กฎหมายปกครอง
กฎหมายปกครอง เป็น กฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายท่ีกำหนดสถานะและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
รัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐกบั เอกชน ในฐานนะที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐเป็นผปู้ กครองมีอำนาจ
เหนือเอกชน หรือระหวา่ งรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐดว้ ยกนั เอง
กฎหมายปกครอง จึงเป็น กฎหมายมหาชน ท่ีวางหลกั เกณฑเ์ กี่ยวกบั การจดั ระเบียบบริหารของรัฐ การดำเนิน
กิจกรรมของฝ่ ายปกครองในการจดั บริการสารธารณะ และวางหลกั ความเก่ียวพนั ในทางปกครองระหวา่ งฝ่ าย
ปกครองกบั เอกชน และฝ่ ายปกครองดว้ ยกนั เอง รวมท้งั กำหนดสถานะและการกระทำทางปกครอง
ในระบบการปกครองประเทศแบ่งองค์กรทใี่ ช้อำนาจเป็ น 3 ฝ่ าย
1.ฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ
2.ฝ่ ายบริหาร
3.ฝ่ ายตุลาการ
ฝ่ ายปกครองเป็ นส่วนหนึ่งท่ีอยู่ในฝ่ ายบริหาร
งานของฝ่ายบริหารแยกเป็น 2 ส่วน คือ
1.งานทางการเมือง มีพระมหากษตั ริยใ์ ชอ้ ำนาจผา่ นทางคณะรัฐมนตรีซ่ึงเป็นรัฐบาล ทำหนา้ ท่ีกำหนดนโยบายใน
การใช้ ขอ้ บงั คบั กฎหมายต่างๆ
2.งานทางปกครอง เป็นส่วนท่ีเรียกวา่ ราชการประจำ มีหนา้ ท่ีเป็นผปู้ ฏิบตั ิตามนโยบายที่ฝ่ ายบริหารในส่วนท่ี
เป็นการเมืองกำหนดข้ึน คือ
-ราชการส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรม
-ราชการส่วนภูมิภาค คือ จงั หวดั อำเภอ
-ราชการส่วนทอ้ งถิ่น มี2 รูปแบบ
1.รูปแบบทวั่ ไป คือ องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั องคก์ ารบริหารส่วนตำบล เทศบาล
2.รูปแบบพเิ ศษ คือ กรุงเทพมหานคร พทั ยา
-รัฐวิสาหกิจ
-องคก์ รอิสระ เป็นองคก์ รของรัฐที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวสิ าหกิจ เป็นองคก์ รท่ีอิสระจากการควบคุมของฝ่าย
บริหาร (รัฐบาล)โดยตรง เนื่องจากภารกิจของหน่วยงาน เช่นธนาคารแห่งประเทศไทย
-คณะกรรมการต่างๆ
แนวคดิ พืน้ ฐานของกฎหมายปกครองคือ ตอ้ งเป็นไปเพอื่ ประโยชนส์ าธารณะ
1.รัฐโดยองคก์ รของรัฐหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ เป็นผดู้ ูแลรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของคนหมู่มากในสงั คมหรือ
ประโยชนส์ าธารณะ
2.ในกรณีท่ีประโยชน์ส่วนตวั ของเอกชนสอดคลอ้ งกบั ประโยชนส์ ่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ รัฐกใ็ ชน้ ิติ
สมั พนั ธ์ตามกฎหมายเอกชนได้
3.ในกรณีท่ีประโยชน์ส่วนตวั ของเอกชนไม่สอดคลอ้ งกบั ประโยชน์สาธารณะจะตอ้ งใหป้ ระโยชนส์ าธารณะอยู่
เหนือประโยชน์ส่วนตวั ของเอกชน
4.ถา้ เอกชนไม่ยนิ ยอมที่จะสละประโยชน์ส่วนตวั เพอื่ ประโยชนส์ าธารณะ กจ็ ะตอ้ งใหร้ ัฐโดยองคก์ รของรัฐหรือเจา้
หนา้ ท่ีของรัฐ มีอำนาจบงั คบั เอกชนเพือ่ ประโยชน์สาธารณะได้
กจิ กรรมของฝ่ ายปกครอง แบ่งเป็น
1.การกระทำทางแพ่ง คือ สญั ญาทางแพง่ เช่นองคก์ รของรัฐซ้ือคอมพวิ เตอร์
2.การกระทำทางปกครอง คือ ผลิตผลของการใชอ้ ำนาจรัฐตามกฎหมายขององคก์ รหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐฝ่ าย
ปกครอง
การกระทำทางปกครอง แบ่งเป็น
1.นิติกรรมทางปกครอง
2.ปฏิบตั ิการทางปกครอง
นิติกรรมทางปกครอง
1.นิติกรรมฝ่ ายเดียว คือ กฎคำสัง่ ทางปกครอง
2.นิติกรรมหลายฝ่าย คือ สญั ญาทางปกครอง
ลกั ษณะของนิติกรรมทางปกครอง
1.เป็นการกระทำขององคก์ รของรัฐหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐฝ่ ายปกครอง ท่ีกระทำโดยอาศยั อำนาจตามพระราช
บญั ญตั ิ เพ่ือแสดงเจตนาให้ปรากฏต่อบุคคล
2.เจตนาที่แสดงออกมาน้นั ตอ้ งมุ่งหมายที่จะให้เกดิ ผลทางกฎหมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงข้ึน เช่น ถา้ หน่วยงานราชการ
มีหนงั สือเตือนใหค้ ุณมาต่อใบอนุญาต แบบน้ีไม่เป็นนิติกรรมทางปกครอง เพราะไม่ไดม้ ุ่งใหเ้ กิดผลทางกฎหมาย
คุณจะต่อหรือไม่ต่อกเ็ รื่องของคุณ
3.ผลทางกฎหมายท่ีมุ่งหมายใหเ้ กิดข้ึน คือ การสร้างนิติสมั พนั ธ์ข้ึนระหวา่ งบุคคล 2 ฝ่าย โดยฝ่ ายหน่ึงมีอำนาจ หรือ
สิทธิเรียกร้องใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงกระทำ หรืองดเวน้ การกระทำอยา่ งหน่ึงอยา่ งใด ซ่ึงมีผลเป็นการก่อ เปล่ียนแปลง โอน
สงวน ระงบั หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหนา้ ท่ีของอีกฝ่ ายหน่ึง เช่น ถา้ อธิบดีกรมการปกครอง
อาศยั อำนาจตามพระราชบญั ญตั ิขา้ ราชการพลเรือน 2535 ออกคำสงั่ แต่งต้งั บุคคลใหเ้ ป็นปลดั อำเภอ เท่าน้ีกเ็ กิดนิติ
สมั พนั ธแ์ ลว้ ระหวา่ งอธิบดีกรมการปกครองกบั บุคคลที่จะไดร้ ับแต่งต้งั เป็นปลดั อำเภอ ถือวา่ เป็นการก่อใหเ้ กิด
สิทธิและหนา้ ที่ต่อกนั หรือ ถา้ คูก่ รณีเดิมปลดั อำเภอทำความผดิ ร้ายแรง อธิบดีกรมการปกครองไล่ออก ผลทาง
กฎหมาย คือ ระงบั สิ้นสุดสิทธิและหนา้ ท่ีต่อกนั ถึงแมจ้ ะเป็นการระงบั แต่ผลทางกฎหมายกเ็ กิดข้ึน คือ สิทธิและ
หนา้ ที่ของอีกฝ่ ายสิ้นสุดลง
4. นิติสมั พนั ธ์ดงั กล่าวเกิดข้ึนโดยการแสดงเจตนาฝ่ ายเดียวขององคก์ รของรัฐหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐฝ่ายปกครอง
โดยท่ีอีกฝ่ ายหน่ึงไม่จำเป็นตอ้ งใหค้ วามยนิ ยอม ถา้ เม่ือไหร่ที่มีการแสดงเจตนาท้งั 2 ฝ่ าย เม่ือน้นั จะไม่ใช่นิติกรรม
ทางปกครอง แต่จะแปรสภาพเป็น สญั ญาทางปกครอง เช่น ก.ไปยนื่ คำขอพกอาวธุ ปื น ในทางปกครองถือวา่ การยนื่
คำขอไม่ใช่คำเสนอ และเมื่อฝ่ ายปกครองอนุญาตกไ็ ม่ใช่คำสนอง การท่ีมีข้นั ตอนยน่ื คำขอเขา้ ไปก่อน เรียก
วา่ เง่ือนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เป็นเงื่อนไขวา่ ถา้ ไม่ทำตามข้นั ตอนเช่นน้ีนิติกรรมทางปกครอง
กไ็ ม่สมบูรณ์เม่ือขาดลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงของนิติกรรมทางปกครองกจ็ ะกลายเป็นปฏิบตั ิการทางปกครอง
ประเภทของนิตกิ รรมทางปกครอง
กฎ เป็นบทบญั ญตั ิท่ีมีผลเป็นการบงั คบั เป็นการทวั่ ไป โดยไม่มุ่งหมายใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการ
เฉพาะ เช่นพระราชบญั ญตั ิ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ขอ้ บญั ญตั ิทอ้ งถิ่น ระเบียบ ขอ้ บงั คบั
คำสงั่ ทางปกครอง เป็นการใชอ้ ำนาจตามกฎหมายของเจา้ หนา้ ที่ท่ีมีผลเป็นการสร้างนิติสมั พนั ธ์ข้ึนระหวา่ งบุคคล
ในอนั ที่จะก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงบั หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหนา้ ที่ของบุคคล ไม่วา่
จะเป็นการถาวรหรือชวั่ คราว ที่มีผลบงั คบั แก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
เงื่อนไขความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง
1. อำนาจ เจา้ หนา้ ที่ที่ทำนิติกรรมตอ้ งมีอำนาจ เป็นอำนาจท่ีกฎหมายใหม้ า
2. แบบและข้นั ตอนที่เป็นสาระสำคญั ของการทำนิติกรรมทางปกครอง เพราะถา้ ไม่ใช่สาระสำคญั กจ็ ะไม่กระทบต่อ
ความสมบูรณ์ของนิติกรรมทางปกครอง เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 3618/2535
3. วตั ถุประสงค์ นิติกรรมทางปกครองตอ้ งมีวตั ถุประสงคท์ ่ีเป็นไปเพ่ือประโยชนส์ าธารณะ การใชอ้ ำนาจรัฐตอ้ ง
เป็นไปเพื่อประโยชนส์ าธารณะ การกระทำของฝ่ายปกครองกต็ อ้ งไม่ขดั ต่อวตั ถุประสงคท์ ่ีกฎหมายเฉพาะกำหนด
ถือวา่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
4. ไม่บกพร่องเรื่องเจตนา จะตอ้ งไม่เกิดจากการถูกฉอ้ ฉล ไม่สำคญั ผดิ หรือไม่ถูกข่มขู่ เช่น ผขู้ อสมั ปทานร่วมกบั เจา้
หนา้ ที่ระดบั ล่างบิดเบือนขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั สภาพพ้ืนท่ี หวั หนา้ หลงเช่ือกส็ ั่งการไป กเ็ ป็นคำสัง่ ที่ไม่ชอบ
5. เง่ือนไขอื่นๆ เงื่อนไขท่ีกฎหมายกำหนด เช่น พระราชบญั ญตั ิสถานบริการ มาตรา 21 วรรค 2 วา่ การสงั่ พกั ใบ
อนุญาตสั่งไดค้ ร้ังละ 30 วนั เพราะฉะน้นั จะสั่งพกั ใบอนุญาตในระยะเวลาท่ีเกินกวา่ ที่กฎหมายกำหนดไม่ได้
กจิ การทฝ่ี ่ ายปกครองท่ีเป็นการกระทำทางปกครอง มี 2 ดา้ น
1. กิจการในทางควบคุม เป็นการวางกฎเกณฑแ์ ละบงั คบั ใหเ้ ป็นไปตามกฎเกณฑเ์ พื่อความมัน่ คง เพื่อการจดั การ
เรียบร้อย เป็นการท่ีฝ่ายปกครองใชอ้ ำนาจฝ่ายเดียวท่ีจะกำหนดใหฝ้ ่ ายเอกชนตอ้ งปฏิบตั ิตาม และบงั คบั ใหฝ้ ่าย
เอกชนท่ีฝ่าฝืนตอ้ งปฏิบตั ิตาม เช่น เจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่นตามพระราชบญั ญตั ิควบคุมอาคารฯ มีอำนาจออกระเบียบ
หา้ มสร้างอาคารสูงเท่าน้นั เท่าน้ี เม่ือมีการฝ่ าฝืนเจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่นท่ีมีอำนาจกบ็ งั คบั โดยเขา้ ร้ือถอนอาคาร การท่ี
เจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่นตามพระราชบญั ญตั ิควบคุมอาคารฯ ออกระเบียบ เป็นนิติกรรมทางปกครองประเภทกฎ เพราะ
มีผลบงั คบั เป็นการทวั่ ไป การท่ีเจา้ พนกั งานไปรื้ออาคารท่ีสร้างฝ่าฝืนเป็นการปฏิบตั ิการทางปกครอง
2. กิจการในทางบริการ เช่น
- กิจกรรมเพือ่ ความมนั่ คงปลอดภยั ในชีวติ ร่างกาย ทรัพยส์ ิน เช่น การป้องกนั ประเทศ
- กิจการเพอ่ื ความสงบเรียบร้อย เช่น การสาธารณสุข การศึกษา
- กิจการเพื่อความสะดวกสบายของประชาชน เช่น ไฟฟ้า ประปา ถนน โทรศพั ท์ สญั ญาจา้ งก่อสร้างถนน วางท่อ
ประปา เป็นสาธารณูปโภคอยา่ งหน่ึง และเป็นไปเพอ่ื สาธารณประโยชน์
สัญญาทางปกครอง
คำนิยาม ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง
สญั ญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สญั ญาที่คูส่ ญั ญาอยา่ งนอ้ ยฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือ
เป็นบคุ คลซ่ึงกระทำการแทนรัฐ และมีลกั ษณะเป็นสญั ญาสัมปทาน สญั ญาท่ีใหจ้ ดั ทำบริการสาธารณะ หรือจดั ใหม้ ี
สิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติ
สัญญาทางปกครองมีลกั ษณะ ดงั น้ี
1. คู่สญั ญาฝ่ายหน่ึงจะตอ้ งเป็นฝ่ายรัฐซ่ึงอาจจะเป็นองคก์ รหรือบุคคลท่ีกระทำแทนรัฐอาจทำสญั ญาได ้ 2 ลกั ษณะ
จะเป็นสญั ญาทางปกครอง หรือจะเป็นสญั ญาทางแพง่ กไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั ความตอ้ งการของรัฐ เช่น กระทรวงกลาโหม
ขบั ไล่ผบู้ ุกรุกท่ีดินท่ีจงั หวดั นครนายกเพ่ือจดั สร้างโรงเรียนเตรียมทหาร กระทรวงกลาโหมใชว้ ธิ ีการต้ังคณะ
กรรมการข้ึนมาเจรจาใหค้ ่าขนยา้ ยกบั ผบู้ ุกรุกแลว้ ตกลงคา่ ขนยา้ ยกนั จะเห็นไดว้ า่ กระทรวงกลาโหมไม่ไดเ้ ขา้ ทำ
สญั ญาโดยใชอ้ ำนาจรัฐ แต่ลดตวั ลงมาเท่ากบั เอกชนเจรจาต่อรองกนั เพอ่ื ใหเ้ ขาขนยา้ ยออกไปโดยจ่ายเงิน สญั ญาน้ี
เป็นสญั ญาทางแพง่ ไม่ใช่สญั ญาทางทางปกครอง (คำวินิจฉยั ช้ีขาดที่ 12/45)
แต่สญั ญาซ้ือที่ดินตามพระราชกฤษฎีกาเวนคืนเพื่อนำมาสร้างถนนหรือใชใ้ นกิจการอื่นของรัฐ แมว้ า่ จะเป็นสญั ญา
ซ้ือขายแต่ตอ้ งดำเนินกระบวนการทางปกครองมาก่อน คือจะตอ้ งมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเวนคืน มีการสำรวจ
ท่ีดิน มีคณะกรรมการกำหนดราคาเบ้ืองตน้ แลว้ แจง้ ใหผ้ ถู้ ูกเวนคืนทราบวา่ พอใจหรือไม่ จะพอใจหรือไม่พอใจกท็ ำ
สญั ญาซ้ือขายเพือ่ ใหก้ รรมสิทธ์ิโอนจะเห็นวา่ รัฐใชอ้ ำนาจเหนือ คือกำหนดราคาขา้ งเดียว ไม่มีการเจรจาต่อรอง ถา้
ไม่ขายกอ็ อกพระราชบญั ญตั ิเวนคืนเอาท่ีดินไดอ้ ยูด่ ี ดงั น้ีเป็นสญั ญาทางปกครองเพราะรัฐใชอ้ ำนาจเหนือ (คำ
วนิ ิจฉยั ช้ีขาดที่ 22-23/47)
2. ลกั ษณะของสญั ญา ซ่ึงมีตวั อยา่ งตามตวั บทดงั น้ี
สญั ญาสมั ปทาน เป็นสญั ญาที่รัฐใหเ้ อกชนเขา้ มาดำเนินกิจการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงของรัฐ โดยเอกชนเกบ็ เงินหรือผล
ประโยชน์และจ่ายคา่ ตอบแทนใหแ้ ก่รัฐ ซ่ึงรัฐใชอ้ ำนาจเหนือ โดยรัฐกำหนดและเปลี่ยนแปลงเง่ือนไขไดเ้ อง
สญั ญาที่ใหจ้ ดั ทำบริการสาธารณะ เป็นการบริการสาธารณะท่ีรัฐตอ้ งทำ แต่รัฐใหเ้ อกชนมารับไปทำแทน เช่น ให้
เกบ็ ขยะ ซ่ึงการเกบ็ ขยะเป็นการบริการสาธารณะที่รัฐตอ้ งทำ แต่สญั ญาจา้ งบริษทั มาทำความสะอาดในสถานที่
ราชการ เช่น ศาลยตุ ิธรรมจา้ งเอกชนมาทำความสะอาดบริเวณศาล งานปัดกวาดเชด็ ถูไม่ใช่สาระสำคญั ของภารกิจ
ศาลยตุ ิธรรม ไม่ใช่การบริการสาธารณะ จึงไม่ใช่สญั ญาทางปกครอง แต่เป็นสญั ญาทางแพง่ สญั ญาที่จดั ใหม้ ีสิ่ง
สาธารณูปโภค เช่น สญั ญาจา้ งเอกชนวางท่อประปา สญั ญาก่อสร้างถนน เป็นสญั ญาทางปกครอง สญั ญาให้
แสวงหาประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติ ผทู้ ่ีจะหาประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติไดค้ ือรัฐ ซ่ึงเป็นผดู้ ูแลผล
ประโยชน์ของส่วนรวม การที่รัฐจะมอบใหเ้ อกชนแสวงหาประโยชนไ์ ด้ โดยเอกชนใหค้ า่ ตอบแทนแก่รัฐ เป็น
สญั ญาทางปกครอง
สัญญาอปุ กรณ์ของสัญญาทางปกครอง เช่น สญั ญาจา้ งก่อสร้างถนน เป็นสญั ญาทางปกครอง ส่วนสญั ญาประกนั
การก่อสร้างโดยธนาคารเขา้ มาประกนั วา่ จะตอ้ งก่อสร้างใหเ้ สร็จเป็นสญั ญาอุปกรณ์ สญั ญาอุปกรณ์เป็นสญั ญาทาง
แพง่ แต่คณะกรรมการช้ีขาดฯ ใหอ้ ยใู่ นอำนาจศาลปกครอง
พระราชบัญญัติวธิ ีปฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ข้นั ตอนต่างๆ ในการดำเนินกระบวนการพิจารณาทางปกครองตามท่ีพระราชบญั ญตั ิวธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง
กำหนดไว้
1. การกำหนดตวั บุคคลท่ีจะเขา้ สู่กระบวนการพิจารณาทางปกครอง คูก่ รณี
2. การดำเนินกระบวนพจิ ารณาทางปกครอง เจา้ หนา้ ท่ี
3. การออกคำสงั่ ทางปกครอง รูปแบบและผลของคำสัง่ ทางปกครอง
4. การทบทวนคำสั่งทางปกครอง
- เพกิ ถอนคำสั่งทางปกครอง
- การอุทธรณ์
- การขอใหพ้ ิจารณาใหม่
5. การบงั คบั ทางปกครอง
การพิจารณาทางปกครอง หมายความวา่ การเตรียมการและการดำเนินการของเจา้ หนา้ ที่ เพอ่ื จดั ใหม้ ีคำสั่งทาง
ปกครอง การพจิ ารณาจะตอ้ งเป็นการกระทำของเจา้ หนา้ ที่ และสิ่งท่ีเจา้ หนา้ ที่กระทำตอ้ งเป็นคำสงั่ ทางปกครอง
เจ้าหน้าท่ี หมายความวา่ บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ซ่ึงใชอ้ ำนาจหรือไดร้ ับมอบใหใ้ ชอ้ ำนาจทางปกครอง
ของรัฐในการดำเนินการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงตามกฎหมาย ไม่วา่ จะเป็นการจดั ต้งั ข้ึนในระบบราชการ รัฐวสิ าหกิจหรือ
กิจการอ่ืนของรัฐหรือไม่กต็ าม พระราชบญั ญตั ิวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครองไดก้ ำหนดหนา้ ท่ีของเจา้ หนา้ ท่ีไว้ เพ่อื
ใหก้ ารปฏิบตั ิหนา้ ท่ีเป็นไปโดยชอบ เป็นการคุม้ ครองสิทธิของประชาขน เพื่อใหก้ ารควบคุมและการคุม้ ครองเกิด
การสมดุล หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แยกไดด้ งั น้ี
1. ในการจดั ทำคำสงั่ ทางปกครอง จะตอ้ งกระทำโดยเจา้ หนา้ ท่ีที่มีอำนาจในเรื่องน้นั ตามมาตรา 12 เช่น ถา้ ออก
โฉนดท่ีดิน จะไปขอที่กรมสรรพากรไม่ได้ จะตอ้ งไปขอท่ีกรมที่ดินท่ีมีอำนาจและหนา้ ท่ีในการออกโฉนดท่ีดิน
2. เจา้ หนา้ ที่ผมู้ ีหนา้ ที่พิจารณาคำสงั่ ทางปกครอง จะตอ้ งมีความเป็นกลางไม่มีส่วนไดส้ ่วนเสียในเรื่องท่ีตนพจิ ารณา
ตามมาตรา 13 – 16 เช่น นาย ก. เป็นผพู้ จิ ารณาทุนการศึกษา โดยมีคนเขา้ มาของทุน 2 คน คนหน่ึงเป็นลูกของนาย
ก. อีกคนเป็นบุคคลภายนอก บุคคลภายนอกสามารถคดั คา้ นเปลี่ยนแปลงตวั เจา้ หนา้ ที่ท่ีเป็นผพู้ จิ ารณา คือ
เปลี่ยนแปลงตวั นาย ก. ออกไป ใหค้ นอื่นเขา้ มาพจิ ารณาทุนการศึกษาแทน
3. กระบวนการพิจารณาของเจา้ หนา้ ที่ผทู้ ำคำสงั่ ปกครอง ตอ้ งยดึ หลกั ความเรียบง่าย รวดเร็วและถูกตอ้ ง ซ่ึง
กฎหมายกำหนดใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีตอ้ งแจง้ สิทธิและหนา้ ท่ี ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองใหค้ ู่กรณีทราบ ตาม
มาตรา 33 ประกอบมาตรา 27 เช่น เราตอ้ งการปลูกสร้างอาคาร กไ็ ปยน่ื คำขอปลูกสร้างอาคาร แลว้ เอกสารท่ีเตรียม
ไปไม่ถูกตอ้ งสมบูรณ์ หรือดำเนินการไปไม่ถูกตอ้ งสมบูรณ์ กเ็ ป็นหนา้ ที่ของเจา้ หนา้ ที่ท่ีจะตอ้ งบอกวา่ ทำอยา่ งไร
แกไ้ ขตรงไหน ซ่ึงมาตราที่กำหนดไวค้ ือ มาตรา 33 ประกอบมาตรา 27
4. ในการพิจารณาทางปกครอง เจา้ หนา้ ท่ีอาจตรวจสอบขอ้ เทจ็ จริงไดต้ ามความเหมาะสมในเร่ืองน้ันๆ โดยไม่ตอ้ ง
ผกู พนั อยกู่ บั คำขอหรือพยานหลกั ฐานของคูก่ รณี โดยเจา้ หนา้ ที่ตอ้ งพจิ ารณาหลกั ฐานท่ีตนเห็นวา่ จำเป็นแก่การ
พิสูจน์ขอ้ เทจ็ จริง หลกั การน้ีเป็นหลกั การพจิ ารณาแบบไต่สวน ตามมาตรา 28 ประกอบมาตรา 29
5. ตอ้ งรับฟังผถู้ ูกกระทบสิทธิในกรณีที่คำสั่งทางปกครองกระทบสิทธิของคู่กรณี เจา้ หนา้ ที่จะตอ้ งใหค้ ู่กรณีมี
โอกาสไดท้ ราบขอ้ เทจ็ จริงอยา่ งเพยี งพอ และมีโอกาสไดโ้ ตแ้ ยง้ แสดงพยานหลกั ฐานของตน ตามมาตรา 30
6. คูก่ รณีมีสิทธิขอดูเอกสารที่จำเป็นตอ้ งรู้เพ่ือการช้ีแจง หรือป้องกนั สิทธิของตน แต่เจา้ หนา้ ท่ีสามารถปฏิเสธไดใ้ น
กรณีที่ตอ้ งรักษาไดเ้ ป็นความลบั ตามมาตรา 31 , 32
7. เจา้ หนา้ ที่ตอ้ งใหเ้ หตผุ ลในการทำคำสัง่ ทางปกครอง ตามมาตรา 37
8. เจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งแจง้ สิทธิในการอุทธรณ์ ตามมาตรา 40 คือ มาตรา 40 กำหนดใหเ้ จา้ หนา้ ที่ตอ้ งระบุวธิ ีการยนื่
อุทธรณ์ และระยะเวลาในการอุทธรณ์ไวใ้ นคำสงั่ ทางปกครอง หากเจา้ หนา้ ท่ีฝ่าฝืนไม่แจง้ หรือแจง้ ไม่ครบถว้ นตาม
เง่ือนไข ใหเ้ ริ่มนบั ระยะเวลาอุทธรณ์ใหม่ ต้งั แต่วนั ที่ไดร้ ับแจง้ หากไม่มีการแจง้ สิทธิในการอุทธรณ์ใหม่ ผรู้ ับคำสงั่
ทางปกครองกม็ ีสิทธิอุทธรณ์ไดใ้ น 1 ปี นบั แต่วนั ท่ีไดร้ ับแจง้ คำสงั่ ทางปกครอง
ตวั อยา่ ง นาย ก. ไดข้ อเปิ ดโรงงาน แลว้ ไปยนื่ คำขอโดยบอกวา่ รอบพ้ืนที่โรงงานจะขอเปิ ดไม่มีใครอยู่ ถา้ เจา้ หนา้ ที่
เชื่อตามที่นาย ก. พดู โดยไม่มาดูเองกไ็ ม่ใช่ระบบการไต่สวน ถา้ เกิดรอบๆ โรงงานของนาย ก. เป็นชุนชนล่ะ
กฎหมายจึงใหส้ ิทธิแก่เจา้ หนา้ ท่ีวา่ นอกจากจะดูจากพยานหลกั ฐานของคู่กรณีท่ียนื่ มาแลว้ ยงั สามารถไปสืบเสาะขอ้
เทจ็ จริงเองได้ ตามมาตรา 28 , 29 แต่ถา้ เจา้ หนา้ ท่ีไปดูมาแลว้ บอกวา่ ท่ีต้งั ของโรงงานมนั ไม่เหมาะ แถวน้นั เป็นท่ีต้งั
ของชุมชนเด๋ียวมีการปล่อยน้ำเสียลงไป ชุนชนจะเดือนร้อนเพราะส่งกลิ่นเหมน็ กฎหมายกใ็ หส้ ิทธิแก่คูก่ รณี (นาย
ก.) ไปหาพยานหลกั ฐานมาเพิ่มเติมได้ แต่กใ็ หส้ ิทธิคู่กรณีโตแ้ ยง้ แสดงหลกั ฐานเพิม่ เติมได้ ตามมาตรา 30 แต่ถา้ เขา้
ขอ้ ยกเวน้ ใน 6 อนุมาตรา เจา้ หนา้ ที่ไม่ตอ้ งใหโ้ อกาสคูก่ รณีแสดงหลกั ฐานเพิ่มเติม
คู่กรณ ี หมายความวา่ ผยู้ นื่ คำขอหรือผคู้ ดั คา้ นคำขอ ผอู้ ยใู่ นบงั คบั หรือจะอยใู่ นบงั คบั ของคำสั่งทางปกครอง และผู้
ซ่ึงไดเ้ ขา้ มาในกระบวนการพจิ ารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผนู้ ้ันจะถูกกระทบกระเทือนจากผลของคำสงั่
ทางปกครอง
คู่กรณี แยกได้ 3 ปะเภท
1. ผยู้ นื่ คำขอ หรือ ผคู้ ดั คา้ นคำขอ เช่น นาย ก. ไปขอออกโฉนด แลว้ นาย ข. กม็ าคดั คา้ นการออกโฉนดท่ีดิน นาย ก.
เป็นผยู้ นื่ คำขอ ส่วนนาย ข. เป็นผคู้ ดั คา้ นคำขอ
2. ผอู้ ยใู่ นบงั คบั ของคำสงั่ ทางปกครอง คือ ขา้ ราชการท่ีถูกลงโทษทางวนิ ยั
3. ผทู้ ี่เขา้ มาในกระบวนพจิ ารณาทางปกครองเนื่องจากสิทธิของผนู้ ้ันถูกกระทบกระเทือนจากคำสงั่ ทางปกครอง
เช่น นาย ก. ยนื่ ขออนุญาตก่อสร้างโรงงาน แต่วา่ ที่ดินของนาย ก. ท่ีจะสร้างโรงงานไปติดกบั ที่ดินนาย ข. นาย ข.
เกรงวา่ ถา้ นาย ก. ไดร้ ับอนุญาตใหเ้ ปิ ดโรงงาน ที่ดินนาย ข. อาจจะไดร้ ับผลกระทบจากเสียง น้ำเสีย เช่นน้ี นาย ข.
คือผทู้ ่ีถูกกระทบกระเทือนจากคำสั่งทางปกครอง
สิทธิของคู่กรณี
1. สิทธิคดั คา้ น ความไม่เป็นกลางของเจา้ หนา้ ที่ ตามมาตรา 13
2. สิทธิในการมีท่ีปรึกษา (มาตรา 23) หรือ ผทู้ ำการแทน (มาตรา 24)
3. สิทธิที่จะไดร้ ับคำแนะนำและแจง้ สิทธิและหนา้ ที่ต่างๆ จากเจา้ หนา้ ที่ ในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง ตาม
มาตรา 27 เพราะฉะน้นั หากมีขอ้ บกพร่องท่ีเกิดจากความไม่รู้ เจา้ หนา้ ที่ตอ้ งแนะนำใหท้ ราบเพอื่ ใหค้ ูก่ รณีไดแ้ กไ้ ข
4. สิทธิในการที่จะไดร้ ับการพจิ ารณาอยา่ งสมบูรณ์ ตามมาตรา 28 , 29
5. สิทธิท่ีจะไดร้ ับทราบขอ้ เทจ็ จริงเก่ียวกบั การทำคำสงั่ ทางปกครองท่ีถูกกระทบสิทธิ และมีสิทธิโตแ้ ยง้ แสดงพยาน
หลกั ฐานต่อเจา้ หนา้ ตามมาตรา 30
6. สิทธิในการขอดูเอกสารพยานหลกั ฐานที่เจา้ หนา้ ท่ีใชใ้ นการออกคำสงั่ ทางปกครอง ตามมาตรา 31 และมาตรา 32
7. สิทธิที่จะไดร้ ับการพจิ ารณาโดยเร็ว มาตรา 33
8. สิทธิท่ีจะไดท้ ราบเหตุผลของการวินิจฉยั สัง่ การ เพอื่ ความชดั เจนและเพื่อประโยชน์ในการโตแ้ ยง้ คำสั่ง ตาม
มาตรา 37 แต่มีขอ้ ยกเวน้ คำสัง่ ทางปกครองบางประเภทที่ไม่ตอ้ งใหเ้ หตุผลคือ
(1) คำสงั่ บรรจุแต่งต้งั ขา้ ราชการ
(2) การเล่ือนข้นั เงินเดือน
(3) คำสงั่ พกั ราชการ
9. สิทธิท่ีจะไดร้ ับแจง้ วธิ ีการอุทธรณ์ และระยะเวลาในการยน่ื อุทธรณ์ ตามมาตรา 40
คำส่ังทางปกครอง
คำสงั่ ทางปกครอง เป็นการใชอ้ ำนาจตามกฎหมายของเจา้ หนา้ ท่ี ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสมั พนั ธข์ ้ึนระหวา่ งบุคคล
ในอนั ท่ีจะก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงบั หรือมีผลกระทบต่อสภาพของสิทธิและหนา้ ที่ของบุคคล ไม่วา่ จะ
เป็นการถาวรหรือชวั่ คราว ท่ีมีผลบงั คบั แก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เช่น การสัง่ การ การอนุญาต การ
อนุมตั ิ การวินิจฉยั การรับรองและการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ
ลกั ษณะของคำส่ังทางปกครอง
1. คำสงั่ ทางปกครอง จะตอ้ งเป็น “ การใชอ้ ำนาจตามกฎหมาย ” เพราะฉะน้นั การกระทำใดๆ กต็ ามท่ีไม่มีกฎหมาย
ใหอ้ ำนาจไว้ กไ็ ม่ใช่คำสัง่ ทางปกครอง ถา้ เจา้ หนา้ ท่ีใชส้ ิทธิสญั ญากระทำการกบั คูส่ ญั ญา อีกฝ่ายหน่ึง ไม่ถือวา่ เป็น
คำสงั่ ทางปกครอง
2. ตอ้ งเป็นการใชอ้ ำนาจของ “ เจา้ หนา้ ท่ี ” เท่าน้นั ( ตามคำนิยาม ม.5 แห่ง พ.ร.บ.วธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 )
3. มีผลเป็นการสร้างนิติสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล ซ่ึงผลน้นั เป็นการก่อ เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงบั หรือกระทบต่อ
สถานภาพของสิทธิหรือหนา้ ท่ีของบุคคล
4. มีผลกระทบต่อบุคคลใดโดยเฉพาะ
กฎ เป็นบทบญั ญตั ิท่ีมีผลเป็นการบงั คบั เป็นการทวั่ ไป โดยไม่มุ่งหมายใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการ
เฉพาะ เช่น พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ขอ้ บญั ญตั ิทอ้ งถิ่น ระเบียบ ขอ้ บงั คบั
ลกั ษณะของกฎ
1. บุคคลท่ีถูกบงั คบั ใหก้ ระทำการ ถูกหา้ มมิใหก้ ระทำการ หรือไดร้ ับอนุญาตใหก้ ระทำการ ตอ้ งเป็นบุคคลที่ถูก
นิยามไวเ้ ป็น ประเภท คือตอ้ งนิยามไวว้ า่ เป็นคนกลุ่มไหน เป็นคนประเภทไหน ซ่ึงถึงแมว้ า่ ถูกนิยามไวเ้ ป็นประเภท
แลว้ กย็ งั เป็นคนจำนวนมากไม่รู้จำนวนที่แน่นอน เพราะบงั คบั ใชเ้ ป็นการทวั่ ไป เช่น เป็นผเู้ ยาว์ บงั คบั แก่บุคคลที่มี
สญั ชาติไทย
2. กรณี (การกระทำ) ที่บุคคลดงั กล่าวถูกบงั คบั ใหก้ ระทำการ หา้ มมิใหก้ ระทำงาน หรือไดร้ ับอนุญาตใหก้ ระทำการ
ตอ้ งถูกกำหนดไวเ้ ป็นนามธรรม เช่น หา้ มมิใหผ้ ใู้ ดสูบบุหร่ีบนรถประจำทาง เป็นการกำหนดกรณีเอาไว้ แต่กไ็ ม่ได้
บอกวา่ รถประจำทางเบอร์อะไร ทะเบียนเท่าไหร่ หมายถึงทุกคนั
สรุป คำสงั่ ทางปกครอง คือ ขอ้ ความที่บงั คบั ใหบ้ ุคคลกระทำการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง หา้ มมิใหก้ ระทำการอยา่ งใด
อยา่ งหน่ึง หรืออนุญาตใหก้ ารกระทำอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ซ่ึงขาดลกั ษณะขอ้ ใดขอ้ หน่ึงของกฎ แต่ไม่วา่ จะเป็นคำสงั่
ทางปกครองหรือกฎกล็ ว้ นแต่เป็นนิติกรรมทางปกครองท้งั สิ้น เช่น ผวู้ า่ กทม. ในฐานะเจา้ พนกั งานทอ้ งถิ่น อาศยั
อำนาจตามความในพระราชบญั ญตั ิควบคุมอาคาร ออกคำสงั่ หา้ มมิใหผ้ ใู้ ดเขา้ ไปในส่วนใดของอาคารเลข
ที่ 1234 เช่นน้ีเป็นคำสั่งทางปกครอง แมว้ า่ จะไม่ไดเ้ จาะจงท่ีตวั บุคคล แต่กเ็ จาะจงที่อาคารเลขที่ 1234
สาเหตุ ท่ีจะตอ้ งแยกส่วนคำสงั่ ทางปกครองและกฎใหไ้ ด้ เพราะกฎจะไม่อยใู่ นบงั คบั ของพระราชบญั ญตั ิวธิ ีปฏิบตั ิ
ราชการทางปกครอง คือ ถา้ จะเอากฎเขา้ สู่กระบวนการของวธิ ีพิจารณาทางปกครอง กไ็ ม่ตอ้ งอุทธรณ์ ไปที่ศาล
ปกครองไดเ้ ลย แต่ถา้ เป็นคำสงั่ ทางปกครองจะตอ้ งผา่ นคำสงั่ ก่อน ถา้ ไม่พอใจจึงจะนำคดีข้ึนสู่ศาลปกครอง
แบบของคำส่ังทางปกครอง และการมผี ลของคำส่ังทางปกครอง
คำสั่งทางปกครองมี 3 รูปแบบ
1. การออกคำสงั่ ทางปกครองดว้ ยวาจา มาตรา 34 ประกอบมาตรา 35 ซ่ึงโดยทวั่ ไปจะใชใ้ นกรณีท่ีจำเป็นเร่งด่วน
โดยไม่จำเป็นตอ้ งใหเ้ หตุผลตามมาตรา 34 แต่ถา้ มีเหตุอนั สมควรผรู้ ับคำสงั่ ทางปกครอง สามารถร้องขอ
ภายใน 7 วนั นบั แต่วนั ที่เจา้ หนา้ ท่ีมีคำสั่ง ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีที่ออกคำสัง่ ดว้ ยวาจายนื ยนั คำสงั่ โดยทำเป็นหนงั สือได้ เพ่อื
ตรวจสอบความถูกตอ้ งของคำสงั่ ตามมาตรา 35 คำสงั่ ทางปกครองดว้ ยวาจามีผลทนั ทีเม่ือไดร้ ับแจง้ เช่น ตำรวจ
จราจรส่งใหห้ ยดุ รถเพือ่ ตรวจควนั ดำ เป็นคำสัง่ ดว้ ยวาจามีผลทนั ทีท่ีสัง่
2. คำสงั่ ทางปกครองที่ทำเป็นหนงั สือ มาตรา 36 กำหนดใหร้ ะบุวนั เดือน ปี ท่ีออกคำสงั่ ชื่อและตำแหน่งของเจา้
หนา้ ที่ทำคำสงั่ พร้อมลายเซ็น และเจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งใหเ้ หตุผลประกอบโดยมีขอ้ เทจ็ จริงท่ีเป็นสาระสำคญั ตามมาตรา 37
(2) (3) ดงั น้นั คำสงั่ ทางปกครองที่เป็นหนงั สือจะสมบูรณ์ตอ้ งใชม้ าตรา 36 ประกอบมาตรา 37 แต่จะมีขอ้ ยกเวน้ วา่
บางทีกไ็ ม่ตอ้ งใหเ้ หตุผลกไ็ ด้ เช่น ไปขอทำใบอนุญาตขบั ข่ี แลว้ เจา้ หนา้ ที่กอ็ อกให้ เช่นน้ีไม่ตอ้ งใหเ้ หตผุ ลท่ีออกใบ
อนุญาต เพราะวา่ คำสงั่ ทางปกครองตรงตามคำขอ และไม่กระทบสิทธิและหนา้ ท่ีของบุคคลอ่ืนตาม
มาตรา 37 วรรค 3 (1)
คำส่ังทางปกครองทเ่ี ป็ นหนงั สือมผี ลทางกฎหมาย แตกต่างกนั ไปข้ึนอยกู่ บั วธิ ีการแจง้ เพราะคำสงั่ ทางปกครองท่ี
เป็นหนงั สือสามารถแจง้ ไดห้ ลายวธิ ี
2.1 ผรู้ ับแจง้ ไดร้ ับแจง้ เป็นหนงั สือจากเจา้ หนา้ ท่ีโดยตรง กม็ ีผลทนั ทีเม่ือไดร้ ับหนงั สือ ตามมาตรา 69 วรรค 2
2.2 เป็นการแจง้ โดยวิธีใหบ้ ุคคลนำไปส่ง คลา้ ยๆ กบั การปิ ดหมายในทางแพง่ คือนำไปวางท่ีภูมิลำเนาแลว้ ปิ ดไว้
โดยเจา้ พนกั งานเป็นผรู้ ับรอง ตามมาตรา 70
2.3 เป็นการแจง้ โดยไปรษณียต์ อบรับ ตามมาตรา 71
- ไปรษณียต์ อบรับท่ีส่งภายในประเทศ มีผลเม่ือครบกำหนด 7 วนั นบั แต่วนั ที่สงั่
- ไปรษณียต์ อบรับที่ส่งไปยงั ต่างประเทศ ถือวา่ ไดร้ ับแจง้ เมื่อครบกำหนด 15 วนั นบั แต่วนั ที่ส่ง
2.4 การแจง้ กระทำโดยวธิ ีปิ ดประกาศไว้ ตามมาตรา 72 การแจง้ โดยวิธีน้ีมีองคป์ ระกอบ 2 ขอ้
(1) ตอ้ งมีจำนวนคู่กรณี 50 คนข้นึ ไป
(2) ทนั ทีที่เขาเขา้ มาเป็นคูก่ รณี เจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งบอกไวว้ า่ จะแจง้ โดยวธิ ีการปิ ดประกาศ ซ่ึงใหม้ ีผลนบั จากวนั ท่ีปิ ด
ประกาศไปแลว้ 15 วนั
2.5 การแจง้ โดยประกาศในหนงั สือพมิ พ์ มีองคป์ ระกอบ 3 กรณี ตามมาตรา 73
(1) ไม่รู้ตวั ผรู้ ับ
(2) รู้ตวั แต่ไม่รู้วา่ ภูมิลำเนาอยทู่ ่ีไหน
(3) รู้ตวั ผรู้ ับและภูมิลำเนาของผรู้ ับ แต่มีผรู้ ับเกิน 100 คน ซ่ึงมีผล 15 วนั นบั แต่วนั แจง้
2.6 การแจง้ โดยวธิ ีส่งแฟกซห์ รือทางเครื่องโทรสาร การแจง้ ทางโทรศพั ทใ์ หใ้ ชใ้ นกรณีมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเท่าน้นั
3. คำสงั่ ทางปกครองโดยวธิ ีอ่ืน พจิ ารณาง่ายๆ คือไม่ใช่คำสัง่ ทางปกครองท่ีเป็นหนงั สือหรือดว้ ยวาจา เช่น สญั ญาณ
มือของตำรวจจราจร สญั ญาณธงของเจา้ หนา้ ที่การรถไฟ สญั ญาณไฟกระพริบของประภาคาร มีผลทนั ทีเม่ือไดร้ ับ
แจง้
การสิ้นผลของคำส่ังทางปกครอง
1. สิ้นผลดว้ ยการเพิกถอน อาจเพิกถอนโดยตวั เจา้ หนา้ ที่ที่ออกคำสัง่ เอง เพิกถอนโดยผบู้ งั คบั บญั ชาของเจา้ หนา้ ท่ีที่
ออกคำสงั่ ทางปกครอง หรือเพิกถอนโดยศาลปกครอง
2. สิ้นผลดว้ ยเงื่อนเวลา เช่นในใบอนุญาตแต่ละประเภทจะกำหนดไวว้ า่ อนุญาตกี่ปี ถา้ ยงั ไม่ครบตามที่กำหนดกย็ งั มี
ผลอยู่ แต่ถา้ ครบกำหนดแลว้ ใบอนุญาตกส็ ิ้นผล คำสงั่ ทางปกครองกส็ ิ้นสุด
3. สิ้นผลดว้ ยเหตุอ่ืน คือ สิ้นผลโดยคำพิพากษาของศาล
การทบทวนคำสั่งทางปกครอง
การทบทวนคำส่ังทางปกครอง แบ่งได้ 3 กรณี
1. การอุทธรณ์คำสัง่ ทางปกครอง
2. การเพกิ ถอนคำสงั่ ทางปกครอง
3. การขอใหพ้ จิ ารณาใหม่
การอุทธรณ์คำสัง่ ทางปกครอง คือ การโตแ้ ยง้ คดั คา้ นในสิ่งท่ีไม่เห็นดว้ ยในคำสงั่ ทางปกครอง การอุทธรณ์คำสงั่
ทางปกครองจะมีข้ึนไดก้ ต็ ่อเมื่อมีคำสั่งทางปกครองออกมาแลว้ เมื่อไม่เห็นดว้ ยกต็ อ้ งอุทธรณ์ จะมีข้ึนไดก้ ต็ ่อเม่ือมี
คำสงั่ ทางปกครองออกมาแลว้ เมื่อไม่เห็นดว้ ยกต็ อ้ งอุทธรณ์หรือเพกิ ถอน หรือจะขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ เมื่อไม่เห็น
ดว้ ยกจ็ ึงนำคดีไปสู่ศาลปกครอง
การอทุ ธรณ์ มี 6 หัวข้อ ดงั นี้
1. ผทู้ ่ีมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง คือ คูก่ รณีตามมาตรา 5 แห่งพระราชบญั ญตั ิวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง คู่
กรณี สามารถอุทธรณ์คำสงั่ ทางปกครองไดห้ มดไม่วา่ จะเขา้ มาสู่กระบวนการพจิ ารณาดว้ ยวิธีไหน ไม่วา่ จะเป็นผยู้ นื่
คำขอ ผคู้ ดั คา้ นคำขอ ผถู้ ูกกระทบสิทธิจากคำสงั่ ปกครอง
2. อุทธรณ์กบั ใคร ตามมาตรา 44 เป็นหลกั ของการอุทธรณ์ กำหนดไวว้ า่ การอุทธรณ์โตแ้ ยง้ คำสงั่ ทางปกครอง ให้
ยนื่ ต่อเจา้ หนา้ ที่ผทู้ ำคำสงั่ ทางปกครอง ซ่ึงต่างจากการเพกิ ถอนและการขอใหพ้ จิ ารณาใหม่
3. กำหนดเวลาอุทธรณ์ มาตรา 44 ถา้ ไม่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดไวจ้ ะตอ้ งอุทธรณ์ภายใน 15 วนั นบั แต่วนั ที่ไดร้ ับ
แจง้
4. รูปแบบของการอุทธรณ์ มาตรา 44 วรรค 2 กำหนดไวว้ า่ ตอ้ งทำเป็นหนงั สือและจะตอ้ งมีเน้ือหาสาระท่ีเป็นท้งั ขอ้
เทจ็ จริงและขอ้ กฎหมาย ท่ีจะเอามาอา้ งวา่ ไม่เห็นดว้ ยเพราะอะไร จะตอ้ งระบุใหช้ ดั เจนวา่ ไม่เห็นดว้ ยตรงไหน ไม่
เห็นดว้ ยในขอ้ เทจ็ จริงหรือขอ้ กฎหมาย หรือไม่เห็นดว้ ยท้งั ขอ้ เทจ็ จริงและขอ้ กฎหมาย จะตอ้ งเขียนไวใ้ หช้ ดั เจนใน
คำอุทธรณ์ตอ้ งมีครบถว้ น
5. การพจิ ารณาอุทธรณ์ ตามมาตรา 46 ประกอบมาตรา 45
มาตรา 46 คือ การพจิ ารณาอุทธรณ์ของเจา้ หนา้ ท่ีตอ้ งทำอยา่ งไรบา้ ง กระบวนการตอ้ งทำอยา่ งไร เพราะฉะน้นั สิ่งที่
บงั คบั ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีทำกค็ ือ เจา้ หนา้ ท่ีท่ีรับคำอุทธรณ์จะตอ้ งพจิ ารณาปัญหาขอ้ เทจ็ จริง ปัญหาขอ้ กฎหมาย ตอ้ ง
พิจารณาความเหมาะสมของการทำคำสงั่ ทางปกครองทนั ทีที่เจา้ หนา้ ท่ีไดร้ ับคำอุทธรณ์
มาตรา 45 เป็นการกำหนดเวลาใหเ้ จา้ หนา้ ที่ เจา้ หนา้ ที่จะตอ้ งพิจารณาคำอุทธรณ์และแจง้ ใหท้ ราบถึงผลการพจิ ารณา
ภายใน 30 วนั นบั แต่วนั รับอุทธรณ์ คือ ภายใน 30 วนั กระบวนการอุทธรณ์ตอ้ งจบแลว้ ตอ้ งรู้แลว้ วา่ ภายใน 30 วนั น้ี
ผลมนั เป็นอยา่ งไร เพกิ ถอนหรือไม่ เปล่ียนแปลงแกไ้ ข หรือปรับเปล่ียนอยา่ งไรภายใน 30 วนั
6. ผลของการพิจารณาอุทธรณ์ มาตรา 46 ตอนทา้ ย อาจมีคำสงั่ เพิกถอนคำสั่งทางปกครองเดิม หรือเปล่ียนแปลงคำ
สั่งน้นั ไปในทางใดทางหน่ึง ซ่ึงกฎหมายไดใ้ หอ้ ำนาจเจา้ หนา้ ที่ไวก้ วา้ ง ตรงที่วา่ ไม่วา่ การเปลี่ยนแปลงน้นั จะ
เป็นการเพิม่ ภาระหรือลดภาระ สามารถเปล่ียนแปลงอยา่ งไรกไ็ ด้ ไม่จำเป็นตอ้ งแกไ้ ขตามคำอทุ ธรณ์ เป็ นอำนาจ
ดุลยพนิ ิจของเจ้าหน้าทีโ่ ดยแท้ไม่ผูกพนั ตามคำขอ ถา้ ผอู้ ุทธรณ์ยงั ไม่พอใจกต็ อ้ งฟ้องศาลปกครอง
ข้อสังเกต การฟ้องต่อศาลปกครอง กค็ ือ เจา้ หนา้ ที่ที่พิจารณาอุทธรณ์จะตอ้ งแจง้ ใหช้ ดั เจนวา่ ฟ้องยงั ไง ฟ้องภายใน
เวลาเทา่ ไหร่ แต่โดยหลกั แลว้ ตอ้ งฟ้องภายใน 90 วนั นบั แต่วนั ที่ไดร้ ับแจง้ ผลอุทธรณ์
การเพกิ ถอนคำส่ังทางปกครอง
การเพิกถอนคำสงั่ ทางปกครอง คือ การทบทวนคำสั่งทางปกครองของเจา้ หนา้ ท่ีผทู้ ำคำสั่งทางปกครอง
การเพิกถอนต่างกบั การอุทธรณ์ ตรงท่ีการเพกิ ถอนเป็นดุลยพินิจ เจา้ หนา้ ท่ีไม่จำเป็นตอ้ งมีคนขอเขา้ ไป แต่การ
อุทธรณ์จะตอ้ งมีคำขอเขา้ ไป
หลกั เกณฑ์การเพกิ ถอนคำส่ังทางปกครอง
1. ผมู้ ีอำนาจเพกิ ถอนคำสัง่ ทางปกครอง ตามมาตรา 49 วรรค 1 มี 2 คน
- เจา้ หนา้ ท่ีออกคำสงั่ ทางปกครอง
- ผบู้ งั คบั บญั ชาของเจา้ หนา้ ท่ีท่ีออกคำสงั่ ทางปกครอง
2. ระยะเวลาในการเพิกถอนคำสงั่ ทางปกครอง
จะเพกิ ถอนคำสงั่ ทางปกครองเมื่อไหร่กไ็ ด้ แมว้ า่ จะเป็นระยะเวลาของการอุทธรณ์ไปแลว้ หรือแมแ้ ต่วา่ คดีจะไปสู่
ศาลปกครองแลว้ กเ็ พกิ ถอนได้
ผลของการเพกิ ถอนคำสั่งปกครอง
คำสงั่ ทางปกครองมีการเพกิ ถอนไปแลว้ คู่กรณีท่ีไดร้ ับความเสียหายมีสิทธิไดร้ ับค่าทดแทน เช่น ถา้ มีคำสงั่ ใหป้ ิ ด
สถานประกอบการ 30 วนั ซ่ึงความจริงแลว้ เจา้ ของสถานประกอบการไม่มีความผดิ ไม่ไดท้ ำอะไรขดั ต่อกฎหมาย
ใน 30 วนั ท่ีปิ ดกิจการเกิดความเสียหายข้ึน ขาดรายไดจ้ าการประกอบกิจการ เจา้ ของสถานประกอบการสามารถ
เรียกคา่ ทดแทนได้ ตามมาตรา 52
ในกรณีที่เจา้ หนา้ ท่ีเพิกถอนคำสงั่ ทางปกครองแลว้ และผรู้ ับคำสงั่ ทางปกครองไดร้ ับความเสียหาย แลว้
เจา้ หนา้ ท่ีไม่จ่ายคา่ เสียหาย ผรู้ ับผลกระทบสามารถไปเรียกร้องจากหน่วยงานท่ีเจา้ หนา้ ที่น้นั สงั กดั อยไู่ ด้
ภายใน 180 วนั
การขอให้พจิ ารณาใหม่
การขอใหพ้ ิจารณาใหม่ ตามมาตรา 54 เป็นกรณีท่ีผรู้ ับคำสั่งทางปกครอง หรือผทู้ ่ีไดร้ ับผลกระทบจากคำสงั่
ทางปกครองขอใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีออกคำสงั่ ทางปกครองเรื่องเดียวกนั น้นั ใหม่ และออกคำสงั่ ทางปกครองใหม่อีกคร้ัง
หน่ึง เพราะวา่ ไม่สามารถยน่ื คำขอคำอุทธรณ์คำสัง่ ทางปกครองไม่ไดแ้ ลว้ เน่ืองจากล่วงเลยระยะเวลาอุทธรณ์
แลว้ ซ่ึงการขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ เป็นการขอใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีที่มีอำนาจหนา้ ที่ออกคำสัง่ ทางปกครองร้ือฟ้ื นเร่ืองข้ึนมา
ใหม่ตอ้ งอยภู่ ายใตห้ ลกั เกณฑแ์ ละเง่ือนไขที่กฎหมายบญั ญตั ิ
ระยะเวลาในการขอให้พจิ ารณาใหม่ ตามมาตรา 54 วรรคท้าย
การยนื่ คำขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ตอ้ งกระทำภายใน 90 วนั นบั แต่ท่ีไดร้ ู้ถึงเหตุที่อาจขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ได้
การขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ เจา้ หนา้ ที่จะทำการพิจารณาใหม่ไดจ้ ะตอ้ งมีผยู้ น่ื คำขอเขา้ ไปเหมือนกบั การอุทธรณ์
คำสงั่ ทางปกครอง
การบังคบั ทางปกครอง มาตรา 55 – มาตรา 68
การบงั คบั ทางปกครองมีเพอื่ ตอ้ งการใหค้ ำสงั่ ทางปกครองที่ออกไปเกิดผลในทางกฎหมาย และการใช้
มาตรการบงั คบั ทางปกครองจะตอ้ งสมเหตุสมผล และชดั เจนแน่นอน
มาตรการบงั คบั ทางปกครอง แยกได้ 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 ตามมาตรา 57 เป็นคำสงั่ ใหผ้ ใู้ ดชำระเงิน เช่น ตำรวจจราจรตรวจควนั ดำแลว้ ใหจ้ ่ายคา่ ปรับ การโบกรถ
ใหห้ ยดุ เป็นคำสั่งทางปกครอง พอตรวจแลว้ ใหป้ รับเป็นการปรับตามมาตรา 57 เป็นมาตรการบงั คบั ทางปกครองท่ี
ใหช้ ำระเงิน
ประเภทท่ี 2 ตามมาตรา 58 คือคำสงั่ ทางปกครองที่ใหก้ ระทำการหรือละเวน้ กระทำการ เช่น คำสงั่ ใหร้ ้ือถอนอาคาร
คำสงั่ ใหป้ ิ ดโรงงาน เป็นคำสงั่ ใหก้ ระทำการ คำสงั่ หา้ มไม่ใหข้ ายของหนา้ โรงพยาบาล เป็นคำสัง่ ละเวน้ กระทำการ
คำสั่งทางปกครองท่ใี ห้กระทำการหรือละเว้นกระทำการ เจ้าหน้าทมี่ มี าตรการบงั คบั อยู่ 2 อย่าง
1. เจา้ หนา้ ที่เขา้ มาดำเนินการแทน เช่น เจา้ หนา้ ที่สัง่ ใหร้ ้ือแลว้ ไม่ร้ือ เจา้ หนา้ ที่กเ็ ขา้ มาดำเนินการร้ือถอนอาคารเอง
เป็นอำนาจตามมาตรา 58 (1)
2. เป็นการชำระคา่ ปรับทางปกครอง ตอ้ งเป็นจำนวนที่สมควรแก่เหตุ แต่ไม่เกิน 20,000 บาทต่อวนั
ขอ้ ยกเวน้ ท่ีไม่ตอ้ งออกคำสงั่ ทางปกครองใหก้ ระทำหรือละเวน้ กระทำ คือ เป็นกรณีท่ีมีความจำเป็นที่จะตอ้ ง
บงั คบั การโดยเร่งด่วน เพ่อื
1. ป้องกนั มิใหม้ ีการกระทำท่ีขดั ต่อกฎหมายที่มีโทษทางอาญา
2. มิใหเ้ กิดความเสียหายต่อประโยชนส์ าธารณะ
แต่ตอ้ งกระทำโดยสมควรแก่เหตุและภายในขอบเขตอำนาจหนา้ ที่ของตน
มาตรา 59 กำหนดวา่ ก่อนเจา้ หนา้ ท่ีจะใชม้ าตรการบงั คบั ใดๆ เจา้ หนา้ ที่จะตอ้ งมีหนงั สือเตือน และในหนงั สือเตือน
จะตอ้ งระบุมาตรการท่ีจะใหก้ ระทำไดไ้ วช้ ดั เจน และตอ้ งระบุคา่ ใชจ้ ่าย และระบุถึงดว้ ยวา่ จะใหใ้ ครไปกระทำการ
แทน มาตรา 59 ระบุวา่ เป็นหนา้ ท่ีของเจา้ หนา้ ที่ท่ีจะตอ้ งกระทำ ก่อนท่ีจะลงมือปฏิบตั ิการ
ระยะเวลาและอายุความ มาตรา 64
1. การนบั ระยะเวลาของคำสัง่ ทางปกครอง หรือเรื่องทางปกครองท้งั หมด ใหเ้ ริ่มตน้ นบั ในวนั รุ่งข้ึนไม่ใช่นบั ในวนั
ท่ีมีคำสงั่ ทางปกครอง
2. ถา้ เป็นกรณีท่ีบงั คบั ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีตอ้ งกระทำ แมว้ า่ วนั สุดทา้ ยเป็นวนั หยดุ กใ็ หน้ บั รวมไปดว้ ย
3. ถา้ การนบั ระยะเวลาเป็นกรณีที่ตอ้ งบงั คบั แก่ประชาชน ถา้ ครบกำหนดระยะเวลาวนั สุดทา้ ยเป็นวนั หยดุ กไ็ ม่นบั
ใหน้ บั วนั ทำการวนั แรกเป็นวนั สุดทา้ ย
พระราชบัญญัตจิ ดั ต้งั ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. 2542
คดีปกครอง คือ คดีพิพาทระหวา่ งหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐกบั เอกชน หรือหน่วยงานทาง
ปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐดว้ ยกนั เอง ซ่ึงเป็นขอ้ พพิ าทอนั เนื่องมาจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของ
รัฐใชอ้ ำนาจทางปกครองออกกฎหรือคำสงั่ หรือกระทำการอ่ืนใดโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย เนื่องมาจากการท่ีหน่วย
งานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐละเลยต่อหนา้ ที่ทางปกครองตามท่ีกฎหมายกำหนดใหต้ อ้ งปฏิบตั ิ หรือปฏิบตั ิ
หนา้ ที่ดงั กล่าวล่าชา้ เกินสมควร หรือเป็นขอ้ พิพาทเกี่ยวกบั สญั ญาทางปกครอง
ลกั ษณะสำคญั ของคดปี กครอง
1. คดีปกครองเป็นคดีพพิ าทระหวา่ งหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐกบั เอกชน หรือระหวา่ งหน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐดว้ ยกนั
2. คดีปกครองน้นั จะตอ้ งเป็นคดีพิพาทที่เกิดข้ึนจากการกระทำ 3 ประการดงั ต่อไปน้ี ของหน่วยงานทางปกครอง
และเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ คือ
(1) การกระทำที่เป็นการใชอ้ ำนาจทางปกครอง
(2) การท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐละเลยต่อหนา้ ที่ทางปกครองตามท่ีกฎหมายให้
ตอ้ งปฏิบตั ิ แลว้ ตอ้ งปฏิบตั ิหนา้ ท่ีน้นั ลา่ ชา้ เกินสมควร
(3) สญั ญาทางปกครอง
คดที ีอ่ ยู่ในอำนาจศาลปกครอง
1. คดีตามมาตรา 9 วรรค 1 (1) การกระทำท่ีไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย มี 8 ลกั ษณะ
(1) กระทำโดยไม่มีอำนาจ คือ หน่วยงานทางปกครอง เจา้ หนา้ ที่ของรัฐที่ถูกฟ้อง กระทำการออกคำสงั่ หรือกระทำ
การอื่นใด โดยทีไม่มีกฎหมายฉบบั ใดใหอ้ ำนาจไว้
(2) กระทำนอกเหนืออำนาจ เป็นเรื่องของหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ มีอำนาจจะกระทำไดต้ าม
กฎหมายแต่กระทำนอกเหนือไปจากขอบเขตที่กฎหมายกำหนดใหอ้ ำนาจไว้
(3) กระทำไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย เป็นกรณีที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ ออกกฎหรือออกคำสงั่
ซ่ึงมีขอ้ ความขดั หรือแยง้ กบั บทบญั ญตั ิแห่งกฎหมายฉบบั ที่ใหอ้ ำนาจไว้
(4) กระทำโดยไม่ถูกตอ้ งตามรูปแบบข้นั ตอนหรือวธิ ีการอนั เป็นสาระสำคญั ท่ีกำหนดไวส้ ำหรับ
การกระทำน้นั เช่น กฎหมายกำหนดรูปแบบและข้นั ตอนของการออกคำสงั่ ไวแ้ ละวางหลกั ไวว้ า่ ผอู้ อกคำสงั่ จะตอ้ ง
ใหเ้ หตผุ ลประกอบคำสั่ง ถา้ คำสัง่ ไม่มีเหตุผลประกอบเป็นการผดิ แบบไม่เป็นไปตามรูปแบบท่ีกฎหมายกำหนด
(5) กระทำโดยไม่สุจริต เป็นการใชอ้ ำนาจบิดเบือนโดยมีเจตนา หรือวตั ถุประสงคน์ อกเหนือไปจาก
วตั ถุประสงคท์ ี่กฎหมายใหอ้ ำนาจไว้ เพ่อื แสวงหาประโยชน์ส่วนตวั หรือของผอู้ ่ืน ไม่ไดก้ ระทำการน้นั เพอ่ื คุม้ ครอง
ประโยชน์สาธารณะตามวตั ถุประสงคข์ องกฎมาย
(6) การกระทำที่มีลกั ษณะเป็นการเลือกปฏิบตั ิที่ไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำโดยขาดหลกั ความเสมอ
ภาค โดยใชเ้ กณฑ์ ทางเช้ือชาติ ศาสนา เพศ ความคิดทางการเมือง มาเป็นตวั ตดั สิน เป็นตน้
(7) เป็นการสร้างข้นั ตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระใหเ้ กิดกบั ประชาชนเกินสมควร
(8) การใชด้ ุลยพนิ ิจโดยมิชอบ อำนาจดุลยพินิจ คือ การท่ีฝ่ายปกครองมีอำนาจตดั สินใจอยา่ งอิสระ
ท่ีจะเลือกกระทำการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ถา้ เลือกกระทำการหรือไม่กระทำการรักษาประโยชนส์ าธารณะ โดยมี
เหตุผลอนั สมควรแลว้ ลว้ นเป็นการใชด้ ุลยพินิจโดยชอบแลว้
2. คดีที่ฟ้องวา่ หน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ แลว้ แต่กรณีละเลยต่อหนา้ ที่ทางปกครองตามที่กฎหมาย
กำหนดใหต้ อ้ งปฏิบตั ิ หรือปฏิบตั ิหนา้ ท่ีดงั กล่าวล่าชา้ เกินสมควร และมีคำขอใหศ้ าลพพิ ากษาให้
หน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐน้นั ภายในเวลาท่ีศาลกำหนด ตามมาตรา 9 วรรค 1 (2) เช่น ประชาชน
ร้องเรียนเจา้ หนา้ ที่เนื่องจากบริษทั กำจดั ขยะทำการกลบฝังหรือทำลายขยะไม่ถูกตอ้ ง เป็นเหตุใหส้ ่งกลิ่นเหมน็ ร้อง
เรียนเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ กล็ ะเลยไม่ดำเนินการสงั่ ใหบ้ ริษทั ระงบั การกระทำดงั กล่าว ถือเป็นคดีปกครองตาม
มาตรา 9 วรรค 1 (2) คำสงั่ ศาลปกครองสูงสุด 106/44
3. เป็นกรณีการละเมิดและความรับผดิ ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ และขอใหศ้ าลพิพากษาสัง่
ใหห้ น่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐเยยี วยาความเสียหาย โดยสัง่ ใหใ้ ชเ้ งินส่งมอบทรัพยส์ ิน หรือกระทำ
การหรืองดเวน้ กระทำการ มีเง่ือนไข 2 ประการ
(1) ตอ้ งเป็นคดีหรือขอ้ พิพาทท่ีเกี่ยวเน่ืองกบั การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ เช่น
ออกคำสงั่ มกั ใชใ้ บอนุญาตโดยไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย
(2) เมื่อเก่ียวเนื่องกบั การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีแลว้ กต็ อ้ งประกอบดว้ ย 4 ขอ้
1. การใชอ้ ำนาจตามกฎหมาย
2. การออกกฎ คำสงั่ ทางปกครอง หรือคำสงั่ อื่น
3. ละเลยต่อหนา้ ท่ีตามที่กฎหมายกำหนดใหต้ อ้ งปฏิบตั ิ เช่น เจา้ หนา้ ท่ีละเลยไม่พจิ ารณาคำขออนุญาตเปิ ดกิจการ
โรงงาน เป็นเหตุใหผ้ ปู้ ระกอบการไดร้ ับความเสียหาย
4. การปฏิบตั ิหนา้ ที่ดงั กล่าวล่าชา้ เกินสมควร
4. คดีพพิ าทเก่ียวกบั สญั ญาทางปกครอง ตอ้ งดูวา่ เป็นสญั ญาทางปกครองหรือไม่ เป็นกรณีที่คูฟ่ ้องคดีมีคำขอใหศ้ าล
ปกครองมีคำสงั่ ใหผ้ ถู้ ูกฟ้องคดีชำระเงิน ค่าเสียหาย ฐานผดิ สญั ญาและส่งมอบทรัพยส์ ินหรือใหก้ ระทำการหรืองด
เวน้ กระทำการ ตามที่กำหนดไวใ้ นขอ้ สญั ญา
5. เป็นคดีท่ีมีกฎหมายกำหนดใหห้ น่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐแลว้ แต่กรณี ฟ้องเอกชนต่อศาล และ
ขอใหศ้ าลบงั คบั ใหเ้ อกชนทำการหรืองดเวน้ กระทำการอยา่ งหน่ึงอยา่ งใด เพือ่ ใหเ้ ป็นไปตามท่ีกฎหมาย
กำหนด เช่น กรณีบุคคลก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างอ่ืนรุกล้ำเขา้ ในน่านน้ำ ซ่ึงเป็นทางสญั จรของประชาชน
หรือในทะเล หรือชายหาดของทะเล โดยไม่ไดร้ ับอนุญาตจากเจา้ ทา่ ซ่ึงกฎหมายบญั ญตั ิใหเ้ จา้ ทา่ มีอำนาจออกคำสงั่
ใหร้ ้ือถอนส่ิงปลูกสร้างน้นั ออกไปใหพ้ น้ ทางน้ำ ถา้ ผรู้ ับคำสั่งไม่ปฏิบตั ิตามคำสงั่ ของกรมเจา้ ท่า กรมเจา้ ท่าไม่มี
อำนาจตามกฎหมายที่จะไปจดั การร้ือถอนอาคารน้นั ดว้ ยตนเอง แต่กรมเจา้ ท่าตอ้ งไปฟ้องศาลขอใหศ้ าลพพิ ากษา
บงั คบั ใหผ้ รู้ ับคำสงั่ ร้ือถอนอาคารน้นั
6. เป็นคดีพพิ าทเกี่ยวกบั เร่ืองท่ีมีกฎหมายกำหนดใหอ้ ยใู่ นเขตอำนาจศาลปกครอง เช่น ขอ้ พิพาทตามคำช้ีขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการเป็นขอ้ พิพาทตามสญั ญาทางปกครอง ศาลปกครองมีอำนาจเหนือคดีพพิ าทเก่ียวกบั สญั ญา
ทางปกครอง จึงตอ้ งไปขอที่ศาลปกครอง
คดที ี่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ตามมาตรา 9 วรรค 2
1. การดำเนินการเก่ียวกบั วินยั ทหาร
2. การดำเนินการของคณะกรรมการตุลาการกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบียบขา้ ราชการฝ่ ายตุลาการ
3. คดีที่อยใู่ นอำนาจของศาลชำนญั พเิ ศษ
- ศาลเยาวชนและครอบครัว - ศาลแรงงาน
- ศาลภาษีอากร
- ศาลทรัพยส์ ินทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศ
- ศาลชำนญั พิเศษอืน่ ๆ
เง่ือนไขการฟ้องคดปี กครอง
1. เง่ือนไขเก่ียวกบั ผมู้ ีสิทธิฟ้องคดี และความสามารถของผฟู้ ้องคดี ตามมาตรา 42
ผทู้ ี่ไดร้ ับความเดือนร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อน หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อนั เนื่องมาจาก
(1) การกระทำหรือการงดเวน้ กระทำของหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ
(2) มีขอ้ โตแ้ ยง้ เกี่ยวกบั สญั ญาทางปกครอง
(3) กรณีอื่นท่ีอยใู่ นเขตอำนาจศาลปกครองตามมาตรา 9
(4) กรณีการแกไ้ ขหรือบรรเทาความเดือดร้อน หรือความเสียหาย หรือยตุ ิขอ้ โตแ้ ยง้ น้ัน ตอ้ งมีบงั คบั ตามมาตรา 72
2. เงื่อนไขเก่ียวกบั คำขอในคำฟ้องใหศ้ าลมีคำบงั คบั เพ่ือแกไ้ ขความเดือนร้อนเสียหาย ตามมาตรา 72
(1) ขอสงั่ ใหเ้ พกิ ถอนกฎหรือคำสงั่ หรือสั่งหา้ มกระทำท้งั หมด หรือบางส่วน
(2) ขอใหศ้ าลสัง่ ใหห้ น่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐท่ีเกี่ยวขอ้ ง ปฏิบตั ิหนา้ ที่ภายในเวลาท่ีศาลปกครอง
กำหนด
(3) ขอใหศ้ าลสัง่ ใหใ้ ชเ้ งิน หรือใชส้ ่งมอบทรัพยส์ ิน หรือใหก้ ระทำการหรืองดเวน้ กระทำการ เช่น ใหช้ ำระค่าจา้ ง
หรือเงินอนื่ ใดตามสญั ญาทางปกครอง
(4) สงั่ ใหถ้ ือปฏิบตั ิต่อสิทธิหรือหนา้ ที่ของบุคคลที่เก่ียวขอ้ ง เช่น ฟ้องคดีเพ่ือใหศ้ าลสัง่ วา่ ผฟู้ ้องคดีเป็นผมู้ ีสญั ชาติ
ไทย และใหถ้ ือปฏิบตั ิต่อผฟู้ ้องคดีในฐานะผมู้ ีสญั ชาติไทย
(5) สงั่ ใหบ้ ุคคลกระทำหรือละเวน้ การกระทำ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เพ่ือใหเ้ ป็นไปตามกฎหมาย เช่น เจา้ ท่าสัง่ ใหร้ ้ือ
ถอนเรือนท่ีปักเสาลงในน้ำ เมื่อเจา้ ของเรือนไม่ร้ือถอนกต็ อ้ งฟ้องต่อศาล ใหศ้ าลสงั่ ใหร้ ้ือถอนเรือน
3. เงื่อนไขเกี่ยวกบั การเยยี วยา แกไ้ ขความเดือดร้อนเสียหายแก่ผฟู้ ้องคดี
4. เงื่อนไขเกี่ยวกบั คำฟ้องและเอกสารท่ียนื่ ต่อศาล ( เป็นเรื่องของเสมียน)
5. เงื่อนไขเกี่ยวกบั ระยะเวลาในการฟ้องคดี
คดปี กครองระยะเวลาในการฟ้องคดสี ้ันมาก มีระยะเวลาอยู่ 3 กรณี
1. การฟ้องคดีปกครองทวั่ ไป ตามมาตรา 49 ถา้ เป็นคดีปกครองทวั่ ไปไม่วา่ จะเป็นเร่ืองคำสงั่ ทางปกครอง เร่ืองกฎ
จะตอ้ งฟ้องภายใน 90 วนั นบั แต่วนั ที่รู้หรือควรรู้เหตุแห่งการฟ้องคดี
2. การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกบั การกระทำละเมิดหรือสญั ญาทางปกครอง ตอ้ งฟ้องภายใน 1 ปี นบั แต่วนั ที่รู้หรือ
ควรรู้ถึงเหตุแห่งการการฟ้องคดี แต่ตอ้ งไม่เกิน 10 ปี นบั แต่วนั ท่ีเหตุแห่งการฟ้องคดีมนั เกิดข้ึน ตามมาตรา 51
3. การฟ้องคดีปกครองเก่ียวกบั การคุม้ ครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคล การฟ้องคดีในกรณีไม่มีอายุ
ความฟ้องเม่ือใดกไ็ ด้ ตามมาตรา 52
มาตรา 52 วรรค 2 เป็นลกั ษณะพเิ ศษของศาลปกครอง คือ การฟ้องคดีที่พน้ ระยะเวลาไปแลว้ ศาลอาจใชด้ ุลยพนิ ิจ
รับไวพ้ ิจารณาได้
6. เง่ือนไขเกี่ยวกบั ขอ้ หา้ มในการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง มี 4 กรณี ศาลปกครองจะไม่รับฟ้องไวพ้ จิ ารณา
1. ฟ้องซ้ำ
2. ฟ้องซอ้ น
3. ดำเนินกระบวนพจิ ารณาซ้ำ
4. การหา้ มฟ้องเจา้ หนา้ ที่ทำละเมินในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี ตาม ม.5 แห่งความรับผดิ ทางละเมิดของเจา้ หนา้ ท่ี
พ.ศ. 2539 พ.ร.บ. ความรับผดิ ทางละเมิดของเจา้ หนา้ ที่ พ.ศ. 2539
การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ. ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจ้าหน้าท่ี แยกได้ 2 กรณี
1. เจา้ หนา้ ท่ีไดก้ ระทำการละเมิดเน่ืองจากการกระทำในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี แยกได้ ดงั น้ี
1) ผทู้ ่ีไดร้ ับความเสียหายจากการทำละเมิดของเจา้ หนา้ ท่ี
- ราษฎรไดร้ ับความเสียหาย จะฟ้องเจา้ หนา้ ที่ทำละเมิดไม่ได้ จะตอ้ งฟ้องหน่วยงานของรัฐท่ีเจา้ หนา้ ท่ีดงั กล่าวสงั กดั
อยโู่ ดยตรง ตาม ม.5 ซ่ึงเมื่อหน่วยงานของรัฐตอ้ งรับผดิ ชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนแก่ผเู้ สียหายแลว้ ถา้ เจา้ หนา้ ที่น้นั
ไดร้ ับกระทำการน้นั ไปดว้ ยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออยา่ งร้ายแรง หน่วยงานของรัฐ มีสิทธิเรียกใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี
ดงั กล่าวชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนใหแ้ ก่หน่วยงานของรัฐน้นั ได้ แต่ถา้ เจา้ หนา้ ที่ไม่ไดจ้ งใจหรือวา่ กระทำการ
ประมาทเลินเล่ออยา่ งธรรมดา เจา้ หนา้ ที่กไ็ ม่ตอ้ งรับผดิ ตาม ม.8
- หน่วยงานของรัฐไม่วา่ จะเป็นหน่วยงานของรัฐท้งั เจา้ หนา้ ที่น้นั สังกดั อยหู่ รือไม่กต็ าม การเรียกร้องใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีท่ี
กระทำละเมิดชดใชค้ า่ สินไหมทดแทน ม. 10 ไดบ้ ญั ญตั ิใหน้ ำ ม.8 มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม คือ จะเรียกร้องคา่
สินไหมทดแทนจากหนา้ เจา้ หนา้ ท่ีผทู้ ำละเมิดได้ เจา้ หนา้ ที่ดงั กล่าวจะตอ้ งกระทำดว้ ยความจงใจหรือประมาท
เลินเล่ออยา่ งร้ายแรงเท่าน้นั ถา้ ไม่ไดจ้ งใจหรือกระทำโดยประมาทเลินเล่ออยา่ งธรรมดา จะเรียกใหเ้ จา้ หนา้ ที่ชดใช้
คา่ สินไหมทดแทนไม่ได้
2.) การฟ้องคดี
พ.ร.บ. จดั ต้งั ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9(3) ไดก้ ำหนดวา่ คดที่พิพาทเก่ียวกบั การก
ระทำละเมิดหรือความรับผดิ อยา่ งอ่ืนของหน่วยงานทางปกครองหรือเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐอนั เกิดจากใชอ้ ำนาจตาม
กฎหมาย หรือจากกฎคำสงั่ ทางปกครองหรือคำสงั่ อื่น ดงั น้นั เม่ือเจา้ หนา้ ที่ไดก้ ระทำละเมิดเนื่องจากการกระทำใน
การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีไม่วา่ จะไดก้ ระทำต่อผเู้ สียหายหรือหน่วยงานของรัฐ กจ็ ะตอ้ งฟ้องคดีที่ศาลปกครองโดยอาศยั ม.9
(3) แห่ง พ.ร.บ. จดั ต้งั ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง
2. เจา้ หนา้ ที่ไดก้ ระทำละเมิดท่ีมิใช่ในการปฏิบตั ิหนา้ ที่
1) ผทู้ ่ีไดร้ ับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของเจา้ หนา้ ที่
- ราษฎรที่ไดร้ ับความเสียหาย สามารถฟ้องเจา้ หนา้ ท่ีที่ทำละเมิดไดโ้ ดยตรงจะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้ เจา้ หนา้ ที่
จะตอ้ งรับผดิ เป็นการเฉพาะตวั เน่ืองจากากรทำละเมิด ตาม ม.6
- หน่วยงานของรัฐไม่วา่ จะเป็นหน่วยงานของรัฐท่ีเจา้ หนา้ ท่ีน้นั สงั กดั อยหู่ รือไม่กต็ าม เม่ือเจา้ หนา้ ท่ีไม่ไดก้ ระทำ
ละเมิดในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี ม.10 บญั ญตั ิไวใ้ หบ้ งั คบั ตามบทบญั ญตั ิแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2) การฟ้องคดี เมื่อเจา้ หนา้ ที่ไม่ไดก้ ระทำละเมิดในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี จึงไม่อยใู่ นบงั คบั ของ ม.9 (3) แห่ง พ.ร.บ.จดั
ต้งั ศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จึงไม่ใช่คดีที่อยใู่ นอำนาจของศาลปกครอง จึงตอ้ งนำคดีไป
ฟ้องที่ศาลยตุ ิธรรม