รายงาน
นาฏศิลป์ เรื่อง การแต่งกายแต่ละยุคสมัย
โดย
น.ส.นวินดา เนตณีย์ ม.3/3 เลขที่ 21
เสนอ
ครูวัศพล โนนใหญ่
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา2565
เซนต์โยเซฟระยอง
สมัยอยุธยา
การแต่งกายยุคกรุงศรีอยุธยา จึงแบ่งออกเป็น 4 สมัย ดังนี้
สมัยที่ 1 พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2031
หญิง
ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คือ เกล้าไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก)
ศีรษะมีเครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรัดมวยผม
เครื่องประดับ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กำไล ต่างหู
เครื่องแต่งกาย นุ่งซิ่นจีบหน้า สวมเสื้อ แขนกระบอก คอกลม ผ่าหน้า เสื้อ ยาวเข้ารูป มีผ้า
คลุมสะโพกไว้ด้านในของตัวเสื้อ แต่ปล่อยชายออกด้านนอก ต่อมาได้ต่อเข้ากับตัวเสื้อ เป็น
ชายเสื้อลงมาอีกทีหนึ่ง
ชาย
ผม มหาดเล็กและคนรับใช้ตัดผมสั้น ชายยังคงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดียวกับ หญิง
เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่งผ้าหยักรั้ง
แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อคอแหลม แขนยาว
จรดข้อมือ ผ่าอก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากุ๊นตรงปลายแหลม คอ สาบหน้า และชายเสื้อ
เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบนของ มงกุฎ
ที่ครอบมวยพระเศียรของกษัตริย์ พาหุรัดหรือทองกร เครื่องประดับศีรษะถักด้วยลวด
ทองคำ
สมัยที่ 2 พ.ศ. 2034-2171
หญิง
ผม ตัดผมสั้น หวีเสยขึ้น ไปเป็นผมปีก บ้างก็ยังไว้ผมยาวเกล้าบนศีรษะ เลิกเกล้าเมื่อ พ.ศ.
2112 เพราะต้องทำงานหนักไม่มีเวลาเกล้าผม
เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอก คอกลมผ่าอก ไม่นิยมสไบ
ผู้หญิงชั้น สูงสวมเสื้อคอแหลม มีผ้าคล้องไหล่ 2 ข้าง
การห่มสไบมีหลายแบบ
พันรอบตัวเหน็บทิ้งชาย
ห่มแบบสไบเฉียง คือ พันรอบอก 1 รอบแล้วเฉวียงขึ้นบ่าปล่อยชายไว้ข้างหลังเพียงขาพับ
แบบสะพัก สองบ่า ใช้ผ้าพันรอบตัวทับกันที่อกแล้วจึงสะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชายไปข้าง
หลัง ทั้ง 2 ข้าง
แบบคล้องไหล่ เอาชายไว้ข้างหลังทั้งสองชาย
แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า
แบบห่มคลุม
ชาย
ผม ตัดผมสั้น แสกกลาง
เครื่องแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีผ้าคล้องไหล่
สมัยอยุธยา
สมัยที่ 3 พ.ศ. 2173 – พ.ศ. 2275
หญิง
ผม สตรีในสำนักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บน
กระหม่อมแล้ว คล้องด้วยมาลัย ถัดลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาว
บ้านตัดผมสั้น ตอนบนแล้วถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประ
บ่า เรียกว่า “ผมปีก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม ดอกกระทุ่มไม่โกน
ท้ายทอยปล่อยยาวเป็นรากไทร
การแต่งกาย หญิงในราชสำนักนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อ ผ่าอก คอแหลม (เดิมนิยม
คอกลม) แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี 3 แบบ
คือ รัดอก สไบเฉียง และห่ม ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแล้วรวบไปผูกไว้หลังคอ)
เหมาะสำหรับเวลาทำงาน บุกป่า ออกรบ
เครื่องประดับ ปักปิ่ นทองที่มวยผม สวมแหวนหลายวง สร้อยคอ สร้อยข้อ
มือ
การแต่งหน้า หญิงชาววัง ผัดหน้า ย้อมฟัน และเล็บเป็นสีดำ ไว้เล็บยาวทาง
ปากแดง หญิงชาวบ้าน ชอบประแป้งลายพร้อย ไม่ไว้เล็บ ไม่ทาแก้ม ปาก
ชาย
ผม ตัดสั้น ทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตัดสั้น และโกน
ท้ายทอย)
การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้
ทางด้านหลัง สวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อ
ยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม ด้านหน้า 8 – 10 เม็ด แขนเสื้อ กว้าง และสั้น มาก
ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนางจะสวม ลอมพอกยอดแหลม ไป
งานพิธีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัวร์
สมัยที่ 4 พ.ศ. 2275 ถึง พ.ศ. 2310
หลักฐานจากวัดใหญ่สุวรรณารามจังหวัดเพชรบุรีเป็นลักษณะเครื่องทรงในพระมหา
กษัตริย์และคนชั้น สูง
หญิง การแต่งผม มี 3 แบบ คือ
ทรงผมมวยกลางศีรษะ
ทรงผมปีกมีจอนผม
ทรงหนูนหยิกรักแครง (เกล้าพับสองแล้วเกี้ยว กระหวัดไว้ที่โคน รักแครง เกล้า
ผมมวยกลมเฉียงไว้ด้านซ้ายหรือขวา)
ทรงผมประบ่า มักจะรวมผมปีกและผมประป่าอยู่ในทรงเดียวกันและผมปีกทำ
เป็นมวยด้วย
เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมกำไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที่ใหญ่กว่า
สมัยใด สร้อยตัวสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้ สิ่งที่ใหม่กว่าสมัยใดคือ สวมแหวน
ก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวนงูรัดต้นแขน
การแต่งหน้าแต่งตัว ทาขมิ้น ให้ตัวเหลืองดังทอง ผัดหน้าขาว ย้อมฟันดำ ย้อมนิ้ว
และเล็บด้วยดอกกรรณิการ์ให้สีแดง
การแต่งกาย ของคนชั้น สูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อริ้วทอง (ทำด้วยผ้า
ไหม สลับด้วยเส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ นุ่งโจง
กระเบนหรือ ผ้าถุง
การห่มสไบมี 2 แบบ คือ
ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อ ริ้วทอง และใช้เจียระบาด
(ผ้าคาดพุง) คาดทับเสื้อปล่อยชายลงตรงด้านหน้า
ห่มสไบเฉียงไม่ใส่เสื้อเมื่ออยู่กับบ้าน
ชาย ไว้ทรงมหาดไทย ทาน้ำมันหอม
การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้องคอ
แล้ว ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับเพลาก่อน
แล้วทรงภูษา จีบโจง มีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์ คาดผ้าทิพย์
ทับฉลองพระองค์อีกที
สมัยกรุงธนบุรี
สมัยกรุงธนบุรี ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง พระเจ้ากรุงธนได้มี ความสัมพันธ์กับ ต่างประเทศมากขึ้น เพื่อฟื้ นฟู
เศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น จึงเปิดการค้าขายติดต่อกับประเทศจีน ส่วนชาวยุโรป ชาติ
ต่างๆ ที่เคยเข้ามา ติดต่อค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา นั้นได้พากันอพยพ ออกไปค้าขายอยู่ในประเทศอื่นๆ เสีย
หมดเพราะ บ้านเมืองตกอยู่ ในสภาพยุคเข็ญเป็นจลาจลเสียช้านาน และประกอบกับ ทางยุโรป กำลังยุ่งยาก กับ
การทำศึกสงคราม ในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 จึงทำให้การติดต่อ ไมตรีกับชาวยุโรปชาติต่างๆ ต้องยุติลง ชั่ว
ระยะหนึ่งสำหรับประเทศจีนนั้น ติดต่อค้าขายด้วยกันจนตลอดราชการ และพระองค์ ทรงสนับสนุน กับประเทศนี้
มาก จึงมีการนำเอาวัฒนธรรมการแต่งกายบ้าง เครื่องแพรพรรณ เช่น ผ้าแพรจีน นิยมนำมานุ่งมากขึ้น หญิง (
เนื่องจาก การขาดแคลนผ้าสมัยนั้น เพราะเป็นการ สร้างกรุงใหม่ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก) จึงได้กลับมานุ่ง
ผ้าถุง อีกโดย ขมวดชายพกไว้ตามสบาย ห่มสไบรัดหน้าอกอย่างธรรมดา นิยมใช้ผ้าแพร อาจจะได้มาจาก
ประเทศจีน ชายเริ่มมี การนุ่งกางเกง เพราะสมัยนี้ได้มีชาวจีน มารับราชการทหารด้วย เป็นอันมากและ เพื่อให้
สะดวก ในการออกรบ ส่วนเสื้อนั้น น่าจะเป็นแบบคอกลม แขนขึ้นท่อน ผ่าอกแล้วมีกระดุม ผ้าขดไว้ มี
กระเป๋าใหญ่ข้างละใบ สำหรับใส่ของ พบจาก ข้อความ ที่ว่า ”ทัดพวงมาลา” ของหนังสือกฤษณาสอนน้อง แสดง
ว่าสมัยนี้ นิยมไว้ผม ทรงแบบใหม่ เรียก ”ผมทัด” คือ ผมที่เป็นพู่ ตรงชายผมตกที่ริมหูทั้งสองข้าง สำหรับ ห้อย
ดอกไม้ จากข้อความที่ว่า ”เสยผม” แสดงว่า ผมทรงนี้ มีการไว้ผม ข้างหน้าสั้น แต่ก็ยาวพอจะใช้มือเสย ไปข้าง
หลังได้ ยาวกว่าปีกแน่ๆ และไม่มีการแสกผม
การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1-3 พ.ศ. 2325 – 2394 ระยะ 69 ปี
หญิง
ผม ไว้ผมปีกประบ่ากันไรผมวงหน้าโค้ง ส่วนบนกระหม่อมกันไรผมเป็นหย่อม
วงกลม แบ่งผมออกดูคล้ายปีกนก จึงเรียกผมปีก แต่ไม่ยาวเท่าสมัยอยุธยา
ปล่อยจอน ข้างหูยาวแล้ว ยกขึ้น ทัดไว้ที่หู เรียกว่า “จอนหู” ส่วนเด็ก ๆ นิยมไว้
ผมจุก
การแต่งกาย นุ่งผ้าจีบ ห่มสไบเฉียง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากสมัยอยุธยา ชาว
บ้านนุ่งผ้าถุง หรือโจงกระเบน สวมเสื้อรัดรูปแขนกระบอก ห่มตะเบงมาน หรือ
ผ้าแถบคาดรัดอก และห่มสไบ เฉียงทับ
ชาย
ผม ยังคงไว้แบบเดียวกับสมัยอยุธยา คือ ทรงมหาดไทย ชาวบ้านเรียกว่า “ทรง
หลักแจว”
การแต่งกาย นุ่งผ้าม่วง โจงกระเบน สวมเสื้อเป็นแบบเสื้อนอกคอเปิด ผ่าอก
แขนยาว กระดุม 5 เม็ด ชาวบ้านจะไม่สวมเสื้อ หรือพาดผ้า
รูปแบบการนุ่งผ้า ระหว่างชาววังและชาวบ้านไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างกันมาก แต่
จะมี รายละเอียดบางส่วนคือเนื้อผ้า พวกชาววัง ขุนนาง ชนชั้น สูง มักใช้ผ้าทอ
เนื้อละเอียด สอดเงิน สอดทอง หรือผ้าไหมอย่างดี ส่วนชาวบ้านนุ่งผ้าพื้นเมือง
พวกผ้าพื้น หรือผ้าลายเนื้อเรียบ ๆ ตามหลักฐานรูปจิตรกรรมฝาผนัง พวก
ขุนนางมักสวมเสื้อคอกลม ผ่ากลาง มีกระดุม มีสาบเสื้อ หรือเป็นเสื้อคอเปิด มี
กระดุม จะมีผ้าคาดทับ ส่วนกางเกงจะเป็นแบบขาสามส่วน ยาวเพียงครึ่งน่อง
บางทีก็นุ่งโจงกระเบนทับในสมัยรัชกาลที่ 3 ไม่โปรดให้สวมเสื้อเข้าเฝ้า
การแต่งกายของคนสามัญ
ราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำนา ทำสวน ทำไร่ การแต่งกายของ
ชายหญิงจึง เอื้ออำนวยต่อการใช้ชีวิตแบบเกษตรกร การแต่งกายจึงมีลักษณะ
ทะมัดทะแมง คือ นุ่งผ้าชิ้น เดียว ด้วยวิธีนุ่งถกเขมร เป็นการนุ่งโจงกระเบน แต่
ถกให้สั้น เหนือเข่า เพื่อสะดวกในการออกแรง ไม่สวมเสื้อ โพกผ้าที่ศีรษะ ไม่สวม
รองเท้า หากอยู่บ้านไม่ทำงานก็นุ่งผ้าลอยชาย หรือนุ่งโสร่งมี ผ้าคาดพุง ในงาน
เทศกาลมักนุ่งผ้าโจงกระเบนเป็นผ้าแพรสีต่าง ๆ และห่มผ้าคล้องคอปล่อยชาย
ยาวทั้งสองไว้ด้านหน้า หรือคล้องไหล่ทิ้งชายไว้ด้านหน้า หรือพาดตามไหล่ไว้
ทรงผม ติดเป็นผมปีกหรือผมตัดแบบผู้ชาย
สตรีชาวบ้านนุ่งผ้าจีบ ห่มสไบ เวลาทำงานห่มตะเบงมาน อยู่บ้านห่มเหน็บหน้า
แบบผ้าแถบ เวลาออกจากบ้านห่มสไบเฉียง ถ้าเป็นสตรีสาวตัดผมสั้น แบบดอก
กระทุ่ม ปล่อยท้ายยาวงอนถึงบ่า ผู้ใหญ่ตัดผมปีกแบบโกนท้ายทอยสั้น
รัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2394 – 2411 ระยะ 17 ปี
ตามธรรมดาคนไทยสมัยโบราณ ไม่นิยมสวมเสื้อผ้าแม้แต่
เวลาเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึง
ประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า ในสมัยรัชกาลที่ 4
ทรงสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาอังกฤษ และวัฒนธรรม
ตะวันตกขึ้น ในราชสำนัก จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเครื่อง
แต่งกายสตรี โดย
หญิง
ผม หญิงไว้ผมสั้น ที่เรียกว่า “ผมปีก” แต่ไม่ยาวประบ่า ด้าน
หลังตัดสั้น บางคนก็โกน ผมขึ้น มาเหมือนผมมหาดไทย
ของผู้ชาย มีการถอนไรผมให้มีรอยเป็นเส้น วงรอบผมปีกไว้
ชาย ผมตกที่ริมหูทั้งสองข้างเรียก “ผมทัด”
การแต่งกาย นุ่งผ้าลายโจงกระเบน นุ่งผ้าจีบ ใส่เสื้อผ่าอก
คอตั้งเตี้ย ๆ ปลายแขน แคบยาวถึงข้อมือ เสื้อพอดีตัวยาว
เพียงเอว เรียกว่า เสื้อกระบอกแล้วห่มแพรสไบจีบเฉียงบน
เสื้อ อีกที (ต่อมาเรียกว่า “แพรสพาย” ในสมัยรัชกาลที่ 5)
เครื่องประดับ สตรีที่สูงศักดิ์จะใช้ กระเจียก ทับทรวง ตาด
พาหุรัด สะอิ้ง สร้อย สังวาลย์ หุ้มหูเพชร แหวนเพชร
การแต่งกายสมัยรัชกาลที่ 4 (หญิง)
ชาย
ผม ไว้ผมทรงมหาดไทย ส่วนรัชกาลที่ 4 จะไม่ทรงไว้ทรง
มหาดไทย
การแต่งกาย นุ่งผ้าม่วงแพรโจงกระเบน สวมเสื้อนอก
เหมือนพวกบ้าบ๋า (ชายชาวจีน ที่เกิดในมลายู) สวมเสื้อ
เปิดอกคอเปิด หรือเป็นเสื้อกระบอก คือตัดเป็นรูปกระบอก
แขนยาว
พระมหากษัตริย์ และพวกราชทูตไทยจะแต่งตัวแบบฝรั่งคือ
สวมกางเกง ใส่เสื้อนอกคอเปิด สวมรองเท้าคัทชู ไม่ไว้ผม
ทรงมหาดไทย พวกทูตเมื่อกลับมาเมืองไทยให้ไว้ผมทรง
มหาดไทย เหมือนเดิม ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
เรื่องการแต่งกายจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงมาก ไม่ให้
ฝรั่งดูถูกได้ รวมถึงพระสนมก็สวมกระโปรงแบบฝรั่ง เสื้อ
แบบฝรั่ง
รัชกาลที่ 5 (พ.ศ. 2411 – 2453) ระยะ 42 ปี
ใน พ.ศ. 2414 ได้ทรงปรับปรุงประเพณีการไว้ผม ให้ผู้ชายไทยเลิกไว้ผมทรงมหาดไทย เปลี่ยนเป็นไว้ผม
ยาวอย่างฝรั่ง ส่วนผู้หญิงให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมตัดยาวทรงดอกกระทุ่ม การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายใน
สมัยรัชกาลที่ 5 สรุปได้ ดังนี้
ต้นสมัยรัชกาลที่ 5
หญิง
ผม เลิกไว้ผมปีก หันมาไว้ผมยาวประบ่า
การแต่งกาย นุ่งผ้าลายโจงกระเบน เสื้อกระบอก ผ่าอก แขนยาว ห่มแพร จีบตามขวาง สไบเฉียงทาบบน
เสื้ออีกชั้น หนึ่ง ถ้าอยู่บ้านห่มสไบไม่สวมเสื้อ เมื่อมีงานพิธีจึงนุ่งห่มตาด
เครื่องประดับ สร้อยคอ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กำไล แหวน เข็มขัด
ชาย
ผม เลิกไว้ทรงมหาดไทย หันมาไว้ผมยาวทั้งศีรษะ ผมรองทรง
การแต่งกาย นุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน คือ เสื้อนอกกระดุม 5 เม็ด สวมหมวกหางนกยูง
ถือไม้เท้า ไปงานพิธีจะสวมถุงเท้ารองเท้าด้วย หรือสวมเสื้อแพรสีตาม กระทรวงและหมวดเหล่า ตามชั้น เจ้า
นาย เสื้อแพรสีไพล ขุนนางกระทรวงมหาดไทย เสื้อแพรสี เขียวแก่ ขุนนางกระทรวงกลาโหม เสื้อแพรสีลูก
หว้า ขุนนางกรมท่า (กระทรวงต่างประเทศ) เสื้อ แพรสีน้ำเงิน (ภายหลัง คือ สีกรมท่า) มหาดเล็ก เสื้อแพรสี
เหล็ก พลเรือนจะใส่เสื้อปีกเป็นเสื้อคอ ปิดมีชายไม่ยาวมาก คาดเข็มขัดนอกเสื้อ
กลางสมัยรัชกาลที่ 5
หญิง ไว้ผมยาวเสมอต้นคอ
เครื่องประดับ สร้อยสังวาลย์ เข็มขัดทองหัวลงยาประดับเพชรพลอย
การแต่งกาย นุ่งผ้าจีบไว้ชายพก เมื่อมีพิธียังให้นุ่งโจงกระเบนอยู่ นิยมเสื้อแบบตะวันตก คอตั้ง แขนยาว
ต้นแขนพองแบบหมูแฮม มีผ้าห่มหรือแพร สไบเฉียงตามโอกาสห่มทับตัวเสื้ออีกที สตรีชาววังจะสะพาย
แพรชมพูปักดิ้น ลวดลายตามยศที่ได้รับพระราชทาน สวมรองเท้าบู๊ตและ ถุงเท้าตลอดน่อง
ชาย แต่งเหมือนสมัยต้นรัชกาล ฝ่ายพลเรือนมีเครื่องแบบแต่เต็มยศ เป็นเสื้อแพร สีกรมท่า ปักทองที่คอ
และข้อมือ เวลาปกติใช้เสื้อคอปิด ผูกผ้าผูกคออย่างฝรั่ง นุ่งผ้าไหมสีน้ำเงิน แก่ ถุงเท้าขาว รองเท้าหนังดำ
หมวกเฮลเม็ท (Helmet) แพรขนสีดำ
ปลาบสมัยรัชกาลที่ 5
หญิง
ผม ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม
เครื่องประดับ นิยมสร้อยไข่มุก ซ้อนกันหลาย ๆ สาย เครื่องประดับอื่ น ๆ ก็อนุโลมตาม ฐานะ และความงาม
การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแพรไหม ลูกไม้ ตัดแบบตะวันตก คอตั้งสูง แขนยาว พองฟู เอว
เสื้อผ้าจีบเข้ารูป หรือคาดเข็มขัด หรือห้อยสายนาฬิกา สะพายแพร สวมถุงเท้ามี ลวดลายปักสี รองเท้าส้น
สูง
การแต่งหน้า นิยมใช้เครื่องสำอางแบบตะวันตก ขัดฟันให้ขาว
ชาย
ผม ไว้ผมรองทรง
การแต่งกาย นุ่งกางเกงฝรั่งแทนโจงกระเบน สวมหมวกกะโล่ ข้าราชการแต่งแบบ พระราชกำหนด คือ
เครื่องแบบ (Uniform) เหมือนอารยะประเทศ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของคนไทยอย่างแท้จริง ทรง เสด็จประพาส
ยุโรป ทรงนำแบบอย่างการแต่งกายแบบยุโรปกลับมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งผู้นำใน เรื่องการแต่งกายหรือ
ความเป็นอยู่อื่ น ๆ คือ บุคคลชั้น สูงแต่งนำแล้วจึงมีผู้แต่งตาม เสื้อทรงพริ้นเซส (เสื้อรัดรูปมีตะเข็บเป็น
ทางตั้ง) เป็นที่นิยม ได้ดัดแปลงเป็นเสื้อชั้น ในรุ่นแรก คือ ตัดโค้งให้กว้าง และไม่มีแขน ตัดสั้น เหนือเอว
เปิดตลอดด้านหน้ากลัดดุม มีกระเป๋าตรงใต้อก 1-2 ใบ เรียกว่าเสื้อ ผ่าตะเข็บ เสื้อชั้น ในรุ่นต่อจากเสื้อผ่า
ตะเข็บคือเสื้อคอกระเช้า ซึ่งเดียวนี้ก็ยังมีคนใส่เช่นนั้น อยู่
(รัชกาลที่ 6) พ.ศ. 2543 – พ.ศ. 2468 ระยะ 15 ปี
หญิง
ผม ไว้ผมยาวเสมอต้นคอ ตัดเป็นลอน หรือเรียกว่า ผมบ๊อบ คือตัดสั้น ระดับในหู
ตอนล่าง สองข้างยาวเท่ากัน นิยมดัดข้างหลังให้โค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อย หรือตัด
สั้น แบบ “ทรงซิงเกิ้ล” ลักษณะตัดสั้น คล้ายผมป๊อบผิดกับตรงด้านหลังผมซิงเกิ้ล
ซอยด้านหลังให้ลาดเฉียงลงแนบต้นคอ ใช้เครื่องประดับคาดรอบศีรษะ ตอนปลาย
รัชกาลไว้ผมยาว และเกล้ามวยแบบตะวันตก
เครื่องประดับ นิยมสร้อยไข่มุก ต่างหูห้อยระย้า เพื่อให้เข้าชุดกับเครื่องแต่งกาย
เครื่องแต่งกาย ตอนแรกนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนผ้าม่วง สวมเสื้อผ่าอก คอลึก แขน
ยาว เสมอข้อศอก สะพายแพรบาง ๆ ต่อมาเริ่มนุ่งซิ่นตามพระราชนิยม สวมเสื้อผ้า
แพรโปร่งบางหรือ ผ้าพิมพ์ดอก คอเสื้อกว้างขึ้น อีก และแขนเสื้อสั้น ประมาณต้น
แขน ไม่มีการสะพายแพร
ชาย
ผม ผมยาวกว่าเดิม ตัดแบบยุโรป หวีผมเรียบไม่ค่อยสวมหมวก
การแต่งกาย ยังคงนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบน สวมเสื้อราชปะแตน เพิ่มเสื้อครุยแขนยาว
จรดข้อมือ ตัดเสื้อยาวคลุมเข่าสวมทับอีกที เริ่มนุ่งกางเกงแบบฝรั่งในระยะหลัง
ประชาชน ธรรมดามักนุ่งกางเกงแพรของจีน สวมเสื้อคอกลมผ้าขาวบาง
ข้อสังเกตในการแต่งกายของสตรีในรัชกาลนี้คือ การไว้ผมยาว ในที่นี้หมายถึงการ
เลิกไว้ ผมปีกหรือทรงดอกกระทุ่ม และนิยมคาดศีรษะด้วยผ้าหรือไข่มุก แล้ว
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งคือ นุ่งซิ่น เพราะต่างกับรัชกาลอื่ น
รัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468 – 2477) ระยะ 9 ปี
สตรีไทยสมัยนี้แต่งกายแบบตะวันตกมากขึ้น เลิกนุ่งโจงกระเบน นุ่งซิ่น
แค่เข่า สวมเสื้อ ทรงกระบอกตัวยาวคลุมสะโพก ไม่มีแขน จะเป็น
เอกลักษณ์ของสมัยนี้ ไว้ผมสั้น ดัดลอน นิยมดัดผม มากขึ้น ชายนิยม
นุ่งกางเกงแบบสีต่าง ๆ เช่นเดียวกับผ้าม่วง ข้าราชการนุ่งผ้าม่วง
สีน้ำเงิน เสื้อ ราชปะแตน สวมถุงเท้า รองเท้า สวมหมวกสักหลากมีปีก
หรือหมวกกะโล่ ราษฎรยังคงนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อธรรมดา ไม่สวม
รองเท้า ใน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นการสิ้น
สุด ระบบสมบูรณาญาสิทธิราช เป็นการปกครองระบบประชาธิปไตย คน
ไทยสนใจกับอารยธรรม ตะวันตกอย่างเต็มที่ การแต่งกายมีการเลียน
แบบฝรั่งมากขึ้น ให้นุ่งกางเกงขายาวแทนการนุ่งผ้าม่วง
อย่างไรก็ตามอิทธิพลการแต่งกายแบบตะวันตกจะเข้าครอบคลุมเฉพาะ
ชนบางกลุ่ม สามัญชนทั่วไปยังคงแต่งกายตามประเพณีเดิมคือ ชาย
สวมกางเกงแพรหรือสวมกางเกงสามส่วน เรียกว่ากางเกงไทย ใส่เสื้อ
ธรรมดา ไม่สวมรองเท้า สตรีสวมเสื้อคอกระเช้าเก็บชายเสื้อไว้ในผ้าซิ่น
หรือโจงกระเบน ออกนอกบ้านจึงแต่งสุภาพ
รัชกาลที่ 8 (พ.ศ. 2477 – 2489) ระยะ 12 ปี
เป็นยุครัฐนิยม โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีการกำหนด
เครื่องแต่งกายเป็น 3 ประเภท คือ
1. ใช้ในที่ชุมชน
2. ใช้ทำงาน
3. ตามโอกาส
หญิง สวมเสื้อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องคลุมไหล่ นุ่งผ้าถุง ต่อมา
นุ่งกระโปง หรือผ้าถุงสำเร็จ สวมรองเท้า สวมหมวก เลิกกิน
หมาก สตรีสูงอายุไม่คุ้นกับการนุ่งผ้าถุงก็จะนุ่งโจงกระเบนไว้
ข้างใน
ชาย สวมเสื้อมีแขน คอปิดหรือเปิดก็ได้ ชาวชนบทเสื้อทรง
กระบอกแขนยาวคอตั้งกลัด กระดุม 5 เม็ด มีกระเป๋า สวม
กางเกงแบบสากล สวมรองเท้า สวมหมวก คนแก่ตามชนบทจะ
นุ่งโจงกระเบนอยู่บ้าง สรุปแล้วสมัยนี้การแต่งกายเป็นสากล
มากขึ้น
(รัชกาลที่ 9 พ.ศ. 2489) ทรงครองราชย์มาถึงปัจจุบัน
ชุดไทยพระราชนิยม ได้แก่
ไทยเรือนต้น ใช้แต่งในงานที่ไม่เป็นพิธี และต้องการความ
สบาย เช่น ไปเที่ยว
ไทยจิตรลดา เป็นชุดไทยพิธีกลางวัน ใช้รับประมุขต่าง
ประเทศเป็นทางการหรืองาน สวนสนาม
ไทยอมรินทร์ สำหรับงานเลี้ยงรับรองตอนหัวค่ำ อนุโลมไม่
คาดเข็มขัดได้
ไทยบรมพิมาน ชุดไทยพิธีตอนค่ำ คาดเข็มขัด
ไทยจักรี คือชุดไทยสไบ
ไทยดุสิต สำหรับงานพิธีตอนคํ่า จัดให้สะดวกสำหรับสวม
สายสะพาย
ไทยจักรพรรดิ เป็นแบบไทยแท้
ไทยศิวาลัย เหมาะสำหรับเมื่ออากาศเย็น