ทําแบบฝึกหัดหรือตรวจสอบกับกรณีทั่วๆ ไป ก็จะเกิด การเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้
2.1 ธรรมชาติของความรู้ ออซูเบล เป็นผู้หนึ่งในกลุ่มนักวิชาการที่ให้ความสําคัญกับวิธีการ เรียนรู้ โดยตรง (Expository Method) เขาได้ชี้ให้เห็นว่า มโนมติหรือหลักการนั้นสามารถเรียนรู้ได้ทั้งโดย “การค้น พบ” หรือ “นําเสนอโดยตรง” โดยที่ผู้เรียนจะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดหรือหลักการใหม่กับ ความรู้ที่มีอยู่แต่เดิม ผู้เรียนจะต้องมีสมาธิตั้งใจกับสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ พยายามที่จะจําและ เข้าใจให้ได้ เพื่อที่จะ สามารถนําออกมาใช้ได้เมื่อต้องการในอนาคต ออซูเบลกล่าวว่า เราสามารถจําบางสิ่งบางอย่างได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งใน 2 วิธีคือ การจําแนวคิด โดยไม่ได้ สร้างความสัมพันธ์กับความรู้เดิมซึ่งอาจเรียกว่าเป็น “การท่องจํา” (Roting Learning) อีกวิธี หนึ่งคือการ ทบทวนสิ่งใหม่โดยการสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งที่เรารู้อยู่แต่เดิม ที่อาจเรียกว่า “การเรียนรู้ อย่างมีความ หมาย” (Meaningful Learning) ในชีวิตจริงการเรียนรู้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เกิดจาก “การท่องจํา” หรือ “การเรียนรู้ อย่างมีความหมาย” อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวในบางกรณีอาศัยการเรียนรู้อย่าง ใดอย่างหนึ่งเพียง อย่างเดียว แต่บางกรณีอาศัยทั้งสองอย่างประกอบกัน ภาพต่อไปนี้แสดงการเปรียบเทียบ การเรียนรู้แบบท่ องจํากับการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
(ก) การเรียนรู้โดยการท่องจํา
(ข) การเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ออซูเบล อธิบายการเรียนรู้โดยกระบวนการทางปัญญาด้วยการแยกเป็น 2 ด้าน องค์ประกอบ ด้านหนึ่งคือ การท่องจํา อีกด้านหนึ่งคือ การเข้าใจความหมาย เขาผสมสองด้านองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ได้ข้อเสนอเป็นการ เรียนรู้ 4 แบบ ซึ่งขอเสนอภาพบางส่วนเพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ดังนี้ ภาพ แสดงการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากมิติร่วม ความจำ -ความเข้าใจ กับการน้อ น้ มรับ-การค้นพบ
ออซูเบล อธิบายการเรียนรู้โดยกระบวนการทางปัญญาด้วยการแยกเป็น 2 ด้าน องค์ประกอบ ด้าน หนึ่งคือ การท่องจํา อีกด้านหนึ่งคือ การเข้าใจความหมาย เขาผสมสองด้านองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ได้ข้อ เสนอเป็นการเรียนรู้ 4 แบบ ซึ่งขอเสนอภาพบางส่วนเพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ดังนี้ จากภาพ แสดงให้เห็นว่าคนอาจมีการเรียนรู้ในลักษณะเป็นองค์ประกอบการเรียนรู้ได้ 4 แบบ ดังนี้ 1) การเรียนรู้โดยการน้อ น้ มรับ ประกอบการท่องจํา (BX) การเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้สอน ได้ เสนอหลักการ แนวคิด ผู้เรียนรับรู้และพยายามจําให้ได้โดยการท่องจํา 2) การเรียนรู้โดยการค้นพบประกอบการท่องจํา (BY) การเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้เรียน ได้ เรียนรู้แนวคิด หลักการแล้วโดยตนเองโดยการลองผิดลองถูก คือ การเรียนรู้ด้วยการค้นพบ จากนั้นรับ ตามรู้นั้นไว้ด้วยการจํา โดยไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับความรู้ที่มีอยู่แต่เดิมโดยไม่ได้มีการทําความเข้าใจ 3) การเรียนรู้โดยการน้อ น้ มรับและเข้าใจความหมาย (AX) การเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อ ผู้สอน เสนอแนวคิดหรือหลักการที่เป็นข้อสรุปแล้ว ผู้เรียนสร้างความสัมพันธ์กับแนวคิดหลักการที่ตนมีอยู่ แต่ เดิมในลักษณะที่รับไว้ได้ด้วยความเข้าใจ 4) การเรียนรู้โดยการค้นพบประกอบการเข้าใจความหมาย (AY) การเรียนรู้แบบนี้เกิด ขึ้นเมื่อผู้ เรียนได้สร้างแนวคิดหรือหลักการด้วยตนเองคือค้นพบแล้วด้วยตนเอง จากนั้นได้พยายามสร้าง ความ สัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ค้นพบนั้นกับแนวคิด หลักการที่มีอยู่แต่เดิม จนเกิดเป็นการเรียนรู้ที่ชัดเจน
ออซูเบล (citing in Weil & Joyce, 1978) เน้น น้ อธิบายพฤติกรรมของผู้เรียนในการใช้การเรียนรู้ อย่างมี ความหมายเพื่อการเรียนรู้มโนมติ (Concept) โดยอธิบายว่า การเรียนรู้มี 2 กระบวนการ คือ การสร้างมโนมติ (Concept Formation) และการซึมซับมโนมติ (Concept Assimilation) การสร้างมโนมติเป็นการกําหนดลักษณะสําคัญที่เหมือนๆ กันของวัตถุหรือเหตุการณ์ที่ ณ์ ที่ เรียน (รับรู้) แล้ว สร้างเป็นมโนมติขึ้นใหม่ การซึมซับมโนมติ คือ การเรียนมโนมติจากคําอธิบายหรือคําจํากัดความแล้ว รับเข้า ไว้ในระบบการเรียนรู้ของตน 2.2 พัฒนาการของการเรียนรู้ ตามแนวคิดของออซูเบล กิจกรรมการเรียนรู้อาจเกิดในลักษณะ การ ประสานกันอย่างง่ายๆ ในทุกองค์ประกอบของมิติ ซึ่งประกอบด้วยมิติการน้อ น้ มรับ-การค้นพบ และมิติการท่อง จํา การเข้าใจความหมาย เขาชี้ให้เห็นว่านักการศึกษาจํานวนมากมีความสับสนในมิติเหล่านี้ และเข้าใจว่าการ เรียนรู้โดยการนําเสนอสิ่งที่ต้องการให้เรียนรู้ (Expository) หรือการสอนโดยตรงโดยธรรมชาติ แล้วต้องท่อง จําเท่านั้น ออซูเบลเห็นในทางกลับกันว่า การเรียนรู้โดยการค้นพบจะต้องเข้าใจความหมาย เสมอ องค์ประกอบ การเรียนรู้ 4 แบบ ของเขาช่วยผู้สอนให้ตระหนักว่า ทั้งการเรียนรู้โดยการน้อ น้ มรับจาก การนําเสนอฯ และการ เรียนรู้จากการค้นพบว่า มิใช่เป็นการท่องจําหรือเป็นการเข้าใจความหมายอย่างใด อย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว
พัฒนาการของการเรียนรู้เกิดขึ้นจากการส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมาย ไม่ว่าจะ เป็นการจํา หรือโดยการค้นพบ นั่นคือผู้สอนเตรียมบทเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยความเข้าใจ กระตุ้นให้ผู้ เรียนสนใจ ตั้งใจ ทําความเข้าใจสิ่งที่เรียนใหม่ เชื่อมโยงประสบการณ์ใณ์ หม่เข้ากับประสบการณ์เ ณ์ ดิม 2.3 การควบคุมการเรียนรู้ ตามทฤษฎีของออซูเบล เห็นได้ชัดว่าผู้สอนเป็นผู้ควบคุมกิจกรรม การเรียน โดยเริ่มตั้งแต่การเตรียมบทเรียน เตรียมผู้เรียน ขณะที่ผู้เรียนต้องตั้งใจ ติดตาม และพยายาม เชื่อมโยง ทํา ความเข้าใจ จึงจะเกิดการเรียนรู้ตามเป้า ป้ หมายได้
ออซูเบล เห็นว่า การทําให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ทําได้โดยการเสนอความรู้ มโนมติ แก่ ผู้เรียนโดยไม่ต้องกําหนดเป็นปัญหาให้ผู้เรียนต้องค้นคว้า เพราะผู้เรียนจะเรียนรู้ได้อย่างมีความ หมายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสนใจ ตั้งใจของผู้เรียน และความเข้าใจในสิ่งที่ผู้สอนนําเสนอ ผู้เรียนสามารถ เรียนได้อย่าง กระตือรือร้น คือ มี “Active Mental Operation” กระบวนการดังกล่าวประกอบด้วย 1) วิธีการนําเสนอความรู้ใหม่อย่างเป็นระบบขั้นตอน โดยหลักของนิรนัย คือการเสนอหลัก การทั่วไป สู่กรณีเฉพาะ 2) การเชื่อมโยงความรู้ ประสบการณ์ใณ์ หม่เข้ากับประสบการณ์ ค ณ์ วามรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกัน 3) การจัดระบบของความรู้ หากวิเคราะห์วิธีการเรียนรู้ตามแนวคิดของออซูเบลดังกล่าว บทบาทของผู้เรียนในการควบคุมการเรียนรู้ ของตนอาจเป็นได้มากหรือน้อ น้ ย ย่อมขึ้นอยู่กับการวางแผนของผู้จัดประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้ (ผู้สอน) หาก วางแผนให้ผู้เรียนได้มีบทบาทมาก มีแรงจูงใจภายในในการเรียนสูง การควบคุมการเรียนรู้ของผู้เรียนก็จะมาก ขึ้นด้วย
ในการประยุกต์ทฤษฎีของเพียเจท์ไปใช้ในการเรียนการสอนหรือการจัดการศึกษา อาจทําได้ดังนี้ 1. คํานึงถึงพัฒนาการทางปัญญาของผู้เรียน การจัดบทเรียนหรือประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้ให้ สอดคล้องกับระดับพัฒนาการทางปัญญาของผู้เรียนจะทําให้มีความเป็นไปได้สูงในการเรียนรู้ ในทาง ตรง ข้ามหากบทเรียนหรือประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้ไม่สอดคล้องกับพัฒนาการทางปัญญา อาจมีปัญหา กับการเรียนรู้ เช่น ถ้าบทเรียนสูงกว่าพัฒนาการทางปัญญาของผู้เรียนก็จะทําให้ดูเหมือนว่าบทเรียนยาก เกินไป สําหรับผู้เรียน แต่ถ้าบทเรียนต่ํากว่าพัฒนาการทางปัญญาของผู้เรียนก็จะทําให้ดูเหมือนว่าเรียน สิ่งที่ง่าย เกินไป ไม่ท้าทาย น่าเบื่อหน่าย การประยุกต์ใช้ทฤษฎีโครงสร้างนิยม 1. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีของเพียเจท์
2. เน้น น้ พัฒนาโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรียน ตามแนวคิดของเพียเจท์เห็นว่าการเรียนรู้เกิด จาก การเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาโครงสร้างทางปัญญา การเรียนการสอนจึงควรให้ความสําคัญกับประเด็น ดังกล่าว โดยให้ความสําคัญกับกระบวนการซึมซับ (Assimilation) การปรับเปลี่ยน (Accommodation) การปรับตัว (Adaptation) และการสร้างความสมดุล (Equilibrium) 3. เน้น น้ ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติ (Active learner) ทฤษฎีของเพียเจท์ให้ความสําคัญกับการที่ ผู้ เรียนได้เป็นผู้ควบคุมตนเองในการเรียนรู้ ได้ลงมือปฏิบัติ แก้ปัญหาโดยตนเอง ดังนั้น บทเรียนจึงควร ให้ โอกาสผู้เรียนได้มีบทบาทในการเรียนให้มาก
4. ทฤษฎีของเพียเจท์ แสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดได้ดีถ้า - มีการให้มโนมติแนวหน้า น้ (Advance Organizer) เพื่อเป็นพื้นฐานของสิ่งที่จะเรียนต่อไป - การสร้างให้เกิดความขัดแย้งทางความ คิดที่จะนําไปสู่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญา เพื่อการเกิดการเรียนรู้ใหม่ - ทางเลือกที่ผู้เรียน สามารถเลือกหรือนําไปปฏิบัติได้ง่าย คือ ทางเลือกที่ดูว่าดีที่สุด - การเรียนที่สอดคล้องกับสภาพจริงจะ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
จากทฤษฎีวัฒนธรรมทางสังคมของวีก็อตสกี สามารถนํามาประยุกต์ใช้เพื่อการศึกษาหรือในการ เรียน การสอนได้ในหลายประเด็น เช่น 1. แนวคิดของการให้ความช่วยเหลือนักเรียนในการเรียนรู้ (Scaffolding) วีก็อตสกีเห็นว่าใน การ เรียนการสอนนั้น ผู้สอนควรแสดงบทบาทเป็นนั่งร้านให้กับผู้เรียน นั่นคือคอยสังเกต ให้ความช่วยเหลือ ใน สถานการณ์อั ณ์ อั นเหมาะสม เมื่อเห็นว่านักเรียนไม่สามารถเรียนรู้ได้สําเร็จโดยตนเองแต่สามารถเรียนรู้ได้ หาก ได้รับการชี้แนะ หรือบอก อธิบาย เพียงเล็กน้อ น้ ย 2. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีของวีก็อตสกี
2. แนวคิดที่ว่าการสอนแต่ละครั้งควรมีความก้าวหน้า น้ไปจากระดับความสําเร็จปัจจุบันที่นักเรียนเป็นอยู่ (Child's Current Level Of Mastery) 3. แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) เพื่อให้นักเรียนได้ซึมซับทักษะที่ เช่นนั้น ช่วงที่หนึ่ง ครูแสดงทักษะที่สอนเป็นตัวอย่างและอธิบายว่าตนเองทําอย่างไร ทําไมจึงทํา ช่วงที่สอง เด็กได้ลองทําเลียนแบบตามที่ครูได้ทําให้ดู (อาจรวมทั้งการแสดงออกทางวาจา โดยการพูด ด้วย) ในตอนแรกๆ เด็กอาจทําได้ไม่ค่อยดีครูจึงควรให้คําวิจารณ์ห ณ์ รือเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงแก้ไข ช่วงที่สาม ผู้สอนค่อยถอยห่างออกไป ขณะที่เด็กๆ มีความก้าวหน้า น้ในการเรียนไปตาม ลําดับ จน สามารถเรียนรู้ทักษะนั้นได้ พาลินซ์ซาร์และบราว์น (Palincsar และ Brown) (1984) ได้ใช้ ระหว่างผู้สอนกับ ผู้เรียน เทคนิคนี้สอนเด็กโดยใช้ยุทธวิธีการอ่าน 4 ยุทธวิธี และได้พบความสําเร็จอย่างสูง เขาเรียกวิธีการดัง กล่าว ว่าเป็น Reciprocal Teaching โดยจากแนวคิดของวีก็อตสกี พวกเขาได้เพิ่มส่วนที่เป็นบทบาทสลับกัน
4. เด็ก ๆ มีความจําเป็นที่จะต้องได้เผชิญกับมโนมติ (Concept) ทางวิทยาศาสตร์แบบซ้ําแล้ว ซ้ําอีก เพื่อที่จะให้มโนมติตามธรรมชาติพัฒนาสู่มโนมติเชิงวิทยาศาสตร์เป็นปกติและแน่นอนยิ่งขึ้น ตาม แนวคิด ของวีก็อตสกีในทุกสาขาวิชา เช่น คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ศิลปะ ฯลฯ มีความคิดรวบยอดเชิง วิทยาศาสตร์ มิใช่มีเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์เท่านั้น ดังนั้น การประยุกต์ดังกล่าวนี้เป็นจริงสําหรับทุกวิชา 5. แนวคิดเกี่ยวกับขอบเขตของการเรียนรู้ (The Zone of Proximal Development) หากผู้จัด ประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้ผู้สอน ต้องคํานึงถึงขอบเขตการเรียนรู้ของผู้เรียน จัดบทเรียนและกิจกรรมให้เหมาะ สม จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการประมวลสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอน ทําได้โดย 1. ผู้จัดประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้หรือผู้สอนควรจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ส่งเสริมให้เกิดการ ประมวลสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพในผู้เรียน เช่น การสื่อสารที่ชัดเจนปราศจากการสอดแทรก รบกวน ช่วงเวลาที่พอเหมาะไม่เร่งรัด หรือยาวนานเกินไป 2. ผู้จัดประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้ควรจัดเตรียมสารสนเทศ (ข้อมูล) ที่มีคุณภาพดี มีความเพียงพอ เป็น ระบบ ทั้งสารสนเทศที่เป็นเนื้อหา และสารสนเทศที่เป็นวิธีการ ให้ผู้เรียนได้ใช้เพื่อการเรียนรู้ ให้ผู้เรียน ได้ เข้าถึงได้ง่าย เมื่อต้องการ ให้มีความสะดวกในการสืบค้น การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการประมวลสารสนเทศ
3. ควรจัดประสบการณ์ที่ ณ์ ที่ สอดคล้องกับศักยภาพในการเรียนรู้ โดยธรรมชาติคนมีความจําสําหรับ การ เรียนแต่ละครั้งจํากัด การจัดประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้แต่ละครั้งจึงควรที่จะมีสารสนเทศที่ต้องจําไม่มาก เกิน ไป การแบ่งส่วน จัดระบบสารสนเทศ แล้วจึงนําเสนอ (สอน) จะทําให้ผู้เรียนมีสัมฤทธิผลในการรับ สารสนเทศได้มาก นั่นคือถ้าเนื้อหามากอาจแบ่งสอนเป็นหลายตอน หลายครั้ง 4. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ผู้จัดประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้อาจแนะนํา หรือส่งเสริมให้ ผู้เรียนใช้ ยุทธวิธีการเรียนรู้ เช่น วิธีการท่องจํา วิธีการจัดเป็นหน่วยหรือสิ่งใหม่ วิธีการจําอย่างเป็นระบบ หรือการสร้าง เป็นระบบเพื่อจํา เช่น ผูกเป็นโคลง กลอน 5. จัดประสบการณ์ก ณ์ ารเรียนรู้ที่เป็นระบบ สอดคล้องกับธรรมชาติของสมอง และศักยภาพของความจํา
1. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบ ในการเรียนการสอน บรูเนอร์ (Bruner, 1961) ระบุ ประโยชน์ข น์ องการเรียนรู้โดยการค้นพบไว้ 4 ประการ ประการที่ 1 เป็นวิธีการเรียนที่ส่งเสริมการทบทวนสิ่งที่จํา เพราะผู้เรียนจะต้องจัดระบบสารสนเ ใน ลักษณะที่มีความหมาย ประการที่ 2 เป็นวิธีการที่เพิ่มศักยภาพหรือความสามารถทางปัญญา โดยผู้สอนเป็น สารสนเทศที่จํา เป็นเพียงพอสําหรับผู้เรียนนําไปใช้เพื่อการแก้ปัญหา ประการที่ 3 เป็นวิธีการที่สร้างแรงจูงใจจากภายในมากกว่าภายนอกตัวผู้เรียน โดยผู้สอน กระบวนการของความพึงพอใจให้เกิดขึ้นในผู้เรียนด้วยการที่ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่ๆ ประการที่ 4 เป็นวิธีการที่สร้างทักษะของการค้นคว้า การแก้ปัญหา อย่างมุ่งมั่นจริงจัง ได้มาซึ่งค่า ตอบที่ต้องการ การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้โดยการค้นพบและทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
โดยรวมกล่าวได้ว่า ผู้เรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ให้ค้นพบด้วยตนเองไม่เพียงแต่สามารถ เกิด ความคิดรวบยอดหรือหาข้อสรุป ข้อยุติ นิยาม ในเรื่องที่เรียนได้เท่านั้น แต่ได้ซึมซับกระบวนการ การค้นพบ ด้วยตนเองเข้าไปด้วย คือ ได้เรียนรู้ทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ไปด้วยกัน แนวการสอนตามทฤษฎีการเรียนรู้ โดยการค้นพบที่นํามาประยุกต์ประกอบด้วยการเน้น น้ 4 ด้าน คือ 1. ควรสร้างให้เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนก่อนที่จะเริ่มกิจกรรมการเรียนรู้ เพราะแรงจูงใจจะ ช่วยให้ผู้เรียนมี ความกระตือรือร้นที่จะเรียนด้วยตนเอง ไม่ใช่การเรียนโดยถูกบังคับ 2. การเสนอบทเรียนอย่างเป็นระบบที่เหมาะสม บรูเนอร์เห็นว่า ทฤษฎีทางการสอนควรแสดงให้เห็นว่า จะสอนสาระวิชาต่างๆ ได้อย่างไร จึงทําให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และนําไปใช้ได้ ถ้าหากได้ มีการจัดเป็นระบบ อย่างเหมาะสม บรูเนอร์เชื่อว่า แนวความคิดหรือปัญหาใดๆ สามารถที่จะนําเสนอได้ใน รูปแบบที่ง่ายพอสําห รับผู้เรียนที่จะเข้าใจได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เรียนอายุ 7 ปี จะสามารถอภิปราย ได้อย่างฉลาด หลักแหลม เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพันธภาพของไอสไตน์ อาจเป็นเพียงทําให้ผู้เรียนสามารถ อธิบายหลักการที่เป็นพื้นฐาน ของทฤษฎีดังกล่าวได้
3. การจัดลําดับขั้นตอนของการสอน หรือนําเสนอสาระความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ: สําคัญประการที่ สามนี้ อธิบายตามทฤษฎีของการสอนคือ การกําหนดลําดับของการสอนที่เห็นว่าจะมี ประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีการเสนอเนื้อหาสาระต่างๆ ที่มีการจัดลําดับแล้วอย่างดี เช่น โดยเรียงตามความ ยากง่าย เรียงตาม ความเป็นเหตุเป็นผล 4. การเสริมแรงมีบทบาทสําคัญต่อการเรียนรู้ ค่อยเปลี่ยนผ่านจากการเสริมแรงภายนอกสู่การเสริม แรงภายใน และกําหนดจังหวะของการให้การเสริมแรงอย่างเหมาะสม บรูเนอร์เห็นว่า ทฤษฎี การสอนควร แสดงให้เห็นความชัดเจนในธรรมชาติและบทบาทของการเสริมแรง ผู้สอนควรพัฒนาการเสริมแรง จาก ภายนอกสู่ภายใน นั่นคือ ผู้เรียนควรมีพัฒนาการที่จะพึ่งการเสริมแรงที่ให้โดยผู้สอนน้อ น้ ยลงขณะที่เกิด ความ พึงพอใจด้วยตนเองในการเรียน การทํางานที่ก้าวหน้า น้ ประสบความสําเร็จ ช่วงเวลาของการให้การ เสริมแรง ก็ มีความสําคัญ เช่น ถ้าได้รับการเสริมแรงเร็วเกินไปก็อาจทําให้เกิดการชะงักงันของการที่จะ เสาะแสวงหา ความรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับการเสริมแรงช้าเกินไป ก็อาจไม่เกิดประโยชน์เ น์ ท่าที่ควร ผู้สอนจึงมี บทบาทสําคัญ ในการให้การเสริมแรง ซึ่งจะเป็นสิ่งกระตุ้นการเรียนรู้ของผู้เรียน
อย่างไรก็ตามมีผู้กล่าวถึงข้อจํากัดของการสอนโดยการค้นพบไว้ กล่าวคือ นักจิตวิทยาบางคน เช่น ซิม เมอร์แมน (Zimmerman) และสกินเนอร์เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยได้ค้นพบด้วยตนเองนั้นไม่ เหมาะกับ การเรียนในเรื่องที่ซับซ้อน ซึ่งทําให้การคาดเดาคําตอบเป็นไปได้ยาก สําหรับผู้เรียน และเห็น ว่าการเรียน ด้วยวิธีดังกล่าวอาจมีประโยชน์น้ น์ อ น้ ย เพราะผู้เรียนต้องใช้เวลามากในการลองผิดลองถูกเพื่อให้ ได้มาซึ่งข้อ สรุปเกี่ยวกับนิยาม ความคิดรวบยอด หรือกฎเกณฑ์ และอาจไม่ได้คําตอบตามต้องการ ขณะที่ ในบางเรื่องผู้ สอนใช้เวลาอธิบายเพียง 2-3 นาทีก็อาจทําให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจได้
จากแนวคิดและทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของออซูเบล (Ausubel) สามารถนําไป ประยุกต์ใช้ ในการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย ณ ที่นี้จะเสนอไว้ 3 ประเด็น 1. การให้ความสําคัญกับเงื่อนไขการเรียนรู้ ออซูเบล (Ausabel) อธิบายว่า การสอนเพื่อให้เกิด การ เรียนรู้อย่างมีความหมาย มีเงื่อนไขอยู่ 3 ประการ ประการแรก ความรู้ใหม่ที่จะเรียนรู้ต้องมีเหตุผล หรือความหมายที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความรู้หรือ ประสบการณ์เ ณ์ ดิม ประการที่สอง โครงสร้างความรู้เดิม ของผู้เรียนต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้ใหม่ ประการที่สาม ผู้เรียนต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเรียนรู้อย่างเข้าใจและอย่างมีความหมาย 2. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายในการเรียนการสอน
2. การเน้น น้ ผู้เรียนในฐานะเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน ออซูเบลเน้น น้ ให้ผู้เรียนสามารถ เรียนได้ อย่างกระตือรือร้น คือ มี “Active Mental Operation” กระบวนการเรียนการสอนจึงควรประกอบด้วย (1) การนําเสนอความรู้ใหม่อย่างเป็นระบบขั้นตอน โดยหลักของนิรนัย คือการเสนอหลัก การทั่วไป สู่กรณีเฉพาะ (2) การเชื่อมโยงความรู้ ประสบการณ์ใณ์ หม่เข้ากับประสบการณ์ ค ณ์ วามรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกัน (3) การจัดระบบของความรู้ เพื่อให้สะดวกต่อการนําเสนอและง่ายต่อการเรียนรู้ (4) เน้น น้ การเรียนรู้ที่เกิดจากการเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการสอนโดยเน้น น้ การนําเสนอโดยตรง หรือการ สอนโดยการค้นพบ
3. แนวการสอนหรือรูปแบบการสอนที่นักการศึกษาประยุกต์ขึ้นจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อย่าง มี ความหมาย นักการศึกษาได้นําแนวคิดของออซูเบลไปใช้ในการเรียนการสอน ทําให้เกิดแนวคิดในการสอนแนว ต่างๆ หลายแนวทาง ในที่นี้จะยกตัวอย่าง 2 แนวทาง คือ แนวที่ 1 การสอนโดยใช้สิ่งช่วยจัดมโนมติล่วงหน้า น้ (Advance Organizer Model) เป็นแบบการสอน ที่ เวลและจอยส์ (Weil & Joyce, 1980) ได้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยแนวคิดหลักของออซูเบล ซึ่งประกอบด้วย เนื้อหาและโครงสร้างทางปัญญา โดยมีสิ่งช่วยจัดมโนมติล่วงหน้า น้ (Advance Organizers) เพื่อให้เกิด การ เรียนรู้อย่างตื่นตัว กระตือรือร้น การสอนโดยใช้สิ่งช่วยจัดมโนมติล่วงหน้า น้ ในทางปฏิบัติคือการให้ผู้เรียนได้รับรู้รับทราบสาระสําคัญ โดยสังเขปของสิ่งที่จะได้เรียนรู้ต่อไป
ความมุ่งหมายของการให้มโนมติล่วงหน้า น้ ก็คือ การให้ข้อมูลที่ควรรู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนนึกถึง ความรู้ที่ได้ เรียนมาก่อน และดึงเอาความรู้เดิมที่มีอยู่นั้นออกมาใช้ ซึ่งผู้เรียนอาจนึกไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับบทเรียนใหม่ กล่าวได้ว่าการสอนโดยใช้สิ่งช่วยจัดมโนมติล่วงหน้า น้ มีประโยชน์ ดังนี้ 1) ทําให้ผู้เรียนเข้าใจว่าอะไรเป็นส่วนสําคัญของเนื้อหาที่จะได้รับ 2) ช่วยชี้ให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ 3) ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ชัดเจนกับบทเรียนที่ได้รับใหม่ 4) ทําให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็ว ไม่ต้องเสียเวลากับบางเรื่องที่ไม่ใช่สิ่งที่เน้น น้ ในการเรียนครั้งนี้ ผู้เรียน ใช้ความพยายามในการเรียนรู้ไปที่สิ่งที่ผู้สอนต้องการให้เรียนรู้โดยตรง
แนวที่ 2 แนวการสอนโดยใช้แผนผังมโนมติ (Concept Mapping Model) เป็นแบบการสอนที่ โนวัคและโกวิน (Novak & Gowin, 1985) ได้ร่วมกันคิดขึ้นโดยพื้นฐานจากทฤษฎีของออซูเบลเช่นกัน แผนผังมโนมติเป็นรูปแบบโครงสร้างของความรู้ที่เกิดขึ้นจากการนํามโนมติตั้งแต่ 2 มโนมติขึ้น ไปมา เชื่อมโยงกันอย่างมีความหมาย เกิดเป็นความรู้หรือมโนมติใหม่ขึ้น การเชื่อมโยงอาจใช้ข้อความหรือ ประโยค